พีอีตลาดหลอกนักลงทุน
- vichit
- Verified User
- โพสต์: 15833
- ผู้ติดตาม: 0
พีอีตลาดหลอกนักลงทุน
โพสต์ที่ 1
พีอีตลาดหลอกนักลงทุน
สมาคมนักวิเคราะห์ยันพีอีตลาดฯ 27 เท่าสูงเกินจริง ของแท้ต้อง 14 เท่า คิดจากกำไรบจ.ทั้งปี 52 คาดกำไรกว่า 4 แสนล้านบาท แต่ตลท.กลับไปใช้พีอีQ3-Q4 ปี 52 มาคิดรวมส่งผลให้ค่า E ลดลง ด้าน"ก้องเกียรติ"ลั่นมีโอกาสดัชนีพุ่งไป 800 จุด หลังเม็ดเงินต่างชาติยังไหลเข้าต่อเนื่อง
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เปิดเผยว่า ตัวเลขค่าพีอี(P/E) ปัจจุบันของตลาดหุ้นไทยที่แสดงให้เห็นประมาณ 27 เท่า เป็นการคิดคำนวณจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนย้อนหลัง 4 ไตรมาสที่ผ่านมา นับตั้งแต่ไตรมาส 1-2
ของปี 2552 และ ไตรมาส 3-4 ของปี 2551 จึงทำให้ค่าของE ที่อยู่ในส่วนของกำไรลดลง จึงทำให้พีอีปัจจุบันสูงเกินกว่าสภาพความเป็นจริงในปัจจุบัน
"โดยปกติการคำนวณค่าพีอี จะคิดจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนย้อนหลังไป 4 ไตรมาส ซึ่งปัจจุบันยังไม่จบไตรมาส 3 ทำให้ต้องคิดย้อนกลับไปไตรมาส 1-2 ปีนี้ และย้อนไปไตรมาส 3-4 ของปีก่อน ซึ่งกำไรช่วงไตรมาส 4 ปีที่แล้วผลประกอบการลดลงมากติดลบประมาณ 9 หมื่นล้านบาท ทำให้ค่าของ E ที่เป็นกำไรปรับตัวลดลง จึงทำให้ค่าพีอีสูงขึ้น"นายสมบัติกล่าว
หากคำนวณค่าพีอีของปีนี้ประกอบกับการคิดผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่เป็นผลสำรวจจากนักวิเคราะห์หลายสำนักที่ส่งข้อมูลมายังสมาคมฯ ทำให้ตัวเลขผลกำไรของบจ.ในไตรมาส
3-4 ของปีนี้ จะอยู่ที่ประมาณ 2 แสนล้านบาท และหากรวมกำไรในไตรมาส 1-2 ของด้วยแล้ว จะทำให้ปีนี้บจ.จะมีกำไรประมาณ 4 แสนล้านบาท และสะท้อนออกมาให้รูปของค่าพีอีที่แท้จริงประมาณ 14 เท่า
"ผลสำรวจของสมาคมฯได้ตัวเลขจากนักวิเคราะห์สำนักต่างๆ ประเมินแล้ว พบว่ากำไรบจ.ปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 4 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่อยู่ในช่วงภาวะปกติ ของการดำเนินธุรกิจของบจ.ที่มีกำลังการผลิต ณ ปัจจุบัน และไม่มีกำไรรายการพิเศษเข้ามา ทำให้คำนวณค่าพีอีออกมาอยู่ที่ประมาณ 14 เท่า"นายสมบัติกล่าว
ด้าน ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บล.เอเซียพลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปีนี้มีโอกาสที่จะปรับขึ้นทดสอบ 800 จุด ได้ไม่ยาก เนื่องจากมองว่ายังคงมีกระแสเงินไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก แม้ว่าระหว่างทางจะมีการพักฐานบ้าง แต่เชื่อว่าในทุกครั้งที่มีการพักฐานจะยังคงมีกระแสเงินลงทุนใหม่เข้ามาผลักดันให้ดัชนีฯปรับตัวขึ้นได้
ทั้งนี้การที่ดัชนีฯจะปรับตัวขึ้นทดสอบ 800 จุดจะต้องอยู่ภายใต้สมมุติฐานเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวจริงและยั่งยืน ขณะที่เมื่อภาครัฐอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบภาคเอกชนจะสามารถฟื้นตัวขึ้นตามได้หรือไม่ ดังนั้นนักลงทุนจะต้องติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะภาวะเศรษฐกิจว่าจะสามารถฟื้นตัวต่อเนื่องได้หรือไม่ ซึ่งส่วนตัวคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะเห็นการฟื้นตัวต่อเนื่องจนถึงต้นปี 2553
สำหรับสิ่งที่นักลงทุนจะต้องจับตามองและยังคงมองเป็นปัจจัยเสี่ยงก็คือ ธนาคารพาณิชย์ยังคงทำงานอย่างไม่เต็มที่ ขณะที่ NPLของธนาคารพาณิชย์ยังคงมีอยู่จำนวนมาก จึงถือเป็นเรื่องที่ต้องติดตาม เพราะหากเศรษฐกิจเกิดการปรับตัวอย่างรุนแรงอาจจะทำให้ดัชนีฯปรับตัวลงแรงเช่นกัน
นอกจากนี้สถานการณ์การเมืองภายในประเทศก็ย่อมมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากปัจจุบันสถานการณ์ยังคงไม่รุนแรงมากนัก แต่ถ้าหากการเมืองเกิดทวีความรุนแรงขึ้นนักลงทุนต่างประเทศที่จะเข้ามาลงทุนทางตรงอาจจะชะลอการลงทุนออกไป และย้ายฐานการลงทุนไปยังประเทศอื่น ซึ่งตรงจุดนี้จะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นเช่นกัน
----------------------
วันที่ 22 ก.ย. 2552 แสดงข่าวมาแล้ว -1วัน 16ช.ม. 36นาที
http://www.kaohoon.com/pg.newspaper/fir ... ?cid=31558
สมาคมนักวิเคราะห์ยันพีอีตลาดฯ 27 เท่าสูงเกินจริง ของแท้ต้อง 14 เท่า คิดจากกำไรบจ.ทั้งปี 52 คาดกำไรกว่า 4 แสนล้านบาท แต่ตลท.กลับไปใช้พีอีQ3-Q4 ปี 52 มาคิดรวมส่งผลให้ค่า E ลดลง ด้าน"ก้องเกียรติ"ลั่นมีโอกาสดัชนีพุ่งไป 800 จุด หลังเม็ดเงินต่างชาติยังไหลเข้าต่อเนื่อง
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เปิดเผยว่า ตัวเลขค่าพีอี(P/E) ปัจจุบันของตลาดหุ้นไทยที่แสดงให้เห็นประมาณ 27 เท่า เป็นการคิดคำนวณจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนย้อนหลัง 4 ไตรมาสที่ผ่านมา นับตั้งแต่ไตรมาส 1-2
ของปี 2552 และ ไตรมาส 3-4 ของปี 2551 จึงทำให้ค่าของE ที่อยู่ในส่วนของกำไรลดลง จึงทำให้พีอีปัจจุบันสูงเกินกว่าสภาพความเป็นจริงในปัจจุบัน
"โดยปกติการคำนวณค่าพีอี จะคิดจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนย้อนหลังไป 4 ไตรมาส ซึ่งปัจจุบันยังไม่จบไตรมาส 3 ทำให้ต้องคิดย้อนกลับไปไตรมาส 1-2 ปีนี้ และย้อนไปไตรมาส 3-4 ของปีก่อน ซึ่งกำไรช่วงไตรมาส 4 ปีที่แล้วผลประกอบการลดลงมากติดลบประมาณ 9 หมื่นล้านบาท ทำให้ค่าของ E ที่เป็นกำไรปรับตัวลดลง จึงทำให้ค่าพีอีสูงขึ้น"นายสมบัติกล่าว
หากคำนวณค่าพีอีของปีนี้ประกอบกับการคิดผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่เป็นผลสำรวจจากนักวิเคราะห์หลายสำนักที่ส่งข้อมูลมายังสมาคมฯ ทำให้ตัวเลขผลกำไรของบจ.ในไตรมาส
3-4 ของปีนี้ จะอยู่ที่ประมาณ 2 แสนล้านบาท และหากรวมกำไรในไตรมาส 1-2 ของด้วยแล้ว จะทำให้ปีนี้บจ.จะมีกำไรประมาณ 4 แสนล้านบาท และสะท้อนออกมาให้รูปของค่าพีอีที่แท้จริงประมาณ 14 เท่า
"ผลสำรวจของสมาคมฯได้ตัวเลขจากนักวิเคราะห์สำนักต่างๆ ประเมินแล้ว พบว่ากำไรบจ.ปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 4 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่อยู่ในช่วงภาวะปกติ ของการดำเนินธุรกิจของบจ.ที่มีกำลังการผลิต ณ ปัจจุบัน และไม่มีกำไรรายการพิเศษเข้ามา ทำให้คำนวณค่าพีอีออกมาอยู่ที่ประมาณ 14 เท่า"นายสมบัติกล่าว
ด้าน ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บล.เอเซียพลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปีนี้มีโอกาสที่จะปรับขึ้นทดสอบ 800 จุด ได้ไม่ยาก เนื่องจากมองว่ายังคงมีกระแสเงินไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก แม้ว่าระหว่างทางจะมีการพักฐานบ้าง แต่เชื่อว่าในทุกครั้งที่มีการพักฐานจะยังคงมีกระแสเงินลงทุนใหม่เข้ามาผลักดันให้ดัชนีฯปรับตัวขึ้นได้
ทั้งนี้การที่ดัชนีฯจะปรับตัวขึ้นทดสอบ 800 จุดจะต้องอยู่ภายใต้สมมุติฐานเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวจริงและยั่งยืน ขณะที่เมื่อภาครัฐอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบภาคเอกชนจะสามารถฟื้นตัวขึ้นตามได้หรือไม่ ดังนั้นนักลงทุนจะต้องติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะภาวะเศรษฐกิจว่าจะสามารถฟื้นตัวต่อเนื่องได้หรือไม่ ซึ่งส่วนตัวคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะเห็นการฟื้นตัวต่อเนื่องจนถึงต้นปี 2553
สำหรับสิ่งที่นักลงทุนจะต้องจับตามองและยังคงมองเป็นปัจจัยเสี่ยงก็คือ ธนาคารพาณิชย์ยังคงทำงานอย่างไม่เต็มที่ ขณะที่ NPLของธนาคารพาณิชย์ยังคงมีอยู่จำนวนมาก จึงถือเป็นเรื่องที่ต้องติดตาม เพราะหากเศรษฐกิจเกิดการปรับตัวอย่างรุนแรงอาจจะทำให้ดัชนีฯปรับตัวลงแรงเช่นกัน
นอกจากนี้สถานการณ์การเมืองภายในประเทศก็ย่อมมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากปัจจุบันสถานการณ์ยังคงไม่รุนแรงมากนัก แต่ถ้าหากการเมืองเกิดทวีความรุนแรงขึ้นนักลงทุนต่างประเทศที่จะเข้ามาลงทุนทางตรงอาจจะชะลอการลงทุนออกไป และย้ายฐานการลงทุนไปยังประเทศอื่น ซึ่งตรงจุดนี้จะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นเช่นกัน
----------------------
วันที่ 22 ก.ย. 2552 แสดงข่าวมาแล้ว -1วัน 16ช.ม. 36นาที
http://www.kaohoon.com/pg.newspaper/fir ... ?cid=31558
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11443
- ผู้ติดตาม: 0
พีอีตลาดหลอกนักลงทุน
โพสต์ที่ 2
ผมว่าการคิด P/E ของตลาดที่ใช้ผลการดำเนินงาน 4 ไตรมาสย้อนหลังก็โอเคอยู่แล้ว
แต่การประมาณการผลการดำเนินงานในอนาคต เพื่อประเมินราคาหุ้นก็เป็นสิ่งที่นักลงทุนควรจะทำ และไม่ใช่ว่า ไตรมาสที่ 4 ปี 51 มีกำไรลดลงมาก เลยประเมินกำไรแค่ถึงไตรมาสที่ 4 ปี 52 เท่านั้น ถ้าทำอย่างนี้คงมีวัตถุประสงค์อื่นแอบแฝง
ส่วนเรื่องที่ตลาดนำแต่ผลการดำเนินงานของบริษัทที่มีกำไรมาคิด โดยไม่หักผลขาดทุนของบางบริษัทนั้น ปัจจุบันยังคิดลักษณะดังกล่าวอยู่หรือเปล่าละครับ
แต่การประมาณการผลการดำเนินงานในอนาคต เพื่อประเมินราคาหุ้นก็เป็นสิ่งที่นักลงทุนควรจะทำ และไม่ใช่ว่า ไตรมาสที่ 4 ปี 51 มีกำไรลดลงมาก เลยประเมินกำไรแค่ถึงไตรมาสที่ 4 ปี 52 เท่านั้น ถ้าทำอย่างนี้คงมีวัตถุประสงค์อื่นแอบแฝง
ส่วนเรื่องที่ตลาดนำแต่ผลการดำเนินงานของบริษัทที่มีกำไรมาคิด โดยไม่หักผลขาดทุนของบางบริษัทนั้น ปัจจุบันยังคิดลักษณะดังกล่าวอยู่หรือเปล่าละครับ
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
พีอีตลาดหลอกนักลงทุน
โพสต์ที่ 3
ค่า P/E เป็นเรื่องของความสัมพันธ์
ลองคิดถึงกำแพงสูง 1 เมตร จะเท่ากันสำหรับมดและควายไหม?
การเมืองและศาสนาก็เหมือนกัน
ล้วนเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ทั้งนั้น
ท่านแผ่วเบาท่านเขียนไว้อยางนี้ครับ
ที่จริงเรื่องนี้สร้างความเครียดให้ผมยาวนานหลายปีเลยทีเดียว
คือผมคิดว่า
แนวทางวีไอนั้น
มีหลักอยู่อย่างหนึ่ง คือเลือกหุ้นที่ undervalue
ซึ่งแนวทางนี้จะทำให้เรามีทางเลือกที่มากขึ้น
เพราะเราสามารถซื้อหุ้นที่คุณภาพไม่เยี่ยมนักได้ด้วยถ้าราคา undervalue มากๆ
การมองหาหุ้น growth หรือ greate นั้น
แน่นอนว่าหุ้นที่ไม่ดีนักจะถูกตัดทิ้งโดยอัตโนมัติ ทำให้เหลือทางเลือกไม่มาก
แต่ก็ใช่ว่าเราจะซื้อหุ้นดีๆเหล่านั้นได้ทุกราคา
ถ้า overvalue ไปแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นที่เราจะต้องซื้อ
แม้ชาร์ลี มังเกอร์จะมีกฏว่า
หุ้นที่ดีเลิศในราคาที่เหมาะสม
นั้นดีกว่ามากๆเมื่อเทียบกับ
หุ้นที่ดีปานกลางแต่ราคาดีเลิศก็ตาม
แต่ถ้าสังเกตุดู ก็จะพบว่าชาร์ลี มังเกอร์เองก็ไม่ได้บอกว่า
หุ้นที่ดีเลิศในราคาที่แย่มากๆ จะน่าลงทุนเสียเมื่อไหร่
การประเมินคุณค่าของหุ้นออกมาเป็นราคาที่เป็นตัวเลขที่ชัดเจน
เพื่อเทียบดูว่า undervalue อยู่ไหม
หรือ overvalue ไปแล้ว
จึงเป็นเรื่องสำคัญมากๆ
แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครสามารถตีราคาออกมาเป๊ะๆเป็นตัวเลขได้
ไม่ว่าจะใช้สูตรอะไรก็ตาม
ทั้ง DCF หรืออะไรที่ฮิตๆกันอยู่
หรือนำไปเทียบกับพันธบัตรที่มีความแน่นอนสูงมากๆ
ก็ยังไม่ได้ตัวเลขเป๊ะๆออกมา
สาเหตุคงเป็นเพราะว่า
คุณค่า(หรือมูลค่า)นั้น เราย่อมจะมองไกลออกไปในอนาคต
ซึ่งอนาคตนั้นมีสิ่งที่ไม่แน่นอนรออยู่
การคาดหวังย่อมมีน้ำหนักเป็นเพียงการคาดหวัง
การคาดเดาย่อมมีโอกาสพลาดเพราะเป็นการคาดเดา
การตีค่าออกมาเป๊ะๆจึงเป็นไปไม่ได้
ดร.นิเวศน์เองก็มองตัวเลขนี้เป็น "ตัวเลขในจินตนาการ"
ซึ่งอาจจะสัมผัสได้ด้วยจิตใจและความรู้สึก
แต่ไม่ใช่ไม้บรรทัด
ความเครียดที่ต้องการหามูลค่าที่แท้จริง(intrinsic value)
จึงยังคงอยู่เสมอมา
เราไม่จำเป็นต้องรู้มูลค่าสัมบูรณ์(absolute value)
เพราะในตลาดหุ้นนั้น
ค่าเหล่านี้มีให้เลือกมากมาย
เราเลือกค่าที่ under value มากกว่า
หรือมีค่า intrinsic มากกว่ามากๆ
ได้สบายๆ
ตราบใดที่มันยังอยู่ในกรอบที่เรายอมรับได้
เพราะค่าเหล่านี้มันเป็นความสัมพันธ์ (relative หรือค่าสัมพัทธ์)นั่นเอง
ลองคิดถึงกำแพงสูง 1 เมตร จะเท่ากันสำหรับมดและควายไหม?
การเมืองและศาสนาก็เหมือนกัน
ล้วนเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ทั้งนั้น
ท่านแผ่วเบาท่านเขียนไว้อยางนี้ครับ
ที่จริงเรื่องนี้สร้างความเครียดให้ผมยาวนานหลายปีเลยทีเดียว
คือผมคิดว่า
แนวทางวีไอนั้น
มีหลักอยู่อย่างหนึ่ง คือเลือกหุ้นที่ undervalue
ซึ่งแนวทางนี้จะทำให้เรามีทางเลือกที่มากขึ้น
เพราะเราสามารถซื้อหุ้นที่คุณภาพไม่เยี่ยมนักได้ด้วยถ้าราคา undervalue มากๆ
การมองหาหุ้น growth หรือ greate นั้น
แน่นอนว่าหุ้นที่ไม่ดีนักจะถูกตัดทิ้งโดยอัตโนมัติ ทำให้เหลือทางเลือกไม่มาก
แต่ก็ใช่ว่าเราจะซื้อหุ้นดีๆเหล่านั้นได้ทุกราคา
ถ้า overvalue ไปแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นที่เราจะต้องซื้อ
แม้ชาร์ลี มังเกอร์จะมีกฏว่า
หุ้นที่ดีเลิศในราคาที่เหมาะสม
นั้นดีกว่ามากๆเมื่อเทียบกับ
หุ้นที่ดีปานกลางแต่ราคาดีเลิศก็ตาม
แต่ถ้าสังเกตุดู ก็จะพบว่าชาร์ลี มังเกอร์เองก็ไม่ได้บอกว่า
หุ้นที่ดีเลิศในราคาที่แย่มากๆ จะน่าลงทุนเสียเมื่อไหร่
การประเมินคุณค่าของหุ้นออกมาเป็นราคาที่เป็นตัวเลขที่ชัดเจน
เพื่อเทียบดูว่า undervalue อยู่ไหม
หรือ overvalue ไปแล้ว
จึงเป็นเรื่องสำคัญมากๆ
แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครสามารถตีราคาออกมาเป๊ะๆเป็นตัวเลขได้
ไม่ว่าจะใช้สูตรอะไรก็ตาม
ทั้ง DCF หรืออะไรที่ฮิตๆกันอยู่
หรือนำไปเทียบกับพันธบัตรที่มีความแน่นอนสูงมากๆ
ก็ยังไม่ได้ตัวเลขเป๊ะๆออกมา
สาเหตุคงเป็นเพราะว่า
คุณค่า(หรือมูลค่า)นั้น เราย่อมจะมองไกลออกไปในอนาคต
ซึ่งอนาคตนั้นมีสิ่งที่ไม่แน่นอนรออยู่
การคาดหวังย่อมมีน้ำหนักเป็นเพียงการคาดหวัง
การคาดเดาย่อมมีโอกาสพลาดเพราะเป็นการคาดเดา
การตีค่าออกมาเป๊ะๆจึงเป็นไปไม่ได้
ดร.นิเวศน์เองก็มองตัวเลขนี้เป็น "ตัวเลขในจินตนาการ"
ซึ่งอาจจะสัมผัสได้ด้วยจิตใจและความรู้สึก
แต่ไม่ใช่ไม้บรรทัด
ความเครียดที่ต้องการหามูลค่าที่แท้จริง(intrinsic value)
จึงยังคงอยู่เสมอมา
เราไม่จำเป็นต้องรู้มูลค่าสัมบูรณ์(absolute value)
เพราะในตลาดหุ้นนั้น
ค่าเหล่านี้มีให้เลือกมากมาย
เราเลือกค่าที่ under value มากกว่า
หรือมีค่า intrinsic มากกว่ามากๆ
ได้สบายๆ
ตราบใดที่มันยังอยู่ในกรอบที่เรายอมรับได้
เพราะค่าเหล่านี้มันเป็นความสัมพันธ์ (relative หรือค่าสัมพัทธ์)นั่นเอง
- atsu
- Verified User
- โพสต์: 1218
- ผู้ติดตาม: 0
พีอีตลาดหลอกนักลงทุน
โพสต์ที่ 5
นักข่าวนี่พาดหัวข่าวเอามันอย่างเดียวเลย :xพีอีตลาดหลอกนักลงทุน
แต่ก็แปลกนะครับ ตอนราคาหุ้นตกมากๆ เพราะคนคาดว่ากำไร 2 ไตรมาสข้างหน้าจะไม่ดี
ซึ่งทำให้พีอีตลาดตอนนั้นต่ำมากๆ ไม่เห็นนักวิเคราะห์ออกมาบอกเลยว่า ที่พีอีต่ำเพราะคิดกำไร 4 ไตรมาสย้อนหลังนะ
มีแต่บอกว่าพีอีของเราต่ำอยู่ :lol:
แต่ที่ผมว่าน่ากลัวสุดๆน่าจะเป็นอันนี้มากกว่านะครับ
ด้าน ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บล.เอเซียพลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปีนี้มีโอกาสที่จะปรับขึ้นทดสอบ 800 จุด ได้ไม่ยาก เนื่องจากมองว่ายังคงมีกระแสเงินไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก แม้ว่าระหว่างทางจะมีการพักฐานบ้าง แต่เชื่อว่าในทุกครั้งที่มีการพักฐานจะยังคงมีกระแสเงินลงทุนใหม่เข้ามาผลักดันให้ดัชนีฯปรับตัวขึ้นได้
- kurapica
- Verified User
- โพสต์: 587
- ผู้ติดตาม: 0
พีอีตลาดหลอกนักลงทุน
โพสต์ที่ 10
ถ้าตลาดจะไปถึง 800 จริง อย่างที่ท่านบอก แล้วพี่ถา กั๊กเงินไว้ทำไมล่ะครับ เก็บของวันล่ะหน่อมแน้ม แถมวันดีคืนดีเทออกมาอีก ปล่อยให้น้องย่อยกับพี่หรั่งลุยกันไปเรื่อย หรือว่าท่านเก็บเงินไว้ซื้อตอน 800 จุด กันรึไงหาาาา...
คำพูดกับการกระทำมันช่างสวนทางกันซะจริงๆ
คำพูดกับการกระทำมันช่างสวนทางกันซะจริงๆ
ยอดดอยอยู่ไหนจ๊ะ ขึ้นมามากแล้วนะ
- kmphol
- Verified User
- โพสต์: 417
- ผู้ติดตาม: 0
พีอีตลาดหลอกนักลงทุน
โพสต์ที่ 11
ปีทีแล้ว ที่ 380 จุด PE ตลาด 6เท่ากว่า
ผ่านมา 1 ปี set 730 จุด ขึ้นมา90%
แต่ PE ตลาด 28 เท่า ขึ้นมา 300%
งง ครับ ไม่รู้ว่า PE หลอก หรือว่า ดัชนีกันแน่ที่หลอก
แต่ถ้านักวิเคราะห์ บอกว่า PE จริงยังปกติ แล้วก็บอกว่าเศรษฐกิจมันฟื้นดี ให้ราคาเป้าหมาย เท่าโน้น เท่านี้ เท่านั้น
ก็น่าจะถึงเวลาเผ่นได้แล้ว
ผ่านมา 1 ปี set 730 จุด ขึ้นมา90%
แต่ PE ตลาด 28 เท่า ขึ้นมา 300%
งง ครับ ไม่รู้ว่า PE หลอก หรือว่า ดัชนีกันแน่ที่หลอก
แต่ถ้านักวิเคราะห์ บอกว่า PE จริงยังปกติ แล้วก็บอกว่าเศรษฐกิจมันฟื้นดี ให้ราคาเป้าหมาย เท่าโน้น เท่านี้ เท่านั้น
ก็น่าจะถึงเวลาเผ่นได้แล้ว