|0 คอมเมนต์
ขออนุญาติท่านเจ้าของ คือ
พี่ชอบอ่าน แห่งพันธุ์ทิพย์/สินธร นำการสนทนา มาลงครับ
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 45371.html
อีกหนึ่งมุมมองเกี่ยวกับเรื่องน้ำมัน จากเศรษฐกิจแบบโก่งคันธนู
- เกิดอะไรขึ้นกับราคาน้ำมันในปัจจุบัน (ผมได้คาดการณ์ผิดไปว่าไม่น่าจะสูงกว่า High เดิมคราวที่แล้ว ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อจริงๆครับ) และเมื่อใดจึงจะกลับสู่สภาวะปกติ
ก่อนหน้านี้ไม่กี่อาทิตย์ ผมยังคิดอยู่ว่า
น้ำมันน่าจะเริ่มลงได้แล้ว แต่ต้องยอมรับว่า
ประเมิณสถานการณ์นี้ผิดไปจริงๆ
ยิ่งได้คุยกับนักธุรกิจหนุ่มนายนี้แล้ว จึงทำให้ผมรู้ว่า
ผมตกประเด็นสำคัญสำหรับการประเมินเรื่องราคาน้ำมันไปครับ
ตกยังไงลองดูคำตอบของเขานะครับ
ในมุมมองของผม ราคาน้ำมันที่สูงอยู่ในขณะนี้
เป็นปัจจัยที่ส่งผลทั้งทางด้านดีและร้ายไปทั่วโลก
ในด้านร้าย ทุกๆคนก็รู้กันอยู่โดยทั่วไปแล้ว
ขอพูดถึงด้านดีสักเล็กน้อย
ใครจะคิดบ้างว่า ราคาน้ำมันสามารถขึ้นมาสูงที่สุดในรอบ 21 ปี
แต่ก็เป็นไปแล้ว แต่คุณรู้ไหม ในช่วงนี้มีอะไรใหม่ๆปรากฏออกมาบ้าง
ในเรื่องการปฏิวัติอุสหากรรมรถยนต์
ได้มีการพัฒนาระบบขับเคลื่อนที่ใช้พลังงานหลากหลายมากขึ้น
ในประเทศไทยของคุณก็มีโครงการพลังงานรูปแบบใหม่มากขึ้น
และหลายๆประเทศในโลกก็พยายามทำเช่นนั้นอยู่
และที่สำคัญหลายๆประเทศได้พยายามผลักดัน
ให้มีการนำรถยนต์รูปแบบใหม่ที่ประหยัดพลังงานมาใช้
ทั้งๆที่พยายามมาหลายปี แต่ก็ไปไม่ถึงไหน
พอราคาน้ำมันแพงขึ้น โครงการเหล่านั้นก็พากันคึกคักขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
(ผมนึกอยู่ในใจเหมือนกันว่า ในประเทศไทยเราก็กำลังพยายามแก้กฏหมายรองรับ
รถประหยัดพลังงาน ประเภทรถไฟฟ้ากันอยู่
ถ้าไม่เช่นนั้นจะนำออกมาวิ่งบนถนนไม่ได้
ทั้งๆที่ตอนนี้ก็มีการผลิตออกมาขายได้แล้ว
และไม่นานนี้ก็ยังจะมีโครงการลดภาษีสำหรับรถยนต์
ที่ใช้พลังงานทางเลือกอื่นที่สามารถประหยัดน้ำมันได้ นอกจากนี้ก็มีการรณงค์ให้ใช้ แก็สโซฮอล์บ้าง ไบโอดีเซลบ้าง)
ในด้านการผลิตพลังงานไฟฟ้า ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นมาก
ทำให้ธุรกิจการผลิตพลังงานทางเลือกมากขึ้น
และหลายๆโครงการ ก็พยายามพัฒนาระบบพลังงาน
ที่มีความสะอาดมากกว่าการใช้น้ำมัน
ระบบเซลแสงอาทิตย์ ก็มีการค้นคิดหาทางเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้า
ให้มากกว่า 20-25%
และมีหลายๆประเทศก็กำลังสร้างโรงกำเนิดไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์กัน
นอกจากนี้
บริษัทที่ทำธุรกิจเรื่องเซลแสงอาทิตย์
ก็มองเริ่มมองเห็นอนาคตอันสดใสขึ้น
(ในไทยเราก็เพิ่งมีการเปิดโรงไฟฟ้าเซลแสงอาทิตย์ไปไม่นานนี้
ในด้าน สังคม ทำให้ผู้คนเริ่มตระหนัก
และหันมาสนใจข้อมูลอย่างจริงจังว่า
เราทั้งโลกจะมีน้ำมันใช้ไปอีกเพียง 30 ปีเท่านั้น
จากนั้นจะทำอย่างไร และทำให้หลายๆคน
เริ่มหันมาประหยัดพลังงานมากขึ้น
(ในไทยเราก็มีโครงการขับรถไม่เกิน 90 กม./ชั่วโมง
มีการรณรงค์ให้ประหยัดพลังงานอีกหลายๆโครงการ
ซึ่งโครงการเหล่านี้จะไม่ถูกปฏิบัติอย่างเต็มที่ในยุคน้ำมันถูก)
เขาพูดอีกหลายๆด้าน ท่านผู้อ่านทั้งหลายลองนำไปคิดดูนะครับ
ผมได้เขาถามเข้าประเด็นว่า
แล้วสาเหตุสำคัญที่ทำให้น้ำมันขึ้นมาขนาดนี้คืออะไรกันแน่
ผมเคยประเมิณว่า หลังจากโอเปคเพิ่มกำลังการผลิตแล้ว
ราคาน้ำมันควรจะเริ่มลดลง
และการเก็งกำไรราคาน้ำมันน่าจะเริ่มหยุดกันได้แล้ว
เพราะราคาเริ่มสูงมากเกินไปแล้ว
มันอาจทำให้ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำไปทั่วโลกก็ได้
หากยังเป็นเช่นนี้อยู่ต่อไป เขาเลยพูดต่อดังนี้ครับ
เรื่องนี้เขาก็เคยปรึกษาท่านผู้เฒ่าอยู่เหมือนกัน
พอจะสรุปได้ว่า ตอนนี้หลายๆคน ประเมิณว่า
การที่ราคาน้ำมันขึ้นมาสูงขนาดนี้ เพราะอย่างไรก็ตาม
โอเปคคงผลิตน้ำมันไปได้ไม่มากกว่านี้นัก
และความกังวลเรื่องการก่อการร้าย
ซึ่งก็มีส่วนถูกอยู่มาก แต่หลายๆคนก็ลืมไปว่า
ประเทศที่ได้ผลประโยชน์จากการค้าน้ำมันมากที่สุด ก็คือ อเมริกา
สาเหตุที่สำคัญอีกประการที่ทำให้ราคาน้ำมันขึ้นมาสูงมากขนาดนี้
ก็คือ เรื่องการเมืองภายในอเมริกาเอง
คุณรู้ไหมว่า นายบุช ทำธุรกิจอะไร
(ผมตอบเขาทันทีว่า น้ำมัน)
แล้วเมื่อใดต้องมีการเลือกตั้งที่อเมริกา
ก็ประมาณ พฤษศจิกายน
คุณพอคิดอะไรออกบ้างไหม
(มาถึงคำถามนี้ ผมนึกถึงประเด็นสำคัญที่ขาดหายไป
ในการประเมิณราคาน้ำมันทันที และตอบเขาไปทันที)
สิ่งนั้นก็คือ ทุนรอนในการเลือกตั้ง
เขาหัวเราะแล้วพูดต่อ นั่นแหละที่คุณน่าจะเข้าใจ
ในคำถามที่คุณได้ตั้งไว้เองแล้ว
คุณคิดว่าใช่ไหม ผมเลยแย้งเขาไปว่า
โดยปกติแล้ว ทุนรอนในการเลือกตั้งของนักการเมืองทั้งหลาย
มักมาจากตลาดทุนไม่ใช่หรือ
เขาตอบว่า ถ้าเป็นนักการเมืองคนอื่นก็ใช่
แต่หากเป็นคนที่มีธุรกิจเกี่ยวกับน้ำมัน
เขาไม่จำเป็นต้องใช้ตลาดทุน เพราะสิ่งที่เขาถนัดที่สุดก็คือ
การทำกำไรจากน้ำมัน
(ผมก็ถึงบางอ้อสิครับ เหมือนเส้นผมบังภูเขาจริงๆ)
ผมจึงสวนกลับว่า
ถ้าอย่างนั้น ราคาน้ำมันก็จะสูงขึ้นไปเรื่อยๆ
และหลังเลือกตั้งราคาน้ำมันก็น่าจะกลับสู่ภาวะปกติ
เขาตอบว่า มันขึ้นอยู่กับว่า ใครชนะเลือกตั้ง
และเรื่องของการทำกำไรจากการค้าน้ำมัน
ต้องมีการปล่อยให้ราคาขึ้นลงเหมือนตลาดหุ้นเช่นกัน
คุณอาจเห็นราคาขึ้นๆลงๆผันผวนไปจนเลือกตั้งเรียบร้อย
และหากนายบุชชนะ
ราคาก็จะถูกโมเมนตัมของการก่อการร้ายเป็นตัวกำหนดแทน
ซึ่งหากผู้ก่อการร้ายต้องการใช้น้ำมันบ่อนทำลายเศรษฐกิจอเมริกา
ตามที่นักวิเคราะห์หลายๆคนออกมาแสดงความเห็น
ผมจะคิดว่า กลุ่มก่อการร้ายเหล่านี้ไม่มีสมองจริงๆ
เพราะมันไม่ได้ทำให้ อเมริกาพินาศเป็นรายแรก
แต่จะทำให้อเมริกาพินาศเป็นรายสุดท้ายต่างหาก
แต่หากนายเคอรี่ชนะ ราคาอาจยังคงสูงอยู่อีกระยะ
ทั้งจากการเข้าสู่หน้าหนาว
และจากการถอนทุนที่ใช้ในการเลือกตั้งคืน
ซึ่งทำได้ไม่นานนักเพราะอำนาจเริ่มหมดลงแล้ว
เพื่อเป็นทุนรอนไปดำเนินการเรื่องอื่นๆต่อ
จากนั้นถ้านายเคอรี่ทำได้ตามที่เขาพูด
ราคาก็อาจกลับสู่สภาวะปกติได้
แต่หลังจากนั้นอีกสองสามปี ประเด็นเรื่องจีนกับไต้หวัน
อาจเป็นตัวแปรใหม่ที่จะกำหนดราคาน้ำมันก็ได้
คำถามในประเด็นนี้ ช่วยเปิดมุมมองของผมอีกมุมหนึ่ง
และหากเป็นจริงตามที่เขาคาดคะเน
ก็จะยิ่งทำให้ผมเกลียดนายบุชมากขึ้นอีกมาก
แต่เรื่องของอนาคตต้องรอดูให้รู้แน่เมื่อเวลามาถึง
และถ้าหากเขาคาดคะเนถูก
ผมคงต้องหาโอกาสมาพูดคุยกับเขาอีกในอนาคต
สิ่งที่สรุปได้ก็คือ ขนาดโอเปคเอง
ก็ยังไม่ใช่ผู้มีอำนาจกำหนดราคาน้ำมันอย่างแท้จริงหรือ
และถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เศรษฐกิจโลกจะทนไหวไหม
แต่หากราคาน้ำมันเริ่มลดลงหลังเลือกตั้งในอเมริกา
แล้วดีเซลเราจะต้องตรึงต่อไปอีกหรือ
ถ้าต้องตริงต่อ สิ้นปีจะพอไหม ยิ่งคิดยิ่งต้องติดตามอย่างกระชั้นชิดจริงๆครับ 5555
จากคุณ : ชอบอ่าน - [ 7 ส.ค. 47 02:24:08 A:203.118.106.111 X: ]