การเมืองไทยผลออกมาแบบนี้ ปลายปีนี้คิดว่า SET จะเป็นอย่างไร
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3653
- ผู้ติดตาม: 0
การเมืองไทยผลออกมาแบบนี้ ปลายปีนี้คิดว่า SET จะเป็นอย่างไร
โพสต์ที่ 3
SET จะเป็นอย่างไรผมไม่สนครับ เพราะผมไม่ได้ซื้อ SET
ประเด็นคือ ถ้าเราเลือกกิจการเหมือนเลือกต้นไม้ที่ทนทานได้ทั้ง 3-4 ฤดู
เราก็ไม่จำเป็นต้องไปสนใจครับ ว่าตอนนี้เป็นฤดูอะไร
ประเด็นคือ ถ้าเราเลือกกิจการเหมือนเลือกต้นไม้ที่ทนทานได้ทั้ง 3-4 ฤดู
เราก็ไม่จำเป็นต้องไปสนใจครับ ว่าตอนนี้เป็นฤดูอะไร
- Flashy
- Verified User
- โพสต์: 295
- ผู้ติดตาม: 0
การเมืองไทยผลออกมาแบบนี้ ปลายปีนี้คิดว่า SET จะเป็นอย่างไร
โพสต์ที่ 5
ตอนนี้ผมลงทุนในหุ้นที่เป็น cyclical แกร่งๆ เป็นหลัก
หวังว่า SET อีกอย่างน้อย3ปีข้างหน้าจะเด้งแรงๆ
ดังนั้น ปีนี้set เท่าไหร่ ไม่สน
ปล. ไหนๆก็เอาหน่อย
550 ปลายปีนี้...พูดลอยๆ ไม่เชื่ออะดิ :D
หวังว่า SET อีกอย่างน้อย3ปีข้างหน้าจะเด้งแรงๆ
ดังนั้น ปีนี้set เท่าไหร่ ไม่สน
ปล. ไหนๆก็เอาหน่อย
550 ปลายปีนี้...พูดลอยๆ ไม่เชื่ออะดิ :D
-
- Verified User
- โพสต์: 1254
- ผู้ติดตาม: 0
การเมืองไทยผลออกมาแบบนี้ ปลายปีนี้คิดว่า SET จะเป็นอย่างไร
โพสต์ที่ 6
ปลายปีเซียนหุ้นหลายท่านทำนายว่าจะลงแรงนะครับ ปัญหามาจากงบประมาณกระตุ้นศก.ในช่วง3-6เดือนข้างหน้าประมาณแสนห้าหมื่อนล้านบาทนั้นไม่เพียงพอที่ช่วยโอบอุ้มภาวะศก.ไว้ได้ครับและอาจจะเลี่ยงภาวะเงินฝืดได้ยากครับ ที่สำคัญหนี้บัตรเครดิตของชาวสหรัฐดูเหมือนจะเป็นระเบิดลูกใหญ่ที่เรงว่าจะระเบิด
ตลาดหุ้นซึมขึ้นเรื่อยๆแบบนี้ก็น่าจะshortไว้บ้างเหมือนกันครับผมว่า :8)
ตลาดหุ้นซึมขึ้นเรื่อยๆแบบนี้ก็น่าจะshortไว้บ้างเหมือนกันครับผมว่า :8)
-
- Verified User
- โพสต์: 311
- ผู้ติดตาม: 0
การเมืองไทยผลออกมาแบบนี้ ปลายปีนี้คิดว่า SET จะเป็นอย่างไร
โพสต์ที่ 7
ช่วงนี้คนรับรู้หมดแล้วว่าเศรษฐกิจไม่ดี การเมืองแย่
แต่ตลาดหุ้นอาจมองข้ามชอร์ตไปแล้ว เลยขึ้นซะ
รายย่อยมองว่าเดี๋ยวมันก็ลงมาให้ซื้ออีก ก็เลยขายซะ
สุดท้ายพอมันขึ้นจริง ก็ไปรับกันอีกที่ยอดดอย
ขอเดาไปเรื่อยเอามันละกัน
แต่ตลาดหุ้นอาจมองข้ามชอร์ตไปแล้ว เลยขึ้นซะ
รายย่อยมองว่าเดี๋ยวมันก็ลงมาให้ซื้ออีก ก็เลยขายซะ
สุดท้ายพอมันขึ้นจริง ก็ไปรับกันอีกที่ยอดดอย
ขอเดาไปเรื่อยเอามันละกัน
-
- Verified User
- โพสต์: 112
- ผู้ติดตาม: 0
ราคาบ้านในอเมริกาฟื้นตัวเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน
โพสต์ที่ 8
ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ AREA ติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นเขตเศรษฐกิจสำคัญที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและไทยโดยรวมมาอย่างต่อเนื่องทุกเดือน สำหรับในเดือนที่มีรายงานล่าสุดคือ ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2552 นั้นพบว่า ราคาที่อยู่อาศัยในสหรัฐอเมริกา ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 2 แล้ว นับจากเดือนมกราคมที่ผ่านมา ที่ทางศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ AREA ได้นำเสนอใน AREA แถลง ฉบับที่ 9/2552 เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2552
ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2552 ราคาที่อยู่อาศัยในสหรัฐอเมริกาโดยรวมปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 0.7% ในขณะที่เดือนมกราคมที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.7% ทั้งนี้เป็นการประมวลผลขององค์กรการเงินเคหะการแห่งสหรัฐอเมริกา (Federal Housing Finance Agency) ณ กรุงวอชิงตัน ซึ่งทำการสำรวจข้อมูลต่อเนื่องเป็นรายเดือนเช่นเดียวกับศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ AREA ในประเทศไทย
หากเปรียบเทียบจากข้อมูลในอดีต โดยเทียบข้อมูลราคาบ้านเดือนกุมภาพันธ์ 2551 กับเดือนกุมภาพันธ์ 2552 หรือในช่วง 1 ปีล่าสุด จะพบว่าราคาที่อยู่ปรับตัวลดลง 6.5% และยิ่งเทียบกับช่วงที่ราคาที่อยู่อาศัยสูงสุดในเดือนเมษายน 2550 แล้ว จะพบว่าราคาที่อยู่อาศัย ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ปรับตัวลดลง 9.5% ราคาบ้านในขณะนี้เท่ากับราคาในช่วงเดือนเมษายน 2548 ซึ่งเป็นช่วง 2 ปีก่อนเกิดวิกฤติในเดือนเมษายน 2550
พื้นที่ที่เลวร้ายที่สุดยังอยู่ในบริเวณภาคตะวันตกของสหรัฐอเมริกาแถบรัฐชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก อันได้แก่มลรัฐฮาวาย อลาสกา วอชิงตัน โอเรกอนและโดยเฉพาะแคลิฟอร์เนีย โดยในพื้นที่แถบนี้ ราคาบ้านลดลง 19.1% ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2551-กุมภาพันธ์ 2552 นอกจากนี้กลุ่มมลรัฐที่ตกต่ำค่อนข้างหนัก ได้แก่ มลรัฐแถบเทือกเขา อันได้แก่ เนวาดา ยูทา อริโซนา นิวเม็กซิโกและอื่น ๆ โดยตกต่ำในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาประมาณ 9.2% รองลงมาได้แก่กลุ่มมลรัฐแถบมหาสมุทรแอตแลนติกทางด้านใต้ อันได้แก่มลรัฐฟลอริดา และจอร์เจีย เป็นอาทิ
ในทางตรงกันข้าม พื้นที่ที่ปรากฏว่าราคาบ้านยังเพิ่มขึ้นได้แก่ บริเวณตอนกลางของประเทศที่ค่อนมาทางตะวันตกเฉียงใต้ อันประกอบด้วยมลรัฐโอกลาโฮมา อาร์คันซอส์ เท็กซัสและหลุยเซียนา โดยในพื้นที่แถบนี้ ราคาบ้านกลับเพิ่มขึ้น 0.6% ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเท่ากับว่าไม่ได้ลดลง แต่ก็แทบไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด นอกนั้นในพื้นที่อื่นของสหรัฐอเมริกา แม้ว่าราคาจะลดลง แต่ก็ลดลงเพีย 2-4% ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาเท่านั้น แสดงให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงราคาที่อยู่อาศัยในสหรัฐอเมริกานั้น แม้จะมีแนวโน้มลดลงโดยรวม แต่ก็มีอาการหนัก-เบาตามแต่ละพื้นที่
ในส่วนของการวิเคราะห์ของศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ AREA โดยหากถือข้อมูลตามนี้ ก็แสดงว่า ในรอบ 2 เดือนแรกของปี 2552 ราคาที่อยู่อาศัยในสหรัฐอเมริกาปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.4% แล้ว หรือเฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 1.2% ต่อเดือน หากภาวะการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เชื่อว่า ตลาดที่อยู่อาศัยในสหรัฐอเมริกาจะฟื้นตัวเร็วในเวลาไม่เกิน 1 ปี และการที่ตลาดที่อยู่อาศัยฟื้นตัวเช่นนี้ แสดงถึงระบบเศรษฐกิจของสหรัฐอาจได้รับการแก้ไข 'ถูกทาง' มากขึ้น
อย่างไรก็ตามการฟื้นตัวในรอบ 2 เดือนที่ผ่านมาอาจเป็นเพียงปรากฎการณ์ในช่วง 'ฮันนีมูน' ของการเข้ารับตำแหน่งของนายโอบามา ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกาหรือไม่ ก็ยังไม่แน่ชัด จากการที่ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ AREA ได้พบกับคณะผู้เชี่ยวชาญการประเมินค่าทรัพย์สินของสหรัฐที่เดินทางมาดูงานในประเทศไทยตั้งแต่เมื่อวานนี้ในฐานะแขกของศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ AREA พบว่า เศรษฐกิจของสหรัฐยังอยู่ในภาวะน่าเป็นห่วง คาดว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรม 'กระดูกสันหลัง' ประเภทหนึ่งของสหรัฐอเมริกา อาจพังลงได้ เนื่องจากบริษัทยานยนต์ขนาดใหญ่ของสหรัฐอเมริกาเอง อาจจะประกาศล้มละลายภายในเร็ววันนี้
ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2552 ราคาที่อยู่อาศัยในสหรัฐอเมริกาโดยรวมปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 0.7% ในขณะที่เดือนมกราคมที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.7% ทั้งนี้เป็นการประมวลผลขององค์กรการเงินเคหะการแห่งสหรัฐอเมริกา (Federal Housing Finance Agency) ณ กรุงวอชิงตัน ซึ่งทำการสำรวจข้อมูลต่อเนื่องเป็นรายเดือนเช่นเดียวกับศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ AREA ในประเทศไทย
หากเปรียบเทียบจากข้อมูลในอดีต โดยเทียบข้อมูลราคาบ้านเดือนกุมภาพันธ์ 2551 กับเดือนกุมภาพันธ์ 2552 หรือในช่วง 1 ปีล่าสุด จะพบว่าราคาที่อยู่ปรับตัวลดลง 6.5% และยิ่งเทียบกับช่วงที่ราคาที่อยู่อาศัยสูงสุดในเดือนเมษายน 2550 แล้ว จะพบว่าราคาที่อยู่อาศัย ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ปรับตัวลดลง 9.5% ราคาบ้านในขณะนี้เท่ากับราคาในช่วงเดือนเมษายน 2548 ซึ่งเป็นช่วง 2 ปีก่อนเกิดวิกฤติในเดือนเมษายน 2550
พื้นที่ที่เลวร้ายที่สุดยังอยู่ในบริเวณภาคตะวันตกของสหรัฐอเมริกาแถบรัฐชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก อันได้แก่มลรัฐฮาวาย อลาสกา วอชิงตัน โอเรกอนและโดยเฉพาะแคลิฟอร์เนีย โดยในพื้นที่แถบนี้ ราคาบ้านลดลง 19.1% ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2551-กุมภาพันธ์ 2552 นอกจากนี้กลุ่มมลรัฐที่ตกต่ำค่อนข้างหนัก ได้แก่ มลรัฐแถบเทือกเขา อันได้แก่ เนวาดา ยูทา อริโซนา นิวเม็กซิโกและอื่น ๆ โดยตกต่ำในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาประมาณ 9.2% รองลงมาได้แก่กลุ่มมลรัฐแถบมหาสมุทรแอตแลนติกทางด้านใต้ อันได้แก่มลรัฐฟลอริดา และจอร์เจีย เป็นอาทิ
ในทางตรงกันข้าม พื้นที่ที่ปรากฏว่าราคาบ้านยังเพิ่มขึ้นได้แก่ บริเวณตอนกลางของประเทศที่ค่อนมาทางตะวันตกเฉียงใต้ อันประกอบด้วยมลรัฐโอกลาโฮมา อาร์คันซอส์ เท็กซัสและหลุยเซียนา โดยในพื้นที่แถบนี้ ราคาบ้านกลับเพิ่มขึ้น 0.6% ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเท่ากับว่าไม่ได้ลดลง แต่ก็แทบไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด นอกนั้นในพื้นที่อื่นของสหรัฐอเมริกา แม้ว่าราคาจะลดลง แต่ก็ลดลงเพีย 2-4% ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาเท่านั้น แสดงให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงราคาที่อยู่อาศัยในสหรัฐอเมริกานั้น แม้จะมีแนวโน้มลดลงโดยรวม แต่ก็มีอาการหนัก-เบาตามแต่ละพื้นที่
ในส่วนของการวิเคราะห์ของศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ AREA โดยหากถือข้อมูลตามนี้ ก็แสดงว่า ในรอบ 2 เดือนแรกของปี 2552 ราคาที่อยู่อาศัยในสหรัฐอเมริกาปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.4% แล้ว หรือเฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 1.2% ต่อเดือน หากภาวะการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เชื่อว่า ตลาดที่อยู่อาศัยในสหรัฐอเมริกาจะฟื้นตัวเร็วในเวลาไม่เกิน 1 ปี และการที่ตลาดที่อยู่อาศัยฟื้นตัวเช่นนี้ แสดงถึงระบบเศรษฐกิจของสหรัฐอาจได้รับการแก้ไข 'ถูกทาง' มากขึ้น
อย่างไรก็ตามการฟื้นตัวในรอบ 2 เดือนที่ผ่านมาอาจเป็นเพียงปรากฎการณ์ในช่วง 'ฮันนีมูน' ของการเข้ารับตำแหน่งของนายโอบามา ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกาหรือไม่ ก็ยังไม่แน่ชัด จากการที่ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ AREA ได้พบกับคณะผู้เชี่ยวชาญการประเมินค่าทรัพย์สินของสหรัฐที่เดินทางมาดูงานในประเทศไทยตั้งแต่เมื่อวานนี้ในฐานะแขกของศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ AREA พบว่า เศรษฐกิจของสหรัฐยังอยู่ในภาวะน่าเป็นห่วง คาดว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรม 'กระดูกสันหลัง' ประเภทหนึ่งของสหรัฐอเมริกา อาจพังลงได้ เนื่องจากบริษัทยานยนต์ขนาดใหญ่ของสหรัฐอเมริกาเอง อาจจะประกาศล้มละลายภายในเร็ววันนี้
" บทเรียนที่สำคัญที่สุดในการลงทุนก็คือการมองหุ้นที่ซื้อขายกันอยู่ในตลาดเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจ ไม่ใช่สิ่งที่มีราคาขึ้นๆ ลงๆ