มือใหม่ต้องรู้...ประเภทการวิเคราะห์หลักทรัพย์
- คนอุดร
- Verified User
- โพสต์: 3376
- ผู้ติดตาม: 0
มือใหม่ต้องรู้...ประเภทการวิเคราะห์หลักทรัพย์
โพสต์ที่ 1
1.การวิเคราะห์พื้นฐาน (FUNDAMENTAL ANALYSIS)
กลุ่มนักวิเคราะห์หลักทรัพย์กลุ่มนี้มีแนวความคิดในการประเมินค่าหลักทรัพย์ว่า ค่าของหลักทรัพย์ใดหลักทรัพย์หนึ่งทางทฤษฎีจะมีค่าเท่ากับมูลค่าปัจจุบันของกระแสรายได้ที่จะได้รับในอนาคต ดังนั้นค่าของหุ้นสามัญของบริษัทใดบริษัทหนึ่งจะมีค่าเท่ากับมูลค่าปัจจุบันของกระแสรายได้ที่จะได้รับในอนาคต สำหรับกระแสของรายได้ของหุ้นสามัญนั้นอาจอยู่ในรูปของกำไร (earning) ของบริษัทหรืออาจอยู่ในรูปของเงินปันผล (dividend) ก็ได้ แล้วแต่หลักการประเมินค่าที่นักวิเคราะห์มีความเชื่อถืออยู่
มูลค่าปัจจุบันของกระแลรายได้ที่จะได้รับในอนาคตจะมากหรือน้อยย่อมขึ้นอยู่กับองค์ประกอบสองส่วนคือ จำนวนกระแสรายได้ที่จะได้รับในอนาคตที่คาดคะเนขึ้น และอัตราส่วนลด (discount rate or capitalization rate) ที่จะใช้ในอนาคต ดังนั้นค่าทางทฤษฎีของหลักทรัพย์ที่ประเมินขึ้นจะเปลี่ยนแปลงไป ถ้าการคาดคะเนเกี่ยวกับองค์ประกอบส่วนใดส่วนหนึ่งหรือทั้งสองส่วนเปลี่ยนแปลงไป มูลค่าของหลักทรัพย์ทางทฤษฎีนี้มีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน เช่น มูลค่าทางทฤฏี (Theoretical value) มูลค่าที่แท้จริง (Intrinsic value) มูลค่าพื้นฐาน (Fundamental value) มูลค่าทางเศรษฐศาสตร์ (Economic value) เป็นต้น เมื่อการคาดคะเนเกี่ยวกับกระแสรายได้และอัตราส่วนลดเปลี่ยนแปลงไป ย่อมหมายความว่าข่าวสารหรือข้อสนเทศของบริษัทนั้นย่อมเปลี่ยนแปลงไป มูลค่าทางทฤฎีของหลักทรัพย์ย่อมเปลี่ยนไปด้วย แต่เนื่องจากความบกพร่องของการสื่อสารหรือความไม่สมบูรณ์ของการได้รับข่าวสารของผู้ลงทุนในตลาด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่าตลาดหลักทรัพย์ยังมีการแข่งขันไม่สมบูรณ์ ราคาตลาดของหลักทรัพย์ที่ปรากฏอยู่ในตลาด (market price) จึงยังไม่ได้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในข่าวสารนั้น จึงมีผลทำให้ราคาตลาดกับมูลค่าที่แท้จริงแตกต่างกัน นักวิเคราะห์พื้นฐานจึงพยายามหามูลค่าที่แท้จริงของหลักทรัพย์ แล้วเปรียบเทียบมูลค่าที่แท้จริงกับราคาตลาดของหลักทรัพย์ ถ้าราคาตลาดต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงจะทำการซื้อหลักทรัพย์นั้นไว้และจะขายหลักทรัพย์นั้นถ้าราคาตลาดสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง
การคาดคะเนเกี่ยวกับกระแสรายได้และอัตราส่วนลดในอนาคตของหุ้นสามัญบริษัทใดบริษัทหนึ่งว่าจะมากหรือน้อยย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐานต่าง ๆ ซึ่งได้แก่ กำไร เงินปันผล จำนวนสินทรัพย์ และผู้บริหาร เป็นต้น ดังนั้นจึงเรียกการวิเคราะห์ของกลุ่มนี้ว่า การวิเคราะห์พื้นฐาน
กลุ่มนักวิเคราะห์หลักทรัพย์กลุ่มนี้มีแนวความคิดในการประเมินค่าหลักทรัพย์ว่า ค่าของหลักทรัพย์ใดหลักทรัพย์หนึ่งทางทฤษฎีจะมีค่าเท่ากับมูลค่าปัจจุบันของกระแสรายได้ที่จะได้รับในอนาคต ดังนั้นค่าของหุ้นสามัญของบริษัทใดบริษัทหนึ่งจะมีค่าเท่ากับมูลค่าปัจจุบันของกระแสรายได้ที่จะได้รับในอนาคต สำหรับกระแสของรายได้ของหุ้นสามัญนั้นอาจอยู่ในรูปของกำไร (earning) ของบริษัทหรืออาจอยู่ในรูปของเงินปันผล (dividend) ก็ได้ แล้วแต่หลักการประเมินค่าที่นักวิเคราะห์มีความเชื่อถืออยู่
มูลค่าปัจจุบันของกระแลรายได้ที่จะได้รับในอนาคตจะมากหรือน้อยย่อมขึ้นอยู่กับองค์ประกอบสองส่วนคือ จำนวนกระแสรายได้ที่จะได้รับในอนาคตที่คาดคะเนขึ้น และอัตราส่วนลด (discount rate or capitalization rate) ที่จะใช้ในอนาคต ดังนั้นค่าทางทฤษฎีของหลักทรัพย์ที่ประเมินขึ้นจะเปลี่ยนแปลงไป ถ้าการคาดคะเนเกี่ยวกับองค์ประกอบส่วนใดส่วนหนึ่งหรือทั้งสองส่วนเปลี่ยนแปลงไป มูลค่าของหลักทรัพย์ทางทฤษฎีนี้มีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน เช่น มูลค่าทางทฤฏี (Theoretical value) มูลค่าที่แท้จริง (Intrinsic value) มูลค่าพื้นฐาน (Fundamental value) มูลค่าทางเศรษฐศาสตร์ (Economic value) เป็นต้น เมื่อการคาดคะเนเกี่ยวกับกระแสรายได้และอัตราส่วนลดเปลี่ยนแปลงไป ย่อมหมายความว่าข่าวสารหรือข้อสนเทศของบริษัทนั้นย่อมเปลี่ยนแปลงไป มูลค่าทางทฤฎีของหลักทรัพย์ย่อมเปลี่ยนไปด้วย แต่เนื่องจากความบกพร่องของการสื่อสารหรือความไม่สมบูรณ์ของการได้รับข่าวสารของผู้ลงทุนในตลาด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่าตลาดหลักทรัพย์ยังมีการแข่งขันไม่สมบูรณ์ ราคาตลาดของหลักทรัพย์ที่ปรากฏอยู่ในตลาด (market price) จึงยังไม่ได้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในข่าวสารนั้น จึงมีผลทำให้ราคาตลาดกับมูลค่าที่แท้จริงแตกต่างกัน นักวิเคราะห์พื้นฐานจึงพยายามหามูลค่าที่แท้จริงของหลักทรัพย์ แล้วเปรียบเทียบมูลค่าที่แท้จริงกับราคาตลาดของหลักทรัพย์ ถ้าราคาตลาดต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงจะทำการซื้อหลักทรัพย์นั้นไว้และจะขายหลักทรัพย์นั้นถ้าราคาตลาดสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง
การคาดคะเนเกี่ยวกับกระแสรายได้และอัตราส่วนลดในอนาคตของหุ้นสามัญบริษัทใดบริษัทหนึ่งว่าจะมากหรือน้อยย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐานต่าง ๆ ซึ่งได้แก่ กำไร เงินปันผล จำนวนสินทรัพย์ และผู้บริหาร เป็นต้น ดังนั้นจึงเรียกการวิเคราะห์ของกลุ่มนี้ว่า การวิเคราะห์พื้นฐาน
"มันไม่ใช่หุ้นหรอกที่จะทำให้เรารวย แต่สิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับหุ้นต่างหากที่จะทำให้เราร่ำรวยได้"
- คนอุดร
- Verified User
- โพสต์: 3376
- ผู้ติดตาม: 0
มือใหม่ต้องรู้...ประเภทการวิเคราะห์หลักทรัพย์
โพสต์ที่ 2
2.การวิเคราะห์เทคนิค (TECHNICAL ANALYSIS)
กลุ่มนักวิเคราะห์เทคนิคกลุ่มนี้มีแนวความคิดในการประเมินค่าหลักทรัพย์ว่าค่าของหลักทรัพย์ย่อมขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทานของหลักทรัพย์นั้น อุปสงค์และอุปทานจะเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับอิทธิพลต่าง ๆ ทั้งที่มีเหตุผลและไม่มีเหตุผล เช่น ข้อสนเทศเกี่ยวกับบริษัท อารมณ์ ความคิดเห็น การเดา เป็นต้น ผลที่ติดตามมาคือราคาของหลักทรัพย์จะเคลื่อนไหวขึ้นหรือลงในลักษณะที่มีแนวโน้ม (trend) สำหรับช่วงระยะเวลาหนึ่ง ดังนั้นนักวิเคราะห์เทคนิคจะทำการประเมินค่าหลักทรัพย์โดยการศึกษาถึงความสัมพันธ์ระหว่างการเคลื่อนไหวของราคาและปริมาณที่ซื้อขายของหลักทรัพย์รายตัวหรือของหลักทรัพย์ทั้งตลาดในอดีต เพื่อกำหนดแนวโน้มของราคา แล้วนำแนวโน้มนั้นมาพยากรณ์ราคาหลักทรัพย์ หรือภาวะตลาดหลักทรัพย์ ดังนั้นการวิเคราะห์เทคนิคจึงมีชื่อเรียกอีกอย่างว่าการวิเคราะห์แนวโน้ม (Trend Analysis) เท่ากับว่าการวิเคราะห์แบบเทคนิคมีความเชื่อว่าประวัติศาสตร์ย่อมซ้ำรอยจึงได้นำการเคลื่อนไหวของราคาในอดีตมาศึกษา เพื่อกำหนดราคาหุ้นในอนาคต
สิ่งที่นักวิเคราะห์เทคนิคให้ความสนใจเป็นพิเศษคือ จุดเปลี่ยนแนวโน้มโดยจะพยายามตรวจสอบการเคลื่อนไหวของราคาและปริมาณว่ากำลังมีทิศทางไปทางไหน และเมื่อใดที่ราคาจะเปลี่ยนแนวโน้มไปในทิศทางตรงกันข้าม เช่นดูว่าแนวโน้มของราคาหุ้นในขณะนี้กำลังสูงขึ้นใช่หรือไม่ ถ้าใช่ก็จะคาดคะเนว่า เมื่อไรราคาหุ้นจะเปลี่ยนแนวโน้มไปในทิศทางตรงกันข้าม คือ เมื่อใดราคาจะตก หรือตรวจว่าแนวโน้มของราคาหุ้นในขณะนี้กำลังต่ำลงใช่หรือไม่ ถ้าใช่ก็จะพยายามคาดคะเนว่า เมื่อใดราคาหุ้นจะเพิ่มสูงขึ้นคือเปลี่ยนทิศทางแนวโน้ม
นักวิเคราะห์เทคนิคยอมรับความคิดของนักวิเคราะห์พื้นฐานที่ว่าราคาหุ้นเป็นผลพวงสุดท้ายอันเนื่องมาจากปัจจัยพื้นฐานหลาย ๆ ตัว เช่น กำไร เงินปันผลและอัตราส่วนลดในอนาคตแต่นักวิเคราะห์เทคนิคอ้างว่าการศึกษาโดยตรงจากราคาซึ่งเป็นผลขั้นสุดท้ายย่อมให้ผลลัพธ์ถูกต้องดีกว่าการศึกษาจากมูลเหตุพื้นฐาน ซึ่งมีหลายปัจจัยและมีผลเกี่ยวโยงกันซึ่งสลับซับซ้อนมาก ดังนั้นถ้าการคาดคะเนปัจจัยพื้นฐานเหล่านี้ตัวใดตัวหนึ่งผิดพลาด ผลลัพธ์ที่ได้ย่อมจะผิดพลาดด้วย
กลุ่มนักวิเคราะห์เทคนิคกลุ่มนี้มีแนวความคิดในการประเมินค่าหลักทรัพย์ว่าค่าของหลักทรัพย์ย่อมขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทานของหลักทรัพย์นั้น อุปสงค์และอุปทานจะเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับอิทธิพลต่าง ๆ ทั้งที่มีเหตุผลและไม่มีเหตุผล เช่น ข้อสนเทศเกี่ยวกับบริษัท อารมณ์ ความคิดเห็น การเดา เป็นต้น ผลที่ติดตามมาคือราคาของหลักทรัพย์จะเคลื่อนไหวขึ้นหรือลงในลักษณะที่มีแนวโน้ม (trend) สำหรับช่วงระยะเวลาหนึ่ง ดังนั้นนักวิเคราะห์เทคนิคจะทำการประเมินค่าหลักทรัพย์โดยการศึกษาถึงความสัมพันธ์ระหว่างการเคลื่อนไหวของราคาและปริมาณที่ซื้อขายของหลักทรัพย์รายตัวหรือของหลักทรัพย์ทั้งตลาดในอดีต เพื่อกำหนดแนวโน้มของราคา แล้วนำแนวโน้มนั้นมาพยากรณ์ราคาหลักทรัพย์ หรือภาวะตลาดหลักทรัพย์ ดังนั้นการวิเคราะห์เทคนิคจึงมีชื่อเรียกอีกอย่างว่าการวิเคราะห์แนวโน้ม (Trend Analysis) เท่ากับว่าการวิเคราะห์แบบเทคนิคมีความเชื่อว่าประวัติศาสตร์ย่อมซ้ำรอยจึงได้นำการเคลื่อนไหวของราคาในอดีตมาศึกษา เพื่อกำหนดราคาหุ้นในอนาคต
สิ่งที่นักวิเคราะห์เทคนิคให้ความสนใจเป็นพิเศษคือ จุดเปลี่ยนแนวโน้มโดยจะพยายามตรวจสอบการเคลื่อนไหวของราคาและปริมาณว่ากำลังมีทิศทางไปทางไหน และเมื่อใดที่ราคาจะเปลี่ยนแนวโน้มไปในทิศทางตรงกันข้าม เช่นดูว่าแนวโน้มของราคาหุ้นในขณะนี้กำลังสูงขึ้นใช่หรือไม่ ถ้าใช่ก็จะคาดคะเนว่า เมื่อไรราคาหุ้นจะเปลี่ยนแนวโน้มไปในทิศทางตรงกันข้าม คือ เมื่อใดราคาจะตก หรือตรวจว่าแนวโน้มของราคาหุ้นในขณะนี้กำลังต่ำลงใช่หรือไม่ ถ้าใช่ก็จะพยายามคาดคะเนว่า เมื่อใดราคาหุ้นจะเพิ่มสูงขึ้นคือเปลี่ยนทิศทางแนวโน้ม
นักวิเคราะห์เทคนิคยอมรับความคิดของนักวิเคราะห์พื้นฐานที่ว่าราคาหุ้นเป็นผลพวงสุดท้ายอันเนื่องมาจากปัจจัยพื้นฐานหลาย ๆ ตัว เช่น กำไร เงินปันผลและอัตราส่วนลดในอนาคตแต่นักวิเคราะห์เทคนิคอ้างว่าการศึกษาโดยตรงจากราคาซึ่งเป็นผลขั้นสุดท้ายย่อมให้ผลลัพธ์ถูกต้องดีกว่าการศึกษาจากมูลเหตุพื้นฐาน ซึ่งมีหลายปัจจัยและมีผลเกี่ยวโยงกันซึ่งสลับซับซ้อนมาก ดังนั้นถ้าการคาดคะเนปัจจัยพื้นฐานเหล่านี้ตัวใดตัวหนึ่งผิดพลาด ผลลัพธ์ที่ได้ย่อมจะผิดพลาดด้วย
"มันไม่ใช่หุ้นหรอกที่จะทำให้เรารวย แต่สิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับหุ้นต่างหากที่จะทำให้เราร่ำรวยได้"
- คนอุดร
- Verified User
- โพสต์: 3376
- ผู้ติดตาม: 0
มือใหม่ต้องรู้...ประเภทการวิเคราะห์หลักทรัพย์
โพสต์ที่ 3
3.การวิเคราะห์ตามแนวทฤษฎีการสุ่ม (RANDOM WALK THEORY)
กลุ่มนักวิเคราะห์ตามแนวทางทฤษฏีการสุ่มนี้เป็นแนวความคิดที่วิวัฒนาการขึ้นในระยะหลังสุด โดยกลุ่มนี้มีแนวความคิดโต้แย้งตรงกันข้ามกับแนวความคิดของทั้งสองกลุ่มแรกที่กล่าวมาแล้ว โดยมีความคิดว่าตลาดหลักทรัพย์มีการแข่งขันที่สมบูรณ์ (perpect capital market) หรืออย่างน้อยก็เกือบจะสมบูรณ์มีประสิทธิภาพ (efficient capital market) ดังนั้น ราคาตลาดของหลักทรัพย์จึงเท่ากับมูลค่าทางทฤษฏีเสมอ ซึ่งตรงกันข้ามกับแนวคิดของนักวิเคราะห์พื้นฐาน นอกจากนั้นนักวิเคราะห์ตามแนวทฤษฏีการสุ่มยังได้เสนอความคิดว่า ราคาตลาดของหลักทรัพย์ย่อมเป็นอิสระจากการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในอดีต นั่นคือการศึกษาการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในอดีตจะไม่สามารถนำมาช่วยกำหนดราคาหุ้นในอนาคตได้ เพราะเป็นอิสระจากกัน กล่าวคือ ราคาหุ้นมีการเคลื่อนไหวเป็นไปในลักษณะสุ่ม (random walk) ราคาหุ้นในอนาคตจะเท่ากับเท่าใดย่อมขึ้นอยู่กับข่าวสารข้อสนเทศต่างๆ ที่มีอิทธิพลต่อราคาหุ้นในอนาคต ไม่ใช่ข่าวสารหรือข้อสนเทศในอดีต ซึ่งข้อสนเทศต่างๆ นั้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่เป็นระบบคือเป็นการสุ่ม (random) ราคาหุ้นในอนาคตจึงเปลี่ยนแปลงอย่างไม่เป็นระบบหรือเป็นการสุ่มด้วย แนวความคิดที่ว่าเราไม่สามารถพยากรณ์ราคาหุ้นในอนาคตโดยอาศัยราคาในอดีตมาพยากรณ์จึงเป็นแนวคิดตรงกันข้ามกับกลุ่มนักวิเคราะห์เทคนิค
กลุ่มนักวิเคราะห์ตามแนวทางทฤษฏีการสุ่มนี้เป็นแนวความคิดที่วิวัฒนาการขึ้นในระยะหลังสุด โดยกลุ่มนี้มีแนวความคิดโต้แย้งตรงกันข้ามกับแนวความคิดของทั้งสองกลุ่มแรกที่กล่าวมาแล้ว โดยมีความคิดว่าตลาดหลักทรัพย์มีการแข่งขันที่สมบูรณ์ (perpect capital market) หรืออย่างน้อยก็เกือบจะสมบูรณ์มีประสิทธิภาพ (efficient capital market) ดังนั้น ราคาตลาดของหลักทรัพย์จึงเท่ากับมูลค่าทางทฤษฏีเสมอ ซึ่งตรงกันข้ามกับแนวคิดของนักวิเคราะห์พื้นฐาน นอกจากนั้นนักวิเคราะห์ตามแนวทฤษฏีการสุ่มยังได้เสนอความคิดว่า ราคาตลาดของหลักทรัพย์ย่อมเป็นอิสระจากการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในอดีต นั่นคือการศึกษาการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในอดีตจะไม่สามารถนำมาช่วยกำหนดราคาหุ้นในอนาคตได้ เพราะเป็นอิสระจากกัน กล่าวคือ ราคาหุ้นมีการเคลื่อนไหวเป็นไปในลักษณะสุ่ม (random walk) ราคาหุ้นในอนาคตจะเท่ากับเท่าใดย่อมขึ้นอยู่กับข่าวสารข้อสนเทศต่างๆ ที่มีอิทธิพลต่อราคาหุ้นในอนาคต ไม่ใช่ข่าวสารหรือข้อสนเทศในอดีต ซึ่งข้อสนเทศต่างๆ นั้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่เป็นระบบคือเป็นการสุ่ม (random) ราคาหุ้นในอนาคตจึงเปลี่ยนแปลงอย่างไม่เป็นระบบหรือเป็นการสุ่มด้วย แนวความคิดที่ว่าเราไม่สามารถพยากรณ์ราคาหุ้นในอนาคตโดยอาศัยราคาในอดีตมาพยากรณ์จึงเป็นแนวคิดตรงกันข้ามกับกลุ่มนักวิเคราะห์เทคนิค
"มันไม่ใช่หุ้นหรอกที่จะทำให้เรารวย แต่สิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับหุ้นต่างหากที่จะทำให้เราร่ำรวยได้"
- คนอุดร
- Verified User
- โพสต์: 3376
- ผู้ติดตาม: 0
มือใหม่ต้องรู้...ประเภทการวิเคราะห์หลักทรัพย์
โพสต์ที่ 4
กล่าวโดยสรุป นักวิเคราะห์พื้นฐานคิดว่า ค่าของหลักทรัพย์เท่ากับค่าปัจจุบันของกระแสเงินที่จะได้รับในอนาคตจากหลักทรัพย์นั้น ส่วนนักวิเคราะห์เทคนิคอ้างว่าเราสามารถนำแนวโน้มของราคาหุ้นในอดีตมาพยากรณ์ราคาหุ้นในอนาคตได้ ไม่จำเป็นต้องไปศึกษาถึงพื้นฐานต่างๆ ที่จะมีผลต่อราคาหุ้นให้เสียเวลา ส่วนนักวิเคราะห์ตามทฤษฏีการสุ่มคิดว่าค่าของหลักทรัพย์ย่อมเท่ากับราคาซื้อขายหลักทรัพย์เสมอ โดยสมมุติว่าตลาดหลักทรัพย์นั้นมีการแข่งขันที่สมบูรณ์แล้ว เนื่องจากสภาพของตลาดหลักทรัพย์ในประเทศไทยยังอยู่ในขั้นที่กำลังพัฒนาสภาพตลาดจัดว่ายังมีการแข่งขันไม่สมบูรณ์ จึงไม่สามารถนำแนวความคิดของทฤษฏีการสุ่มมาใช้ได้เต็มที่ :roll:
"มันไม่ใช่หุ้นหรอกที่จะทำให้เรารวย แต่สิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับหุ้นต่างหากที่จะทำให้เราร่ำรวยได้"
- คนอุดร
- Verified User
- โพสต์: 3376
- ผู้ติดตาม: 0
มือใหม่ต้องรู้...ประเภทการวิเคราะห์หลักทรัพย์
โพสต์ที่ 11
[quote="miracle"][quote="Lu Xun"][quote="miracle"][quote="คนอุดร"]วิธีที่ฮิตที่สุดของมือใหม่คือ ลอกการบ้านคนเก่งๆ...555
"มันไม่ใช่หุ้นหรอกที่จะทำให้เรารวย แต่สิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับหุ้นต่างหากที่จะทำให้เราร่ำรวยได้"
- คนอุดร
- Verified User
- โพสต์: 3376
- ผู้ติดตาม: 0
มือใหม่ต้องรู้...ประเภทการวิเคราะห์หลักทรัพย์
โพสต์ที่ 12
จริงๆแล้วผมว่าเราศึกษาการวิเคราะห์หลายแบบก็ดีนะครับ การวิเคราะห์แบบพื้นฐานทำให้ทราบมูลค่าที่แท้จริงของบริษัท ไม่ช้าก็เร็วราคาก็ต้องสะท้อนมูลค่าของมันเสมอ การวิเคราะห์ทางเทคนิคทำให้เรารู้จักจับจังหวะการซื้อขาย ส่วนการวิเคราะห์ตามแนวทฤษฏีการสุ่มก็สอนให้รู้ว่าบางทีเราก็ไม่ควรสนใจราคาในอดีตมักเพราะนักลงทุนส่วนใหญ่(รวมผมด้วย)ชอบให้ความสำคัญกับราคาในอดีตมากเลยทำให้เสียโอกาส แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องเลือกตามความถนัด...ขอให้มีความสุขกับการลงทุนนะครับ
"มันไม่ใช่หุ้นหรอกที่จะทำให้เรารวย แต่สิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับหุ้นต่างหากที่จะทำให้เราร่ำรวยได้"
- chirasuke
- Verified User
- โพสต์: 23
- ผู้ติดตาม: 0