อุตสาหกรรมการเงินการธนาคาร
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news24/09/07
โพสต์ที่ 181
TCAP-TISCO-KK แจ๋ว- เข้าตำราหุ้นแบงก์เล็กพริกขี้หนู ปันผลเด่น
โบรกเกอร์ประสานเสียงเชียร์ซื้อหุ้นแบงก์เล็ก TCAP-TISCO-KK เหตุจ่ายเงินปันผลสูง ระบุไม่ต้องนำเงินไปลงทุนมากเหมือนธนาคารใหญ่ จ่ายผลตอบแทนผู้ถือหุ้นได้เต็มที่ ประเมินราคาเป้าหมายปีหน้า 21 บาท 37 บาท และ 41 บาทตามลำดับ
หุ้นธนาคารขนาดเล็กโดดเด่น นักวิเคราะห์หลายสำนักแนะนำให้ซื้อลงทุน เพื่อรอรับเงินปันผลที่คาดว่าจะจ่ายสูงกว่าแบงก์ใหญ่ เนื่องจากไม่มีความจำเป็นต้องนำเงินไปขยายธุรกิจมาก จึงนำมาตอบแทนผู้ถือหุ้นได้เต็มๆ โดยหุ้นที่น่าสนใจประกอบด้วย TCAP TISCO และ KK
นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่า หากนักลงทุนที่สนใจจะลงทุนในหุ้นธนาคารและเน้นในเรื่องของเงินปันผลเป็นหลัก แนะนำให้นักลงทุนลงทุนในหุ้นธนาคารขนาดเล็กอย่าง บริษัท ทุนธนชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ TCAP ธนาคาร ทิสโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) หรือ KK เนื่องจากกลุ่มธนาคารเหล่านี้จ่ายเงินปันผลดี สำหรับราคาเป้าหมาย TCAP ปี 2551 อยู่ที่ 21 บาท TISCO ราคาเป้าหมายปี 2551 อยู่ที่ 37 บาท และ KK ราคาเป้าหมายปี 2551 อยู่ที่ 41 บาท
สำหรับธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่จ่ายเงินปันผลระหว่างการไปแล้วขณะนี้มีอยู่ 2 แห่งด้วยกันคือ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL จ่ายเงินปันผลไปในราคา 1 บาทต่อหุ้น ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK จ่ายในราคา 0.50 บาทต่อหุ้น ส่วนธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY และ ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCIB แม้ว่าปกติจะต้องจ่ายเงินปันผลระหว่างการ แต่คาดว่าปีนี้ไม่น่าจะจ่ายรวมไปถึงสิ้นปีของงบประมาณธนาคารด้วย
ทั้งนี้ ในส่วนของ BAY ติดปัญหาในเรื่องของผลกำไรขาดทุน ส่วน SCIB ติดในเรื่องของกำไร ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของบอร์ดธนาคาร แต่เชื่อว่าคงไม่น่ามีมติให้จ่ายเงินปันผลแน่นอน นอกจากนี้ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) เป็นที่แน่นอนแล้วว่าไม่มีเงินปันผลให้นักลงทุน ดังนั้น จึงแนะนำว่าไม่ควรลงทุน แต่หากดูปัจจัยอื่นที่ไม่ใช่เรื่องของเงินปันผล BBL และ KBANK ยังโดดเด่นอยู่ เพราะธนาคารดังกล่าวมีพื้นฐานดี
ด้านนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ถ้าหากนักลงทุนต้องการจะลงทุนให้หุ้นกลุ่มธนาคารที่มีเงินปันผล แนะนำว่าควรเป็นหุ้นธนาคารเกียรตินาคิน (KK) ราคาเป้าหมายปี 2551 อยู่ที่ 33 บาท ธนาคาร ทิสโก้ ราคาเป้าหมายปี 2551 อยู่ที่ 36 บาท และบริษัท ทุนธนชาติ ราคาเป้าหมายปี 2551 อยู่ที่ 19 บาท เพราะธนาคารเหล่านี้จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอและให้ในอัตราสูง
สำหรับธนาคารพาณิชย์ที่จ่ายเงินปันผลระหว่างการในขณะนี้มีอยู่ 3 ธนาคารด้วยกัน คือ ธนาคารกรุงเทพ อัตรา 1 บาทต่อหุ้น ธนาคารกสิกรไทย อัตรา 0.50 บาทต่อหุ้น และธนาคารเกียรตินาคิน จ่ายอัตรา 1 บาทต่อหุ้น ทั้งนี้ คาดว่า ไม่น่าจะมีธนาคารไหนที่จะจ่ายเงินปันผลระหว่างการแล้ว แม้แต่ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCIB ขณะนี้ก็ยังไม่มีนโยบายออกมาเลยว่าจะจ่ายหรือไม่
ด้านนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หุ้นกลุ่มธนาคารที่จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลขณะนี้ มี 3 ธนาคารด้วยกัน ประกอบด้วย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารเกียรตินาคิน
หากนักลงทุนต้องการที่จะซื้อหุ้นธนาคารเพื่อลงทุน แนะว่าไม่ควรดูในเรื่องของการจ่ายเงินปันผลอย่างเดียว แต่หากนักลงทุนต้องการที่จะลงทุนโดยคำนึงถึงเงินปันผลก็แนะนำว่าคววรเล่นหุ้นกลุ่มธนาคารขนาดเล็กดีกว่า คือ ธนาคารเกียรตินาคิน (KK) และบริษัท ทุนธนชาติ จำกัด (มหาชน) (TCAP) ราคาเป้าหมายปี 2551 อยู่ที่ 19.40 บาท
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16
โบรกเกอร์ประสานเสียงเชียร์ซื้อหุ้นแบงก์เล็ก TCAP-TISCO-KK เหตุจ่ายเงินปันผลสูง ระบุไม่ต้องนำเงินไปลงทุนมากเหมือนธนาคารใหญ่ จ่ายผลตอบแทนผู้ถือหุ้นได้เต็มที่ ประเมินราคาเป้าหมายปีหน้า 21 บาท 37 บาท และ 41 บาทตามลำดับ
หุ้นธนาคารขนาดเล็กโดดเด่น นักวิเคราะห์หลายสำนักแนะนำให้ซื้อลงทุน เพื่อรอรับเงินปันผลที่คาดว่าจะจ่ายสูงกว่าแบงก์ใหญ่ เนื่องจากไม่มีความจำเป็นต้องนำเงินไปขยายธุรกิจมาก จึงนำมาตอบแทนผู้ถือหุ้นได้เต็มๆ โดยหุ้นที่น่าสนใจประกอบด้วย TCAP TISCO และ KK
นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่า หากนักลงทุนที่สนใจจะลงทุนในหุ้นธนาคารและเน้นในเรื่องของเงินปันผลเป็นหลัก แนะนำให้นักลงทุนลงทุนในหุ้นธนาคารขนาดเล็กอย่าง บริษัท ทุนธนชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ TCAP ธนาคาร ทิสโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) หรือ KK เนื่องจากกลุ่มธนาคารเหล่านี้จ่ายเงินปันผลดี สำหรับราคาเป้าหมาย TCAP ปี 2551 อยู่ที่ 21 บาท TISCO ราคาเป้าหมายปี 2551 อยู่ที่ 37 บาท และ KK ราคาเป้าหมายปี 2551 อยู่ที่ 41 บาท
สำหรับธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่จ่ายเงินปันผลระหว่างการไปแล้วขณะนี้มีอยู่ 2 แห่งด้วยกันคือ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL จ่ายเงินปันผลไปในราคา 1 บาทต่อหุ้น ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK จ่ายในราคา 0.50 บาทต่อหุ้น ส่วนธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY และ ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCIB แม้ว่าปกติจะต้องจ่ายเงินปันผลระหว่างการ แต่คาดว่าปีนี้ไม่น่าจะจ่ายรวมไปถึงสิ้นปีของงบประมาณธนาคารด้วย
ทั้งนี้ ในส่วนของ BAY ติดปัญหาในเรื่องของผลกำไรขาดทุน ส่วน SCIB ติดในเรื่องของกำไร ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของบอร์ดธนาคาร แต่เชื่อว่าคงไม่น่ามีมติให้จ่ายเงินปันผลแน่นอน นอกจากนี้ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) เป็นที่แน่นอนแล้วว่าไม่มีเงินปันผลให้นักลงทุน ดังนั้น จึงแนะนำว่าไม่ควรลงทุน แต่หากดูปัจจัยอื่นที่ไม่ใช่เรื่องของเงินปันผล BBL และ KBANK ยังโดดเด่นอยู่ เพราะธนาคารดังกล่าวมีพื้นฐานดี
ด้านนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ถ้าหากนักลงทุนต้องการจะลงทุนให้หุ้นกลุ่มธนาคารที่มีเงินปันผล แนะนำว่าควรเป็นหุ้นธนาคารเกียรตินาคิน (KK) ราคาเป้าหมายปี 2551 อยู่ที่ 33 บาท ธนาคาร ทิสโก้ ราคาเป้าหมายปี 2551 อยู่ที่ 36 บาท และบริษัท ทุนธนชาติ ราคาเป้าหมายปี 2551 อยู่ที่ 19 บาท เพราะธนาคารเหล่านี้จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอและให้ในอัตราสูง
สำหรับธนาคารพาณิชย์ที่จ่ายเงินปันผลระหว่างการในขณะนี้มีอยู่ 3 ธนาคารด้วยกัน คือ ธนาคารกรุงเทพ อัตรา 1 บาทต่อหุ้น ธนาคารกสิกรไทย อัตรา 0.50 บาทต่อหุ้น และธนาคารเกียรตินาคิน จ่ายอัตรา 1 บาทต่อหุ้น ทั้งนี้ คาดว่า ไม่น่าจะมีธนาคารไหนที่จะจ่ายเงินปันผลระหว่างการแล้ว แม้แต่ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCIB ขณะนี้ก็ยังไม่มีนโยบายออกมาเลยว่าจะจ่ายหรือไม่
ด้านนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หุ้นกลุ่มธนาคารที่จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลขณะนี้ มี 3 ธนาคารด้วยกัน ประกอบด้วย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารเกียรตินาคิน
หากนักลงทุนต้องการที่จะซื้อหุ้นธนาคารเพื่อลงทุน แนะว่าไม่ควรดูในเรื่องของการจ่ายเงินปันผลอย่างเดียว แต่หากนักลงทุนต้องการที่จะลงทุนโดยคำนึงถึงเงินปันผลก็แนะนำว่าคววรเล่นหุ้นกลุ่มธนาคารขนาดเล็กดีกว่า คือ ธนาคารเกียรตินาคิน (KK) และบริษัท ทุนธนชาติ จำกัด (มหาชน) (TCAP) ราคาเป้าหมายปี 2551 อยู่ที่ 19.40 บาท
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news24/09/07
โพสต์ที่ 182
แมคควอรี่+มูดี้ส์+เคจีไอ ประสานเสียง หุ้นธนาคารพาณิชย์ไทยมีความเข้มแข็ง น่าเชื่อถือ นำโดย KBANK
Posted on Monday, September 24, 2007
สถาบันการเงินข้ามชาติ 3 ราย ได้ออกมายืนยันตรงกัน ในวันนี้ว่า สถาบันการเงินไทย โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ยังคงมีความเข้มแข็ง ทั้งด้านฐานะการเงิน และความสามารถในการบริหารธุรกิจ
มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส หรือที่นิยมเรียกกันสั้น ๆ ว่า มูดี้ส์ สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศ ได้ออกมาย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า ระบบธนาคารพาณิชย์ไทยยังคงมีเสถียรภาพ ทำให้ไม่มีความจำเป็นต้องปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือที่มีกับธนาคารพาณิชย์ไทย ทั้ง 12 แห่งแต่อย่างใด
ขณะที่ ฝ่ายวิเคราะห์ แมคควอรี่ ยักษ์ใหญ่ธุรกิจการเงินออสเตรเลีย ได้ออกบทวิจัยหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทย โดยยืนยันว่า ยังคงแนะนำ " Overweight " หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทย ถึงแม้ว่า นักกลยุทธ์การลงทุน ( strategist) ของบริษัท ได้ downgrade ประเทศไทยลงจากระดับ " Overweight " เป็นระดับ " Underweight " เนื่องจากเมื่อเปรียบเทียบความน่าสนใจระหว่างตลาหดุ้นไทย กับตลาดหุ้นเกาหลีใต้ และตลาดหุ้นไต้หวันแล้ว มีความน่าสนใจมากกว่าตลาดหุ้นไทย
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ของแมคควอรี่ อธิบายว่า แม้พื้นฐานทางเศรษฐกิจไทยจะดูไม่น่าสนใจในขณะนี้ แต่โดยส่วนตัวแล้ว เขาเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจไทยจะเริ่มฟื้นตัวให้เห็นได้ในปีหน้า เมื่อการเลือกตั้งในปลายปีนี้ จะทำให้สถานการณ์การเมืองกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ทำให้การใช้จ่ายภาครัฐมีมากขึ้น ขณะที่การลงทุน และการบริโภคที่ซึมตัวมาตลอดปี ก็จะค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้นมา เมื่อทุกฝ่ายมีความมั่นใจกันมากขึ้น ประกอบกับตัวแทนพรรคการเมืองใหญ่ ที่ได้รับการคาดหมายว่า จะก้าวขึ้นเป็นรัฐบาล ได้ประกาศแล้วว่า ประเทศไทยจะยังเปิดต้อนรับการลงทุน และการค้าเสรีกับนักลงทุนต่างชาติ
อย่างไรก็ตาม หากให้เลือก Top picks ของหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ แมคควอรี่ กลับชื่นชอบ KBANK เป็นพิเศษ รองลงไปเป็นหุ้น KTB ซึ่งโดดเด่นในแง่การเป็นธนาคารที่มี leverage ต่อเศรษฐกิจในประเทศสูงที่สุด ส่วนธนาคารที่ยกระดับขึ้นมาจากบริษัทเงินทุนเก่า อย่าง KK และ TISCO ยังมี valuation ที่น่าสนใจ และการจ่ายเงินปันผลในอัตราสูงน่าสนใจ แถมยังจะได้ประโยชน์จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลง และประเด็นเรื่องการควบรวมกิจการ (M&A) ว่า จะเป็นปัจจัยที่ผลักดันผลประกอบการของธนาคารได้
ส่วน เคจีไอ ของไต้หวัน ชี้ว่า การที่ตัวเลขทางเศรษฐกิจเมื่อเร็ว ๆ นี้เริ่มแสดงให้เห็นภาพการฟื้นตัว ตัวเลขค่าใช้จ่ายในการโฆษณาพลิกจากตัวเลขติดลบ ขึ้นมาเป็นเติบโต 5% ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และทำสถิติเติบโตได้เป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน เช่นเดียวกับตัวเลขการขายรถยนต์ในประเทศ ที่ดีขึ้น 1% เป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน ขณะที่มูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ( Foreign Direct Investment - FDI) ก็ถีบตัวเพิ่มกว่า 133% เป็น 146.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเช่นกัน แสดงให้เห็นถึงความต้องการลงทุนที่เพิ่มขึ้น ส่วนการใช้จ่ายภาครัฐยังเพิ่มอย่างรวดเร็ว โดยมีตัวเลขเบิกจ่ายสูงเกิน 90% ในรอบ 11 เดือนที่ผ่านมา ประกอบกับการมีวันเลือกตั้งที่ชัดเจน อัตรา
ดอกเบี้ยที่ต่ำ และอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่ควบคุมได้ ทำให้ ฝ่ายวิจัย KGI มั่นใจว่า เศรษฐกิจไทยจะค่อย ๆ ฟื้นตัว และช่วยผลักดันผลประกอบการธนาคารพาณิชย์ให้ดีขึ้นตลอดปีนี้
อย่างไรก็ดี หากต้องเลือกลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ KGI ยังเชื่อมั่นในการลงทุนหุ้นธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่อย่าง SCB และ KBANK เนื่องจาก
การขยายตัวของสินเชื่อ และส่วนต่างดอกเบี้ยที่ดีจากนโยบายสินเชื่อที่มุ่งเน้น
สินเชื่อผลตอบแทนสูงจากกลุ่ม SMEs และสินเชื่อเช่าซื้อ ประกอบกับ
ความสามารถในการจัดการหนี้เสียที่ดี
นอกจากนั้น ฝ่ายวิจัย KGI ยังเลือก BAY เป็นตัวแทนของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดกลาง เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานที่ดีขึ้นจากการร่วมทุนของกลุ่ม GE และการ
ฟื้นตัวของกำไรในปีหน้าหลักการควบรวมกิจการของ GECAL
มันนี่ ชาเนล - วรนนท์ อัศวพิริยานนท์
โทรศัพท์ - 02- 229 - 2000 ต่อ 2616
อีเมล - [email protected]
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
Posted on Monday, September 24, 2007
สถาบันการเงินข้ามชาติ 3 ราย ได้ออกมายืนยันตรงกัน ในวันนี้ว่า สถาบันการเงินไทย โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ยังคงมีความเข้มแข็ง ทั้งด้านฐานะการเงิน และความสามารถในการบริหารธุรกิจ
มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส หรือที่นิยมเรียกกันสั้น ๆ ว่า มูดี้ส์ สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศ ได้ออกมาย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า ระบบธนาคารพาณิชย์ไทยยังคงมีเสถียรภาพ ทำให้ไม่มีความจำเป็นต้องปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือที่มีกับธนาคารพาณิชย์ไทย ทั้ง 12 แห่งแต่อย่างใด
ขณะที่ ฝ่ายวิเคราะห์ แมคควอรี่ ยักษ์ใหญ่ธุรกิจการเงินออสเตรเลีย ได้ออกบทวิจัยหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทย โดยยืนยันว่า ยังคงแนะนำ " Overweight " หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทย ถึงแม้ว่า นักกลยุทธ์การลงทุน ( strategist) ของบริษัท ได้ downgrade ประเทศไทยลงจากระดับ " Overweight " เป็นระดับ " Underweight " เนื่องจากเมื่อเปรียบเทียบความน่าสนใจระหว่างตลาหดุ้นไทย กับตลาดหุ้นเกาหลีใต้ และตลาดหุ้นไต้หวันแล้ว มีความน่าสนใจมากกว่าตลาดหุ้นไทย
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ของแมคควอรี่ อธิบายว่า แม้พื้นฐานทางเศรษฐกิจไทยจะดูไม่น่าสนใจในขณะนี้ แต่โดยส่วนตัวแล้ว เขาเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจไทยจะเริ่มฟื้นตัวให้เห็นได้ในปีหน้า เมื่อการเลือกตั้งในปลายปีนี้ จะทำให้สถานการณ์การเมืองกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ทำให้การใช้จ่ายภาครัฐมีมากขึ้น ขณะที่การลงทุน และการบริโภคที่ซึมตัวมาตลอดปี ก็จะค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้นมา เมื่อทุกฝ่ายมีความมั่นใจกันมากขึ้น ประกอบกับตัวแทนพรรคการเมืองใหญ่ ที่ได้รับการคาดหมายว่า จะก้าวขึ้นเป็นรัฐบาล ได้ประกาศแล้วว่า ประเทศไทยจะยังเปิดต้อนรับการลงทุน และการค้าเสรีกับนักลงทุนต่างชาติ
อย่างไรก็ตาม หากให้เลือก Top picks ของหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ แมคควอรี่ กลับชื่นชอบ KBANK เป็นพิเศษ รองลงไปเป็นหุ้น KTB ซึ่งโดดเด่นในแง่การเป็นธนาคารที่มี leverage ต่อเศรษฐกิจในประเทศสูงที่สุด ส่วนธนาคารที่ยกระดับขึ้นมาจากบริษัทเงินทุนเก่า อย่าง KK และ TISCO ยังมี valuation ที่น่าสนใจ และการจ่ายเงินปันผลในอัตราสูงน่าสนใจ แถมยังจะได้ประโยชน์จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลง และประเด็นเรื่องการควบรวมกิจการ (M&A) ว่า จะเป็นปัจจัยที่ผลักดันผลประกอบการของธนาคารได้
ส่วน เคจีไอ ของไต้หวัน ชี้ว่า การที่ตัวเลขทางเศรษฐกิจเมื่อเร็ว ๆ นี้เริ่มแสดงให้เห็นภาพการฟื้นตัว ตัวเลขค่าใช้จ่ายในการโฆษณาพลิกจากตัวเลขติดลบ ขึ้นมาเป็นเติบโต 5% ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และทำสถิติเติบโตได้เป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน เช่นเดียวกับตัวเลขการขายรถยนต์ในประเทศ ที่ดีขึ้น 1% เป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน ขณะที่มูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ( Foreign Direct Investment - FDI) ก็ถีบตัวเพิ่มกว่า 133% เป็น 146.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเช่นกัน แสดงให้เห็นถึงความต้องการลงทุนที่เพิ่มขึ้น ส่วนการใช้จ่ายภาครัฐยังเพิ่มอย่างรวดเร็ว โดยมีตัวเลขเบิกจ่ายสูงเกิน 90% ในรอบ 11 เดือนที่ผ่านมา ประกอบกับการมีวันเลือกตั้งที่ชัดเจน อัตรา
ดอกเบี้ยที่ต่ำ และอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่ควบคุมได้ ทำให้ ฝ่ายวิจัย KGI มั่นใจว่า เศรษฐกิจไทยจะค่อย ๆ ฟื้นตัว และช่วยผลักดันผลประกอบการธนาคารพาณิชย์ให้ดีขึ้นตลอดปีนี้
อย่างไรก็ดี หากต้องเลือกลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ KGI ยังเชื่อมั่นในการลงทุนหุ้นธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่อย่าง SCB และ KBANK เนื่องจาก
การขยายตัวของสินเชื่อ และส่วนต่างดอกเบี้ยที่ดีจากนโยบายสินเชื่อที่มุ่งเน้น
สินเชื่อผลตอบแทนสูงจากกลุ่ม SMEs และสินเชื่อเช่าซื้อ ประกอบกับ
ความสามารถในการจัดการหนี้เสียที่ดี
นอกจากนั้น ฝ่ายวิจัย KGI ยังเลือก BAY เป็นตัวแทนของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดกลาง เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานที่ดีขึ้นจากการร่วมทุนของกลุ่ม GE และการ
ฟื้นตัวของกำไรในปีหน้าหลักการควบรวมกิจการของ GECAL
มันนี่ ชาเนล - วรนนท์ อัศวพิริยานนท์
โทรศัพท์ - 02- 229 - 2000 ต่อ 2616
อีเมล - [email protected]
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news25/09/07
โพสต์ที่ 183
ธปท.ส่งสัญญาณ ดบ. ไม่กังวลเงินไหลเข้ารอบใหม่
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 25 กันยายน 2550 12:08 น.
ธปท.ไม่ห่วงเงินทุนไหลเข้ารอบใหม่จะทำให้เงินบาทแข็งค่า โดยขณะนี้เงินบาทยังมีเสถียรภาพและเคลื่อนไหวไปตามเงินสกุลภูมิภาค ส่วนการประชุม กนง.10 ต.ค.นี้ จะพิจารณา 2 ประเด็นหลัก คือ การฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจและความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ
วันนี้ (25 ก.ค.) นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด ปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลงร้อยละ 0.50 ทำให้มีเงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นย่านเอเชียรวมทั้งตลาดหุ้นไทย มีผลทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นมาเคลื่อนไหวที่ระดับ 34.27 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นการแข็งค่าขึ้นเหมือนกับเงินสกุลต่างๆ ในภูมิภาคเอเชีย และยังไม่มีกระทบต่อเสถียรภาพของค่าเงินบาท โดย ธปท.ก็ดูแลอยู่แล้ว
นอกจากนี้ ธปท.ยังมีมาตรการการกันสำรองร้อยละ 30 ของเงินทุนนำเข้าระยะสั้น และการซื้อประกันความเสี่ยงทั้งจำนวน (Fully Hedge) ในการดูแลเสถียรภาพเงินบาทอยู่ ดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็นจะต้องวิตกกังวล หรือต้องออกมาตรการใหม่ๆ ออกมา
นางสุชาดา กล่าวด้วยว่า อยากให้เอกชนใช้โอกาสที่เงินบาทแข็งค่า และอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ นำเข้าเครื่องจักรและวัตถุดิบสำหรับการผลิตสินค้า เนื่องจากจะเป็นการช่วยลดต้นทุนได้ โดยปัจจุบันกำลังการผลิตของไทยอยู่ในระดับประมาณร้อยละ 70-80 ซึ่งถือว่าสูงมาก ผู้ประกอบการควรจะขยายกำลังการผลิตเพิ่มเติมเพื่อรองรับกับการผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกที่ยังขยายตัวได้ดี และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในอนาคต
ส่วนกรณีที่เอกชนเสนอให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลดอัตราดอกเบี้ยในตลาดซื้อคืนพันธบัตร (อาร์พี) ระยะ 1 วัน ลงอีกร้อยละ 0.25 จากระดับปัจจุบันที่ร้อยละ 3.25 นั้น นางสุชาดา กล่าวว่า กนง.จะมีข้อมูลใหม่ในเดือนสิงหาคม ทั้งการลงทุน การบริโภค และการส่งออกมาประกอบการพิจารณาในการประชุมวันที่ 10 ตุลาคมนี้ ซึ่งจะต้องให้พิจารณาใน 2 ประเด็นหลัก คือ อุปสงค์ในประเทศที่ยังคงไม่ฟื้นตัว ซึ่งจะเป็นแรงกดดันต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจกับภาวะเงินเฟ้อที่มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อในขณะนี้ยังอยู่ในระดับต่ำ ตามกรอบเป้าหมายที่ร้อยละ 0-3.5 แต่ กนง.จะต้องมองภาวะเศรษฐกิจในช่วง 8 ไตรมาสข้างหน้าว่า ประเด็นใดจะมีน้ำหนักมากกว่ากัน
ที่ผ่านมา กนง.ได้ลดดอกเบี้ยล่วงหน้าไปแล้ว เพื่อให้การบริโภคและการลงทุนในประเทศฟื้นตัวขึ้น และต้องการให้ต้นทุนในการนำเข้าสินค้าลดลง เพื่อหวังว่าเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวจะมีการลงทุนทันที นางสุชาดากล่าว
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000113273
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 25 กันยายน 2550 12:08 น.
ธปท.ไม่ห่วงเงินทุนไหลเข้ารอบใหม่จะทำให้เงินบาทแข็งค่า โดยขณะนี้เงินบาทยังมีเสถียรภาพและเคลื่อนไหวไปตามเงินสกุลภูมิภาค ส่วนการประชุม กนง.10 ต.ค.นี้ จะพิจารณา 2 ประเด็นหลัก คือ การฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจและความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ
วันนี้ (25 ก.ค.) นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด ปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลงร้อยละ 0.50 ทำให้มีเงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นย่านเอเชียรวมทั้งตลาดหุ้นไทย มีผลทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นมาเคลื่อนไหวที่ระดับ 34.27 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นการแข็งค่าขึ้นเหมือนกับเงินสกุลต่างๆ ในภูมิภาคเอเชีย และยังไม่มีกระทบต่อเสถียรภาพของค่าเงินบาท โดย ธปท.ก็ดูแลอยู่แล้ว
นอกจากนี้ ธปท.ยังมีมาตรการการกันสำรองร้อยละ 30 ของเงินทุนนำเข้าระยะสั้น และการซื้อประกันความเสี่ยงทั้งจำนวน (Fully Hedge) ในการดูแลเสถียรภาพเงินบาทอยู่ ดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็นจะต้องวิตกกังวล หรือต้องออกมาตรการใหม่ๆ ออกมา
นางสุชาดา กล่าวด้วยว่า อยากให้เอกชนใช้โอกาสที่เงินบาทแข็งค่า และอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ นำเข้าเครื่องจักรและวัตถุดิบสำหรับการผลิตสินค้า เนื่องจากจะเป็นการช่วยลดต้นทุนได้ โดยปัจจุบันกำลังการผลิตของไทยอยู่ในระดับประมาณร้อยละ 70-80 ซึ่งถือว่าสูงมาก ผู้ประกอบการควรจะขยายกำลังการผลิตเพิ่มเติมเพื่อรองรับกับการผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกที่ยังขยายตัวได้ดี และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในอนาคต
ส่วนกรณีที่เอกชนเสนอให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลดอัตราดอกเบี้ยในตลาดซื้อคืนพันธบัตร (อาร์พี) ระยะ 1 วัน ลงอีกร้อยละ 0.25 จากระดับปัจจุบันที่ร้อยละ 3.25 นั้น นางสุชาดา กล่าวว่า กนง.จะมีข้อมูลใหม่ในเดือนสิงหาคม ทั้งการลงทุน การบริโภค และการส่งออกมาประกอบการพิจารณาในการประชุมวันที่ 10 ตุลาคมนี้ ซึ่งจะต้องให้พิจารณาใน 2 ประเด็นหลัก คือ อุปสงค์ในประเทศที่ยังคงไม่ฟื้นตัว ซึ่งจะเป็นแรงกดดันต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจกับภาวะเงินเฟ้อที่มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อในขณะนี้ยังอยู่ในระดับต่ำ ตามกรอบเป้าหมายที่ร้อยละ 0-3.5 แต่ กนง.จะต้องมองภาวะเศรษฐกิจในช่วง 8 ไตรมาสข้างหน้าว่า ประเด็นใดจะมีน้ำหนักมากกว่ากัน
ที่ผ่านมา กนง.ได้ลดดอกเบี้ยล่วงหน้าไปแล้ว เพื่อให้การบริโภคและการลงทุนในประเทศฟื้นตัวขึ้น และต้องการให้ต้นทุนในการนำเข้าสินค้าลดลง เพื่อหวังว่าเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวจะมีการลงทุนทันที นางสุชาดากล่าว
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000113273
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news25/09/07
โพสต์ที่ 184
Banking Sector
25 กันยายน พ.ศ. 2550 09:36:00
Loan growth gradually increased
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : สินเชื่อเดือน ส.ค. 2550 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ทั้ง 6 แห่ง ได้แก่ BAY BBL KBANK KTB SCB และ TMB โดยรวมมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับทั้งเดือนก.ค. 2550 และช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.4% mom และ 3.3% yoy และหากเปรียบเทียบกับสิ้นปี 2549 พบว่าเพิ่มขึ้น 0.95% YTD หรือ 4.07 หมื่นล้านบาท การปรับขึ้นของสินเชื่อในเดือนสิงหาคมยังคงไม่มีนัยสำคัญแต่ SCIBS ประเมินว่าเริ่มส่งสัญญาณที่ดีขึ้นเป็นลำดับ โดยคาดว่า การขยายตัวของสินเชื่อจะเริ่มชัดเจนขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 4/2550 โดยคาดว่าสินเชื่อจากการบริโภคของเอกชนจะเป็นกลุ่มที่มีการขยายตัวขึ้น เนื่องจากเป็นฤดูกาลของการจับจ่ายใช้สอย และเป็นช่วงที่คาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก
KBANK ยังคงเป็นธนาคารที่มีการขยายตัวของสินเชื่อสูงสุดเมื่อเทียบหากเทียบ MoM ส่วน BBL และ SCB เป็นอีก 2 ธนาคารที่มีสินเชื่อปรับเพิ่มขึ้นทั้ง mom และ yoy โดย KBANK สินเชื่อขยายตัว 2.3% mom และ 12% yoy BBL สินเชื่อขยายตัว 1% mom และ 3.8% YoY และ SCB รายงานสินเชื่อขยายตัว 0.8% mom และ 12.1% yoy ในขณะที่ BAY และ TMB สินเชื่อลดลงต่อเนื่อง โดย BAY ลดลง 1.3% mom และ 1% yoy TMB เดือน ส.ค.2550 ลดลง 1% mom และ 11.4% yoy ส่วน KTB สินเชื่อลดลง 0.4% mom แต่ปรับขึ้น 1.7% YoY
หากพิจารณาการขยายตัวของสินเชื่อนับจากสิ้นปี 2549 พบว่า KBANK มีอัตราการเติบโตของสินเชื่อเพิ่มขึ้นสูงสุดที่ 6.8% YTD รองลงมาได้แก่ SCB ที่ 4.5% และ BBL ที่ 3% YTD ขณะที่ BAY KTB และ TMB เป็น 3 ธนาคารที่มีอัตราการเติบโตลดลง YTD ที่ 2.9% 0.2% และ 9% YTD ตามลำดับ
ทางด้านเงินฝากของทั้ง 6 ธนาคาร ลดลง 0.1% mom แต่เพิ่มขึ้น 1.9% yoy KBANK เป็นธนาคารที่มีเงินฝากเพิ่มขึ้นมากที่สุดในกลุ่มทั้ง mom และ yoy ที่ 2.9% mom และ 17.9% yoy ทำให้สภาพคล่องปรับตัวดีขึ้นโดย LDR ลดลงจาก 88.75% เป็น 88.22% ขณะที่ BAY KTB TMB เป็นธนาคารที่มีเงินฝากลดลง MoM ที่ 2.7% 1% และ 2.5% ตามลำดับ
จากสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น 0.48% mom ในขณะที่เงินฝากลดลง 0.1% mom ส่งผลให้สภาพคล่องเดือนส.ค. 2550 มีการปรับตัวลดลงเล็กน้อย โดยสัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก (Loan to Deposit Ratio: LDR) เฉลี่ยของกลุ่มเพิ่มขึ้นจาก 86.56% ในเดือนก.ค.2550 มาอยู่ที่ 87.03% โดยเฉพาะ SCB และ TMB ที่มี LDR เพิ่มขึ้นถึง 91% และ 100.68% ตามลำดับ ส่งผลให้มีโอกาสที่จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากขึ้นในไม่ช้า
จากตัวเลขสินเชื่อเดือนส.ค. 2550 SCIBS ประเมินว่า KBANK และ BBL มีแนวโน้มในการขยายสินเชื่อปี 2550 ได้ตามคาดที่ 8% และ 4% ตามลำดับ จากตัวเลขสินเชื่อ ณ ส.ค. 2550 ที่ KBANK เพิ่มขึ้น 6.8% และ BBL ที่ 3% YTD ขณะที่ BAY คาดสินเชื่อจะมีการเร่งขยายตัวมากขึ้นหลังการปรับโครงสร้างเสร็จในช่วง มิ.ย. 2550 ที่ผ่านมา ด้าน SCB , KTB และ TMB เป็น 3 ธนาคารที่มีแนวโน้มการขยายสินเชื่อไม่เป็นไปตามเป้าโดย SCB ได้มีการปรับลดเป้าสินเชื่อลงมาแล้ว
In Brief
BAY เร่งขยายสินเชื่อเต็มที่ใน 2H/50 : BAY มีนโยบายในการรุกสินเชื่อรายย่อยมากขึ้นในช่วง 2H/50 ทั้งจากธนาคารเองและบริษัทในเครือ โดยล่าสุดได้มีการเข้าซื้อบริษัท จีอี แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน) (GECAL) จาก General Electric Capital Asia Investment, Inc. (GECAI) และผู้ถือหุ้นรายอื่น คิดเป็นเงินลงทุนทั้งสิ้น 17,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเสริมธุรกิจเช่าซื้อของกลุ่มธนาคารและเพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพการเติบโตของสินเชื่อมากขึ้นตามนโยบายในการเร่งสินเชื่อรายย่อยภายใต้การสนับสนุนของ GE ประกอบกับมีฐานเงินกองทุนที่แข็งแกร่งถึง 19% เพียงพอต่อการขยายตัวของสินเชื่อ อีกทั้ง BAY ได้มีการตั้งสำรองเกินกว่าเกณฑ์สูงสุดในกลุ่มที่ 148% ทำให้คาด BAY จะเป็นธนาคารที่มีอัตราการเติบโตของผลการดำเนินงานโดดเด่นที่สุดในช่วง 2H/50 และต่อเนื่องถึงปี 2551 จึงแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 31.22 บาทต่อหุ้นโดยใช้ PBV08F ที่ 2x
KBANK สินเชื่อโตต่อเนื่องและคาดทำได้ตามเป้า : จากการที่ KBANK เป็นธนาคารที่มีอัตราการเติบโตของสินเชื่อที่ต่อเนื่อง ทำให้คาดว่าจะสามารถขยายสินเชื่อได้ตามเป้าที่ 8% ในปี 2550 นี้ ประกอบกับการเป็นธนาคารที่มีความโดดเด่นสินเชื่อ SME และเป็นธนาคารที่มี NIM สูงสุดในกลุ่ม รวมถึงมีการจัดการควบคุมความเสี่ยงที่ดี จึงแนะนำ ซื้อ ราคาเหมาะสม 96.20 บาทต่อหุ้น โดยใช้ PBV08F ที่ 2.1x
BBL คาดสินเชื่อขยายตัวจากฐานลูกค้าใหญ่ : SCIBS ประเมินการเติบโตของสินเชื่อในปี 2550 ที่ 4% โดย 8 เดือนแรกธนาคารมีสินเชื่อเพิ่มขึ้น 3% จึงคาดว่า BBL จะเป็นธนาคารที่มีสินเชื่อตามเป้าได้ ภายใต้สมมติฐานที่คาดสินเชื่อในช่วง 2H/50 เติบโตตามเศรษฐกิจที่ค่อยๆ ฟื้นตัวและส่งผลต่อความสินเชื่อของลูกค้าขนาดใหญ่ที่ธนาคารมีฐานลูกค้าดังกล่าวสูงถึง 49% ของพอร์ตสินเชื่อรวม จึงแนะนำ ซื้อ ราคา เหมาะสม 156.33 บาทต่อหุ้น โดยใช้ PBV08F ที่ 1.7x
ที่มา : บล.นครหลวงไทย http://www.bangkokbiznews.com/2007/09/2 ... sid=185708
25 กันยายน พ.ศ. 2550 09:36:00
Loan growth gradually increased
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : สินเชื่อเดือน ส.ค. 2550 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ทั้ง 6 แห่ง ได้แก่ BAY BBL KBANK KTB SCB และ TMB โดยรวมมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับทั้งเดือนก.ค. 2550 และช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.4% mom และ 3.3% yoy และหากเปรียบเทียบกับสิ้นปี 2549 พบว่าเพิ่มขึ้น 0.95% YTD หรือ 4.07 หมื่นล้านบาท การปรับขึ้นของสินเชื่อในเดือนสิงหาคมยังคงไม่มีนัยสำคัญแต่ SCIBS ประเมินว่าเริ่มส่งสัญญาณที่ดีขึ้นเป็นลำดับ โดยคาดว่า การขยายตัวของสินเชื่อจะเริ่มชัดเจนขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 4/2550 โดยคาดว่าสินเชื่อจากการบริโภคของเอกชนจะเป็นกลุ่มที่มีการขยายตัวขึ้น เนื่องจากเป็นฤดูกาลของการจับจ่ายใช้สอย และเป็นช่วงที่คาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก
KBANK ยังคงเป็นธนาคารที่มีการขยายตัวของสินเชื่อสูงสุดเมื่อเทียบหากเทียบ MoM ส่วน BBL และ SCB เป็นอีก 2 ธนาคารที่มีสินเชื่อปรับเพิ่มขึ้นทั้ง mom และ yoy โดย KBANK สินเชื่อขยายตัว 2.3% mom และ 12% yoy BBL สินเชื่อขยายตัว 1% mom และ 3.8% YoY และ SCB รายงานสินเชื่อขยายตัว 0.8% mom และ 12.1% yoy ในขณะที่ BAY และ TMB สินเชื่อลดลงต่อเนื่อง โดย BAY ลดลง 1.3% mom และ 1% yoy TMB เดือน ส.ค.2550 ลดลง 1% mom และ 11.4% yoy ส่วน KTB สินเชื่อลดลง 0.4% mom แต่ปรับขึ้น 1.7% YoY
หากพิจารณาการขยายตัวของสินเชื่อนับจากสิ้นปี 2549 พบว่า KBANK มีอัตราการเติบโตของสินเชื่อเพิ่มขึ้นสูงสุดที่ 6.8% YTD รองลงมาได้แก่ SCB ที่ 4.5% และ BBL ที่ 3% YTD ขณะที่ BAY KTB และ TMB เป็น 3 ธนาคารที่มีอัตราการเติบโตลดลง YTD ที่ 2.9% 0.2% และ 9% YTD ตามลำดับ
ทางด้านเงินฝากของทั้ง 6 ธนาคาร ลดลง 0.1% mom แต่เพิ่มขึ้น 1.9% yoy KBANK เป็นธนาคารที่มีเงินฝากเพิ่มขึ้นมากที่สุดในกลุ่มทั้ง mom และ yoy ที่ 2.9% mom และ 17.9% yoy ทำให้สภาพคล่องปรับตัวดีขึ้นโดย LDR ลดลงจาก 88.75% เป็น 88.22% ขณะที่ BAY KTB TMB เป็นธนาคารที่มีเงินฝากลดลง MoM ที่ 2.7% 1% และ 2.5% ตามลำดับ
จากสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น 0.48% mom ในขณะที่เงินฝากลดลง 0.1% mom ส่งผลให้สภาพคล่องเดือนส.ค. 2550 มีการปรับตัวลดลงเล็กน้อย โดยสัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก (Loan to Deposit Ratio: LDR) เฉลี่ยของกลุ่มเพิ่มขึ้นจาก 86.56% ในเดือนก.ค.2550 มาอยู่ที่ 87.03% โดยเฉพาะ SCB และ TMB ที่มี LDR เพิ่มขึ้นถึง 91% และ 100.68% ตามลำดับ ส่งผลให้มีโอกาสที่จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากขึ้นในไม่ช้า
จากตัวเลขสินเชื่อเดือนส.ค. 2550 SCIBS ประเมินว่า KBANK และ BBL มีแนวโน้มในการขยายสินเชื่อปี 2550 ได้ตามคาดที่ 8% และ 4% ตามลำดับ จากตัวเลขสินเชื่อ ณ ส.ค. 2550 ที่ KBANK เพิ่มขึ้น 6.8% และ BBL ที่ 3% YTD ขณะที่ BAY คาดสินเชื่อจะมีการเร่งขยายตัวมากขึ้นหลังการปรับโครงสร้างเสร็จในช่วง มิ.ย. 2550 ที่ผ่านมา ด้าน SCB , KTB และ TMB เป็น 3 ธนาคารที่มีแนวโน้มการขยายสินเชื่อไม่เป็นไปตามเป้าโดย SCB ได้มีการปรับลดเป้าสินเชื่อลงมาแล้ว
In Brief
BAY เร่งขยายสินเชื่อเต็มที่ใน 2H/50 : BAY มีนโยบายในการรุกสินเชื่อรายย่อยมากขึ้นในช่วง 2H/50 ทั้งจากธนาคารเองและบริษัทในเครือ โดยล่าสุดได้มีการเข้าซื้อบริษัท จีอี แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน) (GECAL) จาก General Electric Capital Asia Investment, Inc. (GECAI) และผู้ถือหุ้นรายอื่น คิดเป็นเงินลงทุนทั้งสิ้น 17,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเสริมธุรกิจเช่าซื้อของกลุ่มธนาคารและเพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพการเติบโตของสินเชื่อมากขึ้นตามนโยบายในการเร่งสินเชื่อรายย่อยภายใต้การสนับสนุนของ GE ประกอบกับมีฐานเงินกองทุนที่แข็งแกร่งถึง 19% เพียงพอต่อการขยายตัวของสินเชื่อ อีกทั้ง BAY ได้มีการตั้งสำรองเกินกว่าเกณฑ์สูงสุดในกลุ่มที่ 148% ทำให้คาด BAY จะเป็นธนาคารที่มีอัตราการเติบโตของผลการดำเนินงานโดดเด่นที่สุดในช่วง 2H/50 และต่อเนื่องถึงปี 2551 จึงแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 31.22 บาทต่อหุ้นโดยใช้ PBV08F ที่ 2x
KBANK สินเชื่อโตต่อเนื่องและคาดทำได้ตามเป้า : จากการที่ KBANK เป็นธนาคารที่มีอัตราการเติบโตของสินเชื่อที่ต่อเนื่อง ทำให้คาดว่าจะสามารถขยายสินเชื่อได้ตามเป้าที่ 8% ในปี 2550 นี้ ประกอบกับการเป็นธนาคารที่มีความโดดเด่นสินเชื่อ SME และเป็นธนาคารที่มี NIM สูงสุดในกลุ่ม รวมถึงมีการจัดการควบคุมความเสี่ยงที่ดี จึงแนะนำ ซื้อ ราคาเหมาะสม 96.20 บาทต่อหุ้น โดยใช้ PBV08F ที่ 2.1x
BBL คาดสินเชื่อขยายตัวจากฐานลูกค้าใหญ่ : SCIBS ประเมินการเติบโตของสินเชื่อในปี 2550 ที่ 4% โดย 8 เดือนแรกธนาคารมีสินเชื่อเพิ่มขึ้น 3% จึงคาดว่า BBL จะเป็นธนาคารที่มีสินเชื่อตามเป้าได้ ภายใต้สมมติฐานที่คาดสินเชื่อในช่วง 2H/50 เติบโตตามเศรษฐกิจที่ค่อยๆ ฟื้นตัวและส่งผลต่อความสินเชื่อของลูกค้าขนาดใหญ่ที่ธนาคารมีฐานลูกค้าดังกล่าวสูงถึง 49% ของพอร์ตสินเชื่อรวม จึงแนะนำ ซื้อ ราคา เหมาะสม 156.33 บาทต่อหุ้น โดยใช้ PBV08F ที่ 1.7x
ที่มา : บล.นครหลวงไทย http://www.bangkokbiznews.com/2007/09/2 ... sid=185708
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news26/09/07
โพสต์ที่ 185
ครม.ปลดล็อกธุรกิจหลักทรัพย์
โพสต์ทูเดย์ ครม.เปิดทาง ผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ ยื่นขอใบอนุญาตทำธุรกิจไม่จำกัดจำนวน
นายโชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติร่าง กฎกระทรวงว่าด้วยการอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ พ.ศ.... ซึ่งเสนอโดยกระทรวงการคลัง เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ โดยเพิ่มช่องทางให้สามารถประกอบธุรกิจได้หลากหลายครบวงจร
ทั้งนี้ ไม่ได้เปิดให้เฉพาะ ผู้ประกอบการธุรกิจหลักทรัพย์ที่ เป็นคนไทยเท่านั้น แต่รวมถึงผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ต่างชาติด้วย โดยจะกำหนดให้ผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมตามเกณฑ์ สามารถขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ (ไลเซนส์) ได้ โดยไม่จำกัดจำนวนผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์
อย่างไรก็ตาม ยังคงธุรกิจหลักทรัพย์บางประเภทที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักให้สามารถขอรับใบอนุญาตแยกต่างหากได้ ได้แก่ 1.การเป็นที่ปรึกษาการลงทุน 2.กิจการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ และ 3.การจัดการเงินร่วมลงทุน
นอกจากนี้ ยังกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ทั่วไปสามารถจัดหรือปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรให้สอดคล้องกับความต้องการโดยมีค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด
นายโชติชัย กล่าวว่า สำหรับประเภทของใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ แบ่งเป็นประเภท ก, ข, ค และ ง โดยแบบ ก (Full Services) สำหรับประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ได้ทุกประเภท แบบ ข (Boutique Debt Services) สำหรับประกอบธุรกิจตราสารแห่งหนี้ แบบ ค (Boutique Asset Management Services) สำหรับประกอบธุรกิจจัดการลงทุน และ แบบ ง (Boutique Limited BDU Services) สำหรับประกอบธุรกิจการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่เป็นหน่วยลงทุน การค้าหลักทรัพย์ที่เป็นหน่วยลงทุน และจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ที่เป็นหน่วยลงทุน
ทั้งนี้ ได้กำหนดผู้มีสิทธิขอใบอนุญาตของแต่ละรูปแบบ ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ ธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินอื่นที่กำหนด บริษัทที่จัดตั้งขึ้นใหม่เพื่อขอใบอนุญาต
สำหรับบริษัทประกันชีวิตให้ทำได้เฉพาะรูปแบบ ค (ธุรกิจการจัดการลงทุน) รูปแบบ ง (ธุรกิจหน่วยลงทุน) และการเป็นที่ปรึกษาการลงทุน
ทั้งนี้ ผู้ประกอบธุรกิจหลัก ทรัพย์รายเดิมสามารถขอปรับรูปแบบขึ้นไปสู่แบบใดก็ได้ รายใหม่ ให้เริ่มขอได้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2555 เป็นต้นไป สำหรับค่าธรรมเนียมคำขอรับใบอนุญาต จะคิดคำขอละ 3 หมื่นบาท และ ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ ถ้าเป็นใบอนุญาตแบบ ก ใบละ 20 ล้านบาท แบบ ข-ค ใบละ 5 ล้านบาท แบบ ง และกรณีใบอนุญาตเดี่ยวประเภทต่างๆ ใบละ 3 หมื่นบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=193632
โพสต์ทูเดย์ ครม.เปิดทาง ผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ ยื่นขอใบอนุญาตทำธุรกิจไม่จำกัดจำนวน
นายโชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติร่าง กฎกระทรวงว่าด้วยการอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ พ.ศ.... ซึ่งเสนอโดยกระทรวงการคลัง เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ โดยเพิ่มช่องทางให้สามารถประกอบธุรกิจได้หลากหลายครบวงจร
ทั้งนี้ ไม่ได้เปิดให้เฉพาะ ผู้ประกอบการธุรกิจหลักทรัพย์ที่ เป็นคนไทยเท่านั้น แต่รวมถึงผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ต่างชาติด้วย โดยจะกำหนดให้ผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมตามเกณฑ์ สามารถขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ (ไลเซนส์) ได้ โดยไม่จำกัดจำนวนผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์
อย่างไรก็ตาม ยังคงธุรกิจหลักทรัพย์บางประเภทที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักให้สามารถขอรับใบอนุญาตแยกต่างหากได้ ได้แก่ 1.การเป็นที่ปรึกษาการลงทุน 2.กิจการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ และ 3.การจัดการเงินร่วมลงทุน
นอกจากนี้ ยังกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ทั่วไปสามารถจัดหรือปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรให้สอดคล้องกับความต้องการโดยมีค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด
นายโชติชัย กล่าวว่า สำหรับประเภทของใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ แบ่งเป็นประเภท ก, ข, ค และ ง โดยแบบ ก (Full Services) สำหรับประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ได้ทุกประเภท แบบ ข (Boutique Debt Services) สำหรับประกอบธุรกิจตราสารแห่งหนี้ แบบ ค (Boutique Asset Management Services) สำหรับประกอบธุรกิจจัดการลงทุน และ แบบ ง (Boutique Limited BDU Services) สำหรับประกอบธุรกิจการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่เป็นหน่วยลงทุน การค้าหลักทรัพย์ที่เป็นหน่วยลงทุน และจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ที่เป็นหน่วยลงทุน
ทั้งนี้ ได้กำหนดผู้มีสิทธิขอใบอนุญาตของแต่ละรูปแบบ ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ ธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินอื่นที่กำหนด บริษัทที่จัดตั้งขึ้นใหม่เพื่อขอใบอนุญาต
สำหรับบริษัทประกันชีวิตให้ทำได้เฉพาะรูปแบบ ค (ธุรกิจการจัดการลงทุน) รูปแบบ ง (ธุรกิจหน่วยลงทุน) และการเป็นที่ปรึกษาการลงทุน
ทั้งนี้ ผู้ประกอบธุรกิจหลัก ทรัพย์รายเดิมสามารถขอปรับรูปแบบขึ้นไปสู่แบบใดก็ได้ รายใหม่ ให้เริ่มขอได้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2555 เป็นต้นไป สำหรับค่าธรรมเนียมคำขอรับใบอนุญาต จะคิดคำขอละ 3 หมื่นบาท และ ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ ถ้าเป็นใบอนุญาตแบบ ก ใบละ 20 ล้านบาท แบบ ข-ค ใบละ 5 ล้านบาท แบบ ง และกรณีใบอนุญาตเดี่ยวประเภทต่างๆ ใบละ 3 หมื่นบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=193632
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news02/10/07
โพสต์ที่ 186
ไชน่าทรัสต์รุกบัตรเครดิต
โพสต์ทูเดย์ ออมสินจับมือแบงก์ใหญ่ไต้หวัน ไชน่า ทรัสต์ ลงขันตั้งบริษัท สวัสดี การ์ด ลุยบัตรเครดิต
นายวรวิทย์ ชัยลิมปมนตรี รอง ผู้อำนวยการธนาคารออมสินอาวุโส กล่าวว่า ได้บรรลุข้อตกลงในการทำธุรกิจบัตรเครดิตร่วมกันกับธนาคารไชน่า ทรัสต์ คอมเมอร์เชียล แบงก์ ของไต้หวัน โดยธนาคารจะถือหุ้นประมาณ 45% และทางไชน่า ทรัสต์ จะถือหุ้น 49% ที่เหลือเป็นพันธมิตร เพื่อมิให้บริษัทบัตรเครดิตที่ตั้งขึ้นมาเป็นรัฐวิสาหกิจ
ออมสินไม่มีโนว์ฮาวเพียงพอในการทำธุรกิจบัตรเครดิต แต่มีฐานลูกค้าที่มั่นคง ขณะที่ไชน่า ทรัสต์ ถือเป็นธนาคารใหญ่อันดับ 1 ของไต้หวัน ที่เชี่ยวชาญด้านสินเชื่อบุคคล จึงน่าจะมาเสริมในการทำธุรกิจกัน โดยจะเริ่มดำเนินการในปีหน้า นายวรวิทย์ กล่าว
ไชน่า ทรัสต์ รายงานว่า จะทุ่มงบประมาณ 1,421 ล้านบาท สำหรับการจัดตั้งบริษัท สวัสดี การ์ด โดยตั้งเป้าว่าจะมีส่วนแบ่งการตลาด 6% ใน 5 ปี
ไชน่า ทรัสต์ คอมเมอร์เชียล แบงก์ แจ้งว่า ได้ขออนุญาตการจัดตั้งบริษัทแล้ว คาดว่าจะได้รับการอนุมัติในเดือน ต.ค.นี้
การร่วมทุนตั้งบริษัทดังกล่าว จะกลายเป็นประสบการณ์ครั้งแรกของไชน่า ทรัสต์ และธนาคารออมสิน ที่มีสาขา 600 แห่ง มีฐานลูกค้า 17 ล้านราย
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=194834
โพสต์ทูเดย์ ออมสินจับมือแบงก์ใหญ่ไต้หวัน ไชน่า ทรัสต์ ลงขันตั้งบริษัท สวัสดี การ์ด ลุยบัตรเครดิต
นายวรวิทย์ ชัยลิมปมนตรี รอง ผู้อำนวยการธนาคารออมสินอาวุโส กล่าวว่า ได้บรรลุข้อตกลงในการทำธุรกิจบัตรเครดิตร่วมกันกับธนาคารไชน่า ทรัสต์ คอมเมอร์เชียล แบงก์ ของไต้หวัน โดยธนาคารจะถือหุ้นประมาณ 45% และทางไชน่า ทรัสต์ จะถือหุ้น 49% ที่เหลือเป็นพันธมิตร เพื่อมิให้บริษัทบัตรเครดิตที่ตั้งขึ้นมาเป็นรัฐวิสาหกิจ
ออมสินไม่มีโนว์ฮาวเพียงพอในการทำธุรกิจบัตรเครดิต แต่มีฐานลูกค้าที่มั่นคง ขณะที่ไชน่า ทรัสต์ ถือเป็นธนาคารใหญ่อันดับ 1 ของไต้หวัน ที่เชี่ยวชาญด้านสินเชื่อบุคคล จึงน่าจะมาเสริมในการทำธุรกิจกัน โดยจะเริ่มดำเนินการในปีหน้า นายวรวิทย์ กล่าว
ไชน่า ทรัสต์ รายงานว่า จะทุ่มงบประมาณ 1,421 ล้านบาท สำหรับการจัดตั้งบริษัท สวัสดี การ์ด โดยตั้งเป้าว่าจะมีส่วนแบ่งการตลาด 6% ใน 5 ปี
ไชน่า ทรัสต์ คอมเมอร์เชียล แบงก์ แจ้งว่า ได้ขออนุญาตการจัดตั้งบริษัทแล้ว คาดว่าจะได้รับการอนุมัติในเดือน ต.ค.นี้
การร่วมทุนตั้งบริษัทดังกล่าว จะกลายเป็นประสบการณ์ครั้งแรกของไชน่า ทรัสต์ และธนาคารออมสิน ที่มีสาขา 600 แห่ง มีฐานลูกค้า 17 ล้านราย
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=194834
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news02/10/07
โพสต์ที่ 187
ลุ้นสนช.ผ่านกม.การเงิน
โพสต์ทูเดย์ ธปท. ยัน การเสนอแก้ไขกฎหมายสถาบันการเงิน ประชาชนจะได้ประโยชน์
นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ในวันที่ 3 ต.ค.นี้ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จะพิจารณาร่าง พ.ร.บ.สถาบันการเงิน และร่าง พ.ร.บ.เงินตรา หาก สนช.ไม่ผ่านกฎหมายให้ ก็คงต้องยอมรับสภาพว่าประเทศเรามีมาตรฐานอย่างไร เราคงจะไปดำเนินการสูงกว่ามาตรฐานไม่ได้
ทั้งนี้ ในร่าง พ.ร.บ.สถาบันการเงิน นั้น มีการแก้ไขหลายประเด็นเพื่อให้สถาบันการเงินของไทยมีความแข็งแกร่ง และคุ้มครองผู้บริโภคเพิ่มขึ้น
สาระสำคัญที่ขอแก้ไข คือ การเพิ่มอำนาจของ ธปท.ในการดูแลธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (นันแบงก์)
ทั้งนี้ กม.ใหม่มีการกำหนดมาตรฐานการสั่งปิดธนาคารพาณิชย์ หากมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (บีไอเอส) ตามกฎหมาย ต่ำกว่า 8.5% ธปท.มีอำนาจสั่งเพิ่มทุน หากกองทุนเหลือ 5% ก็จะสั่งเปลี่ยนผู้บริหาร ถ้าลดจนเหลือ 3% ก็จะสั่งปิดกิจการ
นอกจากนี้ การแก้ไขสัดส่วนเพดานการถือหุ้นของต่างชาติในสถาบันการเงินจาก 25% เป็น 49% เป็นการแก้ไขให้สอดคล้องกับความเป็นจริง เพราะปัจจุบันธนาคารพาณิชย์ของไทย 13 แห่ง มีเพียงธนาคารกรุงไทย ธนาคารทหารไทย และธนาคารนครหลวงไทย ที่มีต่างชาติถือหุ้นต่ำกว่า 25% ที่เหลือต่างชาติถือเกินทั้งหมด บางแห่งถือเกิน 51%
นายเกริก กล่าวว่า ใน กม.ที่แก้ไขมีการนำมาตรฐานบาเซิล 2 มาใช้ ช่วยให้สถาบันการเงินไทยมีมาตรฐานเดียวกับมาตรฐานโลก
ทั้งนี้ บาเซิล 2 เงินกองทุนต้องคุ้มความเสี่ยงด้านเครดิต ด้านการตลาดและการปฏิบัติการ คุ้มครองไปถึงความเสียหายที่อาจจะเกิดจากการก่อการร้าย ช่วยให้ธุรกรรมการเงินของธนาคารพาณิชย์ไทยที่จะไปติดต่อกับต่างประเทศมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น
ธปท.ยังแก้ไขเรื่องการทำสัญญาค้ำประกันด้วยบุคคลโดยให้มีการระบุวงเงินในสัญญาการเรียกให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้แทนลูกหนี้ชั้นต้น หรือร่วมกับลูกหนี้ชั้นต้นไม่เกินวงเงินที่ระบุไว้ หรือมิให้มีการทำข้อตกลงให้ผู้ค้ำประกันทำสัญญาค้ำประกันแบบไม่จำกัดจำนวน นายเกริก กล่าว
ในร่าง กม.ที่แก้ไขนี้ยังมีการกำหนดโทษผู้บริหารธนาคารพาณิชย์สูงขึ้น ในกรณีที่มีการฉ้อโกง และสร้างความเสียหายจากการปฏิบัติงานที่ไม่รอบคอบ
นายเกริก กล่าวว่า ทาง ธปท.ได้หารือกับตัวแทนสมาคมธนาคารไทยแล้ว ก็ได้รับการสนับสนุน ไม่ได้มีเสียงคัดค้าน จึงเชื่อว่า สนช.ที่เป็นนายธนาคาร และเป็นอดีตนายธนาคาร คงจะไม่คัดค้านร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้เช่นกัน
เรามีประชาชนที่ฝากเงินกับสถาบันการเงิน ซึ่งเขาก็ต้องการสถาบันการเงินที่ดี มีประสิทธิภาพ สถาบันการเงินไม่ใช่ร้านก๋วยเตี๋ยวที่ไม่มีคนกินก็ปล่อยให้เจ๊ง แต่สถาบันการเงินถ้าอ่อนแอก็จะไปกินเงินภาษีของประชาชน แต่กรอบกฎหมายนี้ไม่ได้ทำอย่างนั้น นายเกริก กล่าว
อย่างไรก็ดี นายเกริกยอมรับว่า แม้จะแก้ไขกฎหมายแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีธนาคารล้ม
นายชาญชัย บุญฤทธิ์ไชยศรี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกฎหมายและคดี ธปท. กล่าวว่า เชื่อว่าการแก้ไขร่าง พ.ร.บ.การเงินทั้ง 4 ฉบับ จะมีแค่ 2 ฉบับ คือ พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน และ พ.ร.บ.เงินตรา ที่อาจจะผ่านสภา ที่เหลือยังมีความเข้าใจผิดและคลาดเคลื่อนอยู่มาก
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=194831
โพสต์ทูเดย์ ธปท. ยัน การเสนอแก้ไขกฎหมายสถาบันการเงิน ประชาชนจะได้ประโยชน์
นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ในวันที่ 3 ต.ค.นี้ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จะพิจารณาร่าง พ.ร.บ.สถาบันการเงิน และร่าง พ.ร.บ.เงินตรา หาก สนช.ไม่ผ่านกฎหมายให้ ก็คงต้องยอมรับสภาพว่าประเทศเรามีมาตรฐานอย่างไร เราคงจะไปดำเนินการสูงกว่ามาตรฐานไม่ได้
ทั้งนี้ ในร่าง พ.ร.บ.สถาบันการเงิน นั้น มีการแก้ไขหลายประเด็นเพื่อให้สถาบันการเงินของไทยมีความแข็งแกร่ง และคุ้มครองผู้บริโภคเพิ่มขึ้น
สาระสำคัญที่ขอแก้ไข คือ การเพิ่มอำนาจของ ธปท.ในการดูแลธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (นันแบงก์)
ทั้งนี้ กม.ใหม่มีการกำหนดมาตรฐานการสั่งปิดธนาคารพาณิชย์ หากมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (บีไอเอส) ตามกฎหมาย ต่ำกว่า 8.5% ธปท.มีอำนาจสั่งเพิ่มทุน หากกองทุนเหลือ 5% ก็จะสั่งเปลี่ยนผู้บริหาร ถ้าลดจนเหลือ 3% ก็จะสั่งปิดกิจการ
นอกจากนี้ การแก้ไขสัดส่วนเพดานการถือหุ้นของต่างชาติในสถาบันการเงินจาก 25% เป็น 49% เป็นการแก้ไขให้สอดคล้องกับความเป็นจริง เพราะปัจจุบันธนาคารพาณิชย์ของไทย 13 แห่ง มีเพียงธนาคารกรุงไทย ธนาคารทหารไทย และธนาคารนครหลวงไทย ที่มีต่างชาติถือหุ้นต่ำกว่า 25% ที่เหลือต่างชาติถือเกินทั้งหมด บางแห่งถือเกิน 51%
นายเกริก กล่าวว่า ใน กม.ที่แก้ไขมีการนำมาตรฐานบาเซิล 2 มาใช้ ช่วยให้สถาบันการเงินไทยมีมาตรฐานเดียวกับมาตรฐานโลก
ทั้งนี้ บาเซิล 2 เงินกองทุนต้องคุ้มความเสี่ยงด้านเครดิต ด้านการตลาดและการปฏิบัติการ คุ้มครองไปถึงความเสียหายที่อาจจะเกิดจากการก่อการร้าย ช่วยให้ธุรกรรมการเงินของธนาคารพาณิชย์ไทยที่จะไปติดต่อกับต่างประเทศมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น
ธปท.ยังแก้ไขเรื่องการทำสัญญาค้ำประกันด้วยบุคคลโดยให้มีการระบุวงเงินในสัญญาการเรียกให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้แทนลูกหนี้ชั้นต้น หรือร่วมกับลูกหนี้ชั้นต้นไม่เกินวงเงินที่ระบุไว้ หรือมิให้มีการทำข้อตกลงให้ผู้ค้ำประกันทำสัญญาค้ำประกันแบบไม่จำกัดจำนวน นายเกริก กล่าว
ในร่าง กม.ที่แก้ไขนี้ยังมีการกำหนดโทษผู้บริหารธนาคารพาณิชย์สูงขึ้น ในกรณีที่มีการฉ้อโกง และสร้างความเสียหายจากการปฏิบัติงานที่ไม่รอบคอบ
นายเกริก กล่าวว่า ทาง ธปท.ได้หารือกับตัวแทนสมาคมธนาคารไทยแล้ว ก็ได้รับการสนับสนุน ไม่ได้มีเสียงคัดค้าน จึงเชื่อว่า สนช.ที่เป็นนายธนาคาร และเป็นอดีตนายธนาคาร คงจะไม่คัดค้านร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้เช่นกัน
เรามีประชาชนที่ฝากเงินกับสถาบันการเงิน ซึ่งเขาก็ต้องการสถาบันการเงินที่ดี มีประสิทธิภาพ สถาบันการเงินไม่ใช่ร้านก๋วยเตี๋ยวที่ไม่มีคนกินก็ปล่อยให้เจ๊ง แต่สถาบันการเงินถ้าอ่อนแอก็จะไปกินเงินภาษีของประชาชน แต่กรอบกฎหมายนี้ไม่ได้ทำอย่างนั้น นายเกริก กล่าว
อย่างไรก็ดี นายเกริกยอมรับว่า แม้จะแก้ไขกฎหมายแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีธนาคารล้ม
นายชาญชัย บุญฤทธิ์ไชยศรี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกฎหมายและคดี ธปท. กล่าวว่า เชื่อว่าการแก้ไขร่าง พ.ร.บ.การเงินทั้ง 4 ฉบับ จะมีแค่ 2 ฉบับ คือ พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน และ พ.ร.บ.เงินตรา ที่อาจจะผ่านสภา ที่เหลือยังมีความเข้าใจผิดและคลาดเคลื่อนอยู่มาก
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=194831
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news03/10/07
โพสต์ที่ 188
ครม.ไฟเขียวเพิ่มทุนธ.อิสลาม คลังควัก1.6พันล.ถือหุ้น48.5%
โดย มติชน วัน พุธ ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2550 09:51 น.
นายโชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2550 ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้กระทรวงการคลังเพิ่มทุนในธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) วงเงิน 1,600 ล้านบาท จากวงเงินรวมที่ ธอท.จะต้องเพิ่มทุนให้ได้ 3,300 ล้านบาท ภายในปี 2550 เพื่อล้างขาดทุนสะสม รองรับการขยายสินเชื่อ และแก้ปัญหาเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้
นายโชติชัยกล่าวว่า สำหรับการเพิ่มทุนของกระทรวงการคลังใน ธอท. วงเงิน 1,600 ล้านบาท จะถูกนำไปซื้อหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 1,481.48 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนถือหุ้นหลังเพิ่มทุน 48.54% ส่วนผู้ร่วมซื้อหุ้นเพิ่มทุนครั้งนี้ ประกอบด้วย ธนาคารออมสิน 1,238.54 ล้านหุ้น วงเงิน 1,337.62 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนถือหุ้นหลังเพิ่มทุน 39.88% ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) 302.99 ล้านหุ้น วงเงิน 327.33 ล้านบาท ถือหุ้น 9.83% ส่งผลให้ ธอท.มีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจตาม พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ.2502
http://news.sanook.com/economic/economic_189558.php
โดย มติชน วัน พุธ ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2550 09:51 น.
นายโชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2550 ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้กระทรวงการคลังเพิ่มทุนในธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) วงเงิน 1,600 ล้านบาท จากวงเงินรวมที่ ธอท.จะต้องเพิ่มทุนให้ได้ 3,300 ล้านบาท ภายในปี 2550 เพื่อล้างขาดทุนสะสม รองรับการขยายสินเชื่อ และแก้ปัญหาเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้
นายโชติชัยกล่าวว่า สำหรับการเพิ่มทุนของกระทรวงการคลังใน ธอท. วงเงิน 1,600 ล้านบาท จะถูกนำไปซื้อหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 1,481.48 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนถือหุ้นหลังเพิ่มทุน 48.54% ส่วนผู้ร่วมซื้อหุ้นเพิ่มทุนครั้งนี้ ประกอบด้วย ธนาคารออมสิน 1,238.54 ล้านหุ้น วงเงิน 1,337.62 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนถือหุ้นหลังเพิ่มทุน 39.88% ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) 302.99 ล้านหุ้น วงเงิน 327.33 ล้านบาท ถือหุ้น 9.83% ส่งผลให้ ธอท.มีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจตาม พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ.2502
http://news.sanook.com/economic/economic_189558.php
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news03/10/07
โพสต์ที่ 189
แบงก์ชาติชี้ธนาคารพาณิชย์ไทยยังมีจุดอ่อนที่ NPL ข่าว 21.00 น.
Posted on Wednesday, October 03, 2007
นายดอน นาครทรรพ ผู้บริหารทีมฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) บอกว่า แม้ปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของธนาคารพาณิชย์จะลดลงไปบ้าง แต่ยังเป็นจุดอ่อนที่ส่งผลให้อันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ของธนาคารพาณิชย์ไทยต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
นายดอนยังคาดการณ์ด้วยว่า ความสามารถในการทำกำไรของธนาคารพาณิชย์ปีนี้จะต่ำกว่าปีที่ผ่านมา แต่เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงและการกันสำรองยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยอัตราของเงินกองทุนยังสูงกว่าที่ธปท.กำหนดไว้
ด้านนายสุคนธ์พัฒน์ จันทพันธ์ ผู้ตรวจสอบอาวุโส ฝ่ายตรวจสอบความเสี่ยงและเทคโนโลยี สายกำกับสถาบันการเงิน ธปท.บอกว่า อัตราการผิดนัดชำระหนี้ของปี 2549 ลดลงมาอยู่ที่ 2-4% จาก 6-7% ในปี 2543 แต่ในปีนี้ตัวเลขดังกล่าวอาจเพิ่มขึ้นบ้าง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าลูกหนี้ปรับตัวดีขึ้นหลังจากธนาคารเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ และจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมให้ปรับตัวดีขึ้นด้วย
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
Posted on Wednesday, October 03, 2007
นายดอน นาครทรรพ ผู้บริหารทีมฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) บอกว่า แม้ปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของธนาคารพาณิชย์จะลดลงไปบ้าง แต่ยังเป็นจุดอ่อนที่ส่งผลให้อันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ของธนาคารพาณิชย์ไทยต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
นายดอนยังคาดการณ์ด้วยว่า ความสามารถในการทำกำไรของธนาคารพาณิชย์ปีนี้จะต่ำกว่าปีที่ผ่านมา แต่เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงและการกันสำรองยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยอัตราของเงินกองทุนยังสูงกว่าที่ธปท.กำหนดไว้
ด้านนายสุคนธ์พัฒน์ จันทพันธ์ ผู้ตรวจสอบอาวุโส ฝ่ายตรวจสอบความเสี่ยงและเทคโนโลยี สายกำกับสถาบันการเงิน ธปท.บอกว่า อัตราการผิดนัดชำระหนี้ของปี 2549 ลดลงมาอยู่ที่ 2-4% จาก 6-7% ในปี 2543 แต่ในปีนี้ตัวเลขดังกล่าวอาจเพิ่มขึ้นบ้าง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าลูกหนี้ปรับตัวดีขึ้นหลังจากธนาคารเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ และจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมให้ปรับตัวดีขึ้นด้วย
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news05/10/07
โพสต์ที่ 190
สมาคมธนาคารฮึดสู้ จี้แก้กม.สถาบันการเงิน
โพสต์ทูเดย์ สมาคมธนาคารไทยเดินเกมล็อบบี้ กมธ.วิสามัญแก้ไข พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน ติงบทลงโทษหนักเกินไป
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า สมาคมธนาคารไทยจะรวบรวมความเห็นเกี่ยวกับกฎหมายบางมาตราใน พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงินฉบับใหม่ เพื่อเสนอต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญ ก่อนนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ต่อไป
ทั้งนี้ สมาคมธนาคารไทยเห็น ด้วยในหลักการของ พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงินฉบับใหม่ แต่มี รายละเอียดในหลายมาตราของ พ.ร.บ.ที่ต้องการให้ปรับปรุง โดย เฉพาะมาตราที่นิยามของคำว่า ผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งกฎหมายตีความกว้างมาก ทำให้เกิดปัญหาในขั้นตอนการปฏิบัติจะลำบาก
นอกจากนี้ การกำหนดบทลงโทษที่ครอบคลุมในด้านอาญาและมีโทษถึงขั้นจำคุก มีส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบริหาร ซึ่งควรดูให้เหมาะสม เพราะหลักกฎหมายการเงินทั่วไปจะใช้หลักผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่กรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาเป็นฝ่ายผิด เคยใช้ใน พ.ร.บ.บริษัทเงินทุน พ.ศ.2522 แต่หลังจากนั้นก็ไม่เคยให้ผู้ถูกกล่าวหาเป็นฝ่ายผิดอีก
นายประสาร กล่าวว่า ขณะนี้ ธนาคารกสิกรไทยได้รายงานบทลงโทษที่อาจเกี่ยวข้องกับคณะกรรมการของธนาคารให้รับทราบแล้ว
นายมงคล ลีลาธรรม ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยเครดิต เพื่อรายย่อย กล่าวว่า พ.ร.บ.สถาบันการเงินฉบับใหม่ ควรให้ความเป็นธรรมกับผู้บริหารสถาบันการเงินด้วยเพราะเขียนกฎหมายไม่ชัดเจน กรณีมีความผิดเกิดขึ้นยังไม่มีการสอบสวนว่าใครกระทำถูกหรือผิดก็ให้ผู้บริหารผิดไว้ก่อนแล้วค่อยมาพิสูจน์ในภายหลัง ซึ่งขัดกับกฎหมายทั่วไป
เราอยากขอความเป็นธรรม ไม่เช่นนั้นก็จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของธนาคาร และอาจเป็นภาระของลูกค้า เพราะธนาคารจะมีความเข้มงวดมากขึ้น นายมงคล กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=195502
โพสต์ทูเดย์ สมาคมธนาคารไทยเดินเกมล็อบบี้ กมธ.วิสามัญแก้ไข พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน ติงบทลงโทษหนักเกินไป
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า สมาคมธนาคารไทยจะรวบรวมความเห็นเกี่ยวกับกฎหมายบางมาตราใน พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงินฉบับใหม่ เพื่อเสนอต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญ ก่อนนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ต่อไป
ทั้งนี้ สมาคมธนาคารไทยเห็น ด้วยในหลักการของ พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงินฉบับใหม่ แต่มี รายละเอียดในหลายมาตราของ พ.ร.บ.ที่ต้องการให้ปรับปรุง โดย เฉพาะมาตราที่นิยามของคำว่า ผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งกฎหมายตีความกว้างมาก ทำให้เกิดปัญหาในขั้นตอนการปฏิบัติจะลำบาก
นอกจากนี้ การกำหนดบทลงโทษที่ครอบคลุมในด้านอาญาและมีโทษถึงขั้นจำคุก มีส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบริหาร ซึ่งควรดูให้เหมาะสม เพราะหลักกฎหมายการเงินทั่วไปจะใช้หลักผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่กรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาเป็นฝ่ายผิด เคยใช้ใน พ.ร.บ.บริษัทเงินทุน พ.ศ.2522 แต่หลังจากนั้นก็ไม่เคยให้ผู้ถูกกล่าวหาเป็นฝ่ายผิดอีก
นายประสาร กล่าวว่า ขณะนี้ ธนาคารกสิกรไทยได้รายงานบทลงโทษที่อาจเกี่ยวข้องกับคณะกรรมการของธนาคารให้รับทราบแล้ว
นายมงคล ลีลาธรรม ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยเครดิต เพื่อรายย่อย กล่าวว่า พ.ร.บ.สถาบันการเงินฉบับใหม่ ควรให้ความเป็นธรรมกับผู้บริหารสถาบันการเงินด้วยเพราะเขียนกฎหมายไม่ชัดเจน กรณีมีความผิดเกิดขึ้นยังไม่มีการสอบสวนว่าใครกระทำถูกหรือผิดก็ให้ผู้บริหารผิดไว้ก่อนแล้วค่อยมาพิสูจน์ในภายหลัง ซึ่งขัดกับกฎหมายทั่วไป
เราอยากขอความเป็นธรรม ไม่เช่นนั้นก็จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของธนาคาร และอาจเป็นภาระของลูกค้า เพราะธนาคารจะมีความเข้มงวดมากขึ้น นายมงคล กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=195502
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news06/10/07
โพสต์ที่ 191
แบงก์คอตกหนี้เน่าพรึ่บ
โพสต์ทูเดย์ ธปท.ส่งสัญญาณแบงก์พาณิชย์ส่อมีเอ็นพีแอลเพิ่มจนถึงสิ้น ปีนี้ตามภาวะเศรษฐกิจ ชี้ส่วนใหญ่ ตั้งสำรองครบแล้ว
นายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า แรงกดดันของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ยังคงมีต่อไปจนถึงสิ้นปีนี้ตามปัจจัยคือ 1.เศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง 2.จากการตรวจสอบของ ธปท. ที่พบว่ามีหนี้เสียและให้มีการจัดชั้นเพิ่ม และ 3.ความผันผวนของตลาดที่มีมากขึ้น
ยังไม่เห็นการฟื้นตัวเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ และความผันผวนในตลาดการเงินก็มีมากขึ้น ก็อาจจะกระทบบ้าง ทำให้มีส่วนในการบริหารจัดการด้านหนี้อาจจะมีความท้าทายมากขึ้น แต่คิดว่าถ้าเศรษฐกิจ ในปีหน้ามีการฟื้นตัวอย่างที่หลายฝ่ายคาดกัน แรงกดดันของหนี้เอ็นพีแอล ก็น่าจะลดลง นายบัณฑิต กล่าว
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ธนาคารพาณิชย์ก็ตระหนักในการดูแลเอ็นพีแอลอยู่แล้ว โดยมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์ของ ธปท.เช่นกัน ที่ไม่อยากให้ธนาคารพาณิชย์แข่งขันกันมาก จนทำให้มาตรฐานในคุณภาพสินเชื่อต้องผ่อนคลายลง
นายบัณฑิต กล่าวว่า ธปท.พยายาม บริหารจัดการ โดยเฉพาะภาวะอัตราดอกเบี้ยหรือค่าเงินบาทไม่ให้ตลาดมี ความผันผวนมากเหมือนในต่างประเทศ ขณะที่สภาพคล่องในระบบก็ยังอยู่ในเกณฑ์สูง น่าจะเป็นปัจจัยที่ช่วยลดแรงกดดันของเอ็นพีแอลให้ไม่รุนแรงนัก
สำหรับเอ็นพีแอลของไตรมาส 3 ปีนี้ ที่กำลังจะประกาศอย่างเป็นทางการประมาณวันที่ 20 ของเดือน ต.ค. ยังทรงตัวในระดับเดียวกับช่วงไตรมาสแรก และไตรมาส 2 ปีนี้ หรือเพิ่มขึ้นบ้างเล็กน้อย ถือว่าไม่มีอะไรน่าห่วง
ทั้งนี้ ธปท.รายงานตัวเลขเอ็นพีแอลล่าสุดในเดือน ก.ค. พบว่า หนี้เอ็นพีแอลสุทธิหลังกันสำรองอยู่ที่ 4.4% ของสินเชื่อรวม หรือ 2.54 แสนล้านบาท โดยเอ็นพีแอลก่อนหักสำรองอยู่ที่ 7.84% หรือ 4.71 แสนล้านบาท
ด้านนางทองอุไร ลิ้มปิติ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายความเสี่ยง ธปท. กล่าวว่า เป้าหมายการลดเอ็นพีแอลให้เหลือ 2% ในปีนี้คงเป็นเรื่องยาก แต่ขณะนี้ฐานะของระบบธนาคารพาณิชย์ในไทยค่อนข้างแข็งแรงไม่ได้มีปัญหา และส่วนใหญ่มีการตั้งสำรอง หนี้ตาม มาตรฐานการบัญชีระหว่างประเทศใหม่ฉบับที่ 39 หรือ IAS 39 เกือบครบทุกแห่งแล้ว เหลือที่ ต้องกันสำรองเพิ่มตามเกณฑ์อีกเพียง 3 พันล้านบาท จากทั้งระบบที่ต้อง ตั้งเพิ่มประมาณ 6.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะตั้งสำรองได้ทั้งหมดภายในสิ้นปีนี้
นอกจากนี้ประมาณปี 2551 ก็จะนำกฎบาเซิลทู ที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากลมาใช้กับสถาบันการเงินไทย ซึ่งจะช่วยให้ความน่าเชื่อถือของธนาคารพาณิชย์ไทยดีขึ้น รองรับการขยายตัวของธุรกิจไทย ที่ขยายตัวเพิ่มและการเปิดเสรีทางการเงินต่อไป
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=195781
โพสต์ทูเดย์ ธปท.ส่งสัญญาณแบงก์พาณิชย์ส่อมีเอ็นพีแอลเพิ่มจนถึงสิ้น ปีนี้ตามภาวะเศรษฐกิจ ชี้ส่วนใหญ่ ตั้งสำรองครบแล้ว
นายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า แรงกดดันของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ยังคงมีต่อไปจนถึงสิ้นปีนี้ตามปัจจัยคือ 1.เศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง 2.จากการตรวจสอบของ ธปท. ที่พบว่ามีหนี้เสียและให้มีการจัดชั้นเพิ่ม และ 3.ความผันผวนของตลาดที่มีมากขึ้น
ยังไม่เห็นการฟื้นตัวเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ และความผันผวนในตลาดการเงินก็มีมากขึ้น ก็อาจจะกระทบบ้าง ทำให้มีส่วนในการบริหารจัดการด้านหนี้อาจจะมีความท้าทายมากขึ้น แต่คิดว่าถ้าเศรษฐกิจ ในปีหน้ามีการฟื้นตัวอย่างที่หลายฝ่ายคาดกัน แรงกดดันของหนี้เอ็นพีแอล ก็น่าจะลดลง นายบัณฑิต กล่าว
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ธนาคารพาณิชย์ก็ตระหนักในการดูแลเอ็นพีแอลอยู่แล้ว โดยมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์ของ ธปท.เช่นกัน ที่ไม่อยากให้ธนาคารพาณิชย์แข่งขันกันมาก จนทำให้มาตรฐานในคุณภาพสินเชื่อต้องผ่อนคลายลง
นายบัณฑิต กล่าวว่า ธปท.พยายาม บริหารจัดการ โดยเฉพาะภาวะอัตราดอกเบี้ยหรือค่าเงินบาทไม่ให้ตลาดมี ความผันผวนมากเหมือนในต่างประเทศ ขณะที่สภาพคล่องในระบบก็ยังอยู่ในเกณฑ์สูง น่าจะเป็นปัจจัยที่ช่วยลดแรงกดดันของเอ็นพีแอลให้ไม่รุนแรงนัก
สำหรับเอ็นพีแอลของไตรมาส 3 ปีนี้ ที่กำลังจะประกาศอย่างเป็นทางการประมาณวันที่ 20 ของเดือน ต.ค. ยังทรงตัวในระดับเดียวกับช่วงไตรมาสแรก และไตรมาส 2 ปีนี้ หรือเพิ่มขึ้นบ้างเล็กน้อย ถือว่าไม่มีอะไรน่าห่วง
ทั้งนี้ ธปท.รายงานตัวเลขเอ็นพีแอลล่าสุดในเดือน ก.ค. พบว่า หนี้เอ็นพีแอลสุทธิหลังกันสำรองอยู่ที่ 4.4% ของสินเชื่อรวม หรือ 2.54 แสนล้านบาท โดยเอ็นพีแอลก่อนหักสำรองอยู่ที่ 7.84% หรือ 4.71 แสนล้านบาท
ด้านนางทองอุไร ลิ้มปิติ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายความเสี่ยง ธปท. กล่าวว่า เป้าหมายการลดเอ็นพีแอลให้เหลือ 2% ในปีนี้คงเป็นเรื่องยาก แต่ขณะนี้ฐานะของระบบธนาคารพาณิชย์ในไทยค่อนข้างแข็งแรงไม่ได้มีปัญหา และส่วนใหญ่มีการตั้งสำรอง หนี้ตาม มาตรฐานการบัญชีระหว่างประเทศใหม่ฉบับที่ 39 หรือ IAS 39 เกือบครบทุกแห่งแล้ว เหลือที่ ต้องกันสำรองเพิ่มตามเกณฑ์อีกเพียง 3 พันล้านบาท จากทั้งระบบที่ต้อง ตั้งเพิ่มประมาณ 6.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะตั้งสำรองได้ทั้งหมดภายในสิ้นปีนี้
นอกจากนี้ประมาณปี 2551 ก็จะนำกฎบาเซิลทู ที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากลมาใช้กับสถาบันการเงินไทย ซึ่งจะช่วยให้ความน่าเชื่อถือของธนาคารพาณิชย์ไทยดีขึ้น รองรับการขยายตัวของธุรกิจไทย ที่ขยายตัวเพิ่มและการเปิดเสรีทางการเงินต่อไป
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=195781
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news06/10/07
โพสต์ที่ 192
ทองค้ำเงินกู้ได้95% ไทยเครดิตเปิดช่อง
โพสต์ทูเดย์ แบงก์ไทยเครดิต เพื่อรายย่อย สร้างสีสันอีกรอบ เปิดช่องเอสเอ็มอี-ร้านทอง ใช้ทองคำเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันการกู้ยืม
นายมงคล ลีลาธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารไทยเครดิต เพื่อรายย่อย กล่าวว่า ในเดือน พ.ย.นี้ ธนาคารจะออกผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อเปิดทางให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) และผู้ประกอบการร้านทอง สามารถกู้เงินโดยใช้ทองคำมาเป็นหลัก ทรัพย์ค้ำประกัน
สำหรับร้านค้าทองนั้นก็สามารถขอสินเชื่อโดยนำทองคำที่ร้านมาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันได้ด้วย
ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แล้ว เหลือแต่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ ซึ่ง ธปท.ก็ให้การสนับสนุน เนื่องจากเห็นว่ายังมีลูกค้าบางกลุ่มมีศักยภาพ เป็นลูกค้าที่มีคุณภาพดี แต่เข้าไม่ถึงสถาบันการเงิน
สำหรับอัตราดอกเบี้ยนั้น คิดไม่เท่ากันขึ้นกับความเสี่ยงของลูกค้าแต่ละราย แต่ธนาคารจะให้สินเชื่อไม่เกิน 90% ของวงเงินกู้ จากปัจจุบันผลิตภัณฑ์ทั่วไปของธนาคารให้สินเชื่อไม่เกิน 85% ของวงเงินกู้
ธนาคารแต่ละแห่งต้องสร้างความเชี่ยวชาญอย่างธนาคารก็ต้องการสร้างความเชี่ยวชาญเรื่องทองคำ ต้องการเข้าถึงวิถีชาวบ้านซึ่งผลิตภัณฑ์นี้จะเป็นการต่อยอดจากการรับจำนำทอง นายมงคล กล่าว
นายมงคล กล่าวว่า ปัจจุบันคนไทยถือครองทองคำ รวมทั้งอัญมณีมีค่าประมาณ 15% ของการออมทั้งหมด ซึ่งในแต่ละปีจะมีทองคำนำเข้าประมาณ 100 ตัน หรือปีละประมาณ 6-7 หมื่นล้านบาท ฉะนั้นการนำทองคำมาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันจึงเป็นการเปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปได้เข้าถึงแหล่งเงินกู้ในระบบเพิ่มอีกช่องทางหนึ่ง
ขณะที่การเปิดช่องให้ร้านค้าทองสามารถนำทองคำมาคํ้าประกันการกู้ยืม ก็จะเพิ่มช่องทางการขยายตลาดให้กว้างขึ้น และทำให้ร้านทองทั่วประเทศมีจำนวนประมาณ 7 พันราย และต่อรายจะมีทองคำมูลค่าไม่น้อยกว่า 5 ล้านบาท เท่ากับว่ามีร้านทองทั่วประเทศกว่า 3.5 หมื่นล้านบาท
นายมงคล กล่าวว่า ตั้งแต่ปี 2549 ราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้น 25% มีเหตุจากหลายปัจจัย ทั้งปริมาณทองคำในโลกเริ่มมีจำนวนจำกัดจากข้อจำกัดการขุดเจาะ รวมทั้งการถือครองทองคำแทนสินทรัพย์อื่น เช่นถือเงินเหรียญสหรัฐที่กำลังด้อยค่า และการเก็งกำไร เพราะยิ่งทองคำมีจำนวนน้อยลง แต่ความต้องการมาก ก็จะมีกลุ่มคนที่ถือครองทองคำเพื่อเก็งกำไรในอนาคต
อย่างไรก็ดี ยอมรับว่าสินค้าการเงินทุกประเภทสามารถเลียนแบบกันได้ง่ายระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน ก็จะมีสินค้าประเภทเดียวกันออกสู่ตลาดเพียงแต่ต่างสถาบันการเงิน โดยในทางกลับกันธนาคารกลับไม่เป็นห่วงการเลียนแบบผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับทองคำที่ธนาคารริเริ่ม เพราะต้องการให้ตลาดทองคำมีอัตราการเติบโต มีการซื้อขายแลกเปลี่ยน
นายมงคล กล่าวว่า การที่ธนาคารถือครองทองคำจำนวนมากยิ่งส่งผลดีต่อเกณฑ์บาเซิล 2 ที่จะนำมาใช้ในปีหน้า เพราะเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อย ถ้าเทียบกับสินเชื่อที่อยู่อาศัย เกณฑ์บาเซิล 2 จะคิดความเสี่ยงถ่วงน้ำหนักสินทรัพย์เสี่ยงของทองคำ 20% น้อยกว่าสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่คิด 35%
เราเป็นธนาคารขนาดเล็กต้องประหยัดเงินกองทุนต้องทำให้เงินกองทุนมีประสิทธิภาพสูง ซึ่งปัจจุบันบีไอเอสของธนาคารอยู่ที่ 90 เท่า จากทุนจดทะเบียน 1 พันล้านบาท นายมงคล กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=195737
โพสต์ทูเดย์ แบงก์ไทยเครดิต เพื่อรายย่อย สร้างสีสันอีกรอบ เปิดช่องเอสเอ็มอี-ร้านทอง ใช้ทองคำเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันการกู้ยืม
นายมงคล ลีลาธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารไทยเครดิต เพื่อรายย่อย กล่าวว่า ในเดือน พ.ย.นี้ ธนาคารจะออกผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อเปิดทางให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) และผู้ประกอบการร้านทอง สามารถกู้เงินโดยใช้ทองคำมาเป็นหลัก ทรัพย์ค้ำประกัน
สำหรับร้านค้าทองนั้นก็สามารถขอสินเชื่อโดยนำทองคำที่ร้านมาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันได้ด้วย
ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แล้ว เหลือแต่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ ซึ่ง ธปท.ก็ให้การสนับสนุน เนื่องจากเห็นว่ายังมีลูกค้าบางกลุ่มมีศักยภาพ เป็นลูกค้าที่มีคุณภาพดี แต่เข้าไม่ถึงสถาบันการเงิน
สำหรับอัตราดอกเบี้ยนั้น คิดไม่เท่ากันขึ้นกับความเสี่ยงของลูกค้าแต่ละราย แต่ธนาคารจะให้สินเชื่อไม่เกิน 90% ของวงเงินกู้ จากปัจจุบันผลิตภัณฑ์ทั่วไปของธนาคารให้สินเชื่อไม่เกิน 85% ของวงเงินกู้
ธนาคารแต่ละแห่งต้องสร้างความเชี่ยวชาญอย่างธนาคารก็ต้องการสร้างความเชี่ยวชาญเรื่องทองคำ ต้องการเข้าถึงวิถีชาวบ้านซึ่งผลิตภัณฑ์นี้จะเป็นการต่อยอดจากการรับจำนำทอง นายมงคล กล่าว
นายมงคล กล่าวว่า ปัจจุบันคนไทยถือครองทองคำ รวมทั้งอัญมณีมีค่าประมาณ 15% ของการออมทั้งหมด ซึ่งในแต่ละปีจะมีทองคำนำเข้าประมาณ 100 ตัน หรือปีละประมาณ 6-7 หมื่นล้านบาท ฉะนั้นการนำทองคำมาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันจึงเป็นการเปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปได้เข้าถึงแหล่งเงินกู้ในระบบเพิ่มอีกช่องทางหนึ่ง
ขณะที่การเปิดช่องให้ร้านค้าทองสามารถนำทองคำมาคํ้าประกันการกู้ยืม ก็จะเพิ่มช่องทางการขยายตลาดให้กว้างขึ้น และทำให้ร้านทองทั่วประเทศมีจำนวนประมาณ 7 พันราย และต่อรายจะมีทองคำมูลค่าไม่น้อยกว่า 5 ล้านบาท เท่ากับว่ามีร้านทองทั่วประเทศกว่า 3.5 หมื่นล้านบาท
นายมงคล กล่าวว่า ตั้งแต่ปี 2549 ราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้น 25% มีเหตุจากหลายปัจจัย ทั้งปริมาณทองคำในโลกเริ่มมีจำนวนจำกัดจากข้อจำกัดการขุดเจาะ รวมทั้งการถือครองทองคำแทนสินทรัพย์อื่น เช่นถือเงินเหรียญสหรัฐที่กำลังด้อยค่า และการเก็งกำไร เพราะยิ่งทองคำมีจำนวนน้อยลง แต่ความต้องการมาก ก็จะมีกลุ่มคนที่ถือครองทองคำเพื่อเก็งกำไรในอนาคต
อย่างไรก็ดี ยอมรับว่าสินค้าการเงินทุกประเภทสามารถเลียนแบบกันได้ง่ายระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน ก็จะมีสินค้าประเภทเดียวกันออกสู่ตลาดเพียงแต่ต่างสถาบันการเงิน โดยในทางกลับกันธนาคารกลับไม่เป็นห่วงการเลียนแบบผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับทองคำที่ธนาคารริเริ่ม เพราะต้องการให้ตลาดทองคำมีอัตราการเติบโต มีการซื้อขายแลกเปลี่ยน
นายมงคล กล่าวว่า การที่ธนาคารถือครองทองคำจำนวนมากยิ่งส่งผลดีต่อเกณฑ์บาเซิล 2 ที่จะนำมาใช้ในปีหน้า เพราะเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อย ถ้าเทียบกับสินเชื่อที่อยู่อาศัย เกณฑ์บาเซิล 2 จะคิดความเสี่ยงถ่วงน้ำหนักสินทรัพย์เสี่ยงของทองคำ 20% น้อยกว่าสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่คิด 35%
เราเป็นธนาคารขนาดเล็กต้องประหยัดเงินกองทุนต้องทำให้เงินกองทุนมีประสิทธิภาพสูง ซึ่งปัจจุบันบีไอเอสของธนาคารอยู่ที่ 90 เท่า จากทุนจดทะเบียน 1 พันล้านบาท นายมงคล กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=195737
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news06/10/07
โพสต์ที่ 193
วิเคราะห์บริษัทจดทะเบียน
คาดกลุม่ แบงก์ไตรมาส 3 ฟื้น
บล.เอเซีย พลัส
บล.เอเซีย พลัส ประเมินผลการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ 8 แห่ง คาดว่าจะรายงานผลการดําเนินงานที่พลิกฟื้นเป็นกําไรสุทธิในงวดไตรมาส 3 ปี 2550 เท่ากับ 1.15 หมื่นล้านบาท จากการตั้งสํารองหนี้สงสัยจะสูญที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ของธนาคารส่วนใหญ่
ทั้งนี้ คาดว่าธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) และธนาคารกรุงไทย (KTB) จะมีการพลิกฟื้นของกําไรสุทธิอย่างมีนัยจากงวดที่ผ่านมา ส่วนธนาคารนครหลวงไทย (SCIB) ธนาคารกรุงเทพ (BBL) และธนาคารกสิกรไทย (KBANK) คาดว่าจะมีการลดลงของกําไรสุทธิโดยเฉพาะ SCIB ที่คาดว่าจะตั้งสํารองหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้นสูงต่อเนื่องจากงวด ที่ผ่านมา
สถานการณ์สินเชื่อสุทธิโดยรวมในงวดไตรมาส 3 ปี 2550 ค่อนข้างชะลอตัว แม้จะเริ่มเข้าสู่ช่วงฤดูกาล แต๋ผลจากการปรับโครงสร้างหนี้เชิงรุก และการตัดหนี้สูญที่เกิดขึ้น ทําให้สินเชื่อไม่ขยายตัวเท่าที่ควร โดยรวมแล้ว สินเชื่อสุทธิในระยะ 9 เดือน ปี 2550 จะเติบโตต่ำกว่าเป้าหมาย
ทั้งปี 2550 ที่ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส คาดไว้จะเติบโต 7.2% จากปี 2549 แต่มีแนวโน้มปรับลดคาดการณ์การเติบโตของสินเชื่อสุทธิ ของธนาคารส่วนใหญ่ลง (ยกเว้น KBANK และ BBL) ภายหลังประกาศผลการดําเนินงานไตรมาส 3 ปี 2550 จากประเมินแล้วว่าคงไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
ฝ่ายวิจัยคาดรายได้ดอกเบี้ยสุทธิไตรมาส 3 ปี 2550 เพิ่มขึ้นเป็น 3.36% เนื่องจากประการแรก การขยายสินเชื่อส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นอยู่ในกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนสูงทั้งสินเชื่อขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) และรายย่อย KTB แม้ว่าในงวด ไตรมาส 3 ปี 2550 จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดีแบบมีกำหนดระยะเวลา (MLR) ลงราว 1.25% ประการที่สอง ต้นทุนเงินฝากยังปรับตัวลดลงต่อเนื่อง เพราะแทนที่ด้วยต้นทุนใหม่ที่ต่ำลง และประการที่สาม เงินปันผลรับจากกองทุน วายุภักษ์สําหรับงวดครึ่งแรกปี 2550 ที่ธนาคารพาณิชย์จะบันทึกเข้ามาในงวดไตรมาส 3 ปี 2550
ทั้งนี้ ยังคงน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่ม ธนาคารพาณิชย์ มากกว่าตลาด โดยมีปัจจัยสนับสนุนคือประการแรก ศักยภาพการทํากําไรในครึ่งหลังปี 2550 ที่จะสูงขึ้นจากครึ่งแรกปี 2550 ตามการขยายสินเชื่อที่มีแนวโน้มสูงขึ้นและคาดการณ์การเติบโตของกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ของกลุ่มธนาคารอย่างมีนัย ในปี 2551 และประการที่สอง แนวโน้มรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ที่เริ่มทยอยปรับตัวสูงขึ้น โดยได้รับผลบวกจากต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลงต่อเนื่อง ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้เริ่มชะลอการปรับตัวลดลงแล้ว
ฝ่ายวิจัยยังเลือก KBANK และ BAY เป็นหุ้นที่แนะนำให้เลือกลงทุนสูงสุด เนื่องจากมีโอกาสที่ราคาจะปรับระดับสูง จากศักยภาพการทํากําไรที่ดีในอนาคต อีกทั้งยังมีฐานเงินกองทุนและ Coverage ratio ที่แข็งแกร่งเพียงพอรองรับความเสี่ยงเรื่องหนี้ด้อยคุณภาพ (NPL) ได้สูงมาก
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=195831
คาดกลุม่ แบงก์ไตรมาส 3 ฟื้น
บล.เอเซีย พลัส
บล.เอเซีย พลัส ประเมินผลการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ 8 แห่ง คาดว่าจะรายงานผลการดําเนินงานที่พลิกฟื้นเป็นกําไรสุทธิในงวดไตรมาส 3 ปี 2550 เท่ากับ 1.15 หมื่นล้านบาท จากการตั้งสํารองหนี้สงสัยจะสูญที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ของธนาคารส่วนใหญ่
ทั้งนี้ คาดว่าธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) และธนาคารกรุงไทย (KTB) จะมีการพลิกฟื้นของกําไรสุทธิอย่างมีนัยจากงวดที่ผ่านมา ส่วนธนาคารนครหลวงไทย (SCIB) ธนาคารกรุงเทพ (BBL) และธนาคารกสิกรไทย (KBANK) คาดว่าจะมีการลดลงของกําไรสุทธิโดยเฉพาะ SCIB ที่คาดว่าจะตั้งสํารองหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้นสูงต่อเนื่องจากงวด ที่ผ่านมา
สถานการณ์สินเชื่อสุทธิโดยรวมในงวดไตรมาส 3 ปี 2550 ค่อนข้างชะลอตัว แม้จะเริ่มเข้าสู่ช่วงฤดูกาล แต๋ผลจากการปรับโครงสร้างหนี้เชิงรุก และการตัดหนี้สูญที่เกิดขึ้น ทําให้สินเชื่อไม่ขยายตัวเท่าที่ควร โดยรวมแล้ว สินเชื่อสุทธิในระยะ 9 เดือน ปี 2550 จะเติบโตต่ำกว่าเป้าหมาย
ทั้งปี 2550 ที่ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส คาดไว้จะเติบโต 7.2% จากปี 2549 แต่มีแนวโน้มปรับลดคาดการณ์การเติบโตของสินเชื่อสุทธิ ของธนาคารส่วนใหญ่ลง (ยกเว้น KBANK และ BBL) ภายหลังประกาศผลการดําเนินงานไตรมาส 3 ปี 2550 จากประเมินแล้วว่าคงไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
ฝ่ายวิจัยคาดรายได้ดอกเบี้ยสุทธิไตรมาส 3 ปี 2550 เพิ่มขึ้นเป็น 3.36% เนื่องจากประการแรก การขยายสินเชื่อส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นอยู่ในกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนสูงทั้งสินเชื่อขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) และรายย่อย KTB แม้ว่าในงวด ไตรมาส 3 ปี 2550 จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดีแบบมีกำหนดระยะเวลา (MLR) ลงราว 1.25% ประการที่สอง ต้นทุนเงินฝากยังปรับตัวลดลงต่อเนื่อง เพราะแทนที่ด้วยต้นทุนใหม่ที่ต่ำลง และประการที่สาม เงินปันผลรับจากกองทุน วายุภักษ์สําหรับงวดครึ่งแรกปี 2550 ที่ธนาคารพาณิชย์จะบันทึกเข้ามาในงวดไตรมาส 3 ปี 2550
ทั้งนี้ ยังคงน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่ม ธนาคารพาณิชย์ มากกว่าตลาด โดยมีปัจจัยสนับสนุนคือประการแรก ศักยภาพการทํากําไรในครึ่งหลังปี 2550 ที่จะสูงขึ้นจากครึ่งแรกปี 2550 ตามการขยายสินเชื่อที่มีแนวโน้มสูงขึ้นและคาดการณ์การเติบโตของกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ของกลุ่มธนาคารอย่างมีนัย ในปี 2551 และประการที่สอง แนวโน้มรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ที่เริ่มทยอยปรับตัวสูงขึ้น โดยได้รับผลบวกจากต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลงต่อเนื่อง ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้เริ่มชะลอการปรับตัวลดลงแล้ว
ฝ่ายวิจัยยังเลือก KBANK และ BAY เป็นหุ้นที่แนะนำให้เลือกลงทุนสูงสุด เนื่องจากมีโอกาสที่ราคาจะปรับระดับสูง จากศักยภาพการทํากําไรที่ดีในอนาคต อีกทั้งยังมีฐานเงินกองทุนและ Coverage ratio ที่แข็งแกร่งเพียงพอรองรับความเสี่ยงเรื่องหนี้ด้อยคุณภาพ (NPL) ได้สูงมาก
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=195831
-
- Verified User
- โพสต์: 1231
- ผู้ติดตาม: 0
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news08/10/07
โพสต์ที่ 195
4ธุรกิจสังเวยบาเซิล2 +แบงก์เข้มเมินปล่อยกู้ สิ่งทอ เรียลเอสเตต ก่อสร้าง-ส่งออกติดโผกลุ่มเสี่ยงสูง
ภาคธุรกิจกุมขมับ กฎหมายการเงินใหม่ ขย้ำกลุ่มสิ่งทอ เรียลเอสเตท ก่อสร้าง ส่งออก ที่ใช้เงินกู้นอกสะเทือน ติดโผถูกแขวนไว้ในกลุ่มเสี่ยงสูง-เมินปล่อยกู้ ด้านแบงก์ใหญ่เตรียมพร้อมรับมือบาเซิล2 ซอยชั้นลูกค้าถี่ยิบจาก 5ชั้นขึ้นเป็น 23 ชั้น ไทยพาณิชย์จัดเรทติ้งลูกค้าเอสเอ็มอี 13 ชั้น ส่วนสแตนชาร์ดฯประกาศเน้นเฉพาะลูกค้าที่เสี่ยงต่ำ ไทยเครดิตเพื่อรายย่อยรุกปล่อยสินเชื่อทองคำ ด้านรองผู้ว่าการแบงก์ชาติเชื่อการแข่งขันเปลี่ยน แบงก์หันมาเข่งสินเชื่อบุคคลมากขึ้น
พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ....... ที่ผ่านการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)ไปเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2550 ที่ผ่านมา และคาดว่าจะประกาศบังคับใช้เป็นกฎหมายได้ในเร็วๆนี้ มีประเด็นที่น่าสนใจ ส่งผลกระทบต่อการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินและการขอสินเชื่อผู้ประกอบการและผู้บริโภคขึ้นแล้ว เนื่องจากการเพิ่มเครื่องมือในการดูแลสถาบันการเงินให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล หรือหลักเกณฑ์การกำกับดูแลเงินกองทุนของสถาบันการเงิน (บาเซิล 2) แม้ว่าจะมีผลในทางปฏิบัติสำหรับธนาคารพาณิชย์ในปลายปี 2551 ก็ตาม
++อ้างบาเซิล2 เมินให้กู้กลุ่มเสี่ยง
แหล่งข่าวจากธุรกิจแฟคตอริ่งรายหนึ่ง เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ"ว่า ขณะนี้เริ่มมีสัญญาณที่ชี้ให้เห็นถึงผลกระทบจากเกณฑ์มาตรการสากลหรือบาเซิล 2 ที่จะนำมาใช้ปลายปี 2551นั้น ทางสถาบันการเงิน เริ่มเข้มงวดและระมัดระวังการปล่อยกู้ให้แก่กลุ่มธุรกิจต่างๆมากขึ้น โดยกลุ่มธุรกิจที่ธนาคารพาณิชย์มองว่ามีความเสี่ยงสูง อาทิกลุ่มสิ่งทอ ก่อสร้าง อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงธุรกิจสปา ได้รับผลกระทบจากการที่ธนาคารพาณิชย์ปฏิเสธการปล่อยสินเชื่อ ทำให้ต้องหันมาใช้เงินสดที่มีอยู่ของตัวเอง ยกเว้นในบางรายซึ่งเป็นผู้ประกอบการที่มีแบรนด์สินค้าโดดเด่นเป็นของตัวเองและมีตลาดชัดเจน ธนาคารพาณิชย์จึงจะอนุมัติเงินกู้ให้
สาเหตุหลักที่ธนาคารพาณิชย์ระมัดระวังการปล่อยกู้มากขึ้น เนื่องจากในปีหน้า ธนาคารพาณิชย์ต้องปรับตัวเข้าสู่เกณฑ์มาตรฐานสากลบาเซิล 2 ซึ่งจะทำให้ธนาคารต้องดำรงเงินกองทุนรองรับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น จากการดำเนินธุรกิจหรือความเสี่ยงจากการปฎิบัติงาน ส่งผลให้ธนาคารในระบบต้องปรับแนวทางการทำตลาด ซึ่งนอกจากเกณฑ์ดังกล่าวจะมีผลกระทบต่อการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์แล้ว ยังมีผลต่อเนื่องกับธุรกิจหรือบริษัทที่ธนาคารพาณิชย์เข้าไปถือหุ้น เพราะเกณฑ์บาเซิล 2 ที่กำหนดเกณฑ์กำกับแบบกลุ่ม ทำให้บริษัทแฟคตอริ่งที่มีธนาคารถือหุ้นมากกว่า 50 % ถูกกระทบด้วย ส่วนปัญหาที่ผู้ประกอบธุรกิจสปาที่ไม่ได้รับการปล่อยกู้จากสถาบันการเงิน เพราะเป็นกลุ่มที่เพิ่งเริ่มทำธุรกิจ การบริหารจัดการหรืองบการเงินยังไม่เป็นมาตรฐานสากล จึงมีโอกาสน้อยที่ธนาคารพาณิชย์จะเข้ามาปล่อยกู้
แหล่งข่าวจากธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง กล่าวให้ความเห็นในเรื่องเดียวกันว่า
มาตรฐานใหม่ที่กำลังจะมีผลในปลายปี 2551 ทำให้ธุรกิจกลุ่มเสี่ยงต่อการให้กู้มีจำนวนมากขึ้นเป็น 1,000 รายการ(ความเสี่ยงต่างๆที่เพิ่มมากขึ้น) ที่สามารถแยกย่อยออกจากหมวดอุตสาหกรรมใหญ่ๆ 17 หมวด เช่น กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ (เรียลเอสเอท) กลุ่มก่อสร้าง กลุ่มสิ่งทอ กลุ่มอุตสาหกรรมส่งออกที่ใช้เงินกู้ต่างประเทศ ซึ่งความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ทำให้ธนาคารพาณิชย์ต้องเข้มงวดในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อมากขึ้น โดยยึดงบการเงินของธุรกิจเป็นหลัก
ดังนั้นในกรณีที่ธุรกิจมีผลขาดทุน แสดงยอดขายน้อย ทุนจดทะเบียนต่ำ ก็มีโอกาสที่จะไม่ได้รับสินเชื่อจากธนาคาร ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการต้องพิสูจน์สถานะให้ชัดเจน
ด้านนางทองอุไร ลิ้มปิติ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายความเสี่ยง สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาชี้แจงว่า ในกฎหมายใหม่ที่กำกับเรื่องความเสี่ยงจากการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์นั้น จะดูความเสี่ยงจากเรทติ้งของลูกค้ามากกว่าดูจากประเภทของธุรกิจ แต่จากการที่มีธนาคารพาณิชย์ที่ปฏิเสธการปล่อยกู้ให้กับธุรกิจบางประเภทนั้น น่าจะเป็นเรื่องของการวางกลยุทธ์ในการทำธุรกิจซึ่งธนาคารพาณิชย์พิจารณาว่าธุรกิจใดที่มีแนวโน้มที่มีความเสี่ยงมากกว่าที่จะเป็นผลจากกฎหมาย
++สกรีนเข้มลูกค้าจาก5ชั้นเป็น23ชั้น
ต่อเรื่องนี้ "ฐานเศรษฐกิจ" ได้สอบถามไปทางบรรดาธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ถึงการเตรียมความพร้อมในการปรับตัวสู่มาตรฐานสากลหรือบาเซิล2 ได้รับการบอกกล่าวจากธนาคารพาณิชย์หลายแห่ง ว่ากำลังดำเนินการจัดอันดับ (เรทติ้ง)ของลูกค้า เช่น ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่แห่งหนึ่งจัดอันดับลูกค้าเงินกู้จากเดิม 5 ชั้น ไปเป็น 13 ชั้น หรือขึ้นไปถึง 23 ชั้น โดยที่ฐานลูกค้าที่มีฐานะการชำระหนี้ปกติส่วนใหญ่ก็จะอยู่ประมาณชั้นที่ 1-5 แต่ลูกค้าที่ถูกจัดชั้นเลยขึ้นไปมากๆส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่เป็นเอ็นพีแอล เป็นต้น
โดยแหล่งข่าวจากธนาคารพาณิชย์ต่างที่โทรเข้าไปสอบถาม ให้เหตุผลตรงกันถึงการจัดชั้นของลูกค้า ว่าเพื่อเป็นเครื่องมือในการพิจารณาความเสี่ยง โดยจะมีการจัดทำเรทติ้งของภาคอุตสาหกรรม เรทติ้งของลูกค้าเงินกู้ เพื่อที่จะสามารถคำนวณได้ว่าอัตราดอกเบี้ยที่คิดจากลูกค้ารายดังกล่าวควรจะคิดที่ระดับใด และเป็นการทำให้ธนาคารสามารถประเมินสถานะของลูกค้ากลุ่มนั้นๆ ได้ในอนาคต รวมถึงการประเมินถึงความเสี่ยงที่อาจจะเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล)
++แบงก์ปรับโครงสร้างพอร์ตให้กู้
นอกจากนี้แหล่งข่าวยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า มาตรฐานบาเซิล2 ที่สถาบันการเงินกำลังเตรียมความพร้อมในการปรับตัวอยู่นั้น จะทำให้โครงสร้างธุรกิจของสถาบันการเงินเปลี่ยนไปในอนาคต ซึ่งเริ่มเห็นได้จากกรณีธนาคารพาณิชย์ปรับกลยุทธ์ในการขยายตัว เน้นที่สินเชื่อที่อยู่อาศัย และเอสเอ็มอีมากขึ้น เพราะความเสี่ยงต่ำ โดยสินเชื่อที่อยู่อาศัย มีการปรับความเสี่ยงจากกฎหมายเดิมที่ 50 เหลือ 35 และสินเชื่อเอสเอ็มอีปรับความเสี่ยงจาก 100 เหลือ 75 เป็นต้น โดยประเด็นดังกล่าว สะท้อนถึงการบริหารเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ เช่น การปล่อยสินเชื่อที่มีความเสี่ยงต่ำ ก็จะมีผลต่อการกินเงินกองทุนของธนาคารน้อย
นายศิริชัย สมบัติศิริ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปีหน้าธนาคารพาณิชย์ในระบบต้องเข้าสู่กฎเกณฑ์ของบาเซิล 2 ซึ่งเกณฑ์ดังกล่าวจะมีผลต่อการทำตลาดของธนาคารพาณิชย์เยอะมาก โดยในส่วนของธนาคารไทยพาณิชย์ได้ปูพื้นฐานเตรียมรองรับแล้วโดยจัดอันดับความเสี่ยง(เรตติ้ง)ของลูกค้าตามความเสี่ยง มีเรตติ้งตั้งแต่ 01-13 ขณะที่ลูกค้าส่วนใหญ่อยู่ที่เรตติ้งระดับกลางๆ ระหว่าง 4-7 ซึ่งการจัดเรทติ้งดังกล่าวเพื่อที่จะคิดอัตราดอกเบี้ยตามความเสี่ยงของลูกค้า ส่วนการพิจารณากำหนดเรทติ้งนั้น ก็จะพิจารณาจากงบการเงิน หลักประกัน และประสบการณ์ในการบริหารจัดการธุรกิจ
ในทางปฎิบัติเกณฑ์บาเซิล 2 อาจจะมีข้อจำกัดบ้าง แต่จะช่วยธนาคารพาณิชย์ในแง่ของการปล่อยกู้ในวงเงินสูงขึ้น มีผลกระทบต่อเงินกองทุนน้อย กล่าวคือ ถ้าธนาคารต้องการจะโตสูง โดยโฟกัสกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ความเสี่ยงต่ำ บาเซิล 2 จะช่วยธนาคารในแง่ของการใช้เงินกองทุนน้อย จากปัจจุบันไม่ว่าธนาคารจะปล่อยสินเชื่อธุรกิจไหน วงเงินเท่าไรก็ต้องใช้เงินกองทุนที่ระดับ 8.5% แต่ในระยะต่อไปต่อไป หากปล่อยกู้ให้กับ บริษัทปตท.จำกัด(มหาชน) ธนาคารจะใช้เงินกองทุนแค่ 2-3%เท่านั้น ถ้าเรตติ้งยังเป็นระดับที่ดีอยู่ แต่หากเป็นธุรกิจขนาดเล็กที่มีงบการเงินไม่ดี ก็อาจจะมีผลให้ธนาคารมีภาระเพิ่ม อย่างไรก็ตาม เรทติ้งจะเป็นส่วนหนึ่งเท่านั้นที่ธนาคารนำมาใช้ในการพิจารณาปล่อยกู้
ก่อนหน้านี้ นายยุทธชัย เตยะราชกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สินเชื่อเพื่ออุปโภคบริโภค ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด(ไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวให้ความเห็นในเรื่องเดียวกันว่า ธนาคารมีการเตรียมความพร้อมรองรับเกณฑ์ใหม่มาระยะหนึ่งแล้ว โดยกลยุทธ์ในการทำธุรกิจของธนาคาร ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนนโยบายในการปรับโครงสร้างของธุรกิจ ส่วนหนึ่งเพื่อรองรับเกณฑ์มาตรฐานสากล หรือบาเซิล 2 ซึ่งจะมีผลในปลายปี 2551 โดยในช่วงที่ผ่านมาได้พยายามกระจายความเสี่ยงของพอร์ตลูกค้าที่มีอยู่ไปยังกลุ่มที่มีความเสี่ยงน้อยลงกว่าเดิม
ยกตัวอย่าง สินเชื่อบัตรเครดิต เน้นกลุ่มเป้าหมายระดับกลางจนถึงระดับบน หรือมีรายได้ตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป หรือสินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งธนาคารเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายไปสู่ลูกค้าที่มีความเสี่ยงลดลง เช่น การออก Professional Loan โดยจัดกลุ่มเห็นเซ็กเมนท์ใหม่ เช่น วิศวกร พนักงานธนาคาร นายแพทย์ นักบัญชี และมีการลดอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำกว่าที่อื่น
"ในระยะยาวการให้สินเชื่อส่วนบุคคล เราจะต้องหาลูกค้ากลุ่มใหม่ ไม่สามารถหาลูกค้ากลุ่มเดิมที่เข้ามาสมัครสินเชื่อบุคคล ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าเดิมของเราเองหรือลูกค้าที่มาจากสถาบันการเงินคู่แข่ง จะมาเป็นลูกค้าหลักของเราไม่ได้ เราต้องเปลี่ยน ซึ่งที่ผ่านมาก็ประสบความสำเร็จ เพราะมีลูกค้าหน้าใหม่เข้ามาเพิ่มขึ้น"
ทางด้าน นายมงคล ลีลาธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยเครดิตเพื่อรายย่อย จำกัด กล่าวว่า ธนาคารเตรียมเปิดบริการสินเชื่อทองคำโดยเจาะกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ประกอบการร้านค้าทอง เนื่องจากทองคำมีความเสี่ยงน้อยกว่าการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย โดยสินเชื่อที่อยู่อาศัยถ่วงน้ำหนักตามเกณฑ์มาตรการสากลประมาณ 35 % แต่ทองคำถ่วงน้ำหนักสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ 20 % ซึ่งผลจาเกณฑ์บาเซิล 2 ทำให้ธนาคารจัดอันดับความเสี่ยงเพื่อให้บริการลูกค้า ซึ่งมีผลให้ธนาคารประหยัดการใช้เงินกองทุน และใช้เงินกองทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
++ธปท.คาดสินเชื่อบุคคลหนุนศก.โต
ดร.บัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า กฎเกณฑ์ใหม่ที่จะนำมาใช้กับสถาบันการเงินน้น จะใกล้เคียงกับมาตรฐานสากลมากขึ้น แต่ในบางประเด็นจะเอื้อต่อการทำธุรกิจในบางเซ็คเตอร์ที่จะทำให้มีการแข่งขันกันมากขึ้น เช่น ด้านรีเทลแบงกิ้ง และสินเชื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นไปตามลักษณะของแนวโน้มความต้องการที่จะเกิดในอนาคต ขึ้นอยู่กับแต่ละธนาคารที่จะพยายามรักษาต้นทุนในการทำธุรกิจ โดยที่ไม่กระทบต่อความเสี่ยงหนี้ที่อาจจะเกิดขึ้นตามมา
หากพิจารณาในแง่ของบริการทางการเงินในช่วงต่อไป มีความชัดเจนว่าในส่วนของสินเชื่อด้านการลงทุนหรือสินเชื่อระดับบริษัทขนาดใหญ่จะมีการแข่งขันกันมากพอสมควร เพราะมีแนวทางที่จะหาแหล่งเงินได้จากหลายที่ ทั้งจากธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ธนาคารต่างประเทศ การระดมทุนจากตลาดตราสารหนี้ การระดมทุนจากต่างประเทศ การระดมทุนจากตลาดหุ้น ซึ่งจะเป็นทางเลือกให้การแข่งขันในระดับผู้ประกอบการมีสูง ทำให้ธนาคารพาณิชย์จะหันมาให้ความสำคัญกับตลาดระดับกลางมากขึ้น โดยเฉพาะสินเชื่อที่มีโอกาสที่จะเติบโต คือ สินเชื่อบุคคล ซึ่งจะเป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะต่อไป
http://www.thannews.th.com/detialnews.p ... issue=2259
ภาคธุรกิจกุมขมับ กฎหมายการเงินใหม่ ขย้ำกลุ่มสิ่งทอ เรียลเอสเตท ก่อสร้าง ส่งออก ที่ใช้เงินกู้นอกสะเทือน ติดโผถูกแขวนไว้ในกลุ่มเสี่ยงสูง-เมินปล่อยกู้ ด้านแบงก์ใหญ่เตรียมพร้อมรับมือบาเซิล2 ซอยชั้นลูกค้าถี่ยิบจาก 5ชั้นขึ้นเป็น 23 ชั้น ไทยพาณิชย์จัดเรทติ้งลูกค้าเอสเอ็มอี 13 ชั้น ส่วนสแตนชาร์ดฯประกาศเน้นเฉพาะลูกค้าที่เสี่ยงต่ำ ไทยเครดิตเพื่อรายย่อยรุกปล่อยสินเชื่อทองคำ ด้านรองผู้ว่าการแบงก์ชาติเชื่อการแข่งขันเปลี่ยน แบงก์หันมาเข่งสินเชื่อบุคคลมากขึ้น
พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ....... ที่ผ่านการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)ไปเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2550 ที่ผ่านมา และคาดว่าจะประกาศบังคับใช้เป็นกฎหมายได้ในเร็วๆนี้ มีประเด็นที่น่าสนใจ ส่งผลกระทบต่อการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินและการขอสินเชื่อผู้ประกอบการและผู้บริโภคขึ้นแล้ว เนื่องจากการเพิ่มเครื่องมือในการดูแลสถาบันการเงินให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล หรือหลักเกณฑ์การกำกับดูแลเงินกองทุนของสถาบันการเงิน (บาเซิล 2) แม้ว่าจะมีผลในทางปฏิบัติสำหรับธนาคารพาณิชย์ในปลายปี 2551 ก็ตาม
++อ้างบาเซิล2 เมินให้กู้กลุ่มเสี่ยง
แหล่งข่าวจากธุรกิจแฟคตอริ่งรายหนึ่ง เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ"ว่า ขณะนี้เริ่มมีสัญญาณที่ชี้ให้เห็นถึงผลกระทบจากเกณฑ์มาตรการสากลหรือบาเซิล 2 ที่จะนำมาใช้ปลายปี 2551นั้น ทางสถาบันการเงิน เริ่มเข้มงวดและระมัดระวังการปล่อยกู้ให้แก่กลุ่มธุรกิจต่างๆมากขึ้น โดยกลุ่มธุรกิจที่ธนาคารพาณิชย์มองว่ามีความเสี่ยงสูง อาทิกลุ่มสิ่งทอ ก่อสร้าง อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงธุรกิจสปา ได้รับผลกระทบจากการที่ธนาคารพาณิชย์ปฏิเสธการปล่อยสินเชื่อ ทำให้ต้องหันมาใช้เงินสดที่มีอยู่ของตัวเอง ยกเว้นในบางรายซึ่งเป็นผู้ประกอบการที่มีแบรนด์สินค้าโดดเด่นเป็นของตัวเองและมีตลาดชัดเจน ธนาคารพาณิชย์จึงจะอนุมัติเงินกู้ให้
สาเหตุหลักที่ธนาคารพาณิชย์ระมัดระวังการปล่อยกู้มากขึ้น เนื่องจากในปีหน้า ธนาคารพาณิชย์ต้องปรับตัวเข้าสู่เกณฑ์มาตรฐานสากลบาเซิล 2 ซึ่งจะทำให้ธนาคารต้องดำรงเงินกองทุนรองรับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น จากการดำเนินธุรกิจหรือความเสี่ยงจากการปฎิบัติงาน ส่งผลให้ธนาคารในระบบต้องปรับแนวทางการทำตลาด ซึ่งนอกจากเกณฑ์ดังกล่าวจะมีผลกระทบต่อการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์แล้ว ยังมีผลต่อเนื่องกับธุรกิจหรือบริษัทที่ธนาคารพาณิชย์เข้าไปถือหุ้น เพราะเกณฑ์บาเซิล 2 ที่กำหนดเกณฑ์กำกับแบบกลุ่ม ทำให้บริษัทแฟคตอริ่งที่มีธนาคารถือหุ้นมากกว่า 50 % ถูกกระทบด้วย ส่วนปัญหาที่ผู้ประกอบธุรกิจสปาที่ไม่ได้รับการปล่อยกู้จากสถาบันการเงิน เพราะเป็นกลุ่มที่เพิ่งเริ่มทำธุรกิจ การบริหารจัดการหรืองบการเงินยังไม่เป็นมาตรฐานสากล จึงมีโอกาสน้อยที่ธนาคารพาณิชย์จะเข้ามาปล่อยกู้
แหล่งข่าวจากธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง กล่าวให้ความเห็นในเรื่องเดียวกันว่า
มาตรฐานใหม่ที่กำลังจะมีผลในปลายปี 2551 ทำให้ธุรกิจกลุ่มเสี่ยงต่อการให้กู้มีจำนวนมากขึ้นเป็น 1,000 รายการ(ความเสี่ยงต่างๆที่เพิ่มมากขึ้น) ที่สามารถแยกย่อยออกจากหมวดอุตสาหกรรมใหญ่ๆ 17 หมวด เช่น กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ (เรียลเอสเอท) กลุ่มก่อสร้าง กลุ่มสิ่งทอ กลุ่มอุตสาหกรรมส่งออกที่ใช้เงินกู้ต่างประเทศ ซึ่งความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ทำให้ธนาคารพาณิชย์ต้องเข้มงวดในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อมากขึ้น โดยยึดงบการเงินของธุรกิจเป็นหลัก
ดังนั้นในกรณีที่ธุรกิจมีผลขาดทุน แสดงยอดขายน้อย ทุนจดทะเบียนต่ำ ก็มีโอกาสที่จะไม่ได้รับสินเชื่อจากธนาคาร ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการต้องพิสูจน์สถานะให้ชัดเจน
ด้านนางทองอุไร ลิ้มปิติ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายความเสี่ยง สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาชี้แจงว่า ในกฎหมายใหม่ที่กำกับเรื่องความเสี่ยงจากการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์นั้น จะดูความเสี่ยงจากเรทติ้งของลูกค้ามากกว่าดูจากประเภทของธุรกิจ แต่จากการที่มีธนาคารพาณิชย์ที่ปฏิเสธการปล่อยกู้ให้กับธุรกิจบางประเภทนั้น น่าจะเป็นเรื่องของการวางกลยุทธ์ในการทำธุรกิจซึ่งธนาคารพาณิชย์พิจารณาว่าธุรกิจใดที่มีแนวโน้มที่มีความเสี่ยงมากกว่าที่จะเป็นผลจากกฎหมาย
++สกรีนเข้มลูกค้าจาก5ชั้นเป็น23ชั้น
ต่อเรื่องนี้ "ฐานเศรษฐกิจ" ได้สอบถามไปทางบรรดาธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ถึงการเตรียมความพร้อมในการปรับตัวสู่มาตรฐานสากลหรือบาเซิล2 ได้รับการบอกกล่าวจากธนาคารพาณิชย์หลายแห่ง ว่ากำลังดำเนินการจัดอันดับ (เรทติ้ง)ของลูกค้า เช่น ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่แห่งหนึ่งจัดอันดับลูกค้าเงินกู้จากเดิม 5 ชั้น ไปเป็น 13 ชั้น หรือขึ้นไปถึง 23 ชั้น โดยที่ฐานลูกค้าที่มีฐานะการชำระหนี้ปกติส่วนใหญ่ก็จะอยู่ประมาณชั้นที่ 1-5 แต่ลูกค้าที่ถูกจัดชั้นเลยขึ้นไปมากๆส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่เป็นเอ็นพีแอล เป็นต้น
โดยแหล่งข่าวจากธนาคารพาณิชย์ต่างที่โทรเข้าไปสอบถาม ให้เหตุผลตรงกันถึงการจัดชั้นของลูกค้า ว่าเพื่อเป็นเครื่องมือในการพิจารณาความเสี่ยง โดยจะมีการจัดทำเรทติ้งของภาคอุตสาหกรรม เรทติ้งของลูกค้าเงินกู้ เพื่อที่จะสามารถคำนวณได้ว่าอัตราดอกเบี้ยที่คิดจากลูกค้ารายดังกล่าวควรจะคิดที่ระดับใด และเป็นการทำให้ธนาคารสามารถประเมินสถานะของลูกค้ากลุ่มนั้นๆ ได้ในอนาคต รวมถึงการประเมินถึงความเสี่ยงที่อาจจะเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล)
++แบงก์ปรับโครงสร้างพอร์ตให้กู้
นอกจากนี้แหล่งข่าวยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า มาตรฐานบาเซิล2 ที่สถาบันการเงินกำลังเตรียมความพร้อมในการปรับตัวอยู่นั้น จะทำให้โครงสร้างธุรกิจของสถาบันการเงินเปลี่ยนไปในอนาคต ซึ่งเริ่มเห็นได้จากกรณีธนาคารพาณิชย์ปรับกลยุทธ์ในการขยายตัว เน้นที่สินเชื่อที่อยู่อาศัย และเอสเอ็มอีมากขึ้น เพราะความเสี่ยงต่ำ โดยสินเชื่อที่อยู่อาศัย มีการปรับความเสี่ยงจากกฎหมายเดิมที่ 50 เหลือ 35 และสินเชื่อเอสเอ็มอีปรับความเสี่ยงจาก 100 เหลือ 75 เป็นต้น โดยประเด็นดังกล่าว สะท้อนถึงการบริหารเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ เช่น การปล่อยสินเชื่อที่มีความเสี่ยงต่ำ ก็จะมีผลต่อการกินเงินกองทุนของธนาคารน้อย
นายศิริชัย สมบัติศิริ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปีหน้าธนาคารพาณิชย์ในระบบต้องเข้าสู่กฎเกณฑ์ของบาเซิล 2 ซึ่งเกณฑ์ดังกล่าวจะมีผลต่อการทำตลาดของธนาคารพาณิชย์เยอะมาก โดยในส่วนของธนาคารไทยพาณิชย์ได้ปูพื้นฐานเตรียมรองรับแล้วโดยจัดอันดับความเสี่ยง(เรตติ้ง)ของลูกค้าตามความเสี่ยง มีเรตติ้งตั้งแต่ 01-13 ขณะที่ลูกค้าส่วนใหญ่อยู่ที่เรตติ้งระดับกลางๆ ระหว่าง 4-7 ซึ่งการจัดเรทติ้งดังกล่าวเพื่อที่จะคิดอัตราดอกเบี้ยตามความเสี่ยงของลูกค้า ส่วนการพิจารณากำหนดเรทติ้งนั้น ก็จะพิจารณาจากงบการเงิน หลักประกัน และประสบการณ์ในการบริหารจัดการธุรกิจ
ในทางปฎิบัติเกณฑ์บาเซิล 2 อาจจะมีข้อจำกัดบ้าง แต่จะช่วยธนาคารพาณิชย์ในแง่ของการปล่อยกู้ในวงเงินสูงขึ้น มีผลกระทบต่อเงินกองทุนน้อย กล่าวคือ ถ้าธนาคารต้องการจะโตสูง โดยโฟกัสกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ความเสี่ยงต่ำ บาเซิล 2 จะช่วยธนาคารในแง่ของการใช้เงินกองทุนน้อย จากปัจจุบันไม่ว่าธนาคารจะปล่อยสินเชื่อธุรกิจไหน วงเงินเท่าไรก็ต้องใช้เงินกองทุนที่ระดับ 8.5% แต่ในระยะต่อไปต่อไป หากปล่อยกู้ให้กับ บริษัทปตท.จำกัด(มหาชน) ธนาคารจะใช้เงินกองทุนแค่ 2-3%เท่านั้น ถ้าเรตติ้งยังเป็นระดับที่ดีอยู่ แต่หากเป็นธุรกิจขนาดเล็กที่มีงบการเงินไม่ดี ก็อาจจะมีผลให้ธนาคารมีภาระเพิ่ม อย่างไรก็ตาม เรทติ้งจะเป็นส่วนหนึ่งเท่านั้นที่ธนาคารนำมาใช้ในการพิจารณาปล่อยกู้
ก่อนหน้านี้ นายยุทธชัย เตยะราชกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สินเชื่อเพื่ออุปโภคบริโภค ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด(ไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวให้ความเห็นในเรื่องเดียวกันว่า ธนาคารมีการเตรียมความพร้อมรองรับเกณฑ์ใหม่มาระยะหนึ่งแล้ว โดยกลยุทธ์ในการทำธุรกิจของธนาคาร ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนนโยบายในการปรับโครงสร้างของธุรกิจ ส่วนหนึ่งเพื่อรองรับเกณฑ์มาตรฐานสากล หรือบาเซิล 2 ซึ่งจะมีผลในปลายปี 2551 โดยในช่วงที่ผ่านมาได้พยายามกระจายความเสี่ยงของพอร์ตลูกค้าที่มีอยู่ไปยังกลุ่มที่มีความเสี่ยงน้อยลงกว่าเดิม
ยกตัวอย่าง สินเชื่อบัตรเครดิต เน้นกลุ่มเป้าหมายระดับกลางจนถึงระดับบน หรือมีรายได้ตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป หรือสินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งธนาคารเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายไปสู่ลูกค้าที่มีความเสี่ยงลดลง เช่น การออก Professional Loan โดยจัดกลุ่มเห็นเซ็กเมนท์ใหม่ เช่น วิศวกร พนักงานธนาคาร นายแพทย์ นักบัญชี และมีการลดอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำกว่าที่อื่น
"ในระยะยาวการให้สินเชื่อส่วนบุคคล เราจะต้องหาลูกค้ากลุ่มใหม่ ไม่สามารถหาลูกค้ากลุ่มเดิมที่เข้ามาสมัครสินเชื่อบุคคล ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าเดิมของเราเองหรือลูกค้าที่มาจากสถาบันการเงินคู่แข่ง จะมาเป็นลูกค้าหลักของเราไม่ได้ เราต้องเปลี่ยน ซึ่งที่ผ่านมาก็ประสบความสำเร็จ เพราะมีลูกค้าหน้าใหม่เข้ามาเพิ่มขึ้น"
ทางด้าน นายมงคล ลีลาธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยเครดิตเพื่อรายย่อย จำกัด กล่าวว่า ธนาคารเตรียมเปิดบริการสินเชื่อทองคำโดยเจาะกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ประกอบการร้านค้าทอง เนื่องจากทองคำมีความเสี่ยงน้อยกว่าการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย โดยสินเชื่อที่อยู่อาศัยถ่วงน้ำหนักตามเกณฑ์มาตรการสากลประมาณ 35 % แต่ทองคำถ่วงน้ำหนักสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ 20 % ซึ่งผลจาเกณฑ์บาเซิล 2 ทำให้ธนาคารจัดอันดับความเสี่ยงเพื่อให้บริการลูกค้า ซึ่งมีผลให้ธนาคารประหยัดการใช้เงินกองทุน และใช้เงินกองทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
++ธปท.คาดสินเชื่อบุคคลหนุนศก.โต
ดร.บัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า กฎเกณฑ์ใหม่ที่จะนำมาใช้กับสถาบันการเงินน้น จะใกล้เคียงกับมาตรฐานสากลมากขึ้น แต่ในบางประเด็นจะเอื้อต่อการทำธุรกิจในบางเซ็คเตอร์ที่จะทำให้มีการแข่งขันกันมากขึ้น เช่น ด้านรีเทลแบงกิ้ง และสินเชื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นไปตามลักษณะของแนวโน้มความต้องการที่จะเกิดในอนาคต ขึ้นอยู่กับแต่ละธนาคารที่จะพยายามรักษาต้นทุนในการทำธุรกิจ โดยที่ไม่กระทบต่อความเสี่ยงหนี้ที่อาจจะเกิดขึ้นตามมา
หากพิจารณาในแง่ของบริการทางการเงินในช่วงต่อไป มีความชัดเจนว่าในส่วนของสินเชื่อด้านการลงทุนหรือสินเชื่อระดับบริษัทขนาดใหญ่จะมีการแข่งขันกันมากพอสมควร เพราะมีแนวทางที่จะหาแหล่งเงินได้จากหลายที่ ทั้งจากธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ธนาคารต่างประเทศ การระดมทุนจากตลาดตราสารหนี้ การระดมทุนจากต่างประเทศ การระดมทุนจากตลาดหุ้น ซึ่งจะเป็นทางเลือกให้การแข่งขันในระดับผู้ประกอบการมีสูง ทำให้ธนาคารพาณิชย์จะหันมาให้ความสำคัญกับตลาดระดับกลางมากขึ้น โดยเฉพาะสินเชื่อที่มีโอกาสที่จะเติบโต คือ สินเชื่อบุคคล ซึ่งจะเป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะต่อไป
http://www.thannews.th.com/detialnews.p ... issue=2259
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news09/10/07
โพสต์ที่ 196
ธปท.สั่งจับตาหนี้เสียเอ็นพีแอลใหม่พุ่ง3%
โพสต์ทูเดย์ ธปท.-แบงก์ สั่งจับตาหนี้เอ็นพีแอลใหม่ที่เริ่มเพิ่มสูงขึ้น
แหล่งข่าวจากธนาคารพาณิชย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ธนาคารได้สั่งจับตาหนี้ที่เริ่มผิดนัดชำระหนี้ 1-2 เดือน ที่เริ่มมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นเป็นพิเศษ เพราะกลัวหนี้เหล่านี้กลายเป็นเอ็นพีแอลเพิ่ม
ทั้งนี้ การผิดนัดเริ่มเพิ่มอย่าง ต่อเนื่องมาตั้งแต่ไตรมาส 2
แหล่งข่าวธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ตอนนี้เริ่มห่วงหนี้ เสียใหม่ที่อาจจะเพิ่มขึ้นเร็วในช่วงต่อไปมากกว่า เนื่องจากเริ่มพบว่าเอ็นพีแอลใหม่ในเดือน ส.ค. สูงขึ้นกว่า 3% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม ตัวเลขหนี้เอ็นพีแอลที่ชัดเจนจะเปิดเผยได้ประมาณปลายเดือน ต.ค. นี้
นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า ภาวะหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในขณะนี้คงไม่สามารถปรับลดลงได้ เพราะส่วนใหญ่เป็นหนี้ที่เกิดมาจากวิกฤตปี 2540 ซึ่งแก้ไขไม่ได้แล้ว แค่รอตัดออกจากบัญชีเท่านั้น ขณะที่ หนี้อีกส่วนหนึ่งก็อยู่ในกระบวนการของศาล และอีกส่วนหนึ่งเป็นหนี้ที่ปรับโครงสร้างหนี้แล้วกลับมาเป็นหนี้เสียใหม่ ตามภาวะเศรษฐกิจ
ตอนนี้ ธปท.มีการติดตามการปล่อยสินเชื่อใหม่ และหนี้เสียในระบบอย่างต่อเนื่อง นายเกริก กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=196244
โพสต์ทูเดย์ ธปท.-แบงก์ สั่งจับตาหนี้เอ็นพีแอลใหม่ที่เริ่มเพิ่มสูงขึ้น
แหล่งข่าวจากธนาคารพาณิชย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ธนาคารได้สั่งจับตาหนี้ที่เริ่มผิดนัดชำระหนี้ 1-2 เดือน ที่เริ่มมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นเป็นพิเศษ เพราะกลัวหนี้เหล่านี้กลายเป็นเอ็นพีแอลเพิ่ม
ทั้งนี้ การผิดนัดเริ่มเพิ่มอย่าง ต่อเนื่องมาตั้งแต่ไตรมาส 2
แหล่งข่าวธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ตอนนี้เริ่มห่วงหนี้ เสียใหม่ที่อาจจะเพิ่มขึ้นเร็วในช่วงต่อไปมากกว่า เนื่องจากเริ่มพบว่าเอ็นพีแอลใหม่ในเดือน ส.ค. สูงขึ้นกว่า 3% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม ตัวเลขหนี้เอ็นพีแอลที่ชัดเจนจะเปิดเผยได้ประมาณปลายเดือน ต.ค. นี้
นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า ภาวะหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในขณะนี้คงไม่สามารถปรับลดลงได้ เพราะส่วนใหญ่เป็นหนี้ที่เกิดมาจากวิกฤตปี 2540 ซึ่งแก้ไขไม่ได้แล้ว แค่รอตัดออกจากบัญชีเท่านั้น ขณะที่ หนี้อีกส่วนหนึ่งก็อยู่ในกระบวนการของศาล และอีกส่วนหนึ่งเป็นหนี้ที่ปรับโครงสร้างหนี้แล้วกลับมาเป็นหนี้เสียใหม่ ตามภาวะเศรษฐกิจ
ตอนนี้ ธปท.มีการติดตามการปล่อยสินเชื่อใหม่ และหนี้เสียในระบบอย่างต่อเนื่อง นายเกริก กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=196244
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news09/10/07
โพสต์ที่ 197
ไอเอ็นจีฮุบทหารไทยปลายปี
โพสต์ทูเดย์ แผนเพิ่มทุนทหารไทยได้ข้อสรุป รอบอร์ดไอเอ็นจีอนุมัติ
นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.คลัง กล่าวว่า ตอนนี้ได้หารือกับ บริษัท ไอเอ็นจี กรุ๊ป เกี่ยวกับหลักใหญ่ๆ ของขั้นตอนในการเพิ่มทุนในหลายประเด็นได้เป็นข้อยุติเรียบร้อยแล้ว จึงทำให้เชื่อมั่นได้ว่าการเพิ่มทุนธนาคารทหารไทยมีโอกาสสูงมากที่ จะสำเร็จภายในปลายปีนี้
นายฉลองภพ กล่าวว่า รายละเอียดการเพิ่มทุนยังไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะอยู่ระหว่างการพิจารณา เมื่อมีข้อสรุปแล้วก็จะมีการเปิดเผย อย่างเป็นทางการ ส่วนของธนาคาร ดีบีเอสเป็นผู้ถือหุ้นรายเดิม ก็ตอบยืนยันมาเป็นทางการแล้วว่าจะไม่ซื้อหุ้นเพิ่มทุนธนาคารทหารไทย แต่ยังอยากจะถือหุ้นต่อไป
ไอเอ็นจีจะถือหุ้นในทหารไทยมากกว่า 25% หรือไม่ เป็นรายละเอียดที่ต้องรอให้ชัดเจนก่อน ยัง ไม่สามารถพูดได้ เช่นเดียวกับสัดส่วนการถือหุ้นของกระทรวงการคลัง นายฉลองภพ กล่าว
รมว.คลัง กล่าวว่า ผู้บริหาร ไอเอ็นจีและทางธนาคารทหารไทยได้มาคุยกับกระทรวงการคลังเมื่อวันที่ 8 ต.ค. ที่ผ่านมา เพื่อขอรับทราบว่าหลักการการเพิ่มทุนว่ามีปัญหาอะไรหรือไม่ เรื่องนโยบายการเพิ่มทุน ซึ่งได้รับการยืนยันว่าไม่มีปัญหา ส่วนรายละเอียดก็ยังต้องมีการพิจารณาเพิ่มเติม ซึ่งเป็นเรื่องปกติ
รมว.คลัง กล่าวว่า ในวันนี้ ทาง ไอเอ็นจี กรุ๊ป จะเสนอหลักการเข้ามาเพิ่มทุนธนาคารทหารไทยให้คณะกรรมการบริหารที่เนเธอร์แลนด์พิจารณา เพื่อขอมติจากคณะกรรมการ บริหารว่าให้เดินหน้าในการมาร่วมเพิ่มทุนกับธนาคารทหารไทย หลังจากนั้นในวันที่ 4 พ.ย. คณะกรรมใหญ่ ของไอเอ็นจีจะประชุมอนุมัติการเข้า ร่วมทุนกับธนาคารทหารไทย ซึ่งคิดว่า ไม่น่ามีปัญหา เพราะในหลักการ เมื่อคณะกรรมการบริหารเห็นชอบ คณะกรรมการใหญ่ก็จะเห็นชอบตาม
ด้านการเตรียมการของธนาคารทหารไทยนั้น ในวันที่ 18 ต.ค. นี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการธนาคารทหารไทย ซึ่งจะพิจารณารูปแบบของการเพิ่มทุน รวมทั้งหลักเกณฑ์ต่างๆ ที่จะให้ไอเอ็นจีมาร่วมหุ้นในธนาคาร
หลังจากนั้นในวันที่ 26 พ.ย. นี้ จะมีการประชุมผู้ถือหุ้นธนาคารทหารไทย เพื่อขออนุมัติการเพิ่มทุน เพื่อให้เงินเพิ่มทุนเข้ามาก่อนสิ้นปีนี้
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ไอเอ็นจี จะเข้ามาถือหุ้นในธนาคารทหารไทย 25.1% โดยได้รับความเห็นชอบจากธนาคาร แห่งประเทศไทย (ธปท.) และกระทรวงการคลังเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สำหรับราคาซื้อหุ้นธนาคารทหารไทย กระทรวงการคลังได้ตกลงกรอบราคากับไอเอ็นจีไว้ที่ 1.5 ถึง 2 เท่าของมูลค่าที่บันทึกไว้ในบัญชี แต่ราคาจะเป็นเท่าไรก็ขึ้นอยู่กับมูลค่าทางบัญชีที่ต้องมีการตัดผลขาดทุนออกมา
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=196246
โพสต์ทูเดย์ แผนเพิ่มทุนทหารไทยได้ข้อสรุป รอบอร์ดไอเอ็นจีอนุมัติ
นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.คลัง กล่าวว่า ตอนนี้ได้หารือกับ บริษัท ไอเอ็นจี กรุ๊ป เกี่ยวกับหลักใหญ่ๆ ของขั้นตอนในการเพิ่มทุนในหลายประเด็นได้เป็นข้อยุติเรียบร้อยแล้ว จึงทำให้เชื่อมั่นได้ว่าการเพิ่มทุนธนาคารทหารไทยมีโอกาสสูงมากที่ จะสำเร็จภายในปลายปีนี้
นายฉลองภพ กล่าวว่า รายละเอียดการเพิ่มทุนยังไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะอยู่ระหว่างการพิจารณา เมื่อมีข้อสรุปแล้วก็จะมีการเปิดเผย อย่างเป็นทางการ ส่วนของธนาคาร ดีบีเอสเป็นผู้ถือหุ้นรายเดิม ก็ตอบยืนยันมาเป็นทางการแล้วว่าจะไม่ซื้อหุ้นเพิ่มทุนธนาคารทหารไทย แต่ยังอยากจะถือหุ้นต่อไป
ไอเอ็นจีจะถือหุ้นในทหารไทยมากกว่า 25% หรือไม่ เป็นรายละเอียดที่ต้องรอให้ชัดเจนก่อน ยัง ไม่สามารถพูดได้ เช่นเดียวกับสัดส่วนการถือหุ้นของกระทรวงการคลัง นายฉลองภพ กล่าว
รมว.คลัง กล่าวว่า ผู้บริหาร ไอเอ็นจีและทางธนาคารทหารไทยได้มาคุยกับกระทรวงการคลังเมื่อวันที่ 8 ต.ค. ที่ผ่านมา เพื่อขอรับทราบว่าหลักการการเพิ่มทุนว่ามีปัญหาอะไรหรือไม่ เรื่องนโยบายการเพิ่มทุน ซึ่งได้รับการยืนยันว่าไม่มีปัญหา ส่วนรายละเอียดก็ยังต้องมีการพิจารณาเพิ่มเติม ซึ่งเป็นเรื่องปกติ
รมว.คลัง กล่าวว่า ในวันนี้ ทาง ไอเอ็นจี กรุ๊ป จะเสนอหลักการเข้ามาเพิ่มทุนธนาคารทหารไทยให้คณะกรรมการบริหารที่เนเธอร์แลนด์พิจารณา เพื่อขอมติจากคณะกรรมการ บริหารว่าให้เดินหน้าในการมาร่วมเพิ่มทุนกับธนาคารทหารไทย หลังจากนั้นในวันที่ 4 พ.ย. คณะกรรมใหญ่ ของไอเอ็นจีจะประชุมอนุมัติการเข้า ร่วมทุนกับธนาคารทหารไทย ซึ่งคิดว่า ไม่น่ามีปัญหา เพราะในหลักการ เมื่อคณะกรรมการบริหารเห็นชอบ คณะกรรมการใหญ่ก็จะเห็นชอบตาม
ด้านการเตรียมการของธนาคารทหารไทยนั้น ในวันที่ 18 ต.ค. นี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการธนาคารทหารไทย ซึ่งจะพิจารณารูปแบบของการเพิ่มทุน รวมทั้งหลักเกณฑ์ต่างๆ ที่จะให้ไอเอ็นจีมาร่วมหุ้นในธนาคาร
หลังจากนั้นในวันที่ 26 พ.ย. นี้ จะมีการประชุมผู้ถือหุ้นธนาคารทหารไทย เพื่อขออนุมัติการเพิ่มทุน เพื่อให้เงินเพิ่มทุนเข้ามาก่อนสิ้นปีนี้
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ไอเอ็นจี จะเข้ามาถือหุ้นในธนาคารทหารไทย 25.1% โดยได้รับความเห็นชอบจากธนาคาร แห่งประเทศไทย (ธปท.) และกระทรวงการคลังเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สำหรับราคาซื้อหุ้นธนาคารทหารไทย กระทรวงการคลังได้ตกลงกรอบราคากับไอเอ็นจีไว้ที่ 1.5 ถึง 2 เท่าของมูลค่าที่บันทึกไว้ในบัญชี แต่ราคาจะเป็นเท่าไรก็ขึ้นอยู่กับมูลค่าทางบัญชีที่ต้องมีการตัดผลขาดทุนออกมา
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=196246
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news09/10/07
โพสต์ที่ 198
6 แบงก์ไทยเฮได้เงินคืน 2 หมื่นล.
6 ธนาคารพาณิชย์ไทยยิ้มแก้มปริ 8 พ.ย.นี้ได้เงินกู้โครงการแอร์พอร์ต ลิ้งค์คืน 2 หมื่นล้านบาท คมนาคมเตรียมเสนอ ค.ร.ม.วันนี้ของบจากคลัง 1.8 หมื่นล้านบาทมาช่วย พร้อมเบิกงบใหม่ 9 พันล้านบาทสานต่อโครงการให้เสร็จ ด้านกสิกรไทยพร้อมเป็นแกนนำปล่อยกู้เฟส 2 มั่นใจความเสี่ยงต่ำ เหตุมีรัฐบาลรับประกัน
นายบุญทักษ์ หวังเจริญ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK กล่าวว่า มั่นใจว่าวันที่ 8 พ.ย.นี้ เจ้าหนี้ทุกรายที่ปล่อยกู้ให้โครงการแอร์พอร์ตลิ้งค์ผ่านการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.)จะได้รับคืนเงินกู้ครบทั้งจำนวน 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นการให้กู้ผ่านธนาคารพาณิชย์ไทย 6 แห่ง และธนาคารต่างชาติ 2 แห่ง ขณะที่ KBANK เป็นแกนนำในการปล่อยกู้ครั้งนี้ด้วยและมีวงเงินปล่อยกู้ประมาณ 10% จากวงเงินกู้ทั้งหมด
ขณะเดียวกันในส่วนของ KBANK มีความยินดีที่จะเป็นแกนนำในการปล่อยกู้ให้กับโครงการแอร์พอร์ตลิ้งค์รอบ 2 หลังจากที่รอบแรกจะครบกำหนดชำระหนี้คืนในวันที่ 8 พ.ย.นี้ แต่การปล่อยกู้ในรอบ 2 จะต้องมีโครงสร้างการระดมทุนในรูปแบบที่เหมาะสมดีต่อทั้งผู้กู้และผู้ให้กู้ ส่วนธนาคารอื่นที่ร่วมเป็นพันธมิตรในการปล่อยกู้รอบแรก จะเข้าร่วมหรือไม่ก็เป็นเรื่องที่แต่ละธนาคารจะต้องตัดสินใจเอง
ทั้งนี้ แม้ว่า การปล่อยกู้ในครั้งแรกจะมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าอาจจะมีความเสี่ยงสูง แต่ธนาคารมองว่ามีความเสี่ยงต่ำ เพราะไม่ว่ารัฐบาลกู้เองหรือ ร.ฟ.ท.กู้ ก็เป็นความเสี่ยงของภาครัฐที่จะต้องรับไป เนื่องจากโครงการดังกล่าวเป็นโครงการสาธาธารณูปโภคพื้นฐานของประเทศ รัฐบาลกู้เงินเองจะถูกกว่าการที่ให้ภาคเอกชนกู้โดยตรง ซึ่งเงินที่ปล่อยกู้ไปในครั้งแรกนั้น คลังค้ำประกัน 100% ซึ่งไม่ใช่การปล่อยกู้แบบโปรเจ็กไฟแนนซ์ หรือการให้เงินกู้ที่อิงกับรายได้ของโครงการ ธนาคารจึงไม่ได้กังวลกับความเสี่ยงมากนัก ประกอบกับธนาคารกสิกรไทยเอง ก็มีบทบาทในการสนับสนุนโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานของประเทศมาอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนโดยภาครัฐ หรือลงทุนโดยภาคเอกชน ธนาคารก็ยินดีช่วยเหลือในทุกเรื่องเท่าที่สามารถช่วยได้
อย่างไรก็ตามการปล่อยกู้ในรอบ 2 นี้ จะต้องมีการเจรจาเงื่อนไขใหม่ทั้งหมด เนื่องจากขณะนี้ยังไม่ทราบว่าเงื่อนไขการกู้จะออกมาในรูปแบบใด ซึ่งมองว่าส่วนผสมที่ลงตัวของการกู้เงินลงทุนทำโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ รัฐควรจะกู้เองและลงทุนในส่วนที่ภาครัฐควรจะทำ และที่เหลือให้เอกชนกู้ในรูปแบบของโปรเจ็กไฟแนนซ์ และลงทุนเอง เช่นเดียวกับโครงการรถไฟฟ้าใต้ดินที่ภาครัฐลงทุนขุดเจาะอุโมงค์วางรากฐาน ส่วนเอกชนเป็นผู้ลงทุนทำรถไฟ
การกู้เงินลงทุนโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานจะกู้ในรูปแบบโปรเจ็กไฟแนนซ์อย่างเดียวก็คงทำได้ยาก เพราะจะมีผลทางด้านเศรษฐศาสตร์ด้วย ในกรณีของแอร์พอร์ตลิ้งค์เรามองว่าในส่วนโครงสร้างพื้นฐานรัฐควรเป็นคนลงทุน แต่ในส่วนของรถไฟให้เอกชนเป็นคนลงทุน คือมาประมูลแล้วทำไปเลยคล้ายกรณีของรถไฟฟ้าใต้ดิน นายบุญทักษ์กล่าว
นายสรรเสริญ วงศ์ชะอุ่ม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ในวันนี้ ( 9 ต.ค.)จะเสนอคณะรัฐมนตรี (ค.ร.ม.) เพื่อขออนุมัติวงเงินจากกระทรวงการคลัง 18,000 ล้านบาท เพื่อนำมาให้ ร.ฟ.ท. จ่ายหนี้เงินกู้ให้บริษัท บีกริมม์ เอ็นจีเนียริ่ง ผู้รับเหมาโครงการแอร์พอร์ต ลิ้งค์ ตามสัญญาเดิม 990 วัน และได้สิ้นสุดสัญญา 7 สิงหาคม ที่ผ่านมา และ ร.ฟ.ท.ต้องนำเงินไปจ่ายให้เอกชนภายใน 5 พ.ย.นี้ โดยโครงการนี้ผู้รับเหมาได้ออกเงินให้ ร.ฟ.ท.ก่อน และวงเงิน 18,000 ล้านบาทนี้เป็นกรอบวงเงินเดิมที่ขออนุมัติแล้ว แต่ยังไม่ได้เงิน และไม่แน่ใจว่า ค.ร.ม.จะพิจารณาทันหรือไม่กับกำหนด 5 พ.ย.นี้
นอกจากนี้ จะขอค.ร.ม.อนุมัติวงเงินอีก 9,000 ล้านบาท เพื่อเตรียมจ่ายให้ผู้รับเหมาเพื่อให้เดินหน้าแอร์พอร์ต ลิ้งค์ให้แล้วเสร็จ โดยจะนับตั้งแต่ 7 สิงหาคม ที่ผ่านมา ส่วนความชัดเจนการขยายเวลาให้ผู้รับเหมา บอร์ดบริหารของ ร.ฟ.ท. จะเป็นผู้พิจารณา และเบื้องต้นบอร์ดจะอาศัยหลักการตามมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวกับการก่อสร้างโครงการของรัฐว่า สามารถให้ขยายเวลาได้ 180 วัน หากมีปัญหาหรือประสบอุทกภัย แต่ก็จะพิจารณาความเป็นจริง ซึ่งอาจจะมากกว่า 180 วันตามที่ ค.ร.ม.กำหนดไว้แน่นอน ส่วนจะถึง 370 วันตามที่ผู้รับเหมาร้องขอหรือไม่ ขึ้นกับบอร์ด ร.ฟ.ท. ส่วนวงเงิน 9,000 ล้านบาท ไม่ใช่เงินที่ผู้รับเหมาต้องรับผิดชอบ แต่เป็น ร.ฟ.ท. ต้องรับผิดชอบและให้กระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้เหมือนเดิม
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16
6 ธนาคารพาณิชย์ไทยยิ้มแก้มปริ 8 พ.ย.นี้ได้เงินกู้โครงการแอร์พอร์ต ลิ้งค์คืน 2 หมื่นล้านบาท คมนาคมเตรียมเสนอ ค.ร.ม.วันนี้ของบจากคลัง 1.8 หมื่นล้านบาทมาช่วย พร้อมเบิกงบใหม่ 9 พันล้านบาทสานต่อโครงการให้เสร็จ ด้านกสิกรไทยพร้อมเป็นแกนนำปล่อยกู้เฟส 2 มั่นใจความเสี่ยงต่ำ เหตุมีรัฐบาลรับประกัน
นายบุญทักษ์ หวังเจริญ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK กล่าวว่า มั่นใจว่าวันที่ 8 พ.ย.นี้ เจ้าหนี้ทุกรายที่ปล่อยกู้ให้โครงการแอร์พอร์ตลิ้งค์ผ่านการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.)จะได้รับคืนเงินกู้ครบทั้งจำนวน 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นการให้กู้ผ่านธนาคารพาณิชย์ไทย 6 แห่ง และธนาคารต่างชาติ 2 แห่ง ขณะที่ KBANK เป็นแกนนำในการปล่อยกู้ครั้งนี้ด้วยและมีวงเงินปล่อยกู้ประมาณ 10% จากวงเงินกู้ทั้งหมด
ขณะเดียวกันในส่วนของ KBANK มีความยินดีที่จะเป็นแกนนำในการปล่อยกู้ให้กับโครงการแอร์พอร์ตลิ้งค์รอบ 2 หลังจากที่รอบแรกจะครบกำหนดชำระหนี้คืนในวันที่ 8 พ.ย.นี้ แต่การปล่อยกู้ในรอบ 2 จะต้องมีโครงสร้างการระดมทุนในรูปแบบที่เหมาะสมดีต่อทั้งผู้กู้และผู้ให้กู้ ส่วนธนาคารอื่นที่ร่วมเป็นพันธมิตรในการปล่อยกู้รอบแรก จะเข้าร่วมหรือไม่ก็เป็นเรื่องที่แต่ละธนาคารจะต้องตัดสินใจเอง
ทั้งนี้ แม้ว่า การปล่อยกู้ในครั้งแรกจะมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าอาจจะมีความเสี่ยงสูง แต่ธนาคารมองว่ามีความเสี่ยงต่ำ เพราะไม่ว่ารัฐบาลกู้เองหรือ ร.ฟ.ท.กู้ ก็เป็นความเสี่ยงของภาครัฐที่จะต้องรับไป เนื่องจากโครงการดังกล่าวเป็นโครงการสาธาธารณูปโภคพื้นฐานของประเทศ รัฐบาลกู้เงินเองจะถูกกว่าการที่ให้ภาคเอกชนกู้โดยตรง ซึ่งเงินที่ปล่อยกู้ไปในครั้งแรกนั้น คลังค้ำประกัน 100% ซึ่งไม่ใช่การปล่อยกู้แบบโปรเจ็กไฟแนนซ์ หรือการให้เงินกู้ที่อิงกับรายได้ของโครงการ ธนาคารจึงไม่ได้กังวลกับความเสี่ยงมากนัก ประกอบกับธนาคารกสิกรไทยเอง ก็มีบทบาทในการสนับสนุนโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานของประเทศมาอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนโดยภาครัฐ หรือลงทุนโดยภาคเอกชน ธนาคารก็ยินดีช่วยเหลือในทุกเรื่องเท่าที่สามารถช่วยได้
อย่างไรก็ตามการปล่อยกู้ในรอบ 2 นี้ จะต้องมีการเจรจาเงื่อนไขใหม่ทั้งหมด เนื่องจากขณะนี้ยังไม่ทราบว่าเงื่อนไขการกู้จะออกมาในรูปแบบใด ซึ่งมองว่าส่วนผสมที่ลงตัวของการกู้เงินลงทุนทำโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ รัฐควรจะกู้เองและลงทุนในส่วนที่ภาครัฐควรจะทำ และที่เหลือให้เอกชนกู้ในรูปแบบของโปรเจ็กไฟแนนซ์ และลงทุนเอง เช่นเดียวกับโครงการรถไฟฟ้าใต้ดินที่ภาครัฐลงทุนขุดเจาะอุโมงค์วางรากฐาน ส่วนเอกชนเป็นผู้ลงทุนทำรถไฟ
การกู้เงินลงทุนโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานจะกู้ในรูปแบบโปรเจ็กไฟแนนซ์อย่างเดียวก็คงทำได้ยาก เพราะจะมีผลทางด้านเศรษฐศาสตร์ด้วย ในกรณีของแอร์พอร์ตลิ้งค์เรามองว่าในส่วนโครงสร้างพื้นฐานรัฐควรเป็นคนลงทุน แต่ในส่วนของรถไฟให้เอกชนเป็นคนลงทุน คือมาประมูลแล้วทำไปเลยคล้ายกรณีของรถไฟฟ้าใต้ดิน นายบุญทักษ์กล่าว
นายสรรเสริญ วงศ์ชะอุ่ม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ในวันนี้ ( 9 ต.ค.)จะเสนอคณะรัฐมนตรี (ค.ร.ม.) เพื่อขออนุมัติวงเงินจากกระทรวงการคลัง 18,000 ล้านบาท เพื่อนำมาให้ ร.ฟ.ท. จ่ายหนี้เงินกู้ให้บริษัท บีกริมม์ เอ็นจีเนียริ่ง ผู้รับเหมาโครงการแอร์พอร์ต ลิ้งค์ ตามสัญญาเดิม 990 วัน และได้สิ้นสุดสัญญา 7 สิงหาคม ที่ผ่านมา และ ร.ฟ.ท.ต้องนำเงินไปจ่ายให้เอกชนภายใน 5 พ.ย.นี้ โดยโครงการนี้ผู้รับเหมาได้ออกเงินให้ ร.ฟ.ท.ก่อน และวงเงิน 18,000 ล้านบาทนี้เป็นกรอบวงเงินเดิมที่ขออนุมัติแล้ว แต่ยังไม่ได้เงิน และไม่แน่ใจว่า ค.ร.ม.จะพิจารณาทันหรือไม่กับกำหนด 5 พ.ย.นี้
นอกจากนี้ จะขอค.ร.ม.อนุมัติวงเงินอีก 9,000 ล้านบาท เพื่อเตรียมจ่ายให้ผู้รับเหมาเพื่อให้เดินหน้าแอร์พอร์ต ลิ้งค์ให้แล้วเสร็จ โดยจะนับตั้งแต่ 7 สิงหาคม ที่ผ่านมา ส่วนความชัดเจนการขยายเวลาให้ผู้รับเหมา บอร์ดบริหารของ ร.ฟ.ท. จะเป็นผู้พิจารณา และเบื้องต้นบอร์ดจะอาศัยหลักการตามมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวกับการก่อสร้างโครงการของรัฐว่า สามารถให้ขยายเวลาได้ 180 วัน หากมีปัญหาหรือประสบอุทกภัย แต่ก็จะพิจารณาความเป็นจริง ซึ่งอาจจะมากกว่า 180 วันตามที่ ค.ร.ม.กำหนดไว้แน่นอน ส่วนจะถึง 370 วันตามที่ผู้รับเหมาร้องขอหรือไม่ ขึ้นกับบอร์ด ร.ฟ.ท. ส่วนวงเงิน 9,000 ล้านบาท ไม่ใช่เงินที่ผู้รับเหมาต้องรับผิดชอบ แต่เป็น ร.ฟ.ท. ต้องรับผิดชอบและให้กระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้เหมือนเดิม
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news10/10/07
โพสต์ที่ 199
กนง.ตรึงดบ.อาร์/พี 1 วันที่3.25%ตามคาด
โดย Post Digital 10 ตุลาคม 2550 14:38 น.
บอร์ด กนง. มีมติ ตรึงดอกเบี้ยอารื/พี 1 วันที่ 3.25%ตามคาด ระบุเศรษฐกิจไทยมีสัญญาณที่ดีขึ้น
คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันนี้ มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วันไว้ที่ร้อยละ 3.25 ต่อปี หลังจากที่ประชุมวันนี้ระบุว่า ขณะนี้เศรษฐกิจไทยมีสัญญาณที่ดีขึ้น การบริโภคและการลงทุนมีแนวโน้มขยายตัวดี ขณะที่เงินเฟ้อเร่งตัว ตามราคาน้ำมันและสินค้าอุปโภคบริโภคบางตัว
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการ กนง.ประเมินว่า แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยอยู่ในระดับใกล้เคียงกับการประชุมครั้งก่อน ขณะที่ความเสี่ยงต่ออัตราเงินเฟ้อปรับสูงขึ้นเล็กน้อย แต่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะยังอยู่ภายในเป้าหมายตลอด 8 ไตรมาสข้างหน้า
แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ แต่ในระยะต่อไปมีความเสี่ยงที่แรงกดดันด้านราคาอาจเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับการประชุมครั้งที่แล้ว จากราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นและแนวโน้มการปรับขึ้นราคาสินค้าและบริการจำเป็นบางประเภท ส่วนปัญหาปัญหาซับไพร์มในสหรัฐ แม้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อประเทศไทยไม่มาก แต่มีโอกาสยืดเยื้อ ซึ่งจะต้องมีการติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป
http://www.posttoday.com/breakingnews.php?id=196640
โดย Post Digital 10 ตุลาคม 2550 14:38 น.
บอร์ด กนง. มีมติ ตรึงดอกเบี้ยอารื/พี 1 วันที่ 3.25%ตามคาด ระบุเศรษฐกิจไทยมีสัญญาณที่ดีขึ้น
คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันนี้ มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วันไว้ที่ร้อยละ 3.25 ต่อปี หลังจากที่ประชุมวันนี้ระบุว่า ขณะนี้เศรษฐกิจไทยมีสัญญาณที่ดีขึ้น การบริโภคและการลงทุนมีแนวโน้มขยายตัวดี ขณะที่เงินเฟ้อเร่งตัว ตามราคาน้ำมันและสินค้าอุปโภคบริโภคบางตัว
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการ กนง.ประเมินว่า แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยอยู่ในระดับใกล้เคียงกับการประชุมครั้งก่อน ขณะที่ความเสี่ยงต่ออัตราเงินเฟ้อปรับสูงขึ้นเล็กน้อย แต่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะยังอยู่ภายในเป้าหมายตลอด 8 ไตรมาสข้างหน้า
แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ แต่ในระยะต่อไปมีความเสี่ยงที่แรงกดดันด้านราคาอาจเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับการประชุมครั้งที่แล้ว จากราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นและแนวโน้มการปรับขึ้นราคาสินค้าและบริการจำเป็นบางประเภท ส่วนปัญหาปัญหาซับไพร์มในสหรัฐ แม้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อประเทศไทยไม่มาก แต่มีโอกาสยืดเยื้อ ซึ่งจะต้องมีการติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป
http://www.posttoday.com/breakingnews.php?id=196640
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news10/10/07
โพสต์ที่ 200
งบแบงก์ไตรมาส3โต 200% ดอกเบี้ยรับพุ่ง-หนี้เสียลด
เซียนหุ้นคาดกำไรไตรมาส 3 กลุ่มแบงก์เพิ่มขึ้น 2 เท่าตัว หรือเติบโต 200% เมื่อเทียบไตรมาสที่ผ่านมา จากอัตราดอกเบี้ยทั้งกลุ่มอยู่ในทิศทางที่ดี ส่วนค่าเผื่อหนี้สูญมีแนวโน้มลดลง แต่หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนลดลง 30% เหตุสำรองเป็นตัวกดดันเพราะเอ็นพีแอลใหม่พุ่งฉุดกำไร
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์โกลเบล็ก จำกัด กล่าวถึงทิศทางผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3 ปี 2550 หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ว่าจากการคาดการณ์ผลประกอบการจะออกมาดี เทียบกับไตรมาสก่อนหน้าเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยของทั้งกลุ่มน่าจะอยู่ในทิศทางที่ดีขึ้นเมื่อเทียบไตรมาสก่อน ขณะที่ค่าเผื่อหนี้สูญมีแนวโน้มลดลง โดยคาดว่าหากเทียบไตรมาสที่ผ่านมาจะพลิกจากขาดทุนสุทธิเป็นกำไรที่เพิ่มขึ้นประมาณ 2 เท่าหรือ 200% แต่กำไรจะลดลงประมาณ 30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการตั้งสำรองของหลายแบงก์ตามเอ็นพีแอลใหม่ที่เพิ่มขึ้น ขณะรายจ่ายที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ทางฝ่ายวิเคราะห์แนะนำ ซื้อลงทุน ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL ให้ราคาเป้าหมายที่ 150.00 บาท, ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ให้ราคาเป้าหมายที่ 95.00 บาท และธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ราคาเป้าหมายปีหน้า 93.00 บาท ซึ่งปัจจุบันราคาหุ้นทั้ง 3 ตัวยังห่างจากราคาเป้าหมายที่ให้ไว้จึงมองว่ายังมีช่วงห่างของราคาให้ซื้อขายได้
สาเหตุที่แนะซื้อ BBLและ SCB เนื่องจากมองว่าหุ้นทั้ง 2 ตัวมีความน่าสนใจคล้ายกันคือไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษเหมือนช่วงไตรมาส 3 ปี 2549 กำไรจึงดีขึ้น ส่วนรายได้จากดอกเบี้ยรับก็ดีขึ้น และสามารถควบคุมต้นทุนได้ดี ขณะที่ KBANK ยอดสินเชื่อมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง นักวิเคราะห์กล่าว
อย่างไรก็ตามสำหรับหุ้นธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TMB ทางฝ่ายมองว่าผลประกอบการน่าจะยังขาดทุนต่ออีกในไตรมาส 3 ประมาณ 4 พันล้านบาทจากไตรมาส 2 อยู่ที่ 1.8 หมื่นล้านบาท เนื่องจาก TMB ยังต้องกันเงินสำรองในครึ่งปีหลังไว้อีก 6 พันล้านบาทก่อนเพิ่มทุนไตรมาส 4 นี้
นักวิเคราะห์ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด กล่าวถึงภาพรวมผลประกอบการหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ว่ากำไรในไตรมาส 3ปี 2550 ยังขยายตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่หากรวมธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB ที่กำไรลดลงถึง 73% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจะฉุดให้กำไรของทั้งกลุ่มติดลบ แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมากำไรทั้งกลุ่มจะดีขึ้นอย่างชัดเจน
ทั้งนี้เนื่องจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY และธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TMB มีแนวโน้มขาดทุนลดลงในไตรมาสนี้หลังจากไตรมาส 2 ขาดทุนมาก กระทั่งฉุดกำไรของทั้งกลุ่มลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับหุ้นที่น่าสนใจทางฝ่ายแนะนำ 'ซื้อ' SCB โดยคาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 4.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและเพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา,BBL คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 4.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่จะลดลง 9% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา และ BAY คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 1.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% เทียบกับไตรมาสที่ผ่านมาและเทียบกับไตรมาสก่อนน่าจะพลิกมามีกำไร
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16
เซียนหุ้นคาดกำไรไตรมาส 3 กลุ่มแบงก์เพิ่มขึ้น 2 เท่าตัว หรือเติบโต 200% เมื่อเทียบไตรมาสที่ผ่านมา จากอัตราดอกเบี้ยทั้งกลุ่มอยู่ในทิศทางที่ดี ส่วนค่าเผื่อหนี้สูญมีแนวโน้มลดลง แต่หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนลดลง 30% เหตุสำรองเป็นตัวกดดันเพราะเอ็นพีแอลใหม่พุ่งฉุดกำไร
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์โกลเบล็ก จำกัด กล่าวถึงทิศทางผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3 ปี 2550 หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ว่าจากการคาดการณ์ผลประกอบการจะออกมาดี เทียบกับไตรมาสก่อนหน้าเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยของทั้งกลุ่มน่าจะอยู่ในทิศทางที่ดีขึ้นเมื่อเทียบไตรมาสก่อน ขณะที่ค่าเผื่อหนี้สูญมีแนวโน้มลดลง โดยคาดว่าหากเทียบไตรมาสที่ผ่านมาจะพลิกจากขาดทุนสุทธิเป็นกำไรที่เพิ่มขึ้นประมาณ 2 เท่าหรือ 200% แต่กำไรจะลดลงประมาณ 30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการตั้งสำรองของหลายแบงก์ตามเอ็นพีแอลใหม่ที่เพิ่มขึ้น ขณะรายจ่ายที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ทางฝ่ายวิเคราะห์แนะนำ ซื้อลงทุน ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL ให้ราคาเป้าหมายที่ 150.00 บาท, ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ให้ราคาเป้าหมายที่ 95.00 บาท และธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ราคาเป้าหมายปีหน้า 93.00 บาท ซึ่งปัจจุบันราคาหุ้นทั้ง 3 ตัวยังห่างจากราคาเป้าหมายที่ให้ไว้จึงมองว่ายังมีช่วงห่างของราคาให้ซื้อขายได้
สาเหตุที่แนะซื้อ BBLและ SCB เนื่องจากมองว่าหุ้นทั้ง 2 ตัวมีความน่าสนใจคล้ายกันคือไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษเหมือนช่วงไตรมาส 3 ปี 2549 กำไรจึงดีขึ้น ส่วนรายได้จากดอกเบี้ยรับก็ดีขึ้น และสามารถควบคุมต้นทุนได้ดี ขณะที่ KBANK ยอดสินเชื่อมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง นักวิเคราะห์กล่าว
อย่างไรก็ตามสำหรับหุ้นธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TMB ทางฝ่ายมองว่าผลประกอบการน่าจะยังขาดทุนต่ออีกในไตรมาส 3 ประมาณ 4 พันล้านบาทจากไตรมาส 2 อยู่ที่ 1.8 หมื่นล้านบาท เนื่องจาก TMB ยังต้องกันเงินสำรองในครึ่งปีหลังไว้อีก 6 พันล้านบาทก่อนเพิ่มทุนไตรมาส 4 นี้
นักวิเคราะห์ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด กล่าวถึงภาพรวมผลประกอบการหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ว่ากำไรในไตรมาส 3ปี 2550 ยังขยายตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่หากรวมธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB ที่กำไรลดลงถึง 73% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจะฉุดให้กำไรของทั้งกลุ่มติดลบ แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมากำไรทั้งกลุ่มจะดีขึ้นอย่างชัดเจน
ทั้งนี้เนื่องจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY และธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TMB มีแนวโน้มขาดทุนลดลงในไตรมาสนี้หลังจากไตรมาส 2 ขาดทุนมาก กระทั่งฉุดกำไรของทั้งกลุ่มลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับหุ้นที่น่าสนใจทางฝ่ายแนะนำ 'ซื้อ' SCB โดยคาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 4.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและเพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา,BBL คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 4.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่จะลดลง 9% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา และ BAY คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 1.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% เทียบกับไตรมาสที่ผ่านมาและเทียบกับไตรมาสก่อนน่าจะพลิกมามีกำไร
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news10/10/07
โพสต์ที่ 201
สำรอง30%ลาม ดบ.พันธบัตรคลังพุ่ง
โพสต์ทูเดย์ พงษ์ภาณุ ชี้มาตรการกันสำรอง 30% พ่นพิษทำรัฐออกพันธบัตรกู้เงินต้นทุนสูงลิ่ว
นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กระทรวงการคลัง กล่าวว่า มาตรการกันสำรองเงินทุนไหลเข้าระยะสั้น 30% ทำให้นักลงทุนต่างชาติไม่ เข้ามาลงทุนในพันธบัตรระยะยาว ส่งผลต่ออัตราผลตอบแทน (ยีลด์) ปรับ ตัวสูงขึ้น ทำให้ต้นทุนการกู้ยืมเงินของภาครัฐและเอกชนแพงขึ้น
นายพงษ์ภาณุ กล่าวว่า แม้ดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับลดลงมาอย่างต่อเนื่อง เป็นผลให้ดอกเบี้ย ระยะสั้นลดลงด้วย แต่ดอกเบี้ยระยะยาวยังคงเดิม ตรงข้ามหากยกเลิกมาตรการ 30% จะช่วยดึงดูดต่างชาติมาลงทุน ยีลด์จะต่ำลงได้
ธปท.บอกว่ามาตรการ 30% เป็นมาตรการชั่วคราว นำมาใช้ระยะสั้น ตอนนี้ใกล้จะครบรอบ 1 ปีแล้ว ก็คิดว่า 1 ปีก็น่าจะพอ นายพงษ์ภาณุ กล่าว
สำหรับต้นทุนในการออกพันธบัตรปี 2551 อาจสูงขึ้นได้ หากเศรษฐกิจหลังการเลือกตั้งดีขึ้น สภาพคล่องจะตึงตัว สบน.จึงต้องเตรียมแผนรับมือไว้ เช่นการออกพันธบัตรในต่างประเทศ โดยพันธบัตรระยะ 10 ปี ยีลด์อยู่ที่ 4.7-4.8%
นอกจากนี้ ปีหน้ายังมีแผนการ ออกพันธบัตรทุก 2 เดือน ด้วยวงเงินที่สูงกว่าเดิม แตกต่างจากปัจจุบันที่ออกทุกเดือน
สำหรับปีหน้าจะออกพันธบัตร 4 ชุด ประกอบด้วย พันธบัตรอายุ 5 ปี วงเงิน 8 หมื่นล้านบาท พันธบัตรอายุ 10 ปี วงเงิน 6-8 หมื่นล้านบาท พันธบัตร 15 ปี และ 20 ปี วงเงิน 2-3 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ สบน.จะสัญจรไปทั่วประเทศ เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนใน ต่างจังหวัดเข้าถึงพันธบัตรมากขึ้น
นายพงษ์ภาณุ กล่าวว่า ยังรอ คำตอบจากธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (เจบิก) ภายในสิ้นเดือนนี้ว่า จะให้รัฐบาลไทย กู้เงินเพื่อก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วงหรือไม่ เพราะคิดดอกเบี้ยที่ 1.4% ซึ่งถือว่าถูกที่สุด กรณีที่เจบิกไม่ตอบรับ จะใช้เงินจากงบประมาณที่จัดสรรไว้ 1 หมื่นล้านบาท รวมถึงการกู้เงินจากธนาคารในประเทศ การออกพันธบัตร และเงินจากกองทุนน้ำมัน
ล่าสุดกระทรวงการคลังแต่งตั้งให้ธนาคารกรุงเทพเป็นผู้จำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ ปีงบประมาณ 2551 อายุ 3 ปี วงเงินรวม 6 พันล้านบาท จำหน่ายเดือนละ 1 รุ่น รุ่นละ 500 ล้านบาท เริ่มตั้งแต่เดือน ต.ค. 2550เดือน ก.ย. 2551 วงเงินซื้อขั้นต่ำ 1 หมื่นบาท แต่ไม่เกิน 5 แสนบาท
นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ที่ธนาคารได้รับ มอบหมายให้เป็นผู้จำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์กระทรวงการคลังตั้งแต่ ปี 2550 ที่ดอกเบี้ยอยู่ที่ 3.5-5.5% เฉลี่ย 12 เดือน เท่ากับ 4.51%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=196517
โพสต์ทูเดย์ พงษ์ภาณุ ชี้มาตรการกันสำรอง 30% พ่นพิษทำรัฐออกพันธบัตรกู้เงินต้นทุนสูงลิ่ว
นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กระทรวงการคลัง กล่าวว่า มาตรการกันสำรองเงินทุนไหลเข้าระยะสั้น 30% ทำให้นักลงทุนต่างชาติไม่ เข้ามาลงทุนในพันธบัตรระยะยาว ส่งผลต่ออัตราผลตอบแทน (ยีลด์) ปรับ ตัวสูงขึ้น ทำให้ต้นทุนการกู้ยืมเงินของภาครัฐและเอกชนแพงขึ้น
นายพงษ์ภาณุ กล่าวว่า แม้ดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับลดลงมาอย่างต่อเนื่อง เป็นผลให้ดอกเบี้ย ระยะสั้นลดลงด้วย แต่ดอกเบี้ยระยะยาวยังคงเดิม ตรงข้ามหากยกเลิกมาตรการ 30% จะช่วยดึงดูดต่างชาติมาลงทุน ยีลด์จะต่ำลงได้
ธปท.บอกว่ามาตรการ 30% เป็นมาตรการชั่วคราว นำมาใช้ระยะสั้น ตอนนี้ใกล้จะครบรอบ 1 ปีแล้ว ก็คิดว่า 1 ปีก็น่าจะพอ นายพงษ์ภาณุ กล่าว
สำหรับต้นทุนในการออกพันธบัตรปี 2551 อาจสูงขึ้นได้ หากเศรษฐกิจหลังการเลือกตั้งดีขึ้น สภาพคล่องจะตึงตัว สบน.จึงต้องเตรียมแผนรับมือไว้ เช่นการออกพันธบัตรในต่างประเทศ โดยพันธบัตรระยะ 10 ปี ยีลด์อยู่ที่ 4.7-4.8%
นอกจากนี้ ปีหน้ายังมีแผนการ ออกพันธบัตรทุก 2 เดือน ด้วยวงเงินที่สูงกว่าเดิม แตกต่างจากปัจจุบันที่ออกทุกเดือน
สำหรับปีหน้าจะออกพันธบัตร 4 ชุด ประกอบด้วย พันธบัตรอายุ 5 ปี วงเงิน 8 หมื่นล้านบาท พันธบัตรอายุ 10 ปี วงเงิน 6-8 หมื่นล้านบาท พันธบัตร 15 ปี และ 20 ปี วงเงิน 2-3 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ สบน.จะสัญจรไปทั่วประเทศ เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนใน ต่างจังหวัดเข้าถึงพันธบัตรมากขึ้น
นายพงษ์ภาณุ กล่าวว่า ยังรอ คำตอบจากธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (เจบิก) ภายในสิ้นเดือนนี้ว่า จะให้รัฐบาลไทย กู้เงินเพื่อก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วงหรือไม่ เพราะคิดดอกเบี้ยที่ 1.4% ซึ่งถือว่าถูกที่สุด กรณีที่เจบิกไม่ตอบรับ จะใช้เงินจากงบประมาณที่จัดสรรไว้ 1 หมื่นล้านบาท รวมถึงการกู้เงินจากธนาคารในประเทศ การออกพันธบัตร และเงินจากกองทุนน้ำมัน
ล่าสุดกระทรวงการคลังแต่งตั้งให้ธนาคารกรุงเทพเป็นผู้จำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ ปีงบประมาณ 2551 อายุ 3 ปี วงเงินรวม 6 พันล้านบาท จำหน่ายเดือนละ 1 รุ่น รุ่นละ 500 ล้านบาท เริ่มตั้งแต่เดือน ต.ค. 2550เดือน ก.ย. 2551 วงเงินซื้อขั้นต่ำ 1 หมื่นบาท แต่ไม่เกิน 5 แสนบาท
นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ที่ธนาคารได้รับ มอบหมายให้เป็นผู้จำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์กระทรวงการคลังตั้งแต่ ปี 2550 ที่ดอกเบี้ยอยู่ที่ 3.5-5.5% เฉลี่ย 12 เดือน เท่ากับ 4.51%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=196517
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news10/10/07
โพสต์ที่ 202
บัวหลวงส่งซิกดอกเบี้ยกู้ลงได้อีก
โพสต์ทูเดย์ แบงก์กรุงเทพให้ความหวัง ลดดอกเบี้ยเงินกู้ได้อีก
นายบุญส่ง บุณยะสาระนันท์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า ธนาคารขนาดใหญ่บางแห่งมีโอกาสจะปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ลงได้อีก เนื่องจากต้นทุนเงินฝากที่จ่ายดอกเบี้ยสูงจะครบกำหนด
นายบุญส่ง กล่าวว่า ปัจจัยหลักของการพิจารณาปรับดอกเบี้ยอยู่ที่ต้นทุนของธนาคารเป็นหลัก ถ้ามีธนาคารขนาดใหญ่บางแห่งลดดอกเบี้ยเงินกู้ลง จะกดดันให้ธนาคารอื่นปรับลดดอกเบี้ยลงด้วย
สำหรับเงื่อนไขที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะตัดสินใจลดดอกเบี้ยนโยบายลงในวันที่ 10 ต.ค. หรือไม่ จะเป็นปัจจัยหนึ่งในการพิจารณาดอกเบี้ยแต่ไม่ใช่ปัจจัยหลัก
นายบุญส่ง กล่าวว่า ที่ผ่านมา ธนาคารพาณิชย์ลดดอกเบี้ยเงินกู้ได้ ไม่มาก เมื่อเทียบกับดอกเบี้ยเงินฝาก เนื่องจากการปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ มีผลต่อต้นทุนทันที แตกต่างจากดอกเบี้ยเงินฝากที่แม้ปรับลดแล้ว แต่ไม่ได้ทำให้ต้นทุนลดลงทันที ทำให้ในช่วงที่ผ่านมามีการปรับดอกเบี้ยเงินฝากหลายครั้ง แต่เงินฝากที่มีต้นทุนสูงก็ยังเหลืออีกจำนวนมาก
ผู้บริหารธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า ธนาคารศึกษาเรื่องการออกตั๋วแลกเงิน (บี/อี) อยู่ตลอดเวลา เพื่อให้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของผู้ที่ต้องการออมเงิน
นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า สินเชื่อของธนาคารในไตรมาส 3 น่าจะเป็นไปตามเป้าหมาย ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมก็เติบโตได้ดี มีสัดส่วนรายได้ 30% ส่วนใหญ่มาจากขายประกัน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=196547
โพสต์ทูเดย์ แบงก์กรุงเทพให้ความหวัง ลดดอกเบี้ยเงินกู้ได้อีก
นายบุญส่ง บุณยะสาระนันท์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า ธนาคารขนาดใหญ่บางแห่งมีโอกาสจะปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ลงได้อีก เนื่องจากต้นทุนเงินฝากที่จ่ายดอกเบี้ยสูงจะครบกำหนด
นายบุญส่ง กล่าวว่า ปัจจัยหลักของการพิจารณาปรับดอกเบี้ยอยู่ที่ต้นทุนของธนาคารเป็นหลัก ถ้ามีธนาคารขนาดใหญ่บางแห่งลดดอกเบี้ยเงินกู้ลง จะกดดันให้ธนาคารอื่นปรับลดดอกเบี้ยลงด้วย
สำหรับเงื่อนไขที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะตัดสินใจลดดอกเบี้ยนโยบายลงในวันที่ 10 ต.ค. หรือไม่ จะเป็นปัจจัยหนึ่งในการพิจารณาดอกเบี้ยแต่ไม่ใช่ปัจจัยหลัก
นายบุญส่ง กล่าวว่า ที่ผ่านมา ธนาคารพาณิชย์ลดดอกเบี้ยเงินกู้ได้ ไม่มาก เมื่อเทียบกับดอกเบี้ยเงินฝาก เนื่องจากการปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ มีผลต่อต้นทุนทันที แตกต่างจากดอกเบี้ยเงินฝากที่แม้ปรับลดแล้ว แต่ไม่ได้ทำให้ต้นทุนลดลงทันที ทำให้ในช่วงที่ผ่านมามีการปรับดอกเบี้ยเงินฝากหลายครั้ง แต่เงินฝากที่มีต้นทุนสูงก็ยังเหลืออีกจำนวนมาก
ผู้บริหารธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า ธนาคารศึกษาเรื่องการออกตั๋วแลกเงิน (บี/อี) อยู่ตลอดเวลา เพื่อให้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของผู้ที่ต้องการออมเงิน
นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า สินเชื่อของธนาคารในไตรมาส 3 น่าจะเป็นไปตามเป้าหมาย ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมก็เติบโตได้ดี มีสัดส่วนรายได้ 30% ส่วนใหญ่มาจากขายประกัน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=196547
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news11/10/07
โพสต์ที่ 203
เงินฝากจ่อไหลเข้าตลาดหุ้น- เพิ่มช่องหาผลตอบแทน โดย กระแสหุ้น
มือการเงินชี้หลัง พ.ร.บ.สถาบันประกันเงินฝากบังคับใช้ มีผลกดดันเงินฝากไหลเข้าตลาดทุน ทั้งผ่านกองทุนรวมและตลาดหุ้น เพราะประชาชนต้องหาแนวทางลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยง ด้าน ธปท.ไม่หวั่นผู้ฝากเงินแตกตื่น เหตุมีแผนทำความเข้าใจต่อเนื่อง เชื่อทำให้สถาบันการเงินแข็งแกร่งขึ้น
นายเรืองวิทย์ นันทราวิวัฒน์ ประธานชมรมนักวางแผนการเงินไทย เปิดเผยว่า หากรัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝากอย่างเป็นทางการเชื่อว่าตลาดทุนไทยจะกลับมาคึกคักมากขึ้น เนื่องจากประชาชนจะหาแนวทางการลงทุนรูปแบบใหม่มากขึ้นเพื่อลดความเสี่ยง ดังนั้น กองทุนรวม ตราสารหนี้ หุ้นกู้ และหุ้น จะได้รับความสนใจมากกว่าเดิมแน่นอน
ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าเงินที่เข้ามาสู่ตลาดทุนจะไหลเข้ามาทีเดียวจำนวนมากๆ เชื่อว่าการไหลเข้ามาของเงินนี้จะเป็นแบบทยอยเข้ามามากกว่า แต่ก็ทำให้ตลาดทุนดูคึกคักขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงในการลงทุน อยากให้นักลงทุนหันไปลงทุนนอกประเทศเพิ่มขึ้นจากเดิม เพราะอย่างน้อยการเปลี่ยนทิศทางการลงทุนจะช่วยให้ความเสี่ยงที่มีอยู่เบาบางลงได้
ยอมรับว่าหลังการประกาศใช้ พ.ร.บ.คุมครองเงินฝาก จะส่งผลให้มีเงินฝากไหลออกจากธนาคารพาณิชย์บ้าง แต่เงินที่ไหลออกนั้นก็ไม่ได้หันไปทางไหน แต่กลับไปสู่ตลาดทุนมากขึ้น แต่ไม่ใช่ว่าการไหลครั้งนี้จะไหลมาทีเดียว 10,000 ล้านบาท ซึ่งไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอน แต่จะค่อยๆทยอยเข้ามาในตลาดมากกว่า ซึ่งการไหลเข้ามาในตลาดทุนนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของประชาชน นายเรืองวิทย์ กล่าว
นางฤชุกร สิริโยธิน ผู้อำนวยการสำนักบริหารโครงการสายจัดการกองทุน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า สำหรับพ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝากที่ขณะนี้อยู่ระหว่างเสนอเข้าสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) นั้น โดยในส่วนของเงินเรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมจากสถาบันการเงินที่อยู่ภายใต้พ.ร.บ.นี้ โดยจะเรียกเก็บเงินดังกล่าวในอัตราเดิมที่สถาบันการเงินให้กับกองทุนเพื่อการฟื้นฟูที่ 0.4% หลังจากนั้นจึงค่อยมาพิจารณาอีกครั้งตามความเสี่ยงของแต่ละสถาบันการเงิน ซึ่งค่าธรรมเนียมนี้ได้กำหนดให้เรียกเก็บจากสถาบันการเงินประมาณ1% ของเงินฝาก
ส่วนเงินที่เรียกเก็บมานั้น จะนำไปใส่ไว้ในกองทุนคุ้มครองเงินฝากที่จัดตั้งขึ้นมาใหม่ โดยแยกออกมาจากสถาบันคุ้มครองเงินฝากเพื่อจ่ายคืนเงินฝากให้แก่ผู้ฝากเงิน โดยเงินที่อยู่ในกองทุนฯนี้จะไม่สามารถนำไปใช้ในทางที่ไม่เกิดประโยชน์ได้ ทั้งนี้ กองทุนฯดังกล่าวจะมีเงินทุนเดิมอยู่แล้วประมาณ 1,000 ล้านบาทจากรัฐบาล เพื่อใช้บริหารงานทั่วไป หลังจากนั้นเงินที่เข้ามาเพิ่มจะได้จากค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากสถาบันการเงินต่างๆ
อย่างไรก็ตาม การมีร่าง พ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝากนี้ ยอมรับว่า จะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงและเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงินจนเป็นที่แน่ใจว่า ผู้ฝากเงินจะไม่ตื่นตระหนกและไม่เร่งถอนเงินฝากออกในกรณีที่สถาบันการเงินมีปัญหา และยังช่วยส่งเสริมให้ผู้ฝากเงินคำนึงถึงความมั่นคงและผลประกอบการของสถาบันการเงิน นอกเหนือจากที่มุ่งเน้นดอกเบี้ยเงินฝาก รวมไปถึงเป็นการเสริมมาตรการกำกับดูแลความมั่นคงอย่างครบวงจรให้แก่สถาบันการเงิน เพื่อดำเนินการอย่างระมัดระวัง และไม่เป็นภาระด้านภาษีประชาชน
ทั้งนี้ ในส่วนของการปรับเปลี่ยนจากการประกันเงินฝากปัจจุบัน คือ 100% มาเป็นการทยอยลดวงเงินการคุ้มครองแทนนั้น เพื่อไม่ให้เป็นการตื่นตระหนกและให้เวลากับผู้ฝากเงินรวมไปถึงสถาบันการเงินปรับตัวด้วย จึงเห็นควรว่าในช่วงปีแรกหลังจากประกาศใช้อย่างเป็นทางการ สถาบันคุ้มครองฯยังคงคุ้มครองเต็มจำนวน ปีที่สองจะลดวงเงินเหลือ 50 ล้านบาท ปีที่ 3 เหลือ 25 ล้านบาท ปีที่ 4 เหลือ 10 ล้านบาท และปีที่ 5 เป็นต้นไปจะเหลือเพียง 1 ล้านบาท ทั้งนี้ เพื่อเป็นการให้ประชาชนตรึกตรองในการตัดสินใจให้รอบครอบมากขึ้น
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... okerId=IPO
มือการเงินชี้หลัง พ.ร.บ.สถาบันประกันเงินฝากบังคับใช้ มีผลกดดันเงินฝากไหลเข้าตลาดทุน ทั้งผ่านกองทุนรวมและตลาดหุ้น เพราะประชาชนต้องหาแนวทางลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยง ด้าน ธปท.ไม่หวั่นผู้ฝากเงินแตกตื่น เหตุมีแผนทำความเข้าใจต่อเนื่อง เชื่อทำให้สถาบันการเงินแข็งแกร่งขึ้น
นายเรืองวิทย์ นันทราวิวัฒน์ ประธานชมรมนักวางแผนการเงินไทย เปิดเผยว่า หากรัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝากอย่างเป็นทางการเชื่อว่าตลาดทุนไทยจะกลับมาคึกคักมากขึ้น เนื่องจากประชาชนจะหาแนวทางการลงทุนรูปแบบใหม่มากขึ้นเพื่อลดความเสี่ยง ดังนั้น กองทุนรวม ตราสารหนี้ หุ้นกู้ และหุ้น จะได้รับความสนใจมากกว่าเดิมแน่นอน
ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าเงินที่เข้ามาสู่ตลาดทุนจะไหลเข้ามาทีเดียวจำนวนมากๆ เชื่อว่าการไหลเข้ามาของเงินนี้จะเป็นแบบทยอยเข้ามามากกว่า แต่ก็ทำให้ตลาดทุนดูคึกคักขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงในการลงทุน อยากให้นักลงทุนหันไปลงทุนนอกประเทศเพิ่มขึ้นจากเดิม เพราะอย่างน้อยการเปลี่ยนทิศทางการลงทุนจะช่วยให้ความเสี่ยงที่มีอยู่เบาบางลงได้
ยอมรับว่าหลังการประกาศใช้ พ.ร.บ.คุมครองเงินฝาก จะส่งผลให้มีเงินฝากไหลออกจากธนาคารพาณิชย์บ้าง แต่เงินที่ไหลออกนั้นก็ไม่ได้หันไปทางไหน แต่กลับไปสู่ตลาดทุนมากขึ้น แต่ไม่ใช่ว่าการไหลครั้งนี้จะไหลมาทีเดียว 10,000 ล้านบาท ซึ่งไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอน แต่จะค่อยๆทยอยเข้ามาในตลาดมากกว่า ซึ่งการไหลเข้ามาในตลาดทุนนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของประชาชน นายเรืองวิทย์ กล่าว
นางฤชุกร สิริโยธิน ผู้อำนวยการสำนักบริหารโครงการสายจัดการกองทุน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า สำหรับพ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝากที่ขณะนี้อยู่ระหว่างเสนอเข้าสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) นั้น โดยในส่วนของเงินเรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมจากสถาบันการเงินที่อยู่ภายใต้พ.ร.บ.นี้ โดยจะเรียกเก็บเงินดังกล่าวในอัตราเดิมที่สถาบันการเงินให้กับกองทุนเพื่อการฟื้นฟูที่ 0.4% หลังจากนั้นจึงค่อยมาพิจารณาอีกครั้งตามความเสี่ยงของแต่ละสถาบันการเงิน ซึ่งค่าธรรมเนียมนี้ได้กำหนดให้เรียกเก็บจากสถาบันการเงินประมาณ1% ของเงินฝาก
ส่วนเงินที่เรียกเก็บมานั้น จะนำไปใส่ไว้ในกองทุนคุ้มครองเงินฝากที่จัดตั้งขึ้นมาใหม่ โดยแยกออกมาจากสถาบันคุ้มครองเงินฝากเพื่อจ่ายคืนเงินฝากให้แก่ผู้ฝากเงิน โดยเงินที่อยู่ในกองทุนฯนี้จะไม่สามารถนำไปใช้ในทางที่ไม่เกิดประโยชน์ได้ ทั้งนี้ กองทุนฯดังกล่าวจะมีเงินทุนเดิมอยู่แล้วประมาณ 1,000 ล้านบาทจากรัฐบาล เพื่อใช้บริหารงานทั่วไป หลังจากนั้นเงินที่เข้ามาเพิ่มจะได้จากค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากสถาบันการเงินต่างๆ
อย่างไรก็ตาม การมีร่าง พ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝากนี้ ยอมรับว่า จะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงและเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงินจนเป็นที่แน่ใจว่า ผู้ฝากเงินจะไม่ตื่นตระหนกและไม่เร่งถอนเงินฝากออกในกรณีที่สถาบันการเงินมีปัญหา และยังช่วยส่งเสริมให้ผู้ฝากเงินคำนึงถึงความมั่นคงและผลประกอบการของสถาบันการเงิน นอกเหนือจากที่มุ่งเน้นดอกเบี้ยเงินฝาก รวมไปถึงเป็นการเสริมมาตรการกำกับดูแลความมั่นคงอย่างครบวงจรให้แก่สถาบันการเงิน เพื่อดำเนินการอย่างระมัดระวัง และไม่เป็นภาระด้านภาษีประชาชน
ทั้งนี้ ในส่วนของการปรับเปลี่ยนจากการประกันเงินฝากปัจจุบัน คือ 100% มาเป็นการทยอยลดวงเงินการคุ้มครองแทนนั้น เพื่อไม่ให้เป็นการตื่นตระหนกและให้เวลากับผู้ฝากเงินรวมไปถึงสถาบันการเงินปรับตัวด้วย จึงเห็นควรว่าในช่วงปีแรกหลังจากประกาศใช้อย่างเป็นทางการ สถาบันคุ้มครองฯยังคงคุ้มครองเต็มจำนวน ปีที่สองจะลดวงเงินเหลือ 50 ล้านบาท ปีที่ 3 เหลือ 25 ล้านบาท ปีที่ 4 เหลือ 10 ล้านบาท และปีที่ 5 เป็นต้นไปจะเหลือเพียง 1 ล้านบาท ทั้งนี้ เพื่อเป็นการให้ประชาชนตรึกตรองในการตัดสินใจให้รอบครอบมากขึ้น
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... okerId=IPO
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news11/10/07
โพสต์ที่ 204
แบงก์แข่งดุปล่อยสินเชื่อบ้าน คิดดอก 0% วงเงินกู้เต็มร้อย
ธนาคารพาณิชย์ออกสารพัดแคมเปญ ปล่อยสินเชื่อบ้านในงาน มหกรรมบ้านและคอนโดฯ กสิกรไทยชูดอกเบี้ย 0% 3 เดือนแรก ให้วงเงินกู้สูงถึง 90% ของราคาบ้านหรือราคาประเมิน ด้านกรุงไทยลดดอกเบี้ยปีแรกให้ทันที 0.25% ให้วงเงิน 110% ขณะที่นครหลวงไทยให้อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2 ปีแรก
นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์และการตลาดสินเชื่อ ผู้บริโภค ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK เปิดเผยว่า ทางธนาคารได้จัดโปรโมชั่นสินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ยต่ำพิเศษให้แก่ลูกค้าผู้ซื้อที่อยู่อาศัยในงานมหกรรมบ้านและคอนโดฯ ครั้งที่ 17 ระหว่างวันที่ 11-14 ต.ค.นี้ โดยลูกค้าที่สมัครใช้บริการสินเชื่อบ้านในงาน จะได้รับอัตราดอกเบี้ยต่ำพิเศษ 0% ใน 3 เดือนแรก หลังจากนั้นจะมีอัตราดอกเบี้ยให้เลือก 6 แบบ โดยสามารถกู้ได้สูงสุด 90% ของราคาซื้อขายหรือสูงสุด 90% ของราคาประเมิน และในกรณีที่ลูกค้าซื้อบ้านจากโครงการพันธมิตรของธนาคาร ซึ่งมีกว่า 50 โครงการจะได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมการจัดการให้กู้ด้วย
สำหรับลูกค้าที่มีที่อยู่อาศัยแล้ว แต่มีความต้องการเงินสดหมุนเวียนเพื่อใช้จ่ายอเนกประสงค์ สามารถใช้ที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันเพื่อใช้บริการสินเชื่อบ้านทวีทรัพย์ โดยธนาคารจะคิดอัตราดอกเบี้ย MLR-0.50% ใน 2 ปีแรก หลังจากนั้นคิด MLR จนครบสัญญา
นอกจากนี้ภายในงาน ธนาคารจะนำทรัพย์สินรอการขาย (K-Property) ที่มีคุณภาพในเขตกรุงเทพและปริมณฑลร่วมจำหน่ายในราคาพิเศษจำนวนทั้งสิ้น 756 รายการ รวมมูลค่า 3,448 ล้านบาท โดยลูกค้าจะได้รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษ คงที่ 2% สำหรับ 2 ปี แรกหลังจากนั้นคิดดอกเบี้ย MLR-0.25%
ด้านนายธีรินทร์ เต่าทอง ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ผู้บริหารฝ่าย ฝ่ายผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่อยู่อาศัย ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB กล่าวว่า ธนาคารจะมอบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อในงานโดยลดอัตราดอกเบี้ยปีแรกลง 0.25% และมีทางเลือกให้ลูกค้าถึง 4 แบบ คือ ลูกค้าทั่วไปเลือก แบบที่ 1 ปีแรกคิด 4% ต่อปี หลังจากนั้น คิด MLR ลบ 0.25% ต่อปี แบบที่ 2 ปีแรกคิด 3.75% ต่อปี หลังจากนั้นคิด MLR ต่อปี ลูกค้าโครงการที่ธนาคารสนับสนุนทางการเงิน เลือก แบบที่ 3 ปีแรกคิด 3.75% หลังจากนั้น คิด MLR ลบ 0.25% ต่อปี และแบบที่ 4 ปีแรกคิด 3.50% หลังจากนั้นคิด MLR ต่อปี
นอกจากนี้ ธนาคารจะนำทรัพย์สินรอการขาย (NPA) ทั่วประเทศกว่า 8,200 รายการ มาจำหน่ายในราคาลดสูงสุด 40% พร้อมให้บริการสินเชื่อกรุงไทยเคหะเพื่อซื้อ NPA โดยสามารถกู้ซื้อบ้านและปรับปรุงซ่อมแซมได้สูงถึง 110% อัตราดอกเบี้ยปีแรก 0% ต่อปี ปีต่อไปคิด MLR-0.25%ต่อปี พร้อมยกเว้นค่าประเมินหลักทรัพย์ และค่าธรรมเนียมจัดการสินเชื่อให้กับลูกค้า
ขณะที่รายงานข่าวจากธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCIB แจ้งว่า ธนาคารได้นำบริการสินเชื่อที่เกี่ยวข้องกับที่อยู่อาศัยและทรัพย์สินรอการขายจำนวน 1,449 รายการ มูลค่ารวมประมาณ 2,500 ล้านบาท พร้อมทั้งโปรโมชั่นพิเศษสุดมอบให้กับลูกค้าที่ใช้บริการทางการเงินของธนาคาร โดยสินเชื่อทวีโชคซึ่งเป็นสินเชื่อสำหรับซื้อเอ็นพีเอของธนาคาร คิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ 2 ปีแรก โดยปีที่ 1 คิดอัตราดอกเบี้ย 4% ต่อปี ปีที่ 2 คิดอัตราดอกเบี้ย 5.5% ต่อปี หลังจากนั้นคิดอัตราดอกเบี้ย MLR ลบ 0.5% ต่อปี วงเงินกู้สูงสุด 90% ระยะเวลากู้ 20 ปี พร้อมทั้ง ฟรีค่าประเมินหลักประกันและฟรีค่าธรรมเนียมในการจัดหาเงินกู้อีกด้วย
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16
ธนาคารพาณิชย์ออกสารพัดแคมเปญ ปล่อยสินเชื่อบ้านในงาน มหกรรมบ้านและคอนโดฯ กสิกรไทยชูดอกเบี้ย 0% 3 เดือนแรก ให้วงเงินกู้สูงถึง 90% ของราคาบ้านหรือราคาประเมิน ด้านกรุงไทยลดดอกเบี้ยปีแรกให้ทันที 0.25% ให้วงเงิน 110% ขณะที่นครหลวงไทยให้อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2 ปีแรก
นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์และการตลาดสินเชื่อ ผู้บริโภค ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK เปิดเผยว่า ทางธนาคารได้จัดโปรโมชั่นสินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ยต่ำพิเศษให้แก่ลูกค้าผู้ซื้อที่อยู่อาศัยในงานมหกรรมบ้านและคอนโดฯ ครั้งที่ 17 ระหว่างวันที่ 11-14 ต.ค.นี้ โดยลูกค้าที่สมัครใช้บริการสินเชื่อบ้านในงาน จะได้รับอัตราดอกเบี้ยต่ำพิเศษ 0% ใน 3 เดือนแรก หลังจากนั้นจะมีอัตราดอกเบี้ยให้เลือก 6 แบบ โดยสามารถกู้ได้สูงสุด 90% ของราคาซื้อขายหรือสูงสุด 90% ของราคาประเมิน และในกรณีที่ลูกค้าซื้อบ้านจากโครงการพันธมิตรของธนาคาร ซึ่งมีกว่า 50 โครงการจะได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมการจัดการให้กู้ด้วย
สำหรับลูกค้าที่มีที่อยู่อาศัยแล้ว แต่มีความต้องการเงินสดหมุนเวียนเพื่อใช้จ่ายอเนกประสงค์ สามารถใช้ที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันเพื่อใช้บริการสินเชื่อบ้านทวีทรัพย์ โดยธนาคารจะคิดอัตราดอกเบี้ย MLR-0.50% ใน 2 ปีแรก หลังจากนั้นคิด MLR จนครบสัญญา
นอกจากนี้ภายในงาน ธนาคารจะนำทรัพย์สินรอการขาย (K-Property) ที่มีคุณภาพในเขตกรุงเทพและปริมณฑลร่วมจำหน่ายในราคาพิเศษจำนวนทั้งสิ้น 756 รายการ รวมมูลค่า 3,448 ล้านบาท โดยลูกค้าจะได้รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษ คงที่ 2% สำหรับ 2 ปี แรกหลังจากนั้นคิดดอกเบี้ย MLR-0.25%
ด้านนายธีรินทร์ เต่าทอง ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ผู้บริหารฝ่าย ฝ่ายผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่อยู่อาศัย ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB กล่าวว่า ธนาคารจะมอบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อในงานโดยลดอัตราดอกเบี้ยปีแรกลง 0.25% และมีทางเลือกให้ลูกค้าถึง 4 แบบ คือ ลูกค้าทั่วไปเลือก แบบที่ 1 ปีแรกคิด 4% ต่อปี หลังจากนั้น คิด MLR ลบ 0.25% ต่อปี แบบที่ 2 ปีแรกคิด 3.75% ต่อปี หลังจากนั้นคิด MLR ต่อปี ลูกค้าโครงการที่ธนาคารสนับสนุนทางการเงิน เลือก แบบที่ 3 ปีแรกคิด 3.75% หลังจากนั้น คิด MLR ลบ 0.25% ต่อปี และแบบที่ 4 ปีแรกคิด 3.50% หลังจากนั้นคิด MLR ต่อปี
นอกจากนี้ ธนาคารจะนำทรัพย์สินรอการขาย (NPA) ทั่วประเทศกว่า 8,200 รายการ มาจำหน่ายในราคาลดสูงสุด 40% พร้อมให้บริการสินเชื่อกรุงไทยเคหะเพื่อซื้อ NPA โดยสามารถกู้ซื้อบ้านและปรับปรุงซ่อมแซมได้สูงถึง 110% อัตราดอกเบี้ยปีแรก 0% ต่อปี ปีต่อไปคิด MLR-0.25%ต่อปี พร้อมยกเว้นค่าประเมินหลักทรัพย์ และค่าธรรมเนียมจัดการสินเชื่อให้กับลูกค้า
ขณะที่รายงานข่าวจากธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCIB แจ้งว่า ธนาคารได้นำบริการสินเชื่อที่เกี่ยวข้องกับที่อยู่อาศัยและทรัพย์สินรอการขายจำนวน 1,449 รายการ มูลค่ารวมประมาณ 2,500 ล้านบาท พร้อมทั้งโปรโมชั่นพิเศษสุดมอบให้กับลูกค้าที่ใช้บริการทางการเงินของธนาคาร โดยสินเชื่อทวีโชคซึ่งเป็นสินเชื่อสำหรับซื้อเอ็นพีเอของธนาคาร คิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ 2 ปีแรก โดยปีที่ 1 คิดอัตราดอกเบี้ย 4% ต่อปี ปีที่ 2 คิดอัตราดอกเบี้ย 5.5% ต่อปี หลังจากนั้นคิดอัตราดอกเบี้ย MLR ลบ 0.5% ต่อปี วงเงินกู้สูงสุด 90% ระยะเวลากู้ 20 ปี พร้อมทั้ง ฟรีค่าประเมินหลักประกันและฟรีค่าธรรมเนียมในการจัดหาเงินกู้อีกด้วย
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news12/10/07
โพสต์ที่ 205
KTB-BBLน่าซื้อถูกสุดแบงก์ใหญ่ข่าวร้ายคลี่คลาย
ถึงจังหวะเก็บ BBL-KTB โบรกเกอร์ชี้ยังถูก ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นช้ากว่าแบงก์อื่นที่ส่วนใหญ่เต็มมูลค่าแล้ว มองพื้นฐานแกร่ง ราคาหุ้นซึมซับข่าวร้ายหมดแล้ว ระบุปีหน้าสินเชื่อเติบโตโดดเด่นดันกำไรกรุงไทยพุ่ง 33% ส่วนแบงก์กรุงเทพรับผลดีส่วนต่างดอกเบี้ยเพิ่ม
จากการสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์พบว่า ส่วนใหญ่แนะนำให้ลงทุนในหุ้นธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB เนื่องจากราคาหุ้นทั้ง 2 ตัวยังปรับเพิ่มขึ้นไม่มาก เมื่อเทียบกับแบงก์อื่นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงก่อนหน้านี้ ราคาหุ้นได้ซึมซับข่าวร้ายไปหมดแล้ว ขณะที่พื้นฐานยังแข็งแกร่ง
นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า หลักทรัพย์กลุ่มธนาคารพาณิชย์ขณะนี้ มองว่าธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ยังเหมาะแก่การซื้อเพื่อลงทุนอยู่ โดย 2 ธนาคารพาณิชย์อย่าง ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)หรือ BBL และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)หรือ KTB ที่ราคายังปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่มาก ตามหลังแบงก์อื่นที่ปรับเพิ่มขึ้นไปแล้วพอสมควร
สำหรับสาเหตุที่ราคาหุ้นทั้ง 2 ตัว ขยับล่าช้า เป็นผลมาจากจำนวนหุ้นมีมาก โดยเฉพาะหุ้น BBL ส่วนหุ้น KTB นักลงทุนยังมีความกังวลในเรื่องของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่คาดว่าน่าจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากธนาคารตั้งสำรองตาม IAS 39 น้อยกว่าธนาคารพาณิชย์อื่น ส่งผลให้ราคาหุ้นขยับตัวไปไม่ถึงราคาเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 11.2 บาท
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าความกังวลที่เกิดขึ้นเริ่มเบาบางลงแล้ว ส่งผลให้ราคาหุ้น KTB เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น ส่วนหุ้น BBLราคาเป้าหมายปี50 อยู่ที่ 128 บาท โดยราคาหุ้น BBL ขณะนี้นับว่าขยับตัวขึ้นต่อเนื่องติดต่อกัน ดังนั้น แม้ว่าจะเป็นตัวล่าช้าที่สุดในกลุ่มหุ้นธนาคารพาณิชย์ แต่ก็ยังมีความน่าสนใจอยู่เช่นเดิม
หุ้นแบงก์ถือว่าเป็นหุ้นที่มีความน่าสนใจเช่นเดิม เนื่องจากมีปัจจัยบวกหลายอย่างสนับสนุน แม้ว่า จะมีเพียง 2 ธนาคาร คือ BBL และ KTB ที่ราคาเป้าหมายจะขยับตัวช้าไปหน่อยเมื่อเทียบกับแบงก์อื่นที่ราคาเป้าหมายขยับตัวเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ก็ตาม แต่ก็ไม่น่ามีปัญหา ที่นักลงทุนจะตัดสินใจลงทุน นักวิเคราะห์ กล่าว
ด้านนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์กรุงศรีอยุธยา จำกัด กล่าวว่า แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาหุ้น BBL และหุ้น KTB จะขยับตัวช้าเมื่อเทียบกับธนาคารพาณิชย์อื่น แต่ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาหุ้น 2 ธนาคารดังกล่าวได้มีการขยับขึ้นต่อเนื่องแล้ว ดังนั้น หากนักลงทุนที่สนใจซื้อเพื่อลงทุนก็สามารถทำได้ เพราะหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ถือว่าเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานดีมีความน่าสนใจสูง
ทั้งนี้ ผลประกอบการ BBL ช่วงไตรมาส 3 ของปี 50 คาดว่า สินเชื่อจะขยายตัวได้น้อย เติบโตเพียง 0.6% QoQ เป็นผลจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ โดยทาง BBL คาดว่าในปี 50 ฐานสินเชื่ออาจจะขยายตัวต่ำกว่าเป้าที่ 5% YoY ขณะที่ NIM ทรงตัว QoQ อยู่ที่ 3.1% เพราะต้นทุนการเงินลดลง ส่วนกำไรสุทธิใน 3Q50 ที่ 4.94 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.7% YoY แต่ลดลง 7.5% QoQ เศรษฐกิจในปีหน้ามีแนวโน้มดีขึ้น ทำให้มีโอกาสที่ BBL จะตั้งเป้าการขยายสินเชื่อในปี 51 ที่ระดับ 6 7%
ด้าน KTB คาดว่ากำไรสุทธิใน 3Q50 อยู่ที่ 2.86 พันล้านบาท ลดลง 43.6 % YoY แต่จะเพิ่มขึ้น 660% QoQ ส่วน Net Interest Margin (NIM) ใน 3Q50 อยู่ที่ 3.8% เพราะต้นทุนการเงินลดลง และรับเงินปันผลจากกองทุนวายุภักษ์ ฐานสินเชื่อใน 3Q50 คาดว่าจะลดลง 0.3% QoQ ขณะที่ทั้งปี 2550 คาดว่าจะลดลง 1% YoY เป็นผลจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ คาดว่าในปี 2551 กำไรสุทธิจะพลิกเพิ่มขึ้น 33.3% YoY หลังจากที่คาดว่าจะลดลง 27.6% YoY ในปี 2550
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการลดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPA) ของ KTB สิ้นปีนี้ประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท โดยยืนยันจะรักษาระดับที่ 4 หมื่นล้านบาท หลังจากในเดือน ส.ค.2550 ขายได้แล้วกว่า 5 พันล้านบาท เตรียมขายให้กับบริษัทบริหารสินทรัพย์ (บสก.) อีก 5 พันล้านบาท ที่เหลืออยู่ระหว่างรอการขาย ส่วนการลงทุนใน CDO 4-5 ตัวย้ำมีคุณภาพ และยังไม่มีนโยบายขายก่อนกำหนด จึงมีมุมมองที่ดีต่อความพยายามของ KTB ในการขายหนี้ NPA เพราะจะส่งผลดีทำให้คุณภาพของสินทรัพย์โดยรวมดีขึ้น ด้านการลงทุนใน CDO นั้น ทาง KTB เปิดเผยว่าเป็นการลงทุนใน CDO มีล้วนเป็น CDO ที่มีคุณภาพดี ซึ่งมองว่าจะไม่ส่งผลเชิงลบอย่างมีนัยสำคัญต่อพื้นฐานของ KTB
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16
ถึงจังหวะเก็บ BBL-KTB โบรกเกอร์ชี้ยังถูก ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นช้ากว่าแบงก์อื่นที่ส่วนใหญ่เต็มมูลค่าแล้ว มองพื้นฐานแกร่ง ราคาหุ้นซึมซับข่าวร้ายหมดแล้ว ระบุปีหน้าสินเชื่อเติบโตโดดเด่นดันกำไรกรุงไทยพุ่ง 33% ส่วนแบงก์กรุงเทพรับผลดีส่วนต่างดอกเบี้ยเพิ่ม
จากการสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์พบว่า ส่วนใหญ่แนะนำให้ลงทุนในหุ้นธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB เนื่องจากราคาหุ้นทั้ง 2 ตัวยังปรับเพิ่มขึ้นไม่มาก เมื่อเทียบกับแบงก์อื่นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงก่อนหน้านี้ ราคาหุ้นได้ซึมซับข่าวร้ายไปหมดแล้ว ขณะที่พื้นฐานยังแข็งแกร่ง
นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า หลักทรัพย์กลุ่มธนาคารพาณิชย์ขณะนี้ มองว่าธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ยังเหมาะแก่การซื้อเพื่อลงทุนอยู่ โดย 2 ธนาคารพาณิชย์อย่าง ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)หรือ BBL และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)หรือ KTB ที่ราคายังปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่มาก ตามหลังแบงก์อื่นที่ปรับเพิ่มขึ้นไปแล้วพอสมควร
สำหรับสาเหตุที่ราคาหุ้นทั้ง 2 ตัว ขยับล่าช้า เป็นผลมาจากจำนวนหุ้นมีมาก โดยเฉพาะหุ้น BBL ส่วนหุ้น KTB นักลงทุนยังมีความกังวลในเรื่องของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่คาดว่าน่าจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากธนาคารตั้งสำรองตาม IAS 39 น้อยกว่าธนาคารพาณิชย์อื่น ส่งผลให้ราคาหุ้นขยับตัวไปไม่ถึงราคาเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 11.2 บาท
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าความกังวลที่เกิดขึ้นเริ่มเบาบางลงแล้ว ส่งผลให้ราคาหุ้น KTB เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น ส่วนหุ้น BBLราคาเป้าหมายปี50 อยู่ที่ 128 บาท โดยราคาหุ้น BBL ขณะนี้นับว่าขยับตัวขึ้นต่อเนื่องติดต่อกัน ดังนั้น แม้ว่าจะเป็นตัวล่าช้าที่สุดในกลุ่มหุ้นธนาคารพาณิชย์ แต่ก็ยังมีความน่าสนใจอยู่เช่นเดิม
หุ้นแบงก์ถือว่าเป็นหุ้นที่มีความน่าสนใจเช่นเดิม เนื่องจากมีปัจจัยบวกหลายอย่างสนับสนุน แม้ว่า จะมีเพียง 2 ธนาคาร คือ BBL และ KTB ที่ราคาเป้าหมายจะขยับตัวช้าไปหน่อยเมื่อเทียบกับแบงก์อื่นที่ราคาเป้าหมายขยับตัวเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ก็ตาม แต่ก็ไม่น่ามีปัญหา ที่นักลงทุนจะตัดสินใจลงทุน นักวิเคราะห์ กล่าว
ด้านนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์กรุงศรีอยุธยา จำกัด กล่าวว่า แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาหุ้น BBL และหุ้น KTB จะขยับตัวช้าเมื่อเทียบกับธนาคารพาณิชย์อื่น แต่ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาหุ้น 2 ธนาคารดังกล่าวได้มีการขยับขึ้นต่อเนื่องแล้ว ดังนั้น หากนักลงทุนที่สนใจซื้อเพื่อลงทุนก็สามารถทำได้ เพราะหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ถือว่าเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานดีมีความน่าสนใจสูง
ทั้งนี้ ผลประกอบการ BBL ช่วงไตรมาส 3 ของปี 50 คาดว่า สินเชื่อจะขยายตัวได้น้อย เติบโตเพียง 0.6% QoQ เป็นผลจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ โดยทาง BBL คาดว่าในปี 50 ฐานสินเชื่ออาจจะขยายตัวต่ำกว่าเป้าที่ 5% YoY ขณะที่ NIM ทรงตัว QoQ อยู่ที่ 3.1% เพราะต้นทุนการเงินลดลง ส่วนกำไรสุทธิใน 3Q50 ที่ 4.94 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.7% YoY แต่ลดลง 7.5% QoQ เศรษฐกิจในปีหน้ามีแนวโน้มดีขึ้น ทำให้มีโอกาสที่ BBL จะตั้งเป้าการขยายสินเชื่อในปี 51 ที่ระดับ 6 7%
ด้าน KTB คาดว่ากำไรสุทธิใน 3Q50 อยู่ที่ 2.86 พันล้านบาท ลดลง 43.6 % YoY แต่จะเพิ่มขึ้น 660% QoQ ส่วน Net Interest Margin (NIM) ใน 3Q50 อยู่ที่ 3.8% เพราะต้นทุนการเงินลดลง และรับเงินปันผลจากกองทุนวายุภักษ์ ฐานสินเชื่อใน 3Q50 คาดว่าจะลดลง 0.3% QoQ ขณะที่ทั้งปี 2550 คาดว่าจะลดลง 1% YoY เป็นผลจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ คาดว่าในปี 2551 กำไรสุทธิจะพลิกเพิ่มขึ้น 33.3% YoY หลังจากที่คาดว่าจะลดลง 27.6% YoY ในปี 2550
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการลดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPA) ของ KTB สิ้นปีนี้ประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท โดยยืนยันจะรักษาระดับที่ 4 หมื่นล้านบาท หลังจากในเดือน ส.ค.2550 ขายได้แล้วกว่า 5 พันล้านบาท เตรียมขายให้กับบริษัทบริหารสินทรัพย์ (บสก.) อีก 5 พันล้านบาท ที่เหลืออยู่ระหว่างรอการขาย ส่วนการลงทุนใน CDO 4-5 ตัวย้ำมีคุณภาพ และยังไม่มีนโยบายขายก่อนกำหนด จึงมีมุมมองที่ดีต่อความพยายามของ KTB ในการขายหนี้ NPA เพราะจะส่งผลดีทำให้คุณภาพของสินทรัพย์โดยรวมดีขึ้น ด้านการลงทุนใน CDO นั้น ทาง KTB เปิดเผยว่าเป็นการลงทุนใน CDO มีล้วนเป็น CDO ที่มีคุณภาพดี ซึ่งมองว่าจะไม่ส่งผลเชิงลบอย่างมีนัยสำคัญต่อพื้นฐานของ KTB
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news12/10/07
โพสต์ที่ 206
ธ.กรุงเทพเจ๋ง ดีเด่นเหนือใครทหารไทยบ๊วย
โพสต์ทูเดย์ ธนาคารกรุงเทพคว้าตำแหน่ง Bank of the Year 2007 โชว์กำไรสุทธิติดอันดับ 1 กว่า 1.8 หมื่นล้าน กสิกรไทย-ไทยพาณิชย์ จี้ติด
วารสารการเงินธนาคาร ฉบับเดือน ต.ค. 2550 ประกาศผลการจัดอันดับธนาคารแห่งปี ประจำปี 2550 หรือ Bank of The Year 2007 ปรากฏว่า ธนาคารกรุงเทพชนะเลิศตำแหน่งธนาคารแห่งปี 2550 ด้วยผลประกอบการที่งดงาม โชว์กำไรสุทธิสูงเป็นอันดับ 1 ถึง 1.89 หมื่นล้านบาท และกำไรสุทธิต่อหุ้น 9.90 บาท สูงเป็นอันดับ 1 เช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ จากความได้เปรียบของธนาคารกรุงเทพที่มีฐานลูกค้าที่กว้างขวาง ประกอบกับความสัมพันธ์ที่ แน่นแฟ้นยาวนานกับลูกค้า ผนวกเข้ากับเครือขายสาขาที่ครอบคลุมทั้งในประเทศและเชื่อมโยงกับเขตเศรษฐกิจสำคัญทั่วภูมิภาคเอเชีย ส่งผลให้ธนาคารแห่งนี้ยังคงยืนหยัดรักษาตำแหน่งผู้นำอยู่ได้ในภาวะการแข่งขันที่ร้อนแรง
อันดับสองเป็นธนาคารกสิกรไทยและอันดับสามเป็นธนาคารไทยพาณิชย์ อันดับ 4 ตกเป็นของ ธนาคารเกียรตินาคิน อันดับ 5 ธนาคารทิสโก้ ส่วนธนาคารนครหลวงไทย เบียดธนาคารกรุงไทยหล่นไปอยู่อันดับ 7
ด้าน ธนาคารสินเอเซีย ก้าวเข้าสู่ทำเนียบธนาคารแห่งปีเป็นครั้งแรกด้วยการครองอันดับ 9 แซงธนาคารกรุงศรีอยุธยา ที่ตกไปอยู่อันดับ 10 ธนาคารธนชาต อันดับ 11 ธนาคาร ยูโอบี อันดับ 12 ธนาคารไทยธนาคาร อันดับ 13 และรั้งท้ายสุดคือธนาคารทหารไทย ที่ประสบผลขาดทุนสูงถึงกว่า 3.3 หมื่นล้านบาท
สำหรับเกณฑ์ในการพิจารณานั้น จะนำผลประกอบการมาคำนวณหาอัตราส่วนทางการเงินต่างๆ เพื่อ เปรียบเทียบประสิทธิภาพในการ บริหารจัดการ แต่ไม่ได้นำปัจจัยในด้านรายได้รวมต่อพนักงานมาใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณา
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=196940
โพสต์ทูเดย์ ธนาคารกรุงเทพคว้าตำแหน่ง Bank of the Year 2007 โชว์กำไรสุทธิติดอันดับ 1 กว่า 1.8 หมื่นล้าน กสิกรไทย-ไทยพาณิชย์ จี้ติด
วารสารการเงินธนาคาร ฉบับเดือน ต.ค. 2550 ประกาศผลการจัดอันดับธนาคารแห่งปี ประจำปี 2550 หรือ Bank of The Year 2007 ปรากฏว่า ธนาคารกรุงเทพชนะเลิศตำแหน่งธนาคารแห่งปี 2550 ด้วยผลประกอบการที่งดงาม โชว์กำไรสุทธิสูงเป็นอันดับ 1 ถึง 1.89 หมื่นล้านบาท และกำไรสุทธิต่อหุ้น 9.90 บาท สูงเป็นอันดับ 1 เช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ จากความได้เปรียบของธนาคารกรุงเทพที่มีฐานลูกค้าที่กว้างขวาง ประกอบกับความสัมพันธ์ที่ แน่นแฟ้นยาวนานกับลูกค้า ผนวกเข้ากับเครือขายสาขาที่ครอบคลุมทั้งในประเทศและเชื่อมโยงกับเขตเศรษฐกิจสำคัญทั่วภูมิภาคเอเชีย ส่งผลให้ธนาคารแห่งนี้ยังคงยืนหยัดรักษาตำแหน่งผู้นำอยู่ได้ในภาวะการแข่งขันที่ร้อนแรง
อันดับสองเป็นธนาคารกสิกรไทยและอันดับสามเป็นธนาคารไทยพาณิชย์ อันดับ 4 ตกเป็นของ ธนาคารเกียรตินาคิน อันดับ 5 ธนาคารทิสโก้ ส่วนธนาคารนครหลวงไทย เบียดธนาคารกรุงไทยหล่นไปอยู่อันดับ 7
ด้าน ธนาคารสินเอเซีย ก้าวเข้าสู่ทำเนียบธนาคารแห่งปีเป็นครั้งแรกด้วยการครองอันดับ 9 แซงธนาคารกรุงศรีอยุธยา ที่ตกไปอยู่อันดับ 10 ธนาคารธนชาต อันดับ 11 ธนาคาร ยูโอบี อันดับ 12 ธนาคารไทยธนาคาร อันดับ 13 และรั้งท้ายสุดคือธนาคารทหารไทย ที่ประสบผลขาดทุนสูงถึงกว่า 3.3 หมื่นล้านบาท
สำหรับเกณฑ์ในการพิจารณานั้น จะนำผลประกอบการมาคำนวณหาอัตราส่วนทางการเงินต่างๆ เพื่อ เปรียบเทียบประสิทธิภาพในการ บริหารจัดการ แต่ไม่ได้นำปัจจัยในด้านรายได้รวมต่อพนักงานมาใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณา
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=196940
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news13/10/07
โพสต์ที่ 207
สงครามบัตรเครดิตเดือด เคทีซี เน้นซื้อทัวร์ 1 แถม 1 [ ฉบับที่ 836 ประจำวันที่ 13-10-2007 ถึง 16-10-2007]
> ค่ายอิออนชูสิทธิประโยชน์ 3 เด้ง
เซ็นทรัลจัดรายการรูดลุ้นรางวัลกลุ่มธนาคารนอนแบงก์ โหมแคมเปญกระตุ้น จับจ่ายผ่านบัตรเครดิต KTC อัดโปรแกรมท่องเที่ยว ดึงพันธมิตร การบินไทย จัดโปรโมชั่นซื้อ 1 แถม 1 หลังยอดรูดพุ่ง 10 เท่า อิออน ชี้ช่วงนาทีทอง ไฮซีซั่นใช้จ่าย ชูแคมเปญมอบสิทธิประโยชน์ 3 เด้ง ส่วนลด แต้มสะสม คูปองเงินสด ดูดสมาชิกเพิ่ม ขณะที่บัตรห้าง เซ็นทรัล การ์ด มอบฟรีกล้องดิจิตอล 1.3 หมื่นบาท กรณีมียอดซื้อสูงสุดของวัน แบงก์ต่างชาติ ยูโอบี หั่นดอกเบี้ยเกือบครึ่ง พร้อมมอบแต้มสะสมทันที 1 หมื่นคะแนน จูงใจเมมเบอร์ใหม่
แม้จะมีกรณีข้อพิพาทระหว่างสถาบันการเงินผู้ออก บัตรเครดิต ทั้งในกลุ่มธนาคารและนอนแบงก์ กับกลุ่มผู้ ใช้บริการ จะก่อให้เกิดความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจต่อกัน อันเป็น ผลจากการติดตามทวงหนี้ของ บริษัทในเครือผู้รับงาน ที่ใช้วิธี การหลากหลายรูปแบบ บางกรณีถึงขั้นเข้าข่ายละเมิดสิทธิ ส่วนบุคคล ส่งผลถึงการยื่นมือ เข้ามาช่วยเหลือของธนาคาร แห่งประเทศไทย ที่ได้วางกรอบกำหนดมาตรการการปฏิบัติต่อลูกหนี้อย่างเป็นธรรมแล้วนั้น ทว่าในช่วงโค้งสุดท้าย สถาบันการเงินผู้ให้บริการ กลับยิ่งแข่งขันจัดโปรโมชั่น อัดสิทธิประโยชน์ เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านบัตร และจูงใจกลุ่มเป้าหมาย ให้เข้ามาสมัครเป็นสมาชิกใหม่
>> KTC อัดแคมเปญ ท่องเที่ยวซื้อ 1 แถม 1
ค่ายนอนแบงก์ เคทีซี ค่อนข้างจะให้ความสำคัญกับ การกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตแต่ละประเภท ผ่านแคมเปญการท่องเที่ยวอยู่ไม่น้อย สะท้อนจากการจัดโปรโมชั่นบัตร KTC Titanium Master Card สำหรับ บัตร Generic Card ที่จะมอบ คะแนนสะสมเพิ่มเป็น 2 เท่า กรณีใช้บัตรเครดิตประเภทดังกล่าวช็อปที่ประเทศฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย เช่นเดียวกับการใช้บัตรเคทีซี วีซ่าหรือมาสเตอร์การ์ด โกลด์ ซื้อตั๋วเครื่องบินภายในประเทศ จะได้รับส่วนลด 7% พร้อมกับการมอบสิทธิประโยชน์ประกันภัยอุบัติเหตุการเดินทาง ความคุ้มครองสูงสุด 4 ล้านบาท กรณีประสบเหตุระหว่างเดินทาง
ขณะเดียวกัน ยังได้เข้าร่วมจัดแคมเปญในงาน ็เทศกาลท่องนิวซีแลนด์ ที่จะมีจนถึง 14 ต.ค.นี้ โดยมอบสิทธิพิเศษให้กับสมาชิกผู้ถือบัตร หากซื้อตั๋วเครื่องบินการบินไทยชั้นบิสซิเนสหรือเฟิร์สคลาส ไป-กลับ กรุงเทพฯ-โอ๊คแลนด์ 1 ที่ รับฟรีอีก 1 ที่ ทันที นอกจากนี้ ได้จัดโปรโมชั่นร่วมกับพันธมิตรศูนย์การค้า ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต สำหรับบัตรบัตร KTC Future Titanium Master Card มอบเงื่อนไขฟรีค่าธรรมเนียมแรกเข้า และรายปีตลอดชีพ รวมถึงการมอบสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าใหม่ 3 ต่อ คือ กระเป๋าเดินทาง มูลค่า 1,590 บาท รับสิทธิ์ซื้อตั๋วเครื่องบินไป-กลับ กรุงเทพฯ-ภูเก็ต 2 ที่นั่ง ราคาเพียง 12,100 บาท และรับสิทธิ์จองห้องพักโรงแรมและรีสอร์ตหรูทั่วประเทศ ราคาเริ่มต้นที่ 1.3 พันบาท
"แคมเปญด้านการท่องเที่ยวเราได้จับมือร่วมกับการบินไทย เริ่มจากเดือนมิ.ย.-ธ.ค.ปีนี้นั้น ได้การตอบรับจากสมาชิกผู้ถือบัตรเป็นอย่างมาก โดยระยะเวลา 4 เดือนที่ผ่านมา มียอดตั๋วรวมแล้วกว่า 1 พันใบ ขณะที่ยอดค่าใช้จ่ายต่อครั้งต่อคน จะอยู่ที่ 5-6 หมื่นบาท ซึ่งสูงกว่ายอดใช้จ่ายปกติที่จะอยู่ในระดับ 5-6 พันบาท/คนเท่านั้นิ นายสถาพร สิริสิงห์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส ฝ่ายการตลาดเพื่อการสันทนาการ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผย ็สยามธุรกิจ"
>> อิออน ชี้ไฮซีซั่นใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต
นายอภิชาต นันทเทิม ผู้อำนวยการ บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด มหาชน เปิดเผย ็สยามธุรกิจิ ว่า ในรอบ 3 เดือนสุดท้ายของทุกปี ถือเป็นช่วงจับจ่ายใช้สอยของทุกครัวเรือน เนื่องเพราะจะมีเทศกาลงานสำคัญ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลปีใหม่ ที่จะมีการใช้จ่ายซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค ของขวัญ หรือเพื่อการท่องเที่ยวกันเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ คาดว่าการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตก็จะเป็นอีกหนึ่งช่องทางการใช้เงิน ประกอบกับปัจจัยภายในประเทศหลายๆด้านเริ่มคลี่คลาย ส่งผลให้ความเชื่อมั่นในการจับจ่ายใช้สอยขอผู้บริโภคจะเริ่มกลับมาคึกคักขึ้นอีกครั้ง
"การใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของสถาบันการเงินแทบทุกแห่งในรอบปีที่ผ่านมาไม่ค่อยดีนัก เพราะคนไม่เชื่อมั่น แต่หลังจากเดือนนี้เป็นต้นไป เชื่อว่ากำลังซื้อจะเริ่มกลับคืนมา เพราะช่วงนี้ถือเป็นช่วงไฮซีซั่นของการใช้จ่ายผ่านบัตร"
อย่างไรก็ตาม นโยบายของบัตรเครดิต อิออน ยังคงยึดรูปแบบเดิม คือ ไม่เน้นการขยายฐานกลุ่มผู้ใช้มากนัก จากปัจจุบันมีกลุ่มผู้ถือบัตรเครดิตทุกประเภทรวม 1.6 ล้านใบ เพิ่มขึ้นประมาณ 1 แสนราย เทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว โดยสิทธิประโยชน์ของบัตรเครดิต อิออน นั้น จะมอบส่วนลด 5% ให้กับสมาชิกทุกวันที่ 1 และ 15 ของทุกเดือน รวมถึงให้แต้มสะสม 1 คะแนน เมื่อชอปครบ 100 บาท และรับคูปองส่วนลดพิเศษ สำหรับผู้ถือบัตร จัสโก้ เครดิตการ์ด กรณีใช้จ่ายที่จัสโก้ ซูเปอร์มาร์เก็ต
ขณะที่อัตราดอกเบี้ย ค่าปรับ และค่าธรรมเนียม ในการใช้บัตรเครดิต ยังคงยืนพื้นอยู่ในระดับเดิม คือ ค่าธรรมเนียมการเบิกถอนเงินสด 3% ระยะเวลาการชำระคืนแบบปลอดดอกเบี้ยที่ 52 วัน และค่าธรรมเนียมการใช้บัตร แบ่งเป็นบัตรหลัก ภายในประเทศ เก็บที่ 200 บาท/ปี ส่วนบัตรเสริม ที่ 100 บาท/ปี โดยไม่คิดค่าธรรมเนียมแรกเข้ากับบัตรทุกประเภท เอ็นพีแอลในส่วนของสมาชิกอยู่ที่ 3% ส่วนข้อพิพาทระหว่างบริษัทและผู้ถือบัตรนั้นน้อยมากในสัดส่วนไม่ถึง 1% นั่นเป็นเพราะนโยบายการบริหารจัดการที่รัดกุม ไม่มุ่งเน้นในเชิงปริมาณ แต่คำนึงถึงคุณภาพมากกว่า อภิชาติ ระบุ
>> "เซ็นทรัล การ์ด" ชูศูนย์กลางแหล่งชอปปิ้ง
ในรายของบัตร เซ็นทรัล คาร์ด ที่ถือเป็นบัตรเครดิตในกลุ่มค้าปลีก โดยมีค่าย จีอี แคปปิตอลฯ เป็นผู้ออกบัตรร่วมกับพันธมิตรมาสเตอร์คาร์ดนั้น นอกจากจะมีจุดเด่นเรื่องการมีเครือข่ายห้างเซ็นทรัล และร้านค้าในเครือ ทั้ง บีทูเอส โฮมเวิร์ค ซูเปอร์สปอร์ต เพาเวอร์บาย และห้างบิ๊กซี เป็นอาทิ ซึ่งจะมอบส่วนลดพิเศษให้กับกลุ่มผู้ถือบัตร 5-10% รวมถึงการคืนเงินเครดิต 1% ทุกการจับจ่ายแล้วในโอกาสครบรอบ 11 ปีของ ท็อป ซูเปอร์มาร์เก็ตที่ถือเป็นแบรนด์ในเครือเช่นกัน จึงได้มอบคูปองเงินสดมูลค่า 110 บาท ให้แก่ผู้ถือบัตร เซ็นทรัล คาร์ด กรณีชอปที่ ท็อปฯ ตั้งแต่ 1.5 พันบาทขึ้นไป รวมถึง กระตุ้นให้กลุ่มผู้ถือบัตรประเภทเซ็นทรัล มาสเตอร์คาร์ด แพลตตินั่ม ให้จับจ่ายต่อวันมากที่สุด โดยจะมีรางวัลกล้องถ่ายรูปดิจิตอล ซัมซุง 6 in 1 มูลค่า 1.29 หมื่นบาท ให้ทุกวัน รวมทั้งสิ้น45 รางวัล ซึ่งจะจัดไปจนถึง 30 ต.ค.ศกนี้
นอกจากนี้ กรณีใช้จ่ายบัตรเซ็นทรัล การ์ด ผ่านร้าน ซูเปอร์ สปอร์ต ทุกๆ 500 บาท ยังจะได้ลุ้นรับสิทธิ์เข้าชมการแข่งขันกอล์ฟ พีจีเอ ที่สนาม Hualalai Golf Club ที่ฮาวาย รวมทั้งสิ้น 3 รางวัล ซึ่งจะจัดไปจนถึง 31 ธ.ค.ศกนี้
>> "ยูโอบี" มอบแต้มสมาชิกใหม่หมื่นคะแนน
แบงก์ต่างชาติรายใหม่อีกแห่ง ยูโอบี ก็ดูจะเร่งเครื่องขยายฐานผู้ถือบัตรรายใหม่ในช่วงระยะเวลาที่เหลืออย่างหนักหน่วง นอกจากการปูพรมเปิดบูธรับสมัครในโมเดิร์นเทรด อาคารสำนักงาน และผ่านช่องทางเทเล มาร์เก็ตติ้งแล้ว การมอบสิทธิประโยชน์ในเรื่องอัตราค่าธรรมเนียมดอกเบี้ย และคะแนะสะสม เพื่อแลกซื้อของพรีเมี่ยม ก็เป็นอีกหนึ่งแม่เหล็กที่ถูกนำมาใช้ดึงดูดสมาชิกใหม่ โดยในส่วนแรก ได้นำเสนออัตราดอกเบี้ย 9.99% ต่อปี ใน 3 เดือนแรก และ MRR+ 6.5% ต่อปี สำหรับ 24 เดือนถัดไป จากนั้นคิดดอกเบี้ยที่ 18% ต่อปี ขณะที่ ส่วนที่สอง จะมอบให้ทันที กรณีสมัครบัตรแพลตตินั่ม วีซ่าหรือมาสเตอร์การ์ด รับคะแนนสะสมยูโอบี รีวอร์ด 1 หมื่นคะแนน ส่วนบัตรโกลด์หรือบัตรคลาสสิค วีซ่าหรือมาสเตอร์การ์ด รับแต้มที่ 5 พันคะแนน เพื่อรับของสมนาคุณ จากแคตตาล็อก ที่ทางธนาคารจัดสรรไว้ให้ แต่ทั้งนี้ จำเป็นจะต้องมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรตั้งแต่ 5 พันบาทขึ้นไป ภายในระยะเวลา 60 วัน นับจากวันที่ได้รับการอนุมัติ
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... ws_id=7689
> ค่ายอิออนชูสิทธิประโยชน์ 3 เด้ง
เซ็นทรัลจัดรายการรูดลุ้นรางวัลกลุ่มธนาคารนอนแบงก์ โหมแคมเปญกระตุ้น จับจ่ายผ่านบัตรเครดิต KTC อัดโปรแกรมท่องเที่ยว ดึงพันธมิตร การบินไทย จัดโปรโมชั่นซื้อ 1 แถม 1 หลังยอดรูดพุ่ง 10 เท่า อิออน ชี้ช่วงนาทีทอง ไฮซีซั่นใช้จ่าย ชูแคมเปญมอบสิทธิประโยชน์ 3 เด้ง ส่วนลด แต้มสะสม คูปองเงินสด ดูดสมาชิกเพิ่ม ขณะที่บัตรห้าง เซ็นทรัล การ์ด มอบฟรีกล้องดิจิตอล 1.3 หมื่นบาท กรณีมียอดซื้อสูงสุดของวัน แบงก์ต่างชาติ ยูโอบี หั่นดอกเบี้ยเกือบครึ่ง พร้อมมอบแต้มสะสมทันที 1 หมื่นคะแนน จูงใจเมมเบอร์ใหม่
แม้จะมีกรณีข้อพิพาทระหว่างสถาบันการเงินผู้ออก บัตรเครดิต ทั้งในกลุ่มธนาคารและนอนแบงก์ กับกลุ่มผู้ ใช้บริการ จะก่อให้เกิดความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจต่อกัน อันเป็น ผลจากการติดตามทวงหนี้ของ บริษัทในเครือผู้รับงาน ที่ใช้วิธี การหลากหลายรูปแบบ บางกรณีถึงขั้นเข้าข่ายละเมิดสิทธิ ส่วนบุคคล ส่งผลถึงการยื่นมือ เข้ามาช่วยเหลือของธนาคาร แห่งประเทศไทย ที่ได้วางกรอบกำหนดมาตรการการปฏิบัติต่อลูกหนี้อย่างเป็นธรรมแล้วนั้น ทว่าในช่วงโค้งสุดท้าย สถาบันการเงินผู้ให้บริการ กลับยิ่งแข่งขันจัดโปรโมชั่น อัดสิทธิประโยชน์ เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านบัตร และจูงใจกลุ่มเป้าหมาย ให้เข้ามาสมัครเป็นสมาชิกใหม่
>> KTC อัดแคมเปญ ท่องเที่ยวซื้อ 1 แถม 1
ค่ายนอนแบงก์ เคทีซี ค่อนข้างจะให้ความสำคัญกับ การกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตแต่ละประเภท ผ่านแคมเปญการท่องเที่ยวอยู่ไม่น้อย สะท้อนจากการจัดโปรโมชั่นบัตร KTC Titanium Master Card สำหรับ บัตร Generic Card ที่จะมอบ คะแนนสะสมเพิ่มเป็น 2 เท่า กรณีใช้บัตรเครดิตประเภทดังกล่าวช็อปที่ประเทศฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย เช่นเดียวกับการใช้บัตรเคทีซี วีซ่าหรือมาสเตอร์การ์ด โกลด์ ซื้อตั๋วเครื่องบินภายในประเทศ จะได้รับส่วนลด 7% พร้อมกับการมอบสิทธิประโยชน์ประกันภัยอุบัติเหตุการเดินทาง ความคุ้มครองสูงสุด 4 ล้านบาท กรณีประสบเหตุระหว่างเดินทาง
ขณะเดียวกัน ยังได้เข้าร่วมจัดแคมเปญในงาน ็เทศกาลท่องนิวซีแลนด์ ที่จะมีจนถึง 14 ต.ค.นี้ โดยมอบสิทธิพิเศษให้กับสมาชิกผู้ถือบัตร หากซื้อตั๋วเครื่องบินการบินไทยชั้นบิสซิเนสหรือเฟิร์สคลาส ไป-กลับ กรุงเทพฯ-โอ๊คแลนด์ 1 ที่ รับฟรีอีก 1 ที่ ทันที นอกจากนี้ ได้จัดโปรโมชั่นร่วมกับพันธมิตรศูนย์การค้า ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต สำหรับบัตรบัตร KTC Future Titanium Master Card มอบเงื่อนไขฟรีค่าธรรมเนียมแรกเข้า และรายปีตลอดชีพ รวมถึงการมอบสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าใหม่ 3 ต่อ คือ กระเป๋าเดินทาง มูลค่า 1,590 บาท รับสิทธิ์ซื้อตั๋วเครื่องบินไป-กลับ กรุงเทพฯ-ภูเก็ต 2 ที่นั่ง ราคาเพียง 12,100 บาท และรับสิทธิ์จองห้องพักโรงแรมและรีสอร์ตหรูทั่วประเทศ ราคาเริ่มต้นที่ 1.3 พันบาท
"แคมเปญด้านการท่องเที่ยวเราได้จับมือร่วมกับการบินไทย เริ่มจากเดือนมิ.ย.-ธ.ค.ปีนี้นั้น ได้การตอบรับจากสมาชิกผู้ถือบัตรเป็นอย่างมาก โดยระยะเวลา 4 เดือนที่ผ่านมา มียอดตั๋วรวมแล้วกว่า 1 พันใบ ขณะที่ยอดค่าใช้จ่ายต่อครั้งต่อคน จะอยู่ที่ 5-6 หมื่นบาท ซึ่งสูงกว่ายอดใช้จ่ายปกติที่จะอยู่ในระดับ 5-6 พันบาท/คนเท่านั้นิ นายสถาพร สิริสิงห์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส ฝ่ายการตลาดเพื่อการสันทนาการ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผย ็สยามธุรกิจ"
>> อิออน ชี้ไฮซีซั่นใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต
นายอภิชาต นันทเทิม ผู้อำนวยการ บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด มหาชน เปิดเผย ็สยามธุรกิจิ ว่า ในรอบ 3 เดือนสุดท้ายของทุกปี ถือเป็นช่วงจับจ่ายใช้สอยของทุกครัวเรือน เนื่องเพราะจะมีเทศกาลงานสำคัญ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลปีใหม่ ที่จะมีการใช้จ่ายซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค ของขวัญ หรือเพื่อการท่องเที่ยวกันเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ คาดว่าการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตก็จะเป็นอีกหนึ่งช่องทางการใช้เงิน ประกอบกับปัจจัยภายในประเทศหลายๆด้านเริ่มคลี่คลาย ส่งผลให้ความเชื่อมั่นในการจับจ่ายใช้สอยขอผู้บริโภคจะเริ่มกลับมาคึกคักขึ้นอีกครั้ง
"การใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของสถาบันการเงินแทบทุกแห่งในรอบปีที่ผ่านมาไม่ค่อยดีนัก เพราะคนไม่เชื่อมั่น แต่หลังจากเดือนนี้เป็นต้นไป เชื่อว่ากำลังซื้อจะเริ่มกลับคืนมา เพราะช่วงนี้ถือเป็นช่วงไฮซีซั่นของการใช้จ่ายผ่านบัตร"
อย่างไรก็ตาม นโยบายของบัตรเครดิต อิออน ยังคงยึดรูปแบบเดิม คือ ไม่เน้นการขยายฐานกลุ่มผู้ใช้มากนัก จากปัจจุบันมีกลุ่มผู้ถือบัตรเครดิตทุกประเภทรวม 1.6 ล้านใบ เพิ่มขึ้นประมาณ 1 แสนราย เทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว โดยสิทธิประโยชน์ของบัตรเครดิต อิออน นั้น จะมอบส่วนลด 5% ให้กับสมาชิกทุกวันที่ 1 และ 15 ของทุกเดือน รวมถึงให้แต้มสะสม 1 คะแนน เมื่อชอปครบ 100 บาท และรับคูปองส่วนลดพิเศษ สำหรับผู้ถือบัตร จัสโก้ เครดิตการ์ด กรณีใช้จ่ายที่จัสโก้ ซูเปอร์มาร์เก็ต
ขณะที่อัตราดอกเบี้ย ค่าปรับ และค่าธรรมเนียม ในการใช้บัตรเครดิต ยังคงยืนพื้นอยู่ในระดับเดิม คือ ค่าธรรมเนียมการเบิกถอนเงินสด 3% ระยะเวลาการชำระคืนแบบปลอดดอกเบี้ยที่ 52 วัน และค่าธรรมเนียมการใช้บัตร แบ่งเป็นบัตรหลัก ภายในประเทศ เก็บที่ 200 บาท/ปี ส่วนบัตรเสริม ที่ 100 บาท/ปี โดยไม่คิดค่าธรรมเนียมแรกเข้ากับบัตรทุกประเภท เอ็นพีแอลในส่วนของสมาชิกอยู่ที่ 3% ส่วนข้อพิพาทระหว่างบริษัทและผู้ถือบัตรนั้นน้อยมากในสัดส่วนไม่ถึง 1% นั่นเป็นเพราะนโยบายการบริหารจัดการที่รัดกุม ไม่มุ่งเน้นในเชิงปริมาณ แต่คำนึงถึงคุณภาพมากกว่า อภิชาติ ระบุ
>> "เซ็นทรัล การ์ด" ชูศูนย์กลางแหล่งชอปปิ้ง
ในรายของบัตร เซ็นทรัล คาร์ด ที่ถือเป็นบัตรเครดิตในกลุ่มค้าปลีก โดยมีค่าย จีอี แคปปิตอลฯ เป็นผู้ออกบัตรร่วมกับพันธมิตรมาสเตอร์คาร์ดนั้น นอกจากจะมีจุดเด่นเรื่องการมีเครือข่ายห้างเซ็นทรัล และร้านค้าในเครือ ทั้ง บีทูเอส โฮมเวิร์ค ซูเปอร์สปอร์ต เพาเวอร์บาย และห้างบิ๊กซี เป็นอาทิ ซึ่งจะมอบส่วนลดพิเศษให้กับกลุ่มผู้ถือบัตร 5-10% รวมถึงการคืนเงินเครดิต 1% ทุกการจับจ่ายแล้วในโอกาสครบรอบ 11 ปีของ ท็อป ซูเปอร์มาร์เก็ตที่ถือเป็นแบรนด์ในเครือเช่นกัน จึงได้มอบคูปองเงินสดมูลค่า 110 บาท ให้แก่ผู้ถือบัตร เซ็นทรัล คาร์ด กรณีชอปที่ ท็อปฯ ตั้งแต่ 1.5 พันบาทขึ้นไป รวมถึง กระตุ้นให้กลุ่มผู้ถือบัตรประเภทเซ็นทรัล มาสเตอร์คาร์ด แพลตตินั่ม ให้จับจ่ายต่อวันมากที่สุด โดยจะมีรางวัลกล้องถ่ายรูปดิจิตอล ซัมซุง 6 in 1 มูลค่า 1.29 หมื่นบาท ให้ทุกวัน รวมทั้งสิ้น45 รางวัล ซึ่งจะจัดไปจนถึง 30 ต.ค.ศกนี้
นอกจากนี้ กรณีใช้จ่ายบัตรเซ็นทรัล การ์ด ผ่านร้าน ซูเปอร์ สปอร์ต ทุกๆ 500 บาท ยังจะได้ลุ้นรับสิทธิ์เข้าชมการแข่งขันกอล์ฟ พีจีเอ ที่สนาม Hualalai Golf Club ที่ฮาวาย รวมทั้งสิ้น 3 รางวัล ซึ่งจะจัดไปจนถึง 31 ธ.ค.ศกนี้
>> "ยูโอบี" มอบแต้มสมาชิกใหม่หมื่นคะแนน
แบงก์ต่างชาติรายใหม่อีกแห่ง ยูโอบี ก็ดูจะเร่งเครื่องขยายฐานผู้ถือบัตรรายใหม่ในช่วงระยะเวลาที่เหลืออย่างหนักหน่วง นอกจากการปูพรมเปิดบูธรับสมัครในโมเดิร์นเทรด อาคารสำนักงาน และผ่านช่องทางเทเล มาร์เก็ตติ้งแล้ว การมอบสิทธิประโยชน์ในเรื่องอัตราค่าธรรมเนียมดอกเบี้ย และคะแนะสะสม เพื่อแลกซื้อของพรีเมี่ยม ก็เป็นอีกหนึ่งแม่เหล็กที่ถูกนำมาใช้ดึงดูดสมาชิกใหม่ โดยในส่วนแรก ได้นำเสนออัตราดอกเบี้ย 9.99% ต่อปี ใน 3 เดือนแรก และ MRR+ 6.5% ต่อปี สำหรับ 24 เดือนถัดไป จากนั้นคิดดอกเบี้ยที่ 18% ต่อปี ขณะที่ ส่วนที่สอง จะมอบให้ทันที กรณีสมัครบัตรแพลตตินั่ม วีซ่าหรือมาสเตอร์การ์ด รับคะแนนสะสมยูโอบี รีวอร์ด 1 หมื่นคะแนน ส่วนบัตรโกลด์หรือบัตรคลาสสิค วีซ่าหรือมาสเตอร์การ์ด รับแต้มที่ 5 พันคะแนน เพื่อรับของสมนาคุณ จากแคตตาล็อก ที่ทางธนาคารจัดสรรไว้ให้ แต่ทั้งนี้ จำเป็นจะต้องมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรตั้งแต่ 5 พันบาทขึ้นไป ภายในระยะเวลา 60 วัน นับจากวันที่ได้รับการอนุมัติ
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... ws_id=7689
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news13/10/07
โพสต์ที่ 208
ธปท.ถอดใจกม.เงินตรา
โพสต์ทูเดย์ ธาริษา ถอดใจโยน รมว.คลัง ตัดสินใจแก้ พ.ร.บ.เงินตรา ตามใจชอบ
นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ถึงตอนนี้การจะเสนอ พ.ร.บ.เงินตรา (ฉบับที่...) พ.ศ. ... ให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาอีกครั้งหรือไม่ ต้องไปถาม นาย ฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.คลัง ว่าจะเอาอย่างไร ธปท.หมดหน้าที่แล้ว
ที่ผ่านมา ธปท.ได้ช่วยอธิบายถึงเหตุผลการแก้ไข พ.ร.บ.เงินตรา ให้ ทุกฝ่ายเข้าใจแล้วว่า จะส่งผลดีกับการบริหารเงินคลังหลวงและทุนสำรองอย่างไรบ้าง แต่หากจะมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของกฎหมายก็เป็นหน้าที่ของ รมว.คลัง จะดำเนินการได้ตามที่ต้องการ
ความจริงแล้วนั้น การบริหารเงินคลังหลวงเป็นเรื่องของคลังที่ต้องดูแล ธปท.เป็นเพียงผู้ทำหน้าที่บริหารแทนเท่านั้น ดังนั้น กระทรวงการคลังจะทำอย่างไรกับกฎหมายฉบับนี้ก็เป็นหน้าที่ของกระทรวงการคลังที่จะพิจารณา นางธาริษา กล่าว
แหล่งข่าวกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า ถึงตอนนี้มีความเป็นไปได้สูงที่นายฉลองภพอาจจะตัดสินใจไม่เสนอร่าง พ.ร.บ.เงินตรา ให้ สนช.พิจารณาแล้ว จากที่ก่อนหน้าได้ออกมาเปิดเผยว่า จะพยายามเสนอให้ สนช.พิจารณาอีกครั้งภายในปลายเดือนนี้ หรือ ต้นเดือนหน้า
เนื่องจากเห็นว่า หากต้องตัดมาตรา 16 ในร่าง พ.ร.บ.แก้ไข ตามข้อ เรียกร้อง ก็เท่ากับว่าทำให้สาระสำคัญของการแก้ไขกฎหมายจะไม่เหลือ อยู่เลย จึงไม่จำเป็นต้องแก้ไข ใช้กฎหมายเดิมที่มีอยู่ก็ไม่ต่างกันมาก
ทั้งนี้ นายฉลองภพได้ดึงกฎหมายฉบับนี้ออกจากการพิจารณาของ สนช.แล้ว 4 ครั้ง
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า หากตัดมาตรา 16 ออก การแก้ไขกฎหมาย จะเหลือสาระสำคัญที่เหลืออยู่เพียงการเปลี่ยนแปลงการบันทึกบัญชี ที่ให้บันทึกผลกำไรขาดทุนที่เกิดขึ้นจริงในบัญชีผลประโยชน์ประจำปี และกำไรขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง หรือเป็นการขาดทุนกำไรทางบัญชีให้บันทึกในบัญชีสำรองพิเศษ แต่อำนาจในการบริหารจัดการต่างๆ จะไม่มีแล้ว ซึ่งเท่ากับตัดสาระสำคัญที่เป็นหัวใจของกฎหมายฉบับนี้
ถ้า สนช.คัดค้านเรื่องนี้ นาย ฉลองภพก็ดึงออกมา แล้วดันกฎหมายฉบับอื่นเข้าไปก่อน แหล่งข่าวเปิดเผย
นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธปท. ได้ออกมากล่าวว่า การตัดมาตรา 16 ออก จะทำให้อำนาจการบริหารเงินทุนสำรองกลับไปเหมือนเดิม ได้ผลตอบแทนต่ำ ไม่เพียงพอใช้หนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูที่มีจำนวนมาก ในที่สุดเป็นภาระกับกระทรวงการคลังที่ต้องใช้เงินภาษีมาจ่ายดอกเบี้ยในแต่ละปี
ขณะที่นายสมหมาย ภาษี รมช.คลัง ก็สนับสนุน โดยระบุว่า ในแต่ละปี รัฐบาลต้องตั้งงบประมาณถึง 6 หมื่นล้านบาท เพื่อชำระดอกเบี้ยให้กองทุนฟื้นฟูฯ ในขณะที่หนี้เงินต้นก็ไม่ลดลง เพราะ ธปท.ขาดทุนสะสมทางบัญชี โดยที่ผ่านมารัฐบาลใช้งบไป ถึง 4.5 แสนล้านบาท เพื่อจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ของกองทุนฟื้นฟูฯ และจะต้องจ่ายอีกจำนวนมากหากไม่มีการแก้ไขกฎหมาย
นางสุชาดา กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการแก้ไข พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทยนั้น ขณะนี้อยู่ในชั้นของการหารือกับคณะกรรมาธิการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อชี้แจงให้เห็นถึงความสำคัญในการออกฎหมาย
นางสุชาดา กล่าวต่อว่า ธปท.ได้ยืนยันถึงความจำเป็นให้ สนช.ฟังแล้วว่ามีความจำเป็น เพราะ 1.เป็นเครื่องมือในการดูแล ตามวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนขึ้น 2.ความจำเป็นด้านอำนาจหน้าที่ ที่ชัดเจน ตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจ ผู้ว่าการ ธปท.ได้ 3.การกำหนดอำนาจของรัฐบาลที่ชัดเจนขึ้นในการดูแลเศรษฐกิจทั้งในภาวะปกติและภาวะ ไม่ปกติ ดังนั้น จึงต้องการให้ผ่าน ทันสมัยประชุมนี้
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=197201
โพสต์ทูเดย์ ธาริษา ถอดใจโยน รมว.คลัง ตัดสินใจแก้ พ.ร.บ.เงินตรา ตามใจชอบ
นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ถึงตอนนี้การจะเสนอ พ.ร.บ.เงินตรา (ฉบับที่...) พ.ศ. ... ให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาอีกครั้งหรือไม่ ต้องไปถาม นาย ฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.คลัง ว่าจะเอาอย่างไร ธปท.หมดหน้าที่แล้ว
ที่ผ่านมา ธปท.ได้ช่วยอธิบายถึงเหตุผลการแก้ไข พ.ร.บ.เงินตรา ให้ ทุกฝ่ายเข้าใจแล้วว่า จะส่งผลดีกับการบริหารเงินคลังหลวงและทุนสำรองอย่างไรบ้าง แต่หากจะมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของกฎหมายก็เป็นหน้าที่ของ รมว.คลัง จะดำเนินการได้ตามที่ต้องการ
ความจริงแล้วนั้น การบริหารเงินคลังหลวงเป็นเรื่องของคลังที่ต้องดูแล ธปท.เป็นเพียงผู้ทำหน้าที่บริหารแทนเท่านั้น ดังนั้น กระทรวงการคลังจะทำอย่างไรกับกฎหมายฉบับนี้ก็เป็นหน้าที่ของกระทรวงการคลังที่จะพิจารณา นางธาริษา กล่าว
แหล่งข่าวกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า ถึงตอนนี้มีความเป็นไปได้สูงที่นายฉลองภพอาจจะตัดสินใจไม่เสนอร่าง พ.ร.บ.เงินตรา ให้ สนช.พิจารณาแล้ว จากที่ก่อนหน้าได้ออกมาเปิดเผยว่า จะพยายามเสนอให้ สนช.พิจารณาอีกครั้งภายในปลายเดือนนี้ หรือ ต้นเดือนหน้า
เนื่องจากเห็นว่า หากต้องตัดมาตรา 16 ในร่าง พ.ร.บ.แก้ไข ตามข้อ เรียกร้อง ก็เท่ากับว่าทำให้สาระสำคัญของการแก้ไขกฎหมายจะไม่เหลือ อยู่เลย จึงไม่จำเป็นต้องแก้ไข ใช้กฎหมายเดิมที่มีอยู่ก็ไม่ต่างกันมาก
ทั้งนี้ นายฉลองภพได้ดึงกฎหมายฉบับนี้ออกจากการพิจารณาของ สนช.แล้ว 4 ครั้ง
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า หากตัดมาตรา 16 ออก การแก้ไขกฎหมาย จะเหลือสาระสำคัญที่เหลืออยู่เพียงการเปลี่ยนแปลงการบันทึกบัญชี ที่ให้บันทึกผลกำไรขาดทุนที่เกิดขึ้นจริงในบัญชีผลประโยชน์ประจำปี และกำไรขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง หรือเป็นการขาดทุนกำไรทางบัญชีให้บันทึกในบัญชีสำรองพิเศษ แต่อำนาจในการบริหารจัดการต่างๆ จะไม่มีแล้ว ซึ่งเท่ากับตัดสาระสำคัญที่เป็นหัวใจของกฎหมายฉบับนี้
ถ้า สนช.คัดค้านเรื่องนี้ นาย ฉลองภพก็ดึงออกมา แล้วดันกฎหมายฉบับอื่นเข้าไปก่อน แหล่งข่าวเปิดเผย
นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธปท. ได้ออกมากล่าวว่า การตัดมาตรา 16 ออก จะทำให้อำนาจการบริหารเงินทุนสำรองกลับไปเหมือนเดิม ได้ผลตอบแทนต่ำ ไม่เพียงพอใช้หนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูที่มีจำนวนมาก ในที่สุดเป็นภาระกับกระทรวงการคลังที่ต้องใช้เงินภาษีมาจ่ายดอกเบี้ยในแต่ละปี
ขณะที่นายสมหมาย ภาษี รมช.คลัง ก็สนับสนุน โดยระบุว่า ในแต่ละปี รัฐบาลต้องตั้งงบประมาณถึง 6 หมื่นล้านบาท เพื่อชำระดอกเบี้ยให้กองทุนฟื้นฟูฯ ในขณะที่หนี้เงินต้นก็ไม่ลดลง เพราะ ธปท.ขาดทุนสะสมทางบัญชี โดยที่ผ่านมารัฐบาลใช้งบไป ถึง 4.5 แสนล้านบาท เพื่อจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ของกองทุนฟื้นฟูฯ และจะต้องจ่ายอีกจำนวนมากหากไม่มีการแก้ไขกฎหมาย
นางสุชาดา กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการแก้ไข พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทยนั้น ขณะนี้อยู่ในชั้นของการหารือกับคณะกรรมาธิการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อชี้แจงให้เห็นถึงความสำคัญในการออกฎหมาย
นางสุชาดา กล่าวต่อว่า ธปท.ได้ยืนยันถึงความจำเป็นให้ สนช.ฟังแล้วว่ามีความจำเป็น เพราะ 1.เป็นเครื่องมือในการดูแล ตามวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนขึ้น 2.ความจำเป็นด้านอำนาจหน้าที่ ที่ชัดเจน ตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจ ผู้ว่าการ ธปท.ได้ 3.การกำหนดอำนาจของรัฐบาลที่ชัดเจนขึ้นในการดูแลเศรษฐกิจทั้งในภาวะปกติและภาวะ ไม่ปกติ ดังนั้น จึงต้องการให้ผ่าน ทันสมัยประชุมนี้
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=197201
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news13/10/07
โพสต์ที่ 209
ธปท.รายงานยอดบัตรเครดิตชะลอตัวต่อเนื่อง 13 เดือนแล้ว
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 11 ตุลาคม 2550 18:56 น.
ธปท.รายงานจำนวนบัตรเครดิต ณ เดือน ส.ค.50 พบมีจำนวนทั้งสิ้นกว่า 11 ล้านบาท เป็นบัตรใหม่ 95,041 บัตร แต่ยังถือว่าเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 ขณะที่ยอดสินเชื่อคงค้างกลับลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อน ส่วนการใช้จ่ายผ่านบัตรมีกว่า 69,000 ล้าบาท เพิ่มขึ้นแค่ร้อยละ 2.39 เท่านั้น
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) gzpรายงานตัวเลขธุรกิจบัตรเครดิตล่าสุดสิ้นเดือน ส.ค.50 ระบุว่า จำนวนใช้บัตรเครดิตมีจำนวนทั้งสิ้น 11,396,027 บัตร เพิ่มขึ้น 95,041 บัตร หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.84 เทียบกับเดือนก่อนหน้าถือเป็นการเพิ่มขึ้นของจำนวนบัตรเครดิตที่ชะลอตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 โดยแยกเป็นบัตรเครดิตของธนาคารพาณิชย์ 4,539,700 ล้านบัตร เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 50,637 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.27 บัตรเครดิตสาขาธนาคารต่างประเทศ 1,270,383 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6,768 ล้านบัตร หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.53 และเป็นบัตรเครดิตของบริษัทประกอบธุรกิจบัตรเครดิตที่มิใช่สถาบันการเงิน 5,585,944 ล้านบัตร เพิ่มขึ้น 37,636 ล้านบัตร หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.67
ขณะเดียวกัน ยอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตในเดือนนี้กลับมีจำนวนลดลง 896.59 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 0.52 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า โดยมียอดสินเชื่อคงค้างทั้งสิ้น 168,763.24 ล้านบาท แบ่งเป็นสินเชื่อบัตรเครดิตของธนาคารพาณิชย์ไทย 57,720.01 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 155.67 ล้านบาท สินเชื่อบัตรเครดิตของธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ 34,287 0.6 ล้านบาท ลดลงจากเดือนก่อนหน้า 118.28 ล้านบาท ขณะที่เป็นสินเชื่อบัตรเครดิตของบริษัทประกอบธุรกิจบัตรเครดิตที่มิใช่สถาบันการเงิน 76,756.17 ล้านบาท ลดลงจากเดือนก่อนหน้า 927.98 ล้านบาท ทั้งนี้ เนื่องจาก ธปท.ได้เพิ่มวงเงินการผ่อนชำระรายเดือน จากร้อยละ 5 ของวงเงินสินเชื่อเป็นร้อยละ 10 ของวงเงินสินเชื่อ ประกอบกับบัตรเครดิตจำนวนหนึ่งได้มีการก่อหนี้จนเต็มวงเงินแล้วไม่สามารถที่จะก่อหนี้เพิ่มขึ้นได้อีกขณะเดียวกัน ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ทำให้คนลดการบริโภคและใช้จ่ายลง
อย่างไรก็ตาม ปริมาณการใช้จ่ายในประเทศโดยรวมของผู้บริโภคบัตรเครดิตในเดือน ส.ค. ยังคงเพิ่มขึ้นในลักษณะที่ชะลอตัวลงโดยมียอดการใช้จ่ายทั้งสิ้น 69,911.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 1,635.52 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.39 โดยเป็นปริมาณการใช้จ่ายในประเทศลดลง 50,393.55 ล้านบาท เมื่อเทียบกับเดือนก่อนลดลง 137.35 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 0.27 ขณะที่ปริมาณการใช้จ่ายในต่างประเทศมีจำนวนลดลงเช่นกันโดยลดลง 2,437.76 ล้านบาท และเมื่อเทียบกับเดือนก่อนลดลง 380.39 ล้านบาท หรือลดลง13.4% การเบิกจ่ายล่วงหน้ามีจำนวน 1,878.56 ล้านบาท ลดลงจากเดือนก่อน 1,878.56 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 12.35
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000120744
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 11 ตุลาคม 2550 18:56 น.
ธปท.รายงานจำนวนบัตรเครดิต ณ เดือน ส.ค.50 พบมีจำนวนทั้งสิ้นกว่า 11 ล้านบาท เป็นบัตรใหม่ 95,041 บัตร แต่ยังถือว่าเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 ขณะที่ยอดสินเชื่อคงค้างกลับลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อน ส่วนการใช้จ่ายผ่านบัตรมีกว่า 69,000 ล้าบาท เพิ่มขึ้นแค่ร้อยละ 2.39 เท่านั้น
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) gzpรายงานตัวเลขธุรกิจบัตรเครดิตล่าสุดสิ้นเดือน ส.ค.50 ระบุว่า จำนวนใช้บัตรเครดิตมีจำนวนทั้งสิ้น 11,396,027 บัตร เพิ่มขึ้น 95,041 บัตร หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.84 เทียบกับเดือนก่อนหน้าถือเป็นการเพิ่มขึ้นของจำนวนบัตรเครดิตที่ชะลอตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 โดยแยกเป็นบัตรเครดิตของธนาคารพาณิชย์ 4,539,700 ล้านบัตร เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 50,637 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.27 บัตรเครดิตสาขาธนาคารต่างประเทศ 1,270,383 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6,768 ล้านบัตร หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.53 และเป็นบัตรเครดิตของบริษัทประกอบธุรกิจบัตรเครดิตที่มิใช่สถาบันการเงิน 5,585,944 ล้านบัตร เพิ่มขึ้น 37,636 ล้านบัตร หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.67
ขณะเดียวกัน ยอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตในเดือนนี้กลับมีจำนวนลดลง 896.59 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 0.52 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า โดยมียอดสินเชื่อคงค้างทั้งสิ้น 168,763.24 ล้านบาท แบ่งเป็นสินเชื่อบัตรเครดิตของธนาคารพาณิชย์ไทย 57,720.01 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 155.67 ล้านบาท สินเชื่อบัตรเครดิตของธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ 34,287 0.6 ล้านบาท ลดลงจากเดือนก่อนหน้า 118.28 ล้านบาท ขณะที่เป็นสินเชื่อบัตรเครดิตของบริษัทประกอบธุรกิจบัตรเครดิตที่มิใช่สถาบันการเงิน 76,756.17 ล้านบาท ลดลงจากเดือนก่อนหน้า 927.98 ล้านบาท ทั้งนี้ เนื่องจาก ธปท.ได้เพิ่มวงเงินการผ่อนชำระรายเดือน จากร้อยละ 5 ของวงเงินสินเชื่อเป็นร้อยละ 10 ของวงเงินสินเชื่อ ประกอบกับบัตรเครดิตจำนวนหนึ่งได้มีการก่อหนี้จนเต็มวงเงินแล้วไม่สามารถที่จะก่อหนี้เพิ่มขึ้นได้อีกขณะเดียวกัน ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ทำให้คนลดการบริโภคและใช้จ่ายลง
อย่างไรก็ตาม ปริมาณการใช้จ่ายในประเทศโดยรวมของผู้บริโภคบัตรเครดิตในเดือน ส.ค. ยังคงเพิ่มขึ้นในลักษณะที่ชะลอตัวลงโดยมียอดการใช้จ่ายทั้งสิ้น 69,911.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 1,635.52 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.39 โดยเป็นปริมาณการใช้จ่ายในประเทศลดลง 50,393.55 ล้านบาท เมื่อเทียบกับเดือนก่อนลดลง 137.35 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 0.27 ขณะที่ปริมาณการใช้จ่ายในต่างประเทศมีจำนวนลดลงเช่นกันโดยลดลง 2,437.76 ล้านบาท และเมื่อเทียบกับเดือนก่อนลดลง 380.39 ล้านบาท หรือลดลง13.4% การเบิกจ่ายล่วงหน้ามีจำนวน 1,878.56 ล้านบาท ลดลงจากเดือนก่อน 1,878.56 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 12.35
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000120744
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news13/10/07
โพสต์ที่ 210
ไทยธนาคารเพิ่มทุน7พันล.
นายฐาภพ คลี่สุวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโส สำนักกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยธนาคาร เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการธนาคารมีมติให้เพิ่มทุน 4,449 ล้านหุ้น ขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมที่มีชื่อในสมุดทะเบียนในวันที่ 26 ต.ค.นี้ ในสัดส่วน 1 หุ้นเดิม ต่อ 2 หุ้นใหม่ ในราคาหุ้นละ 1.73 บาท เพื่อนำเงินที่ได้ไปสร้างความแข็งแกร่งให้ธนาคาร รวมถึงมีศักยภาพในการแข่งขันกับสถาบันการเงินอื่นได้
ทั้งนี้ธนาคารจะเสนอขายให้ผู้ถือหุ้นเดิมกว่า 2,000 ล้านหุ้น ในอัตรา 1 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่แล้ว คณะกรรมการธนาคารจึงมีมติเพิ่มทุนใหม่อีกครั้ง ซึ่งจะเสนอให้ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น เพื่อขออนุมัติจัดสรรหุ้นที่เหลือจากการเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น เพื่อเสนอขายให้แก่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน และกลุ่มทีพีจี นิวบริดส์ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของธนาคาร
รายงานข่าวกล่าวว่า การเพิ่มทุนดังกล่าวนี้จะได้เงินมากกว่า 7,000 ล้านบาท ทางธนาคารจะนำมาใช้ในการกันสำรอง.
http://www.dailynews.co.th/web/html/pop ... Template=1
นายฐาภพ คลี่สุวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโส สำนักกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยธนาคาร เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการธนาคารมีมติให้เพิ่มทุน 4,449 ล้านหุ้น ขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมที่มีชื่อในสมุดทะเบียนในวันที่ 26 ต.ค.นี้ ในสัดส่วน 1 หุ้นเดิม ต่อ 2 หุ้นใหม่ ในราคาหุ้นละ 1.73 บาท เพื่อนำเงินที่ได้ไปสร้างความแข็งแกร่งให้ธนาคาร รวมถึงมีศักยภาพในการแข่งขันกับสถาบันการเงินอื่นได้
ทั้งนี้ธนาคารจะเสนอขายให้ผู้ถือหุ้นเดิมกว่า 2,000 ล้านหุ้น ในอัตรา 1 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่แล้ว คณะกรรมการธนาคารจึงมีมติเพิ่มทุนใหม่อีกครั้ง ซึ่งจะเสนอให้ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น เพื่อขออนุมัติจัดสรรหุ้นที่เหลือจากการเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น เพื่อเสนอขายให้แก่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน และกลุ่มทีพีจี นิวบริดส์ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของธนาคาร
รายงานข่าวกล่าวว่า การเพิ่มทุนดังกล่าวนี้จะได้เงินมากกว่า 7,000 ล้านบาท ทางธนาคารจะนำมาใช้ในการกันสำรอง.
http://www.dailynews.co.th/web/html/pop ... Template=1