โบรกฯไทย-เทศ ชูหุ้นแบงก์ดาวเด่นปีหน้า
SCB-KBANK-BAY-BBL น่าลงทุนสุด
แบร์สเติร์นส์ วาณิชธนากรยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ เชียร์ลงทุน SCB-KBANK -BAY และ BBL ให้น้ำหนักการลงทุนเหนือตลาด เหตุโดดเด่นทั้งคุณภาพสินเชื่อ การบริการ ความสามารถทำกำไรสูง ขณะที่ทิสโก้-ASP ก็ประสานเสียงเชียร์หุ้นแบงก์ ระบุ ปีหน้าโดดเด่นเหนือกลุ่มพลังงาน หลังได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของการบริโภค การลงทุน และหมดภาระตั้งสำรอง อีกทั้งเชื่อการปล่อยสินเชื่อจะเริ่มกลับมา
ภาวะการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ก่อนจะมีการเลือกตั้ง วันที่ 23 ธันวาคมนี้ ผันผวนมากทีเดียว อีกทั้งก่อนหน้านี้ยังได้รับปัจจัยลบมากระทบจากประเด็นการตัดสินคดีแปรรูป บมจ.ปตท. (PTT) ของศาลปกครอง ที่แม้ว่าศาลฯจะตัดสินว่า ปตท.ไม่ต้องถูกถอดถอนออกจากตลาดฯ แต่ก็ยังต้องโอนทรัพย์สินที่เป็นท่อก๊าซ และอสังหาริมทรัพย์คืนไปเป็นของกระทรวงการคลัง โดยมีมูลค่าทรัพย์สินที่ต้องคืนกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท และจ่ายค่าเช่าให้กับกระทรวงการคลังเป็นเวลา 30 ปี จำนวน 5% ของรายได้ แต่ข่าวดังกล่าวก็ส่งผลกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุนของนักลงทุนค่อนข้างมาก โดยเฉพาะนักลงทุนต่างประเทศ เนื่องจากการโอนทรัพย์สินไปเป็นของรัฐนั้นจะส่งผลกระทบต่อรายได้และกำไรของ ปตท. ในไตรมาส 4 นี้ค่อนข้างแน่นอน
ดังนั้นในช่วง 1 สัปดาห์นี้ หลังคำตัดสินออกมา จึงมีแรงขายหุ้น PTT ออกมาเพื่อเป็นการลดความเสี่ยงจากประเด็นดังกล่าว รวมไปถึงหุ้นกลุ่มพลังงานตัวอื่น อย่างเช่น บมจ. ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ที่โดนหางเลขจากกรณีนี้ไปด้วย นอกจากปัจจัยจากเรื่อง PTT การชะลอลงทุนเพื่อรอฟังผลการเลือกตั้งวันที่ 23 ธันวาคมนี้ ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นออกมาเพื่อรอดูว่า การเลือกตั้งครั้งใหม่จะได้ใครมาเป็นรัฐบาล และจะสร้างความเชื่อมั่นดึงความมั่นใจของนักลงทุนกลับมาได้อย่างไร เพราะฉะนั้นเมื่อบวกปัจจัยเหล่านี้ จึงทำให้มีการมองว่าหุ้นพลังงานในช่วงนี้ ไม่น่าสนใจเท่าที่ควร
นอกจากนี้ยังมีการคาดการณ์ด้วยว่า ในปีหน้าหุ้นกลุ่มดังกล่าวจะไม่ค่อยได้รับความสนใจ และน่าลงทุนเท่ากับปีนี้ เนื่องมาจากราคาน้ำมันคงไม่ช่วยให้กลุ่มพลังงานได้รับประโยชน์มากนัก เพราะเชื่อว่าราคาน้ำมันในปีนี้ได้ขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุดแล้ว และปีหน้าความต้องการใช้ก็อาจจะลดลงกดดันราคาให้ลดลงด้วย เมื่อพิจารณาจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ขณะที่กลุ่มธนาคารพาณิชย์กลับกลายเป็นหุ้นในกลุ่มที่นักวิเคราะห์ ทั้งในและต่างประเทศ พร้อมใจกันแนะนำ เนื่องจากปีหน้าธนาคารฯจะหมดภาระเรื่องการตั้งสำรองตามเกณฑ์ใหม่ IAS39 แล้ว หลังจากที่ปีนี้ต่างก็ตั้งสำรองจนส่งผลกระทบต่อฐานะ ดังนั้นเมื่อไม่มีภาระดังกล่าวก็จะทำให้รายได้ กำไรของธนาคารฯ เต็มเม้ดเต็มหน่วยขึ้นในปีหน้า อีกทั้งการกระตุ้นการบิรโภค การลงทุน ทั้งในส่วนของภาครัฐเองและเอกชนก็สนับสนุนให้รายได้จากสินเชื่อ และค่าธรรมเนียมของธนาคารฯเพิ่มขึ้น ผลักดันให้หุ้นกลุ่มนี้มีความน่าลงทุนมากขึ้น
*แบร์สเติร์นส์ ชี้ แบงก์คุณภาพดีผลตอบแทนสูง เชียร์ SCB-KBANK-BAY-BBL
รายงานข่าวจากต่างประเทศ ระบุว่า แบร์สเติร์นส์ วาณิชธนกิจรายใหญ่ของสหรัฐ ได้เริ่มออกบทวิเคราะห์อันดับความน่าลงทุน ของธนาคารไทย 6 แห่ง โดยระบุว่า แบร์ สเติร์นส์คาดว่า ธนาคาร "ที่มีคุณภาพดีที่สุด" ในไทยจะยังคงให้ผลตอบแทนสูงในปีหน้า
แบร์สเติร์นส์ได้จัดอันดับความน่าลงทุนของธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ที่ 'outperform' หรือให้น้ำหนักการลงทุนสูงกว่าตลาดฯ และปรับตัวโดดเด่นกว่าหุ้นในกลุ่มเดียวกัน โดยระบุว่า SCB เป็นธนาคารลูกค้ารายย่อยอันดับ 1 ของไทย และติดอันดับสูงสุดในแง่ของการขยายตัวและความสามารถในการทำกำไร และยังเป็นอันดับ 2 ในด้านคุณภาพสินเชื่อ ซึ่งบทวิเคราะห์ระบุว่า แม้ "หุ้นธ.ไทยพาณิชย์มีราคาแพง แต่ก็คุ้มค่า"
ขณะเดียวกันยังได้จัดอันดับธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ไว้ที่ 'outperform' เช่นกัน โดย KBANK "ให้ความสำคัญอย่างชัดเจนในเรื่อง คุณภาพการให้บริการ" และการขยายตัวในอัตราตัวเลข 2 หลักของการปล่อยสินเชื่อ เงินฝากและผลกำไรในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ประกอบกับคุณภาพด้านสินเชื่อที่ดีที่สุดในระบบก็เป็นปัจจัยหนุนในการให้อันดับ 'outperform' แก่ KBANK
นอกจากนี้ยังให้อันดับ 'outperform' สำหรับธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) โดย BAY ได้เริ่มช่วงการเปลี่ยนผ่านทางธุรกิจที่ทำให้ BAY เป็นหนึ่งในหุ้นกลุ่มธนาคารทีน่าสนใจที่สุดในไทย โดย BAYได้ประโยชน์จากการอัดฉีดเงินทุน 836 ล้านดอลลาร์จากจีอี แคปิตอลในปีนี้
อย่างไรก็ดี แบร์สเติร์นส์ ให้อันดับ 'peer perform' หรือปรับตัวเท่าเทียมกับหุ้นในกลุ่มเดียวกัน ต่อธนาคารกรุงเทพ (BBL) ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่ที่สุดของไทย โดยระบุว่า BBL มีความได้เปรียบด้านการแข่งขันในภาคธนาคาร แต่ก็มีแนวโน้มที่จะมีความเสียเปรียบในช่วงที่ภาวะการเมืองและเศรษฐกิจไม่มีความแน่นอน โดยขณะที่สถานะทางการเงินของBBL มีความแข็งแกร่งในทุกด้านนั้น แต่ BBL กลับไม่ใช่ผู้นำตลาดในแง่ของการขยายตัว ความสามารถในการทำกำไร หรือคุณภาพสินเชื่อ
ส่วนธนาคารกรุงไทย (KTB) อยู่ในอันดับ 'underperform' หรือปรับตัวด้อยกว่าหุ้นในกลุ่มเดียวกัน ในขณะที่ KTB มีส่วนแบ่งตลาดมากที่สุดสำหรับเงินกู้ด้อยคุณภาพ "ประเด็นสินเชื่อมีแนวโน้มที่จะยังคงถ่วงราคาหุ้นของ KTB ในปี 2551" และยังจัดให้ธนาคารทหารไทย (TMB) อยู่ในอันดับ 'underperform' เช่นเดียวกัน โดยระบุว่า TMB "เป็นธนาคารไทยที่ประสบปัญหาทางการเงินมากที่สุด และแม้ว่าแนวโน้มการเงินของทางธนาคารดีขึ้น แต่ TMB จะยังไม่สามารถมีความได้เปรียบในการแข่งขันได้อย่างเต็มที่ในปีหน้า
* ทิสโก้ มองปี 51 อสังหาฯ จะโดดเด่น แต่พลังงานแผ่ว
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร กรรมการผู้จัดการ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ในปีหน้ากลุ่มพลังงานอาจจะได้รับความสนใจน้อยกว่ากลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่จะเข้ามาแทนที่ เนื่องจากปีนี้มีการตั้งสำรองค่อนข้างมากแล้ว ปีหน้าจึงจะเริ่มมีกำไร อย่างไรก็ตามนักลงทุนคงจะต้องเลือกลงทุนหุ้นที่เติบโตตามภาวะเศรษฐกิจ โดยติดตามผลงานของรัฐบาลชุดใหม่ว่าจะสร้างความมั่นใจได้หรือไม่ รวมถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ
" ปีหน้าหุ้นกลุ่มพลังงานจะได้ผลประโยชน์จากราคาน้ำมันน้อยลง จากปี 2550 ที่ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นสูงมากแล้ว ซึ่งจะมองว่าในปีหน้ากลุ่มอุตสาหกรรมที่จะยังคงได้รับความสนใจและเข้ามาแทนที่กลุ่มพลังงาน คือ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของการบริโภคและการลงทุน รวมถึงการตั้งสำรอง ขณะที่คาดว่าการปล่อยสินเชื่อจะเริ่มกลับมา "
* เชียร์ ซื้อ SCB-KBANK-BBL
ด้านนายปรเมศร์ ทองบัว หัวหน้าสำนักวิจัยหลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ภาพรวมของธนาคารพาณิชย์ในปีหน้า สินเชื่อโดยรวมน่าจะขยายตัวได้ 11-12% จากปีนี้ที่ขยายตัวเพียง 4% ขณะที่มาร์จิ้นจากการดำเนินธุรกิจก็น่าจะดีขึ้นเช่นเดียวกัน สืบเนื่องจากภาพรวมของเศรษฐกิจปีหน้าเริ่มปรับตัวดีขึ้นตามการฟื้นตัวของการบริโภคภายในประเทศและการลงทุนหลังได้รัฐบาลใหม่มาขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ส่วนกฎเกณฑ์ของทางการ ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน หรือพ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝาก ไม่ได้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของธนาคารพาณิชย์ โดยพ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝากต้องใช้ระยะเวลาอีก 5 ปีกว่าที่รัฐบาลจะยกเลิกการคุ้มครอง ส่วนปัญหาซับไพร์มก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์โดยตรง เนื่องจากมีการลงทุนในสินเชื่อซับไพร์มน้อยมาก
ทั้งนี้ บริษัทฯ แนะนำซื้อ SCB KBANK ซึ่งถือว่าเป็นหุ้นที่มีความโดดเด่นมากที่สุดในระยะสั้น เพราะสินเชื่อขยายตัวดีในช่วงที่ผ่านมาทำให้นักลงทุนชื่นชอบ ราคาเป้าหมายปีหน้าอยู่ที่ 29.50 และ 90 บาท ตามลำดับ ส่วนระยะกลางแนะนำซื้อ BBL ราคาเป้าหมายปีหน้า 150 บาท
* ASP ให้น้ำหนักการลงทุนหุ้นแบงก์มากกว่าตลาดฯ
นางสาวอุษณีย์ ลิ่วรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเซียพลัส กล่าวว่า ในปีหน้าบริษัทฯ ให้น้ำหนักการลงทุนหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์มากกว่าตลาดหุ้นโดยเชื่อว่าภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปีหน้าจะดีกว่าปีนี้ หลังได้รัฐบาลชุดใหม่เข้ามากระตุ้นการลงทุน จากปีนี้ที่การลงทุนชะลอตัว ซึ่งจะทำให้ธนาคารพาณิชย์ได้รับผลประโยชน์ในการปล่อยสินเชื่อ ขณะเดียวกันปีหน้าธนาคารฯ ส่วนใหญ่จะหมดภาระกันสำรองตามเกณฑ์ IAS39 ทำให้กำไรที่เกิดขึ้นปีหน้าจะไม่ได้รับผลกระทบจากการกันสำรอง
สำหรับกฎหมายต่างๆ ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะออกมาบังคับใช้ไม่น่าจะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในธนาคารฯ อย่างมีนัยสำคัย เพราะพ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงินนั้น เนื้อหาหลักจะเกี่ยวกับกฎเกณฑ์การกำกับแบบรวมกลุ่ม ซึ่งก่อนที่กฎหมายจะออกมาธนาคารฯ ได้ปรับโครงสร้างบริษัทในเครือล่วงหน้าเพื่อรองรับเกณฑ์ดังกล่าวแล้ว ส่วนเพดานการถือหุ้นของต่างชาติที่ขยายเพิ่มเป็น49% น่าจะเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นกลุ่มแบงก์
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงต่อหุ้นกลุ่มดังกล่าว เรื่องหนึ่งคือ ปัญหาซับไพร์มที่ยังคงต้องติดตาม แม้ว่าธนาคารฯ จะไม่ได้ลงทุนสินเชื่อซับไพร์มโดยตรง แต่หากปัญหาซับไพร์มลุกลามมากขึ้นจะทำให้แบงก์ต้องเผชิญความเสียหายจากการลดมูลค่าเงินลงทุนทำให้ต้องสำรองเพิ่ม ซึ่งที่ผ่านมาก็มีผลกระทบต่อหุ้นกลุ่มแบงก์พอสมควร
สำหรับหุ้นกลุ่มแบงก์ที่โดดเด่นที่สุดและบริษัทฯ แนะนำซื้อ ได้แก่ KBANK SCB และ BAY ราคาเป้าหมาย 117, 97 และ 37 บาท ตามลำดับ
ส่วนความเคลื่อนไหว ราคาหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ วานนี้ (20 ธ.ค.) KBANK ปิดที่ 80 บาท ลดลง 1.50 บาท หรือ 1.84% มูลค่าการซื้อขาย 125.17 ล้านบาท หุ้น BBL ปิดที่ 113 บาท ลดลง 1 บาท หรือ 0.88% มูลค่าการซื้อขาย 347.30 ล้านบาท หุ้น SCB ปิดที่ 79 บาท ลดลง 1 บาท หรือ 1.25% มูลค่าการซื้อขาย 342.81 ล้านบาท หุ้น BAY ปิดที่ 24.50 บาท ลดลง 0.40 บาท หรือ 1.61% มูลค่าการซื้อขาย 221.62 ล้านบาท หุ้น TMB ปิดที่ 1.41 บาท ลดลง 0.01 บาท หรือ 0.71% มูลค่าการซื้อขาย 91.32 ล้านบาท หุ้น KTB ปิดที่ 9.30 บาท ลดลง 0.10 บาท มูลค่าการซื้อขาย 165.43 ล้านบาท และหุ้น SCIB อยู่ที่ 15 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง มีมูลค่าการซื้อขาย 11.92 ล้านบาท
โบรกฯไทย-เทศ ชูหุ้นแบงก์ดาวเด่นปีหน้า
-
- Verified User
- โพสต์: 4
- ผู้ติดตาม: 0
โบรกฯไทย-เทศ ชูหุ้นแบงก์ดาวเด่นปีหน้า
โพสต์ที่ 2
อืม
111 คือธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาสำนักรัชโยธิน สำนักงานใหญ่ ใครไปทำงานระวังโดนแบบผมนะครับ
******************************************************
... ข้างล่าง link นี้ หากคุณเมตตา สุดสวาทฟ้องผม คุณก็ชนะครับ ....
http://my.dek-d.com/madeinthailand/stor ... ?id=323008
อยากให้อ่านเล่นๆ เข้าหน้ากลาง : http://my.dek-d.com/madeinthailand
คัมภีร์มหาโกง : http://my.dek-d.com/madeinthailand/stor ... ?id=322736
หลังม่านประวัติศาสตร์ : http://my.dek-d.com/madeinthailand/stor ... ?id=322787
@9 nice club นิทาน
เพื่อเด็กทุกคน : http://my.dek-d.com/madeinthailand/stor ... ?id=322962
111 คือธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาสำนักรัชโยธิน สำนักงานใหญ่ ใครไปทำงานระวังโดนแบบผมนะครับ
******************************************************
... ข้างล่าง link นี้ หากคุณเมตตา สุดสวาทฟ้องผม คุณก็ชนะครับ ....
http://my.dek-d.com/madeinthailand/stor ... ?id=323008
อยากให้อ่านเล่นๆ เข้าหน้ากลาง : http://my.dek-d.com/madeinthailand
คัมภีร์มหาโกง : http://my.dek-d.com/madeinthailand/stor ... ?id=322736
หลังม่านประวัติศาสตร์ : http://my.dek-d.com/madeinthailand/stor ... ?id=322787
@9 nice club นิทาน

