ตั้งคำถามเกี่ยวกับ VI ที่เก่งกาจ
-
- Verified User
- โพสต์: 72
- ผู้ติดตาม: 0
ตั้งคำถามเกี่ยวกับ VI ที่เก่งกาจ
โพสต์ที่ 1
ผมอยากทราบว่าในกรณีที่ VI ทุกท่านมีข้อมูลที่เท่ากันไม่ว่าจากการหาข่าว Insider
แล้วแจ้งใน Web board หรืออะไรก็ตามแต่
เอาเป็นว่าข้อมูลทุกท่านเท่ากันแล้วกัน
คำถามคือใครเป็นผู้ชนะในการลงทุนครั้งนี้ครับ
ช่วยตอบเป็นแนวทางในการลงทุนให้ผมโต๊ยคร๊าบ พี่ ๆ
....แล้วผมจะเป็นผู้ที่ชนะได้อย่างไรครับ ส่วนคำตอบของผมคือ
...ผู้ที่กล้าเข้าไปรับความเสี่ยงที่สุดใช่ใหมครับ
แล้วถ้าอย่างนั้นจะต่างกับการเก็งกำไร หรือการพนันอย่างไรครับ
-----------------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณสำหรับแกะ ที่ช่วยแพะหลงทางจ้า
แล้วแจ้งใน Web board หรืออะไรก็ตามแต่
เอาเป็นว่าข้อมูลทุกท่านเท่ากันแล้วกัน
คำถามคือใครเป็นผู้ชนะในการลงทุนครั้งนี้ครับ
ช่วยตอบเป็นแนวทางในการลงทุนให้ผมโต๊ยคร๊าบ พี่ ๆ
....แล้วผมจะเป็นผู้ที่ชนะได้อย่างไรครับ ส่วนคำตอบของผมคือ
...ผู้ที่กล้าเข้าไปรับความเสี่ยงที่สุดใช่ใหมครับ
แล้วถ้าอย่างนั้นจะต่างกับการเก็งกำไร หรือการพนันอย่างไรครับ
-----------------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณสำหรับแกะ ที่ช่วยแพะหลงทางจ้า
- Renne
- Verified User
- โพสต์: 322
- ผู้ติดตาม: 0
ตั้งคำถามเกี่ยวกับ VI ที่เก่งกาจ
โพสต์ที่ 2
ความสามารถในการวิเคราะห์และ "ดวง" ครับ
ข้อมูลเหมือนกันใช่ว่าวิเคราะห์เหมือนกันครับ
ที่สำคัญ "ผู้ที่กล้าเข้าไปรับความเสี่ยงที่สุด" ผมจะมองว่าเขาคนนั้นไม่ใช่ VI ครับ
VIส่วนมากลงทุนในกิจการที่รู้จักดี มีการเผื่อmargin safety
และซื้อในราคาต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน
(ซึ่งส่วนนี้ต้องอาศัยการวิเคราะห์ของแต่ละคน
หลักการดูและวิเคราะห์ก็ไม่ได้มีแบบเดียว
แต่ละคนก็มีเทคนิคส่วนตัว)
ทำให้การลงทุนมีความเสี่ยงต่ำมากครับ
ข้อมูลเหมือนกันใช่ว่าวิเคราะห์เหมือนกันครับ
ที่สำคัญ "ผู้ที่กล้าเข้าไปรับความเสี่ยงที่สุด" ผมจะมองว่าเขาคนนั้นไม่ใช่ VI ครับ
VIส่วนมากลงทุนในกิจการที่รู้จักดี มีการเผื่อmargin safety
และซื้อในราคาต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน
(ซึ่งส่วนนี้ต้องอาศัยการวิเคราะห์ของแต่ละคน
หลักการดูและวิเคราะห์ก็ไม่ได้มีแบบเดียว
แต่ละคนก็มีเทคนิคส่วนตัว)
ทำให้การลงทุนมีความเสี่ยงต่ำมากครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 72
- ผู้ติดตาม: 0
ขอบคุณครับ
โพสต์ที่ 3
พอเข้าใจครับ แต่ความสามารถในการวิเคราะห์ของแต่ละท่านก็ไม่เท่ากัน
ทำให้ระดับความเสี่ยงไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้น
ผมก็เลยคิดว่าในการตัดสินใจแต่ละครั้งนั้นนักลงทุนแนว VI
เมื่อตัดสินใจไปแล้วที่เหลือก็แล้วแต่ "ดวง"
เพราะฉะนั้นผมก็เลยมองว่านักลงทุนแนว VI
ก็ต้องเป็นนักพนันด้วยส่วนหนึ่ง และนักเก็งกำไรด้วยส่วนหนึ่ง
หลังจากที่ทำการลดความเสี่ยงด้วยการตัดสินใจแต่ละท่านแล้ว
เพราะฉะนั้นผมจะสรุปได้ใหมว่า ดร. ของเรา และนักลงทุนแนว VI
ที่สำเร็จแต่ละท่าน เป็นนักวิเคราะห์เพื่อลดความเสี่ยงได้ดี
และเป็นนักพนันที่รับความเสี่ยงได้สูงอยู่ในตัวครับ
-------------------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณสำหรับแกะ ช่วยแพะตัวนี้ครับ
ทำให้ระดับความเสี่ยงไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้น
ผมก็เลยคิดว่าในการตัดสินใจแต่ละครั้งนั้นนักลงทุนแนว VI
เมื่อตัดสินใจไปแล้วที่เหลือก็แล้วแต่ "ดวง"
เพราะฉะนั้นผมก็เลยมองว่านักลงทุนแนว VI
ก็ต้องเป็นนักพนันด้วยส่วนหนึ่ง และนักเก็งกำไรด้วยส่วนหนึ่ง
หลังจากที่ทำการลดความเสี่ยงด้วยการตัดสินใจแต่ละท่านแล้ว
เพราะฉะนั้นผมจะสรุปได้ใหมว่า ดร. ของเรา และนักลงทุนแนว VI
ที่สำเร็จแต่ละท่าน เป็นนักวิเคราะห์เพื่อลดความเสี่ยงได้ดี
และเป็นนักพนันที่รับความเสี่ยงได้สูงอยู่ในตัวครับ
-------------------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณสำหรับแกะ ช่วยแพะตัวนี้ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2712
- ผู้ติดตาม: 0
ตั้งคำถามเกี่ยวกับ VI ที่เก่งกาจ
โพสต์ที่ 4
ถ้าลืมคำว่า insider information
ถ้าลืมคำว่า เจ้ามือมาแล้ว
ถ้าลืมความรู้สึกที่ทำให้เราใช้อารมณ์ มากกว่าใช้สติ และสมอง
แล้วอย่าลืม ที่จะชนะตัวเราเองครับ
วางเป้าหมายในการลงทุนให้ตนเอง
แล้วค่อยๆลงทุน ค่อยๆศึกษา
ความสุขในการลงทุนคงอยู่ไม่ไกลครับ
มีความสุขกับการลงทุนหุ้นคุณค่านะครับผม
ถ้าลืมคำว่า เจ้ามือมาแล้ว
ถ้าลืมความรู้สึกที่ทำให้เราใช้อารมณ์ มากกว่าใช้สติ และสมอง
แล้วอย่าลืม ที่จะชนะตัวเราเองครับ
วางเป้าหมายในการลงทุนให้ตนเอง
แล้วค่อยๆลงทุน ค่อยๆศึกษา
ความสุขในการลงทุนคงอยู่ไม่ไกลครับ
มีความสุขกับการลงทุนหุ้นคุณค่านะครับผม
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
- Renne
- Verified User
- โพสต์: 322
- ผู้ติดตาม: 0
ตั้งคำถามเกี่ยวกับ VI ที่เก่งกาจ
โพสต์ที่ 6
เห็นด้วยกับคุณbsuntakuในหลายข้อครับ แต่ก็มีบางส่วนที่แตกต่างกันบ้าง
ในความเข้าใจของผม ผมว่าเรื่องส่วนของการพนัน กับลงทุน บางครั้งมันก็คล้ายๆแต่มันก็ต่างกันนะครับ
ผมมองว่าการพนันเป็นอะไรที่เราวัดกับดวงเราล้วนๆโดยไม่อาศัยการวิเคราะห์อะไร(ในความเข้าใจผมนะ) ส่วนการลงทุนกับการเก็งกำไรส่วนนี้ผมว่าคงแล้วแต่การมองของแต่ละคน ผมมองว่าเก็งกำไีรคงดูในแง่ของราคาของตัวหุ้นที่เปลี่ยนไป ส่วนการลงทุนผมมองว่าเราไม่ได้ให้น้ำหนักไปที่ราคาหุ้นทั้งหมด แต่เรามองไปถึงเรื่องของปันผลและการอยู่อย่างยั่งยืนน่ะครับ
ในความเป็นจริงผมก็เชื่อว่าหลายคนก็เป็นนักเก็งกำไร+นักลงทุนในตัวครับ ซึ่ง ผมไม่คิดว่านี่เป็นการพนันครับ
แน่นอนว่าทุกอย่างมีความเสี่ยง และหลายอย่างมีบางปัจจัยซึ่งเราไม่สามารถควบคุมได้ ผมขอเรียกว่าความไม่แน่นอนนะครับ (ในทางวิทยาศาสตร์ หรือฟิสิกส์ก็ยังมีตัวแปรนี้เลย)
ในแง่ของความสำเร็จหรือประสบชัยชนะที่ผมบอกว่าดวงมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยนั้น จะเกี่ยวข้องกับปัจจัยในส่วนที่เราไม่สามารถควบคุมได้ เช่น อนาึคต หรือการซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำ แน่นอนว่าVIทุกคนพยายามซื้อเมื่้อหุ้นราคาต่ำกว่าพื้นฐาน แต่โอกาสในการซื้อหุ้นในราคาต่างๆซึ่งต่ำในความคิดของแต่ละคนแล้วย่อมๆไม่เหมือนกัน (ในทางกลับกัน บางคนยอมซื้อหุ้นในราคาที่ถึงคิดว่าแพงแต่มันก็มีโอกาสเติบโตได้สูงหรือทำกำไรได้มากขึ้นในอนาคต)
เป็นความจริงครับที่ความสามารถในการวิเคราะห์ของแต่ละคนไม่เท่ากันย่อมทำให้ความเสี่ยงที่ได้รับแตกต่างกัน แต่ไม่ว่าจะเป็นใครผมมองว่าVIทุกท่านไม่ว่าจะมีความสามารถในการวิเคราะห์แบบไหนย่อมพยายามที่จะลงทุนหรือซื้อหุ้นที่ตนคิดว่ามีความเสี่ยงต่ำครับ
การที่จะมองว่าใครชนะนั้น ก็ต้องดูครับว่าชนะแบบไหน ชนะในแง่พอร์ตโตที่สุดเมื่อเทียบกับเวลาที่ใช้ลงทุนเท่ากัน หรือในภาวะเศรษฐกิจที่ตกแล้วตกอีก แต่พอร์ตของใครที่ยังได้ปันผลจากหุ้นที่ลงทุนได้ดีสม่ำเสมอและราคาหุ้นตกลงน้อยที่สุดทั้งๆที่ก่อนหน้านี้พอร์ตอาจจะโตไม่มาก หรือพอร์ตติดลบน้อยที่สุด และอื่นๆ ผมคิดว่าชนะมีหลายความหมายครับ
แต่ไม่ว่าจะชนะแบบไหน ผมยังคงมองว่า คนที่ชนะคือคนที่ควบคุมความเสี่ยงและวิเคราะห์ได้ดี การที่กล้าเข้าไปรับความเสี่ยงมากที่สุด High risk, High Returnนั้น มันก็เป็นจริงส่วนหนึ่งครับ แต่ผมยังคงมองว่าการเข้าไปรับความเสี่ยงสูงนั้นขัดกับหลักการของVIครับ เพราะหลักVIคือจะยอมไม่ขาดทุน
ทีนี้การมองว่า การเป็นผู้กล้าที่จะเข้าไปรับความเสี่ยงสูงที่สุด ของคุณbsuntaku กับผมนั้นอาจจะมองต่างกัน(หรือเหมือนกัน)
การเป็นผู้กล้าเข้าไปรับความเสี่ยงสูงที่สุดสำหรับผม หมายถึงคนที่กล้าเข้าไปเล่นกับหุ้่นปั่น แต่ในกรณีของVIนั้น ถ้าตามหลักที่ผมใช้และพยายามยึดหลักคือ ลงทุนในหุ้นที่เราเข้าใจมากที่สุด(ฉะนั้นการเข้าไปรับความเสี่ยงสูงที่สุดสำหรับผมคือการลงทุนในหุ้นที่ไม่รู้จักเลยแม้แต่น้อย ทำให้ผมมองว่าไม่สามารถที่จะทำให้ผมชนะได้ครับ)
ตัวผมเองยอมรับว่าเป็นนักเก็งกำไรระดับหนึ่่งครับ คือถ้าหุ้นดีดขึ้นมากอย่างมีนัยเช่น มีการเก็งกำไรหุ้นที่ผมถืออย่างสูงทำให้ราคาขยับขึ้นไปมากๆ(ซึ่งเป็นไปได้ยากมาก เพราะหุ้นที่ผมถือพวกเก็งกำไรแทบไม่สนใจกันเท่าไหร่ครับ ^^") แต่ถ้าเกิดในกรณีอย่างว่า ผมก็จะชิงขายทำกำไรแล้วค่อยรอซื้อใหม่ครับ เพราะผมเชื่อว่าราคามันต้องปรับลงมาตามพื้นฐานถึงอาจจะไม่ถูกกว่าเดิม แต่ก็ยังสามารถลงมาถึงจุดที่เรียกว่าถูก (อาจจะขัดกับVIหลายท่าน เพราะหลายๆท่านอาจจะไม่สนใจเลย และถือต่อโดยไม่าย ฉะนั้นผมเองก็ไม่กล้าจะบอกว่าผมเป็นVIครับ^^" พันธุ์ทางนิดๆ)
สุดท้ายสำหรับVI ผมมองว่าการจะเป็นผู้ชนะ ผมให้น้ำหนักกับการวิเคราะห์มากกว่าดวงพอสมควรครับ แต่ถ้าจะวัดการเป็นผู้ชนะ(ถ้าจะจัดเป็นอันดับ)ยังไงดวงก็มีผลครับ
สงสัยหรือหากเห็นต่างกัน สามารถพิมพ์แย้งได้นะครับ:) ผมชอบการเห็นต่างเพราะจะทำให้ผมได้เรียนรู้มากขึ้น และสำหรับที่เว็บแห่งนี้ ผมมองว่าทั้งพี่ๆเพื่อนๆ(แต่คงไม่มีน้องหรอกมั้ง เพราะผมเองก็ยังอายุไม่มากและประสบการณ์ไม่มาก ฮา)แต่ละคนคุยกันด้วยเหตุผลและยอมรับความคิดเห็นซึ่งกันละกัน ซึ่งผมมองว่าหาได้ยากในสังคมสมัยนี้ ^^
ในความเข้าใจของผม ผมว่าเรื่องส่วนของการพนัน กับลงทุน บางครั้งมันก็คล้ายๆแต่มันก็ต่างกันนะครับ
ผมมองว่าการพนันเป็นอะไรที่เราวัดกับดวงเราล้วนๆโดยไม่อาศัยการวิเคราะห์อะไร(ในความเข้าใจผมนะ) ส่วนการลงทุนกับการเก็งกำไรส่วนนี้ผมว่าคงแล้วแต่การมองของแต่ละคน ผมมองว่าเก็งกำไีรคงดูในแง่ของราคาของตัวหุ้นที่เปลี่ยนไป ส่วนการลงทุนผมมองว่าเราไม่ได้ให้น้ำหนักไปที่ราคาหุ้นทั้งหมด แต่เรามองไปถึงเรื่องของปันผลและการอยู่อย่างยั่งยืนน่ะครับ
ในความเป็นจริงผมก็เชื่อว่าหลายคนก็เป็นนักเก็งกำไร+นักลงทุนในตัวครับ ซึ่ง ผมไม่คิดว่านี่เป็นการพนันครับ
แน่นอนว่าทุกอย่างมีความเสี่ยง และหลายอย่างมีบางปัจจัยซึ่งเราไม่สามารถควบคุมได้ ผมขอเรียกว่าความไม่แน่นอนนะครับ (ในทางวิทยาศาสตร์ หรือฟิสิกส์ก็ยังมีตัวแปรนี้เลย)
ในแง่ของความสำเร็จหรือประสบชัยชนะที่ผมบอกว่าดวงมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยนั้น จะเกี่ยวข้องกับปัจจัยในส่วนที่เราไม่สามารถควบคุมได้ เช่น อนาึคต หรือการซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำ แน่นอนว่าVIทุกคนพยายามซื้อเมื่้อหุ้นราคาต่ำกว่าพื้นฐาน แต่โอกาสในการซื้อหุ้นในราคาต่างๆซึ่งต่ำในความคิดของแต่ละคนแล้วย่อมๆไม่เหมือนกัน (ในทางกลับกัน บางคนยอมซื้อหุ้นในราคาที่ถึงคิดว่าแพงแต่มันก็มีโอกาสเติบโตได้สูงหรือทำกำไรได้มากขึ้นในอนาคต)
เป็นความจริงครับที่ความสามารถในการวิเคราะห์ของแต่ละคนไม่เท่ากันย่อมทำให้ความเสี่ยงที่ได้รับแตกต่างกัน แต่ไม่ว่าจะเป็นใครผมมองว่าVIทุกท่านไม่ว่าจะมีความสามารถในการวิเคราะห์แบบไหนย่อมพยายามที่จะลงทุนหรือซื้อหุ้นที่ตนคิดว่ามีความเสี่ยงต่ำครับ
การที่จะมองว่าใครชนะนั้น ก็ต้องดูครับว่าชนะแบบไหน ชนะในแง่พอร์ตโตที่สุดเมื่อเทียบกับเวลาที่ใช้ลงทุนเท่ากัน หรือในภาวะเศรษฐกิจที่ตกแล้วตกอีก แต่พอร์ตของใครที่ยังได้ปันผลจากหุ้นที่ลงทุนได้ดีสม่ำเสมอและราคาหุ้นตกลงน้อยที่สุดทั้งๆที่ก่อนหน้านี้พอร์ตอาจจะโตไม่มาก หรือพอร์ตติดลบน้อยที่สุด และอื่นๆ ผมคิดว่าชนะมีหลายความหมายครับ
แต่ไม่ว่าจะชนะแบบไหน ผมยังคงมองว่า คนที่ชนะคือคนที่ควบคุมความเสี่ยงและวิเคราะห์ได้ดี การที่กล้าเข้าไปรับความเสี่ยงมากที่สุด High risk, High Returnนั้น มันก็เป็นจริงส่วนหนึ่งครับ แต่ผมยังคงมองว่าการเข้าไปรับความเสี่ยงสูงนั้นขัดกับหลักการของVIครับ เพราะหลักVIคือจะยอมไม่ขาดทุน
ทีนี้การมองว่า การเป็นผู้กล้าที่จะเข้าไปรับความเสี่ยงสูงที่สุด ของคุณbsuntaku กับผมนั้นอาจจะมองต่างกัน(หรือเหมือนกัน)
การเป็นผู้กล้าเข้าไปรับความเสี่ยงสูงที่สุดสำหรับผม หมายถึงคนที่กล้าเข้าไปเล่นกับหุ้่นปั่น แต่ในกรณีของVIนั้น ถ้าตามหลักที่ผมใช้และพยายามยึดหลักคือ ลงทุนในหุ้นที่เราเข้าใจมากที่สุด(ฉะนั้นการเข้าไปรับความเสี่ยงสูงที่สุดสำหรับผมคือการลงทุนในหุ้นที่ไม่รู้จักเลยแม้แต่น้อย ทำให้ผมมองว่าไม่สามารถที่จะทำให้ผมชนะได้ครับ)
ตัวผมเองยอมรับว่าเป็นนักเก็งกำไรระดับหนึ่่งครับ คือถ้าหุ้นดีดขึ้นมากอย่างมีนัยเช่น มีการเก็งกำไรหุ้นที่ผมถืออย่างสูงทำให้ราคาขยับขึ้นไปมากๆ(ซึ่งเป็นไปได้ยากมาก เพราะหุ้นที่ผมถือพวกเก็งกำไรแทบไม่สนใจกันเท่าไหร่ครับ ^^") แต่ถ้าเกิดในกรณีอย่างว่า ผมก็จะชิงขายทำกำไรแล้วค่อยรอซื้อใหม่ครับ เพราะผมเชื่อว่าราคามันต้องปรับลงมาตามพื้นฐานถึงอาจจะไม่ถูกกว่าเดิม แต่ก็ยังสามารถลงมาถึงจุดที่เรียกว่าถูก (อาจจะขัดกับVIหลายท่าน เพราะหลายๆท่านอาจจะไม่สนใจเลย และถือต่อโดยไม่าย ฉะนั้นผมเองก็ไม่กล้าจะบอกว่าผมเป็นVIครับ^^" พันธุ์ทางนิดๆ)
สุดท้ายสำหรับVI ผมมองว่าการจะเป็นผู้ชนะ ผมให้น้ำหนักกับการวิเคราะห์มากกว่าดวงพอสมควรครับ แต่ถ้าจะวัดการเป็นผู้ชนะ(ถ้าจะจัดเป็นอันดับ)ยังไงดวงก็มีผลครับ
สงสัยหรือหากเห็นต่างกัน สามารถพิมพ์แย้งได้นะครับ:) ผมชอบการเห็นต่างเพราะจะทำให้ผมได้เรียนรู้มากขึ้น และสำหรับที่เว็บแห่งนี้ ผมมองว่าทั้งพี่ๆเพื่อนๆ(แต่คงไม่มีน้องหรอกมั้ง เพราะผมเองก็ยังอายุไม่มากและประสบการณ์ไม่มาก ฮา)แต่ละคนคุยกันด้วยเหตุผลและยอมรับความคิดเห็นซึ่งกันละกัน ซึ่งผมมองว่าหาได้ยากในสังคมสมัยนี้ ^^
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
ตั้งคำถามเกี่ยวกับ VI ที่เก่งกาจ
โพสต์ที่ 7
เมื่อตัดสินใจไปแล้วที่เหลือก็แล้วแต่ "ดวง"ผมก็เลยคิดว่าในการตัดสินใจแต่ละครั้งนั้นนักลงทุนแนว VI
เมื่อตัดสินใจไปแล้วที่เหลือก็แล้วแต่ "ดวง"
เพราะฉะนั้นผมก็เลยมองว่านักลงทุนแนว VI
ก็ต้องเป็นนักพนันด้วยส่วนหนึ่ง และนักเก็งกำไรด้วยส่วนหนึ่ง
หลังจากที่ทำการลดความเสี่ยงด้วยการตัดสินใจแต่ละท่านแล้ว
เพราะฉะนั้นผมจะสรุปได้ใหมว่า ดร. ของเรา
และนักลงทุนแนว VI ที่สำเร็จแต่ละท่าน
เป็นนักวิเคราะห์เพื่อลดความเสี่ยงได้ดี
ี และเป็นนักพนันที่รับความเสี่ยงได้สูงอยู่ในตัวครับ
^
^
ผมว่ามันมองได้หลายอย่างนะครับ ถ้า "ดวง"
หมายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา
โดยที่เราไม่สามารถกำหนดหรือควบคุมมันได้
ผมคิดว่านักลงทุนแนว VI
ส่วนใหญ่โดยเฉพาะท่านที่เป็นเซียนไม่ได้ใช้ "ดวง" ครับ
แต่ถ้า "ดวง" หมายถึง สิ่งที่เดิกขึ้นกับเราโดยเราสามารถจะคาดการณ์
หรือกำหนดได้บ้่าง ผมก็คิดว่านักลงทุนแนว VI
ส่วนใหญ่โดยเฉพาะท่านที่เป็นเซียนไม่ได้ใช้ "ดวง" ครับ
จริงๆแล้วความหมายของการพนัน หรือ การลงทุนต่างกันนิดเดียวเองนะครับ
ผมเคยอ่านหนังสือของเซียนนักลงทุนแนว VI ท่านหนึ่ง
ท่านเขียนความหมายของคำว่า "การพนัน" ไว้ว่า
การพนัน คือ สิ่งที่ทำให้ผลตอบแทนที่คาดหวังติดลบ
ถ้าผลตอบแทนที่คาดหวังติดลบสิ่งนั้นคือการพนันครับ
แต่ถ้าไม่ใช่สิ่งนั้นจะเรียกว่า "การลงทุน"
จากความหมายนี้ ผมจึงคิืดว่า "หุ้น" เป็นการลงทุน เพราะหุ้น
จะให้ผลตอบแทนที่คาดหวังเป็นบวกในระยะยาว
ต่างกับการพนัน ซึ่งนักพนันจะมีผลตอบแทนที่คาดหวังเป็นลบเสมอ
ดังนั้นในระยะยาวจึงไม่มีนักพนันคนไหนที่เอาชนะเจ้ามือได้เลย
(เว้นแต่ว่านักพนันคนนั้นมีวิธีในการทำให้การพนันมีผลตอบแทน
ที่คาดหวังเป็นบวก สำหรับผม นักพนันคนนั้นก็จะกลายเป็นนักลงทุนทันที
แม้ว่าสิ่งที่นักพนันคนนั้นลงทุนอยู่คือ การเล่นโป๊กเกอร์ก็ตาม )
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
ตั้งคำถามเกี่ยวกับ VI ที่เก่งกาจ
โพสต์ที่ 8
:Dแต่คงไม่มีน้องหรอกมั้ง เพราะผมเองก็ยังอายุไม่มากและประสบการณ์ไม่มาก ฮา)แต่ละคนคุยกันด้วยเหตุผลและยอมรับความคิดเห็นซึ่งกันละกัน ซึ่งผมมองว่าหาได้ยากในสังคมสมัยนี้ ^^
ผมไม่ทราบว่าคุณ Renne อายุเท่าไหร่
แต่ผมเคยคุยกับคุณ Guiman ซึ่งเป็นสมาชิกในเว็บบอร์ดแห่งนี้เช่นกัน
อายุประมาณ 17-18 ปีเองครับ
ผมว่าในเว็บนี้ก็ี้มีน้ิองๆเด็กๆเยอะเหมือนกันนะครับ
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.
- Renne
- Verified User
- โพสต์: 322
- ผู้ติดตาม: 0
ตั้งคำถามเกี่ยวกับ VI ที่เก่งกาจ
โพสต์ที่ 9
เื่ท่าๆืีที่อ่านมา ก็มี Guiman กับคุณKornjackrit ที่อายุน้อยกว่าผมนิดนึง:D
แต่เหมือนตอนนี้จากการลองไปไล่ๆอ่านกระทู้ดู มีมอปลายหลายคนก็เริ่มสนใจการลงทุนแนวVIกันแล้วนะครับ สงสัยไม่แน่ว่าจะมีคนที่เด็กกว่าผมอีกแต่ซ่อนๆตัวอยู่อีกเยอะแน่ๆ (เริ่มต้นกันไวมาก ผมเริ่มมาศึกษาเรื่องหุ้นก็ตอนผม ม.5-6 ได้ละมั้ง ช่วงธุรกิจเครือข่ายเริ่มบูม มี passive incomeบลาๆ แต่ผมไม่สนใจทำ เลยพยายามหาการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนในแต่ละปีโดยให้เงินทำงานให้ ก็พบว่าหุ้นนี่แหละช่วยได้ )
นอกเรื่องออกนอกกระทู้ไปนิดขออภัยด้วยนะครับ ส่วนอายุผม 20ต้นๆครับ
แต่เหมือนตอนนี้จากการลองไปไล่ๆอ่านกระทู้ดู มีมอปลายหลายคนก็เริ่มสนใจการลงทุนแนวVIกันแล้วนะครับ สงสัยไม่แน่ว่าจะมีคนที่เด็กกว่าผมอีกแต่ซ่อนๆตัวอยู่อีกเยอะแน่ๆ (เริ่มต้นกันไวมาก ผมเริ่มมาศึกษาเรื่องหุ้นก็ตอนผม ม.5-6 ได้ละมั้ง ช่วงธุรกิจเครือข่ายเริ่มบูม มี passive incomeบลาๆ แต่ผมไม่สนใจทำ เลยพยายามหาการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนในแต่ละปีโดยให้เงินทำงานให้ ก็พบว่าหุ้นนี่แหละช่วยได้ )
นอกเรื่องออกนอกกระทู้ไปนิดขออภัยด้วยนะครับ ส่วนอายุผม 20ต้นๆครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1808
- ผู้ติดตาม: 0
ตั้งคำถามเกี่ยวกับ VI ที่เก่งกาจ
โพสต์ที่ 10
ในเวบนี้ดูเหมือนเด็กๆจะเยอะก็จริงนะครับ แต่ถ้าเทียบกับสัดส่วนเด็กๆอายุราวๆนี้ทั้งหมดในประเทศผมว่ายังน้อยมากๆ กับความรู้เรื่องหุ้นและการลงทุน
ผมเองก็พยายามแนะนำเพื่อนให้รู้จักการลงทุนแนว VI อยู่ หลายๆคนก็สนใจดี (พอเอ่ยชื่อ ปู่บัฟ ส่วนมากจะสนใจเพิ่มขึ้น :o ) แต่ส่วนมากก็ยังไม่คิดจริงจังอะไรมาก เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องไกลตัว
ผมเห็นว่าร้อยละ 90 + ของเพื่อนๆผมเองก็ยังคิดว่า หุ้นมันก็เหมือนเล่นพนัน ซื้อๆขายๆ เก็งกำไร เล่นหุ้นก็ต้องดูจอทั้งวันสิเนี่ย ไม่มีประโยชน์อะไร เสี่ยงเปล่าๆ บลาๆๆ
แต่ก็คงเป็นเพราะภาพลักษณ์ของตลาดหุ้นที่ทำให้คนส่วนมากคิดกันแบบนี้
ผมเองก็พยายามแนะนำเพื่อนให้รู้จักการลงทุนแนว VI อยู่ หลายๆคนก็สนใจดี (พอเอ่ยชื่อ ปู่บัฟ ส่วนมากจะสนใจเพิ่มขึ้น :o ) แต่ส่วนมากก็ยังไม่คิดจริงจังอะไรมาก เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องไกลตัว
ผมเห็นว่าร้อยละ 90 + ของเพื่อนๆผมเองก็ยังคิดว่า หุ้นมันก็เหมือนเล่นพนัน ซื้อๆขายๆ เก็งกำไร เล่นหุ้นก็ต้องดูจอทั้งวันสิเนี่ย ไม่มีประโยชน์อะไร เสี่ยงเปล่าๆ บลาๆๆ
แต่ก็คงเป็นเพราะภาพลักษณ์ของตลาดหุ้นที่ทำให้คนส่วนมากคิดกันแบบนี้
"Risk comes from not knowing what you're doing" - Warren Buffet
สุดยอดของความซับซ้อนคือความเรียบง่าย
http://www.sarut-homesite.net/
สุดยอดของความซับซ้อนคือความเรียบง่าย
http://www.sarut-homesite.net/
- sorawut
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2455
- ผู้ติดตาม: 1
ตั้งคำถามเกี่ยวกับ VI ที่เก่งกาจ
โพสต์ที่ 11
เริ่มต้นลงทุนกันเร็วมากเลยครับ ผมเพิ่งมาสนใจเมื่อตอน 26
แต่อย่าทิ้งการลงทุนกับการศึกษาทางสายอาชีพด้วยนะครับ ถ้าไม่คิดจะตั้ง partnership การลงทุนแบบ Buffett หรือยังไม่มีเงินถังไว้ลงทุน
ทุกวันนี้ผมไม่เสียใจที่เริ่มลงทุนจริงๆจังๆช้าไป (ปีที่แล้วลงทุนมากกว่าที่เคย 5 เท่า กินกำไร 3 ปีไปหมดเลย :vm: :vm:)
เพราะก่อนหน้านั้นผมได้ใช้เวลาเป็นอย่างมากกับการพัฒนาความรู้ ความชำนาญด้านวิชาชีพของตัวเอง
ทำให้งานการก้าวหน้า และได้เงินเดือนมากขึ้น มาช่วยชดเชยการขาดทุนปีที่แล้วได้เป็นอย่างดี
(ทำให้ฐานใหญ่ขึ้นเมื่อเทียบกับเงินที่ขาดทุน ในวิกฤตมีโอกาสได้เหมือนกัน )
ขอโทษนะครับ ผมออกนอกเรื่องหนักกว่าี จริงๆเคยคิดจะตั้งกระทู้ต่างหากเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ไหนๆก็เจอน้องๆและ :lol:
แต่อย่าทิ้งการลงทุนกับการศึกษาทางสายอาชีพด้วยนะครับ ถ้าไม่คิดจะตั้ง partnership การลงทุนแบบ Buffett หรือยังไม่มีเงินถังไว้ลงทุน
ทุกวันนี้ผมไม่เสียใจที่เริ่มลงทุนจริงๆจังๆช้าไป (ปีที่แล้วลงทุนมากกว่าที่เคย 5 เท่า กินกำไร 3 ปีไปหมดเลย :vm: :vm:)
เพราะก่อนหน้านั้นผมได้ใช้เวลาเป็นอย่างมากกับการพัฒนาความรู้ ความชำนาญด้านวิชาชีพของตัวเอง
ทำให้งานการก้าวหน้า และได้เงินเดือนมากขึ้น มาช่วยชดเชยการขาดทุนปีที่แล้วได้เป็นอย่างดี
(ทำให้ฐานใหญ่ขึ้นเมื่อเทียบกับเงินที่ขาดทุน ในวิกฤตมีโอกาสได้เหมือนกัน )
ขอโทษนะครับ ผมออกนอกเรื่องหนักกว่าี จริงๆเคยคิดจะตั้งกระทู้ต่างหากเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ไหนๆก็เจอน้องๆและ :lol:
ตัดสินใจว่า ธุรกิจไหนที่คุณต้องการจะเป็นเจ้าของ
และซื้อเมื่อราคาสามารถให้ผลตอบแทนจากการลงทุน ในอัตราที่เข้าท่าสำหรับการร่วมทำธุรกิจเท่านั้น
และซื้อเมื่อราคาสามารถให้ผลตอบแทนจากการลงทุน ในอัตราที่เข้าท่าสำหรับการร่วมทำธุรกิจเท่านั้น
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
ตั้งคำถามเกี่ยวกับ VI ที่เก่งกาจ
โพสต์ที่ 14
ผมขอว่าตามหลักของการบริหารการจัดการในเรื่องของคนล่ะกัน
คนเราให้ข้อมูลกันไม่หมด และไม่รับข้อมูลไม่ครบถ้วนขนาดที่คนส่งข้อมูล ส่งมาให้ 100% ก็รับไม่หมด
จุดนี้คือจุดที่ทุกคนยอมรับก่อน เป็นอันดับแรก
เรื่องที่สองต้องยอมรับคือ ข้อมูลตอนนี้มามากและมาเร็ว วันๆหนึ่งข้อมูลที่เป็นสิ่งที่จำเป็นแกเรานั้นมีไม่ถึง 10-20% ที่ใช้งานได้ ส่วนอื่นก็คือเรื่องที่ไม่จำเป็นแต่มันผ่านมา ทำให้เวลาของเราหมดไป
สองเรื่องนี้เป็นเรื่องหลักในการที่เอาข้อมูลมาใช้งาน
ในเมื่อข้อมูลที่มีอยู่ในมือได้ไม่ครบ ทำอย่างไงให้ใช้ข้อมูลนั้นได้มีสัมฤทธิ์ผลเกิดประสิทธิผลแก่คนใช้ข้อมูล
สิ่งนี้คือทักษะที่ต้องพัฒนากันอยู่ตลอดเวลา
ก็แค่นี้ล่ะ
คนเราให้ข้อมูลกันไม่หมด และไม่รับข้อมูลไม่ครบถ้วนขนาดที่คนส่งข้อมูล ส่งมาให้ 100% ก็รับไม่หมด
จุดนี้คือจุดที่ทุกคนยอมรับก่อน เป็นอันดับแรก
เรื่องที่สองต้องยอมรับคือ ข้อมูลตอนนี้มามากและมาเร็ว วันๆหนึ่งข้อมูลที่เป็นสิ่งที่จำเป็นแกเรานั้นมีไม่ถึง 10-20% ที่ใช้งานได้ ส่วนอื่นก็คือเรื่องที่ไม่จำเป็นแต่มันผ่านมา ทำให้เวลาของเราหมดไป
สองเรื่องนี้เป็นเรื่องหลักในการที่เอาข้อมูลมาใช้งาน
ในเมื่อข้อมูลที่มีอยู่ในมือได้ไม่ครบ ทำอย่างไงให้ใช้ข้อมูลนั้นได้มีสัมฤทธิ์ผลเกิดประสิทธิผลแก่คนใช้ข้อมูล
สิ่งนี้คือทักษะที่ต้องพัฒนากันอยู่ตลอดเวลา
ก็แค่นี้ล่ะ
- nanakorn
- Verified User
- โพสต์: 636
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ขอบคุณครับ
โพสต์ที่ 15
การข้ามถนน เป็นการพนันหรือไม่bsuntaku เขียน:พอเข้าใจครับ แต่ความสามารถในการวิเคราะห์ของแต่ละท่านก็ไม่เท่ากันทำให้ระดับความเสี่ยงไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้น ผมก็เลยคิดว่าในการตัดสินใจแต่ละครั้งนั้นนักลงทุนแนว VI เมื่อตัดสินใจไปแล้วที่เหลือก็แล้วแต่ "ดวง" เพราะฉะนั้นผมก็เลยมองว่านักลงทุนแนว VI ก็ต้องเป็นนักพนันด้วยส่วนหนึ่ง และนักเก็งกำไรด้วยส่วนหนึ่ง หลังจากที่ทำการลดความเสี่ยงด้วยการตัดสินใจแต่ละท่านแล้ว เพราะฉะนั้นผมจะสรุปได้ใหมว่า ดร. ของเรา และนักลงทุนแนว VI ที่สำเร็จแต่ละท่าน เป็นนักวิเคราะห์เพื่อลดความเสี่ยงได้ดี และเป็นนักพนันที่รับความเสี่ยงได้สูงอยู่ในตัวครับ
-------------------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณสำหรับแกะ ช่วยแพะตัวนี้ครับ
ถ้าคนข้ามถนน ดูรถราอย่างดี แล้วตัดสินใจข้าม ในกรณีนี้ คงไม่มีใครตอบว่า การข้ามถนนเป็นการพนัน ถามว่ามีความเสี่ยงในการข้ามถนนหรือไม่ คงต้องตอบว่า มี เช่น 1) อาจจะมีรถที่อยู่ดีๆก็โผล่เข้ามาอย่างรวดเร็ว ตอนมองเพื่อตัดสินใจข้ามไม่มีรถคันนี้ 2) ตาคนข้ามอาจจะไม่ดี มองไปในทุกทิศทางครบถ้วนแล้ว แต่ไม่เห็นรถทั้งหมด 3) อื่นๆอีกอย่างมาย
ถ้าคนข้ามถนน ปิดตาก่อนแล้วตัดสินใจเดินข้ามถนน ก็น่าจะเรียกว่าเป็นการพนันอย่างหนึ่ง
การทายเหรียญหัวก้อย ที่ถูกโยนโดยเครื่องโยนที่ควบคุมได้และอยู่ภายใต้สิ่งแวดล้อมที่ถูกควบคุมไว้ จะไม่เป็นการพนันเลย ถ้าเราคำนวณการเคลื่อนที่ของเหรียญตั้งแต่ต้นจนจบและทายตามผลการคำนวณ แต่ถ้าเราทายไปเฉยๆเหมือนตามปกติ ก็เป็นการพนัน
พนันหรือไม่พนัน ขึ้นกับว่าเราลดความเสี่ยงลงไปได้มากเท่าไร ความเสี่ยงน้อยแค่ไหนถึงจะไม่เป็นการพนัน คงแล้วแต่ละบุคคลจะคิด
Everything I do, I do it for you.
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
ตั้งคำถามเกี่ยวกับ VI ที่เก่งกาจ
โพสต์ที่ 16
เห็นด้วยกับคุณ i_sarut ครับ ถ้าเทียบกับประชากรเด็กแล้ว
ยังถือว่ามีเด็กๆที่สนใจเรื่องนี้อย่างจริงจังน้อยจิงๆครับ
แต่ผมคิดว่าน่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆนะครับ โดยเฉพาะในสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้
เห็นด้วยกับพี่ Sorawut
ปีที่แล้วทำกำไรที่เคยได้หายไปหมดเหมือนกันครับ
:vm: :vm: :vm:
นอกจากกำไรจะหายแล้วของผมยังขาดทุนด้วยคับ
เหอะๆ
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ
( ผมว่าการศึกษาเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดแล้วละครับ )
เสียดายว่าผมยังเรียนไม่จบ เลยไม่ได้ทำงานอะไรจริงๆจังๆ
ช่วงปิดเทอมผมก็กะัจะหางาน Part-time ทำเหมือนกันครับ
อย่างน้อยก็จะ้พอมีรายได้ เก็บไว้ลงทุนเพิ่มเติม
[/quote]
ยังถือว่ามีเด็กๆที่สนใจเรื่องนี้อย่างจริงจังน้อยจิงๆครับ
แต่ผมคิดว่าน่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆนะครับ โดยเฉพาะในสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้
เห็นด้วยกับพี่ Sorawut
ปีที่แล้วทำกำไรที่เคยได้หายไปหมดเหมือนกันครับ
:vm: :vm: :vm:
นอกจากกำไรจะหายแล้วของผมยังขาดทุนด้วยคับ
เหอะๆ
แต่อย่าทิ้งการลงทุนกับการศึกษาทางสายอาชีพด้วยนะครับ ถ้าไม่คิดจะตั้ง partnership การลงทุนแบบ Buffett หรือยังไม่มีเงินถังไว้ลงทุน
เพราะก่อนหน้านั้นผมได้ใช้เวลาเป็นอย่างมากกับการพัฒนาความรู้ ความชำนาญด้านวิชาชีพของตัวเอง
ทำให้งานการก้าวหน้า และได้เงินเดือนมากขึ้น มาช่วยชดเชยการขาดทุนปีที่แล้วได้เป็นอย่างดี
(ทำให้ฐานใหญ่ขึ้นเมื่อเทียบกับเงินที่ขาดทุน ในวิกฤตมีโอกาสได้เหมือนกัน
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ
( ผมว่าการศึกษาเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดแล้วละครับ )
เสียดายว่าผมยังเรียนไม่จบ เลยไม่ได้ทำงานอะไรจริงๆจังๆ
ช่วงปิดเทอมผมก็กะัจะหางาน Part-time ทำเหมือนกันครับ
อย่างน้อยก็จะ้พอมีรายได้ เก็บไว้ลงทุนเพิ่มเติม
[/quote]
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.
-
- Verified User
- โพสต์: 72
- ผู้ติดตาม: 0
สรุปว่าอย่างนี้ น่าจะถูกนะครับ
โพสต์ที่ 17
ผมอยากสรุปอย่างนี้นะครับ
1. อายุไม่เกี่ยวกับการพนัน
2. อายุไม่เกี่ยวกับการเก็งกำไร
3. การพนันเกี่ยวกับสิ่งที่เรามองด้วยแวดล้อมอะไร เช่น สภาพการวิเคราะห์ปัญหาว่าควบคุมได้ ไม่ได้ สภาพการซื้อขายด้านจิตวิทยา บลา ๆๆๆ
แต่ขณะนี้ VI ถูกสอนให้มองว่าพื้นฐานบริษัท ที่ดี ผู้บริหารดี หนี้น้อย ๆ อนาคตในการทำกำไรยาว ๆ และอาจมีสินค้าที่มี Brand เป็นพลังอยู่เป็นทุนเดิม ฉะนั้นเราไม่ควรมองอะไรสั้น ๆ แต่เราควรมองอะไรที่ยาว ๆ แม้การเติบโตอาจช้าแต่ก็มั่นคง แต่ที่ผมมองเห็นตอนนี้คือส่วนใหญ่ (เท่าที่สังเกตนะครับ) นักลงทุนชอบที่จะซื้อแต่หุ้นที่เติบโตสูง กำไรอาจน้อยนิด และเมื่อคิดว่าสามารถขายหรือบริการได้เต็ม 100% กำไรอาจไม่เท่ากับบริษัทที่มีกำไรสม่ำเสมอ ยกตัวอย่าง (Aprint กับ cpall) นั่นหมายความว่าเมื่อใดก็ตามที่เราเป็น VI เราก็อาจเข้าไปซื้อ Aprint ยกตัวอย่างนะครับ (และผมก็เข้าใจว่าอุตสาหกรรมไม่เหมือนกัน) ซึ่งหนี้น้อยกว่า แต่ Cpall ก็ขายและรับเงินสด แต่ไปบีบเอากับ Supplier ได้ และเราชาว VI ก็รอจนกว่าจะมี คนเห็น และราคาของหุ้นแต่ละตัวที่มี Free float ต่อหุ้น สัก 30-50 % มากำหนดราคาหุ้นว่าตัวนั้นตัวนี้หละจะเติบโตอย่างมั่นคง จะมีราคาที่สูงขึ้นในอนาคต (ซึ่งเมื่อ Expectation > Perception = Satisfaction, Satisfaction ในที่นี้ผมหมายถึงความพอใจที่จะซื้อสินค้ารับรู้ได้เหนือความคาดหมาย) นั่นหละที่ผมเข้าใจว่ามันก็ต้องมี "การพนันเข้ามาเกี่ยวข้อง" ซึ่งการที่เรียกว่าการพนันก็เกิดมาจากรากฐานของการอยากมีอยากได้ ก็คือการเก็งกำไร คงไม่มีใครอยากเข้าตลาดเพราะว่าต้องการให้เงินทุนรักษาได้เป็น 100 ปี ไม่มีปันผลนะครับ ผมก็เลยว่าถ้าอย่างนั้นผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูงที่สุด คือผู้ที่กล้าพน้นกับความคิดตัวเองได้มากที่สุดครับ
1. อายุไม่เกี่ยวกับการพนัน
2. อายุไม่เกี่ยวกับการเก็งกำไร
3. การพนันเกี่ยวกับสิ่งที่เรามองด้วยแวดล้อมอะไร เช่น สภาพการวิเคราะห์ปัญหาว่าควบคุมได้ ไม่ได้ สภาพการซื้อขายด้านจิตวิทยา บลา ๆๆๆ
แต่ขณะนี้ VI ถูกสอนให้มองว่าพื้นฐานบริษัท ที่ดี ผู้บริหารดี หนี้น้อย ๆ อนาคตในการทำกำไรยาว ๆ และอาจมีสินค้าที่มี Brand เป็นพลังอยู่เป็นทุนเดิม ฉะนั้นเราไม่ควรมองอะไรสั้น ๆ แต่เราควรมองอะไรที่ยาว ๆ แม้การเติบโตอาจช้าแต่ก็มั่นคง แต่ที่ผมมองเห็นตอนนี้คือส่วนใหญ่ (เท่าที่สังเกตนะครับ) นักลงทุนชอบที่จะซื้อแต่หุ้นที่เติบโตสูง กำไรอาจน้อยนิด และเมื่อคิดว่าสามารถขายหรือบริการได้เต็ม 100% กำไรอาจไม่เท่ากับบริษัทที่มีกำไรสม่ำเสมอ ยกตัวอย่าง (Aprint กับ cpall) นั่นหมายความว่าเมื่อใดก็ตามที่เราเป็น VI เราก็อาจเข้าไปซื้อ Aprint ยกตัวอย่างนะครับ (และผมก็เข้าใจว่าอุตสาหกรรมไม่เหมือนกัน) ซึ่งหนี้น้อยกว่า แต่ Cpall ก็ขายและรับเงินสด แต่ไปบีบเอากับ Supplier ได้ และเราชาว VI ก็รอจนกว่าจะมี คนเห็น และราคาของหุ้นแต่ละตัวที่มี Free float ต่อหุ้น สัก 30-50 % มากำหนดราคาหุ้นว่าตัวนั้นตัวนี้หละจะเติบโตอย่างมั่นคง จะมีราคาที่สูงขึ้นในอนาคต (ซึ่งเมื่อ Expectation > Perception = Satisfaction, Satisfaction ในที่นี้ผมหมายถึงความพอใจที่จะซื้อสินค้ารับรู้ได้เหนือความคาดหมาย) นั่นหละที่ผมเข้าใจว่ามันก็ต้องมี "การพนันเข้ามาเกี่ยวข้อง" ซึ่งการที่เรียกว่าการพนันก็เกิดมาจากรากฐานของการอยากมีอยากได้ ก็คือการเก็งกำไร คงไม่มีใครอยากเข้าตลาดเพราะว่าต้องการให้เงินทุนรักษาได้เป็น 100 ปี ไม่มีปันผลนะครับ ผมก็เลยว่าถ้าอย่างนั้นผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูงที่สุด คือผู้ที่กล้าพน้นกับความคิดตัวเองได้มากที่สุดครับ
- Isamu
- Verified User
- โพสต์: 167
- ผู้ติดตาม: 0
ตั้งคำถามเกี่ยวกับ VI ที่เก่งกาจ
โพสต์ที่ 18
เรื่องการลงทุนหุ้นระยะยาวใช้ศิลปะกับสิ่งที่เรียกว่าจินตนาการค่อนข้างมาก เป็นสิ่งที่เซียนหุ้นหรือนักลงทุนในสินทรัพย์อื่นต้องมีเพื่อความสำเร็จที่มากกว่าคือ
1.คาดเดาผลในอนาคตที่ยาวกว่าคนอื่นให้ได้อย่างใกล้เคียงที่สุด
2.ต้องกล้าที่จะทำตามแผนนั้นโดยการนำเงินที่มากในพอร์ทไปเดิมพันกับความเชื่อของตน ไม่ว่าเพิ่มหรือถอนการลงทุน
3.นักลงทุนโดยทั่วไปยังไม่ทราบถึงแนวโน้มนั้น หรือทราบแต่ไม่เชื่อ หรือทราบแต่ยังไม่ตัดสินใจเพราะรอตามคนอื่น
นักพนันใช้ข้อมูลระยะสั้นมากกว่า หมดตานี้ ตาหน้าเริ่มใหม่หมด เสียแล้วต้องตัดให้ขาด ถ้าไม่แน่ใจก็ไม่ต้องแทง ไม่มีใครว่า นักลงทุนยิ่งระยะสั้นเท่าไหร่ก็คล้ายนักพนันมากขึ้น ถ้าใครเก่งทางนี้ก็เล่นสั้นดีกว่า เรียกว่าดูทางลมช่วงสั้นๆเก่ง ถ้าผิดแล้วก็ต้องถอยเร็ว ถ้าถูกแล้วก็ต้องไหลไปต่อ
ส่วนนักลงทุนยาวนั้นจำเป็นต้องเดาแนวโน้มให้ออก ข้อมูลที่ใช้แน่นอนว่าไม่ได้อยู่ในงบดุล หรือ ratio ต่างๆ ไม่เช่นนั้นนักบัญชีต้องเป็นเซียนหุ้นทุกคน ข้อมูลที่สำคัญมากๆ ไม่ค่อยมีใครพูดถึง ยกเว้นเซียนได้แก่
1.แนวโน้มด้านประชากรศาสตร์
2.แนวโน้มปัจจัยทางการตลาด ขนาดของตลาด และระดับความรุนแรงของการแข่งขัน
3.แนวโน้มของเทคโนโลยี และของที่ทดแทนกันได้
4.ธรรมชาติของธุรกิจนั้นๆ ที่เราจะลงทุน
แล้วค่อยมามองหาบริษัทที่ได้ประโยชน์
การให้น้ำหนักกับข้อมูลที่มีได้ดี จึงจะลงทุนระยะยาวได้ดี ส่วนการเข้าถึงข้อมูลที่เชื่อถือได้ได้เร็วกว่าก็เหมาะกับเล่นสั้นๆ ซึ่งคนธรรมดามักคิดว่าตนรู้ข่าวเร็วกว่าคนอื่นก็เลยพลาด เพราะไม่ได้เร็วจริง หรือข่าวผิดเพราะแค่ข่าวลือ
น้องๆที่เคยมาให้ผมสอนเรื่องการลงทุนก่อนหน้านี้ เท่าที่สังเกตดูมีหลายแบบที่ไม่ดีครับ
1.อยากรวยเร็ว และไม่ต้องทำงานหนัก (เป็นแฟชั่นมาแรงจริงๆ) เซียนทั้งหลายล้วนแต่เคยทำงานหนักมาแล้วทั้งนั้น และรวยช้า ต้องรอตอนแก่
2.ชอบให้บอกว่าต้องทำอะไร แต่ไม่ชอบแบบต้องไปค้นคว้าแบบเจาะลึกแล้วคิดเอง ไม่ชอบอ่านเรื่องที่ไม่ถนัด
3.มั่นใจในตัวเองมากเกินไป มั่นใจในการคาดการณ์ของตัวมากเกินไป ทั้งที่ไม่มีประสบการณ์ อดีตก็เกิดเหตุการณ์นั้นมาก่อนแล้ว ซ้ำๆ
อยากให้น้องๆ ขยัน อดทน กับการเรียนปกติ การทำงานปกติ อ่านหนังสือมากๆ และอ่านในวงกว้าง ทั้งที่เกี่ยวและไม่เกี่ยวกับการลงทุน ทั้งหมดนี้จะช่วยให้เป็นเซียนหุ้นได้เอง ที่สำคัญต้องจดประวัติการลงทุน และเหตุผลตอนนั้นไว้ ผิดถูก เวลามาดูทีหลังจะได้สอนตัวเองได้
ส่วนแนวโน้มที่จะบอกใบ้ให้ ลองไปหาดูว่าบริษัทไหนจะได้ประโยชน์ หรือคว้าประโยชน์มาได้ บอกก่อนว่ามันไม่ได้ตรงไปตรงมานะ
ครอบครัวขนาดเล็กลง คนโสดมากขึ้น ผู้หญิงเงินเดือนมากขึ้น ผู้หญิงทำกับข้าวเป็นลดลง คนอดทนรอสั้นลง ชอบลองของใหม่มากขึ้น ชอบแสดงความเป็นตัวตนในที่สาธารณะมากขึ้น ดูแลตัวเอง ให้ความสำคัญตัวเองมาก่อนมากขึ้น อายุยืนขึ้นอีกแต่ไม่ยอมแก่ ชอบอิสระในทุกเรื่อง ติดต่อสัมพันธ์กับบุคคลอื่นโดยไม่เปิดเผยตัวจริงมากขึ้น ชอบเจอกันนอกบ้านมากกว่าพาไปที่บ้าน ชอบประสบการณ์แปลกใหม่
บริษัทที่ดูเหมือนมั่นคงกลับล้มละลาย บริษัทที่ทำได้ถูกทางโตเอาเรื่อยๆ ไม่เกี่ยวกับเศษฐกิจ เพราะฉนั้นให้หาบริษัทที่โตไปด้วยกันกับเรานะครับ คนอายุน้อยก็ต้องลงทุนในบริษัทที่อายุไม่มาก ปรับตัวเก่ง และไปด้วยกันกับเราได้จนเราแก่ครับ
สุดท้าย ถ้าเราสนุกกับการลงทุนเราจะทำมันได้ดีขึ้นเรื่อยๆครับ
1.คาดเดาผลในอนาคตที่ยาวกว่าคนอื่นให้ได้อย่างใกล้เคียงที่สุด
2.ต้องกล้าที่จะทำตามแผนนั้นโดยการนำเงินที่มากในพอร์ทไปเดิมพันกับความเชื่อของตน ไม่ว่าเพิ่มหรือถอนการลงทุน
3.นักลงทุนโดยทั่วไปยังไม่ทราบถึงแนวโน้มนั้น หรือทราบแต่ไม่เชื่อ หรือทราบแต่ยังไม่ตัดสินใจเพราะรอตามคนอื่น
นักพนันใช้ข้อมูลระยะสั้นมากกว่า หมดตานี้ ตาหน้าเริ่มใหม่หมด เสียแล้วต้องตัดให้ขาด ถ้าไม่แน่ใจก็ไม่ต้องแทง ไม่มีใครว่า นักลงทุนยิ่งระยะสั้นเท่าไหร่ก็คล้ายนักพนันมากขึ้น ถ้าใครเก่งทางนี้ก็เล่นสั้นดีกว่า เรียกว่าดูทางลมช่วงสั้นๆเก่ง ถ้าผิดแล้วก็ต้องถอยเร็ว ถ้าถูกแล้วก็ต้องไหลไปต่อ
ส่วนนักลงทุนยาวนั้นจำเป็นต้องเดาแนวโน้มให้ออก ข้อมูลที่ใช้แน่นอนว่าไม่ได้อยู่ในงบดุล หรือ ratio ต่างๆ ไม่เช่นนั้นนักบัญชีต้องเป็นเซียนหุ้นทุกคน ข้อมูลที่สำคัญมากๆ ไม่ค่อยมีใครพูดถึง ยกเว้นเซียนได้แก่
1.แนวโน้มด้านประชากรศาสตร์
2.แนวโน้มปัจจัยทางการตลาด ขนาดของตลาด และระดับความรุนแรงของการแข่งขัน
3.แนวโน้มของเทคโนโลยี และของที่ทดแทนกันได้
4.ธรรมชาติของธุรกิจนั้นๆ ที่เราจะลงทุน
แล้วค่อยมามองหาบริษัทที่ได้ประโยชน์
การให้น้ำหนักกับข้อมูลที่มีได้ดี จึงจะลงทุนระยะยาวได้ดี ส่วนการเข้าถึงข้อมูลที่เชื่อถือได้ได้เร็วกว่าก็เหมาะกับเล่นสั้นๆ ซึ่งคนธรรมดามักคิดว่าตนรู้ข่าวเร็วกว่าคนอื่นก็เลยพลาด เพราะไม่ได้เร็วจริง หรือข่าวผิดเพราะแค่ข่าวลือ
น้องๆที่เคยมาให้ผมสอนเรื่องการลงทุนก่อนหน้านี้ เท่าที่สังเกตดูมีหลายแบบที่ไม่ดีครับ
1.อยากรวยเร็ว และไม่ต้องทำงานหนัก (เป็นแฟชั่นมาแรงจริงๆ) เซียนทั้งหลายล้วนแต่เคยทำงานหนักมาแล้วทั้งนั้น และรวยช้า ต้องรอตอนแก่
2.ชอบให้บอกว่าต้องทำอะไร แต่ไม่ชอบแบบต้องไปค้นคว้าแบบเจาะลึกแล้วคิดเอง ไม่ชอบอ่านเรื่องที่ไม่ถนัด
3.มั่นใจในตัวเองมากเกินไป มั่นใจในการคาดการณ์ของตัวมากเกินไป ทั้งที่ไม่มีประสบการณ์ อดีตก็เกิดเหตุการณ์นั้นมาก่อนแล้ว ซ้ำๆ
อยากให้น้องๆ ขยัน อดทน กับการเรียนปกติ การทำงานปกติ อ่านหนังสือมากๆ และอ่านในวงกว้าง ทั้งที่เกี่ยวและไม่เกี่ยวกับการลงทุน ทั้งหมดนี้จะช่วยให้เป็นเซียนหุ้นได้เอง ที่สำคัญต้องจดประวัติการลงทุน และเหตุผลตอนนั้นไว้ ผิดถูก เวลามาดูทีหลังจะได้สอนตัวเองได้
ส่วนแนวโน้มที่จะบอกใบ้ให้ ลองไปหาดูว่าบริษัทไหนจะได้ประโยชน์ หรือคว้าประโยชน์มาได้ บอกก่อนว่ามันไม่ได้ตรงไปตรงมานะ
ครอบครัวขนาดเล็กลง คนโสดมากขึ้น ผู้หญิงเงินเดือนมากขึ้น ผู้หญิงทำกับข้าวเป็นลดลง คนอดทนรอสั้นลง ชอบลองของใหม่มากขึ้น ชอบแสดงความเป็นตัวตนในที่สาธารณะมากขึ้น ดูแลตัวเอง ให้ความสำคัญตัวเองมาก่อนมากขึ้น อายุยืนขึ้นอีกแต่ไม่ยอมแก่ ชอบอิสระในทุกเรื่อง ติดต่อสัมพันธ์กับบุคคลอื่นโดยไม่เปิดเผยตัวจริงมากขึ้น ชอบเจอกันนอกบ้านมากกว่าพาไปที่บ้าน ชอบประสบการณ์แปลกใหม่
บริษัทที่ดูเหมือนมั่นคงกลับล้มละลาย บริษัทที่ทำได้ถูกทางโตเอาเรื่อยๆ ไม่เกี่ยวกับเศษฐกิจ เพราะฉนั้นให้หาบริษัทที่โตไปด้วยกันกับเรานะครับ คนอายุน้อยก็ต้องลงทุนในบริษัทที่อายุไม่มาก ปรับตัวเก่ง และไปด้วยกันกับเราได้จนเราแก่ครับ
สุดท้าย ถ้าเราสนุกกับการลงทุนเราจะทำมันได้ดีขึ้นเรื่อยๆครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1734
- ผู้ติดตาม: 0
ตั้งคำถามเกี่ยวกับ VI ที่เก่งกาจ
โพสต์ที่ 19
VI
นักลงทุนแนววีไอที่คาดคะเนอนาคตได้เก่ง
สามารถเอาชนะนักลงทุนแนววีไอ ที่รู้แต่อดีตกับปัจจุบัน
VS
นักลงทุนที่ตีความกราฟได้ถูกต้อง
สามารถเอาชนะนักลงทุน ที่ตีความกราฟผิดพลาด
VSOP
นักลงทุนที่รู้จักประมาณความรู้ ความสามารถของตัวเอง
สามารถเอาชนะความโลภและความกลัวของตนเอง
:lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:
นักลงทุนแนววีไอที่คาดคะเนอนาคตได้เก่ง
สามารถเอาชนะนักลงทุนแนววีไอ ที่รู้แต่อดีตกับปัจจุบัน
VS
นักลงทุนที่ตีความกราฟได้ถูกต้อง
สามารถเอาชนะนักลงทุน ที่ตีความกราฟผิดพลาด
VSOP
นักลงทุนที่รู้จักประมาณความรู้ ความสามารถของตัวเอง
สามารถเอาชนะความโลภและความกลัวของตนเอง
:lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3227
- ผู้ติดตาม: 4
Re: ตั้งคำถามเกี่ยวกับ VI ที่เก่งกาจ
โพสต์ที่ 21
วัดว่าใครแพ้ใครชนะนี่วัดกันยังไงครับ?bsuntaku เขียน: คำถามคือใครเป็นผู้ชนะในการลงทุนครั้งนี้ครับ
แพ้-ชนะ แล้วได้อะไรครับ?
คนบางคนลงทุน กำไรบ้าง ขาดทุนบ้าง แต่ก็มีความสุขกับชีวิตดี
คนบางคนได้ผลตอบแทนระดับเทพทุกปี กลับไม่มีความสุขกับชีิวิตเอาซะเลย
ถ้าถามผมว่าใครคือผู้ชนะ ผมคนที่ชนะคงเป็นคนที่บริหารความโลภให้สมดุลกับความรู้ได้ และเป็นคนที่พยายามมีทัศคติที่ดีในการลงทุนครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1254
- ผู้ติดตาม: 0
ตั้งคำถามเกี่ยวกับ VI ที่เก่งกาจ
โพสต์ที่ 22
คุณbsuntakuครับ ผมเข้าใจว่านักลงทุนแนวviแท้จริงนั้นห่างไกลจากคำว่านักเก็งกำไรกับนักพนันมาก เหมือนคุณถามว่าชาวพุทธที่ถือศีลว่าคุณจะเล่นการพนันไหม
นักลงทุนแนวviแท้จริงหรือพันธุ์แท้ ซื้อหุ้นในบริษัทใดบริษัทหนึ่งที่เขาสนใจจะพิจารณาเหมือนกับการประกอบอาชีพด้วยตนเองแล้วดูว่าคุณเข้าใจธุรกิจได้ดีและลึกซึ้งไหมและคาดการณ์การเติบโตในอนาคตที่ถูกต้องได้ไหมครับ :)
นักลงทุนแนวviแท้จริงหรือพันธุ์แท้ ซื้อหุ้นในบริษัทใดบริษัทหนึ่งที่เขาสนใจจะพิจารณาเหมือนกับการประกอบอาชีพด้วยตนเองแล้วดูว่าคุณเข้าใจธุรกิจได้ดีและลึกซึ้งไหมและคาดการณ์การเติบโตในอนาคตที่ถูกต้องได้ไหมครับ :)
-
- Verified User
- โพสต์: 2266
- ผู้ติดตาม: 0
ตั้งคำถามเกี่ยวกับ VI ที่เก่งกาจ
โพสต์ที่ 24
ในฐานะนักลงทุนในรูปแบบ VI คนหนึ่งที่คิดว่าน่าจะรอดไปในตลาดได้ในระยะยาวคนหนึ่ง ( หวังว่านะ :lol: )
ผมว่าคนที่เป็น VI แท้ๆ คิดว่าการลงทุนในหุ้นระยะยาวแล้ว มีกำไรแน่ๆ
เพราะว่า เราจะ
1. ไม่เสี่ยงเกินความเสี่ยงที่รับได้
2. วิเคราะห์อย่างดีที่สุด ว่าความเสี่ยงนั้นมีอะไร
3. ความเสี่ยงนั้นๆ อาจจะมีรูปแบบ ดังนี้
3.1 คุณภาพของบริษัท
3.2 ราคาที่เราเข้าซื้อ
3.3 สภาพเศรษฐกิจในภาพรวม
3.4 สภาพตลาด ( เพิ่งมาสนรอบนี้แหละครับ :D )
4. ผลตอบแทนจะเป็นอย่างไร
ดังนั้นผมคิดว่าเรามีโอกาสที่จะวิเคราะห์หุ้น ได้มากมาย ไปตามสภาพเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน ในเวลาที่แตกต่างกัน
เราก็จะได้ เห้นหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงในความคิดของเรา
ตราบใดที่เราซื้อหุ้นได้ในราคาที่ตำกว่ามุลค่าที่เราคาดมากๆ
จะกลายเป็น เรามีโอกาสได้ 80 % ที่ผลตอบแทน 30% ถึง หลายร้อย %
และเสีย 20% ที่ไม่เกิน 20 -30%
ดังนัน expected return มากอย่างเห็นได้ชัด ( หรือ ศัพท์ของ ดร นิเวศคือตีแตกนั่นเอง)
เมื่อผมตีความว่าการลงทุนเป็นการกระทำที่คาดว่าได้ผลลัพท์เป็นบวก ตามหลัก probability
เราก็ไม่ได้เป็นการเล่นการพนันอีกต่อไป มันเหมือนเป็นการเล่นกับ probablitiy
เพราะการพนัน (gamble) ที่เมืองนอกให้นิยามว่าเป็นการกระทำที่ expected return ติดลบ
และถ้าเราลงทุนแบบ VI อย่างต่อเนื่อง เท่ากับเราทำอะไรสักอย่างที่มีคาดว่าจะได้ผลตอบแทนเป็นบวกอย่างต่อเนื่องแล้ว
ในระยะยาว เราจะมีผลตอบแทนที่เป็นบวก และ สามารถบอกได้ว่าเราเป็นนักลงทุน ไม่ใช่นักพนันครับ
ผมว่าคนที่เป็น VI แท้ๆ คิดว่าการลงทุนในหุ้นระยะยาวแล้ว มีกำไรแน่ๆ
เพราะว่า เราจะ
1. ไม่เสี่ยงเกินความเสี่ยงที่รับได้
2. วิเคราะห์อย่างดีที่สุด ว่าความเสี่ยงนั้นมีอะไร
3. ความเสี่ยงนั้นๆ อาจจะมีรูปแบบ ดังนี้
3.1 คุณภาพของบริษัท
3.2 ราคาที่เราเข้าซื้อ
3.3 สภาพเศรษฐกิจในภาพรวม
3.4 สภาพตลาด ( เพิ่งมาสนรอบนี้แหละครับ :D )
4. ผลตอบแทนจะเป็นอย่างไร
ดังนั้นผมคิดว่าเรามีโอกาสที่จะวิเคราะห์หุ้น ได้มากมาย ไปตามสภาพเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน ในเวลาที่แตกต่างกัน
เราก็จะได้ เห้นหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงในความคิดของเรา
ตราบใดที่เราซื้อหุ้นได้ในราคาที่ตำกว่ามุลค่าที่เราคาดมากๆ
จะกลายเป็น เรามีโอกาสได้ 80 % ที่ผลตอบแทน 30% ถึง หลายร้อย %
และเสีย 20% ที่ไม่เกิน 20 -30%
ดังนัน expected return มากอย่างเห็นได้ชัด ( หรือ ศัพท์ของ ดร นิเวศคือตีแตกนั่นเอง)
เมื่อผมตีความว่าการลงทุนเป็นการกระทำที่คาดว่าได้ผลลัพท์เป็นบวก ตามหลัก probability
เราก็ไม่ได้เป็นการเล่นการพนันอีกต่อไป มันเหมือนเป็นการเล่นกับ probablitiy
เพราะการพนัน (gamble) ที่เมืองนอกให้นิยามว่าเป็นการกระทำที่ expected return ติดลบ
และถ้าเราลงทุนแบบ VI อย่างต่อเนื่อง เท่ากับเราทำอะไรสักอย่างที่มีคาดว่าจะได้ผลตอบแทนเป็นบวกอย่างต่อเนื่องแล้ว
ในระยะยาว เราจะมีผลตอบแทนที่เป็นบวก และ สามารถบอกได้ว่าเราเป็นนักลงทุน ไม่ใช่นักพนันครับ
การลงทุนคือความเสี่ยง
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่