ถามความเสี่ยงการลงทุน กับ irpc

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
kosit
Verified User
โพสต์: 21
ผู้ติดตาม: 0

ถามความเสี่ยงการลงทุน กับ irpc

โพสต์ที่ 1

โพสต์

เนื่องจาก irpc ตอนนี้มีปัญหาเกี่ยวกับการเข้ามาถือหุ้นของผู้ลงทุนใหม่ ( ปตท และพวก ) กับผู้ถือหุ้นใหญ่เก่า ( ประชัย)
1.โอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นใหญ่ มีมากเพียงไหน และ ถ้าเปลี่ยนแปลงจะมีผลต่อราคาด้าน บวก หรือ ลบ
2. การที่ ปตท จะรวมกับ pttar กัย irpc เข้าด้วยกันจะมีโอกาสเกิดขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ เมือรวมแล้ว ผู้ถือหุ้นรายเก่า ( ประชัย ) ทำอย่างไร เมือเค้ามีสิทธิซื้อหุ้นคืน
3. ถ้า irpc ไม่รวมกับใคร มีโอกาสที่จะนำเอาพื้นที่ พันกว่าไร่ มาทำนิคมแล้วจะรุ่งหรือเปล่า กับเศรษฐกิจตอนนี้
4. การเติบโตของ irpc เทียบกับตัวอื่น เช่น pttar ตัวไหนน่าลงทุนมากกว่า
kosit
Verified User
โพสต์: 21
ผู้ติดตาม: 0

ถามความเสี่ยงการลงทุน กับ irpc

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ข้อพิพาททางกฎหมายที่สำคัญ

ณ วันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2553 บริษัทมีข้อพิพาททางกฎหมายที่สำคัญซึ่งผลของคดียังไม่สิ้นสุดมีรายละเอียดดังนี้

(1) คดีความฟ้องขอให้เพิกถอนหรือยกเลิกสัญญาขายหุ้นในส่วนทุนเดิมและส่วนทุนใหม่ – คดีแดงหมายเลขที่ ฟ. 8/2548 ตอนที่ 10/5 ตอนที่ 28 และตอนที่ 34

คดีที่กลุ่มผู้บริหารชุดเดิมได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลล้มละลายกลางเพิกถอนหรือยกเลิกสัญญาขายหุ้นในส่วนทุนเดิม     และส่วนทุนใหม่ และกลุ่มผู้บริหารชุดเดิมและผู้ถือหุ้นรายย่อยของบริษัทอีก 4 ราย ได้ยื่นคำร้องขอให้มีการขายส่วนทุน     ตามแผนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม โดยศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งยกคำร้องดังกล่าว กลุ่มผู้บริหารชุดเดิมจึงยื่นอุทธรณ์เพื่อคัดค้านคำสั่งศาลล้มละลายกลางนี้เมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2548 และผู้บริหารชุดใหม่ได้ยื่นแก้อุทธรณ์เมื่อวันที่        11 สิงหาคม พ.ศ. 2549

ผลการพิจารณาตัดสิน:

ปัจจุบันในส่วนของคดีความฟ้องขอให้เพิกถอนหรือยกเลิกสัญญาขายหุ้นในส่วนทุนเดิม คือ ฟ. 8/2548 ตอนที่ 28      อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ส่วนคดีความฟ้องขอให้เพิกถอนหรือยกเลิกสัญญาขายหุ้นในส่วนทุนใหม่ คือ     ฟ. 8/2548 ตอนที่ 10/5 ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 ตามคำสั่งศาลล้มละลายกลางโดยเห็นว่าสัญญาซื้อขายหุ้นในส่วนทุนเดิมสอดคล้องไม่ขัดต่อข้อกำหนดของแผน การอุทธรณ์ของผู้บริหารเดิมฟังไม่ขึ้นและคำสั่งของศาลล้มละลายกลางมีความเห็นชอบแล้ว และคดีฟ้องขอให้เพิกถอนหรือยกเลิกสัญญาขายหุ้นในส่วนทุนใหม่ตอนที่ 34 ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2551 โดยเห็นว่าการที่ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลาง
ในประเด็นผู้บริหารแผนดำเนินการจัดหาผู้ร่วมลงทุนและทำข้อตกลงขายหุ้นส่วนทุนตามแผนโดยชอบหรือไม่เป็นการดำเนินกระบวนการพิจารณาซ้ำ ต้องห้าม กรณีนี้จึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของผู้ร้องทั้งสอง
kosit
Verified User
โพสต์: 21
ผู้ติดตาม: 0

ถามความเสี่ยงการลงทุน กับ irpc

โพสต์ที่ 3

โพสต์

(2) คดีความเกี่ยวกับการฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ - คดีดำหมายเลขที่ พก. 5/2550

กลุ่มผู้บริหารชุดเดิมได้ยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลาง ขอให้เพิกถอนมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 27 เมษายน
พ.ศ. 2549 โดยอ้างว่าการประชุมผู้ถือหุ้นครั้งนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ผลการพิจารณาตัดสิน:

ศาลล้มละลายกลางพิพากษายกฟ้องเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2551 โดยโจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ขณะนี้คดีจึงอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา

(3) คดีความเกี่ยวกับการฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทย่อย - คดีดำหมายเลขที่ 6711-15/2549

กลุ่มผู้บริหารชุดเดิมฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนมติที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัทย่อย 5 แห่ง ได้แก่ 1) บริษัท น้ำมัน    ไออาร์พีซี จำกัด 2) บริษัทไออาร์พีซี โพลีออล จำกัด 3) บริษัท อุตสาหกรรมโพลียูรีเทนไทย จำกัด 4) บริษัท ไทย เอ บี เอส จำกัด และ 5) บริษัท ไออาร์พีซี พลังงาน จำกัด และเรียกค่าเสียหายจากคณะกรรมการบริษัท บริษัทละ 80 ล้านบาทรวม     400 ล้านบาท ปัจจุบันคดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลล้มละลายกลางตามคำสั่งประธานศาลฎีกาวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 โดยได้เปลี่ยนหมายเลขคดีเป็นคดีดำหมายเลขที่ สฟ. 65-69/2551

ผลการพิจารณาตัดสิน:

เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2552 ศาลล้มละลายกลางได้นัดฟังคำสั่ง โดยศาลได้ปรึกษาคดีกับอธิบดีผู้พิพากษา
ศาลล้มละลายกลางแล้วเห็นว่าข้อเท็จจริงไม่ยุติ ไม่อาจมีคำสั่งได้ จึงกำหนดนัดพร้อมในวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2553 และปัจจุบันคดีอยู่ระหว่างการสืบพยานทางศาลล้มละลายกลาง
kosit
Verified User
โพสต์: 21
ผู้ติดตาม: 0

ถามความเสี่ยงการลงทุน กับ irpc

โพสต์ที่ 4

โพสต์

คดีคัดค้านการประมูลขายหุ้นบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) - คดีแดงหมายเลขที่ ฟ. 8/2543 ตอนที่ 33

คดีที่ผู้บริหารของลูกหนี้ได้ยื่นคำร้องคัดค้านการประมูลขายหุ้นบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) จำนวน 250
ล้านหุ้นให้แก่เจ้าหนี้ (บริษัท) ทั้งนี้การดำเนินการของบริษัทดังกล่าวเป็นการปฏิบัติตามแผนฟื้นฟูกิจการที่อนุมัติโดยศาลล้มละลายกลางและศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกคำร้อง ผู้บริหารของลูกหนี้อุทธรณ์คำสั่งศาลล้มละลายกลาง ศาลฎีกา    รับอุทธรณ์แล้ว และผู้บริหารแผนยื่นคำแก้อุทธรณ์แล้ว

ผลการพิจารณาตัดสิน:

ปัจจุบันคดีอยู่ในระหว่างรอการพิจารณาคำสั่งของศาลฎีกา
kosit
Verified User
โพสต์: 21
ผู้ติดตาม: 0

ถามความเสี่ยงการลงทุน กับ irpc

โพสต์ที่ 5

โพสต์

(5) คดีเงินให้กู้ยืมกับบริษัทที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเลี่ยวไพรัตน์

ในช่วงปี พ.ศ. 2540 ถึง พ.ศ. 2543 บริษัทโดยผู้บริหารขณะนั้นให้เงินกู้ยืมแก่บริษัทที่เกี่ยวข้องกันสามแห่ง โดยไม่มีหลักประกัน เป็นจำนวนเงินต้นรวมดอกเบี้ย (ในช่วงที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทวงถาม) ประมาณ 8,000 ล้านบาท คือ 1) บริษัท พรชัยวิสาหกิจ จำกัด 2) บริษัท ทีพีไอ อีโออีจี จำกัด และ 3) บริษัท ทีพีไอ โฮลดิ้ง จำกัด โดยบริษัททั้ง 3 รายดังกล่าวมีคุณประชัย เลี่ยวไพรัตน์ และพี่น้องเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้น และบริษัทอยู่ในกระบวนการฟื้นฟูกิจการ    เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้มีคำสั่งให้บริษัททั้ง 3 รายชำระเงิน ซึ่งบริษัททั้งสามรายได้ร้องขอต่อศาลให้เพิกถอนคำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ แต่ศาลได้จำหน่ายคดีโดยให้เหตุผลว่าบริษัทกำลังจะออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ ต่อมาบริษัทได้ดำเนินการทวงหนี้ แต่บริษัททั้งสามรายไม่มีทรัพย์สินเพียงพอที่จะชำระหนี้ บริษัทจึงได้ดำเนินการฟ้องล้มละลาย

บริษัททั้ง 3 แห่งดังกล่าวได้ซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบริษัท เลียวไพรัตนวิสาหกิจ จำกัด ซึ่งมีกลุ่มเลี่ยวไพรัตน์เป็นกรรมการ
และผู้ถือหุ้นเป็นจำนวน 3 ล้านหุ้น ในราคา 5,500 บาทต่อหุ้น ในขณะที่หุ้นดังกล่าวมีราคามูลค่าที่ตราไว้ 100 บาทต่อหุ้น และมูลค่าทางบัญชี 121 บาทต่อหุ้น ซึ่งทำให้บริษัท เลียวไพรัตนวิสาหกิจ จำกัด อ้างในเวลาต่อมาว่าบริษัททั้ง 3 แห่งเป็นหนี้รวม 12,000 ล้านบาท และได้ร้องขอฟื้นฟูกิจการในฐานะเจ้าหนี้ของบริษัททั้งสามต่อศาลล้มละลายกลาง และฟ้องให้บริษัททั้ง 3 รายชำระหนี้ที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้และได้ขอยอมความกันภายใน 2 วัน โดยบริษัท เลียวไพรัตนวิสาหกิจ จำกัด เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา
kosit
Verified User
โพสต์: 21
ผู้ติดตาม: 0

ถามความเสี่ยงการลงทุน กับ irpc

โพสต์ที่ 6

โพสต์

(5) คดีเงินให้กู้ยืมกับบริษัทที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเลี่ยวไพรัตน์ (ต่อ)

ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้บริษัททั้ง 3 แห่งฟื้นฟูกิจการด้วยเหตุที่มีหนี้สูงกว่าทรัพย์สิน อย่างไรก็ตาม ในชั้นลงคะแนนเสียงเลือกผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการนั้น เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้มีมติว่าหนี้ดังกล่าวไม่มีอยู่จริงและไม่ให้ลงคะแนนเสียง เพราะการออกหุ้นเพิ่มทุนสูงกว่ามูลค่าหุ้นจะต้องมีหนังสือบริคณห์สนธิให้อำนาจไว้ และจะต้องชำระส่วนเกินมูลค่าหุ้นในคราวแรกที่ชำระเงินค่าหุ้น อีกทั้งผู้บริหารของทั้งสองฝ่ายซึ่งเป็นบุคคลเดียวกันย่อมเจรจาตกลงกันได้อยู่แล้ว
ในชั้นพิจารณาเลือกผู้ทำแผนนั้น บริษัท เลียวไพรัตนวิสาหกิจ จำกัด ยื่นคำคัดค้านการตั้งบริษัท แอ็ดว๊านซ์แพลนเนอร์ จำกัด เป็นผู้ทำแผนตามที่บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) เป็นผู้เสนอ ต่อมาศาลได้มีคำสั่งให้นัดประชุมเจ้าหนี้
เพื่อกำหนดสิทธิออกเสียงเลือกผู้ทำแผนครั้งที่สอง เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็มีคำสั่งยืนยันตามคำสั่งเดิมที่เคยมีคำสั่งในการประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรก โดยในชั้นพิจารณาเลือกผู้ทำแผนในชั้นศาล ศาลได้มีคำสั่งยกเลิกคำสั่งที่ให้ฟื้นฟูกิจการของบริษัททั้ง 3 แห่ง

ต่อมาเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2551 บริษัทลูกหนี้ทั้ง 3 ราย ได้แก่ 1) บริษัท พรชัยวิสาหกิจ จำกัด 2) บริษัท ทีพีไอ    อีโออีจี จำกัด และ 3) บริษัท ทีพีไอ โฮลดิ้ง จำกัด ได้ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการตนเองต่อศาลล้มละลายกลาง โดยอ้างมูลหนี้เดิมจำนวน 12,000 ล้านบาทที่บริษัท เลียวไพรัตนวิสาหกิจ จำกัดนำมายื่นขอฟื้นฟูกิจการและบริษัทได้คัดค้านว่าหนี้ดังกล่าว
ไม่มีอยู่จริง

ผลการพิจารณาตัดสิน:

1. คดีที่บริษัทได้ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความทั้งสามเรื่องต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้นั้น เนื่องจาก ศาลมีคำสั่งให้งดพิจารณาคดีไว้ ทางบริษัทจึงยื่นอุทธรณ์ข้อกฎหมายต่อศาลฎีกา ขณะนี้คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา  
2. คำสั่งของศาลล้มละลายกลางที่อนุญาตให้ฟื้นฟูกิจการนั้นบริษัทได้อุทธรณ์ไปยังศาลฎีกา ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่าง  การพิจารณาของศาลฎีกา
3. คดีที่บริษัท เลียวไพรัตนวิสาหกิจ จำกัด ร้องขอฟื้นฟูกิจการบริษัททั้งสาม ศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งยกเลิก    คำสั่งฟื้นฟูกิจการเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2551
4. คดีที่บริษัทลูกหนี้ทั้ง 3 รายได้ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการตนเองต่อศาลล้มละลายกลาง ปัจจุบันคดีของบริษัท ทีพีไอ   โฮลดิ้ง จำกัดและบริษัท พรชัยวิสาหกิจ จำกัด อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลล้มละลายกลาง ส่วนคดีของบริษัท บริษัท ทีพีไอ อีโออีจี จำกัด ศาลได้มีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการลูกหนี้เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 โดยปัจจุบันคดีอยู่ในระหว่างการเลือกผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการ
kosit
Verified User
โพสต์: 21
ผู้ติดตาม: 0

ถามความเสี่ยงการลงทุน กับ irpc

โพสต์ที่ 7

โพสต์

(6) คดีหมิ่นประมาท

คดีหมิ่นประมาทอาญา - คดีดำหมายเลขที่ อ.2848 /2550

นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ฟ้องบริษัทกับพวกรวม 20 คน ในข้อหาหมิ่นประมาทโดยโฆษณาตามประมวลกฎหมายอาญาและพระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ. 2484

ผลการพิจารณาตัดสิน:

ศาลพิพากษายกฟ้องเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 ปัจจุบันคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์
โดยในชั้นอุทธรณ์นี้โจทก์มีการถอนฟ้องจำเลยบางคน จำเลยที่เหลือจึงมีจำนวน 18 คน ศาลอุทธรณ์นัดฟังคำสั่งศาลเมื่อวันที่ 20 มกราคม พ.ศ.2553 และศาลยังไม่ได้นัดฟังคำสั่งศาลครั้งถัดไป

คดีหมิ่นประมาทแพ่ง -  คดีดำหมายเลขที่ 3595/2550

นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ เป็นโจทก์ฟ้องบริษัทกับพวกรวม 20 คน ในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา โดยอ้างว่า  มีข้อความทำให้เกิดความเสียหาย ทั้งนี้ข้อความดังกล่าวระบุถึงสัญญาเช่าอาคารทีพีไอทาวเวอร์เป็นระยะเวลา 90 ปี โดยจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าและเงินกินเปล่าเป็นจำนวนเงิน 956 ล้านบาท ในขณะที่บริษัทอยู่ในภาวะขาดสภาพคล่องและเป็นหนี้จำนวนมาก และบริษัทต้องหยุดพักการชำระหนี้เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2540 รวมถึงคดีเกี่ยวกับการให้เงินกู้ยืม       โดยผู้บริหารของบริษัทในขณะนั้นให้เงินกู้ยืมแก่บริษัทที่เกี่ยวข้อง 3 แห่ง คือ 1) บริษัท พรชัยวิสาหกิจ จำกัด 2) บริษัท     ทีพีไอ อีโออีจี จำกัด และ 3) บริษัท ทีพีไอ โฮลดิ้ง จำกัด ทั้งนี้ข้อกล่าวหาในคำฟ้องทั้งสองคดีนั้นเป็นเรื่องที่ปรากฏอยู่ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐรายสัปดาห์ โดยนายประชัยได้ฟ้องข้อหาละเมิดและให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 100,000 ล้านบาท

ผลการพิจารณาตัดสิน:

ปัจจุบันคดีอยู่ในระหว่างชั้นไต่สวนมูลฟ้องของศาลแพ่ง โดยศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าคดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาคือคดีดำหมายเลขที่ อ. 2848/2550 ในการวินิจฉัยคดีส่วนแพ่งจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ปรากฎในคดีส่วนอาญา     ซึ่งปัจจุบันคดีส่วนอาญาอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์
(7) คดีเช่าอาคารซันทาวเวอร์ - คดีดำหมายเลขที่ อ. 3544/2550

นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ เป็นโจทก์ฟ้องกรรมการบริษัทรวม 17 คน ในข้อหาเป็นกรรมการบริษัทมหาชนจำกัดที่มีหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ร่วมกันกระทำการเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้ และร่วมกันกระทำการด้วยประการใดๆ อันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่เป็นกรรมการบริษัทมหาชนจำกัดแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้ โดยการย้ายสำนักงานของบริษัทเมื่อปี พ.ศ. 2549 จากอาคารทีพีไอทาวเวอร์มาเป็นอาคารซันทาวเวอร์ว่าผิดต่อพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 โดยคุณประชัยอ้างว่าไม่มีเหตุผลและความจำเป็น
ที่จะต้องย้าย ทั้งนี้เหตุผลการย้ายสำนักงานของบริษัทเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ

ผลการพิจารณาตัดสิน:

ศาลพิพากษายกฟ้องเมื่อวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2551 ปัจจุบันคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โดยในชั้นอุทธรณ์นี้โจทก์ถอนฟ้องจำเลยบางคน จำเลยที่เหลือจึงมีจำนวน 13 คน

(8) คดีแรงงาน - คดีดำหมายเลขที่ รย. 258-259/2550

นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ และนางอรพิน เลี่ยวไพรัตน์ เป็นโจทก์ฟ้องบริษัทเรียกค่าสินจ้าง ค่าชดเชย ค่าเสียหายจาก  การเลิกจ้างไม่เป็นธรรมและอื่นๆ โดยนายประชัยเรียกเป็นเงินประมาณ 1,344 ล้านบาท และนางอรพินเรียกเป็นเงินประมาณ 694 ล้านบาท  

ผลการพิจารณาตัดสิน:

เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2551 ศาลจังหวัดระยองมีคำพิพากษาให้บริษัทจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีแก่โจทก์ทั้งสองตามอัตราที่บริษัทเห็นว่าถูกต้อง โดยบริษัทได้จ่ายชำระเงินจำนวน 7.6 ล้านบาทให้กับโจทก์ทั้งสองแล้วเมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2551 อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันคดีอยู่ในระหว่าง
การอุทธรณ์โดยฝ่ายโจทก์
kosit
Verified User
โพสต์: 21
ผู้ติดตาม: 0

ถามความเสี่ยงการลงทุน กับ irpc

โพสต์ที่ 8

โพสต์

(9) คดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ – คดีดำหมายเลขที่ กค. 238/2546

บรรษัทการเงินระหว่างประเทศได้ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายกับนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ และบริษัท เลียวไพรัตนวิสาหกิจ จำกัด โดยเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2549 ศาลได้มีหมายเรียกให้บริษัทเข้าเป็นจำเลยร่วมในคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสองในฐานะผู้ค้ำประกันหนี้ของบริษัทที่มีต่อโจทก์ บริษัทยื่นคำให้การว่าได้ชำระหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการให้แก่โจทก์จนครบถ้วนแล้ว จึงไม่มีหนี้สินใดๆ ที่จำเลยทั้งสองในฐานะผู้ค้ำประกันจะต้องชดใช้ให้โจทก์แทนบริษัท      เป็นเหตุให้จำเลยทั้งสองไม่มีสิทธิไล่เบี้ยใดๆ กับบริษัทได้ตามฟ้อง

ผลการพิจารณาตัดสิน:

ศาลนัดให้ทั้ง 3 ฝ่ายไกล่เกลี่ยยอมความ ขณะนี้อยู่ระหว่างส่งร่างสัญญายอมและการถอนฟ้องทั้ง 3 ฝ่าย

(10) คดีพิพาทเรื่องที่ดิน

คดีที่เรือเอก นคร สาครเสถียร ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายกรณีละเมิดเกี่ยวกับที่ดิน โดยอ้างว่าบริษัทปิดกั้นทางสาธารณะและรุกล้ำที่ดิน ทำให้เจ้าหนี้ไม่สามารถพัฒนาที่ดินได้ โดยมีทุนทรัพย์ประมาณ 821 ล้านบาท โดยศาลได้มีคำสั่งให้จำหน่ายคดีชั่วคราวตามพรบ.ล้มละลายมาตรา 90/12(4) และเจ้าหนี้ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อสำนักฟื้นฟูกิจการ
เพื่อขอรับชำระหนี้ตามฟ้อง

ผลการพิจารณาตัดสิน:

คดีอยู่ระหว่างการสอบสวนพยานฝ่ายลูกหนี้ผู้คัดค้านต่อในวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
(11) คดีค่าเสียหายจากการบอกเลิกสัญญาขายโอเลฟินส์กับบริษัท ไทยโอเลฟินส์ จำกัด (มหาชน) (ปัจจุบันบริษัทนี้ควบรวมกับบริษัท ปิโตรเคมีแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) มาเป็นบริษัท ปตท. เคมิคอล จำกัด (มหาชน))

คดีความกับบริษัท ไทยโอเลฟินส์ จำกัด (มหาชน) ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการผิดสัญญาขายโอเลฟินส์ คดีได้สิ้นสุดแล้วเมื่อ พ.ศ. 2537 แต่บริษัท ไทยโอเลฟินส์ จำกัด (มหาชน) ยื่นฟ้องบริษัทเรื่องค่าเสียหายจากการบอกเลิกสัญญาขาย  โอเลฟินส์ โดยเจ้าหนี้ยื่นขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จำนวน 4,461.26 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตรา MOR+2% คดีเสร็จการไต่สวนคำขอรับชำระหนี้แล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งให้ได้รับชำระหนี้จำนวน 347.81 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ยอัตรา MOR+2% ของเงินต้น 324.13 ล้านบาท บริษัทและเจ้าหนี้ได้ยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งดังกล่าวต่อศาลล้มละลายกลาง คดีได้มีการสืบพยานเสร็จแล้ว ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งเมื่อวันที่        27 ธันวาคม พ.ศ. 2547 ให้แก้ไขคำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ โดยให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการลูกหนี้ในมูลค่าเสียหายเพิ่มเติมเป็นค่าเสียหายจากการผิดสัญญาขายโอเลฟินส์นับจากวันบอกเลิกสัญญาถึงวันสิ้นสุดสัญญาเป็นเงิน 259.82 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ยอัตรา MOR+2% ของเงินต้นดังกล่าวนับแต่วันที่ผู้บริหารแผนบอกเลิกสัญญาวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544 จนกว่าจะได้รับชำระเสร็จสิ้นจากลูกหนี้ คำขออื่นให้ยกฟ้องนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์

ผลการพิจารณาตัดสิน:

ปัจจุบันคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา

(12) คดีแรงงาน - คดีดำหมายเลขที่ 3851-61/2548, 5804/2548 และคดีแดงหมายเลขที่ 7129-39/2548

นายชัยยุทธ์ ลิมลาวัลย์และพวกเป็นโจทก์ฟ้องบริษัทเรียกค่าสินจ้าง ค่าชดเชย ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมและอื่นๆ โดยเรียกค่าเสียหายเป็นเงินประมาณ 122 ล้านบาท

ผลการพิจารณาตัดสิน:

เมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2549 ศาลมีคำพิพากษาให้บริษัทจ่ายค่าชดเชย ค่าสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีแก่โจทก์และพวกเป็นเงินจำนวนประมาณ 3 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 อย่างไรก็ตาม โจทก์อุทธรณ์และปัจจุบันคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
kosit
Verified User
โพสต์: 21
ผู้ติดตาม: 0

ถามความเสี่ยงการลงทุน กับ irpc

โพสต์ที่ 9

โพสต์

ได้มาจาก เอกสารประกอบ งบ 31 มีคน 53
ความคิดเห็นส่วนตัว
1. โอกาสอยากมาก ที่ประชัยจะเข้าถือหุ้น เพราะมีคดีติดตัวที่ต้องจ่ายอีก 8000 ล้าน และ ทรัพย์สินอย่าง tpipl ก็มีมูลค่า 16000 ล้านกว่า ในตลาด ดังนั้น ต้องกู้เงินจำนวนมากเพื่อเข้าซื้อ
2. โอกาสที่จะทำนิคมอุตสาหกรรม ตอนนี้ เป็นเรื่องยากมาก เพราะการเมืองไม่นิ่ง นักลงทุน ยังไม่อยากลงทุน แถมยังมีคู่แข่งคือ เวียดนาม แต่อาจพัฒนาพื้นที่ใกล้เคียงบริษัท เพื่อเปิด บริษัทที่เกี่ยวข้องกัน
3. ประสิทธิภาพของโรงงานได้ดีสุดประมาณ 80 % ขณะนี้ ก่อนหน้าประมาณ 50 % ซึ่งต้องมีการปรับปรุงอีกเล็กน้อย คงมีการวางยากัน ก่อนเปลี่ยนผู้ถือหุ้น กำลังการผลิตน่าจะเพิ่มขึ้น อีก 10-15 เปอร์เซ็นต์
โพสต์โพสต์