สื่อสารและเทคโนโลยี
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news10/09/07
โพสต์ที่ 61
บีโอไอเผยลงทุน ซอฟต์แวร์ ขยายตัว
นายสาธิต ชาญเชาวน์กุล เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า การลงทุนในอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ ในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา
นายสาธิต ชาญเชาวน์กุล เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า การลงทุนในอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ ในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา(ม.ค.-ก.ค.50)มีกิจการที่ได้รับอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุน ทั้งสิ้น 69 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวมกว่า 592.3 ล้านบาท ซึ่งขยายตัวสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาถึง 244 % ที่มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 172 ล้านบาท จากโครงการที่ได้รับส่งเสริม 34 โครงการ
"กิจการซอฟต์แวร์เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่บีโอไอต้องการเน้นให้เกิดการลงทุนเพิ่มมากขึ้น เพราะเป็นกิจการที่จะช่วยพัฒนาศักยภาพธุรกิจและอุตสาหกรรมของประเทศ" นายสาธิต กล่าว
นอกจากนี้ บีโอไอก็ยังมีแนวทางที่จะพัฒนาสร้างความร่วมมือระหว่างบริษัทซอฟต์แวร์ไทยกับต่างประเทศ เช่น อินเดีย เป็นต้น หลังเห็นผลสำเร็จในระดับหนึ่ง ระหว่างบีโอไอกับเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งประเทศไทย หรือซอฟต์แวร์ปาร์ค ที่ร่วมมือกันส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์
สำหรับกิจการซอฟต์แวร์ที่ได้รับบีโอไอแล้ว ได้แก่ บริษัท ดี เอส ที อินเตอร์เนชั่นแนล (กรุงเทพ) จำกัดซึ่งเป็นบริษัทลูกของ DST International แห่งสหรัฐอเมริกา มูลค่าเงินลงทุน 92.2 ล้านบาท เป็นการพัฒนาซอฟต์แวร์ตามความต้องการของลูกค้า (Customized Solution) คาดว่าจะมีการจ้างพนักงานไทยกว่า 800 คน
นอกจากนี้ บีโอไอยังได้ให้การส่งเสริมการลงทุนแก่กิจการของบริษัท กันตนา แอนนิเมชั่น สตูดิโอ จำกัดเป็นบริษัทในเครือของบริษัท กันตนา กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ซึ่งลงทุนในกิจการผลิตซอฟต์แวร์ประเภท Digital Content และ Embedded มูลค่าเงินลงทุน 60 ล้านบาท คาดว่าจะก่อให้เกิดการจ้างงาน 92 คน โดยในช่วงแรกจะเน้นในการพัฒนางานในกลุ่ม Animation เป็นหลัก และมีโครงการที่จะปรับแปรเนื้อหาของงาน Animation ออกมาเป็น Digital content ในกลุ่มงานอื่น ๆ ตามความต้องการของลูกค้า
http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 715&ch=225
นายสาธิต ชาญเชาวน์กุล เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า การลงทุนในอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ ในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา
นายสาธิต ชาญเชาวน์กุล เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า การลงทุนในอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ ในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา(ม.ค.-ก.ค.50)มีกิจการที่ได้รับอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุน ทั้งสิ้น 69 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวมกว่า 592.3 ล้านบาท ซึ่งขยายตัวสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาถึง 244 % ที่มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 172 ล้านบาท จากโครงการที่ได้รับส่งเสริม 34 โครงการ
"กิจการซอฟต์แวร์เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่บีโอไอต้องการเน้นให้เกิดการลงทุนเพิ่มมากขึ้น เพราะเป็นกิจการที่จะช่วยพัฒนาศักยภาพธุรกิจและอุตสาหกรรมของประเทศ" นายสาธิต กล่าว
นอกจากนี้ บีโอไอก็ยังมีแนวทางที่จะพัฒนาสร้างความร่วมมือระหว่างบริษัทซอฟต์แวร์ไทยกับต่างประเทศ เช่น อินเดีย เป็นต้น หลังเห็นผลสำเร็จในระดับหนึ่ง ระหว่างบีโอไอกับเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งประเทศไทย หรือซอฟต์แวร์ปาร์ค ที่ร่วมมือกันส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์
สำหรับกิจการซอฟต์แวร์ที่ได้รับบีโอไอแล้ว ได้แก่ บริษัท ดี เอส ที อินเตอร์เนชั่นแนล (กรุงเทพ) จำกัดซึ่งเป็นบริษัทลูกของ DST International แห่งสหรัฐอเมริกา มูลค่าเงินลงทุน 92.2 ล้านบาท เป็นการพัฒนาซอฟต์แวร์ตามความต้องการของลูกค้า (Customized Solution) คาดว่าจะมีการจ้างพนักงานไทยกว่า 800 คน
นอกจากนี้ บีโอไอยังได้ให้การส่งเสริมการลงทุนแก่กิจการของบริษัท กันตนา แอนนิเมชั่น สตูดิโอ จำกัดเป็นบริษัทในเครือของบริษัท กันตนา กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ซึ่งลงทุนในกิจการผลิตซอฟต์แวร์ประเภท Digital Content และ Embedded มูลค่าเงินลงทุน 60 ล้านบาท คาดว่าจะก่อให้เกิดการจ้างงาน 92 คน โดยในช่วงแรกจะเน้นในการพัฒนางานในกลุ่ม Animation เป็นหลัก และมีโครงการที่จะปรับแปรเนื้อหาของงาน Animation ออกมาเป็น Digital content ในกลุ่มงานอื่น ๆ ตามความต้องการของลูกค้า
http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 715&ch=225
-
- Verified User
- โพสต์: 1231
- ผู้ติดตาม: 0
สื่อสารและเทคโนโลยี
โพสต์ที่ 62
ไอซีที จัดสัมมนา CIO ภาครัฐ เร่งพัฒนา e-Government ทัดเทียมต่างประเทศ
TELECOM JOURNAL
กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) จัดประชุมสัมมนา ผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง (CIO) กับโครงการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government) ครั้งที่ 1 เพื่อผลักดันให้e-Government และให้หน่วยงานราชการนำ ICT มาใช้พัฒนาการให้บริการของภาครัฐให้เกิดประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงสารสนเทศและการบริการภาครัฐอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน
มณีรัตน์ ผลิพัฒน์ รองปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กล่าวในโอกาสเป็นประธานเปิดการประชุมสัมมนาผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง (CIO) กับโครงการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government) ครั้งที่ 1 ณ โรงแรมจอมเทียน ปาล์ม บีช โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท พัทยา จังหวัดชลบุรี ซึ่งมีผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง (CIO) ผู้อำนวยการเทคโนโลยีสารสนเทศ ประจำกระทรวง กรม และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง รวมกว่า 200 คน เข้าร่วมการประชุมสัมมนาดังกล่าวว่า การพัฒนาและนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาใช้ในภาครัฐถือเป็นนโยบายที่รัฐบาลให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
ดังนั้นจึงได้มีการจัดทำแผนทิศทางการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government Roadmap) โดยกำหนดยุทธศาสตร์หลักที่สำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการคือ การพัฒนาการให้บริการภาครัฐผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Services) และการพัฒนาเครือข่ายสื่อสารข้อมูลเชื่อมโยงหน่อยงานภาครัฐ (Government Information Network: GIN) ซึ่งกระทรวงฯ ได้ดำเนินการพัฒนาเครือข่ายสื่อสารข้อมูลเชื่อมโยงต่อหน่อยงานภาครัฐระดับกระทรวง ทบวง กรม รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอิสระภาครัฐ 274 หน่วยงาน จะแล้วเสร็จในปี 2550 นี้ และจะขยายโครงข่ายไปยังส่วนภูมิภาคต่อไป
รองปลัดกระทรวงฯ กล่าวถึงการดำเนินการต่อว่า ภายในปี 2550 จะมีการขยายโครงข่ายไปยังส่วนภูมิภาคอีกจำนวน 14 บริการ ทั้งนี้โครงข่ายที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ ได้แก่ ระบบรายงานสภาพการจราจรและอุบัติเหตุจราจร ของกองบังคับการตำรวจทางหลวง ระบบบริการข้อมูลและประวัติการประกันสังคมสำหรับประชาชน สถานประกอบการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ของสำนักงานประกันสังคม ระบบตรวจสอบสิทธิประกันสุขภาพผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยขณะนี้ อยู่ระหว่างการพัฒนาระบบ Common Platform และ e-Portal เพื่อเป็นระบบกลางในการเชื่อมโยงกับระบบบริการ e-Services ต่างๆ เพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวกในการเข้าใช้บริการภาครัฐเป็นแบบ One Stop Service
การที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้รับความร่วมมืออย่างดีจากหน่วยงานภาครัฐทั้งระดับกระทรวง และกรม การเข้าร่วมสัมมนาครั้งนี้ ถือเป็นนิมิตหมายอันดีว่าโครงการนี้จะดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งไว้เป็นอย่างดี อีกทั้งจะเป็นการช่วยกันขับเคลื่อนการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศไทย (e-Government) ให้ก้าวหน้าทัดเทียมกับนานาประเทศที่ได้นำ e-Government มาใช้ มณีรัตน์ กล่าวทิ้งท้าย
โดยที่มาของการจัดสัมมนาในครั้งนี้ก็คือ รัฐบาลปัจจุบันได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการพัฒนา และการนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) มาใช้ภาครัฐ (e-Government) โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานภาครัฐที่ให้บริการประชาชน และภาคธุรกิจ จะต้องเร่งดำเนินการพัฒนานำ ICT มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการเป็นรูปธรรมอย่างรวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยำ ทันสมัยและโปร่งใส เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงสารสนเทศและการบริการภาครัฐอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน ขณะเดียวกันนำ ICT มาใช้ เพื่อทำการปฏิรูประบบบริหารองค์กรของรัฐอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน และเพื่อทำการปฏิรูประบบบริหารองค์กรของรัฐให้ได้เป้าประสงค์ของการบริการที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแผนการบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ 2548-2551 เมื่อวันที่12 เมษายน 2548 โดยกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นเจ้าภาพหลักในยุทธศาสตร์ที่ 3 ประเด็นยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
โดยมีเป้าประสงค์เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้มีประสิทธิภาพเพื่อสนับสนุนการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งเป็นการดำเนินงานด้านการพัฒนาระบบรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์(e-Government)จากแผนยุทธ์ศาสตร์ดังกล่าว กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้ดำเนินการจัดทำแผนทิศทางการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิคส์ปี 2548-2550 (e-Government Roadmap) เสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณา โดยสาระสำคัญ ประกอบด้วย 15 แผนงานที่สำคัญใน 4 หัวข้อ คือ Services, Infrastructure, Regulation และ MICT
ดังนั้น เพื่อให้เกิดความพร้อมในการพัฒนาดังกล่าว กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร จึงเล็งเห็นถึงความสำคัญและความจำเป็นเร่งด่วนในการดำเนินการสร้างความเข้าใจและร่วมกันระดมความคิดเห็นระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เพื่อหาแนวทางร่วมกันในการผลักดันให้e-Government เกิดประสิทธิภาพและเกิดเป็นรูปธรรม จึงจัดให้มีการประชุมสัมมนาให้กับผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง (CIO) และผู้อำนวยการเทคโนโลยีสารสนเทศของกระทรวง กรม และผู้ที่เกี่ยวข้องในหัวข้อ ผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง (CIO) กับโครงการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อรวบรวมแนวคิดและแนวทางในการดำเนินการอันจะเป็นประโยชน์ในการกำหนดการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ให้เป็นประโยชน์ในการบริหารงานราชการให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐ คือ รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
ทั้งนี้กำหนดการสัมมนาครั้งต่อไป (ครั้งที่ 2) เรื่อง ผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง (CIO) กับโครงการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government) จะจัดขึ้นในวันที่ 29 30 ตุลาคม 2550 ณ โรงแรมเฟลิกซ์ ริเวอร์แควรีสอร์ท จังหวัดกาญจนบุรี และจะมี การอภิปราย หัวข้อ Open Source กับการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์จากผู้เชี่ยวชาญด้าน Open Source จากสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ นอกจากนี้ยังมีการอภิปราย หัวข้อ e-Payment กับการให้บริการภาครัฐ โดยมีผู้ร่วมอภิปรายเป็นผู้เชี่ยวชาญหลายท่าน ที่จะเข้ามาร่วมให้ความรู้กับผู้เข้าร่วมสัมมนาในครั้งที่ 2 นี้ด้วย
TELECOM JOURNAL
กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) จัดประชุมสัมมนา ผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง (CIO) กับโครงการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government) ครั้งที่ 1 เพื่อผลักดันให้e-Government และให้หน่วยงานราชการนำ ICT มาใช้พัฒนาการให้บริการของภาครัฐให้เกิดประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงสารสนเทศและการบริการภาครัฐอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน
มณีรัตน์ ผลิพัฒน์ รองปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กล่าวในโอกาสเป็นประธานเปิดการประชุมสัมมนาผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง (CIO) กับโครงการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government) ครั้งที่ 1 ณ โรงแรมจอมเทียน ปาล์ม บีช โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท พัทยา จังหวัดชลบุรี ซึ่งมีผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง (CIO) ผู้อำนวยการเทคโนโลยีสารสนเทศ ประจำกระทรวง กรม และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง รวมกว่า 200 คน เข้าร่วมการประชุมสัมมนาดังกล่าวว่า การพัฒนาและนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาใช้ในภาครัฐถือเป็นนโยบายที่รัฐบาลให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
ดังนั้นจึงได้มีการจัดทำแผนทิศทางการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government Roadmap) โดยกำหนดยุทธศาสตร์หลักที่สำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการคือ การพัฒนาการให้บริการภาครัฐผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Services) และการพัฒนาเครือข่ายสื่อสารข้อมูลเชื่อมโยงหน่อยงานภาครัฐ (Government Information Network: GIN) ซึ่งกระทรวงฯ ได้ดำเนินการพัฒนาเครือข่ายสื่อสารข้อมูลเชื่อมโยงต่อหน่อยงานภาครัฐระดับกระทรวง ทบวง กรม รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอิสระภาครัฐ 274 หน่วยงาน จะแล้วเสร็จในปี 2550 นี้ และจะขยายโครงข่ายไปยังส่วนภูมิภาคต่อไป
รองปลัดกระทรวงฯ กล่าวถึงการดำเนินการต่อว่า ภายในปี 2550 จะมีการขยายโครงข่ายไปยังส่วนภูมิภาคอีกจำนวน 14 บริการ ทั้งนี้โครงข่ายที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ ได้แก่ ระบบรายงานสภาพการจราจรและอุบัติเหตุจราจร ของกองบังคับการตำรวจทางหลวง ระบบบริการข้อมูลและประวัติการประกันสังคมสำหรับประชาชน สถานประกอบการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ของสำนักงานประกันสังคม ระบบตรวจสอบสิทธิประกันสุขภาพผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยขณะนี้ อยู่ระหว่างการพัฒนาระบบ Common Platform และ e-Portal เพื่อเป็นระบบกลางในการเชื่อมโยงกับระบบบริการ e-Services ต่างๆ เพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวกในการเข้าใช้บริการภาครัฐเป็นแบบ One Stop Service
การที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้รับความร่วมมืออย่างดีจากหน่วยงานภาครัฐทั้งระดับกระทรวง และกรม การเข้าร่วมสัมมนาครั้งนี้ ถือเป็นนิมิตหมายอันดีว่าโครงการนี้จะดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งไว้เป็นอย่างดี อีกทั้งจะเป็นการช่วยกันขับเคลื่อนการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศไทย (e-Government) ให้ก้าวหน้าทัดเทียมกับนานาประเทศที่ได้นำ e-Government มาใช้ มณีรัตน์ กล่าวทิ้งท้าย
โดยที่มาของการจัดสัมมนาในครั้งนี้ก็คือ รัฐบาลปัจจุบันได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการพัฒนา และการนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) มาใช้ภาครัฐ (e-Government) โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานภาครัฐที่ให้บริการประชาชน และภาคธุรกิจ จะต้องเร่งดำเนินการพัฒนานำ ICT มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการเป็นรูปธรรมอย่างรวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยำ ทันสมัยและโปร่งใส เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงสารสนเทศและการบริการภาครัฐอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน ขณะเดียวกันนำ ICT มาใช้ เพื่อทำการปฏิรูประบบบริหารองค์กรของรัฐอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน และเพื่อทำการปฏิรูประบบบริหารองค์กรของรัฐให้ได้เป้าประสงค์ของการบริการที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแผนการบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ 2548-2551 เมื่อวันที่12 เมษายน 2548 โดยกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นเจ้าภาพหลักในยุทธศาสตร์ที่ 3 ประเด็นยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
โดยมีเป้าประสงค์เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้มีประสิทธิภาพเพื่อสนับสนุนการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งเป็นการดำเนินงานด้านการพัฒนาระบบรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์(e-Government)จากแผนยุทธ์ศาสตร์ดังกล่าว กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้ดำเนินการจัดทำแผนทิศทางการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิคส์ปี 2548-2550 (e-Government Roadmap) เสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณา โดยสาระสำคัญ ประกอบด้วย 15 แผนงานที่สำคัญใน 4 หัวข้อ คือ Services, Infrastructure, Regulation และ MICT
ดังนั้น เพื่อให้เกิดความพร้อมในการพัฒนาดังกล่าว กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร จึงเล็งเห็นถึงความสำคัญและความจำเป็นเร่งด่วนในการดำเนินการสร้างความเข้าใจและร่วมกันระดมความคิดเห็นระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เพื่อหาแนวทางร่วมกันในการผลักดันให้e-Government เกิดประสิทธิภาพและเกิดเป็นรูปธรรม จึงจัดให้มีการประชุมสัมมนาให้กับผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง (CIO) และผู้อำนวยการเทคโนโลยีสารสนเทศของกระทรวง กรม และผู้ที่เกี่ยวข้องในหัวข้อ ผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง (CIO) กับโครงการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อรวบรวมแนวคิดและแนวทางในการดำเนินการอันจะเป็นประโยชน์ในการกำหนดการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ให้เป็นประโยชน์ในการบริหารงานราชการให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐ คือ รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
ทั้งนี้กำหนดการสัมมนาครั้งต่อไป (ครั้งที่ 2) เรื่อง ผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง (CIO) กับโครงการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government) จะจัดขึ้นในวันที่ 29 30 ตุลาคม 2550 ณ โรงแรมเฟลิกซ์ ริเวอร์แควรีสอร์ท จังหวัดกาญจนบุรี และจะมี การอภิปราย หัวข้อ Open Source กับการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์จากผู้เชี่ยวชาญด้าน Open Source จากสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ นอกจากนี้ยังมีการอภิปราย หัวข้อ e-Payment กับการให้บริการภาครัฐ โดยมีผู้ร่วมอภิปรายเป็นผู้เชี่ยวชาญหลายท่าน ที่จะเข้ามาร่วมให้ความรู้กับผู้เข้าร่วมสัมมนาในครั้งที่ 2 นี้ด้วย
-
- Verified User
- โพสต์: 1231
- ผู้ติดตาม: 0
สื่อสารและเทคโนโลยี
โพสต์ที่ 63
ICT ก่อร่างสร้างรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ จัดสัมมนา CIO กับ e-Government
ส่งเรื่อง โดย admin เปิด 2007/9/22 11:48:56
กระทรวงไอซีที เตรียมจัดการสัมมนา เรื่อง ผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง [CIO] กับโครงการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ [e-Government] ครั้งที่ 2 วันที่ 29-30 ตุลาคม 2550 ณ โรงแรมเฟลิกซ์ ริเวอร์แควรีสอร์ท จังหวัดกาญจนบุรี
รัฐบาลปัจจุบันได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการพัฒนาและการนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร [ICT] มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการเป็นรูปธรรมอย่างรวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยำ ทันสมัยและโปร่งใส เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงสารสนเทศและการบริการภาครัฐอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน ขณะเดียวกันนำ ICT มาใช้เพื่อการปฏิรูประบบบริหารองค์กรของรัฐอย่าทั่วถึงและเท่าเทียมกัน และให้ได้เป้าประสงค์ของการบริการที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแผนการบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2548-2551 เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2548 โดยกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นเจ้าภาพหลักในยุทธศาสตร์ที่ 3 ประเด็นยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีเป้าประสงค์เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้มีประสิทธิภาพเพื่อสนับสนุนการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งเป็นการดำเนินงานด้านการพัฒนาระบบรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ [e-Government]
จากแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าว กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้ดำเนินการจัดทำแผนทิศทางการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ปี 2548-2550 [e-Government Roadmap] เสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาโดยสาระสำคัญประกอบด้วย 15 แผนงานที่สำคัญใน 4 หัวข้อคือ Services, Infrastructure, Regulation และ MICT โดยแผนทิศทางดังกล่าวจะใช้เป็นแผนงานที่สำคัญในการพัฒนาระบบบริการภาครัฐของประเทศให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2548 ซึ่งแผนทิศทางดังกล่าวได้กำหนด ยุทธศาสตร์การพัฒนา 4 ประเด็น ได้แก่
1. การจัดตั้งหน่วยงาน e-Government Agency/ Program Management Office [PMO]
2. การพัฒนาการให้บริการภาครัฐผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์
3. การพัฒนาระบบเครือข่ายและการเชื่อมโยงข้อมูลภาครัฐถึงระดับกรม
4. การพัฒนาปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับในกระบวนการให้บริการของภาครัฐภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ ได้จัดทำแผนปฏิบัติการที่เน้นเป้าหมายที่จะเร่งผลักดันให้เกิดบริการ e-Service ของภาครัฐ ไปสู่ประชาชนให้เกิดเป็นรูปธรรม
ดังนั้น เพื่อให้เกิดความพร้อมในการพัฒนาดังกล่าว กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจึงเล็งเห็นถึงความสำคัญและความจำเป็นเร่งด่วนในการดำเนินการสร้างความเข้าใจและร่วมกันระดมความคิดเห็นระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เพื่อหาแนวทางร่วมกันในการผลักดันให้ e-Government เกิดประสิทธิภาพและเกิดเป็นรูปธรรม จึงจัดให้มีการประชุมสัมมนาให้กับผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง [CIO] และผู้อำนวยการเทคโนโลยีสารสนเทศของกระทรวง กรม และผู้ที่เกี่ยวข้องในหัวข้อ ผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง [CIO] กับโครงการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อรวบรวมแนวคิดและแนวทางในการดำเนินการอันจะเป็นประโยชน์ในการกำหนดการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ให้เป็นประโยชน์ในการบริหารงานราชการให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐคือ รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
ตามกำหนดการผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมและพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ กล่าวรายงาน และปลัดกระทรวงไอซีที กล่าวเปิดงาน และมีการอภิปรายหัวข้อ Open Source กับการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ โดยผู้เชี่ยวชาญด้าน Open Source จากสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ
นอกจากนี้มีการอภิปรายในหัวข้อ e-Payment กับการให้บริการภาครัฐ ผู้ร่วมอภิปรายประกอบด้วย สุภา มะโนปัญญา ผู้อำนวยการกองทะเบียนและประมวลผล สำนักงานประกันสังคม (สปส.) กระทรวงแรงงาน ดร. สมาน ตั้งทองทวี รองผู้ว่าการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ระบบเทคโนโลยีและระบบงาน) การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบ e-Payment ธนาคารกรุงไทย ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบ e-Pay บริษัท ศูนย์ประมวลผล จำกัด ประสิทธิ์ ภัทรกุลพงษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบ e-Payment สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบ e-Pay บมจ. ทีโอที จำกัดสำหรับผู้สนใจเข้าร่วมงานสัมมนาสามารถลงทะเบียนสัมมนา online ได้ที่ http://www.mict-egov.net/register/ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 0-2218-2539
สำหรับวัตถุประสงค์ในการจัดสัมมนานี้ขึ้นก็เพื่อให้ผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง และผู้อำนวยการเทคโนโลยีสารสนเทศประจำกระทรวง กรม ได้มีความเข้าใจแนวทางในการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ และนำมาใช้ในการพัฒนาหน่วยงานราชการและพัฒนาประเทศ
ตลอดจนเพื่อให้ผู้เข้าสัมมนาได้ระดมความคิดและกำหนดแนวทางที่จะดำเนินการให้เกิดผลสัมฤทธิ์โดยเร็ว พร้อมทั้งแนวทางในการแก้ปัญหาและอุปสรรคที่จะเกิดขึ้นตลอดจนเพื่อนำเสนอแนวทางที่เห็นควรจากการสัมมนามาใช้ในการดำเนินการให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศต่อไป
ส่งเรื่อง โดย admin เปิด 2007/9/22 11:48:56
กระทรวงไอซีที เตรียมจัดการสัมมนา เรื่อง ผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง [CIO] กับโครงการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ [e-Government] ครั้งที่ 2 วันที่ 29-30 ตุลาคม 2550 ณ โรงแรมเฟลิกซ์ ริเวอร์แควรีสอร์ท จังหวัดกาญจนบุรี
รัฐบาลปัจจุบันได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการพัฒนาและการนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร [ICT] มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการเป็นรูปธรรมอย่างรวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยำ ทันสมัยและโปร่งใส เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงสารสนเทศและการบริการภาครัฐอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน ขณะเดียวกันนำ ICT มาใช้เพื่อการปฏิรูประบบบริหารองค์กรของรัฐอย่าทั่วถึงและเท่าเทียมกัน และให้ได้เป้าประสงค์ของการบริการที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแผนการบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2548-2551 เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2548 โดยกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นเจ้าภาพหลักในยุทธศาสตร์ที่ 3 ประเด็นยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีเป้าประสงค์เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้มีประสิทธิภาพเพื่อสนับสนุนการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งเป็นการดำเนินงานด้านการพัฒนาระบบรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ [e-Government]
จากแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าว กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้ดำเนินการจัดทำแผนทิศทางการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ปี 2548-2550 [e-Government Roadmap] เสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาโดยสาระสำคัญประกอบด้วย 15 แผนงานที่สำคัญใน 4 หัวข้อคือ Services, Infrastructure, Regulation และ MICT โดยแผนทิศทางดังกล่าวจะใช้เป็นแผนงานที่สำคัญในการพัฒนาระบบบริการภาครัฐของประเทศให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2548 ซึ่งแผนทิศทางดังกล่าวได้กำหนด ยุทธศาสตร์การพัฒนา 4 ประเด็น ได้แก่
1. การจัดตั้งหน่วยงาน e-Government Agency/ Program Management Office [PMO]
2. การพัฒนาการให้บริการภาครัฐผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์
3. การพัฒนาระบบเครือข่ายและการเชื่อมโยงข้อมูลภาครัฐถึงระดับกรม
4. การพัฒนาปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับในกระบวนการให้บริการของภาครัฐภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ ได้จัดทำแผนปฏิบัติการที่เน้นเป้าหมายที่จะเร่งผลักดันให้เกิดบริการ e-Service ของภาครัฐ ไปสู่ประชาชนให้เกิดเป็นรูปธรรม
ดังนั้น เพื่อให้เกิดความพร้อมในการพัฒนาดังกล่าว กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจึงเล็งเห็นถึงความสำคัญและความจำเป็นเร่งด่วนในการดำเนินการสร้างความเข้าใจและร่วมกันระดมความคิดเห็นระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เพื่อหาแนวทางร่วมกันในการผลักดันให้ e-Government เกิดประสิทธิภาพและเกิดเป็นรูปธรรม จึงจัดให้มีการประชุมสัมมนาให้กับผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง [CIO] และผู้อำนวยการเทคโนโลยีสารสนเทศของกระทรวง กรม และผู้ที่เกี่ยวข้องในหัวข้อ ผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง [CIO] กับโครงการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อรวบรวมแนวคิดและแนวทางในการดำเนินการอันจะเป็นประโยชน์ในการกำหนดการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ให้เป็นประโยชน์ในการบริหารงานราชการให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐคือ รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
ตามกำหนดการผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมและพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ กล่าวรายงาน และปลัดกระทรวงไอซีที กล่าวเปิดงาน และมีการอภิปรายหัวข้อ Open Source กับการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ โดยผู้เชี่ยวชาญด้าน Open Source จากสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ
นอกจากนี้มีการอภิปรายในหัวข้อ e-Payment กับการให้บริการภาครัฐ ผู้ร่วมอภิปรายประกอบด้วย สุภา มะโนปัญญา ผู้อำนวยการกองทะเบียนและประมวลผล สำนักงานประกันสังคม (สปส.) กระทรวงแรงงาน ดร. สมาน ตั้งทองทวี รองผู้ว่าการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ระบบเทคโนโลยีและระบบงาน) การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบ e-Payment ธนาคารกรุงไทย ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบ e-Pay บริษัท ศูนย์ประมวลผล จำกัด ประสิทธิ์ ภัทรกุลพงษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบ e-Payment สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบ e-Pay บมจ. ทีโอที จำกัดสำหรับผู้สนใจเข้าร่วมงานสัมมนาสามารถลงทะเบียนสัมมนา online ได้ที่ http://www.mict-egov.net/register/ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 0-2218-2539
สำหรับวัตถุประสงค์ในการจัดสัมมนานี้ขึ้นก็เพื่อให้ผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง และผู้อำนวยการเทคโนโลยีสารสนเทศประจำกระทรวง กรม ได้มีความเข้าใจแนวทางในการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ และนำมาใช้ในการพัฒนาหน่วยงานราชการและพัฒนาประเทศ
ตลอดจนเพื่อให้ผู้เข้าสัมมนาได้ระดมความคิดและกำหนดแนวทางที่จะดำเนินการให้เกิดผลสัมฤทธิ์โดยเร็ว พร้อมทั้งแนวทางในการแก้ปัญหาและอุปสรรคที่จะเกิดขึ้นตลอดจนเพื่อนำเสนอแนวทางที่เห็นควรจากการสัมมนามาใช้ในการดำเนินการให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศต่อไป
-
- Verified User
- โพสต์: 1231
- ผู้ติดตาม: 0
สื่อสารและเทคโนโลยี
โพสต์ที่ 64
ICT ก่อร่างสร้างรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ จัดสัมมนา CIO กับ e-Government
ส่งเรื่อง โดย admin เปิด 2007/9/22 11:48:56
กระทรวงไอซีที เตรียมจัดการสัมมนา เรื่อง ผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง [CIO] กับโครงการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ [e-Government] ครั้งที่ 2 วันที่ 29-30 ตุลาคม 2550 ณ โรงแรมเฟลิกซ์ ริเวอร์แควรีสอร์ท จังหวัดกาญจนบุรี
รัฐบาลปัจจุบันได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการพัฒนาและการนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร [ICT] มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการเป็นรูปธรรมอย่างรวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยำ ทันสมัยและโปร่งใส เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงสารสนเทศและการบริการภาครัฐอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน ขณะเดียวกันนำ ICT มาใช้เพื่อการปฏิรูประบบบริหารองค์กรของรัฐอย่าทั่วถึงและเท่าเทียมกัน และให้ได้เป้าประสงค์ของการบริการที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแผนการบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2548-2551 เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2548 โดยกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นเจ้าภาพหลักในยุทธศาสตร์ที่ 3 ประเด็นยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีเป้าประสงค์เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้มีประสิทธิภาพเพื่อสนับสนุนการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งเป็นการดำเนินงานด้านการพัฒนาระบบรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ [e-Government]
จากแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าว กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้ดำเนินการจัดทำแผนทิศทางการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ปี 2548-2550 [e-Government Roadmap] เสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาโดยสาระสำคัญประกอบด้วย 15 แผนงานที่สำคัญใน 4 หัวข้อคือ Services, Infrastructure, Regulation และ MICT โดยแผนทิศทางดังกล่าวจะใช้เป็นแผนงานที่สำคัญในการพัฒนาระบบบริการภาครัฐของประเทศให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2548 ซึ่งแผนทิศทางดังกล่าวได้กำหนด ยุทธศาสตร์การพัฒนา 4 ประเด็น ได้แก่
1. การจัดตั้งหน่วยงาน e-Government Agency/ Program Management Office [PMO]
2. การพัฒนาการให้บริการภาครัฐผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์
3. การพัฒนาระบบเครือข่ายและการเชื่อมโยงข้อมูลภาครัฐถึงระดับกรม
4. การพัฒนาปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับในกระบวนการให้บริการของภาครัฐภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ ได้จัดทำแผนปฏิบัติการที่เน้นเป้าหมายที่จะเร่งผลักดันให้เกิดบริการ e-Service ของภาครัฐ ไปสู่ประชาชนให้เกิดเป็นรูปธรรม
ดังนั้น เพื่อให้เกิดความพร้อมในการพัฒนาดังกล่าว กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจึงเล็งเห็นถึงความสำคัญและความจำเป็นเร่งด่วนในการดำเนินการสร้างความเข้าใจและร่วมกันระดมความคิดเห็นระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เพื่อหาแนวทางร่วมกันในการผลักดันให้ e-Government เกิดประสิทธิภาพและเกิดเป็นรูปธรรม จึงจัดให้มีการประชุมสัมมนาให้กับผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง [CIO] และผู้อำนวยการเทคโนโลยีสารสนเทศของกระทรวง กรม และผู้ที่เกี่ยวข้องในหัวข้อ ผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง [CIO] กับโครงการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อรวบรวมแนวคิดและแนวทางในการดำเนินการอันจะเป็นประโยชน์ในการกำหนดการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ให้เป็นประโยชน์ในการบริหารงานราชการให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐคือ รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
ตามกำหนดการผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมและพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ กล่าวรายงาน และปลัดกระทรวงไอซีที กล่าวเปิดงาน และมีการอภิปรายหัวข้อ Open Source กับการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ โดยผู้เชี่ยวชาญด้าน Open Source จากสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ
นอกจากนี้มีการอภิปรายในหัวข้อ e-Payment กับการให้บริการภาครัฐ ผู้ร่วมอภิปรายประกอบด้วย สุภา มะโนปัญญา ผู้อำนวยการกองทะเบียนและประมวลผล สำนักงานประกันสังคม (สปส.) กระทรวงแรงงาน ดร. สมาน ตั้งทองทวี รองผู้ว่าการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ระบบเทคโนโลยีและระบบงาน) การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบ e-Payment ธนาคารกรุงไทย ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบ e-Pay บริษัท ศูนย์ประมวลผล จำกัด ประสิทธิ์ ภัทรกุลพงษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบ e-Payment สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบ e-Pay บมจ. ทีโอที จำกัดสำหรับผู้สนใจเข้าร่วมงานสัมมนาสามารถลงทะเบียนสัมมนา online ได้ที่ http://www.mict-egov.net/register/ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 0-2218-2539
สำหรับวัตถุประสงค์ในการจัดสัมมนานี้ขึ้นก็เพื่อให้ผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง และผู้อำนวยการเทคโนโลยีสารสนเทศประจำกระทรวง กรม ได้มีความเข้าใจแนวทางในการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ และนำมาใช้ในการพัฒนาหน่วยงานราชการและพัฒนาประเทศ
ตลอดจนเพื่อให้ผู้เข้าสัมมนาได้ระดมความคิดและกำหนดแนวทางที่จะดำเนินการให้เกิดผลสัมฤทธิ์โดยเร็ว พร้อมทั้งแนวทางในการแก้ปัญหาและอุปสรรคที่จะเกิดขึ้นตลอดจนเพื่อนำเสนอแนวทางที่เห็นควรจากการสัมมนามาใช้ในการดำเนินการให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศต่อไป
ส่งเรื่อง โดย admin เปิด 2007/9/22 11:48:56
กระทรวงไอซีที เตรียมจัดการสัมมนา เรื่อง ผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง [CIO] กับโครงการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ [e-Government] ครั้งที่ 2 วันที่ 29-30 ตุลาคม 2550 ณ โรงแรมเฟลิกซ์ ริเวอร์แควรีสอร์ท จังหวัดกาญจนบุรี
รัฐบาลปัจจุบันได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการพัฒนาและการนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร [ICT] มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการเป็นรูปธรรมอย่างรวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยำ ทันสมัยและโปร่งใส เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงสารสนเทศและการบริการภาครัฐอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน ขณะเดียวกันนำ ICT มาใช้เพื่อการปฏิรูประบบบริหารองค์กรของรัฐอย่าทั่วถึงและเท่าเทียมกัน และให้ได้เป้าประสงค์ของการบริการที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแผนการบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2548-2551 เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2548 โดยกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นเจ้าภาพหลักในยุทธศาสตร์ที่ 3 ประเด็นยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีเป้าประสงค์เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้มีประสิทธิภาพเพื่อสนับสนุนการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งเป็นการดำเนินงานด้านการพัฒนาระบบรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ [e-Government]
จากแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าว กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้ดำเนินการจัดทำแผนทิศทางการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ปี 2548-2550 [e-Government Roadmap] เสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาโดยสาระสำคัญประกอบด้วย 15 แผนงานที่สำคัญใน 4 หัวข้อคือ Services, Infrastructure, Regulation และ MICT โดยแผนทิศทางดังกล่าวจะใช้เป็นแผนงานที่สำคัญในการพัฒนาระบบบริการภาครัฐของประเทศให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2548 ซึ่งแผนทิศทางดังกล่าวได้กำหนด ยุทธศาสตร์การพัฒนา 4 ประเด็น ได้แก่
1. การจัดตั้งหน่วยงาน e-Government Agency/ Program Management Office [PMO]
2. การพัฒนาการให้บริการภาครัฐผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์
3. การพัฒนาระบบเครือข่ายและการเชื่อมโยงข้อมูลภาครัฐถึงระดับกรม
4. การพัฒนาปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับในกระบวนการให้บริการของภาครัฐภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ ได้จัดทำแผนปฏิบัติการที่เน้นเป้าหมายที่จะเร่งผลักดันให้เกิดบริการ e-Service ของภาครัฐ ไปสู่ประชาชนให้เกิดเป็นรูปธรรม
ดังนั้น เพื่อให้เกิดความพร้อมในการพัฒนาดังกล่าว กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจึงเล็งเห็นถึงความสำคัญและความจำเป็นเร่งด่วนในการดำเนินการสร้างความเข้าใจและร่วมกันระดมความคิดเห็นระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เพื่อหาแนวทางร่วมกันในการผลักดันให้ e-Government เกิดประสิทธิภาพและเกิดเป็นรูปธรรม จึงจัดให้มีการประชุมสัมมนาให้กับผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง [CIO] และผู้อำนวยการเทคโนโลยีสารสนเทศของกระทรวง กรม และผู้ที่เกี่ยวข้องในหัวข้อ ผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง [CIO] กับโครงการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อรวบรวมแนวคิดและแนวทางในการดำเนินการอันจะเป็นประโยชน์ในการกำหนดการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ให้เป็นประโยชน์ในการบริหารงานราชการให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐคือ รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
ตามกำหนดการผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมและพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ กล่าวรายงาน และปลัดกระทรวงไอซีที กล่าวเปิดงาน และมีการอภิปรายหัวข้อ Open Source กับการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ โดยผู้เชี่ยวชาญด้าน Open Source จากสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ
นอกจากนี้มีการอภิปรายในหัวข้อ e-Payment กับการให้บริการภาครัฐ ผู้ร่วมอภิปรายประกอบด้วย สุภา มะโนปัญญา ผู้อำนวยการกองทะเบียนและประมวลผล สำนักงานประกันสังคม (สปส.) กระทรวงแรงงาน ดร. สมาน ตั้งทองทวี รองผู้ว่าการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ระบบเทคโนโลยีและระบบงาน) การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบ e-Payment ธนาคารกรุงไทย ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบ e-Pay บริษัท ศูนย์ประมวลผล จำกัด ประสิทธิ์ ภัทรกุลพงษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบ e-Payment สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบ e-Pay บมจ. ทีโอที จำกัดสำหรับผู้สนใจเข้าร่วมงานสัมมนาสามารถลงทะเบียนสัมมนา online ได้ที่ http://www.mict-egov.net/register/ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 0-2218-2539
สำหรับวัตถุประสงค์ในการจัดสัมมนานี้ขึ้นก็เพื่อให้ผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง และผู้อำนวยการเทคโนโลยีสารสนเทศประจำกระทรวง กรม ได้มีความเข้าใจแนวทางในการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ และนำมาใช้ในการพัฒนาหน่วยงานราชการและพัฒนาประเทศ
ตลอดจนเพื่อให้ผู้เข้าสัมมนาได้ระดมความคิดและกำหนดแนวทางที่จะดำเนินการให้เกิดผลสัมฤทธิ์โดยเร็ว พร้อมทั้งแนวทางในการแก้ปัญหาและอุปสรรคที่จะเกิดขึ้นตลอดจนเพื่อนำเสนอแนวทางที่เห็นควรจากการสัมมนามาใช้ในการดำเนินการให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศต่อไป
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news24/09/07
โพสต์ที่ 65
เลือกตั้งหนุนงบมือถือ Q4 ผสมโรงไฮซีซั่นดันรายได้ดี
หุ้นมือถือ งบไตรมาส 4 ดีได้เลือกตั้งหนุน บวกเป็นช่วงไฮซีซั่น คนต้องการจับจ่ายซื้อของ ทำให้ปริมาณการใช้มือถือสูงขึ้น และสิ้นปีนี้เป็นโค้งสุดท้ายก่อนตลาดอิ่มตัวปีหน้า ทุกค่ายจึง เร่งกวาดลูกค้าเข้าระบบตุน
นายสุภกิจ วรรธนะดิษฐ์ ผู้อำนวยการด้านการตลาดและการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า กลุ่มบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE ผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท ทรูมูฟ จำกัด ไตรมาส 4/2550 ซึ่งจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น จะส่งผลดีให้ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมคึกคักขึ้น และส่งผลต่อมาถึงอุตสาหกรรมโทรศัพท์เคลื่อนที่ให้ดีขึ้นด้วย เพราะโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นเครื่องมือสำคัญในการใช้งานติดต่อสื่อสาร ซึ่งช่วงการเลือกตั้งนั้นเป็นช่วงที่คนมีพฤติกรรมการติดต่อสื่อสารมากขึ้น
อย่างไรก็ดีไตรมาส 4 ยังจะเป็นช่วงเทศกาล คนมีความต้องการจับจ่ายซื้อของเป็นอย่างมาก ซึ่งจะเป็นช่วงจังหวะที่ยอดขายโทรศัพท์เคลื่อนที่ดีด้วยเช่นกัน แม้จะไม่สูงเท่าไตรมาส 1 ของทุกปีที่ผู้ประกอบการกระตุ้นตลาดเพื่อเพิ่มยอดลูกค้าให้มากที่สุดเพื่อรับรู้รายได้จากลูกค้าเต็มปี แต่ก็ถือว่าเป็นช่วงที่มียอดการใช้งานและจำนวนลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นในระดับที่สูง
ทั้งนี้มองว่า ในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้จะเป็นช่วงสุดท้ายของการหาลูกค้าเข้าไว้ในระบบของผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่เพราะมองว่าปีหน้าตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่จะเข้าสู่ยุคอิ่มตัวจำนวนลูกค้าใหม่จะเพิ่มขึ้นไม่มาก เพราะปัจจุบันมีผู้ใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ในประเทศราว 43 ล้านรายคิดเป็น 70%
นายธนา เธียรอัจฉริยะ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานพาณิชย์ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC เปิดเผย คาดว่าผลการดำเนินงานของ DTAC จะออกมาดีเนื่องจากจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น ซึ่งการเลือกตั้งเป็นช่วงที่มีการใช้จ่ายเงินสะพัดมาก ทั้งยังเป็นช่วง ไฮซีซั่น ซึ่งมีอัตราการจับจ่ายซิมการ์ด และมีการใช้งานมากขึ้นเพราะเป็นช่วงเทศกาล
ไตรมาส 4 น่าจะออกมาดี เพราะมีการเลือกตั้งซึ่งจะส่งผลให้มีเงินสะพัดออกมาเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะเป็นผลบวกเพิ่มเติมจากช่วงไฮซีซั่นในไตรมาสดังกล่าว ที่ปกติจะมีการจำหน่ายซื้อสินค้าโทรศัพท์เคลื่อนที่และมีการใช้งานมากขึ้น นายธนากล่าว
อย่างไรก็ดี DTAC ประเมินแนวโน้มอุตสาหกรรมโทรคมนาคมปี 2551 น่าจะยังซบเซาเหมือนปีนี้เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจยังคงชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง และอาจส่งผลกระทบต่อรายได้เพราะประชาชนเริ่มชะลอค่าใช้จ่ายลดลง แต่คาดว่ายังจะสามารถประคับประคองรายได้ให้เพิ่มขึ้นได้ เพราะค่าบริการที่เพิ่มสูงขึ้นจากการใช้อินเตอร์คอนเน็คชั่นชาร์จ หรือ ไอซี และความไม่ชัดเจนด้านกฎกติกาโทรคมนาคม ส่งผลให้ไม่มีผู้ประกอบการรายใหม่เพิ่มขึ้นในตลาดแต่ยังไม่ได้มีการประเมินตัวเลข
นายวิเชียร เมฆตระการ กรรรมการผู้อำนวยการ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC เปิดเผยว่า ครึ่งปีหลังรายได้ต่อเลขหมายของ ADVANC จะปรับตัวดีขึ้นตามลำดับส่งผลให้รายได้รวมของ ADVANC ในช่วงครึ่งปีหลัง
ทั้งนี้ที่ผ่านมามีการประกาศใช้ ไอซี ส่งผลให้ค่าโทรเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับที่ 1 บาททำให้การแข่งขันลดราคา หรือการให้บริการราคาต่ำหายไป จากเดิมมีค่าบริการนาทีละ 50 สตางค์ 25 สตางค์ และค่าโทรแบบบุฟเฟ่ต์ ซึ่งส่งผลให้รายได้ต่อเลขหมายลดลง
นักวิเคราะห์จากหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในไตรมาส 3 จะยังทรงตัวจากไตรมาส 2 ที่ผ่านมาเนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงโลว์ซีซั่นของอุตสาหกรรมโทรศัพท์เคลื่อนที่ ทั้งนี้มองว่าผลการดำเนินงานไตรมาส 4 ของผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่จะออกมาดี เพราะนอกจากจะได้ผลบวกจากช่วงไฮซีซั่น แล้วยังรับผลดีจากการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นช่วงที่มีการจับจ่ายเงินเป็นจำนวนมาก รวมทั้งยังเป็นตัวกระตุ้นให้มีการติดต่อสื่อสารมากขึ้น
นักวิเคราะห์สัญญาณด้านเทคนิค บริษัท หลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด เปิดเผยว่า ทิศทางสัญญาณด้านเทคนิคของหุ้นกลุ่มมือถือ ยังดูไม่ค่อยดีเกือบทุกตัวทั้งยังมีทิศทางปรับตัวลดลง เนื่องจากไม่ใช่กลุ่มนำของตลาด เพราะขณะนี้กลุ่มนำกลุ่มพลังงาน
ทั้งนี้ ADVANC มีแนวต้านอยู่ที่ราคา 89 บาท ส่วนแนวรับนั้นอยู่ในกรอบระดับราคา 84 85 บาท ส่วน DTAC มีแนวต้านที่ราคา 40.50 บาท แนวรับอยู่ที่ราคา 38 บาท สำหรับ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE นั้นมีสัญญาณด้านเทคนิคดีกว่า ADVANC และ DTAC มีแนวต้านที่ราคา 6.95 บาท แนวรับที่ราคา 6.45 บาท
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16
หุ้นมือถือ งบไตรมาส 4 ดีได้เลือกตั้งหนุน บวกเป็นช่วงไฮซีซั่น คนต้องการจับจ่ายซื้อของ ทำให้ปริมาณการใช้มือถือสูงขึ้น และสิ้นปีนี้เป็นโค้งสุดท้ายก่อนตลาดอิ่มตัวปีหน้า ทุกค่ายจึง เร่งกวาดลูกค้าเข้าระบบตุน
นายสุภกิจ วรรธนะดิษฐ์ ผู้อำนวยการด้านการตลาดและการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า กลุ่มบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE ผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท ทรูมูฟ จำกัด ไตรมาส 4/2550 ซึ่งจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น จะส่งผลดีให้ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมคึกคักขึ้น และส่งผลต่อมาถึงอุตสาหกรรมโทรศัพท์เคลื่อนที่ให้ดีขึ้นด้วย เพราะโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นเครื่องมือสำคัญในการใช้งานติดต่อสื่อสาร ซึ่งช่วงการเลือกตั้งนั้นเป็นช่วงที่คนมีพฤติกรรมการติดต่อสื่อสารมากขึ้น
อย่างไรก็ดีไตรมาส 4 ยังจะเป็นช่วงเทศกาล คนมีความต้องการจับจ่ายซื้อของเป็นอย่างมาก ซึ่งจะเป็นช่วงจังหวะที่ยอดขายโทรศัพท์เคลื่อนที่ดีด้วยเช่นกัน แม้จะไม่สูงเท่าไตรมาส 1 ของทุกปีที่ผู้ประกอบการกระตุ้นตลาดเพื่อเพิ่มยอดลูกค้าให้มากที่สุดเพื่อรับรู้รายได้จากลูกค้าเต็มปี แต่ก็ถือว่าเป็นช่วงที่มียอดการใช้งานและจำนวนลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นในระดับที่สูง
ทั้งนี้มองว่า ในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้จะเป็นช่วงสุดท้ายของการหาลูกค้าเข้าไว้ในระบบของผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่เพราะมองว่าปีหน้าตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่จะเข้าสู่ยุคอิ่มตัวจำนวนลูกค้าใหม่จะเพิ่มขึ้นไม่มาก เพราะปัจจุบันมีผู้ใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ในประเทศราว 43 ล้านรายคิดเป็น 70%
นายธนา เธียรอัจฉริยะ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานพาณิชย์ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC เปิดเผย คาดว่าผลการดำเนินงานของ DTAC จะออกมาดีเนื่องจากจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น ซึ่งการเลือกตั้งเป็นช่วงที่มีการใช้จ่ายเงินสะพัดมาก ทั้งยังเป็นช่วง ไฮซีซั่น ซึ่งมีอัตราการจับจ่ายซิมการ์ด และมีการใช้งานมากขึ้นเพราะเป็นช่วงเทศกาล
ไตรมาส 4 น่าจะออกมาดี เพราะมีการเลือกตั้งซึ่งจะส่งผลให้มีเงินสะพัดออกมาเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะเป็นผลบวกเพิ่มเติมจากช่วงไฮซีซั่นในไตรมาสดังกล่าว ที่ปกติจะมีการจำหน่ายซื้อสินค้าโทรศัพท์เคลื่อนที่และมีการใช้งานมากขึ้น นายธนากล่าว
อย่างไรก็ดี DTAC ประเมินแนวโน้มอุตสาหกรรมโทรคมนาคมปี 2551 น่าจะยังซบเซาเหมือนปีนี้เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจยังคงชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง และอาจส่งผลกระทบต่อรายได้เพราะประชาชนเริ่มชะลอค่าใช้จ่ายลดลง แต่คาดว่ายังจะสามารถประคับประคองรายได้ให้เพิ่มขึ้นได้ เพราะค่าบริการที่เพิ่มสูงขึ้นจากการใช้อินเตอร์คอนเน็คชั่นชาร์จ หรือ ไอซี และความไม่ชัดเจนด้านกฎกติกาโทรคมนาคม ส่งผลให้ไม่มีผู้ประกอบการรายใหม่เพิ่มขึ้นในตลาดแต่ยังไม่ได้มีการประเมินตัวเลข
นายวิเชียร เมฆตระการ กรรรมการผู้อำนวยการ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC เปิดเผยว่า ครึ่งปีหลังรายได้ต่อเลขหมายของ ADVANC จะปรับตัวดีขึ้นตามลำดับส่งผลให้รายได้รวมของ ADVANC ในช่วงครึ่งปีหลัง
ทั้งนี้ที่ผ่านมามีการประกาศใช้ ไอซี ส่งผลให้ค่าโทรเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับที่ 1 บาททำให้การแข่งขันลดราคา หรือการให้บริการราคาต่ำหายไป จากเดิมมีค่าบริการนาทีละ 50 สตางค์ 25 สตางค์ และค่าโทรแบบบุฟเฟ่ต์ ซึ่งส่งผลให้รายได้ต่อเลขหมายลดลง
นักวิเคราะห์จากหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในไตรมาส 3 จะยังทรงตัวจากไตรมาส 2 ที่ผ่านมาเนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงโลว์ซีซั่นของอุตสาหกรรมโทรศัพท์เคลื่อนที่ ทั้งนี้มองว่าผลการดำเนินงานไตรมาส 4 ของผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่จะออกมาดี เพราะนอกจากจะได้ผลบวกจากช่วงไฮซีซั่น แล้วยังรับผลดีจากการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นช่วงที่มีการจับจ่ายเงินเป็นจำนวนมาก รวมทั้งยังเป็นตัวกระตุ้นให้มีการติดต่อสื่อสารมากขึ้น
นักวิเคราะห์สัญญาณด้านเทคนิค บริษัท หลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด เปิดเผยว่า ทิศทางสัญญาณด้านเทคนิคของหุ้นกลุ่มมือถือ ยังดูไม่ค่อยดีเกือบทุกตัวทั้งยังมีทิศทางปรับตัวลดลง เนื่องจากไม่ใช่กลุ่มนำของตลาด เพราะขณะนี้กลุ่มนำกลุ่มพลังงาน
ทั้งนี้ ADVANC มีแนวต้านอยู่ที่ราคา 89 บาท ส่วนแนวรับนั้นอยู่ในกรอบระดับราคา 84 85 บาท ส่วน DTAC มีแนวต้านที่ราคา 40.50 บาท แนวรับอยู่ที่ราคา 38 บาท สำหรับ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE นั้นมีสัญญาณด้านเทคนิคดีกว่า ADVANC และ DTAC มีแนวต้านที่ราคา 6.95 บาท แนวรับที่ราคา 6.45 บาท
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news04/10/07
โพสต์ที่ 66
อัดรัฐเมินหนุนอุตฯไอทีซบ
โพสต์ทูเดย์ ผู้จัดงานคอมเวิลด์ ชี้ตลาด ไอทีไทยยังซบ เหตุความไม่ชัดเจนด้าน นโยบายไอที โดยเฉพาะกระทรวงไอซีทีที่สนใจแต่ปัญหาสัมปทานของเอกชนไม่กี่แห่ง
นายวิโรจน์ อัศวรังสี ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ดิแอสไพเรอร์ส กรุ๊ป กล่าวว่า ทิศทางอุตสาหกรรมไอทีในไทยยังคงซบเซา และอยู่ในช่วงขาลงไปอีกนาน แม้ว่าจะมีการเลือกตั้ง และมีรัฐมนตรีว่าการแล้วก็ตาม ก็ยังทำให้อุตสาหกรรมไอทีไม่คึกคัก อีกทั้งแม้จะมีเทคโนโลยีใหม่เข้ามากระตุ้นตลาด แต่หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ก็ส่งผลให้ภาพรวมไม่โตเท่าที่ควร
ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่า ในช่วงที่ผ่านมากระทรวง ไอซีทีมักไปเน้นการแก้ปัญหาในเรื่องของสัญญาสัมปทานในธุรกิจโทรคมนาคมกับ 2 องค์กรรัฐวิสาหกิจ อย่างบริษัท ทีโอที และ กสท โทรคมนาคม มากเกินไป จนไม่ได้พัฒนาในภาพรวมทั้งเรื่องนักพัฒนาซอฟต์แวร์ หรืออุตสาหกรรมแอนิเมชันเท่าที่ควร ทำให้อุตสาหกรรมไอทีในไทยไม่มีความก้าวหน้า
ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม กำลังแซงหน้าไปด้วยการประกาศการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีให้เป็นวาระแห่งชาติ ทั้งเรื่องของการติดตั้งระบบเครือข่ายสื่อสาร ทั่วประเทศ การผลักดันให้เวียดนามเป็นประเทศที่ใช้เครือข่ายไร้สายด้วยเทคโนโลยีไวร์แม็กซ์ที่ดีที่สุดในภูมิภาค
ตลาดไอทีไทยจะเติบโตด้วยตัวของมันเอง โดยเฉพาะการเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ๆ โดยเฉพาะในช่วงต้นปีหน้าที่จะมีเทคโนโลยีใหม่เปิดตัวหลายรายการ แต่อย่าหวังเรื่องของเงินอัดฉีดจากภาครัฐ เพราะที่ผ่านมารัฐมัวแต่ไปยุ่งเรื่องของสัมปทานรัฐวิสาหกิจ นายวิโรจน์ กล่าว
สำหรับตลาดรวมไอทีปีนี้จะโตเพียงแค่ 5-8% ซึ่งลดลงอย่างมาก จากก่อนหน้านี้ที่ จะโตในระดับ 20-30%
ส่วนงานคอมเวิลด์ 2007 ที่ผ่านมานั้น นายวิโรจน์ กล่าวว่า มียอดคนเข้าชมงานเพิ่มมากขึ้นจากต้นปี 11.6% จากเดิม 6.9 แสนคน เป็น 7.7 แสนคน และมียอดขายเพิ่มขึ้น 23% จากเดิม 1 พันล้านบาท เพิ่มเป็น 1.2 พันล้านบาท โดยสินค้าที่ขายดีที่สุด คือ โน้ตบุ๊ก มูลค่าตลาดรวม 946 ล้านบาท รองลงมา คือ กล้องดิจิตอล พีซีตั้งโต๊ะ อุปกรณ์เสริม และแอลซีดีทีวี
นอกจากนี้ ยังสำรวจพบว่า ปัจจัยที่ผู้บริโภคซื้อสินค้าไอทีไม่ได้ดูที่ราคา แต่จะดูที่แบรนด์ และดีไซน์เป็นหลัก ส่วนยอดขายในงานที่เพิ่มขึ้นสวนทางกับขาลงของตลาดไอทีนั้น เนื่องจากผู้ที่มาชมงานส่วนใหญ่อยู่ในระดับกลางถึงระดับสูง อีกทั้งราคาสินค้าไอที ที่พากันลดลงจากช่วงเวลาปกติ ก็มีผลให้ ยอดขายเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=195376
โพสต์ทูเดย์ ผู้จัดงานคอมเวิลด์ ชี้ตลาด ไอทีไทยยังซบ เหตุความไม่ชัดเจนด้าน นโยบายไอที โดยเฉพาะกระทรวงไอซีทีที่สนใจแต่ปัญหาสัมปทานของเอกชนไม่กี่แห่ง
นายวิโรจน์ อัศวรังสี ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ดิแอสไพเรอร์ส กรุ๊ป กล่าวว่า ทิศทางอุตสาหกรรมไอทีในไทยยังคงซบเซา และอยู่ในช่วงขาลงไปอีกนาน แม้ว่าจะมีการเลือกตั้ง และมีรัฐมนตรีว่าการแล้วก็ตาม ก็ยังทำให้อุตสาหกรรมไอทีไม่คึกคัก อีกทั้งแม้จะมีเทคโนโลยีใหม่เข้ามากระตุ้นตลาด แต่หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ก็ส่งผลให้ภาพรวมไม่โตเท่าที่ควร
ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่า ในช่วงที่ผ่านมากระทรวง ไอซีทีมักไปเน้นการแก้ปัญหาในเรื่องของสัญญาสัมปทานในธุรกิจโทรคมนาคมกับ 2 องค์กรรัฐวิสาหกิจ อย่างบริษัท ทีโอที และ กสท โทรคมนาคม มากเกินไป จนไม่ได้พัฒนาในภาพรวมทั้งเรื่องนักพัฒนาซอฟต์แวร์ หรืออุตสาหกรรมแอนิเมชันเท่าที่ควร ทำให้อุตสาหกรรมไอทีในไทยไม่มีความก้าวหน้า
ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม กำลังแซงหน้าไปด้วยการประกาศการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีให้เป็นวาระแห่งชาติ ทั้งเรื่องของการติดตั้งระบบเครือข่ายสื่อสาร ทั่วประเทศ การผลักดันให้เวียดนามเป็นประเทศที่ใช้เครือข่ายไร้สายด้วยเทคโนโลยีไวร์แม็กซ์ที่ดีที่สุดในภูมิภาค
ตลาดไอทีไทยจะเติบโตด้วยตัวของมันเอง โดยเฉพาะการเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ๆ โดยเฉพาะในช่วงต้นปีหน้าที่จะมีเทคโนโลยีใหม่เปิดตัวหลายรายการ แต่อย่าหวังเรื่องของเงินอัดฉีดจากภาครัฐ เพราะที่ผ่านมารัฐมัวแต่ไปยุ่งเรื่องของสัมปทานรัฐวิสาหกิจ นายวิโรจน์ กล่าว
สำหรับตลาดรวมไอทีปีนี้จะโตเพียงแค่ 5-8% ซึ่งลดลงอย่างมาก จากก่อนหน้านี้ที่ จะโตในระดับ 20-30%
ส่วนงานคอมเวิลด์ 2007 ที่ผ่านมานั้น นายวิโรจน์ กล่าวว่า มียอดคนเข้าชมงานเพิ่มมากขึ้นจากต้นปี 11.6% จากเดิม 6.9 แสนคน เป็น 7.7 แสนคน และมียอดขายเพิ่มขึ้น 23% จากเดิม 1 พันล้านบาท เพิ่มเป็น 1.2 พันล้านบาท โดยสินค้าที่ขายดีที่สุด คือ โน้ตบุ๊ก มูลค่าตลาดรวม 946 ล้านบาท รองลงมา คือ กล้องดิจิตอล พีซีตั้งโต๊ะ อุปกรณ์เสริม และแอลซีดีทีวี
นอกจากนี้ ยังสำรวจพบว่า ปัจจัยที่ผู้บริโภคซื้อสินค้าไอทีไม่ได้ดูที่ราคา แต่จะดูที่แบรนด์ และดีไซน์เป็นหลัก ส่วนยอดขายในงานที่เพิ่มขึ้นสวนทางกับขาลงของตลาดไอทีนั้น เนื่องจากผู้ที่มาชมงานส่วนใหญ่อยู่ในระดับกลางถึงระดับสูง อีกทั้งราคาสินค้าไอที ที่พากันลดลงจากช่วงเวลาปกติ ก็มีผลให้ ยอดขายเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=195376
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news05/10/07
โพสต์ที่ 67
PC ไทยยอดขายกระฉูด มีแนวโน้มโตขึ้นต่อเนื่อง
บริษัท ไอดีซี (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่าในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2550 ประเทศไทยมีการจำหน่ายเครื่องคอมพิวเตอร์พีซีเพิ่มมากขึ้น 19% สูงกว่าเมื่อปีที่ผ่านมาถึง 22.3% โดยมียอดจำหน่ายรวม 438,000 เครื่อง คิดเป็นอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า ในปีนี้ตลาดไอทีในประเทศจะยังมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงกระตุ้นจากปัจจัยบวกหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มของเศรษฐกิจที่น่าจะดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา การผ่อนคลายของสภาวะทางการเมือง ความมีเสถียรภาพของราคาน้ำมัน ซึ่งส่งผลดีต่อทั้งภาคธุรกิจและผู้บริโภค สำหรับสินค้าไอทีนั้นแม้ว่าในปี 2549 ที่ผ่านมาอาจต้องประสบกับปัญหาการชะลอซื้อของผู้บริโภคลงบ้างแต่เนื่องจากสินค้าไอทีเป็นสินค้าที่เพิ่มบทบาทต่อการดำเนินชีวิตประจำวันมากยิ่งขึ้นและเทคโนโลยีที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องนั้นก็ทำให้ความต้องการมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ทั้งจากกลุ่มผู้ใช้ใหม่และผู้ใช้เดิมที่มีการซื้อซ้ำเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีใหม่ๆเกิดขึ้น และที่ผ่านมาอัตราการครอบครองคอมพิวเตอร์ ส่วนบุคคลของไทยนั้นยังอยู่ในระดับที่ต่ำเมื่อเทียบกับอีกหลายประเทศ ซึ่งเป็นช่องว่างให้ตลาดไอทีในประเทศไทยเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต
คอมพิวเตอร์อินเตอร์แบรนด์ มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 65% จากเดิมมีส่วนแบ่งตลาด 50% ขณะที่คอมพิวเตอร์ประกอบ และโลคัลแบรนด์ มีสัดส่วนลดลงเหลือ 35% จากเดิมมีส่วนแบ่งตลาด 50% โดยส่วนผู้นำตลาดในกลุ่มคอมพิวเตอร์สำหรับกลุ่มผู้ใช้ตามบ้าน หรือโฮมยูส คือ แบรนด์เอชพี ซึ่งครองแชมป์มานาน 14-15 ไตรมาสแล้ว โดยปัจจุบันมีส่วนแบ่งตลาดราว 24% สูงกว่าปีที่ผ่านมาที่มีส่วนแบ่งตลาด 18-20% ขณะที่คู่แข่งอันดับ 2 มีส่วนแบ่งตลาดเพียง 18% ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประมาณการว่า ในปี 2550 ตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลจะมีการเติบโตขึ้น 8-10% มียอดจำหน่ายเพิ่มขึ้นเป็น 1.4-1.5 ล้านเครื่อง และพบว่าตลาดคอมพิวเตอร์แบบโน้ตบุ๊คมีอัตราการขยายตัวของยอดจำหน่ายสูงประมาณ 40-50% ต่อปี ในขณะที่คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล มีอัตราการขยายตัวประมาณ 10-15% ต่อปี
ส่วนสมาคมอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ไทย รายงานว่า ตลาดคอมพิวเตอร์ในปี 2549 มียอดจำหน่ายทั้งปีอยู่ที่ 2 ล้านเครื่อง โดยการเติบโตของตลาดไอทีของปี 2549 มีเติบโต 12.6% จากมูลค่าตลาดรวม 141,426 ล้านบาท ส่วนทิศทางตลาดไอทีประเทศในปี 2550 จะเติบโตเพิ่มขึ้นอีก 15% หรือมีมูลค่าตลาดรวม 162,717 ล้านบาท จากปัจจัยบวก 4 ประการ คือ
1. ความสามารถในการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐบาล
2.ราคาน้ำมันในประเทศมีเสถียรภาพขึ้น
3. อัตราเงินเฟ้อในประเทศมีแนวโน้มปรับตัวลดลง และ
4.นโยบายปรับลดอัตราดอกเบี้ย
นอกจากนี้ ไอดีซีได้มีการปรับประมาณการตลาดรวมโน้ตบุ๊คในปีนี้เป็น 700,000 เครื่อง จากเมื่อต้นปีที่คาดว่าตลาดรวมจะอยู่ที่ 670,000 เครื่อง ขณะที่ตัวเลขเมื่อสิ้นปี 2549 อยู่ที่ประมาณ 560,000 เครื่อง อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในแง่จำนวนเครื่องจะเพิ่มขึ้นมาก แต่ในแง่ของมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย เพราะตลาดมีการเติบโตในเครื่องระดับล่างมากกว่า ประกอบกับราคาโน้ตบุ๊คในช่วงที่ผ่านมาได้มีการปรับลดราคาลงมาค่อนข้างมาก
ผู้นำที่มีส่วนแบ่งตลาดโน้ตบุ๊คมากที่สุดได้แก่ เอเซอร์ ตามมาด้วยเอชพี ซึ่ง 2 รายนี้รวมกันมีส่วนแบ่งตลาดเกือบ 70% อย่างไรก็ตามจากการเติบโตของตลาดโน้ตบุ๊คทำให้ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิต
คอมพิวเตอร์ทั้งหลายหันมาเน้นการทำตลาดโน้ตบุ๊คมากขึ้น
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16
บริษัท ไอดีซี (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่าในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2550 ประเทศไทยมีการจำหน่ายเครื่องคอมพิวเตอร์พีซีเพิ่มมากขึ้น 19% สูงกว่าเมื่อปีที่ผ่านมาถึง 22.3% โดยมียอดจำหน่ายรวม 438,000 เครื่อง คิดเป็นอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า ในปีนี้ตลาดไอทีในประเทศจะยังมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงกระตุ้นจากปัจจัยบวกหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มของเศรษฐกิจที่น่าจะดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา การผ่อนคลายของสภาวะทางการเมือง ความมีเสถียรภาพของราคาน้ำมัน ซึ่งส่งผลดีต่อทั้งภาคธุรกิจและผู้บริโภค สำหรับสินค้าไอทีนั้นแม้ว่าในปี 2549 ที่ผ่านมาอาจต้องประสบกับปัญหาการชะลอซื้อของผู้บริโภคลงบ้างแต่เนื่องจากสินค้าไอทีเป็นสินค้าที่เพิ่มบทบาทต่อการดำเนินชีวิตประจำวันมากยิ่งขึ้นและเทคโนโลยีที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องนั้นก็ทำให้ความต้องการมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ทั้งจากกลุ่มผู้ใช้ใหม่และผู้ใช้เดิมที่มีการซื้อซ้ำเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีใหม่ๆเกิดขึ้น และที่ผ่านมาอัตราการครอบครองคอมพิวเตอร์ ส่วนบุคคลของไทยนั้นยังอยู่ในระดับที่ต่ำเมื่อเทียบกับอีกหลายประเทศ ซึ่งเป็นช่องว่างให้ตลาดไอทีในประเทศไทยเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต
คอมพิวเตอร์อินเตอร์แบรนด์ มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 65% จากเดิมมีส่วนแบ่งตลาด 50% ขณะที่คอมพิวเตอร์ประกอบ และโลคัลแบรนด์ มีสัดส่วนลดลงเหลือ 35% จากเดิมมีส่วนแบ่งตลาด 50% โดยส่วนผู้นำตลาดในกลุ่มคอมพิวเตอร์สำหรับกลุ่มผู้ใช้ตามบ้าน หรือโฮมยูส คือ แบรนด์เอชพี ซึ่งครองแชมป์มานาน 14-15 ไตรมาสแล้ว โดยปัจจุบันมีส่วนแบ่งตลาดราว 24% สูงกว่าปีที่ผ่านมาที่มีส่วนแบ่งตลาด 18-20% ขณะที่คู่แข่งอันดับ 2 มีส่วนแบ่งตลาดเพียง 18% ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประมาณการว่า ในปี 2550 ตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลจะมีการเติบโตขึ้น 8-10% มียอดจำหน่ายเพิ่มขึ้นเป็น 1.4-1.5 ล้านเครื่อง และพบว่าตลาดคอมพิวเตอร์แบบโน้ตบุ๊คมีอัตราการขยายตัวของยอดจำหน่ายสูงประมาณ 40-50% ต่อปี ในขณะที่คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล มีอัตราการขยายตัวประมาณ 10-15% ต่อปี
ส่วนสมาคมอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ไทย รายงานว่า ตลาดคอมพิวเตอร์ในปี 2549 มียอดจำหน่ายทั้งปีอยู่ที่ 2 ล้านเครื่อง โดยการเติบโตของตลาดไอทีของปี 2549 มีเติบโต 12.6% จากมูลค่าตลาดรวม 141,426 ล้านบาท ส่วนทิศทางตลาดไอทีประเทศในปี 2550 จะเติบโตเพิ่มขึ้นอีก 15% หรือมีมูลค่าตลาดรวม 162,717 ล้านบาท จากปัจจัยบวก 4 ประการ คือ
1. ความสามารถในการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐบาล
2.ราคาน้ำมันในประเทศมีเสถียรภาพขึ้น
3. อัตราเงินเฟ้อในประเทศมีแนวโน้มปรับตัวลดลง และ
4.นโยบายปรับลดอัตราดอกเบี้ย
นอกจากนี้ ไอดีซีได้มีการปรับประมาณการตลาดรวมโน้ตบุ๊คในปีนี้เป็น 700,000 เครื่อง จากเมื่อต้นปีที่คาดว่าตลาดรวมจะอยู่ที่ 670,000 เครื่อง ขณะที่ตัวเลขเมื่อสิ้นปี 2549 อยู่ที่ประมาณ 560,000 เครื่อง อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในแง่จำนวนเครื่องจะเพิ่มขึ้นมาก แต่ในแง่ของมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย เพราะตลาดมีการเติบโตในเครื่องระดับล่างมากกว่า ประกอบกับราคาโน้ตบุ๊คในช่วงที่ผ่านมาได้มีการปรับลดราคาลงมาค่อนข้างมาก
ผู้นำที่มีส่วนแบ่งตลาดโน้ตบุ๊คมากที่สุดได้แก่ เอเซอร์ ตามมาด้วยเอชพี ซึ่ง 2 รายนี้รวมกันมีส่วนแบ่งตลาดเกือบ 70% อย่างไรก็ตามจากการเติบโตของตลาดโน้ตบุ๊คทำให้ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิต
คอมพิวเตอร์ทั้งหลายหันมาเน้นการทำตลาดโน้ตบุ๊คมากขึ้น
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news06/10/07
โพสต์ที่ 68
ทีโอทีระส่ำรายได้วูบ 50% ศึกนอกศึกในมั่วนัวเนีย [ ฉบับที่ 834 ประจำวันที่ 6-10-2007 ถึง 9-10-2007]
>> ลูกค้าตีจากพนักงานแตกแยกโกงกินชุกชุม
ทีโอทีอาการย่ำแย่หลังสารพัดปัญหาทั้งภายนอกภายในรุมเร้า ฉุดกระทบรายได้วูบเกือบ 4,000 ล้านบาทช่วงครึ่งปีแรก คาดการณ์ทั้งปีรายได้หล่นประมาณ 50% จากปี 2549 เฉพาะค่าเอซีฉุดกว่า 10,000 ล้านบาท เร่งรัดเข็มขัดสุดชีวิต ล่าสุดลดคอสต์ ได้กว่า 1,500 ล้านบาท สหภาพฯ ชี้ปัญหาภายในทีโอทีเพียบ รวมทั้งปัญหาคอร์รัปชั่น ในการจัดซื้อจัดจ้าง พร้อมฝาก รมว.คนใหม่สางปัญหาโดยด่วน สถานการณ์ของ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เวลานี้ต้องบอกว่ามีความย่ำแย่มากที่สุดจากในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งเป็นหน่วยงานที่เปรียบเสมือนเสือนอนกิน เนื่องจากทีโอที เป็นองค์กรรัฐวิสาหกิจ ที่มีหน้าที่ในการให้บริการโทรศัพท์ภายในประเทศ ทั้งโทรศัพท์พื้นฐานและโทรศัพท์เคลื่อนที่ ตลอดจนเทคโนโลยีอื่นๆ อาทิ ให้บริการโทรศัพท์ประจำที่ ให้บริการโครงข่าย บริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง ระบบสื่อสารดาวเทียม ฯลฯ
เพื่อให้ธุรกิจโทรคมนาคมไทย มีการแข่งขันบนพื้นฐานความเท่าเทียมกัน ในปี 2547 รัฐบาลจึง ได้มีการตั้งคณะกรรมการกำกับกิจการโทรคมนาคม แห่งชาติ (กทช.) ขึ้นมากำกับดูแลและออกกฎเกณฑ์ กติกา เพื่อให้มีการแข่งขันกันได้อย่างเสรีและเป็นธรรม การเพิ่มดีกรีความเข้มข้นในการกำกับ ดูแลกิจการโทรคมนาคมไทย กทช. มีการผลักดันหลักเกณฑ์ และกฎกติกาใหม่ๆ เพื่อบังคับใช้กับผู้ประกอบธุรกิจสื่อสารในเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นหลัก เกณฑ์การเชื่อมต่อโครงข่าย หรืออินเตอร์คอนเน็กชั่นชาร์จ (ไอซี), หลักเกณฑ์เกี่ยวกับมาตรฐานของสัญญาให้บริการโทรคมนาคม, ร่างประกาศ กทช.ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงอัตราค่าธรรมเนียม และค่าบริการในกิจการโทรคมนาคม, ประกาศว่าด้วยมาตรการเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทำอันเป็น การผูกขาด หรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันในกิจการโทรคมนาคม รวมถึงประกาศ กทช.ว่าด้วยสัญญาอันเกี่ยวเนื่องกับการประกอบกิจการโทรคมนาคมที่ทำกับต่างประเทศ เป็นต้น
ทั้งนี้ กฎระเบียบดังกล่าวมีผลกระทบต่อการ ดำเนินงานของทีโอที โดยเฉพาะเรื่องไอซี ซึ่งมีอัตรา ที่ถูกกว่าค่าเช่าวงจร หรือแอ็กแซสชาร์จ (เอซี) ที่ดีแทคกับทรูจ่ายให้กับทีโอทีในอัตรา 200 บาทต่อ เลขหมาย ทำให้เอกชนทั้ง 2 รายหยุดจ่ายค่าเอซีแก่ทีโอทีไปเมื่อเดือน พ.ย.2549 ที่ผ่านมา โดยในส่วนของดีแทคนั้นได้มีการค้างจ่ายเป็นจำนวนเงิน 8,000 ล้านบาท ส่วนทรู มูฟค้างจ่ายมากกว่า 1,000 ล้านบาท และคิดเป็นตัวเลขรายได้ที่หายไปถึง 10,000 ล้านบาทต่อปี ที่ทีโอทีเก็บจากดีแทค ทรู มูฟ และดิจิตอลโฟน ซึ่งเป็นผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่ภายใต้สัญญา บมจ.กสท โทรคมนาคม ที่ได้มีสัญญาขอใช้เครือข่ายในประเทศกับทีโอที
ดังนั้นเมื่อมาดูถึงตัวเลขผลการดำเนินงานของทีโอที ปรากฏว่า มีการปรับลดลงมาจากปี 2548 บริษัทมีรายได้รวมที่ 61,863.90 ล้านบาท ในขณะที่ปี 2549 มีรายได้รวมที่ 60,691.38 ล้านบาท ลดลง 1,172.52 ล้านบาท และวิกฤติอย่างหนัก ในปี 2550 เพราะในช่วงครึ่งปีแรกปีนี้ ทีโอที มีรายได้รวม 25,940.5 ล้านบาท ลดลง 3,892.7 ล้าน บาท จากช่วงเดียวกันของปี 2549 ส่วนค่าใช้จ่ายภายในองค์กร เช่น เงินเดือนพนักงาน ค่าใช้จ่าย ด้านสาธารณูปโภค ค่าซ่อมบำรุงโครงข่าย และ อื่นๆ เฉลี่ยปีละไม่ต่ำกว่า 49,000 ล้านบาท ซึ่งหลัง จากที่ทีโอทีพยายามอย่างหนักในปีนี้ในช่วง 6 เดือน แรกก็สามารถลดค่าใช้จ่ายลงเหลือ 22,376 ล้านบาท โดยลดลง 1,513 ล้านบาท ซึ่งส่งผลให้กำไรสุทธิ 2,862.2 ล้านบาท ลดลง 1,617.6 ล้านบาท ทั้งนี้มีการคาดการณ์ว่า สิ้นปี 2550 นี้รายได้ของทีโอทีจะลดลงจากปีที่แล้วประมาณ 50% โดยปัจจัย ตัวสำคัญคือ รายได้จากค่าเอซีที่หายไป สำหรับรายได้ของทีโอทีในส่วนต่างๆ นั้น ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2550 ทีโอทีมีรายได้จาก การให้บริการ 13,000 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้ จากโทรศัพท์พื้นฐาน 7,400 ล้านบาท ลดลง 1,200 ล้านบาท เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน โทรศัพท์ สาธารณะ 1,400 ล้านบาท ลดลง 700 ล้านบาท อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง (บรอดแบนด์) 1,079 ล้าน บาท เพิ่มขึ้น 610 ล้านบาท และการให้บริการวงเช่า 2,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 200 ล้านบาท โทรศัพท์ ระหว่างประเทศ 743 ล้านบาท ลดลง 493 ล้านบาท และรายได้อื่นๆ อีก 278 ล้านบาท
นอกจากปัจจัยภายนอกที่กระทบต่อรายได้ของทีโอทีแล้ว สถานการณ์ภายในองค์กรเองก็มีปัญหาอย่างต่อเนื่องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยนาย สมชาย แนวพานิช กรรมการสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) หรือ สรท. เปิดเผย สยามธุรกิจ ว่า ปัญหาภายในองค์กร ของทีโอที มีหลากหลายปัญหา เช่น ปัญหาความแตกแยกของบุคลากรตั้งแต่พนักงานระดับล่างจนถึงผู้บริหารระดับสูง เช่น กรณีผู้บริหารขัดแย้งกับบอร์ดจนถึงขั้นมีการปลดออกจากตำแหน่ง ทำให้ขาดผู้นำในการนำพาองค์กร และสานต่อโครงการต่างๆ ประเด็นที่ 2 ความแตกแยกในระดับพนักงาน ทำให้พนักงานขาดขวัญและกำลังใจ ปัญหาการคอร์รัปชั่น ปัญหาระเบียบในการจัดซื้อจัดหาอุปกรณ์ และความไม่พัฒนาของบุคลากรภายในองค์กร เป็นต้น
ปัญหาภายในเป็นเรื่องที่แก้ไขยากมาก เพราะที่ผ่านมาอย่างเรื่องของการจัดซื้อจัดจ้างแม้จะมีระบบอีอ็อกชั่นมาใช้ แต่ราคาอุปกรณ์ที่ ทีโอทีเปิดประมูลก็ยังมีราคาสูงกว่าเอกชน เนื่องจาก ทุกคนคิดว่าทำธุรกิจกับรัฐวิสาหกิจ และในส่วนของ ผู้บริหารเองก็ยังใช้ขั้นตอนที่ล้าสมัย รวมทั้งการที่มีโครงการที่ไม่สร้างรายได้ให้กับองค์กร เช่น การให้บริการโทรศัพท์ผ่านดาวเทียมไอพีสตาร์ ผู้บริหาร กลับไม่มีการยกเลิกสัญญาการให้บริการ หรือหาบริการทดแทนอื่นที่มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่ามาให้บริการ ทั้งๆ ที่มีรายได้เพียง 25% ของค่าเช่าที่ต้องจ่ายเดือนละประมาณ 700 ล้านบาทเท่านั้น นายสมชาย กล่าว
นอกจากนี้ ทีโอทียังประสบปัญหาอย่างหนัก จากการที่ผู้บริหารระดับสูงที่ผ่านมา ได้เข้าไปแก้ไข สัญญากับเอกชนซึ่งทำให้เอกชนได้เปรียบ เช่น การ แก้สัญญาให้ทริปเปิ้ลทรี สามารถใช้โครงข่ายของทีทีแอนด์ที ซึ่งเป็นบริษัทแม่ได้อย่างถูกต้อง ซึ่งเรื่อง นี้ถือว่า เป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อรายได้ของทีโอทีโดยตรง ซึ่งปัญหาเหล่านี้ทางคณะกรรมการ (บอร์ด) ก็รับทราบ แต่ไม่เคยเข้ามาสอบสวน หรือ หาวิธีการแก้ไขช่องโหว่เหล่านี้ เพราะทุกบอร์ดที่ผ่านมา 3-4 ชุดรวมทั้งบอร์ดปัจจุบัน ก็สนใจแต่เรื่องของการจัดซื้อจัดหาอุปกรณ์มากกว่า รวมทั้งยังตกเป็นเครื่องมือที่เดินไปตามเกมของรองกรรมการผู้จัดการใหญ่บางคน ซึ่งเรื่องนี้ยิ่งทำให้การปรับแนวทางการบริหารและการพัฒนาองค์กร เป็นได้ยากมาก
นายสมชาย กล่าวต่อว่า หลังจากที่ศ.ดร. สิทธิชัย โภไคยอุดม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือไอซีที ได้ลาออกจากตำแหน่งเชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่อ ทีโอทีอย่างแน่นอน เนื่องจากศ.ดร.สิทธิชัย เป็นบุคคลที่มีความรู้ในเรื่องของเทคโนโลยี รวมทั้งยังมีนโยบายที่คั่งค้างอยู่มาก หากรัฐมนตรีที่มาใหม่ไม่สานงานต่อ หรือไม่มีความรู้ความเข้าใจในงานด้าน สื่อสารก็ส่งผลต่อการบริหารงานเพราะปัญหาภายในองค์กรของทีโอทีถือเป็นเรื่องที่ซับซ้อน ทั้งนี้ หลังจากที่รัฐบาลสรรหารัฐมนตรีใหม่เข้ามาดำรงตำแหน่ง ทางสรท.จะเข้าพบเพื่อขอความมั่นใจว่าจะสานต่องานจากรัฐมนตรีสิทธิชัย และเน้นให้ความสำคัญในการเข้ามาแก้ไขปัญหาภายในองค์กรของทีโอที เนื่องจากปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้มีเพียงปัญหาเดียว แต่มีหลากหลายปัญหา เช่น ปัญหาความแตกแยกของบุคลากรตั้งแต่พนักงานระดับล่างจนถึงผู้บริหารระดับสูง, ปัญหาคอร์รัปชั่น, ปัญหาระเบียบในการจัดซื้อจัดหาอุปกรณ์ และความไม่พัฒนาของบุคลากรภายในองค์กร เป็นต้น
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... 12DDS45231
>> ลูกค้าตีจากพนักงานแตกแยกโกงกินชุกชุม
ทีโอทีอาการย่ำแย่หลังสารพัดปัญหาทั้งภายนอกภายในรุมเร้า ฉุดกระทบรายได้วูบเกือบ 4,000 ล้านบาทช่วงครึ่งปีแรก คาดการณ์ทั้งปีรายได้หล่นประมาณ 50% จากปี 2549 เฉพาะค่าเอซีฉุดกว่า 10,000 ล้านบาท เร่งรัดเข็มขัดสุดชีวิต ล่าสุดลดคอสต์ ได้กว่า 1,500 ล้านบาท สหภาพฯ ชี้ปัญหาภายในทีโอทีเพียบ รวมทั้งปัญหาคอร์รัปชั่น ในการจัดซื้อจัดจ้าง พร้อมฝาก รมว.คนใหม่สางปัญหาโดยด่วน สถานการณ์ของ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เวลานี้ต้องบอกว่ามีความย่ำแย่มากที่สุดจากในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งเป็นหน่วยงานที่เปรียบเสมือนเสือนอนกิน เนื่องจากทีโอที เป็นองค์กรรัฐวิสาหกิจ ที่มีหน้าที่ในการให้บริการโทรศัพท์ภายในประเทศ ทั้งโทรศัพท์พื้นฐานและโทรศัพท์เคลื่อนที่ ตลอดจนเทคโนโลยีอื่นๆ อาทิ ให้บริการโทรศัพท์ประจำที่ ให้บริการโครงข่าย บริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง ระบบสื่อสารดาวเทียม ฯลฯ
เพื่อให้ธุรกิจโทรคมนาคมไทย มีการแข่งขันบนพื้นฐานความเท่าเทียมกัน ในปี 2547 รัฐบาลจึง ได้มีการตั้งคณะกรรมการกำกับกิจการโทรคมนาคม แห่งชาติ (กทช.) ขึ้นมากำกับดูแลและออกกฎเกณฑ์ กติกา เพื่อให้มีการแข่งขันกันได้อย่างเสรีและเป็นธรรม การเพิ่มดีกรีความเข้มข้นในการกำกับ ดูแลกิจการโทรคมนาคมไทย กทช. มีการผลักดันหลักเกณฑ์ และกฎกติกาใหม่ๆ เพื่อบังคับใช้กับผู้ประกอบธุรกิจสื่อสารในเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นหลัก เกณฑ์การเชื่อมต่อโครงข่าย หรืออินเตอร์คอนเน็กชั่นชาร์จ (ไอซี), หลักเกณฑ์เกี่ยวกับมาตรฐานของสัญญาให้บริการโทรคมนาคม, ร่างประกาศ กทช.ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงอัตราค่าธรรมเนียม และค่าบริการในกิจการโทรคมนาคม, ประกาศว่าด้วยมาตรการเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทำอันเป็น การผูกขาด หรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันในกิจการโทรคมนาคม รวมถึงประกาศ กทช.ว่าด้วยสัญญาอันเกี่ยวเนื่องกับการประกอบกิจการโทรคมนาคมที่ทำกับต่างประเทศ เป็นต้น
ทั้งนี้ กฎระเบียบดังกล่าวมีผลกระทบต่อการ ดำเนินงานของทีโอที โดยเฉพาะเรื่องไอซี ซึ่งมีอัตรา ที่ถูกกว่าค่าเช่าวงจร หรือแอ็กแซสชาร์จ (เอซี) ที่ดีแทคกับทรูจ่ายให้กับทีโอทีในอัตรา 200 บาทต่อ เลขหมาย ทำให้เอกชนทั้ง 2 รายหยุดจ่ายค่าเอซีแก่ทีโอทีไปเมื่อเดือน พ.ย.2549 ที่ผ่านมา โดยในส่วนของดีแทคนั้นได้มีการค้างจ่ายเป็นจำนวนเงิน 8,000 ล้านบาท ส่วนทรู มูฟค้างจ่ายมากกว่า 1,000 ล้านบาท และคิดเป็นตัวเลขรายได้ที่หายไปถึง 10,000 ล้านบาทต่อปี ที่ทีโอทีเก็บจากดีแทค ทรู มูฟ และดิจิตอลโฟน ซึ่งเป็นผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่ภายใต้สัญญา บมจ.กสท โทรคมนาคม ที่ได้มีสัญญาขอใช้เครือข่ายในประเทศกับทีโอที
ดังนั้นเมื่อมาดูถึงตัวเลขผลการดำเนินงานของทีโอที ปรากฏว่า มีการปรับลดลงมาจากปี 2548 บริษัทมีรายได้รวมที่ 61,863.90 ล้านบาท ในขณะที่ปี 2549 มีรายได้รวมที่ 60,691.38 ล้านบาท ลดลง 1,172.52 ล้านบาท และวิกฤติอย่างหนัก ในปี 2550 เพราะในช่วงครึ่งปีแรกปีนี้ ทีโอที มีรายได้รวม 25,940.5 ล้านบาท ลดลง 3,892.7 ล้าน บาท จากช่วงเดียวกันของปี 2549 ส่วนค่าใช้จ่ายภายในองค์กร เช่น เงินเดือนพนักงาน ค่าใช้จ่าย ด้านสาธารณูปโภค ค่าซ่อมบำรุงโครงข่าย และ อื่นๆ เฉลี่ยปีละไม่ต่ำกว่า 49,000 ล้านบาท ซึ่งหลัง จากที่ทีโอทีพยายามอย่างหนักในปีนี้ในช่วง 6 เดือน แรกก็สามารถลดค่าใช้จ่ายลงเหลือ 22,376 ล้านบาท โดยลดลง 1,513 ล้านบาท ซึ่งส่งผลให้กำไรสุทธิ 2,862.2 ล้านบาท ลดลง 1,617.6 ล้านบาท ทั้งนี้มีการคาดการณ์ว่า สิ้นปี 2550 นี้รายได้ของทีโอทีจะลดลงจากปีที่แล้วประมาณ 50% โดยปัจจัย ตัวสำคัญคือ รายได้จากค่าเอซีที่หายไป สำหรับรายได้ของทีโอทีในส่วนต่างๆ นั้น ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2550 ทีโอทีมีรายได้จาก การให้บริการ 13,000 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้ จากโทรศัพท์พื้นฐาน 7,400 ล้านบาท ลดลง 1,200 ล้านบาท เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน โทรศัพท์ สาธารณะ 1,400 ล้านบาท ลดลง 700 ล้านบาท อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง (บรอดแบนด์) 1,079 ล้าน บาท เพิ่มขึ้น 610 ล้านบาท และการให้บริการวงเช่า 2,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 200 ล้านบาท โทรศัพท์ ระหว่างประเทศ 743 ล้านบาท ลดลง 493 ล้านบาท และรายได้อื่นๆ อีก 278 ล้านบาท
นอกจากปัจจัยภายนอกที่กระทบต่อรายได้ของทีโอทีแล้ว สถานการณ์ภายในองค์กรเองก็มีปัญหาอย่างต่อเนื่องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยนาย สมชาย แนวพานิช กรรมการสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) หรือ สรท. เปิดเผย สยามธุรกิจ ว่า ปัญหาภายในองค์กร ของทีโอที มีหลากหลายปัญหา เช่น ปัญหาความแตกแยกของบุคลากรตั้งแต่พนักงานระดับล่างจนถึงผู้บริหารระดับสูง เช่น กรณีผู้บริหารขัดแย้งกับบอร์ดจนถึงขั้นมีการปลดออกจากตำแหน่ง ทำให้ขาดผู้นำในการนำพาองค์กร และสานต่อโครงการต่างๆ ประเด็นที่ 2 ความแตกแยกในระดับพนักงาน ทำให้พนักงานขาดขวัญและกำลังใจ ปัญหาการคอร์รัปชั่น ปัญหาระเบียบในการจัดซื้อจัดหาอุปกรณ์ และความไม่พัฒนาของบุคลากรภายในองค์กร เป็นต้น
ปัญหาภายในเป็นเรื่องที่แก้ไขยากมาก เพราะที่ผ่านมาอย่างเรื่องของการจัดซื้อจัดจ้างแม้จะมีระบบอีอ็อกชั่นมาใช้ แต่ราคาอุปกรณ์ที่ ทีโอทีเปิดประมูลก็ยังมีราคาสูงกว่าเอกชน เนื่องจาก ทุกคนคิดว่าทำธุรกิจกับรัฐวิสาหกิจ และในส่วนของ ผู้บริหารเองก็ยังใช้ขั้นตอนที่ล้าสมัย รวมทั้งการที่มีโครงการที่ไม่สร้างรายได้ให้กับองค์กร เช่น การให้บริการโทรศัพท์ผ่านดาวเทียมไอพีสตาร์ ผู้บริหาร กลับไม่มีการยกเลิกสัญญาการให้บริการ หรือหาบริการทดแทนอื่นที่มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่ามาให้บริการ ทั้งๆ ที่มีรายได้เพียง 25% ของค่าเช่าที่ต้องจ่ายเดือนละประมาณ 700 ล้านบาทเท่านั้น นายสมชาย กล่าว
นอกจากนี้ ทีโอทียังประสบปัญหาอย่างหนัก จากการที่ผู้บริหารระดับสูงที่ผ่านมา ได้เข้าไปแก้ไข สัญญากับเอกชนซึ่งทำให้เอกชนได้เปรียบ เช่น การ แก้สัญญาให้ทริปเปิ้ลทรี สามารถใช้โครงข่ายของทีทีแอนด์ที ซึ่งเป็นบริษัทแม่ได้อย่างถูกต้อง ซึ่งเรื่อง นี้ถือว่า เป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อรายได้ของทีโอทีโดยตรง ซึ่งปัญหาเหล่านี้ทางคณะกรรมการ (บอร์ด) ก็รับทราบ แต่ไม่เคยเข้ามาสอบสวน หรือ หาวิธีการแก้ไขช่องโหว่เหล่านี้ เพราะทุกบอร์ดที่ผ่านมา 3-4 ชุดรวมทั้งบอร์ดปัจจุบัน ก็สนใจแต่เรื่องของการจัดซื้อจัดหาอุปกรณ์มากกว่า รวมทั้งยังตกเป็นเครื่องมือที่เดินไปตามเกมของรองกรรมการผู้จัดการใหญ่บางคน ซึ่งเรื่องนี้ยิ่งทำให้การปรับแนวทางการบริหารและการพัฒนาองค์กร เป็นได้ยากมาก
นายสมชาย กล่าวต่อว่า หลังจากที่ศ.ดร. สิทธิชัย โภไคยอุดม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือไอซีที ได้ลาออกจากตำแหน่งเชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่อ ทีโอทีอย่างแน่นอน เนื่องจากศ.ดร.สิทธิชัย เป็นบุคคลที่มีความรู้ในเรื่องของเทคโนโลยี รวมทั้งยังมีนโยบายที่คั่งค้างอยู่มาก หากรัฐมนตรีที่มาใหม่ไม่สานงานต่อ หรือไม่มีความรู้ความเข้าใจในงานด้าน สื่อสารก็ส่งผลต่อการบริหารงานเพราะปัญหาภายในองค์กรของทีโอทีถือเป็นเรื่องที่ซับซ้อน ทั้งนี้ หลังจากที่รัฐบาลสรรหารัฐมนตรีใหม่เข้ามาดำรงตำแหน่ง ทางสรท.จะเข้าพบเพื่อขอความมั่นใจว่าจะสานต่องานจากรัฐมนตรีสิทธิชัย และเน้นให้ความสำคัญในการเข้ามาแก้ไขปัญหาภายในองค์กรของทีโอที เนื่องจากปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้มีเพียงปัญหาเดียว แต่มีหลากหลายปัญหา เช่น ปัญหาความแตกแยกของบุคลากรตั้งแต่พนักงานระดับล่างจนถึงผู้บริหารระดับสูง, ปัญหาคอร์รัปชั่น, ปัญหาระเบียบในการจัดซื้อจัดหาอุปกรณ์ และความไม่พัฒนาของบุคลากรภายในองค์กร เป็นต้น
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... 12DDS45231
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news15/10/07
โพสต์ที่ 69
AIS ผวา TOT ฟ้องเก็บสรรพสามิตย้อนหลัง
AIS สะดุ้งทีโอทีจ้องฟ้องเรียกภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคมคืน ขุดเรื่องเก่ามาเล่าใหม่อ้างค.ร.ม.ชุดทักษิณ มีมติเอื้อประโยชน์เอกชนเรียกเก็บภาษีหักจากค่าสัมปทานทำสูญรายได้ไปหลายร้อยล้านบาท วิเชียร สวนให้ไปเอาผิดกับคนต้นคิดยันเงินไม่ได้เข้ากระเป๋าเอกชนแม้แต่บาทเดียว เพราะจ่ายกรมสรรพสามิตหมด
นายนที ศุกลรัตน์ หนึ่งในคณะกรรมการบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้ทีโอทีอยู่ระหว่างศึกษารายละเอียดฟ้องร้องเรียกเก็บภาษีสรรพสามิตย้อนหลัง จากผู้รับสัมปทานได้แก่ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส ผู้รับสัมปทานโทรศัพท์เคลื่อนที่ บริษัท ทีทีแอนด์ที จำกัด (มหาชน) หรือ TT&T บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ TRUE แม้ว่าภาษีสรรพสามิตดังกล่าวจะถูกยกเลิกในรัฐบาลชุดนี้แล้วก็ตาม
ทั้งนี้เนื่องจากเห็นว่า มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวนที่ 28 มกราคม 2546 ซึ่งมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี มีมติเรียกเก็บภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคมโทรศัพท์เคลื่อนที่ 10% และโทรศัพท์พื้นฐาน 2% และต่อมาเมื่อวันที่ 11กุมภาพันธุ์ 2546 ค.ร.ม.เดียวกันมีมติให้เอกชนนำภาษีสรรพสามิตที่จ่ายมาหักกับส่วนแบ่งรายได้ที่จ่ายเข้า ทีโอที ส่งทำให้ทีโอทีมีรายได้ลดลง จึงเห็นว่ามิติดังกล่าวเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทเอกชน
อย่างไรก็ดีการที่ค.ร.ม.ชุดดังกล่าวมีมติให้บริษัทเอกชนนำภาษีสรรพสามิตที่จ่ายให้ กรมสรรพสามิตมาหักจากส่วนแบ่งรายได้เอกชนจ่ายให้ทีโอที ส่งผลให้ทีโอทีรับส่วนแบ่งรายได้จาก เอไอเอสลดลงจากเดิม 25% เมื่อหักภาษีดังกล่าว 10% ทีโอทีก็เหลือรับรู้รายได้จากเอกชนเพียง 15% เช่นเดียวกับ ส่วนแบ่งรายได้จากสัมปทานโทรศัพท์เคลื่อนที่ก็ลดลงด้วยเช่นกันเดิมทีโอทีได้ส่วนแบ่งรายได้จาก TRUE เหลือเพียง 16% หลังจากหักภาษีออก ไป 2% และได้รายได้จาก TT&T ลดลงเหลือ 41 % เมื่อหักภาษีจำนวนเท่ากันกับทรู ซึ่งนับจากปี 2546 จนถึงปัจจุบัน ทีโอทีสูญเสียรายได้จากกรณีดักล่าวไปหลายพันล้านบาท
นายวิเชียร เมฆตระการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ เอไอเอส เปิดเผยว่า การจ่ายภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคม ให้กับกรมสรรพสามิตแล้วนำค่าใช้จ่ายดังกล่าวไปหักกับส่วนแบ่งรายได้ที่จ่ายให้ทีโอทีนั้น เอกชนไม่ได้รับผลประโยชน์จากเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย เพราะรายได้ที่หายไปจากทีโอทีโอที ก็เข้าไปเป็นรายได้ของสรรพสามิต เอกชนต่างหากที่เป็นคนจ่ายเงิน
เรื่องภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคม ที่ค.ร.ม.อนุมัติในปี 2546 นั้นเอกชนไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลยรายได้ของทีโอทีที่หายไปจากที่เอกชนนำภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคมไปหักจากส่วนแบ่งรายได้ ก็ไม่ได้กลับเข้ามาในกระเป๋าเอกชน แต่ไปอยู่กับกรมสรรพสามิตเหมือนกระเป๋าซ้ายเข้ากระเป๋าขวาเพราะทั้ง 2 ถือเป็นรัฐด้วยกันทั้งคู่
อย่างไรก็ดีหากทีโอทีต้องการฟ้องร้องหาผู้รับผิดเพราะเห็นว่ามติดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็ควรจะดำเนินการฟ้องค.ร.ม.ชุดที่มีมติดังกล่าว หรือ ฟ้องร้องกรมสรรพสามิตเพราะรายได้ของทีโอทีที่หาไปถูกจัดเก็บเข้าไปเป็นรายได้ของกรมสรรพสามิต
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16
AIS สะดุ้งทีโอทีจ้องฟ้องเรียกภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคมคืน ขุดเรื่องเก่ามาเล่าใหม่อ้างค.ร.ม.ชุดทักษิณ มีมติเอื้อประโยชน์เอกชนเรียกเก็บภาษีหักจากค่าสัมปทานทำสูญรายได้ไปหลายร้อยล้านบาท วิเชียร สวนให้ไปเอาผิดกับคนต้นคิดยันเงินไม่ได้เข้ากระเป๋าเอกชนแม้แต่บาทเดียว เพราะจ่ายกรมสรรพสามิตหมด
นายนที ศุกลรัตน์ หนึ่งในคณะกรรมการบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้ทีโอทีอยู่ระหว่างศึกษารายละเอียดฟ้องร้องเรียกเก็บภาษีสรรพสามิตย้อนหลัง จากผู้รับสัมปทานได้แก่ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส ผู้รับสัมปทานโทรศัพท์เคลื่อนที่ บริษัท ทีทีแอนด์ที จำกัด (มหาชน) หรือ TT&T บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ TRUE แม้ว่าภาษีสรรพสามิตดังกล่าวจะถูกยกเลิกในรัฐบาลชุดนี้แล้วก็ตาม
ทั้งนี้เนื่องจากเห็นว่า มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวนที่ 28 มกราคม 2546 ซึ่งมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี มีมติเรียกเก็บภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคมโทรศัพท์เคลื่อนที่ 10% และโทรศัพท์พื้นฐาน 2% และต่อมาเมื่อวันที่ 11กุมภาพันธุ์ 2546 ค.ร.ม.เดียวกันมีมติให้เอกชนนำภาษีสรรพสามิตที่จ่ายมาหักกับส่วนแบ่งรายได้ที่จ่ายเข้า ทีโอที ส่งทำให้ทีโอทีมีรายได้ลดลง จึงเห็นว่ามิติดังกล่าวเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทเอกชน
อย่างไรก็ดีการที่ค.ร.ม.ชุดดังกล่าวมีมติให้บริษัทเอกชนนำภาษีสรรพสามิตที่จ่ายให้ กรมสรรพสามิตมาหักจากส่วนแบ่งรายได้เอกชนจ่ายให้ทีโอที ส่งผลให้ทีโอทีรับส่วนแบ่งรายได้จาก เอไอเอสลดลงจากเดิม 25% เมื่อหักภาษีดังกล่าว 10% ทีโอทีก็เหลือรับรู้รายได้จากเอกชนเพียง 15% เช่นเดียวกับ ส่วนแบ่งรายได้จากสัมปทานโทรศัพท์เคลื่อนที่ก็ลดลงด้วยเช่นกันเดิมทีโอทีได้ส่วนแบ่งรายได้จาก TRUE เหลือเพียง 16% หลังจากหักภาษีออก ไป 2% และได้รายได้จาก TT&T ลดลงเหลือ 41 % เมื่อหักภาษีจำนวนเท่ากันกับทรู ซึ่งนับจากปี 2546 จนถึงปัจจุบัน ทีโอทีสูญเสียรายได้จากกรณีดักล่าวไปหลายพันล้านบาท
นายวิเชียร เมฆตระการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ เอไอเอส เปิดเผยว่า การจ่ายภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคม ให้กับกรมสรรพสามิตแล้วนำค่าใช้จ่ายดังกล่าวไปหักกับส่วนแบ่งรายได้ที่จ่ายให้ทีโอทีนั้น เอกชนไม่ได้รับผลประโยชน์จากเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย เพราะรายได้ที่หายไปจากทีโอทีโอที ก็เข้าไปเป็นรายได้ของสรรพสามิต เอกชนต่างหากที่เป็นคนจ่ายเงิน
เรื่องภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคม ที่ค.ร.ม.อนุมัติในปี 2546 นั้นเอกชนไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลยรายได้ของทีโอทีที่หายไปจากที่เอกชนนำภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคมไปหักจากส่วนแบ่งรายได้ ก็ไม่ได้กลับเข้ามาในกระเป๋าเอกชน แต่ไปอยู่กับกรมสรรพสามิตเหมือนกระเป๋าซ้ายเข้ากระเป๋าขวาเพราะทั้ง 2 ถือเป็นรัฐด้วยกันทั้งคู่
อย่างไรก็ดีหากทีโอทีต้องการฟ้องร้องหาผู้รับผิดเพราะเห็นว่ามติดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็ควรจะดำเนินการฟ้องค.ร.ม.ชุดที่มีมติดังกล่าว หรือ ฟ้องร้องกรมสรรพสามิตเพราะรายได้ของทีโอทีที่หาไปถูกจัดเก็บเข้าไปเป็นรายได้ของกรมสรรพสามิต
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news18/10/07
โพสต์ที่ 70
ยักษ์ไอทีเสือเหลืองบุกไทย
โพสต์ทูเดย์ อเวนิว 33 จับมือดาต้า ไอที บุกตลาดประเทศไทยเต็มตัว ส่งสินค้า 3 แบรนด์ดังเจาะตลาด ตั้งเป้าขาย 6 เดือนแรก 20 ล้านบาท
นายยูจีน โช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อเวนิว 33 เอส ดี เอ็น ผู้นำเข้าอุปกรณ์เสริมคอมพิวเตอร์รายใหญ่ยี่ห้อเอ็มเทค เลมอน ดิวูม ฯลฯ จากประเทศมาเลเซีย กล่าวว่า ได้ขยายธุรกิจเข้ามา ในประเทศไทย ด้วยการจับมือกับดาต้า ไอที ซูเปอร์สโตร์ ในการเป็นตัวแทนจำหน่ายด้านค้าปลีกรายเดียวของประเทศไทย ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถเพิ่มไลน์สินค้าให้ครบวงจร ทั้งคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์สำนักงาน และโทรศัพท์มือถือ โดยจะเริ่มจากยี่ห้อเอ็มเทคในช่วงแรก ตามด้วยเครื่องเล่นเอ็มพี 3 และเอ็มพี 4 ยี่ห้อเลมอน และลำโพงยี่ห้อดิวูม จากนั้นจะพิจารณาสินค้าอื่นๆ เพิ่มในอนาคต
ทั้งนี้ ในช่วงแรกจะตั้งงบประมาณ ช่วยเหลือการทำตลาดเดือนละ 1 ล้านบาท รวมทั้งสนับสนุนการจัดงานแอกเซสซอรี แฟร์ ครั้งแรกในประเทศไทยปลายปีนี้ ซึ่งใน 6 เดือนแรก บริษัทตั้งเป้ายอดจำหน่ายไว้ที่ 17-20 ล้านบาท และจะเพิ่มขึ้นเป็น 25-30 ล้านบาท ใน 6 เดือนถัดไป
การบุกตลาดประเทศไทย เป็นหนึ่งในแผนการขยายตลาดในภูมิภาคนี้ ต่อจากสิงคโปร์ และมาเลเซีย โดยจากนี้มีแผนจะรุกตลาดในออสเตรเลีย และอินโดนีเซีย
ตลาดไอทีในไทยยังมีช่องว่างอีกมาก จึงตัดสินใจเข้ามาทำตลาด โดยเราจะให้การสนับสนุนดาต้า ไอที เต็มที่ในทุกเรื่อง รวมไปถึงการหาสินค้าที่มีคุณภาพ และ การสนับสนุนด้านการทำตลาดต่างๆ นายโช กล่าว
ด้านนายวัชระ มงคลสุนทรโชติ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ดาต้า ไอที ซูเปอร์สโตร์ กล่าวว่า การร่วมมือกันครั้งนี้เป็นความร่วมมือทางธุรกิจ ทำให้ อเวนิว 33 เป็นซัพพลายเออร์รายใหญ่ที่ส่งสินค้าเข้ามาในดาต้า ไอที แต่ยังไม่ได้ มีการพูดคุยเรื่องการร่วมธุรกิจกันแต่ อย่างใด
นอกจากการหาสินค้าใหม่ๆ เข้ามาทำตลาดแล้ว บริษัทยังมีแผนที่จะปรับรูปแบบของดาต้า ไอที โดยคาดว่าจะเริ่มได้หลังจากแผนฟื้นฟูเสร็จสิ้น และการได้สินค้าจาก อเวนิว 33 เข้ามาทำตลาด จะช่วยเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าในการเข้ามาซื้อสินค้ามากขึ้น และทำให้บริษัทสามารถทำรายได้เพิ่มขึ้นจากกลุ่มสินค้าแอกเซสซอรี ที่ปกติจะมีสัดส่วนการขายราว 30%
สำหรับผลประกอบการในปีนี้ คาดว่าจะมียอดรายได้ทั้งหมดราว 600 ล้านบาท และเชื่อว่าในอนาคต บริษัทน่าจะมียอดจำหน่ายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=198203
โพสต์ทูเดย์ อเวนิว 33 จับมือดาต้า ไอที บุกตลาดประเทศไทยเต็มตัว ส่งสินค้า 3 แบรนด์ดังเจาะตลาด ตั้งเป้าขาย 6 เดือนแรก 20 ล้านบาท
นายยูจีน โช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อเวนิว 33 เอส ดี เอ็น ผู้นำเข้าอุปกรณ์เสริมคอมพิวเตอร์รายใหญ่ยี่ห้อเอ็มเทค เลมอน ดิวูม ฯลฯ จากประเทศมาเลเซีย กล่าวว่า ได้ขยายธุรกิจเข้ามา ในประเทศไทย ด้วยการจับมือกับดาต้า ไอที ซูเปอร์สโตร์ ในการเป็นตัวแทนจำหน่ายด้านค้าปลีกรายเดียวของประเทศไทย ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถเพิ่มไลน์สินค้าให้ครบวงจร ทั้งคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์สำนักงาน และโทรศัพท์มือถือ โดยจะเริ่มจากยี่ห้อเอ็มเทคในช่วงแรก ตามด้วยเครื่องเล่นเอ็มพี 3 และเอ็มพี 4 ยี่ห้อเลมอน และลำโพงยี่ห้อดิวูม จากนั้นจะพิจารณาสินค้าอื่นๆ เพิ่มในอนาคต
ทั้งนี้ ในช่วงแรกจะตั้งงบประมาณ ช่วยเหลือการทำตลาดเดือนละ 1 ล้านบาท รวมทั้งสนับสนุนการจัดงานแอกเซสซอรี แฟร์ ครั้งแรกในประเทศไทยปลายปีนี้ ซึ่งใน 6 เดือนแรก บริษัทตั้งเป้ายอดจำหน่ายไว้ที่ 17-20 ล้านบาท และจะเพิ่มขึ้นเป็น 25-30 ล้านบาท ใน 6 เดือนถัดไป
การบุกตลาดประเทศไทย เป็นหนึ่งในแผนการขยายตลาดในภูมิภาคนี้ ต่อจากสิงคโปร์ และมาเลเซีย โดยจากนี้มีแผนจะรุกตลาดในออสเตรเลีย และอินโดนีเซีย
ตลาดไอทีในไทยยังมีช่องว่างอีกมาก จึงตัดสินใจเข้ามาทำตลาด โดยเราจะให้การสนับสนุนดาต้า ไอที เต็มที่ในทุกเรื่อง รวมไปถึงการหาสินค้าที่มีคุณภาพ และ การสนับสนุนด้านการทำตลาดต่างๆ นายโช กล่าว
ด้านนายวัชระ มงคลสุนทรโชติ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ดาต้า ไอที ซูเปอร์สโตร์ กล่าวว่า การร่วมมือกันครั้งนี้เป็นความร่วมมือทางธุรกิจ ทำให้ อเวนิว 33 เป็นซัพพลายเออร์รายใหญ่ที่ส่งสินค้าเข้ามาในดาต้า ไอที แต่ยังไม่ได้ มีการพูดคุยเรื่องการร่วมธุรกิจกันแต่ อย่างใด
นอกจากการหาสินค้าใหม่ๆ เข้ามาทำตลาดแล้ว บริษัทยังมีแผนที่จะปรับรูปแบบของดาต้า ไอที โดยคาดว่าจะเริ่มได้หลังจากแผนฟื้นฟูเสร็จสิ้น และการได้สินค้าจาก อเวนิว 33 เข้ามาทำตลาด จะช่วยเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าในการเข้ามาซื้อสินค้ามากขึ้น และทำให้บริษัทสามารถทำรายได้เพิ่มขึ้นจากกลุ่มสินค้าแอกเซสซอรี ที่ปกติจะมีสัดส่วนการขายราว 30%
สำหรับผลประกอบการในปีนี้ คาดว่าจะมียอดรายได้ทั้งหมดราว 600 ล้านบาท และเชื่อว่าในอนาคต บริษัทน่าจะมียอดจำหน่ายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=198203
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news26/10/07
โพสต์ที่ 71
ไอบีเอ็มลั่นยึดแชมป์ระบบไอที มั่นใจการเมืองนิ่งเอื้ออุตฯโตต่อ
โพสต์ทูเดย์ เปิดวิชันเอ็มดีใหม่ ไอบีเอ็ม ประเทศไทย ลั่นครองแชมป์หนึ่งระบบไอที ยกเว้นพีซี หวังการเมืองนิ่งเบิกทางอุตสาห กรรมไอทีปีหน้าโตสองหลัก
นายธันวา เลาหศิริวงศ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย กล่าวว่า ไอบีเอ็มจะเข้าไปเป็นผู้เล่นหลัก คนสำคัญในทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะในกลุ่มอุตสาห กรรมการเงินการธนาคาร โทรคมนาคม ค้าปลีก โรงพยาบาล บริการข้อมูลดิจิตอลด้านบันเทิง รวมถึงกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดกลางและเล็ก (เอสเอ็มอี) ด้วยการ นำเสนอเทคโนโลยีและนวัตกรรมระบบไอทีของไอบีเอ็ม ทั้งระบบและอุปกรณ์เครื่อง แม่ข่าย (เซิร์ฟเวอร์) ซอฟต์แวร์ และบริการ
ทั้งนี้ จะยกเว้นกลุ่มผลิตภัณฑ์คอมพิว- เตอร์ตั้งโต๊ะ (พีซี) ที่ไอบีเอ็มขายออกไปแล้ว โดยการบุกเจาะตลาดครั้งนี้ เพื่อทำให้ ไอบีเอ็มรักษาฐานตลาด และมีส่วนแบ่งการตลาดมากขึ้น เพื่อครองความเป็นเบอร์หนึ่งในตลาดไอทีไทย
นอกจากนี้ ยังเชื่อว่าภาวะเศรษฐกิจและการเมืองไทยในปีหน้าน่าจะเริ่มนิ่ง และมีการใช้เงินลงทุนมากขึ้น ส่งผลให้อุตสาหกรรมไอทีไทยยังคงเติบโตอยู่ในระดับตัวเลขสองหลัก โดยเอสเอ็มอีถือ เป็นกลุ่มที่มีอัตราการเติบโตมากกว่าตลาด ซึ่งเป็นกลุ่มที่ไอบีเอ็มให้ความสำคัญใน การทำตลาดมากขึ้นในปีหน้า ด้วยการ จัดตั้งกลุ่มธุรกิจและทีมเข้ามาดูแลตลาดนี้โดยเฉพาะ
ภาวะเศรษฐกิจและการเมืองไม่มีผลกับตลาดไอที และไอบีเอ็มก็ต้องการจะชนะในการแข่งขัน โดยกินส่วนแบ่งตลาดให้ได้มากที่สุด นี่คือ การบ้านที่ได้รับเมื่อ เข้ามารับตำแหน่ง นายธันวา กล่าว
สิ่งที่ไอบีเอ็มต้องเตรียมพร้อมรับการแข่งขันเพื่อเป็นที่หนึ่ง คือ การสร้างความพึงพอใจและไว้วางใจต่อลูกค้าและคู่ค้า ที่มีต่อผลิตภัณฑ์ และบริการทั้งทางด้านที่ปรึกษาวางแผนออกแบบระบบไอที รวมถึงบริการดูแลระบบไอทีของไอบีเอ็มที่มีครบวงจรอย่างต่อเนื่อง
ทั้งหมดนี้ ถือเป็นจุดยืนของไอบีเอ็ม ที่ต้องการเป็นบริษัทเทคโนโลยี ที่เมื่อลูกค้าต้องการซื้อระบบไอทีแล้วต้องนึกถึงไอบีเอ็ม และยังเป็นสิ่งที่สร้างความแตกต่างจากคู่แข่งขันในตลาดเดียวกันอีกด้วย
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=199718
โพสต์ทูเดย์ เปิดวิชันเอ็มดีใหม่ ไอบีเอ็ม ประเทศไทย ลั่นครองแชมป์หนึ่งระบบไอที ยกเว้นพีซี หวังการเมืองนิ่งเบิกทางอุตสาห กรรมไอทีปีหน้าโตสองหลัก
นายธันวา เลาหศิริวงศ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย กล่าวว่า ไอบีเอ็มจะเข้าไปเป็นผู้เล่นหลัก คนสำคัญในทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะในกลุ่มอุตสาห กรรมการเงินการธนาคาร โทรคมนาคม ค้าปลีก โรงพยาบาล บริการข้อมูลดิจิตอลด้านบันเทิง รวมถึงกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดกลางและเล็ก (เอสเอ็มอี) ด้วยการ นำเสนอเทคโนโลยีและนวัตกรรมระบบไอทีของไอบีเอ็ม ทั้งระบบและอุปกรณ์เครื่อง แม่ข่าย (เซิร์ฟเวอร์) ซอฟต์แวร์ และบริการ
ทั้งนี้ จะยกเว้นกลุ่มผลิตภัณฑ์คอมพิว- เตอร์ตั้งโต๊ะ (พีซี) ที่ไอบีเอ็มขายออกไปแล้ว โดยการบุกเจาะตลาดครั้งนี้ เพื่อทำให้ ไอบีเอ็มรักษาฐานตลาด และมีส่วนแบ่งการตลาดมากขึ้น เพื่อครองความเป็นเบอร์หนึ่งในตลาดไอทีไทย
นอกจากนี้ ยังเชื่อว่าภาวะเศรษฐกิจและการเมืองไทยในปีหน้าน่าจะเริ่มนิ่ง และมีการใช้เงินลงทุนมากขึ้น ส่งผลให้อุตสาหกรรมไอทีไทยยังคงเติบโตอยู่ในระดับตัวเลขสองหลัก โดยเอสเอ็มอีถือ เป็นกลุ่มที่มีอัตราการเติบโตมากกว่าตลาด ซึ่งเป็นกลุ่มที่ไอบีเอ็มให้ความสำคัญใน การทำตลาดมากขึ้นในปีหน้า ด้วยการ จัดตั้งกลุ่มธุรกิจและทีมเข้ามาดูแลตลาดนี้โดยเฉพาะ
ภาวะเศรษฐกิจและการเมืองไม่มีผลกับตลาดไอที และไอบีเอ็มก็ต้องการจะชนะในการแข่งขัน โดยกินส่วนแบ่งตลาดให้ได้มากที่สุด นี่คือ การบ้านที่ได้รับเมื่อ เข้ามารับตำแหน่ง นายธันวา กล่าว
สิ่งที่ไอบีเอ็มต้องเตรียมพร้อมรับการแข่งขันเพื่อเป็นที่หนึ่ง คือ การสร้างความพึงพอใจและไว้วางใจต่อลูกค้าและคู่ค้า ที่มีต่อผลิตภัณฑ์ และบริการทั้งทางด้านที่ปรึกษาวางแผนออกแบบระบบไอที รวมถึงบริการดูแลระบบไอทีของไอบีเอ็มที่มีครบวงจรอย่างต่อเนื่อง
ทั้งหมดนี้ ถือเป็นจุดยืนของไอบีเอ็ม ที่ต้องการเป็นบริษัทเทคโนโลยี ที่เมื่อลูกค้าต้องการซื้อระบบไอทีแล้วต้องนึกถึงไอบีเอ็ม และยังเป็นสิ่งที่สร้างความแตกต่างจากคู่แข่งขันในตลาดเดียวกันอีกด้วย
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=199718
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news29/10/07
โพสต์ที่ 72
AIS-DTACรุมชิงลูกค้าทรูมูฟ ไล่กวาดวัยโจ๋-เด็กประถม
ปอกเปลือกกลยุทธ์คู่กัด 2 ยักษ์มือถือ "เอไอเอส-ดีแทค" ชี้ 1-2 ปีตลาดถึงยุคอิ่มตัว ต้องเร่งสปีดพัฒนาคุณภาพบริการ สกัดลูกค้าไหลออกจากระบบสุดฝีมือ จับตา "เบอร์เดียวทุกระบบ" กระตุ้นลูกค้าย้ายค่ายง่ายขึ้น เล็งขยับมาร์เก็ตแชร์รุกกลุ่ม "วัยรุ่น-พรีทีน" แย่งแชร์จากน้องเล็ก "ทรูมูฟ" หวังผลระยะยาว คาดสงคราม "ราคา" และกลยุทธ์แจก "ซิม" ลดดีกรีร้อนลง เหตุมือถือไทยถูกสุดในโลก ยิ่งแข่งยิ่งเจ๊ง ขณะที่เทคโนโลยีใหม่ "3G-ไวแม็กซ์" ขับเคลื่อนมือถือสู่ยุคใหม่
นายธนา เธียรอัจฉริยะ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น หรือ ดีแทค กล่าวในการสัมมนาเกาะติดการตลาดยุคใหม่ "แบรนด์ชนแบรนด์" ว่า ธุรกิจให้บริการโทรศัพท์มือถือเป็นธุรกิจที่ไม่เหมือนใคร เพราะต้องให้บริการแก่ลูกค้าในระบบสมาชิกที่มีทั่วทั้งประเทศ แต่มีการแข่งขันสูงมาก ซึ่งในประเทศไทยไม่มีธุรกิจแบบนี้มาก่อน แม้จะใกล้เคียงกับธุรกิจเคเบิลทีวี หรือบัตรเครดิต แต่ไม่ได้มีจำนวนสมาชิกมาก หรือมีการแข่งขันรุนแรงเท่าโทรศัพท์มือถือ
ขณะที่การให้บริการโทรศัพท์มือถือต่อไปจะมีการให้ระบบที่เรียกว่า "นัมเบอร์พอร์ทาบิลิตี้" (number portability) หรือการใช้เบอร์เดียวทุกระบบทำให้ลูกค้าย้ายค่าย หรือเปลี่ยนผู้ให้บริการได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนเบอร์ ดังนั้นการให้บริการแก่ลูกค้าจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก
ดังนั้น แนวทางการตลาดต่อไปจึงต้องเปลี่ยน แปลง จากเดิมที่เน้นการกวาดหาสมาชิกเข้ามาไว้ในระบบของตนเองให้มากที่สุด มาเป็นการอุด รอยรั่ว หรือการรักษาให้สมาชิกอยู่ในระบบให้ได้ ซึ่งต้องเริ่มหาวิธีป้องกันไว้ โดยค่ายอื่นอาจเลือกใช้วิธีให้ลูกค้ายกเลิกการใช้บริการได้ยากๆ ต่างจาก ดีแทค หลังการ "รีแบรนด์" ใหม่ได้ปรับรูปแบบบริการใหม่ เพื่อทำให้ลูกค้ารู้สึกดีกับการใช้งานมากขึ้นในหลายรูปแบบ
เช่น ปรับแพ็กเกจค่าโทร.ให้เข้าใจง่ายขึ้น, ชำระค่าบริการผ่านเซเว่นอีเลฟเว่นได้ หรือให้ลูกค้ายกเลิกบริการได้ง่ายๆ เพียงโทร.มายัง คอลเซ็นเตอร์ เป็นต้น
"การที่เราให้ลูกค้าแค่โทร.มาคอลเซ็นเตอร์ก็ยกเลิกได้แล้ว แม้ดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ต้องใช้ความกล้ามาก เพราะก็จะมีคนถามว่าแล้วถ้าลูกค้าไหลออกมากๆ จะทำยังไง ซึ่งผมเองมองว่าถ้าเขาอยากจะเลิกใช้ แม้จะยื้อไว้ยังไงก็ต้องพยายามเลิกอยู่ดี"
มุ่งมัดใจด้วย "บริการ"
นายสรรค์ชัย เตียวประเสริฐกุล หัวหน้าคณะผู้บริหาร ส่วนงานการตลาด บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือเอไอเอส กล่าวว่า ที่ประเทศสิงคโปร์ก็พยายามรักษาลูกค้าไว้ด้วยบริการ ซึ่งเป็นสิ่งที่ ดีแทค และเอไอเอส พยายามทำเช่นกัน ขณะที่ ประเทศมาเลเซียมีลักษณะตลาดคล้ายกับประเทศไทย ก็มีอัตราการยกเลิกการใช้งานของลูกค้าสูงมาก ประมาณ 10-20% ต่อเดือน แต่มีการแจกซิมเป็นจำนวนมาก ซึ่งบริษัทที่ได้รับประโยชน์ไม่ใช่ ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ แต่เป็นบริษัทที่รับจ้างแจกซิม
อย่างไรก็ตาม ตนขอยืนยันว่า 2 ค่ายในไทยไม่ได้แจกซิมเยอะมาก ในส่วนของโพสต์เพดอาจมีบ้าง แต่พรีเพดมีน้อยมาก เพราะได้ไม่คุ้มเสีย และต้องการผูกคนไว้ด้วยบริการมากกว่า
นายวิเชียร เมฆตระการ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทเอไอเอส กล่าวเสริมด้วยว่า ใน 1-2 ปีข้างหน้า ไม่ใช่แต่จำนวนซิมหรือเบอร์ในประเทศไทยจะมีมากเท่ากับจำนวนประชากรของประเทศ คือ 65 ล้านคนเท่านั้น แต่มีโอกาสไปได้มากเกิน 100% ด้วย เพราะซิมมือถือไม่ได้มีไว้ใช้โทร.เข้า และโทร.ออกเพียงอย่างเดียว ปัจจุบันมีอุปกรณ์หลายอย่างมากที่ใช้ประโยชน์จากซิมของโทรศัพท์มือถือ เช่น อยู่ในสมองกลของรถยนต์ หรือแม้แต่ในสถานีตรวจวัดอากาศของกรมทรัพยากรน้ำกว่า 600 สถานี เพื่อวัดความชื้นในอากาศ วัดจำนวนน้ำที่ดินซับไว้ แล้วส่งข้อมูลผ่านระบบจีพีเอสเข้ามา สู่ศูนย์กลางแล้วนำไปใช้เป็นข้อมูลในการพยากรณ์อากาศ
ดังนั้นแค่ 60 กว่าล้านซิมจึงเป็นเรื่องปกติ ยังไม่นับว่าในอนาคตจะมีการนำซิมการ์ดของโทรศัพท์มือถือไปใส่ไว้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ เพื่อให้สั่งการจากระยะไกลได้ เช่น ให้เปิดปิดแอร์ ฯลฯ หรือแม้แต่ "ช้าง" ก็เริ่มมีความคิดจะนำ "ซิม" ไปติดไว้เพื่อติดตาม และศึกษาพฤติกรรม
นอกจากนี้ ทั้งเอไอเอส และดีแทค มีเป้าหมายที่จะเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดก่อนวัยรุ่น และวัยรุ่น ให้มากขึ้นด้วย พร้อมกับขยายการทำตลาดไปยังต่างจังหวัดเพิ่มขึ้นด้วย เนื่องจากยังมีโอกาสเติบโตได้อีก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัจจุบันเอไอเอสเป็นผู้ครอบครองส่วนแบ่งตลาดโทรศัพท์มือถือเมืองไทยมากที่สุด คือ 23 ล้านเลขหมาย ตามด้วยดีแทค 14.9 ล้านเลขหมาย และทรูมูฟ 9.3 ล้านเลขหมาย
เอไอเอสหมายตา "พรีทีน"
นายสรรค์ชัยกล่าวต่อว่า ตลาดกลุ่มก่อนวัยรุ่น (พรีทีน) และกลุ่มวัยรุ่น (ทีน) เป็นเป้าหมายของ เอไอเอส เพราะเดิมคนใช้มือถือคือนักเรียนระดับมัธยมปลาย อายุ 17-18 ปี แต่ตอนนี้คนมีมือถือเครื่องแรกเมื่ออายุ 10 ขวบ ซึ่งตลาดกลุ่มนี้ "ทรูมูฟ" ครองอยู่ เพราะเล่นเรื่องราคาแรงมาก ขณะเดียวกันเด็กก็มีที่อยู่จำกัดแค่ที่บ้าน, โรงเรียน, โรงเรียนกวดวิชา หรือถ้าโตขึ้นมาหน่อยก็จะอยู่แถวสยามสแควร์อีกที่ ซึ่งสำหรับทรูมูฟไม่มีปัญหาเรื่องความครอบคลุมของสัญญาณการให้บริการ
"ทำไมเอไอเอสต้องรุกเข้าไปในตลาดกลุ่มนี้ เพราะถ้าไม่ไป ในอนาคตจะเหนื่อยแน่ กลุ่มก่อนวัยรุ่น หรือวัยรุ่น จะโตเป็นกลุ่มบริโภคขนาดใหญ่ต่อไป อีกตลาดที่ต้องการเข้าไปขยายคือ ตลาดต่างจังหวัด เพราะตลาดในเมืองใหญ่เริ่มอิ่มตัว แต่ตลาดต่างจังหวัดยังมีความต้องการอีกเยอะ ดูได้จากใน 2-3 ปีนี้ มือถือที่ขายดีคือเครื่องที่ราคาต่ำกว่า 3,000 บาท และกว่า 50% เป็นเครื่องราคาประมาณพันกว่าบาท ต่างจากเมื่อก่อนที่ราคาจะ 6,000-7,000 พันบาท แม้ในตลาดนี้เอไอเอสจะยังแข็งแรงอยู่ แต่ดีแทค และทรูมูฟ ก็พยายามเข้ามาในตลาดนี้ หน้าที่ของเราจึงอยู่ที่การรักษาตลาดต่างจังหวัดไว้ และลงไปรุกในตลาดพรีทีนและทีน"
ด้าน ดร.เกษชญง สกาวรัตนานนท์ ผู้อำนวยการกลุ่มงานพรีเพด บริษัทดีแทค กล่าวว่า ดีแทค มองตลาดวัยรุ่นเช่นเดียวกับเอไอเอส และเป็นตลาดที่ทุกค่ายอยากเข้าถึง เพราะเป็นตลาดที่จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งดีแทคเองยังเข้าไม่ถึงลูกค้ากลุ่มนี้ แต่ได้พยายามเข้าไป โดยสร้าง "แฮปปี้ ไวรัส" ขึ้นมาไวรัส เพื่อสื่อสารกับน้องๆ กลุ่มนี้โดยเฉพาะให้ติดอยู่กับซิมนานๆ ไม่ใช่ใช้แล้วทิ้ง
นายธนาเสริมว่า ตลาดกลุ่มทีนยิ่งทำยิ่งขาดทุน เพราะรู้ทุกโปรโมชั่น และสามารถเลือกใช้ให้โทร.ได้มากที่สุดในราคาต่ำที่สุด และดีแทค ก็ต้องหาวิธีการของตนเองที่จะสู้กับแนวคิด "คอนเวอร์เจนซ์" ของทรูมูฟ ที่ได้เปรียบจากการมีบริษัทในเครือมากด้วย กับลูกค้าต่างจังหวัดเป็นอีกเป้าหมายที่จะเพิ่มดีกรีการรุกตลาดมากขึ้นใน ปีหน้า โดยแม้เครือข่ายจะยังสู้เอไอเอสไม่ได้ แต่ก็พยายามปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการเข้าไปทำตลาดจะใช้วิธีเข้าถึงลูกค้าในแต่ละพื้นที่โดยตรง เพราะใช้แค่การโฆษณาอย่างเดียวไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นได้ จึงต้องลงไปในพื้นที่แล้วบอกให้รู้ โดยเมื่อปีที่แล้วเริ่มไปที่ภาคอีสาน และปลายปีนี้ และปีหน้า จะมุ่งไปที่พื้นที่ภาคเหนือ
"อย่างภาคเหนือ มาร์เก็ตแชร์ของเราวันนี้ 20% ถ้าทำเพิ่มขึ้นได้เป็นสัก 30% เท่าๆ กับที่เราทำได้อยู่แล้ว ก็น่าจะโอเคแล้ว"
ลดดีกรีสงครามราคา
สำหรับแนวโน้มการแข่งขันด้านราคาในอนาคต นายสรรค์ชัยมองว่า จะไม่แรงเหมือนเช่นในอดีต เพราะขณะนี้ค่าโทร.ลดลงมากแล้ว และคงลดลงไปกว่านี้ไม่ได้ เพราะจะเกิดปัญหาการขาดเงินทุนในการขยายเครือข่าย กำไรที่ลดลงทำให้ทุน น้อยลง และทำให้ผู้ใช้เลือกราคามากกว่าเลือกคุณภาพ ดังนั้นกลยุทธ์ที่เอไอเอสต้องทำคือต้องพยายามรักษาลูกค้าเดิม และขยายไปสู่ตลาดใหม่ โดยต้องทำก่อนคนอื่น
นายวิเชียรจากบริษัทเดียวกันเสริมว่า การทำธุรกิจต้องทำแบรนด์ให้ได้หลายระดับครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ มีทฤษฎีเรื่องแซนด์วิช ที่บอกให้ผู้ประกอบการต้องทำราคาในระดับสูงสุด และต่ำสุด เพื่อบีบคู่แข่งให้อยู่ตรงกลาง ส่วนการให้บริการต้องพยายามเกาะติดลูกค้า ฟังเสียงลูกค้าเพื่อนำมาปรับปรุงเสมอๆ แต่อย่าหลงอยู่ในวังวนของตลาดมากจนเกินไป เพราะจะทำให้ ทุ่มเงินลงไปเยอะเกินความจำเป็น จนมีปัญหากับผู้ถือหุ้นได้ ขณะเดียวกันก็ต้องมุ่งมองหาตลาดใหม่ๆ เสมอ
ด้านรองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ส่วนงานพาณิชย์ ของดีแทค กล่าวเสริมว่า จากผลสำรวจของ "เมอร์ริล ลินช์ ไทยติดอันดับ 3 ที่ราคาค่าโทร.ถูกที่สุดในโลก ขณะเดียวกันก็มีการใช้เวลาในการโทรศัพท์คิดเป็นนาทีแล้วมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก
แสดงว่าการแข่งราคาน่าจะพอแล้ว เพราะราคากับคุณภาพต้องสมดุลกัน โลกธุรกิจไม่ใช่การทำสงคราม ถ้าเอไอเอสกำไรลดลง 30% ก็แย่แล้ว ผู้ถือหุ้นต้องต่อว่าอย่างหนัก ดีแทคเองก็เหมือนกัน ฉะนั้นสิ่งที่สำคัญคือทำให้ตลาดโตได้ ขยายได้ แล้วค่อยแข่งขันกันจะดีกว่า
"3G-ไวแมกซ์" ขับเคลื่อนมือถือสู่ยุคใหม่
นอกจากนี้ ทั้ง "ดีแทคและเอไอเอส" ยังแสดงความคิดเห็นต่อการมาถึงของเทคโนโลยีโทรศัพท์มือถือ 3 จี (third generation) ด้วย โดยนายธนากล่าวว่า มือถือ 3 จี จะทำให้สงครามบรอดแบนด์ขยายตัวมากขึ้น จะมีการแข่งขันรุนแรง เพราะขณะนี้การให้บริการบรอดแบนด์ถูกจำกัดอยู่เพียงไม่กี่ราย หาก 3 จี มา จะเกิดการแข่งขันการให้บริการลูกค้ากันอย่างเต็มที่ แต่การเกิดขึ้นของ 3 จี ก็ไม่ง่ายเพราะติดขัดกับกฎระเบียบเยอะมาก
ด้านนายวิเชียรกล่าวว่า ไม่ใช่แต่ 3 จี เท่านั้น แม้แต่เทคโนโลยีไวแมกซ์ที่ให้บริการบรอดแบนด์เหมือนกัน และทุกคนกำลังรอใบอนุญาตไวแมกซ์อยู่ เพราะจะทำให้เกิดการเปลี่ยนโฉมการให้บริการโทรศัพท์มือถือ เพราะสามารถดาวน์โหลดข้อมูลมากมายได้ไม่จำกัด การทำข่าว การติดตามข่าวสาร ก็จะง่ายและรวดเร็วขึ้น ส่วนการใช้บริการเบอร์เดียวทุกระบบ คาดว่าจะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ แต่ขณะนี้ต้องยอมรับว่ายังติดปัญหาอยู่มาก เพราะต้องใช้การลงทุนสูง ถ้าเอกชนลงทุนไปแล้วไม่ได้อะไร ก็ไม่รู้จะลงทุนไปทำไม ขณะเดียวกันหากมีบริการนี้จริง ก็จะทำให้เกิดการย้ายฐานลูกค้า เพราะฐานลูกค้าผู้ใช้โทรคมนาคมทั้งหมด ก็คือฐานเดียวกัน
นายสรรชัยกล่าวเสริมว่า การเปลี่ยนค่ายผ่านบริการเบอร์เดียวทุกระบบ ไม่ใช่ของฟรี ต้องมีคนมาลงทุน เอกชนเองก็คงไม่ลง เพราะมีแต่เจ็บตัว ดังนั้นภาครัฐก็ต้องลงทุนในเรื่องนี้ แต่จริงๆ แล้วในปัจจุบันก็มีการใช้นัมเบอร์พอร์ทาบิลิตี้แบบง่ายๆ อยู่แล้ว ด้วยการเลือกใช้แพ็กเกจต่ำสุดในการรักษาหมายเลขไว้ และตอนนี้หากผู้ใช้ต้องการ ย้ายค่ายก็มีบริการแจ้งเปลี่ยนหมายเลขไปยังผู้ที่เคยติดต่อด้วยอยู่แล้ว ที่สำคัญในหลายประเทศที่มีบริการนี้แรกๆ จะมีการย้ายค่ายกันมาก แต่ถึงระยะหนึ่งลูกค้าก็เลิกย้าย
ส่วนการเกิดขึ้นของ 3 จี อย่างในประเทศสิงคโปร์ เวลาผ่านไป 2 ปี คนก็เข้ามาใช้ 3 จี ไม่ถึง 10% และมีไม่ถึง 5% เท่านั้นที่ใช้บรอดแบนด์ของ 3 จี ในความเห็นของตนจึงคิดว่าระบบ 2.5 จี แบบที่ใช้อยู่นี้จะอยู่กับเราไปอีกประมาณ 7 ปี
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0201
ปอกเปลือกกลยุทธ์คู่กัด 2 ยักษ์มือถือ "เอไอเอส-ดีแทค" ชี้ 1-2 ปีตลาดถึงยุคอิ่มตัว ต้องเร่งสปีดพัฒนาคุณภาพบริการ สกัดลูกค้าไหลออกจากระบบสุดฝีมือ จับตา "เบอร์เดียวทุกระบบ" กระตุ้นลูกค้าย้ายค่ายง่ายขึ้น เล็งขยับมาร์เก็ตแชร์รุกกลุ่ม "วัยรุ่น-พรีทีน" แย่งแชร์จากน้องเล็ก "ทรูมูฟ" หวังผลระยะยาว คาดสงคราม "ราคา" และกลยุทธ์แจก "ซิม" ลดดีกรีร้อนลง เหตุมือถือไทยถูกสุดในโลก ยิ่งแข่งยิ่งเจ๊ง ขณะที่เทคโนโลยีใหม่ "3G-ไวแม็กซ์" ขับเคลื่อนมือถือสู่ยุคใหม่
นายธนา เธียรอัจฉริยะ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น หรือ ดีแทค กล่าวในการสัมมนาเกาะติดการตลาดยุคใหม่ "แบรนด์ชนแบรนด์" ว่า ธุรกิจให้บริการโทรศัพท์มือถือเป็นธุรกิจที่ไม่เหมือนใคร เพราะต้องให้บริการแก่ลูกค้าในระบบสมาชิกที่มีทั่วทั้งประเทศ แต่มีการแข่งขันสูงมาก ซึ่งในประเทศไทยไม่มีธุรกิจแบบนี้มาก่อน แม้จะใกล้เคียงกับธุรกิจเคเบิลทีวี หรือบัตรเครดิต แต่ไม่ได้มีจำนวนสมาชิกมาก หรือมีการแข่งขันรุนแรงเท่าโทรศัพท์มือถือ
ขณะที่การให้บริการโทรศัพท์มือถือต่อไปจะมีการให้ระบบที่เรียกว่า "นัมเบอร์พอร์ทาบิลิตี้" (number portability) หรือการใช้เบอร์เดียวทุกระบบทำให้ลูกค้าย้ายค่าย หรือเปลี่ยนผู้ให้บริการได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนเบอร์ ดังนั้นการให้บริการแก่ลูกค้าจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก
ดังนั้น แนวทางการตลาดต่อไปจึงต้องเปลี่ยน แปลง จากเดิมที่เน้นการกวาดหาสมาชิกเข้ามาไว้ในระบบของตนเองให้มากที่สุด มาเป็นการอุด รอยรั่ว หรือการรักษาให้สมาชิกอยู่ในระบบให้ได้ ซึ่งต้องเริ่มหาวิธีป้องกันไว้ โดยค่ายอื่นอาจเลือกใช้วิธีให้ลูกค้ายกเลิกการใช้บริการได้ยากๆ ต่างจาก ดีแทค หลังการ "รีแบรนด์" ใหม่ได้ปรับรูปแบบบริการใหม่ เพื่อทำให้ลูกค้ารู้สึกดีกับการใช้งานมากขึ้นในหลายรูปแบบ
เช่น ปรับแพ็กเกจค่าโทร.ให้เข้าใจง่ายขึ้น, ชำระค่าบริการผ่านเซเว่นอีเลฟเว่นได้ หรือให้ลูกค้ายกเลิกบริการได้ง่ายๆ เพียงโทร.มายัง คอลเซ็นเตอร์ เป็นต้น
"การที่เราให้ลูกค้าแค่โทร.มาคอลเซ็นเตอร์ก็ยกเลิกได้แล้ว แม้ดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ต้องใช้ความกล้ามาก เพราะก็จะมีคนถามว่าแล้วถ้าลูกค้าไหลออกมากๆ จะทำยังไง ซึ่งผมเองมองว่าถ้าเขาอยากจะเลิกใช้ แม้จะยื้อไว้ยังไงก็ต้องพยายามเลิกอยู่ดี"
มุ่งมัดใจด้วย "บริการ"
นายสรรค์ชัย เตียวประเสริฐกุล หัวหน้าคณะผู้บริหาร ส่วนงานการตลาด บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือเอไอเอส กล่าวว่า ที่ประเทศสิงคโปร์ก็พยายามรักษาลูกค้าไว้ด้วยบริการ ซึ่งเป็นสิ่งที่ ดีแทค และเอไอเอส พยายามทำเช่นกัน ขณะที่ ประเทศมาเลเซียมีลักษณะตลาดคล้ายกับประเทศไทย ก็มีอัตราการยกเลิกการใช้งานของลูกค้าสูงมาก ประมาณ 10-20% ต่อเดือน แต่มีการแจกซิมเป็นจำนวนมาก ซึ่งบริษัทที่ได้รับประโยชน์ไม่ใช่ ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ แต่เป็นบริษัทที่รับจ้างแจกซิม
อย่างไรก็ตาม ตนขอยืนยันว่า 2 ค่ายในไทยไม่ได้แจกซิมเยอะมาก ในส่วนของโพสต์เพดอาจมีบ้าง แต่พรีเพดมีน้อยมาก เพราะได้ไม่คุ้มเสีย และต้องการผูกคนไว้ด้วยบริการมากกว่า
นายวิเชียร เมฆตระการ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทเอไอเอส กล่าวเสริมด้วยว่า ใน 1-2 ปีข้างหน้า ไม่ใช่แต่จำนวนซิมหรือเบอร์ในประเทศไทยจะมีมากเท่ากับจำนวนประชากรของประเทศ คือ 65 ล้านคนเท่านั้น แต่มีโอกาสไปได้มากเกิน 100% ด้วย เพราะซิมมือถือไม่ได้มีไว้ใช้โทร.เข้า และโทร.ออกเพียงอย่างเดียว ปัจจุบันมีอุปกรณ์หลายอย่างมากที่ใช้ประโยชน์จากซิมของโทรศัพท์มือถือ เช่น อยู่ในสมองกลของรถยนต์ หรือแม้แต่ในสถานีตรวจวัดอากาศของกรมทรัพยากรน้ำกว่า 600 สถานี เพื่อวัดความชื้นในอากาศ วัดจำนวนน้ำที่ดินซับไว้ แล้วส่งข้อมูลผ่านระบบจีพีเอสเข้ามา สู่ศูนย์กลางแล้วนำไปใช้เป็นข้อมูลในการพยากรณ์อากาศ
ดังนั้นแค่ 60 กว่าล้านซิมจึงเป็นเรื่องปกติ ยังไม่นับว่าในอนาคตจะมีการนำซิมการ์ดของโทรศัพท์มือถือไปใส่ไว้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ เพื่อให้สั่งการจากระยะไกลได้ เช่น ให้เปิดปิดแอร์ ฯลฯ หรือแม้แต่ "ช้าง" ก็เริ่มมีความคิดจะนำ "ซิม" ไปติดไว้เพื่อติดตาม และศึกษาพฤติกรรม
นอกจากนี้ ทั้งเอไอเอส และดีแทค มีเป้าหมายที่จะเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดก่อนวัยรุ่น และวัยรุ่น ให้มากขึ้นด้วย พร้อมกับขยายการทำตลาดไปยังต่างจังหวัดเพิ่มขึ้นด้วย เนื่องจากยังมีโอกาสเติบโตได้อีก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัจจุบันเอไอเอสเป็นผู้ครอบครองส่วนแบ่งตลาดโทรศัพท์มือถือเมืองไทยมากที่สุด คือ 23 ล้านเลขหมาย ตามด้วยดีแทค 14.9 ล้านเลขหมาย และทรูมูฟ 9.3 ล้านเลขหมาย
เอไอเอสหมายตา "พรีทีน"
นายสรรค์ชัยกล่าวต่อว่า ตลาดกลุ่มก่อนวัยรุ่น (พรีทีน) และกลุ่มวัยรุ่น (ทีน) เป็นเป้าหมายของ เอไอเอส เพราะเดิมคนใช้มือถือคือนักเรียนระดับมัธยมปลาย อายุ 17-18 ปี แต่ตอนนี้คนมีมือถือเครื่องแรกเมื่ออายุ 10 ขวบ ซึ่งตลาดกลุ่มนี้ "ทรูมูฟ" ครองอยู่ เพราะเล่นเรื่องราคาแรงมาก ขณะเดียวกันเด็กก็มีที่อยู่จำกัดแค่ที่บ้าน, โรงเรียน, โรงเรียนกวดวิชา หรือถ้าโตขึ้นมาหน่อยก็จะอยู่แถวสยามสแควร์อีกที่ ซึ่งสำหรับทรูมูฟไม่มีปัญหาเรื่องความครอบคลุมของสัญญาณการให้บริการ
"ทำไมเอไอเอสต้องรุกเข้าไปในตลาดกลุ่มนี้ เพราะถ้าไม่ไป ในอนาคตจะเหนื่อยแน่ กลุ่มก่อนวัยรุ่น หรือวัยรุ่น จะโตเป็นกลุ่มบริโภคขนาดใหญ่ต่อไป อีกตลาดที่ต้องการเข้าไปขยายคือ ตลาดต่างจังหวัด เพราะตลาดในเมืองใหญ่เริ่มอิ่มตัว แต่ตลาดต่างจังหวัดยังมีความต้องการอีกเยอะ ดูได้จากใน 2-3 ปีนี้ มือถือที่ขายดีคือเครื่องที่ราคาต่ำกว่า 3,000 บาท และกว่า 50% เป็นเครื่องราคาประมาณพันกว่าบาท ต่างจากเมื่อก่อนที่ราคาจะ 6,000-7,000 พันบาท แม้ในตลาดนี้เอไอเอสจะยังแข็งแรงอยู่ แต่ดีแทค และทรูมูฟ ก็พยายามเข้ามาในตลาดนี้ หน้าที่ของเราจึงอยู่ที่การรักษาตลาดต่างจังหวัดไว้ และลงไปรุกในตลาดพรีทีนและทีน"
ด้าน ดร.เกษชญง สกาวรัตนานนท์ ผู้อำนวยการกลุ่มงานพรีเพด บริษัทดีแทค กล่าวว่า ดีแทค มองตลาดวัยรุ่นเช่นเดียวกับเอไอเอส และเป็นตลาดที่ทุกค่ายอยากเข้าถึง เพราะเป็นตลาดที่จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งดีแทคเองยังเข้าไม่ถึงลูกค้ากลุ่มนี้ แต่ได้พยายามเข้าไป โดยสร้าง "แฮปปี้ ไวรัส" ขึ้นมาไวรัส เพื่อสื่อสารกับน้องๆ กลุ่มนี้โดยเฉพาะให้ติดอยู่กับซิมนานๆ ไม่ใช่ใช้แล้วทิ้ง
นายธนาเสริมว่า ตลาดกลุ่มทีนยิ่งทำยิ่งขาดทุน เพราะรู้ทุกโปรโมชั่น และสามารถเลือกใช้ให้โทร.ได้มากที่สุดในราคาต่ำที่สุด และดีแทค ก็ต้องหาวิธีการของตนเองที่จะสู้กับแนวคิด "คอนเวอร์เจนซ์" ของทรูมูฟ ที่ได้เปรียบจากการมีบริษัทในเครือมากด้วย กับลูกค้าต่างจังหวัดเป็นอีกเป้าหมายที่จะเพิ่มดีกรีการรุกตลาดมากขึ้นใน ปีหน้า โดยแม้เครือข่ายจะยังสู้เอไอเอสไม่ได้ แต่ก็พยายามปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการเข้าไปทำตลาดจะใช้วิธีเข้าถึงลูกค้าในแต่ละพื้นที่โดยตรง เพราะใช้แค่การโฆษณาอย่างเดียวไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นได้ จึงต้องลงไปในพื้นที่แล้วบอกให้รู้ โดยเมื่อปีที่แล้วเริ่มไปที่ภาคอีสาน และปลายปีนี้ และปีหน้า จะมุ่งไปที่พื้นที่ภาคเหนือ
"อย่างภาคเหนือ มาร์เก็ตแชร์ของเราวันนี้ 20% ถ้าทำเพิ่มขึ้นได้เป็นสัก 30% เท่าๆ กับที่เราทำได้อยู่แล้ว ก็น่าจะโอเคแล้ว"
ลดดีกรีสงครามราคา
สำหรับแนวโน้มการแข่งขันด้านราคาในอนาคต นายสรรค์ชัยมองว่า จะไม่แรงเหมือนเช่นในอดีต เพราะขณะนี้ค่าโทร.ลดลงมากแล้ว และคงลดลงไปกว่านี้ไม่ได้ เพราะจะเกิดปัญหาการขาดเงินทุนในการขยายเครือข่าย กำไรที่ลดลงทำให้ทุน น้อยลง และทำให้ผู้ใช้เลือกราคามากกว่าเลือกคุณภาพ ดังนั้นกลยุทธ์ที่เอไอเอสต้องทำคือต้องพยายามรักษาลูกค้าเดิม และขยายไปสู่ตลาดใหม่ โดยต้องทำก่อนคนอื่น
นายวิเชียรจากบริษัทเดียวกันเสริมว่า การทำธุรกิจต้องทำแบรนด์ให้ได้หลายระดับครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ มีทฤษฎีเรื่องแซนด์วิช ที่บอกให้ผู้ประกอบการต้องทำราคาในระดับสูงสุด และต่ำสุด เพื่อบีบคู่แข่งให้อยู่ตรงกลาง ส่วนการให้บริการต้องพยายามเกาะติดลูกค้า ฟังเสียงลูกค้าเพื่อนำมาปรับปรุงเสมอๆ แต่อย่าหลงอยู่ในวังวนของตลาดมากจนเกินไป เพราะจะทำให้ ทุ่มเงินลงไปเยอะเกินความจำเป็น จนมีปัญหากับผู้ถือหุ้นได้ ขณะเดียวกันก็ต้องมุ่งมองหาตลาดใหม่ๆ เสมอ
ด้านรองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ส่วนงานพาณิชย์ ของดีแทค กล่าวเสริมว่า จากผลสำรวจของ "เมอร์ริล ลินช์ ไทยติดอันดับ 3 ที่ราคาค่าโทร.ถูกที่สุดในโลก ขณะเดียวกันก็มีการใช้เวลาในการโทรศัพท์คิดเป็นนาทีแล้วมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก
แสดงว่าการแข่งราคาน่าจะพอแล้ว เพราะราคากับคุณภาพต้องสมดุลกัน โลกธุรกิจไม่ใช่การทำสงคราม ถ้าเอไอเอสกำไรลดลง 30% ก็แย่แล้ว ผู้ถือหุ้นต้องต่อว่าอย่างหนัก ดีแทคเองก็เหมือนกัน ฉะนั้นสิ่งที่สำคัญคือทำให้ตลาดโตได้ ขยายได้ แล้วค่อยแข่งขันกันจะดีกว่า
"3G-ไวแมกซ์" ขับเคลื่อนมือถือสู่ยุคใหม่
นอกจากนี้ ทั้ง "ดีแทคและเอไอเอส" ยังแสดงความคิดเห็นต่อการมาถึงของเทคโนโลยีโทรศัพท์มือถือ 3 จี (third generation) ด้วย โดยนายธนากล่าวว่า มือถือ 3 จี จะทำให้สงครามบรอดแบนด์ขยายตัวมากขึ้น จะมีการแข่งขันรุนแรง เพราะขณะนี้การให้บริการบรอดแบนด์ถูกจำกัดอยู่เพียงไม่กี่ราย หาก 3 จี มา จะเกิดการแข่งขันการให้บริการลูกค้ากันอย่างเต็มที่ แต่การเกิดขึ้นของ 3 จี ก็ไม่ง่ายเพราะติดขัดกับกฎระเบียบเยอะมาก
ด้านนายวิเชียรกล่าวว่า ไม่ใช่แต่ 3 จี เท่านั้น แม้แต่เทคโนโลยีไวแมกซ์ที่ให้บริการบรอดแบนด์เหมือนกัน และทุกคนกำลังรอใบอนุญาตไวแมกซ์อยู่ เพราะจะทำให้เกิดการเปลี่ยนโฉมการให้บริการโทรศัพท์มือถือ เพราะสามารถดาวน์โหลดข้อมูลมากมายได้ไม่จำกัด การทำข่าว การติดตามข่าวสาร ก็จะง่ายและรวดเร็วขึ้น ส่วนการใช้บริการเบอร์เดียวทุกระบบ คาดว่าจะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ แต่ขณะนี้ต้องยอมรับว่ายังติดปัญหาอยู่มาก เพราะต้องใช้การลงทุนสูง ถ้าเอกชนลงทุนไปแล้วไม่ได้อะไร ก็ไม่รู้จะลงทุนไปทำไม ขณะเดียวกันหากมีบริการนี้จริง ก็จะทำให้เกิดการย้ายฐานลูกค้า เพราะฐานลูกค้าผู้ใช้โทรคมนาคมทั้งหมด ก็คือฐานเดียวกัน
นายสรรชัยกล่าวเสริมว่า การเปลี่ยนค่ายผ่านบริการเบอร์เดียวทุกระบบ ไม่ใช่ของฟรี ต้องมีคนมาลงทุน เอกชนเองก็คงไม่ลง เพราะมีแต่เจ็บตัว ดังนั้นภาครัฐก็ต้องลงทุนในเรื่องนี้ แต่จริงๆ แล้วในปัจจุบันก็มีการใช้นัมเบอร์พอร์ทาบิลิตี้แบบง่ายๆ อยู่แล้ว ด้วยการเลือกใช้แพ็กเกจต่ำสุดในการรักษาหมายเลขไว้ และตอนนี้หากผู้ใช้ต้องการ ย้ายค่ายก็มีบริการแจ้งเปลี่ยนหมายเลขไปยังผู้ที่เคยติดต่อด้วยอยู่แล้ว ที่สำคัญในหลายประเทศที่มีบริการนี้แรกๆ จะมีการย้ายค่ายกันมาก แต่ถึงระยะหนึ่งลูกค้าก็เลิกย้าย
ส่วนการเกิดขึ้นของ 3 จี อย่างในประเทศสิงคโปร์ เวลาผ่านไป 2 ปี คนก็เข้ามาใช้ 3 จี ไม่ถึง 10% และมีไม่ถึง 5% เท่านั้นที่ใช้บรอดแบนด์ของ 3 จี ในความเห็นของตนจึงคิดว่าระบบ 2.5 จี แบบที่ใช้อยู่นี้จะอยู่กับเราไปอีกประมาณ 7 ปี
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0201
-
- Verified User
- โพสต์: 1231
- ผู้ติดตาม: 0
สื่อสารและเทคโนโลยี
โพสต์ที่ 73
ไฟล์สำคัญครับ
แนวทางการขับเคลื่อนการพัฒนาระบบสื่อสารและโทรคมนาคม
http://ipo.nesdb.go.th/sedb/internet/dl ... 8501_2.pdf
Presentation แนวทางขับเคลื่อนโทรคมนาคม แผนฯ 10
http://ipo.nesdb.go.th/sedb/internet/dl ... 0566_2.pdf
แนวทางการขับเคลื่อนการพัฒนาระบบสื่อสารและโทรคมนาคม
http://ipo.nesdb.go.th/sedb/internet/dl ... 8501_2.pdf
Presentation แนวทางขับเคลื่อนโทรคมนาคม แผนฯ 10
http://ipo.nesdb.go.th/sedb/internet/dl ... 0566_2.pdf
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news01/10/07
โพสต์ที่ 74
ทีโอทีจ่อร่วมกสทฯลุยบรอดแบนด์
โพสต์ทูเดย์ ทีโอที-กสทฯ จูบ ปาก ลงขันธุรกิจบรอดแบนด์ตามคำสั่งบอร์ดทหาร จูงมือฝ่าวิกฤตใกล้เจ๊งใน 2 ปี
นายกิติพงศ์ เตมียะประดิษฐ์ รักษาการกรรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีโอที กล่าวว่า ผลการหารือในการทำธุรกิจร่วมกันกับบริษัท กสท โทรคมนาคม เห็นชอบเบื้องต้นว่า จะร่วมกันทำธุรกิจให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (บรอดแบนด์) ส่วน รูปแบบการดำเนินการว่า จะเป็นบริษัทลูก บริษัทร่วมทุน หรือกิจการร่วมค้า จะมีการเจรจากันอีก 2 ครั้ง คาดว่าจะได้ผลสรุปภายในสิ้นปีนี้
การเลือกบริการบรอดแบนด์ เป็นธุรกิจที่จะทำร่วมกัน เพราะถือเป็นการนำจุดแข็งที่มีอยู่ของทั้ง 2 องค์กร มารวมกันคือ ทีโอทีมีความได้เปรียบด้านโครงข่ายที่มีอยู่ทั่วประเทศ ขณะที่ กสทฯ เป็นผู้ให้บริการหลักด้านวงจรเชื่อมต่อ ต่างประเทศ (เกตเวย์) ซึ่งจะทำให้บริการบรอดแบนด์ร่วมกันไม่มีต้นทุนทั้งเรื่องโครงข่าย และค่าเช่าเกตเวย์ หากเทียบกับผู้ให้บริการอื่น ส่งผลให้สามารถให้บริการในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดที่มีอยู่ในปัจจุบันได้
ขณะนี้ ทั้ง ทีโอที และ กสทฯ ต่างเริ่มที่จะประสบวิกฤตด้านการเงินที่กำลังแย่ลงเรื่อยๆ จึงไม่มีประโยชน์ที่จะแข่งขันกันอีกต่อไป ดังนั้น หากมีธุรกิจใดที่ร่วมกันทำได้ ก็ควรจะหันหน้าเข้าหากันจะดีกว่า นายกิติพงศ์ กล่าว
ทั้งนี้ การเจรจาร่วมกันระหว่าง 2 องค์กร เป็นไปตามนโยบายของ พล.อ.มนตรี สังขทรัพย์ ประธานบอร์ด กสทฯ และ พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ประธานบอร์ด ทีโอที ที่ต้องการรวม ทีโอที และ กสทฯ เข้าเป็นองค์กรเดียว เพื่อที่จะแข่งขันกับผู้ให้บริการเอกชน หลังพบว่า รายได้จากธุรกิจหลักลดลงอย่างต่อเนื่อง และที่ผ่านมา ทั้ง ทีโอที และ กสทฯ ต่างพึ่งส่วนแบ่งรายได้จากคู่สัญญาเป็นหลัก ทำให้ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับการแข่งขันในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมที่รุนแรงได้
สำหรับผลการดำเนินงานของ กสทฯ ในช่วง 7 เดือน (ม.ค.-ก.ค. 2550) มีรายได้ไม่รวมค่าสัมปทานโทรศัพท์มือถือ 12,189 ล้านบาท ลดลง 536 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่ ทีโอที มีรายได้ในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา 1.8 หมื่นล้านบาท ลดลง 2 พันล้านบาท จากเดิมที่ตั้งไว้ว่าจะมีรายได้ 2 หมื่นล้านบาท
พล.อ.มนตรี สังขทรัพย์ ประธานบอร์ด กสทฯ กล่าวว่า ได้กำชับให้ฝ่ายบริหารไปพิจารณาลดความเสี่ยงจากการบริหารงาน และต้องมีกำไรก่อนหักค่าใช้จ่ายในปี 2550 มากกว่า 5.3 พันล้านบาท ไม่เช่นนั้นฐานะการเงินของ กสทฯ ในปี 2551-2552 จะ เข้าขั้นวิกฤต ไม่มีกำไรจากการ ดำเนินการอย่างแน่นอน หลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบาย รัฐวิสาหกิจ (สคร.) ได้คาดการณ์ว่า ในปี 2550 กำไรจากการดำเนินงานของ กสทฯ ที่ไม่รวมค่าสัมปทานโทรศัพท์มือถือ จะเริ่มติดลบ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=200944
โพสต์ทูเดย์ ทีโอที-กสทฯ จูบ ปาก ลงขันธุรกิจบรอดแบนด์ตามคำสั่งบอร์ดทหาร จูงมือฝ่าวิกฤตใกล้เจ๊งใน 2 ปี
นายกิติพงศ์ เตมียะประดิษฐ์ รักษาการกรรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีโอที กล่าวว่า ผลการหารือในการทำธุรกิจร่วมกันกับบริษัท กสท โทรคมนาคม เห็นชอบเบื้องต้นว่า จะร่วมกันทำธุรกิจให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (บรอดแบนด์) ส่วน รูปแบบการดำเนินการว่า จะเป็นบริษัทลูก บริษัทร่วมทุน หรือกิจการร่วมค้า จะมีการเจรจากันอีก 2 ครั้ง คาดว่าจะได้ผลสรุปภายในสิ้นปีนี้
การเลือกบริการบรอดแบนด์ เป็นธุรกิจที่จะทำร่วมกัน เพราะถือเป็นการนำจุดแข็งที่มีอยู่ของทั้ง 2 องค์กร มารวมกันคือ ทีโอทีมีความได้เปรียบด้านโครงข่ายที่มีอยู่ทั่วประเทศ ขณะที่ กสทฯ เป็นผู้ให้บริการหลักด้านวงจรเชื่อมต่อ ต่างประเทศ (เกตเวย์) ซึ่งจะทำให้บริการบรอดแบนด์ร่วมกันไม่มีต้นทุนทั้งเรื่องโครงข่าย และค่าเช่าเกตเวย์ หากเทียบกับผู้ให้บริการอื่น ส่งผลให้สามารถให้บริการในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดที่มีอยู่ในปัจจุบันได้
ขณะนี้ ทั้ง ทีโอที และ กสทฯ ต่างเริ่มที่จะประสบวิกฤตด้านการเงินที่กำลังแย่ลงเรื่อยๆ จึงไม่มีประโยชน์ที่จะแข่งขันกันอีกต่อไป ดังนั้น หากมีธุรกิจใดที่ร่วมกันทำได้ ก็ควรจะหันหน้าเข้าหากันจะดีกว่า นายกิติพงศ์ กล่าว
ทั้งนี้ การเจรจาร่วมกันระหว่าง 2 องค์กร เป็นไปตามนโยบายของ พล.อ.มนตรี สังขทรัพย์ ประธานบอร์ด กสทฯ และ พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ประธานบอร์ด ทีโอที ที่ต้องการรวม ทีโอที และ กสทฯ เข้าเป็นองค์กรเดียว เพื่อที่จะแข่งขันกับผู้ให้บริการเอกชน หลังพบว่า รายได้จากธุรกิจหลักลดลงอย่างต่อเนื่อง และที่ผ่านมา ทั้ง ทีโอที และ กสทฯ ต่างพึ่งส่วนแบ่งรายได้จากคู่สัญญาเป็นหลัก ทำให้ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับการแข่งขันในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมที่รุนแรงได้
สำหรับผลการดำเนินงานของ กสทฯ ในช่วง 7 เดือน (ม.ค.-ก.ค. 2550) มีรายได้ไม่รวมค่าสัมปทานโทรศัพท์มือถือ 12,189 ล้านบาท ลดลง 536 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่ ทีโอที มีรายได้ในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา 1.8 หมื่นล้านบาท ลดลง 2 พันล้านบาท จากเดิมที่ตั้งไว้ว่าจะมีรายได้ 2 หมื่นล้านบาท
พล.อ.มนตรี สังขทรัพย์ ประธานบอร์ด กสทฯ กล่าวว่า ได้กำชับให้ฝ่ายบริหารไปพิจารณาลดความเสี่ยงจากการบริหารงาน และต้องมีกำไรก่อนหักค่าใช้จ่ายในปี 2550 มากกว่า 5.3 พันล้านบาท ไม่เช่นนั้นฐานะการเงินของ กสทฯ ในปี 2551-2552 จะ เข้าขั้นวิกฤต ไม่มีกำไรจากการ ดำเนินการอย่างแน่นอน หลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบาย รัฐวิสาหกิจ (สคร.) ได้คาดการณ์ว่า ในปี 2550 กำไรจากการดำเนินงานของ กสทฯ ที่ไม่รวมค่าสัมปทานโทรศัพท์มือถือ จะเริ่มติดลบ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=200944
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news02/11/07
โพสต์ที่ 75
จับตาบอร์ดทีโอทีวันนี้ อุ้ม3ยักษ์ชิงเน็ตมั่นคง
โพสต์ทูเดย์ บอร์ดทีโอทีเตรียมลักไก่อนุมัติ 3 บริษัทยักษ์ ซีเมนส์-แซดทีอี-ฟอร์ท ฉลุยโครงการบรอดแบนด์ ทั้งที่ไม่ผ่านด้านเทคนิค
รายงานข่าวจากบริษัท ทีโอที เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) วันที่ 2 พ.ย. จะอนุมัติให้ 3 บริษัทที่เข้าร่วมประมูลโครงการจ้างเหมาอุปกรณ์ระบบ ชุมสายและโครงข่ายรองรับการให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง หรือ บรอดแบนด์เพื่อความมั่นคง มูลค่า 976 ล้านบาท คือ ซีเมนส์ แซดทีอี และฟอร์ท คอร์ปอเรชั่น ผ่านเข้าสู่การเปิดซองราคาด้วยวิธีพิเศษ ทั้งที่ไม่ผ่านเงื่อนไขด้านเทคนิค
ทั้งนี้ ผลการตรวจสอบข้อเสนอทางเทคนิคระบุว่า ฟอร์ท คอร์ปอเรชั่น ไม่สามารถทำตามเงื่อนไขมาตรฐาน อาร์เอฟซี 4049 และไม่มีเอกสารสนับสนุนในเรื่องระบบบริหารโครงข่ายเอ็นเอ็มเอส ขณะที่ แซดทีอี และ ซีเมนส์ ไม่มีเอกสารประกอบ และไม่ได้กำหนดรายละเอียดตามที่เงื่อนไขการประมูล (ทีโออาร์) กำหนดไว้
รายงานข่าวระบุว่า พนักงานทีโอทีในส่วนงานตรวจสอบเงื่อนไขด้านเทคนิค ได้ทำหนังสือท้วงติงไปทางบอร์ดแล้วว่า ทั้ง 3 บริษัทที่คณะกรรมการจัดซื้อด้วยวิธีพิเศษ ที่มีนายศุภมิตร ทัพอินพรหม ผู้จัดการฝ่ายวางแผนโครงข่ายนำเสนอนั้น ไม่ผ่านเงื่อนไขด้านเทคนิคแม้แต่เพียงรายเดียว
อย่างไรก็ตาม กลับมีคณะกรรมการจัดซื้อและบอร์ดบางคน พยายามที่จะเสนอรายชื่อบริษัทเอกชนทั้ง 3 ราย ให้บอร์ดพิจารณาอนุมัติ ทั้งที่ตามหลักการแล้ว เมื่อไม่มีเอกชนรายใดผ่านเงื่อนไขด้านเทคนิค ก็ต้องยกเลิกหรือล้มประมูล แล้วเปิดประมูลใหม่
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวบอร์ดมีความพยายามหลายครั้งที่จะผลักดันให้มีการประมูลแบบวิธีพิเศษ โดยอ้างความจำเป็นทางแผนธุรกิจ แม้จะได้รับการท้วงติงให้ต้องประมูลแบบอีออกชันเพื่อความโปร่งใส ซึ่งหลังจากตัดสินใจใช้วิธีพิเศษได้กำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมว่าจะเลือกบริษัทที่เคยร่วมงานกับทีโอทีมาแล้วเท่านั้น และมีบริษัทเข้าร่วมประมูล 6 ราย ประกอบด้วยซีเมนส์ แซดทีอี ฟอร์ท คอร์ปอเรชั่น อีริคสัน หัวเว่ย เทคโนโลยี และ อัลคาเทล ลูเซ่น
สำหรับ 3 บริษัทที่ไม่ผ่านเข้าสู่การพิจารณาของบอร์ดนั้น เนื่องจาก อีริคสัน และ หัวเว่ย ไม่มีระบบป้องกันแผ่นดินไหวตามที่ทีโออาร์กำหนด ขณะที่บริษัท อัลคาเทล ลูเซ่น ยื่นเอกสารไม่ครบ
รายงานข่าวแจ้งว่า โครงการดังกล่าว พ.อ.นที ศุกลรัตน์ กรรมการ ทีโอที ต้องการผลักดันให้โครงการนี้เกิดขึ้นอย่างเร่งด่วน โดยให้เหตุผลว่าหากโครงการนี้เกิดจะช่วยสร้างรายได้ให้กับทีโอทีอย่างมาก
นอกจากโครงการดังกล่าวแล้ว ยังมีโครงการโทรศัพท์เคลื่อนที่แห่งชาติ หรือ 3 จี ที่ต้องประสบปัญหาความล่าช้า เนื่องจากไม่สามารถเสนอให้ ครม.ชุดนี้พิจารณาได้ทัน ส่งผลให้ไม่สามารถดำเนินการในรัฐบาลชุดนี้ได้
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=201187
โพสต์ทูเดย์ บอร์ดทีโอทีเตรียมลักไก่อนุมัติ 3 บริษัทยักษ์ ซีเมนส์-แซดทีอี-ฟอร์ท ฉลุยโครงการบรอดแบนด์ ทั้งที่ไม่ผ่านด้านเทคนิค
รายงานข่าวจากบริษัท ทีโอที เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) วันที่ 2 พ.ย. จะอนุมัติให้ 3 บริษัทที่เข้าร่วมประมูลโครงการจ้างเหมาอุปกรณ์ระบบ ชุมสายและโครงข่ายรองรับการให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง หรือ บรอดแบนด์เพื่อความมั่นคง มูลค่า 976 ล้านบาท คือ ซีเมนส์ แซดทีอี และฟอร์ท คอร์ปอเรชั่น ผ่านเข้าสู่การเปิดซองราคาด้วยวิธีพิเศษ ทั้งที่ไม่ผ่านเงื่อนไขด้านเทคนิค
ทั้งนี้ ผลการตรวจสอบข้อเสนอทางเทคนิคระบุว่า ฟอร์ท คอร์ปอเรชั่น ไม่สามารถทำตามเงื่อนไขมาตรฐาน อาร์เอฟซี 4049 และไม่มีเอกสารสนับสนุนในเรื่องระบบบริหารโครงข่ายเอ็นเอ็มเอส ขณะที่ แซดทีอี และ ซีเมนส์ ไม่มีเอกสารประกอบ และไม่ได้กำหนดรายละเอียดตามที่เงื่อนไขการประมูล (ทีโออาร์) กำหนดไว้
รายงานข่าวระบุว่า พนักงานทีโอทีในส่วนงานตรวจสอบเงื่อนไขด้านเทคนิค ได้ทำหนังสือท้วงติงไปทางบอร์ดแล้วว่า ทั้ง 3 บริษัทที่คณะกรรมการจัดซื้อด้วยวิธีพิเศษ ที่มีนายศุภมิตร ทัพอินพรหม ผู้จัดการฝ่ายวางแผนโครงข่ายนำเสนอนั้น ไม่ผ่านเงื่อนไขด้านเทคนิคแม้แต่เพียงรายเดียว
อย่างไรก็ตาม กลับมีคณะกรรมการจัดซื้อและบอร์ดบางคน พยายามที่จะเสนอรายชื่อบริษัทเอกชนทั้ง 3 ราย ให้บอร์ดพิจารณาอนุมัติ ทั้งที่ตามหลักการแล้ว เมื่อไม่มีเอกชนรายใดผ่านเงื่อนไขด้านเทคนิค ก็ต้องยกเลิกหรือล้มประมูล แล้วเปิดประมูลใหม่
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวบอร์ดมีความพยายามหลายครั้งที่จะผลักดันให้มีการประมูลแบบวิธีพิเศษ โดยอ้างความจำเป็นทางแผนธุรกิจ แม้จะได้รับการท้วงติงให้ต้องประมูลแบบอีออกชันเพื่อความโปร่งใส ซึ่งหลังจากตัดสินใจใช้วิธีพิเศษได้กำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมว่าจะเลือกบริษัทที่เคยร่วมงานกับทีโอทีมาแล้วเท่านั้น และมีบริษัทเข้าร่วมประมูล 6 ราย ประกอบด้วยซีเมนส์ แซดทีอี ฟอร์ท คอร์ปอเรชั่น อีริคสัน หัวเว่ย เทคโนโลยี และ อัลคาเทล ลูเซ่น
สำหรับ 3 บริษัทที่ไม่ผ่านเข้าสู่การพิจารณาของบอร์ดนั้น เนื่องจาก อีริคสัน และ หัวเว่ย ไม่มีระบบป้องกันแผ่นดินไหวตามที่ทีโออาร์กำหนด ขณะที่บริษัท อัลคาเทล ลูเซ่น ยื่นเอกสารไม่ครบ
รายงานข่าวแจ้งว่า โครงการดังกล่าว พ.อ.นที ศุกลรัตน์ กรรมการ ทีโอที ต้องการผลักดันให้โครงการนี้เกิดขึ้นอย่างเร่งด่วน โดยให้เหตุผลว่าหากโครงการนี้เกิดจะช่วยสร้างรายได้ให้กับทีโอทีอย่างมาก
นอกจากโครงการดังกล่าวแล้ว ยังมีโครงการโทรศัพท์เคลื่อนที่แห่งชาติ หรือ 3 จี ที่ต้องประสบปัญหาความล่าช้า เนื่องจากไม่สามารถเสนอให้ ครม.ชุดนี้พิจารณาได้ทัน ส่งผลให้ไม่สามารถดำเนินการในรัฐบาลชุดนี้ได้
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=201187
-
- Verified User
- โพสต์: 1231
- ผู้ติดตาม: 0
สื่อสารและเทคโนโลยี
โพสต์ที่ 76
Mr.BOO wrote ในกระทู้MFEC
News Alert
บริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน)
สมาคมไอทีต้านบอร์ดซิป้า
วานนี้ (1 พ.ย.) ผู้ประกอบการซอฟต์แวร์รายใหญ่ คือ บริษัท เอ็มเอฟอีซี จำกัด (มหาชน) หรือเอ็มเฟค บริษัทซอฟต์สแควร์ 1999 จำกัด บริษัท คอมพิวเตอร์ เทเลโฟนี เอเชีย จำกัด (ซี ที เอเชีย) และสมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศไทย (เอทีซีไอ) สมาคมส่งเสริมการส่งออกอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทย รวมตัวกันเรียกร้องคณะกรรมการสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ (ซิป้า) หรือบอร์ด ลาออกยกชุด
โดยให้เหตุผลว่า ที่ผ่านมาวางนโยบายผิดพลาด ทำอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์เสียหาย ทั้งเป็นการแต่งตั้งจากรัฐบาลชั่วคราว ซึ่งรัฐมนตรีผู้แต่งตั้งก็ได้ลาออกไปแล้ว จึงไม่ควรดำเนินการสำคัญๆ เช่น สรรหา และแต่งตั้งผู้อำนวยการ แต่ยังฝืนทำ
การรวมตัวครั้งนี้ เป็นการดำเนินการสืบเนื่องจากสัปดาห์ก่อนที่ 11 สมาคมด้านไอทีของไทยรวมตัวกันเรียกร้องขอมีส่วนร่วมรับฟังวิสัยทัศน์ของผู้สมัครผู้อำนวยการซิป้า แต่บอร์ดได้ปฏิเสธการร้องขอ
นายราเมศวร์ ศิลปพรหม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซอฟต์สแควร์ 1999 จำกัด กล่าวว่า ทักษะด้านการบริหารจัดการของบอร์ด ซิป้าผิดตั้งแต่แรก ที่กีดกันภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ มองว่าจะเป็นการทำให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน ทั้งๆ ที่การตั้งซิป้าขึ้นมีเจตนาจะส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ ซึ่งก็คือผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ภาคเอกชนของไทย
นายศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็มเอฟอีซี จำกัด (มหาชน) หรือเอ็มเฟค กล่าวว่า เมื่อมีบอร์ด หรือมีซิป้าแล้วไม่มีประโยชน์ ก็ไม่ควรมีต่อไป ปัญหาของซิป้าอยู่ที่ความไม่รู้ปัญหาของอุตสาหกรรม ไร้ทิศทาง ไม่มีวิสัยทัศน์ ขาดความมีส่วนร่วมต่ออุตสาหกรรม นโยบายที่ออกมาไม่แน่นอน
ขณะเดียวกัน ยังขาดความรู้จริงต่อสภาพอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทย ที่ตั้งขึ้น 1,400 บริษัท แต่อยู่รอดจริงเพียง 20 กว่าบริษัท ผลกำไรรวมกันเป็นหลักพันล้านบาทเท่านั้น
นายราเมศวร์ กล่าวเสริมว่า ล่าสุด การสรรหาผู้อำนวยการคนใหม่ของซิป้า ก็ตัดคุณสมบัติที่สมควรมีอยู่ทิ้งไปทั้งหมด เพื่อเปิดทางให้บางคนเข้ามาแข่งขันได้
นายเฉลิมพล ปุณโณทก ประธานบริหาร ซีที เอเชีย กล่าวว่า ซิป้ามีงบประมาณปีละ 450 ล้านบาท 30% จ่ายไปกับเงินเดือน และใช้จ่ายเพื่อโปรโมทคน และองค์กรซิป้า ไม่มีประโยชน์ที่ชัดเจนอะไรออกมาแก่ภาคอุตสาหกรรม เป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณโดยใช่เหตุ
พร้อมกันนี้ ภาคเอกชนระบุว่า หากได้ผู้อำนวยการซิป้าคนใหม่ที่มีคุณสมบัติไม่เหมาะสม สมาคมด้านไอทีจะไม่เข้าร่วมสังฆกรรมกิจกรรมใดๆ ที่ซิป้าดำเนินการ หรือจัดทำขึ้น
เลขที่ข่าว 573036
วันที่ 2/11/2550
หนังสือพิมพ์[หน้า] กรุงเทพธุรกิจ [8]
from BOL
_________________
Rabbit VS. Turtle
News Alert
บริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน)
สมาคมไอทีต้านบอร์ดซิป้า
วานนี้ (1 พ.ย.) ผู้ประกอบการซอฟต์แวร์รายใหญ่ คือ บริษัท เอ็มเอฟอีซี จำกัด (มหาชน) หรือเอ็มเฟค บริษัทซอฟต์สแควร์ 1999 จำกัด บริษัท คอมพิวเตอร์ เทเลโฟนี เอเชีย จำกัด (ซี ที เอเชีย) และสมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศไทย (เอทีซีไอ) สมาคมส่งเสริมการส่งออกอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทย รวมตัวกันเรียกร้องคณะกรรมการสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ (ซิป้า) หรือบอร์ด ลาออกยกชุด
โดยให้เหตุผลว่า ที่ผ่านมาวางนโยบายผิดพลาด ทำอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์เสียหาย ทั้งเป็นการแต่งตั้งจากรัฐบาลชั่วคราว ซึ่งรัฐมนตรีผู้แต่งตั้งก็ได้ลาออกไปแล้ว จึงไม่ควรดำเนินการสำคัญๆ เช่น สรรหา และแต่งตั้งผู้อำนวยการ แต่ยังฝืนทำ
การรวมตัวครั้งนี้ เป็นการดำเนินการสืบเนื่องจากสัปดาห์ก่อนที่ 11 สมาคมด้านไอทีของไทยรวมตัวกันเรียกร้องขอมีส่วนร่วมรับฟังวิสัยทัศน์ของผู้สมัครผู้อำนวยการซิป้า แต่บอร์ดได้ปฏิเสธการร้องขอ
นายราเมศวร์ ศิลปพรหม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซอฟต์สแควร์ 1999 จำกัด กล่าวว่า ทักษะด้านการบริหารจัดการของบอร์ด ซิป้าผิดตั้งแต่แรก ที่กีดกันภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ มองว่าจะเป็นการทำให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน ทั้งๆ ที่การตั้งซิป้าขึ้นมีเจตนาจะส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ ซึ่งก็คือผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ภาคเอกชนของไทย
นายศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็มเอฟอีซี จำกัด (มหาชน) หรือเอ็มเฟค กล่าวว่า เมื่อมีบอร์ด หรือมีซิป้าแล้วไม่มีประโยชน์ ก็ไม่ควรมีต่อไป ปัญหาของซิป้าอยู่ที่ความไม่รู้ปัญหาของอุตสาหกรรม ไร้ทิศทาง ไม่มีวิสัยทัศน์ ขาดความมีส่วนร่วมต่ออุตสาหกรรม นโยบายที่ออกมาไม่แน่นอน
ขณะเดียวกัน ยังขาดความรู้จริงต่อสภาพอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทย ที่ตั้งขึ้น 1,400 บริษัท แต่อยู่รอดจริงเพียง 20 กว่าบริษัท ผลกำไรรวมกันเป็นหลักพันล้านบาทเท่านั้น
นายราเมศวร์ กล่าวเสริมว่า ล่าสุด การสรรหาผู้อำนวยการคนใหม่ของซิป้า ก็ตัดคุณสมบัติที่สมควรมีอยู่ทิ้งไปทั้งหมด เพื่อเปิดทางให้บางคนเข้ามาแข่งขันได้
นายเฉลิมพล ปุณโณทก ประธานบริหาร ซีที เอเชีย กล่าวว่า ซิป้ามีงบประมาณปีละ 450 ล้านบาท 30% จ่ายไปกับเงินเดือน และใช้จ่ายเพื่อโปรโมทคน และองค์กรซิป้า ไม่มีประโยชน์ที่ชัดเจนอะไรออกมาแก่ภาคอุตสาหกรรม เป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณโดยใช่เหตุ
พร้อมกันนี้ ภาคเอกชนระบุว่า หากได้ผู้อำนวยการซิป้าคนใหม่ที่มีคุณสมบัติไม่เหมาะสม สมาคมด้านไอทีจะไม่เข้าร่วมสังฆกรรมกิจกรรมใดๆ ที่ซิป้าดำเนินการ หรือจัดทำขึ้น
เลขที่ข่าว 573036
วันที่ 2/11/2550
หนังสือพิมพ์[หน้า] กรุงเทพธุรกิจ [8]
from BOL
_________________
Rabbit VS. Turtle
-
- Verified User
- โพสต์: 1231
- ผู้ติดตาม: 0
สื่อสารและเทคโนโลยี
โพสต์ที่ 77
"เฮลท์แคร์" ขุมทองไมโครซอฟท์
สุจิตร ลีสงวนสุข
เบิร์บ ด้วยมูลค่าตลาดสุขภาพที่ใช้ไอทีระดับ 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และการลงทุนยังกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มฮาร์ดแวร์ ประกอบกับการแข่งขันของหลายประเทศในเอเชียที่จะชิงความเป็น ""เมดิคัล ฮับ" ทำให้ธุรกิจเฮลท์แคร์เติบโตสูงในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
ความเคลื่อนไหวของยักษ์ซอฟต์แวร์ "ไมโครซอฟท์" ที่ดึงบอสใหญ่อิมพอร์ตตรงจากเรดมอนด์มาแถลงข่าวการเข้าซื้อกิจการบริษัท "โกลบอล แคร์ โซลูชั่นส์" ที่มีอายุเพียง 7 ปี และมีพนักงานไม่ถึง 100 คน และยังเป็นดีลแรกที่บริษัทซื้อกิจการด้านเฮลท์แคร์นอกประเทศสหรัฐอเมริกา
ปีเตอร์ นิวเพิร์ต รองประธานกลุ่มธุรกิจโซลูชั่นการดูแลสุขภาพ ไมโครซอฟท์ คอร์ปอเรชั่น ที่จัดตั้งมากว่าทศวรรษพร้อมทีมงานอีก 180 คน เล่าถึงการซื้อกิจการครั้งนี้ว่า "โกลบอล แคร์ โซลูชั่นส์" มีซอฟต์แวร์ "Hospital2000 " ซึ่งเป็นระบบบริหารงานโรงพยาบาลและระบบคลินิกที่ครบวงจรและเสริมกับไลน์สินค้าด้านซอฟต์แวร์โครงสร้างพื้นฐานของไมโครซอฟท์ที่มีอยู่ ช่วยเสริมศักยภาพการบุกตลาดเฮลท์แคร์โลก
"ไมโครซอฟท์มีซอฟต์แวร์กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นโอเอส ดาต้าเบส แต่เรายังขาดแอพพลิเคชั่นเฉพาะด้าน เรามองเห็นโอกาสการขยายตัวที่จะใช้งานไอทีของกลุ่มเฮลท์แคร์ โดยประมาณการทั่วโลกมีมูลค่าราว 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ส่วนใหญ่เป็นการใช้ฮาร์ดแวร์ จึงยังมีพื้นที่การใช้ซอฟต์แวร์อีกมาก ที่น่าสังเกต กลุ่มเฮลท์แคร์มีการลงทุนไอทีไม่มากนักเพียง 1% ของยอดขาย เมื่อเทียบกับกลุ่มค้าปลีก สื่อสาร และอุตสาหกรรมการผลิต จะลงทุนไอทีเฉลี่ย 5-7%"
เครก มันดี ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิจัยและบริหารกลยุทธ์ไมโครซอฟท์ คอร์ปอเรชั่น อธิบายเสริมว่า การซื้อกิจการครั้งนี้ จะทำให้บริษัทมีสินค้าครบวงจรและสามารถนำไอทีไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมสุขภาพได้ โดยเฉพาะตลาดประเทศเกิดใหม่ ทั้งอินเดีย จีน อินโดนีเซียและแอฟริกา โดยปัจจุบันมีผู้สามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุข 5 พันล้านคน ยังมีตลาดอีก 5 พันล้านคนที่ยังไม่สามารถเข้าถึงบริการได้
"การซื้อกิจการของบริษัทที่ตั้งในไทย จะช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจทั้งในทางตรงและทางอ้อม โดยประเทศไทยจะเป็นส่วนหนึ่งของฐานการพัฒนาเฮลท์แคร์ โซลูชั่น ที่บันเดิลจัดเป็นแพ็คเกจกับเทคโนโลยีอื่นๆ ของไมโครซอฟท์ และส่งออกไปขายทั่วโลก และอีกส่วนก็ช่วยสร้างระบบไอที อีโคซิสเต็มส์ให้กับพันธมิตรและนักพัฒนาในไทย ซึ่งมีการวิจัยจาก 63 ประเทศพบว่า 1 ดอลลาร์สหรัฐที่ไมโครซอฟท์ขายซอฟต์แวร์ จะสร้างผลกระทบในระบบอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง 7-20 ดอลลาร์สหรัฐ " นายมันดีกล่าว
ปฐมา จันทรักษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด เล่าว่า ดีลนี้จะทำให้ประเทศไทยไม่เพียงโดดเด่นในการเป็น Medical Hub แต่ยังสามารถโดดเด่นซอฟต์แวร์เฮลท์แคร์ โดยเฉพาะการขยายฐานในอีเมอร์จิ้งมาร์เก็ต ซึ่งพิจารณาฐานลูกค้าของโกลบอลแคร์ที่เป็นโรงพยาบาล 7 แห่งใน 5 ประเทศ ทั้งสิงคโปร์ เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย
"ต่อไปไทยจะเป็นฐานการพัฒนาโซลูชั่น เฮลท์แคร์ ที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ไทย และสร้างแรงจูงใจการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมในประเทศได้ ซึ่งไมโครซอฟท์ไทยก็ตั้งทีมเจาะตลาดนี้โดยตรง และมองว่ากลุ่มนี้เติบโตมากกว่าตัวเลขสองหลักสูงกว่าอุตสาหกรรมอื่นๆ"
แพ็ททริก ดาวนิ่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทโกลบอล แคร์ โซลูชั่น บอกถึงความรู้สึกว่า การที่ไมโครซอฟท์มาซื้อกิจการ จะทำให้ซอฟต์แวร์ของบริษัทก้าวสู่ระดับโลก มีลูกค้านับเป็นพันๆ แห่ง จากปัจจุบันที่มีลูกค้า 7 รายในภูมิภาคเอเชีย และยังต้องเพิ่มบุคลากรเพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจ โดยทีมงานทั้งหมดจะเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มธุรกิจโซลูชั่นการดูแลสุขภาพ
เขามองด้วยว่า ตลาดเฮลท์แคร์ยังเติบโตได้อีกมหาศาล โดยเฉพาะเมื่อสารสนเทศมีจำนวนมากและซับซ้อนขึ้น ทำให้ไอทีเข้ามีมีบทบาทยิ่งขึ้น ตั้งแต่การค้นคว้ายาใหม่ๆ การวินิจฉัยอาการผู้ป่วยที่แม่นยำขึ้น การลดความผิดพลาดการสั่งยา ทั้งยังทำให้ต้นทุนการรักษาพยาบาลต่ำลง ขณะที่คุณภาพการให้บริการดีขึ้น
เขาเชื่อว่า เหตุผลที่ทำให้บริษัทสามารถประสบความสำเร็จ น่าจะเกิดจากการพัฒนาโซลูชั่นร่วมกับลูกค้าโดยตรงตั้งแต่ต้นจนจบ โดยเฉพาะการได้โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เข้ามาเป็นพันธมิตรถือหุ้นและใช้งานซอฟต์แวร์ สร้างความน่าเชื่อถือให้บริษัทที่จะไปขยายตลาดต่อพร้อมๆ กับฟีเจอร์ที่ใช้งานง่ายในราคาที่สมเหตุผล
กล่าวโดยสรุป ดีลนี้น่าจะเป็นบทสะท้อนที่ "จุดประกาย" ให้กับบริษัทผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ ที่จะสร้างระบบงานที่มีคุณภาพออกมาขาย โดยเฉพาะการมองหาสินค้าเฉพาะทางและใช้เทคโนโลยีในการพัฒนาที่แพร่หลาย มีคนใช้จำนวนมาก
สุจิตร ลีสงวนสุข
เบิร์บ ด้วยมูลค่าตลาดสุขภาพที่ใช้ไอทีระดับ 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และการลงทุนยังกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มฮาร์ดแวร์ ประกอบกับการแข่งขันของหลายประเทศในเอเชียที่จะชิงความเป็น ""เมดิคัล ฮับ" ทำให้ธุรกิจเฮลท์แคร์เติบโตสูงในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
ความเคลื่อนไหวของยักษ์ซอฟต์แวร์ "ไมโครซอฟท์" ที่ดึงบอสใหญ่อิมพอร์ตตรงจากเรดมอนด์มาแถลงข่าวการเข้าซื้อกิจการบริษัท "โกลบอล แคร์ โซลูชั่นส์" ที่มีอายุเพียง 7 ปี และมีพนักงานไม่ถึง 100 คน และยังเป็นดีลแรกที่บริษัทซื้อกิจการด้านเฮลท์แคร์นอกประเทศสหรัฐอเมริกา
ปีเตอร์ นิวเพิร์ต รองประธานกลุ่มธุรกิจโซลูชั่นการดูแลสุขภาพ ไมโครซอฟท์ คอร์ปอเรชั่น ที่จัดตั้งมากว่าทศวรรษพร้อมทีมงานอีก 180 คน เล่าถึงการซื้อกิจการครั้งนี้ว่า "โกลบอล แคร์ โซลูชั่นส์" มีซอฟต์แวร์ "Hospital2000 " ซึ่งเป็นระบบบริหารงานโรงพยาบาลและระบบคลินิกที่ครบวงจรและเสริมกับไลน์สินค้าด้านซอฟต์แวร์โครงสร้างพื้นฐานของไมโครซอฟท์ที่มีอยู่ ช่วยเสริมศักยภาพการบุกตลาดเฮลท์แคร์โลก
"ไมโครซอฟท์มีซอฟต์แวร์กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นโอเอส ดาต้าเบส แต่เรายังขาดแอพพลิเคชั่นเฉพาะด้าน เรามองเห็นโอกาสการขยายตัวที่จะใช้งานไอทีของกลุ่มเฮลท์แคร์ โดยประมาณการทั่วโลกมีมูลค่าราว 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ส่วนใหญ่เป็นการใช้ฮาร์ดแวร์ จึงยังมีพื้นที่การใช้ซอฟต์แวร์อีกมาก ที่น่าสังเกต กลุ่มเฮลท์แคร์มีการลงทุนไอทีไม่มากนักเพียง 1% ของยอดขาย เมื่อเทียบกับกลุ่มค้าปลีก สื่อสาร และอุตสาหกรรมการผลิต จะลงทุนไอทีเฉลี่ย 5-7%"
เครก มันดี ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิจัยและบริหารกลยุทธ์ไมโครซอฟท์ คอร์ปอเรชั่น อธิบายเสริมว่า การซื้อกิจการครั้งนี้ จะทำให้บริษัทมีสินค้าครบวงจรและสามารถนำไอทีไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมสุขภาพได้ โดยเฉพาะตลาดประเทศเกิดใหม่ ทั้งอินเดีย จีน อินโดนีเซียและแอฟริกา โดยปัจจุบันมีผู้สามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุข 5 พันล้านคน ยังมีตลาดอีก 5 พันล้านคนที่ยังไม่สามารถเข้าถึงบริการได้
"การซื้อกิจการของบริษัทที่ตั้งในไทย จะช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจทั้งในทางตรงและทางอ้อม โดยประเทศไทยจะเป็นส่วนหนึ่งของฐานการพัฒนาเฮลท์แคร์ โซลูชั่น ที่บันเดิลจัดเป็นแพ็คเกจกับเทคโนโลยีอื่นๆ ของไมโครซอฟท์ และส่งออกไปขายทั่วโลก และอีกส่วนก็ช่วยสร้างระบบไอที อีโคซิสเต็มส์ให้กับพันธมิตรและนักพัฒนาในไทย ซึ่งมีการวิจัยจาก 63 ประเทศพบว่า 1 ดอลลาร์สหรัฐที่ไมโครซอฟท์ขายซอฟต์แวร์ จะสร้างผลกระทบในระบบอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง 7-20 ดอลลาร์สหรัฐ " นายมันดีกล่าว
ปฐมา จันทรักษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด เล่าว่า ดีลนี้จะทำให้ประเทศไทยไม่เพียงโดดเด่นในการเป็น Medical Hub แต่ยังสามารถโดดเด่นซอฟต์แวร์เฮลท์แคร์ โดยเฉพาะการขยายฐานในอีเมอร์จิ้งมาร์เก็ต ซึ่งพิจารณาฐานลูกค้าของโกลบอลแคร์ที่เป็นโรงพยาบาล 7 แห่งใน 5 ประเทศ ทั้งสิงคโปร์ เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย
"ต่อไปไทยจะเป็นฐานการพัฒนาโซลูชั่น เฮลท์แคร์ ที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ไทย และสร้างแรงจูงใจการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมในประเทศได้ ซึ่งไมโครซอฟท์ไทยก็ตั้งทีมเจาะตลาดนี้โดยตรง และมองว่ากลุ่มนี้เติบโตมากกว่าตัวเลขสองหลักสูงกว่าอุตสาหกรรมอื่นๆ"
แพ็ททริก ดาวนิ่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทโกลบอล แคร์ โซลูชั่น บอกถึงความรู้สึกว่า การที่ไมโครซอฟท์มาซื้อกิจการ จะทำให้ซอฟต์แวร์ของบริษัทก้าวสู่ระดับโลก มีลูกค้านับเป็นพันๆ แห่ง จากปัจจุบันที่มีลูกค้า 7 รายในภูมิภาคเอเชีย และยังต้องเพิ่มบุคลากรเพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจ โดยทีมงานทั้งหมดจะเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มธุรกิจโซลูชั่นการดูแลสุขภาพ
เขามองด้วยว่า ตลาดเฮลท์แคร์ยังเติบโตได้อีกมหาศาล โดยเฉพาะเมื่อสารสนเทศมีจำนวนมากและซับซ้อนขึ้น ทำให้ไอทีเข้ามีมีบทบาทยิ่งขึ้น ตั้งแต่การค้นคว้ายาใหม่ๆ การวินิจฉัยอาการผู้ป่วยที่แม่นยำขึ้น การลดความผิดพลาดการสั่งยา ทั้งยังทำให้ต้นทุนการรักษาพยาบาลต่ำลง ขณะที่คุณภาพการให้บริการดีขึ้น
เขาเชื่อว่า เหตุผลที่ทำให้บริษัทสามารถประสบความสำเร็จ น่าจะเกิดจากการพัฒนาโซลูชั่นร่วมกับลูกค้าโดยตรงตั้งแต่ต้นจนจบ โดยเฉพาะการได้โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เข้ามาเป็นพันธมิตรถือหุ้นและใช้งานซอฟต์แวร์ สร้างความน่าเชื่อถือให้บริษัทที่จะไปขยายตลาดต่อพร้อมๆ กับฟีเจอร์ที่ใช้งานง่ายในราคาที่สมเหตุผล
กล่าวโดยสรุป ดีลนี้น่าจะเป็นบทสะท้อนที่ "จุดประกาย" ให้กับบริษัทผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ ที่จะสร้างระบบงานที่มีคุณภาพออกมาขาย โดยเฉพาะการมองหาสินค้าเฉพาะทางและใช้เทคโนโลยีในการพัฒนาที่แพร่หลาย มีคนใช้จำนวนมาก
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news07/11/07
โพสต์ที่ 78
มือถือหั่นราคาทำมูลค่าตลาดหด5พันล้าน
โพสต์ทูเดย์ ดับเบิลยูดีเอส ชี้ ตลาดมือถือปีหน้าแข่งตัดราคาจนมูลค่าตลาดรวมหด 5 พันล้าน แต่จำนวนเครื่องยังโต 5%
นายกุลดิษฐ์ สมุทรโคจร ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ไวร์เลส ดีไวซ์ ซัพพลาย หรือ ดับเบิลยูดีเอส กล่าวว่า มูลค่าตลาดโทรศัพท์มือถือในปีหน้าจะลดลงจาก 4 หมื่นล้านบาท เหลือ 3.5 หมื่นล้านบาท เนื่องจากราคาขายมือถือปรับลดลงไม่ต่ำกว่า 15% ขณะที่ยอดขายเครื่องโดยรวมกลับเพิ่มขึ้นถึง 8.5 ล้านเครื่อง เติบโต 5% จากปีนี้ที่คาดไว้ 8.1 ล้านเครื่อง
สำหรับ ดับเบิลยูดีเอส ตั้งเป้าส่วนแบ่งยอดขายในตลาดไว้ที่ 47% หรือ 4 ล้านเครื่อง จากตลาดรวม แบ่งเป็นมือถือเฮาส์แบรนด์ คือ โฟนวัน 5% หรือ 4.3 แสนเครื่อง เพิ่มขึ้น 2% จากปีนี้ที่คาดว่าจะมียอด ขายมือถือทั้งโฟนวัน และอินเตอร์แบรนด์ 3.6 ล้านเครื่อง คิดเป็นส่วนแบ่งตลาด 45% ของตลาดรวม
ส่วนรายได้คาดว่าจะใกล้เคียงกับรายได้ปีนี้ 1.1-1.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่บริษัทตั้งไว้ 1.3 หมื่นล้านบาท สาเหตุหลักมาจากสถานการณ์การเมือง ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว การแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง และการที่บริษัทเปิดตัวมือถือโฟนวันออกสู่ตลาดช้า
ขณะที่แนวโน้มการบริโภคมือถือปีหน้าส่วนใหญ่กว่า 50% จะอยู่ในกลุ่มตลาดล่าง-กลาง ระดับราคา 1-3 พันบาท หรือที่เรียกกว่า กลุ่มอิมเมอร์จิงมาร์เก็ต ซึ่งจะเป็นกลุ่มที่สร้างยอดขายมากที่สุด รองลงมาเป็นกลุ่มที่ต้องการมือถือพื้นฐาน (เบสิกโฟน) ราคาอยู่ที่ 3-7 พันบาท ส่วนกลุ่มระดับราคา 7 พันบาท ไปจนถึงราคา 1.5 หมื่นบาท จะเป็นกลุ่มที่ต้องการมือถือเทคโนโลยีขั้นสูง (แอดวานซ์เทคโนโลยี) ซึ่งมีสัดส่วนในตลาดน้อย
นอกจากนี้ บริษัทได้ร่วมกับเอไอเอส และโนเกีย พัฒนาโซลูชันสำหรับการรับส่งอีเมลบนมือถือโนเกีย รุ่น E51 เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ ไปจนถึงกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและเล็ก ซึ่งเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับลูกค้าของเอไอเอส โดยปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาดในกลุ่มลูกค้าองค์กรที่ใช้บริการรับ-ส่งอีเมลผ่านมือถืออยู่กว่า 70% จากฐานลูกค้ากว่า 1.5-2 หมื่นราย และเชื่อว่าความต้องการใช้งาน โมบาย พุชเมล มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และปีหน้าจะสามารถขยายฐานลูกค้าได้เพิ่มขึ้นอีก
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=202133
โพสต์ทูเดย์ ดับเบิลยูดีเอส ชี้ ตลาดมือถือปีหน้าแข่งตัดราคาจนมูลค่าตลาดรวมหด 5 พันล้าน แต่จำนวนเครื่องยังโต 5%
นายกุลดิษฐ์ สมุทรโคจร ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ไวร์เลส ดีไวซ์ ซัพพลาย หรือ ดับเบิลยูดีเอส กล่าวว่า มูลค่าตลาดโทรศัพท์มือถือในปีหน้าจะลดลงจาก 4 หมื่นล้านบาท เหลือ 3.5 หมื่นล้านบาท เนื่องจากราคาขายมือถือปรับลดลงไม่ต่ำกว่า 15% ขณะที่ยอดขายเครื่องโดยรวมกลับเพิ่มขึ้นถึง 8.5 ล้านเครื่อง เติบโต 5% จากปีนี้ที่คาดไว้ 8.1 ล้านเครื่อง
สำหรับ ดับเบิลยูดีเอส ตั้งเป้าส่วนแบ่งยอดขายในตลาดไว้ที่ 47% หรือ 4 ล้านเครื่อง จากตลาดรวม แบ่งเป็นมือถือเฮาส์แบรนด์ คือ โฟนวัน 5% หรือ 4.3 แสนเครื่อง เพิ่มขึ้น 2% จากปีนี้ที่คาดว่าจะมียอด ขายมือถือทั้งโฟนวัน และอินเตอร์แบรนด์ 3.6 ล้านเครื่อง คิดเป็นส่วนแบ่งตลาด 45% ของตลาดรวม
ส่วนรายได้คาดว่าจะใกล้เคียงกับรายได้ปีนี้ 1.1-1.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่บริษัทตั้งไว้ 1.3 หมื่นล้านบาท สาเหตุหลักมาจากสถานการณ์การเมือง ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว การแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง และการที่บริษัทเปิดตัวมือถือโฟนวันออกสู่ตลาดช้า
ขณะที่แนวโน้มการบริโภคมือถือปีหน้าส่วนใหญ่กว่า 50% จะอยู่ในกลุ่มตลาดล่าง-กลาง ระดับราคา 1-3 พันบาท หรือที่เรียกกว่า กลุ่มอิมเมอร์จิงมาร์เก็ต ซึ่งจะเป็นกลุ่มที่สร้างยอดขายมากที่สุด รองลงมาเป็นกลุ่มที่ต้องการมือถือพื้นฐาน (เบสิกโฟน) ราคาอยู่ที่ 3-7 พันบาท ส่วนกลุ่มระดับราคา 7 พันบาท ไปจนถึงราคา 1.5 หมื่นบาท จะเป็นกลุ่มที่ต้องการมือถือเทคโนโลยีขั้นสูง (แอดวานซ์เทคโนโลยี) ซึ่งมีสัดส่วนในตลาดน้อย
นอกจากนี้ บริษัทได้ร่วมกับเอไอเอส และโนเกีย พัฒนาโซลูชันสำหรับการรับส่งอีเมลบนมือถือโนเกีย รุ่น E51 เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ ไปจนถึงกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและเล็ก ซึ่งเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับลูกค้าของเอไอเอส โดยปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาดในกลุ่มลูกค้าองค์กรที่ใช้บริการรับ-ส่งอีเมลผ่านมือถืออยู่กว่า 70% จากฐานลูกค้ากว่า 1.5-2 หมื่นราย และเชื่อว่าความต้องการใช้งาน โมบาย พุชเมล มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และปีหน้าจะสามารถขยายฐานลูกค้าได้เพิ่มขึ้นอีก
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=202133
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news10/11/07
โพสต์ที่ 79
ผลวิจัยประชากรมือถือแตะ50%ทั่วโลกปีหน้า
5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 19:16:00
ผลวิจัยชี้ปีหน้าประชากรมือถือทั่วโลกเพิ่มเป็นกว่า 50% ขณะที่อีก 4 ปีข้างหน้าจะมีผู้ใช้รายใหม่เข้ามาอีก 1.5 พันล้านราย เผยภูมิภาคเอเชียยังมาแรง แม้จะเป็นตลาดที่สร้างรายได้ต่อเลขหมายต่ำ ส่วนแอฟริการั้งท้าย
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : รายงานจากบริษัท ปอร์ติโก รีเสิร์ช (Portico Research) กล่าวว่า ปีหน้าสัดส่วนการใช้โทรศัพท์มือถือทั่วโลกจะสูงเกินกว่า 50% ของจำนวนประชากร และเพิ่มเป็น 75% ภายในปี 2554 จากตัวเลขยอดผู้ใช้รายใหม่เพิ่มเข้ามาอีก 1.5 พันล้านราย ในช่วง 4 ปีจากนี้
พร้อมทั้งระบุว่า ประมาณ 65% ของตลาดมือถือใหม่ จะมาจากภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก แทนที่จะเป็นแอฟริกา อย่างที่เคยคาดไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งผู้ใช้ใหม่ส่วนใหญ่ จะมาจากประชากรซึ่งอยู่ตามพื้นที่ชนบทของหลายประเทศ ได้แก่ อินเดีย และปากีสถาน
สำหรับตลาดมือถือโดยรวมนั้น แม้ตลาดที่พัฒนาเต็มที่ และอิ่มตัวแล้วอย่าง ยุโรป จะมีข้อจำกัดในการเติบโต แต่ทางด้านสหรัฐ จะเป็นกรณีที่ต่างออกไป เพราะด้วยการบริหารจัดการทรัพย์สิน จะช่วยให้ยังสามารถรักษาระดับการขยายตัวในอัตราสูงต่อเนื่องไปอีกตลอด 5 ปีจากนี้
ขณะที่ รายงาน "เดอะ เน็กซ์ บิลเลียน : กลยุทธ์ขับเคลื่อนการเติบโตและทำกำไร จากตลาดมือถือที่สร้างรายได้ต่อเดือนต่ำ" กล่าวว่า สัดส่วนการใช้มือถือที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่นั้น จะให้รายได้ต่อเดือนต่อเลขหมายต่ำมาก เมื่อเทียบกับจากยุโรป หรืออเมริกาเหนือ
โดยย้ำว่า รายได้ต่อเลขหมายจากประเทศอย่าง อินเดีย และบังกลาเทศนั้น อาจตกประมาณ 3-4 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน ซึ่งรายได้ต่อเลขหมายทั้งปีของตลาดดังกล่าว อาจเท่ากับหรือน้อยกว่ารายได้ต่อเลขหมายแต่ละเดือนจากผู้ใช้ในสหรัฐ หรือยุโรป โดยเปรียบเทียบว่า ผู้ใช้มือถือในสหรัฐ 1 คน จะมีมูลค่าเท่ากับผู้ใช้มือถือใหม่จากเอเชียอย่างน้อย 7 คน
อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาของปอร์ติโก ก็ระบุว่า ผู้ให้บริการเครือข่ายคงไม่สามารถละเลยตลาดเกิดใหม่ได้ เพราะเอเชีย แปซิฟิก เป็นภูมิภาคที่มีโอกาสมากที่สุด สำหรับการเติบโตของยอดมือถือ และการใช้บริการ
ขณะที่ ยุโรปและอเมริกาเหนือ เป็นภูมิภาคที่มีรายได้ต่อเลขหมายมากที่สุด ส่วนอเมริกาใต้ เป็นตลาดที่กำลังเติบโต จากจำนวนผู้ใช้มือถือใหม่นับล้านคนที่สมัครใช้บริการพื้นฐาน และสร้างรายได้สูงกว่าตลาดเอเชีย ตะวันออกกลาง และแอฟริกา
รายงานฉบับนี้ ระบุด้วยว่า แอฟริกา จะเป็นตลาดสำหรับ "พันล้านสุดท้าย" ของยอดการใช้มือถือใหม่ เพราะยังขาดแคลนความพร้อมด้านการเชื่อมต่ออยู่ แม้ว่าประเทศอื่นๆ ทั่วโลกอาจเข้าสู่ภาวะตลาดอิ่มตัวไปแล้ว
ทั้งนี้ มีรายงานจากบริษัทวิจัยหลายแห่ง บ่งชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า ภูมิภาคเอเชีย และประเทศกำลังพัฒนา กำลังเป็นตลาดที่มีโอกาสเติบโตสูงสำหรับอุตสาหกรรมโทรศัพท์มือถือ
โดยอินฟอร์มา ระบุว่าเดือนก.ค.ปีนี้ ยอดผู้ใช้มือถือทั่วโลกแตะหลัก 3 พันล้านคนไปแล้ว
ขณะที่ บริษัทวิจัยการตลาดปิรามิด ก็คาดการณ์ยอดใช้มือถือใหม่ว่าจะเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 1.4 พันล้านเครื่อง ภายในปี 2553 จากจำนวน 2.8 พันล้านเครื่องเมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา พร้อมระบุว่า การเติบโตครั้งนี้มีสัดส่วนจากตลาดใหม่ๆ ถึง 87%
นางสาวเลสซี่ อาราทูน รองประธานฝ่ายวิจัยของปิรามิด กล่าวว่า ประมาณการสัดส่วนการใช้มือถือต่อประชากรรวมน่าจะอยู่ที่ระดับสูงกว่า 20% ซึ่งเพิ่มจากที่เคยคาดการณ์ไว้เมื่อ 2-3 ปีก่อนหน้านี้
http://www.bangkokbiznews.com/2007/11/0 ... sid=199354
5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 19:16:00
ผลวิจัยชี้ปีหน้าประชากรมือถือทั่วโลกเพิ่มเป็นกว่า 50% ขณะที่อีก 4 ปีข้างหน้าจะมีผู้ใช้รายใหม่เข้ามาอีก 1.5 พันล้านราย เผยภูมิภาคเอเชียยังมาแรง แม้จะเป็นตลาดที่สร้างรายได้ต่อเลขหมายต่ำ ส่วนแอฟริการั้งท้าย
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : รายงานจากบริษัท ปอร์ติโก รีเสิร์ช (Portico Research) กล่าวว่า ปีหน้าสัดส่วนการใช้โทรศัพท์มือถือทั่วโลกจะสูงเกินกว่า 50% ของจำนวนประชากร และเพิ่มเป็น 75% ภายในปี 2554 จากตัวเลขยอดผู้ใช้รายใหม่เพิ่มเข้ามาอีก 1.5 พันล้านราย ในช่วง 4 ปีจากนี้
พร้อมทั้งระบุว่า ประมาณ 65% ของตลาดมือถือใหม่ จะมาจากภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก แทนที่จะเป็นแอฟริกา อย่างที่เคยคาดไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งผู้ใช้ใหม่ส่วนใหญ่ จะมาจากประชากรซึ่งอยู่ตามพื้นที่ชนบทของหลายประเทศ ได้แก่ อินเดีย และปากีสถาน
สำหรับตลาดมือถือโดยรวมนั้น แม้ตลาดที่พัฒนาเต็มที่ และอิ่มตัวแล้วอย่าง ยุโรป จะมีข้อจำกัดในการเติบโต แต่ทางด้านสหรัฐ จะเป็นกรณีที่ต่างออกไป เพราะด้วยการบริหารจัดการทรัพย์สิน จะช่วยให้ยังสามารถรักษาระดับการขยายตัวในอัตราสูงต่อเนื่องไปอีกตลอด 5 ปีจากนี้
ขณะที่ รายงาน "เดอะ เน็กซ์ บิลเลียน : กลยุทธ์ขับเคลื่อนการเติบโตและทำกำไร จากตลาดมือถือที่สร้างรายได้ต่อเดือนต่ำ" กล่าวว่า สัดส่วนการใช้มือถือที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่นั้น จะให้รายได้ต่อเดือนต่อเลขหมายต่ำมาก เมื่อเทียบกับจากยุโรป หรืออเมริกาเหนือ
โดยย้ำว่า รายได้ต่อเลขหมายจากประเทศอย่าง อินเดีย และบังกลาเทศนั้น อาจตกประมาณ 3-4 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน ซึ่งรายได้ต่อเลขหมายทั้งปีของตลาดดังกล่าว อาจเท่ากับหรือน้อยกว่ารายได้ต่อเลขหมายแต่ละเดือนจากผู้ใช้ในสหรัฐ หรือยุโรป โดยเปรียบเทียบว่า ผู้ใช้มือถือในสหรัฐ 1 คน จะมีมูลค่าเท่ากับผู้ใช้มือถือใหม่จากเอเชียอย่างน้อย 7 คน
อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาของปอร์ติโก ก็ระบุว่า ผู้ให้บริการเครือข่ายคงไม่สามารถละเลยตลาดเกิดใหม่ได้ เพราะเอเชีย แปซิฟิก เป็นภูมิภาคที่มีโอกาสมากที่สุด สำหรับการเติบโตของยอดมือถือ และการใช้บริการ
ขณะที่ ยุโรปและอเมริกาเหนือ เป็นภูมิภาคที่มีรายได้ต่อเลขหมายมากที่สุด ส่วนอเมริกาใต้ เป็นตลาดที่กำลังเติบโต จากจำนวนผู้ใช้มือถือใหม่นับล้านคนที่สมัครใช้บริการพื้นฐาน และสร้างรายได้สูงกว่าตลาดเอเชีย ตะวันออกกลาง และแอฟริกา
รายงานฉบับนี้ ระบุด้วยว่า แอฟริกา จะเป็นตลาดสำหรับ "พันล้านสุดท้าย" ของยอดการใช้มือถือใหม่ เพราะยังขาดแคลนความพร้อมด้านการเชื่อมต่ออยู่ แม้ว่าประเทศอื่นๆ ทั่วโลกอาจเข้าสู่ภาวะตลาดอิ่มตัวไปแล้ว
ทั้งนี้ มีรายงานจากบริษัทวิจัยหลายแห่ง บ่งชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า ภูมิภาคเอเชีย และประเทศกำลังพัฒนา กำลังเป็นตลาดที่มีโอกาสเติบโตสูงสำหรับอุตสาหกรรมโทรศัพท์มือถือ
โดยอินฟอร์มา ระบุว่าเดือนก.ค.ปีนี้ ยอดผู้ใช้มือถือทั่วโลกแตะหลัก 3 พันล้านคนไปแล้ว
ขณะที่ บริษัทวิจัยการตลาดปิรามิด ก็คาดการณ์ยอดใช้มือถือใหม่ว่าจะเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 1.4 พันล้านเครื่อง ภายในปี 2553 จากจำนวน 2.8 พันล้านเครื่องเมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา พร้อมระบุว่า การเติบโตครั้งนี้มีสัดส่วนจากตลาดใหม่ๆ ถึง 87%
นางสาวเลสซี่ อาราทูน รองประธานฝ่ายวิจัยของปิรามิด กล่าวว่า ประมาณการสัดส่วนการใช้มือถือต่อประชากรรวมน่าจะอยู่ที่ระดับสูงกว่า 20% ซึ่งเพิ่มจากที่เคยคาดการณ์ไว้เมื่อ 2-3 ปีก่อนหน้านี้
http://www.bangkokbiznews.com/2007/11/0 ... sid=199354
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news16/11/07
โพสต์ที่ 80
อีริคสันขยับรับเงินลงทุน7หมื่นล.
โพสต์ทูเดย์ อีริคสัน รอรับอานิสงส์ การลงทุนขยายเครือข่ายสื่อสารปีหน้าสูงถึง 7 หมื่นล้านบาท เร่งสร้างบุคลากรรองรับ
นายฮันส์ คาร์ลสัน ประธานและผู้จัดการบริษัท อีริคสัน ประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดเครือข่ายทั่วโลกปีหน้าจะมีอัตรา การเติบโตอยู่ในระดับกลางหรือประมาณ 4-6% จากปีนี้ ขณะที่ตลาดโทรคมนาคม ในเมืองไทย คาดว่ากลุ่มผู้ให้บริการโทรคมนาคมไทย ทั้งภาครัฐและเอกชนจะมีการลงทุนเทคโนโลยีใหม่ รวมถึงขยายเครือข่ายเพิ่มอีกไม่ต่ำกว่า 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 7 หมื่นล้านบาท
การลงทุนดังกล่าว เพื่อรองรับตลาดโต โดยเฉพาะบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (บรอดแบนด์) ทั้งแบบมีสายและไร้สาย และส่งผลให้ตลาดอุปกรณ์เครือข่ายทั้งไอพี เน็ตเวิร์ก ระบบสื่อสัญญาณ (ทรานสมิทชั่น) และเทคโนโลยีเครือข่ายไร้สายความเร็วสูง (3จี) เติบโตตามไปด้วย
เชื่อว่าในช่วงไตรมาส 2 และ 3 ปีหน้าตลาดจะฟื้น ธุรกิจมีความต้องการขยายเครือข่ายมากกว่าปีนี้ ที่ยังรอความชัดเจนการออกใบอนุญาตใหม่ นโยบายการกำกับ ดูแลกลุ่มโทรคมนาคมใหม่ รวมถึงรัฐบาลใหม่ นายฮันส์ กล่าว
จากแนวโน้มดังกล่าวทำให้อีริคสันต้องเตรียมพร้อมรับมือด้วยการเพิ่มจำนวน บุคลากรกว่า 100 คน เพื่อรองรับตลาดที่คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง เพื่อชิงความได้เปรียบจากคู่แข่งที่ยังอยู่ระหว่างการควบรวมกิจการ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การ ทำตลาดของอีริคสัน ที่เน้นให้ความสำคัญกับการสร้างคนที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนยี เพื่อสร้างความต่างจากคู่แข่ง เพราะจะเห็นว่าปัจจุบัน สินค้าและบริการจากผู้ผลิตอุปกรณ์โทรคมนาคมทุกค่ายมีเหมือนกันหมด
นอกจากนั้น ก็จะเน้นการนำเสนอบริการบรอดแบนด์แบบครบวงจรให้กับผู้ให้บริการโทรคมนาคมไทย (ฟูล เซอร์วิส บรอดแบนด์) ด้วยเทคโนโลยีความเร็วสูง เอชเอสดีพีเอ เพราะเล็งเห็นแนวโน้มการเติบโตด้านการใช้งานเทคโนโลยีเอชเอสดีพีเอ ทั้งบนมือถือ โน้ตบุ๊กและเครื่องรับโทรทัศน์ความละเอียดสูง (เอชพีทีวี) ที่มีจำนวนมากกว่าขึ้น
ดังนั้น อีริคสันจึงตัดสินใจนำเทคโนโลยีดังกล่าวเข้ามาทำตลาดในไทย แทนที่ จะเป็นไว-แม็กซ์ ที่ยังมีจำนวนผู้ใช้ไม่ มาก และอุปกรณ์รองรับการใช้งานน้อย อีกทั้งยังเพิ่งได้รับการยอมรับจากสหภาพโทรคมนาคมแห่งยุโรป (ไอทียู) ให้เป็น เทคโนโลยีมาตรฐานมือถือ 3จี
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=203895
โพสต์ทูเดย์ อีริคสัน รอรับอานิสงส์ การลงทุนขยายเครือข่ายสื่อสารปีหน้าสูงถึง 7 หมื่นล้านบาท เร่งสร้างบุคลากรรองรับ
นายฮันส์ คาร์ลสัน ประธานและผู้จัดการบริษัท อีริคสัน ประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดเครือข่ายทั่วโลกปีหน้าจะมีอัตรา การเติบโตอยู่ในระดับกลางหรือประมาณ 4-6% จากปีนี้ ขณะที่ตลาดโทรคมนาคม ในเมืองไทย คาดว่ากลุ่มผู้ให้บริการโทรคมนาคมไทย ทั้งภาครัฐและเอกชนจะมีการลงทุนเทคโนโลยีใหม่ รวมถึงขยายเครือข่ายเพิ่มอีกไม่ต่ำกว่า 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 7 หมื่นล้านบาท
การลงทุนดังกล่าว เพื่อรองรับตลาดโต โดยเฉพาะบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (บรอดแบนด์) ทั้งแบบมีสายและไร้สาย และส่งผลให้ตลาดอุปกรณ์เครือข่ายทั้งไอพี เน็ตเวิร์ก ระบบสื่อสัญญาณ (ทรานสมิทชั่น) และเทคโนโลยีเครือข่ายไร้สายความเร็วสูง (3จี) เติบโตตามไปด้วย
เชื่อว่าในช่วงไตรมาส 2 และ 3 ปีหน้าตลาดจะฟื้น ธุรกิจมีความต้องการขยายเครือข่ายมากกว่าปีนี้ ที่ยังรอความชัดเจนการออกใบอนุญาตใหม่ นโยบายการกำกับ ดูแลกลุ่มโทรคมนาคมใหม่ รวมถึงรัฐบาลใหม่ นายฮันส์ กล่าว
จากแนวโน้มดังกล่าวทำให้อีริคสันต้องเตรียมพร้อมรับมือด้วยการเพิ่มจำนวน บุคลากรกว่า 100 คน เพื่อรองรับตลาดที่คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง เพื่อชิงความได้เปรียบจากคู่แข่งที่ยังอยู่ระหว่างการควบรวมกิจการ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การ ทำตลาดของอีริคสัน ที่เน้นให้ความสำคัญกับการสร้างคนที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนยี เพื่อสร้างความต่างจากคู่แข่ง เพราะจะเห็นว่าปัจจุบัน สินค้าและบริการจากผู้ผลิตอุปกรณ์โทรคมนาคมทุกค่ายมีเหมือนกันหมด
นอกจากนั้น ก็จะเน้นการนำเสนอบริการบรอดแบนด์แบบครบวงจรให้กับผู้ให้บริการโทรคมนาคมไทย (ฟูล เซอร์วิส บรอดแบนด์) ด้วยเทคโนโลยีความเร็วสูง เอชเอสดีพีเอ เพราะเล็งเห็นแนวโน้มการเติบโตด้านการใช้งานเทคโนโลยีเอชเอสดีพีเอ ทั้งบนมือถือ โน้ตบุ๊กและเครื่องรับโทรทัศน์ความละเอียดสูง (เอชพีทีวี) ที่มีจำนวนมากกว่าขึ้น
ดังนั้น อีริคสันจึงตัดสินใจนำเทคโนโลยีดังกล่าวเข้ามาทำตลาดในไทย แทนที่ จะเป็นไว-แม็กซ์ ที่ยังมีจำนวนผู้ใช้ไม่ มาก และอุปกรณ์รองรับการใช้งานน้อย อีกทั้งยังเพิ่งได้รับการยอมรับจากสหภาพโทรคมนาคมแห่งยุโรป (ไอทียู) ให้เป็น เทคโนโลยีมาตรฐานมือถือ 3จี
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=203895
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news16/11/07
โพสต์ที่ 81
ค่ายมือถือเหลืออดกทช.
โพสต์ทูเดย์ 3 ค่ายมือถือเลิกง้อ กทช. จับมือหาทางออกใบอนุญาต 3 จี เตรียมควักกระเป๋าอัพเกรดเทคโนโลยีใหม่สู่ เอชเอสพีเอ
นายซิคเว่ เบรคเก้ ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น หรือดีแทค กล่าวว่า หากคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ยังไม่มีความชัดเจนเรื่องการออกคลื่นความถี่ใหม่ หรือคลื่นความถี่ 3 จี ทางดีแทคจะหันไปลงทุนเพื่ออัพเกรดเทคโนโลยีจากคลื่นเดิม คือ ระบบ 1800 สู่ระบบเอชเอสพีเอ (High Speed Pocket Access) ซึ่งมีความเร็วประมาณ 3.5 จี
การลงทุนครั้งนี้จะช่วยให้ดีแทคสามารถขยายการให้บริการสู่บริการอินเทอร์เน็ตไร้สายในรูปแบบ โมบาย บรอดแบนด์ ทั้งการรับส่งข้อมูล ระหว่างโทรศัพท์มือถือ และการใช้อินเทอร์เน็ตไร้สายจากโน้ตบุ๊ก
ทั้งดีแทค และ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือเอไอเอส กำลังเจรจาเพื่ออัพเกรดเทคโนโลยีสู่เทคโนโลยีใหม่กับโนเกีย และ อีริคสัน คาดว่าจะเห็นการลงทุนเพิ่มเติมภายในปีหน้า นายเบรคเก้ กล่าว
ทั้งนี้ การหันมาเน้นด้านธุรกิจ โมบาย บรอดแบนด์ มากขึ้นนั้น เท่ากับเป็นการกดดัน กทช.ไปตัว รวมทั้งการที่ต้องรอองค์กรใหม่อย่าง กทสช ทำให้ไม่มีความเคลื่อนไหวเรื่องคลื่นความถี่ใหม่ ส่งผลให้ประเทศไทยล้าหลังมากหากเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน
นายวิเชียร เมฆตระการ กรรม การผู้อำนวยการ เอไอเอส กล่าวว่า หากเลือกได้ เอไอเอสต้องการลงทุนบนคลื่นความถี่ใหม่ 3 จี มากกว่า เนื่องจากต้องการหลุดพ้นจากการดำเนินการภายใต้สัญญาสัมปทาน แต่หาก กทช.ยังไม่ชัดเจนและคู่แข่งมีการเคลื่อนไหว เอไอเอสอาจตัดสินใจลงทุนเอชเอสพีเอ
อย่างไรก็ตาม เอชเอสพีเอเป็นเทคโนโลยีที่มีความเสี่ยงสูง เพราะเป็นการเปลี่ยนจากจีเอสเอ็ม สู่ไวร์แบนด์ ซีดีเอ็มเอ ซึ่งจะมีปัญหาในเรื่องของเครื่องลูกข่ายตามมา ดังนั้น ผู้ให้บริการต้องคิดให้รอบคอบ
นายศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และหัวหน้าคณะ ผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า ทรูมูฟพร้อมที่จะลงทุนเพื่ออัพเกรดสู่เทคโนโลยีใหม่เช่นเดียวกัน หากทั้งเอไอเอสและดีแทค ตัดสินใจอัพเกรดโดยไม่รอคลื่นความถี่ใหม่จาก กทช.
ทั้งนี้ ในปีหน้ามีแผนลงทุนด้านโครงข่ายของทรูมูฟอีก 1 หมื่นล้านบาท ติดตั้งสถานีฐานให้ครอบคลุมทั่วประเทศ แต่หาก กทช.ออกไลเซนส์ บริการอินเทอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูง (ไวแมกซ์) ก็จะลงทุนเพิ่มอีก 1.5 หมื่นล้านบาท
นายสุรนันท์ วงศ์วิทยกำจร เลขากทช. กล่าวว่า ขณะนี้ทำได้เพียงการทดลองให้บริการไวแมกซ์ และ 3 จี แต่ไม่สามารถออกไลเซนส์บนคลื่นความถี่ใหม่ได้ เพราะต้องรออนุมัติภายใต้ กทสช เท่านั้น
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=203887
โพสต์ทูเดย์ 3 ค่ายมือถือเลิกง้อ กทช. จับมือหาทางออกใบอนุญาต 3 จี เตรียมควักกระเป๋าอัพเกรดเทคโนโลยีใหม่สู่ เอชเอสพีเอ
นายซิคเว่ เบรคเก้ ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น หรือดีแทค กล่าวว่า หากคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ยังไม่มีความชัดเจนเรื่องการออกคลื่นความถี่ใหม่ หรือคลื่นความถี่ 3 จี ทางดีแทคจะหันไปลงทุนเพื่ออัพเกรดเทคโนโลยีจากคลื่นเดิม คือ ระบบ 1800 สู่ระบบเอชเอสพีเอ (High Speed Pocket Access) ซึ่งมีความเร็วประมาณ 3.5 จี
การลงทุนครั้งนี้จะช่วยให้ดีแทคสามารถขยายการให้บริการสู่บริการอินเทอร์เน็ตไร้สายในรูปแบบ โมบาย บรอดแบนด์ ทั้งการรับส่งข้อมูล ระหว่างโทรศัพท์มือถือ และการใช้อินเทอร์เน็ตไร้สายจากโน้ตบุ๊ก
ทั้งดีแทค และ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือเอไอเอส กำลังเจรจาเพื่ออัพเกรดเทคโนโลยีสู่เทคโนโลยีใหม่กับโนเกีย และ อีริคสัน คาดว่าจะเห็นการลงทุนเพิ่มเติมภายในปีหน้า นายเบรคเก้ กล่าว
ทั้งนี้ การหันมาเน้นด้านธุรกิจ โมบาย บรอดแบนด์ มากขึ้นนั้น เท่ากับเป็นการกดดัน กทช.ไปตัว รวมทั้งการที่ต้องรอองค์กรใหม่อย่าง กทสช ทำให้ไม่มีความเคลื่อนไหวเรื่องคลื่นความถี่ใหม่ ส่งผลให้ประเทศไทยล้าหลังมากหากเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน
นายวิเชียร เมฆตระการ กรรม การผู้อำนวยการ เอไอเอส กล่าวว่า หากเลือกได้ เอไอเอสต้องการลงทุนบนคลื่นความถี่ใหม่ 3 จี มากกว่า เนื่องจากต้องการหลุดพ้นจากการดำเนินการภายใต้สัญญาสัมปทาน แต่หาก กทช.ยังไม่ชัดเจนและคู่แข่งมีการเคลื่อนไหว เอไอเอสอาจตัดสินใจลงทุนเอชเอสพีเอ
อย่างไรก็ตาม เอชเอสพีเอเป็นเทคโนโลยีที่มีความเสี่ยงสูง เพราะเป็นการเปลี่ยนจากจีเอสเอ็ม สู่ไวร์แบนด์ ซีดีเอ็มเอ ซึ่งจะมีปัญหาในเรื่องของเครื่องลูกข่ายตามมา ดังนั้น ผู้ให้บริการต้องคิดให้รอบคอบ
นายศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และหัวหน้าคณะ ผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า ทรูมูฟพร้อมที่จะลงทุนเพื่ออัพเกรดสู่เทคโนโลยีใหม่เช่นเดียวกัน หากทั้งเอไอเอสและดีแทค ตัดสินใจอัพเกรดโดยไม่รอคลื่นความถี่ใหม่จาก กทช.
ทั้งนี้ ในปีหน้ามีแผนลงทุนด้านโครงข่ายของทรูมูฟอีก 1 หมื่นล้านบาท ติดตั้งสถานีฐานให้ครอบคลุมทั่วประเทศ แต่หาก กทช.ออกไลเซนส์ บริการอินเทอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูง (ไวแมกซ์) ก็จะลงทุนเพิ่มอีก 1.5 หมื่นล้านบาท
นายสุรนันท์ วงศ์วิทยกำจร เลขากทช. กล่าวว่า ขณะนี้ทำได้เพียงการทดลองให้บริการไวแมกซ์ และ 3 จี แต่ไม่สามารถออกไลเซนส์บนคลื่นความถี่ใหม่ได้ เพราะต้องรออนุมัติภายใต้ กทสช เท่านั้น
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=203887
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news16/11/07
โพสต์ที่ 82
กระทรวงไอซีทีคาดงานICT EXPO 2007 สะพัด5พันล้าน คนร่วมงานกว่า 4 แสนคน
กระทรวงไอซีทีคาดงานICT EXPO 2007 ปีนี้มีเงินสะพัดกว่า 5 พันล้าน ยอดผู้เข้าชมไม่น้อยกว่า 4 แสนคน และเกิดการจับคู่ลงทุนร่วมกันไม่ต่ำกว่า 100 ราย ชูแนวคิด "Towards A Sustainable ICT Ecosystem" หรือ "ICT เพื่อการพัฒนาแบบยั่งยืน"
นายสือ ล้ออุทัย รองปลัดกระทรวงรักษาราชการแทนปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กล่าวถึงงาน Bangkok International ICT EXPO 2007 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 16-20 พ.ย.2550 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 2-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานีว่า จัดขึ้นภายใต้แนวคิด "Towards A Sustainable ICT Ecosystem" หรือ "ICT เพื่อการพัฒนาแบบยั่งยืน" ที่มุ่งเน้นเป็นเวทีแสดงศักยภาพของบริษัทผู้ประกอบการด้านไอซีที และความพร้อมของประเทศไทยในการเปิดรับการพัฒนาด้านไอซีที โดยเน้นเผยแพร่ความรู้ และแสดงให้ประชาชนตระหนักถึงการใช้ ICT เพื่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ตามหลักการปรัชญาพอเพียง
โดยซึ่งในปีนี้มีผู้เข้าร่วมแสดงงานจากทั้งในและต่างประเทศกว่า 200 บริษัท และมีผู้ประกอบการจากประเทศในนามพันธมิตรรัฐบาล (Visitor) ที่เข้าร่วมงานในส่วนของเวทีเจรจาธุรกิจถึง 11 ประเทศ ได้แก่ อังกฤษ บังกลาเทศ เกาหลีใต้ อินเดีย ฮ่องกง มาเลเซีย สิงคโปร์ ศรีลังกา ปากีสถาน และพม่า โดยคาดว่าปีนี้จะมีผู้เข้าชมงานไม่น้อยกว่า 400,000 คน และมีเงินสะพัดกว่า 5,000 ล้านบาท
"เชื่อว่าในช่วงวันเจรจาธุรกิจ 16-17 พ.ย.นี้ ที่จะเปิดโอกาสให้นักธุรกิจ ผู้ประกอบการทั้งชาวไทยและต่างประเทศได้เข้าชมและแลกเปลี่ยนทางด้านการค้า การลงทุนร่วมกันนั้นจะก่อให้เกิดการจับคู่ธุรกิจและการลงทุนร่วมกันไม่ต่ำกว่า 100 ราย"
สำหรับไฮไลต์ที่น่าสนใจของงานในปีนี้คือ จัดสัมมนาทาทงวิชาการหรือ ICT Forum ที่มีการตอบรับจากผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีไอซีที ในแต่ละภาคอุตสาหกรรมจากทั้งในและต่างประเทศกว่า 20 ราย ที่จะมาร่วมแลกเปลี่ยนและถ่ายทอดความรู้ในด้านต่างๆ อาทิ จิมมี่ ดอนัล จิมโบเวลส์ (Mr.Jimmy Donal Jimbo Wales) ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์สารานุกรมออนไลน์ชื่อดังวิกิพีเดีย (Wikipedia) ที่ให้บริการสืบค้นข้อมุลออนไลน์ หรือ เสิร์ชเอนจิ้น ด้วยแนวคิดในการสร้างสรรค์วิกิพีเดีย ให้เป็นเว็บไซต์สารานุกรมออนไลน์การกุศล ที่ผู้อ่านสามารถแก้ไขเนื้อความให้ถูกต้องและทันต่อเหตุการณ์อยู่เสมอ ทำให้วิกิพีเดียถูกยกย่องว่าเป็นสารานุกรมออนไลน์ที่ดีที่สุดในขณะนี้
นอกจากนี้ยังได้รับความสนใจจาก มอลลี่ กาลวิ่น (Mr.Molly Gavin) ผู้อำนวยการฝ่ายความสัมพันธ์ภาครัฐ บริษัท ควอลคอมม์ ร่วมสัมมนาในหัวข้อ โครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G กับการพัฒนาคุณภาพชีวิต ดร.เรย์ โอเว่น (Dr.Ray Owen) หัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยีและโครงข่ายประจำภาคพื้นเอเชียใต้และเอเชียตะวันออก บริษัท โมโตโรล่า หัวข้อ บทบาทของ บรอดแบนด์ไร้สายในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา และความสำคัญของนโยบายด้านไอซีทีของไทย และโอเวิร์ด ชาร์นีย์ (Mr.Howard Charney) รองประธานอาวุโส บริษัท ซิสโก้ ซิสเต็มส์ หัวข้อ การขยายตัวอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีสื่อสารและอินเทอร์เน็ต เป็นต้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การตอบรับเข้าร่วมงานในปีนี้ โดยเฉพาะบริษัทในฝั่งธุรกิจไอทีถือว่าค่อนข้างน้อย ผู้นำเทคโนโลยีระดับโลกเช่น IBM HP หรือSUN ไม่ได้เข้าร่วมจัดบูธแสดงเทคโนโลยีแต่อย่างใด ขณะที่ฝั่งเทเลคอมเองก็มีแต่ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือรายหลักๆเท่านั้นที่ร่วมงาน แต่ไม่มีผู้ผลิตมือถือมานำเสนอมือถือรุ่นใหม่ๆหรือเทคโนโลยีใหม่ๆแต่อย่างใด ขณะที่ภาพรวมนวัตกรรมใหม่ๆก็ค่อนข้างมีน้อยเช่นกัน ส่วนใหญ่จะเป็นการนำเสนอเซอร์วิสหรือบริการที่มีอยู่แล้วเป็นหลัก
บริษัทที่นับว่ามีสีสันในงานนี้มากที่สุดน่าจะเป็นกลุ่มทรู คอร์ปอเรชั่นที่ขนบริการและเซอร์วิสแนว Convergenceมาโชว์อย่างครบครันภายใต้แนวคิด Better Together ไฮไลท์สำคัญๆได้แก่บริษัท ทรู วิชั่นส์ ยูบีซี ที่จะทดลองออกอากาศสัญญาณภาพในระบบ High Definition เป็นครั้งแรกของประเทศไทย โดยยิงสัญญาณตรงจากตึกทิปโก้เข้ามาในงาน ซึ่งจะมีความละเอียดคมชัดกว่าปกติถึง 5 เท่า นอกจากนี้ยังมีการสาธิต Wi-Fi และ Wi-Max สำหรับเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในงานด้วย
นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัว RFID Sim ที่สนับสนุนการใช้จ่ายแบบ m-Commerce ด้วยการแตะมือถือเข้ากับอุปกรณ์รับสัญญาณก็จะหักเงินจากกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์โดยอัตโนมัติ นอกนั้นเป็นเซอร์วิสต่างๆที่ทรูมีอยู่แล้วและนำมาแสดงในงานนี้ เช่นอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ เว็บไซด์ truelife เวอร์ชั่นใหม่ คอนเทนต์ต่างๆอีกมากมาย และที่ขาดไม่ได้คือร้านทรูคอฟฟี่ที่ตั้งร้านนำมาเสิร์ฟแก่ผู้ชมงานกันถึงที่ทีเดียว
ด้านพี่ใหญ่"เอไอเอส"ชูคอนเซ็ปต์บูธด้วยแนวคิด Total Telecom Provider มีบริการหลากหลายน้องๆคอนเวอร์เจ้นท์ของกลุ่มทรูเลยทีเดียว มีทั้งบริการจากแบรนด์ต่างๆ เช่น GSM Advance ซึ่งมอบ SIM 1000 (เก็บรายชื่อได้ 1000 รายชื่อ) และ Multi SIM ฟรี หรือ One2-Call จัดแพ็คเก็จ เหมา-เหมาสำหรับลูกค้าที่ชมงาน มีให้เลือกเหมา 49 บาท ใช้ได้ 90 นาทีภายใน 3 วัน และเหมาะ 99 บาท ใช้งานได้ 200 นาทีในระยะ 7 วันรวมทั้งมีการโชว์ Smart Solution สำหรับธุรกิจ SME อีกด้วย
นอกจากตัวเอไอเอสเองแล้วยังมีการจัดแสดงมือถือเฮาส์แบรนด์ Phone One โมเดลต่างๆและเปิดขายในงานนี้อีกด้วย ส่วนมุมอื่นๆก็ประกอบด้วยมุมของบั๊ดดี้ บรอดแบนด์ และ mPay ที่จะมานำเสนอเซอร์วิสต่างๆของตัวเอง
ด้านCAT Telecom มีไฮไลท์สำคัญคือระบบ iTaxi หรือระบบให้บริการแท็กซี่อัฉริยะ โดยโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ CDMA จะมีแอพพลิเคชั่นเรียกรถแท็กซี่ โดยลูกค้าต้องระบุสถานที่หมายการเดินทาง จากนั้นตัวโปรแกรมจะติดต่อไปยังเซิร์ฟเวอร์ศูนย์แท็กซี่ โดยส่งตำแหน่งที่ลูกค้าอยู่ ณ ปัจจุบันและจุดหมายปลายทางให้
จากนั้นเซิร์ฟเวอร์ของศูนย์แท็กซี่จะทำหน้าที่เลือกรถคันที่อยู่ใกล้ที่สุดไปให้บริการลูกค้า โดยที่ตัวรถจะมีเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กติดตั้งไว้และทำงานร่วมกับอุปกรณ์ GPS เพื่อบอกตำแหน่งของแท็กซี่ทุกๆคันไปยังเซิร์ฟเวอร์ โดยสื่อสารข้อมูลด้วยโครงข่าย CDMA นับว่าเป็นระบบที่น่าสนใจและถ้าใช้งานจริงได้ก็จะเป็นประโยชน์ไม่น้อยทีเดียว
หันมาดูทางด้าน Hutch กันบ้าง ปีนี้เน้นโปรโมทบริการ Hutch MBI หรือ Mobile Broadband Internet เป็นหลักโดยจำหน่ายแอร์การ์ดในราคาโปรโมชั่นคือ 4,400 บาทและ 4,900 บาท (ไม่รวมมูลค่าแพ็กเก็จรายเดือน) หรือสำหรับคนที่ไม่อยากยุ่งยากก็สามารถซื้อแพ็กเก็จ 12,500 บาทได้ทั้งแอร์การ์ดและใช้อินเทอร์เน็ตได้ตลอดทั้งปี
นอกจากนี้ยังมีมินิเราท์เตอร์สำหรับใช้ติดรถยนตร์ ซึ่งเมื่อเสียบแอร์การ์ดเข้าไปแล้วก็จะทำให้ภายในรถสามารถใช้งาน Wi-Fi ได้แม้จะเคลื่อนที่ก็ตาม ทางด้านทีโอทีปีนี้เน้นบริการบรอดแบนด์กันสุดๆ โดยแสดงบริการต่างๆที่ใช้บนอินเทอร์เน็ตไม่ว่าจะเป็นบริการ Net Call ซึ่งเป็นบริการ VOIP ระบบ Security สสำหรับมอนิเตอร์จุดต่างๆผ่าน IP Camera เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีมุมศูนย์บริการลูกค้าสำหรับรับคำขอติดตั้งโทรศัพท์ ตรวจสอบพื้นที่ให้บริการ รับชำระค่าบริการด้วย
ด้านฝั่งทีทีแอนด์ทีก็เน้นโปรโมทบรอดแบนด์ MaxNet มีการจัดมุมสาธิตบริการ MaxNet IPTV แก่ลูกค้า มุมสาธิตบริการ VOIP เช่นเดียวกับปีก่อน ทางบูธCiscoปีนี้นำรถคอนเทนเนอร์ที่เรียกว่า Network on Wheels ซึ่งเป็นรถบรรทุกที่นำเทคโนโลยีการสื่อสารใหม่ๆของซิสโก้บรรจุไว้ในตู้คอนเทนเนอร์นี้ มีทั้งระบบโครงสร้างพื้นฐานทั้งเราท์ติ้งและสวิชชิ่ง ระบบ Unify Communication หรือการสื่อสารครบวงจร เป็นต้น รถคันนี้จะอยู่เมืองไทยแค่ 6 สัปดาห์เท่านั้น หลังจากนี้ก็จะตระเวณไปแสดงในประเทศแถบนี้เช่นมาเลเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ อินโดนีเซีย เป็นต้น
ด้านดีแทคเน้นคอนเซ็ปต์การเป็นโอเอซิสกลางทะเลเทคโนโลยี ไม่เน้นแสดงสินค้ามากมายมีแค่ซิมเบอร์สวยมาขายในราคา ประมาณร้อยห้าสิบกว่าบาท และแจกเสื้อและสมุดโน๊ตเป็นที่ระลึก นอกนั้นเน้นเป็นมุมพักผ่อน มุนนั่งเล่นและให้รับประทานไอสครีมฟรีi-berry ฟรี ซะงั้น
ส่วนบูธอื่นๆก็มีจากซิป้าที่เน้นมาโปรโมทงาน TAM 2007 ค่ายกันตนามาขายของอย่างเดียว มีทั้งสินค้าที่ระลึกของภาพยนตร์ก้านกล้วยทั้งสมุด ดินสอ แฟ้ม ฯลฯ และเกมแนว edutainment ที่พัฒนาโดยค่าย C2-Vision มาจำหน่ายด้วย หรือตัวผู้กำกับดูแลอย่างเช่น กทช.เองก็จัดบูธใหญ่โตมโหราฬสำหรับเป็นมุมนั่งเล่นและแผ่นป้านแสดงวิสัยทัศน์ หน้าที่และผลงานของกทช.เป็นหลัก
ที่น่าแปลกคือมีบูธของผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าจากจีนแบรนด์ Haier นำสินค้ามาจำหน่ายในงานทั้งตู้เย็นขนาดต่างๆ LCD TV เครื่องซักผ้าและเตาไมโครเวฟ โดยจัดโปรโมชั่นดอกเบี้ย 0% และซื้อตู้เย็นแถมเตาไมโครเวฟซะงั้น
ส่วนสำหรับประชาชนที่เข้าชมงานในวันที่18-20 น่าจะตื่นตาตื่นใจกับโซน Mobile Shopping Street ซึ่งเน้นขายสินค้าเป็นหลักโดยจะมีร้านค้ามือถือมากมายรวมทั้งอุปกรณ์ไอที กล้องดิจิตอล ฯลฯมาจำหน่ายด้วย
ส่วนโปรโมชั่นแรงแค่ไหนคงต้องไปเดินสำรวจในงานอย่างเดียว
http://matichon.co.th/prachachat/news_d ... 60&catid=2
กระทรวงไอซีทีคาดงานICT EXPO 2007 ปีนี้มีเงินสะพัดกว่า 5 พันล้าน ยอดผู้เข้าชมไม่น้อยกว่า 4 แสนคน และเกิดการจับคู่ลงทุนร่วมกันไม่ต่ำกว่า 100 ราย ชูแนวคิด "Towards A Sustainable ICT Ecosystem" หรือ "ICT เพื่อการพัฒนาแบบยั่งยืน"
นายสือ ล้ออุทัย รองปลัดกระทรวงรักษาราชการแทนปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กล่าวถึงงาน Bangkok International ICT EXPO 2007 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 16-20 พ.ย.2550 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 2-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานีว่า จัดขึ้นภายใต้แนวคิด "Towards A Sustainable ICT Ecosystem" หรือ "ICT เพื่อการพัฒนาแบบยั่งยืน" ที่มุ่งเน้นเป็นเวทีแสดงศักยภาพของบริษัทผู้ประกอบการด้านไอซีที และความพร้อมของประเทศไทยในการเปิดรับการพัฒนาด้านไอซีที โดยเน้นเผยแพร่ความรู้ และแสดงให้ประชาชนตระหนักถึงการใช้ ICT เพื่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ตามหลักการปรัชญาพอเพียง
โดยซึ่งในปีนี้มีผู้เข้าร่วมแสดงงานจากทั้งในและต่างประเทศกว่า 200 บริษัท และมีผู้ประกอบการจากประเทศในนามพันธมิตรรัฐบาล (Visitor) ที่เข้าร่วมงานในส่วนของเวทีเจรจาธุรกิจถึง 11 ประเทศ ได้แก่ อังกฤษ บังกลาเทศ เกาหลีใต้ อินเดีย ฮ่องกง มาเลเซีย สิงคโปร์ ศรีลังกา ปากีสถาน และพม่า โดยคาดว่าปีนี้จะมีผู้เข้าชมงานไม่น้อยกว่า 400,000 คน และมีเงินสะพัดกว่า 5,000 ล้านบาท
"เชื่อว่าในช่วงวันเจรจาธุรกิจ 16-17 พ.ย.นี้ ที่จะเปิดโอกาสให้นักธุรกิจ ผู้ประกอบการทั้งชาวไทยและต่างประเทศได้เข้าชมและแลกเปลี่ยนทางด้านการค้า การลงทุนร่วมกันนั้นจะก่อให้เกิดการจับคู่ธุรกิจและการลงทุนร่วมกันไม่ต่ำกว่า 100 ราย"
สำหรับไฮไลต์ที่น่าสนใจของงานในปีนี้คือ จัดสัมมนาทาทงวิชาการหรือ ICT Forum ที่มีการตอบรับจากผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีไอซีที ในแต่ละภาคอุตสาหกรรมจากทั้งในและต่างประเทศกว่า 20 ราย ที่จะมาร่วมแลกเปลี่ยนและถ่ายทอดความรู้ในด้านต่างๆ อาทิ จิมมี่ ดอนัล จิมโบเวลส์ (Mr.Jimmy Donal Jimbo Wales) ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์สารานุกรมออนไลน์ชื่อดังวิกิพีเดีย (Wikipedia) ที่ให้บริการสืบค้นข้อมุลออนไลน์ หรือ เสิร์ชเอนจิ้น ด้วยแนวคิดในการสร้างสรรค์วิกิพีเดีย ให้เป็นเว็บไซต์สารานุกรมออนไลน์การกุศล ที่ผู้อ่านสามารถแก้ไขเนื้อความให้ถูกต้องและทันต่อเหตุการณ์อยู่เสมอ ทำให้วิกิพีเดียถูกยกย่องว่าเป็นสารานุกรมออนไลน์ที่ดีที่สุดในขณะนี้
นอกจากนี้ยังได้รับความสนใจจาก มอลลี่ กาลวิ่น (Mr.Molly Gavin) ผู้อำนวยการฝ่ายความสัมพันธ์ภาครัฐ บริษัท ควอลคอมม์ ร่วมสัมมนาในหัวข้อ โครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G กับการพัฒนาคุณภาพชีวิต ดร.เรย์ โอเว่น (Dr.Ray Owen) หัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยีและโครงข่ายประจำภาคพื้นเอเชียใต้และเอเชียตะวันออก บริษัท โมโตโรล่า หัวข้อ บทบาทของ บรอดแบนด์ไร้สายในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา และความสำคัญของนโยบายด้านไอซีทีของไทย และโอเวิร์ด ชาร์นีย์ (Mr.Howard Charney) รองประธานอาวุโส บริษัท ซิสโก้ ซิสเต็มส์ หัวข้อ การขยายตัวอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีสื่อสารและอินเทอร์เน็ต เป็นต้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การตอบรับเข้าร่วมงานในปีนี้ โดยเฉพาะบริษัทในฝั่งธุรกิจไอทีถือว่าค่อนข้างน้อย ผู้นำเทคโนโลยีระดับโลกเช่น IBM HP หรือSUN ไม่ได้เข้าร่วมจัดบูธแสดงเทคโนโลยีแต่อย่างใด ขณะที่ฝั่งเทเลคอมเองก็มีแต่ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือรายหลักๆเท่านั้นที่ร่วมงาน แต่ไม่มีผู้ผลิตมือถือมานำเสนอมือถือรุ่นใหม่ๆหรือเทคโนโลยีใหม่ๆแต่อย่างใด ขณะที่ภาพรวมนวัตกรรมใหม่ๆก็ค่อนข้างมีน้อยเช่นกัน ส่วนใหญ่จะเป็นการนำเสนอเซอร์วิสหรือบริการที่มีอยู่แล้วเป็นหลัก
บริษัทที่นับว่ามีสีสันในงานนี้มากที่สุดน่าจะเป็นกลุ่มทรู คอร์ปอเรชั่นที่ขนบริการและเซอร์วิสแนว Convergenceมาโชว์อย่างครบครันภายใต้แนวคิด Better Together ไฮไลท์สำคัญๆได้แก่บริษัท ทรู วิชั่นส์ ยูบีซี ที่จะทดลองออกอากาศสัญญาณภาพในระบบ High Definition เป็นครั้งแรกของประเทศไทย โดยยิงสัญญาณตรงจากตึกทิปโก้เข้ามาในงาน ซึ่งจะมีความละเอียดคมชัดกว่าปกติถึง 5 เท่า นอกจากนี้ยังมีการสาธิต Wi-Fi และ Wi-Max สำหรับเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในงานด้วย
นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัว RFID Sim ที่สนับสนุนการใช้จ่ายแบบ m-Commerce ด้วยการแตะมือถือเข้ากับอุปกรณ์รับสัญญาณก็จะหักเงินจากกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์โดยอัตโนมัติ นอกนั้นเป็นเซอร์วิสต่างๆที่ทรูมีอยู่แล้วและนำมาแสดงในงานนี้ เช่นอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ เว็บไซด์ truelife เวอร์ชั่นใหม่ คอนเทนต์ต่างๆอีกมากมาย และที่ขาดไม่ได้คือร้านทรูคอฟฟี่ที่ตั้งร้านนำมาเสิร์ฟแก่ผู้ชมงานกันถึงที่ทีเดียว
ด้านพี่ใหญ่"เอไอเอส"ชูคอนเซ็ปต์บูธด้วยแนวคิด Total Telecom Provider มีบริการหลากหลายน้องๆคอนเวอร์เจ้นท์ของกลุ่มทรูเลยทีเดียว มีทั้งบริการจากแบรนด์ต่างๆ เช่น GSM Advance ซึ่งมอบ SIM 1000 (เก็บรายชื่อได้ 1000 รายชื่อ) และ Multi SIM ฟรี หรือ One2-Call จัดแพ็คเก็จ เหมา-เหมาสำหรับลูกค้าที่ชมงาน มีให้เลือกเหมา 49 บาท ใช้ได้ 90 นาทีภายใน 3 วัน และเหมาะ 99 บาท ใช้งานได้ 200 นาทีในระยะ 7 วันรวมทั้งมีการโชว์ Smart Solution สำหรับธุรกิจ SME อีกด้วย
นอกจากตัวเอไอเอสเองแล้วยังมีการจัดแสดงมือถือเฮาส์แบรนด์ Phone One โมเดลต่างๆและเปิดขายในงานนี้อีกด้วย ส่วนมุมอื่นๆก็ประกอบด้วยมุมของบั๊ดดี้ บรอดแบนด์ และ mPay ที่จะมานำเสนอเซอร์วิสต่างๆของตัวเอง
ด้านCAT Telecom มีไฮไลท์สำคัญคือระบบ iTaxi หรือระบบให้บริการแท็กซี่อัฉริยะ โดยโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ CDMA จะมีแอพพลิเคชั่นเรียกรถแท็กซี่ โดยลูกค้าต้องระบุสถานที่หมายการเดินทาง จากนั้นตัวโปรแกรมจะติดต่อไปยังเซิร์ฟเวอร์ศูนย์แท็กซี่ โดยส่งตำแหน่งที่ลูกค้าอยู่ ณ ปัจจุบันและจุดหมายปลายทางให้
จากนั้นเซิร์ฟเวอร์ของศูนย์แท็กซี่จะทำหน้าที่เลือกรถคันที่อยู่ใกล้ที่สุดไปให้บริการลูกค้า โดยที่ตัวรถจะมีเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กติดตั้งไว้และทำงานร่วมกับอุปกรณ์ GPS เพื่อบอกตำแหน่งของแท็กซี่ทุกๆคันไปยังเซิร์ฟเวอร์ โดยสื่อสารข้อมูลด้วยโครงข่าย CDMA นับว่าเป็นระบบที่น่าสนใจและถ้าใช้งานจริงได้ก็จะเป็นประโยชน์ไม่น้อยทีเดียว
หันมาดูทางด้าน Hutch กันบ้าง ปีนี้เน้นโปรโมทบริการ Hutch MBI หรือ Mobile Broadband Internet เป็นหลักโดยจำหน่ายแอร์การ์ดในราคาโปรโมชั่นคือ 4,400 บาทและ 4,900 บาท (ไม่รวมมูลค่าแพ็กเก็จรายเดือน) หรือสำหรับคนที่ไม่อยากยุ่งยากก็สามารถซื้อแพ็กเก็จ 12,500 บาทได้ทั้งแอร์การ์ดและใช้อินเทอร์เน็ตได้ตลอดทั้งปี
นอกจากนี้ยังมีมินิเราท์เตอร์สำหรับใช้ติดรถยนตร์ ซึ่งเมื่อเสียบแอร์การ์ดเข้าไปแล้วก็จะทำให้ภายในรถสามารถใช้งาน Wi-Fi ได้แม้จะเคลื่อนที่ก็ตาม ทางด้านทีโอทีปีนี้เน้นบริการบรอดแบนด์กันสุดๆ โดยแสดงบริการต่างๆที่ใช้บนอินเทอร์เน็ตไม่ว่าจะเป็นบริการ Net Call ซึ่งเป็นบริการ VOIP ระบบ Security สสำหรับมอนิเตอร์จุดต่างๆผ่าน IP Camera เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีมุมศูนย์บริการลูกค้าสำหรับรับคำขอติดตั้งโทรศัพท์ ตรวจสอบพื้นที่ให้บริการ รับชำระค่าบริการด้วย
ด้านฝั่งทีทีแอนด์ทีก็เน้นโปรโมทบรอดแบนด์ MaxNet มีการจัดมุมสาธิตบริการ MaxNet IPTV แก่ลูกค้า มุมสาธิตบริการ VOIP เช่นเดียวกับปีก่อน ทางบูธCiscoปีนี้นำรถคอนเทนเนอร์ที่เรียกว่า Network on Wheels ซึ่งเป็นรถบรรทุกที่นำเทคโนโลยีการสื่อสารใหม่ๆของซิสโก้บรรจุไว้ในตู้คอนเทนเนอร์นี้ มีทั้งระบบโครงสร้างพื้นฐานทั้งเราท์ติ้งและสวิชชิ่ง ระบบ Unify Communication หรือการสื่อสารครบวงจร เป็นต้น รถคันนี้จะอยู่เมืองไทยแค่ 6 สัปดาห์เท่านั้น หลังจากนี้ก็จะตระเวณไปแสดงในประเทศแถบนี้เช่นมาเลเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ อินโดนีเซีย เป็นต้น
ด้านดีแทคเน้นคอนเซ็ปต์การเป็นโอเอซิสกลางทะเลเทคโนโลยี ไม่เน้นแสดงสินค้ามากมายมีแค่ซิมเบอร์สวยมาขายในราคา ประมาณร้อยห้าสิบกว่าบาท และแจกเสื้อและสมุดโน๊ตเป็นที่ระลึก นอกนั้นเน้นเป็นมุมพักผ่อน มุนนั่งเล่นและให้รับประทานไอสครีมฟรีi-berry ฟรี ซะงั้น
ส่วนบูธอื่นๆก็มีจากซิป้าที่เน้นมาโปรโมทงาน TAM 2007 ค่ายกันตนามาขายของอย่างเดียว มีทั้งสินค้าที่ระลึกของภาพยนตร์ก้านกล้วยทั้งสมุด ดินสอ แฟ้ม ฯลฯ และเกมแนว edutainment ที่พัฒนาโดยค่าย C2-Vision มาจำหน่ายด้วย หรือตัวผู้กำกับดูแลอย่างเช่น กทช.เองก็จัดบูธใหญ่โตมโหราฬสำหรับเป็นมุมนั่งเล่นและแผ่นป้านแสดงวิสัยทัศน์ หน้าที่และผลงานของกทช.เป็นหลัก
ที่น่าแปลกคือมีบูธของผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าจากจีนแบรนด์ Haier นำสินค้ามาจำหน่ายในงานทั้งตู้เย็นขนาดต่างๆ LCD TV เครื่องซักผ้าและเตาไมโครเวฟ โดยจัดโปรโมชั่นดอกเบี้ย 0% และซื้อตู้เย็นแถมเตาไมโครเวฟซะงั้น
ส่วนสำหรับประชาชนที่เข้าชมงานในวันที่18-20 น่าจะตื่นตาตื่นใจกับโซน Mobile Shopping Street ซึ่งเน้นขายสินค้าเป็นหลักโดยจะมีร้านค้ามือถือมากมายรวมทั้งอุปกรณ์ไอที กล้องดิจิตอล ฯลฯมาจำหน่ายด้วย
ส่วนโปรโมชั่นแรงแค่ไหนคงต้องไปเดินสำรวจในงานอย่างเดียว
http://matichon.co.th/prachachat/news_d ... 60&catid=2
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news22/11/07
โพสต์ที่ 83
รุกเปิดช็อปสร้างชื่อ หวังยอดขาย700ล.
โพสต์ทูเดย์ ซอฟต์เวิลด์ ลั่นปีนี้ขายพีซีโน้ตบุ๊กกวาดรายได้ 700 ล้านบาท พร้อมรุกเปิดช็อปเลอโนโวดันยอด
นางฉายแสง สามิภักดิ์ กรรมการ บริษัท ซอฟต์เวิลด์ ตัวแทนจำหน่ายอุปกรณ์ไอที กล่าวว่า รายได้ของบริษัทในปีนี้ ส่วนใหญ่มาจากการจำหน่ายเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ (พีซี) และโน้ตบุ๊กยี่ห้อชั้นนำ ได้แก่ โตชิบา เอเซอร์ และเลอโนโว รวมถึงกลุ่มอุปกรณ์เสริมต่างๆ ของผู้ผลิตหลากหลายค่าย ส่งผลให้ปีนี้ยอดขายเพิ่มเป็น 700 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้ 500 ล้านบาท
ปีนี้ซอฟต์เวิลด์ เปิดช็อปภายใต้ชื่อของบริษัท 1 แห่ง และช็อปของคู่ค้าอีก 2 แห่ง ได้แก่ โตชิบาช็อป และเลอโนโวช็อป เนื่องจากเห็นว่าเป็นแบรนด์ที่มีศักยภาพในการทำตลาดเมืองไทย นางฉายแสง กล่าว
ด้านนายภิญโญ สงวนเศรษฐกุล ผู้จัดการประจำประเทศไทย ส่วนงานผลิตภัณฑ์คอนซูเมอร์ บริษัท เลอโนโว ประเทศไทย กล่าวว่า การเพิ่มหน้าร้าน หรือเลอโนโวช็อป ถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์หลัก ที่จะช่วยผลักดันสินค้าและสร้างการรับรู้แบรนด์ของเลอโนโวในตลาดไทยให้มากขึ้น โดยที่ผ่านมาเลอโนโวมีช็อปแล้ว 4 แห่ง ได้แก่ ไอทีมอลล์ ไอทีสแควร์ ไอทีเซียร์ และเซ็นทรัลเวิลด์ และในอีก 2 ไตรมาสจากนี้ จะเพิ่มเลอโนโวช็อปอีก 6 แห่ง รวมถึงเพิ่มเลอโนโว คอนเนอร์อีก 10 แห่ง ตามห้างสรรพสินค้าต่างจังหวัดในปีนี้
นอกจากนั้น ยังเพิ่มสินค้าให้มีความหลากหลาย และครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายในตลาดผู้ใช้ทั่วไป (คอนซูเมอร์) ให้มากขึ้นด้วย เพราะหลังจากที่เลอโนโวได้วิจัยความต้องการของผู้บริโภคพบว่าผู้บริโภคในแต่ละที่มีความต้องการแตกต่างกัน ผลิตภัณฑ์ที่จะออกมาต่อไปของเลอโนโวจึงพัฒนาให้มีความหลากหลาย เพื่อตอบสนองทุกความต้องการ
ล่าสุดได้นำโน้ตบุ๊กรุ่น G-400 ราคา 1.99 หมื่นบาท ที่มาพร้อมกับโปรเซสเซอร์อินเทลดูโอคอร์ราคาถูกที่สุดในตลาดขณะนี้มาช่วยสร้างส่วนแบ่งตลาดโน้ตบุ๊กของเลอโนโว จากปัจจุบันที่อยู่ในอันดับ 6 ของตลาด โดยตั้งเป้าติด 1 ใน 5 อันดับแรกของตลาดภายในปีหน้า
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=204996
โพสต์ทูเดย์ ซอฟต์เวิลด์ ลั่นปีนี้ขายพีซีโน้ตบุ๊กกวาดรายได้ 700 ล้านบาท พร้อมรุกเปิดช็อปเลอโนโวดันยอด
นางฉายแสง สามิภักดิ์ กรรมการ บริษัท ซอฟต์เวิลด์ ตัวแทนจำหน่ายอุปกรณ์ไอที กล่าวว่า รายได้ของบริษัทในปีนี้ ส่วนใหญ่มาจากการจำหน่ายเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ (พีซี) และโน้ตบุ๊กยี่ห้อชั้นนำ ได้แก่ โตชิบา เอเซอร์ และเลอโนโว รวมถึงกลุ่มอุปกรณ์เสริมต่างๆ ของผู้ผลิตหลากหลายค่าย ส่งผลให้ปีนี้ยอดขายเพิ่มเป็น 700 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้ 500 ล้านบาท
ปีนี้ซอฟต์เวิลด์ เปิดช็อปภายใต้ชื่อของบริษัท 1 แห่ง และช็อปของคู่ค้าอีก 2 แห่ง ได้แก่ โตชิบาช็อป และเลอโนโวช็อป เนื่องจากเห็นว่าเป็นแบรนด์ที่มีศักยภาพในการทำตลาดเมืองไทย นางฉายแสง กล่าว
ด้านนายภิญโญ สงวนเศรษฐกุล ผู้จัดการประจำประเทศไทย ส่วนงานผลิตภัณฑ์คอนซูเมอร์ บริษัท เลอโนโว ประเทศไทย กล่าวว่า การเพิ่มหน้าร้าน หรือเลอโนโวช็อป ถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์หลัก ที่จะช่วยผลักดันสินค้าและสร้างการรับรู้แบรนด์ของเลอโนโวในตลาดไทยให้มากขึ้น โดยที่ผ่านมาเลอโนโวมีช็อปแล้ว 4 แห่ง ได้แก่ ไอทีมอลล์ ไอทีสแควร์ ไอทีเซียร์ และเซ็นทรัลเวิลด์ และในอีก 2 ไตรมาสจากนี้ จะเพิ่มเลอโนโวช็อปอีก 6 แห่ง รวมถึงเพิ่มเลอโนโว คอนเนอร์อีก 10 แห่ง ตามห้างสรรพสินค้าต่างจังหวัดในปีนี้
นอกจากนั้น ยังเพิ่มสินค้าให้มีความหลากหลาย และครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายในตลาดผู้ใช้ทั่วไป (คอนซูเมอร์) ให้มากขึ้นด้วย เพราะหลังจากที่เลอโนโวได้วิจัยความต้องการของผู้บริโภคพบว่าผู้บริโภคในแต่ละที่มีความต้องการแตกต่างกัน ผลิตภัณฑ์ที่จะออกมาต่อไปของเลอโนโวจึงพัฒนาให้มีความหลากหลาย เพื่อตอบสนองทุกความต้องการ
ล่าสุดได้นำโน้ตบุ๊กรุ่น G-400 ราคา 1.99 หมื่นบาท ที่มาพร้อมกับโปรเซสเซอร์อินเทลดูโอคอร์ราคาถูกที่สุดในตลาดขณะนี้มาช่วยสร้างส่วนแบ่งตลาดโน้ตบุ๊กของเลอโนโว จากปัจจุบันที่อยู่ในอันดับ 6 ของตลาด โดยตั้งเป้าติด 1 ใน 5 อันดับแรกของตลาดภายในปีหน้า
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=204996
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news22/11/07
โพสต์ที่ 84
ทีโอทีส่อเค้าชวด7พันล.
โพสต์ทูเดย์ ทีโอที แห้วค่าเอซีอีก 7 พันล้านบาท บอร์ด กสทฯ เตรียมไฟเขียวหยุดจ่าย เลือกยืนข้างดีแทค-ทรูมูฟ
รายงานข่าวจาก บริษัท กสท โทรคมนาคม เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) ในวันที่ 22 พ.ย. จะพิจารณาเรื่องการหยุดจ่ายค่าเชื่อมต่อเลขหมาย หรือเอซี (แอกเซสชาร์จ) ให้กับบริษัท ทีโอที ซึ่งเคยจ่ายอยู่ตั้งแต่ปี 2537-2549 รวม 7 พันล้านบาท
การหยุดจ่ายครั้งนี้ เนื่องจาก กสทฯ เห็นด้วยกับ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น หรือดีแทค และบริษัท ทรูมูฟ ที่หยุดจ่ายไปตั้งแต่เดือน พ.ย. ปีที่แล้ว เพื่อให้เข้าสู่การจ่ายเงินในรูปแบบค่าเชื่อมโยงโครงข่าย หรือไอซี (อินเตอร์คอนเนกชันชาร์จ) แทน
ทั้งนี้ ปัญหาเรื่องเอซีถือเป็น ข้อตกลงที่ขัดกับประกาศของคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) เพราะเป็นการจ่ายเงินทางเดียว ไม่ได้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง และไม่เป็นธรรมในการแข่งขัน
รายงานข่าวระบุว่า การจ่ายเงินในรูปแบบค่าไอซีนั้น จะมีเงินเข้ารัฐมากกว่าค่าเอซี แบ่งเป็น กสทฯ ปีละ 8 พันล้านบาท กระทรวงการคลัง 4 พันล้านบาท และทีโอที 3 พันล้านบาท ไม่ได้ทำให้รัฐเสียผลประโยชน์ตามที่ทีโอทีระบุ
อย่างไรก็าม แม้รายได้ของทีโอทีจะลดลงจากเดิมที่เคยได้รับจากค่าเอซีปีละ 1.4 หมื่นล้านบาท แต่ หากคำนวณตามความเป็นจริง ที่ทีโอทีอาจแพ้คดี ค่าเอซีบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น และ ทีทีแอนด์ที มากกว่า 2 หมื่นล้านบาทในปีหน้าแล้ว จะเห็นว่าจำนวนเงินที่หายไปของทีโอทีนั้นมากกว่าการเข้าสู่กระบวนการจ่ายเงินแบบไอซีด้วย
รายงานข่าวแจ้งว่า นับตั้งแต่ดีแทคและทรูมูฟหยุดจ่ายค่าเอซี และไม่รับเงินค่าไอซี ทำให้ปัจจุบัน ไม่มีผู้ใดได้รับผลประโยชน์เลย โดยเฉพาะทีโอทีที่ไม่สามารถรับรู้รายได้ในส่วนเอซีได้ ซึ่งหากปล่อย ให้เป็นเช่นนี้ต่อไป ทีโอทีก็ยิ่งเผชิญวิกฤตทางด้านการเงินเพิ่มขึ้น
ขณะที่ค่าไอซีนั้น นอกจากทำให้เกิดการแข่งขันเป็นธรรมแล้ว ผู้ให้บริการเอกชนยังสามารถลดราคา ค่าบริการภายในโครงข่ายเดียวกัน หรือไม่คิดค่าบริการเลย ซึ่งส่งผลดีต่อผู้ใช้บริการมากขึ้น รวมทั้งทำให้นักลงทุนต่างประเทศมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นอีกด้วย
นอกจากนี้ ยังช่วยให้ กสทฯ มีรายได้เพิ่มขึ้นอีก 2 พันล้านบาท จากการสามารถดึงปริมาณการใช้งาน (ทราฟฟิก) โทรศัพท์ทางไกลระหว่างประเทศที่เคยมีการลักลอบให้บริการให้กลับมาสู่การใช้งานอย่างถูกกฎหมายมากขึ้น
ที่ผ่านมา ทีโอทีได้รับค่าเอซีปีละ 1.5 หมื่นล้านบาท จากผู้ให้บริการภายใต้คู่สัญญาของ กสทฯ คือ ดีแทค ทรูมูฟ ดิจิตอลโฟน หรือดีพีซี และฮัทช์ ให้บริการภาคกลาง 25 จังหวัด
ขณะที่ในปีนี้ทีโอทีไม่สามารถรับรู้รายได้ในส่วนนี้ 1.4 หมื่นล้านบาท จากการที่ดีแทคและทรูมูฟหยุดจ่ายไปเมื่อเดือน พ.ย. 2549 ส่งผลให้บอร์ดทีโอทียื่นฟ้องต่อศาลแพ่งเมื่อวันที่ 16 พ.ย. ที่ผ่านมา เพื่อเรียกคืนค่าเอซีมูลค่า 1.5 หมื่นล้านบาท
สำหรับผลประกอบการในรอบ 8 เดือนของทีโอที มีรายได้เฉพาะที่ดำเนินการเองลดลง 2 พันล้านบาท จากเดิมที่ตั้งไว้ 2 หมื่นล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=205015
โพสต์ทูเดย์ ทีโอที แห้วค่าเอซีอีก 7 พันล้านบาท บอร์ด กสทฯ เตรียมไฟเขียวหยุดจ่าย เลือกยืนข้างดีแทค-ทรูมูฟ
รายงานข่าวจาก บริษัท กสท โทรคมนาคม เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) ในวันที่ 22 พ.ย. จะพิจารณาเรื่องการหยุดจ่ายค่าเชื่อมต่อเลขหมาย หรือเอซี (แอกเซสชาร์จ) ให้กับบริษัท ทีโอที ซึ่งเคยจ่ายอยู่ตั้งแต่ปี 2537-2549 รวม 7 พันล้านบาท
การหยุดจ่ายครั้งนี้ เนื่องจาก กสทฯ เห็นด้วยกับ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น หรือดีแทค และบริษัท ทรูมูฟ ที่หยุดจ่ายไปตั้งแต่เดือน พ.ย. ปีที่แล้ว เพื่อให้เข้าสู่การจ่ายเงินในรูปแบบค่าเชื่อมโยงโครงข่าย หรือไอซี (อินเตอร์คอนเนกชันชาร์จ) แทน
ทั้งนี้ ปัญหาเรื่องเอซีถือเป็น ข้อตกลงที่ขัดกับประกาศของคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) เพราะเป็นการจ่ายเงินทางเดียว ไม่ได้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง และไม่เป็นธรรมในการแข่งขัน
รายงานข่าวระบุว่า การจ่ายเงินในรูปแบบค่าไอซีนั้น จะมีเงินเข้ารัฐมากกว่าค่าเอซี แบ่งเป็น กสทฯ ปีละ 8 พันล้านบาท กระทรวงการคลัง 4 พันล้านบาท และทีโอที 3 พันล้านบาท ไม่ได้ทำให้รัฐเสียผลประโยชน์ตามที่ทีโอทีระบุ
อย่างไรก็าม แม้รายได้ของทีโอทีจะลดลงจากเดิมที่เคยได้รับจากค่าเอซีปีละ 1.4 หมื่นล้านบาท แต่ หากคำนวณตามความเป็นจริง ที่ทีโอทีอาจแพ้คดี ค่าเอซีบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น และ ทีทีแอนด์ที มากกว่า 2 หมื่นล้านบาทในปีหน้าแล้ว จะเห็นว่าจำนวนเงินที่หายไปของทีโอทีนั้นมากกว่าการเข้าสู่กระบวนการจ่ายเงินแบบไอซีด้วย
รายงานข่าวแจ้งว่า นับตั้งแต่ดีแทคและทรูมูฟหยุดจ่ายค่าเอซี และไม่รับเงินค่าไอซี ทำให้ปัจจุบัน ไม่มีผู้ใดได้รับผลประโยชน์เลย โดยเฉพาะทีโอทีที่ไม่สามารถรับรู้รายได้ในส่วนเอซีได้ ซึ่งหากปล่อย ให้เป็นเช่นนี้ต่อไป ทีโอทีก็ยิ่งเผชิญวิกฤตทางด้านการเงินเพิ่มขึ้น
ขณะที่ค่าไอซีนั้น นอกจากทำให้เกิดการแข่งขันเป็นธรรมแล้ว ผู้ให้บริการเอกชนยังสามารถลดราคา ค่าบริการภายในโครงข่ายเดียวกัน หรือไม่คิดค่าบริการเลย ซึ่งส่งผลดีต่อผู้ใช้บริการมากขึ้น รวมทั้งทำให้นักลงทุนต่างประเทศมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นอีกด้วย
นอกจากนี้ ยังช่วยให้ กสทฯ มีรายได้เพิ่มขึ้นอีก 2 พันล้านบาท จากการสามารถดึงปริมาณการใช้งาน (ทราฟฟิก) โทรศัพท์ทางไกลระหว่างประเทศที่เคยมีการลักลอบให้บริการให้กลับมาสู่การใช้งานอย่างถูกกฎหมายมากขึ้น
ที่ผ่านมา ทีโอทีได้รับค่าเอซีปีละ 1.5 หมื่นล้านบาท จากผู้ให้บริการภายใต้คู่สัญญาของ กสทฯ คือ ดีแทค ทรูมูฟ ดิจิตอลโฟน หรือดีพีซี และฮัทช์ ให้บริการภาคกลาง 25 จังหวัด
ขณะที่ในปีนี้ทีโอทีไม่สามารถรับรู้รายได้ในส่วนนี้ 1.4 หมื่นล้านบาท จากการที่ดีแทคและทรูมูฟหยุดจ่ายไปเมื่อเดือน พ.ย. 2549 ส่งผลให้บอร์ดทีโอทียื่นฟ้องต่อศาลแพ่งเมื่อวันที่ 16 พ.ย. ที่ผ่านมา เพื่อเรียกคืนค่าเอซีมูลค่า 1.5 หมื่นล้านบาท
สำหรับผลประกอบการในรอบ 8 เดือนของทีโอที มีรายได้เฉพาะที่ดำเนินการเองลดลง 2 พันล้านบาท จากเดิมที่ตั้งไว้ 2 หมื่นล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=205015
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news24/11/07
โพสต์ที่ 85
โอเพ่นซอร์ส" จุดนัดพบแห่งโลกนวัตกรรม
24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 05:00:00
โอเพ่นซอร์ส หรือซอฟต์แวร์ระบบเปิด คือ ศัตรูสำคัญของซอฟต์แวร์ระบบปิด ขนาดที่ไมโครซอฟท์ยักษ์ใหญ่ยังขยาดทำทุกวิถีทางเร่งสปีดหนี แต่ดูเหมือนว่ายิ่งเร่งเท่าไหร่ คู่แข่งอย่างโอเพ่นซอร์สก็ยังเร็วกว่าอยู่ดี
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :
วงสนทนางานเอเชีย โอเพ่นซอร์ส ซอฟต์แวร์ คอนเฟอเรนซ์ สัปดาห์ก่อน ยกตำแหน่งให้ "โอเพ่นซอร์ส" คือ ระบบซอฟต์แวร์ที่ก่อให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ได้เร็วที่สุด
"จิม เซมลิน" ผู้อำนวยการลินิกซ์ ฟาวเดชั่น หนึ่งในองค์กรโอเพ่นซอร์สระดับโลก วิทยากรหลักภายในงานนี้ เล่าว่า หากพูดถึงการใช้โอเพ่นซอร์สบนหน้าจอเดสก์ทอป แน่นอนว่ามีจำนวนน้อย เพราะส่วนแบ่งการตลาดของระบบปฏิบัติการวินโดว์สกลุ่มนี้มีมากถึงกว่า 80%
แต่หากมองไปที่บริษัทผู้ให้บริการไอทีระดับโลกจะเห็นว่า เขาใช้โอเพ่นซอร์สกันอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นเวบไซต์อเมซอนดอทคอม, กูเกิล หรือแม้แต่ในโทรศัพท์มือถือยอดฮิตบางยี่ห้อที่หันมาใช้ซอฟต์แวร์ระบบเปิดกันอย่างแพร่หลาย รวมถึงบริษัทไอทียักษ์ใหญ่อย่าง "ออราเคิล" ก็พัฒนาซอฟต์แวร์ใหม่ๆ บนแพลตฟอร์มของโอเพ่นซอร์สด้วยเช่นกัน
ซอฟต์แวร์ระบบเปิดก่อให้เกิดเทคโนโลยีใหม่ๆ หรือนวัตกรรมใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว เพราะมีผู้ร่วมพัฒนาจำนวนมาก ขณะที่ซอฟต์แวร์ระบบปิด มีนักพัฒนาเพียงไม่กี่คน นวัตกรรมใหม่ๆ ก็ออกมาช้ากว่า
"เราจะเห็นว่าซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สที่ถูกพัฒนาอย่างอูบันตู ใช้เวลาพัฒนาแค่เพียง 6 เดือน แต่ขณะที่ซอฟต์แวร์ระบบปิดต้องใช้เวลาถึง 18 เดือน ในการจะพัฒนาซอฟต์แวร์เวอร์ชั่นใหม่ๆ ขึ้นมา"
จิมฟันธงว่า อีกไม่นาน โอเพ่นซอร์สจะเข้ามากินส่วนแบ่งตลาดซอฟต์แวร์ระบบปิด ในสัดส่วน 50% ต่อ 50% ด้วยความสามารถในการพัฒนาซอฟต์แวร์ในรูปแบบใหม่ๆ และมีความรวดเร็วกว่านั่นเอง
ผู้อำนวยการลินิกซ์ ฟาวเดชั่น วิเคราะห์ด้วยว่า ไทยเองก็พัฒนาโอเพ่นซอร์สไปแล้วหลายเวอร์ชั่น เป็นก้าวย่างที่ดี สามารถต่อยอดทำให้โอเพ่นซอร์สที่มีอยู่แล้วมีมูลค่าเพิ่มขึ้นได้ แต่สิ่งที่ขาด คือ การโปรโมทให้มีการใช้ให้มากขึ้น ให้รู้ถึงประโยชน์ที่แท้จริง
"น่าจะดึงเอาผู้นำในการพัฒนาซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สที่อยู่ในไทย รวมตัวกัน และพูดคุยถึงการพัฒนา การโปรโมท การขยายความรู้ออกไปนอกกลุ่มเหล่านี้ให้มากขึ้น ภาครัฐก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะเข้ามาช่วยเหลือ โดยเฉพาะการสนับสนุนในเรื่องของนโยบายที่ต้องระบุเรื่องการพัฒนาโอเพ่นซอร์สให้จริงจัง"
ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) บอกว่า เนคเทคได้ลงนามความร่วมมือกับสำนักงานส่งเสริมเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งประเทศญี่ปุ่น ( IPA) สถาบันวิจัยภาครัฐที่ส่งเสริมการใช้มาตรฐานโอเพ่นซอร์ส โดยไทยจะได้ข้อมูลการทดสอบซอฟต์แวร์ และฮาร์ดแวร์ด้านโอเพ่นซอร์สที่ไอพีเอดำเนินการอยู่ เพื่อนำมาเผยแพร่ให้กับนักวิจัยและนักพัฒนาโอเพ่นซอร์สไทยให้นำไปต่อยอดพัฒนาได้
ขณะที่ญี่ปุ่นก็จะได้ประสบการณ์กรณีศึกษาของหน่วยงานรัฐและเอกชนในไทยที่ใช้โอเพ่นซอร์สแล้วประสบความสำเร็จ เช่น การไฟฟ้าฝ่ายผลิต บริษัทการบินไทย
"เนคเทคถูกขอให้ไปช่วยร่างแผนแม่บทไอซีทีปี 2020 (ปี 2554-2563) ซึ่งอยู่ระหว่างคิดแผนที่จะต้องเขียนกรอบนโยบายลงไป แน่นอนว่าโอเพ่นซอร์สเป็นเรื่องที่เราจะระบุลงไปในแผนแม่บทใหม่นี้ด้วย"
ทั้งนี้ ประเทศไทยมีความหวังว่าจะสามารถเพิ่มการใช้โอเพ่นซอร์สที่มีเพียง 1% เพิ่มขึ้นเป็น 10% ให้ได้ในปี 2553
ขณะที่การ์ทเนอร์ระบุว่า โอเพ่นซอร์สซอฟต์แวร์ กำลังกลายเป็นส่วนสำคัญที่จำเป็นต่อโครงสร้างพื้นฐานไอทีของเอเชีย และคาดว่ากว่า 60% ของหน่วยงานรัฐทั้งระดับกลางและระดับใหญ่ในภูมิภาคนี้ จะใช้โอเพ่นซอร์สเป็นส่วนหนึ่งของระบบงานที่สำคัญ ในด้านโอเปอเรชั่นของภาครัฐภายในปี 2553
เอกรัตน์ สาธุธรรม
http://www.bangkokbiznews.com/2007/11/2 ... sid=204779
24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 05:00:00
โอเพ่นซอร์ส หรือซอฟต์แวร์ระบบเปิด คือ ศัตรูสำคัญของซอฟต์แวร์ระบบปิด ขนาดที่ไมโครซอฟท์ยักษ์ใหญ่ยังขยาดทำทุกวิถีทางเร่งสปีดหนี แต่ดูเหมือนว่ายิ่งเร่งเท่าไหร่ คู่แข่งอย่างโอเพ่นซอร์สก็ยังเร็วกว่าอยู่ดี
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :
วงสนทนางานเอเชีย โอเพ่นซอร์ส ซอฟต์แวร์ คอนเฟอเรนซ์ สัปดาห์ก่อน ยกตำแหน่งให้ "โอเพ่นซอร์ส" คือ ระบบซอฟต์แวร์ที่ก่อให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ได้เร็วที่สุด
"จิม เซมลิน" ผู้อำนวยการลินิกซ์ ฟาวเดชั่น หนึ่งในองค์กรโอเพ่นซอร์สระดับโลก วิทยากรหลักภายในงานนี้ เล่าว่า หากพูดถึงการใช้โอเพ่นซอร์สบนหน้าจอเดสก์ทอป แน่นอนว่ามีจำนวนน้อย เพราะส่วนแบ่งการตลาดของระบบปฏิบัติการวินโดว์สกลุ่มนี้มีมากถึงกว่า 80%
แต่หากมองไปที่บริษัทผู้ให้บริการไอทีระดับโลกจะเห็นว่า เขาใช้โอเพ่นซอร์สกันอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นเวบไซต์อเมซอนดอทคอม, กูเกิล หรือแม้แต่ในโทรศัพท์มือถือยอดฮิตบางยี่ห้อที่หันมาใช้ซอฟต์แวร์ระบบเปิดกันอย่างแพร่หลาย รวมถึงบริษัทไอทียักษ์ใหญ่อย่าง "ออราเคิล" ก็พัฒนาซอฟต์แวร์ใหม่ๆ บนแพลตฟอร์มของโอเพ่นซอร์สด้วยเช่นกัน
ซอฟต์แวร์ระบบเปิดก่อให้เกิดเทคโนโลยีใหม่ๆ หรือนวัตกรรมใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว เพราะมีผู้ร่วมพัฒนาจำนวนมาก ขณะที่ซอฟต์แวร์ระบบปิด มีนักพัฒนาเพียงไม่กี่คน นวัตกรรมใหม่ๆ ก็ออกมาช้ากว่า
"เราจะเห็นว่าซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สที่ถูกพัฒนาอย่างอูบันตู ใช้เวลาพัฒนาแค่เพียง 6 เดือน แต่ขณะที่ซอฟต์แวร์ระบบปิดต้องใช้เวลาถึง 18 เดือน ในการจะพัฒนาซอฟต์แวร์เวอร์ชั่นใหม่ๆ ขึ้นมา"
จิมฟันธงว่า อีกไม่นาน โอเพ่นซอร์สจะเข้ามากินส่วนแบ่งตลาดซอฟต์แวร์ระบบปิด ในสัดส่วน 50% ต่อ 50% ด้วยความสามารถในการพัฒนาซอฟต์แวร์ในรูปแบบใหม่ๆ และมีความรวดเร็วกว่านั่นเอง
ผู้อำนวยการลินิกซ์ ฟาวเดชั่น วิเคราะห์ด้วยว่า ไทยเองก็พัฒนาโอเพ่นซอร์สไปแล้วหลายเวอร์ชั่น เป็นก้าวย่างที่ดี สามารถต่อยอดทำให้โอเพ่นซอร์สที่มีอยู่แล้วมีมูลค่าเพิ่มขึ้นได้ แต่สิ่งที่ขาด คือ การโปรโมทให้มีการใช้ให้มากขึ้น ให้รู้ถึงประโยชน์ที่แท้จริง
"น่าจะดึงเอาผู้นำในการพัฒนาซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สที่อยู่ในไทย รวมตัวกัน และพูดคุยถึงการพัฒนา การโปรโมท การขยายความรู้ออกไปนอกกลุ่มเหล่านี้ให้มากขึ้น ภาครัฐก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะเข้ามาช่วยเหลือ โดยเฉพาะการสนับสนุนในเรื่องของนโยบายที่ต้องระบุเรื่องการพัฒนาโอเพ่นซอร์สให้จริงจัง"
ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) บอกว่า เนคเทคได้ลงนามความร่วมมือกับสำนักงานส่งเสริมเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งประเทศญี่ปุ่น ( IPA) สถาบันวิจัยภาครัฐที่ส่งเสริมการใช้มาตรฐานโอเพ่นซอร์ส โดยไทยจะได้ข้อมูลการทดสอบซอฟต์แวร์ และฮาร์ดแวร์ด้านโอเพ่นซอร์สที่ไอพีเอดำเนินการอยู่ เพื่อนำมาเผยแพร่ให้กับนักวิจัยและนักพัฒนาโอเพ่นซอร์สไทยให้นำไปต่อยอดพัฒนาได้
ขณะที่ญี่ปุ่นก็จะได้ประสบการณ์กรณีศึกษาของหน่วยงานรัฐและเอกชนในไทยที่ใช้โอเพ่นซอร์สแล้วประสบความสำเร็จ เช่น การไฟฟ้าฝ่ายผลิต บริษัทการบินไทย
"เนคเทคถูกขอให้ไปช่วยร่างแผนแม่บทไอซีทีปี 2020 (ปี 2554-2563) ซึ่งอยู่ระหว่างคิดแผนที่จะต้องเขียนกรอบนโยบายลงไป แน่นอนว่าโอเพ่นซอร์สเป็นเรื่องที่เราจะระบุลงไปในแผนแม่บทใหม่นี้ด้วย"
ทั้งนี้ ประเทศไทยมีความหวังว่าจะสามารถเพิ่มการใช้โอเพ่นซอร์สที่มีเพียง 1% เพิ่มขึ้นเป็น 10% ให้ได้ในปี 2553
ขณะที่การ์ทเนอร์ระบุว่า โอเพ่นซอร์สซอฟต์แวร์ กำลังกลายเป็นส่วนสำคัญที่จำเป็นต่อโครงสร้างพื้นฐานไอทีของเอเชีย และคาดว่ากว่า 60% ของหน่วยงานรัฐทั้งระดับกลางและระดับใหญ่ในภูมิภาคนี้ จะใช้โอเพ่นซอร์สเป็นส่วนหนึ่งของระบบงานที่สำคัญ ในด้านโอเปอเรชั่นของภาครัฐภายในปี 2553
เอกรัตน์ สาธุธรรม
http://www.bangkokbiznews.com/2007/11/2 ... sid=204779
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news29/11/07
โพสต์ที่ 86
5พรรคเร่ขายฝันไอซีที
โพสต์ทูเดย์ 5 พรรคการเมืองขยายฝันนโยบายไอซีที เร่งกระจายโครงข่ายบรอดแบนด์ทั่วประเทศ ปลดแอกเอกชนสู่การแข่งขันเสรี
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวระหว่างการสัมมนา นโยบายไอซีที ว่าที่รัฐบาลใหม่ จัดโดยชมรมนักข่าวเทคโนโลยีสารสนเทศ ว่าจะเน้นการเข้าถึงโครงข่ายให้กับนักเรียนมากขึ้น ทั้งเรื่องการลงทุนเพิ่มเติมด้านเทคโนโลยีและการกระจายการใช้งานคอมพิวเตอร์ไปยังโรงเรียนต่างๆ มากขึ้น โดยตั้งเป้าว่าจะลดจำนวนการใช้งานต่อคนต่อเครื่อง จากเดิม 1:40 เหลือเพียง 1:10
นอกจากนี้ จะเน้นการแข่งขันที่เสรีและเป็นธรรมมากขึ้น โดยจะเปลี่ยนจากการจ่ายส่วนแบ่งรายได้ให้กับคู่สัญญาร่วมการงาน คือ บริษัท ทีโอที และ กสท โทรคมนาคม เป็นการเช่าใช้โครงข่าย รวมทั้ง การผลักดันเรื่องเบอร์เดียวทุกระบบ (นัมเบอร์พอร์ทิบิลีตี)
นายคณวัฒน์ วศินสังวร ทีมเศรษฐกิจพรรคพลังประชาชน และ อดีตผู้ช่วยนายสุวิทย์ คุณกิตติ อดีต รมว.ไอซีที กล่าวว่า จะส่งเสริมการลงทุนโครงข่ายสื่อสารโทรคมนาคมแห่งชาติ ทั้งในรูปแบบอินเทอร์เน็ต ความเร็วสูง (บรอดแบนด์) ใน ภาครัฐ และกระตุ้นการลงทุนใน ภาคเอกชน ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี 3 จี เอชเอสพีเอ อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงไร้สาย (ไวแมกซ์) ทั้งโครงการ ของภาครัฐและเอกชนรวมกัน
นอกจากนี้ จะเร่งให้หน่วยงาน กสทช.เกิดขึ้นโดยเร็ว เพื่อให้ สามารถอนุมัติคลื่นความถี่ใหม่ๆ ได้ โดยเฉพาะ 3 จี
นายวราวุธ ศิลปอาชา สมาชิกพรรคชาติไทย กล่าวว่า จะมุ่งขยายบรอดแบนด์ให้เข้าถึงทั่วประเทศ เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมเรื่องการใช้งานด้านไอที
นายวุฒิพงษ์ พงษ์สุวรรณ สมาชิกพรรคเพื่อแผ่นดิน อดีตที่ปรึกษา น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รมว.ไอซีที กล่าวว่า จะเน้นการลดภาษี นำเข้าอุปกรณ์บรอดแบนด์ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการขยายตัวบรอดแบนด์ทั่วประเทศ เร่งผลักดันอี- กอฟเวิร์นเมนต์ ซึ่งจะนำไปสู่การ เป็นดิจิตอล คอนเทนต์ โซไซตี ช่วยให้ไทยพัฒนาการใช้งานด้านไอที ได้ทัดเทียมเพื่อนบ้าน
นายวีระศักดิ์ จินารัตน์ สมาชิกพรรคมัชิมาธิปไตย กล่าวว่า จะ เปิดให้นักเรียน นักศึกษาใช้อินเทอร์ เน็ตฟรีทุกคน เพื่อจะทำให้เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น และจะเน้นการเป็นผู้ผลิต หรือสร้างเทคโนโลยีด้วยตัวเองให้มากขึ้น จากปัจจุบันที่มุ่งไปที่การวางโครงข่าย หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งเป็นการสร้างวัฒนธรรมให้คนไทยต้องกลายเป็นผู้ซื้อ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=206298
โพสต์ทูเดย์ 5 พรรคการเมืองขยายฝันนโยบายไอซีที เร่งกระจายโครงข่ายบรอดแบนด์ทั่วประเทศ ปลดแอกเอกชนสู่การแข่งขันเสรี
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวระหว่างการสัมมนา นโยบายไอซีที ว่าที่รัฐบาลใหม่ จัดโดยชมรมนักข่าวเทคโนโลยีสารสนเทศ ว่าจะเน้นการเข้าถึงโครงข่ายให้กับนักเรียนมากขึ้น ทั้งเรื่องการลงทุนเพิ่มเติมด้านเทคโนโลยีและการกระจายการใช้งานคอมพิวเตอร์ไปยังโรงเรียนต่างๆ มากขึ้น โดยตั้งเป้าว่าจะลดจำนวนการใช้งานต่อคนต่อเครื่อง จากเดิม 1:40 เหลือเพียง 1:10
นอกจากนี้ จะเน้นการแข่งขันที่เสรีและเป็นธรรมมากขึ้น โดยจะเปลี่ยนจากการจ่ายส่วนแบ่งรายได้ให้กับคู่สัญญาร่วมการงาน คือ บริษัท ทีโอที และ กสท โทรคมนาคม เป็นการเช่าใช้โครงข่าย รวมทั้ง การผลักดันเรื่องเบอร์เดียวทุกระบบ (นัมเบอร์พอร์ทิบิลีตี)
นายคณวัฒน์ วศินสังวร ทีมเศรษฐกิจพรรคพลังประชาชน และ อดีตผู้ช่วยนายสุวิทย์ คุณกิตติ อดีต รมว.ไอซีที กล่าวว่า จะส่งเสริมการลงทุนโครงข่ายสื่อสารโทรคมนาคมแห่งชาติ ทั้งในรูปแบบอินเทอร์เน็ต ความเร็วสูง (บรอดแบนด์) ใน ภาครัฐ และกระตุ้นการลงทุนใน ภาคเอกชน ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี 3 จี เอชเอสพีเอ อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงไร้สาย (ไวแมกซ์) ทั้งโครงการ ของภาครัฐและเอกชนรวมกัน
นอกจากนี้ จะเร่งให้หน่วยงาน กสทช.เกิดขึ้นโดยเร็ว เพื่อให้ สามารถอนุมัติคลื่นความถี่ใหม่ๆ ได้ โดยเฉพาะ 3 จี
นายวราวุธ ศิลปอาชา สมาชิกพรรคชาติไทย กล่าวว่า จะมุ่งขยายบรอดแบนด์ให้เข้าถึงทั่วประเทศ เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมเรื่องการใช้งานด้านไอที
นายวุฒิพงษ์ พงษ์สุวรรณ สมาชิกพรรคเพื่อแผ่นดิน อดีตที่ปรึกษา น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รมว.ไอซีที กล่าวว่า จะเน้นการลดภาษี นำเข้าอุปกรณ์บรอดแบนด์ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการขยายตัวบรอดแบนด์ทั่วประเทศ เร่งผลักดันอี- กอฟเวิร์นเมนต์ ซึ่งจะนำไปสู่การ เป็นดิจิตอล คอนเทนต์ โซไซตี ช่วยให้ไทยพัฒนาการใช้งานด้านไอที ได้ทัดเทียมเพื่อนบ้าน
นายวีระศักดิ์ จินารัตน์ สมาชิกพรรคมัชิมาธิปไตย กล่าวว่า จะ เปิดให้นักเรียน นักศึกษาใช้อินเทอร์ เน็ตฟรีทุกคน เพื่อจะทำให้เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น และจะเน้นการเป็นผู้ผลิต หรือสร้างเทคโนโลยีด้วยตัวเองให้มากขึ้น จากปัจจุบันที่มุ่งไปที่การวางโครงข่าย หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งเป็นการสร้างวัฒนธรรมให้คนไทยต้องกลายเป็นผู้ซื้อ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=206298
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news01/12/07
โพสต์ที่ 87
ค่ายมือถือย้ำความต่างพลิกเกมแข่งขัน "AIS-ทรูมูฟ" จี้ติดหลัง ดีแทค
ใจตรงกันโดยไม่ได้นัดหมาย สำหรับน้องเล็ก "ทรูมูฟ" และพี่ใหญ่ "เอไอเอส"
ในวันเดียวกับที่ "ทรูมูฟ" (26 พ.ย.2550) ฉลองความสำเร็จที่มีฐานลูกค้าผ่านหลัก 12 ล้านราย
"เอไอเอส" ก็จัดงานภายในเพื่อประกาศจุดยืนในการดำเนินธุรกิจร่วมกับพนักงานหลายพันคนว่าก้าวต่อไปในสมรภูมิธุรกิจโทรศัพท์มือถือของเอไอเอสคือการร่วมแรงร่วมใจ "สร้างสรรค์สิ่งที่ดีกว่าแก่ลูกค้า"
"Feel good not enough-แค่รู้สึกดียังไม่พอ" คือสิ่งที่ผู้บริหาร "เอไอเอส" สื่อสารไปยังพนักงาน
ทั้งยังถ่ายทอดจุดยืนดังกล่าวไปยังลูกค้าทั่วประเทศผ่านภาพยนตร์โฆษณาเรื่องใหม่ที่ออนแอร์ในค่ำคืนนั้นด้วยว่า "สิ่งที่ดีกว่าเพื่อคุณ คือ คำสัญญาจากเรา"
"นี่เป็นครั้งแรกที่เรามีการสื่อสารกับพนักงานเป็นการภายในก่อนแถลงข่าวกับสื่อมวลชน เมื่อก่อนพนักงานจะรู้เรื่องผ่านสื่อ หรืออ่านจากหนังสือพิมพ์ ผมเชื่อว่าพนักงานจะรู้สึกดี กระตือรือร้นมากขึ้นทั้งยังถือเป็นการให้คำมั่นสัญญาร่วมกันของทุกคนในบริษัทว่าจะร่วมกันทำงานเพื่อให้สิ่งที่ดีกว่าแก่ลูกค้า" วิเชียร เมฆตระการ กรรมการ
ผู้อำนวยการ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือเอไอเอส กล่าวและว่า
ไม่ใช่แค่ประกาศจุดยืนทางธุรกิจไปยังลูกค้า และคู่แข่งเท่านั้น แต่ยังอาศัยจังหวะเดียวกัน สร้างขวัญกำลังใจพนักงานให้เดินไปสู่เป้าหมายเดียวกันด้วย
"การแข่งขันในอนาคตสำหรับเราอยู่ที่การสร้างความแตกต่างที่ดีกว่าไปยังลูกค้า
ทั้งในแง่การมีบริการที่หลากหลาย, คุณภาพเครือข่าย, การบริการ, การให้สิทธิประโยชน์ลูกค้า โดยจะใช้ความพร้อมทั้งหมดที่มีอยู่ไม่ว่าจะเรื่องเงินลงทุน และทีมงานอย่างเต็มกำลังความสามารถ"
"วิเชียร" แม่ทัพ "เอไอเอส" ย้ำด้วยว่าการต่อสู้แข่งขันในเกมการตลาดก็จะเดินหน้าเต็มที่เช่นกัน บนเป้าหมายที่จะครอบครองส่วนแบ่งตลาดให้ได้ไม่น้อยกว่า 50% ไม่ว่าตลาดจะโตมากน้อยแค่ไหน
"อาภัทรา ศฤงคารินกุล" 1 ในแม่ทัพธุรกิจของเอไอเอสขยายความต่อด้วยว่า
"เราเชื่อว่าเครือข่ายการให้บริการของเราครอบคลุมกว่าคู่แข่ง เพราะลงทุนต่อเนื่องไม่หยุดไม่ว่าในจังหวะที่สถานการณ์เศรษฐกิจจะเป็นยังไง แต่สิ่งที่ต้องการบอกพนักงาน และลูกค้าจากนี้ไปมีมากกว่านั้น คือไม่ใช่แค่มีเน็ตเวิร์กที่ไม่ว่าลูกค้าจะอยู่ที่ไหนต้องใช้งานได้เท่านั้น แต่บริการต้องดีกว่าคู่แข่งด้วย ซึ่งถ้าจะทำอย่างที่ให้คำมั่นสัญญาไว้ได้ต้องอาศัยความร่วมแรงร่วมใจของพนักงาน ไม่ใช่แค่การประกาศเป้าหมายของผู้บริหาร โดยทุกฝ่ายจะทำงานสอดประสานกัน ทั้งทีมวิศวกรที่ดูแล เน็ตเวิร์ก, ระบบไอทีหลังบ้าน, ฝ่ายบริการลูกค้า, ทีมการตลาด ฯลฯ"
เรียกว่ายักษ์มือถือเอไอเอสเปิดเกมรบเต็มอัตราศึกอย่างเป็นทางการก็น่าจะได้
คำกล่าวข้างต้นอาจจับต้องไม่ได้ เมื่อเทียบกับการถล่มด้วยสงคราม "โปรโมชั่น" กระชากยอดขาย แต่เชื่อว่าน่าจะสั่นสะเทือนไปยังคู่แข่งตัวกลั่นอย่าง "ดีแทค" มือวางอันดับ 2 ในตลาดได้บ้างไม่มากก็น้อย
เพราะกินความมากกว่าเวิร์ดดิ้ง "Feel good not enough" ที่ยักษ์มือถือ "เอไอเอส" สื่อสารกับพนักงานมากนัก
อาจสั่นสะเทือนมากกว่า การประกาศตัวเลขฐานลูกค้าของน้องเล็ก "ทรูมูฟ" ที่ทะลุ 12 ล้านราย ไปแล้วเรียบร้อยด้วยซ้ำไป
อย่างไรก็ตาม ถ้าดูระยะห่างของฐานลูกค้าระหว่าง "ทรูมูฟและดีแทค" ต้องยอมรับว่าไม่น่าเชื่อว่าจะเข้าใกล้กันได้เร็วถึงเพียงนี้
ทิ้งห่างกันไม่มากภายในระยะเวลาไม่นานนัก เทียบกับระยะห่างของเบอร์ 1 และเบอร์ 2
"ทรูมูฟ" มีลูกค้า 12.3 ล้านราย ขณะที่ "ดีแทค" มีประมาณ 15 ล้านรายเศษ
เบอร์ 3 เข้าใกล้เบอร์ 2 ได้รวดเร็วอย่างน่า ตื่นเต้น
ต่างจากเบอร์ 2 และเบอร์ 1 ที่ยังไกลกันมาก (เอไอเอสมีฐานลูกค้ากว่า 24 ล้านราย)
อย่างไรก็ตาม ในมุมของ "ดีแทค" ตัวเลขฐานลูกค้าไม่ได้สร้างความหวั่นวิตกแต่อย่างใดตราบเท่าที่ผลประกอบการในแง่รายได้ของตนยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเทียบกับคู่แข่งอย่างทรูมูฟ
"แม้ระยะห่างระหว่างดีแทคกับทรูมูฟจะแคบลงในแง่ฐานลูกค้า แต่ผลประกอบการของดีแทคในแง่รายได้ยังโตต่อเนื่อง ดีกว่าคู่แข่งชัดเจน จุดนี้คือสิ่งที่เราพอใจมากกว่าได้ฐานลูกค้ามากๆ แต่ไม่มีกำไร" ธนา เธียรอัจฉริยะ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายการพาณิชย์ บมจ.โทเทิ่ล
แอ็คเซ็ส คอมมูนิเกชั่น หรือ ดีแทคกล่าว
ในมุมมองของคู่แข่งกับยุทธศาสตร์ธุรกิจ "คอนเวอร์เจนซ์" ของกลุ่มทรู แม้จะไม่มีใครปฏิเสธว่าการกำหนดเกมใหม่ของทรูทำได้น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการสร้างการยอมรับใน แบรนด์ แต่ในแง่รายได้ คู่แข่งทั้งดีแทค และ เอไอเอสต่างมองว่าไม่ดีนัก เพราะผลตอบแทนในแง่รายได้ไม่เห็นชัดเจน เนื่องจากอุดหนุนกันไปมาระหว่างสินค้าและบริการในกลุ่มเดียวกัน เช่น ใช้ทรูมูฟดูทรูวิชั่นส์ฟรี เป็นต้น
ในมุมของ "ทรูมูฟ" ศุภชัย เจียรวนนท์ แม่ทัพกลุ่มทรูเชื่อว่าสิ่งที่ทำให้ทรูมูฟเติบโตได้อย่างรวดเร็ว นอกเหนือไปจากยุทธศาสตร์ธุรกิจด้านคอนเวอร์เจนซ์ และการมุ่งตอบสนองไลฟ์สไตล์ของลูกค้าด้วยคอนเทนต์ที่ตรงความของลูกค้าแล้ว มาจากเน็ตเวิร์กที่ครอบคลุมมากขึ้นด้วยทำให้ผู้บริโภคตอบรับ และใช้บริการของทรูมูฟเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม บิ๊กบอสกลุ่มทรูยอมรับว่าในแง่รายได้ต่อเลขหมายของ "ทรูมูฟ" อาจลดต่ำลงเทียบกับคู่แข่ง เพราะฐานลูกค้าใหม่ที่เข้ามาเป็น กลุ่มคนใช้น้อย แต่ก็สามารถสร้างการยอมรับ ในแบรนด์ได้ดีขึ้นมากเทียบกับคู่แข่ง รวมถึงมีมาร์เก็ตแชร์ในกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่มากกว่าคู่แข่งทุกราย
"12 ล้านรายของทรูมูฟถือเป็นไมล์สโตนหรือขั้นบันไดที่มีความสำคัญมากสำหรับกลุ่มทรู เพราะทรูมูฟทำรายได้ให้ทรูเกือบ 50%" ศุภชัยกล่าวและว่า
"ทรูมูฟ" มีมาร์เก็ตแชร์โดยรวมในตลาดมือถือ 22% และในปีหน้าจะพยายามทำให้ได้ถึง 25% หากมองเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่จะมีมาร์เก็ตแชร์เหนือกว่าคู่แข่ง ซึ่งน่าพอใจ และตั้งใจจะทำให้ดียิ่งขึ้นต่อไป
"ที่มากกว่านั้นคือ จะเพิ่มน้ำหนักให้กับการรุกตลาดในลูกค้าธุรกิจ และลูกค้าเดิมที่ยังยึดติดกับเบอร์เดิม เพราะมีส่วนแบ่งตลาดแค่ 5% และเป็น กลุ่มที่มีการใช้งานต่อเดือนมากด้วย"
เป้าหมายของทรูมูฟในอนาคตอันใกล้นี้คือต้องมีฐานลูกค้าแซงหน้าดีแทคให้จงได้
"ผมเชื่อว่าไม่ปีหน้าก็ปีถัดไปเราน่าจะทำได้" ศุภชัยกล่าวทิ้งท้าย
แม้ปี 2550 นี้จะเหลือเวลาเดือนเศษๆ แต่ทั้ง พี่ใหญ่ และน้องเล็กต่างออกมาประกาศจุดยืน และเป้าหมายในปีหน้าแล้วเรียบร้อย
ไม่ต้องบอกว่าสมรภูมิการแข่งขันจะเป็นเช่นไร
ที่น่าสนใจมากกว่า เป็นจังหวะก้าวของ "เบอร์ 2-ดีแทค" ซึ่งเปรียบเป็น "ไส้แซนด์วิช" ด้วยว่าอยู่ตรงกลางระหว่างพี่ใหญ่ที่แข็งแรง และน้องเล็ก (ที่คิดว่าตัวเองพร้อมแล้ว)
โปรดอย่ากะพริบตา !!!
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0209
ใจตรงกันโดยไม่ได้นัดหมาย สำหรับน้องเล็ก "ทรูมูฟ" และพี่ใหญ่ "เอไอเอส"
ในวันเดียวกับที่ "ทรูมูฟ" (26 พ.ย.2550) ฉลองความสำเร็จที่มีฐานลูกค้าผ่านหลัก 12 ล้านราย
"เอไอเอส" ก็จัดงานภายในเพื่อประกาศจุดยืนในการดำเนินธุรกิจร่วมกับพนักงานหลายพันคนว่าก้าวต่อไปในสมรภูมิธุรกิจโทรศัพท์มือถือของเอไอเอสคือการร่วมแรงร่วมใจ "สร้างสรรค์สิ่งที่ดีกว่าแก่ลูกค้า"
"Feel good not enough-แค่รู้สึกดียังไม่พอ" คือสิ่งที่ผู้บริหาร "เอไอเอส" สื่อสารไปยังพนักงาน
ทั้งยังถ่ายทอดจุดยืนดังกล่าวไปยังลูกค้าทั่วประเทศผ่านภาพยนตร์โฆษณาเรื่องใหม่ที่ออนแอร์ในค่ำคืนนั้นด้วยว่า "สิ่งที่ดีกว่าเพื่อคุณ คือ คำสัญญาจากเรา"
"นี่เป็นครั้งแรกที่เรามีการสื่อสารกับพนักงานเป็นการภายในก่อนแถลงข่าวกับสื่อมวลชน เมื่อก่อนพนักงานจะรู้เรื่องผ่านสื่อ หรืออ่านจากหนังสือพิมพ์ ผมเชื่อว่าพนักงานจะรู้สึกดี กระตือรือร้นมากขึ้นทั้งยังถือเป็นการให้คำมั่นสัญญาร่วมกันของทุกคนในบริษัทว่าจะร่วมกันทำงานเพื่อให้สิ่งที่ดีกว่าแก่ลูกค้า" วิเชียร เมฆตระการ กรรมการ
ผู้อำนวยการ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือเอไอเอส กล่าวและว่า
ไม่ใช่แค่ประกาศจุดยืนทางธุรกิจไปยังลูกค้า และคู่แข่งเท่านั้น แต่ยังอาศัยจังหวะเดียวกัน สร้างขวัญกำลังใจพนักงานให้เดินไปสู่เป้าหมายเดียวกันด้วย
"การแข่งขันในอนาคตสำหรับเราอยู่ที่การสร้างความแตกต่างที่ดีกว่าไปยังลูกค้า
ทั้งในแง่การมีบริการที่หลากหลาย, คุณภาพเครือข่าย, การบริการ, การให้สิทธิประโยชน์ลูกค้า โดยจะใช้ความพร้อมทั้งหมดที่มีอยู่ไม่ว่าจะเรื่องเงินลงทุน และทีมงานอย่างเต็มกำลังความสามารถ"
"วิเชียร" แม่ทัพ "เอไอเอส" ย้ำด้วยว่าการต่อสู้แข่งขันในเกมการตลาดก็จะเดินหน้าเต็มที่เช่นกัน บนเป้าหมายที่จะครอบครองส่วนแบ่งตลาดให้ได้ไม่น้อยกว่า 50% ไม่ว่าตลาดจะโตมากน้อยแค่ไหน
"อาภัทรา ศฤงคารินกุล" 1 ในแม่ทัพธุรกิจของเอไอเอสขยายความต่อด้วยว่า
"เราเชื่อว่าเครือข่ายการให้บริการของเราครอบคลุมกว่าคู่แข่ง เพราะลงทุนต่อเนื่องไม่หยุดไม่ว่าในจังหวะที่สถานการณ์เศรษฐกิจจะเป็นยังไง แต่สิ่งที่ต้องการบอกพนักงาน และลูกค้าจากนี้ไปมีมากกว่านั้น คือไม่ใช่แค่มีเน็ตเวิร์กที่ไม่ว่าลูกค้าจะอยู่ที่ไหนต้องใช้งานได้เท่านั้น แต่บริการต้องดีกว่าคู่แข่งด้วย ซึ่งถ้าจะทำอย่างที่ให้คำมั่นสัญญาไว้ได้ต้องอาศัยความร่วมแรงร่วมใจของพนักงาน ไม่ใช่แค่การประกาศเป้าหมายของผู้บริหาร โดยทุกฝ่ายจะทำงานสอดประสานกัน ทั้งทีมวิศวกรที่ดูแล เน็ตเวิร์ก, ระบบไอทีหลังบ้าน, ฝ่ายบริการลูกค้า, ทีมการตลาด ฯลฯ"
เรียกว่ายักษ์มือถือเอไอเอสเปิดเกมรบเต็มอัตราศึกอย่างเป็นทางการก็น่าจะได้
คำกล่าวข้างต้นอาจจับต้องไม่ได้ เมื่อเทียบกับการถล่มด้วยสงคราม "โปรโมชั่น" กระชากยอดขาย แต่เชื่อว่าน่าจะสั่นสะเทือนไปยังคู่แข่งตัวกลั่นอย่าง "ดีแทค" มือวางอันดับ 2 ในตลาดได้บ้างไม่มากก็น้อย
เพราะกินความมากกว่าเวิร์ดดิ้ง "Feel good not enough" ที่ยักษ์มือถือ "เอไอเอส" สื่อสารกับพนักงานมากนัก
อาจสั่นสะเทือนมากกว่า การประกาศตัวเลขฐานลูกค้าของน้องเล็ก "ทรูมูฟ" ที่ทะลุ 12 ล้านราย ไปแล้วเรียบร้อยด้วยซ้ำไป
อย่างไรก็ตาม ถ้าดูระยะห่างของฐานลูกค้าระหว่าง "ทรูมูฟและดีแทค" ต้องยอมรับว่าไม่น่าเชื่อว่าจะเข้าใกล้กันได้เร็วถึงเพียงนี้
ทิ้งห่างกันไม่มากภายในระยะเวลาไม่นานนัก เทียบกับระยะห่างของเบอร์ 1 และเบอร์ 2
"ทรูมูฟ" มีลูกค้า 12.3 ล้านราย ขณะที่ "ดีแทค" มีประมาณ 15 ล้านรายเศษ
เบอร์ 3 เข้าใกล้เบอร์ 2 ได้รวดเร็วอย่างน่า ตื่นเต้น
ต่างจากเบอร์ 2 และเบอร์ 1 ที่ยังไกลกันมาก (เอไอเอสมีฐานลูกค้ากว่า 24 ล้านราย)
อย่างไรก็ตาม ในมุมของ "ดีแทค" ตัวเลขฐานลูกค้าไม่ได้สร้างความหวั่นวิตกแต่อย่างใดตราบเท่าที่ผลประกอบการในแง่รายได้ของตนยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเทียบกับคู่แข่งอย่างทรูมูฟ
"แม้ระยะห่างระหว่างดีแทคกับทรูมูฟจะแคบลงในแง่ฐานลูกค้า แต่ผลประกอบการของดีแทคในแง่รายได้ยังโตต่อเนื่อง ดีกว่าคู่แข่งชัดเจน จุดนี้คือสิ่งที่เราพอใจมากกว่าได้ฐานลูกค้ามากๆ แต่ไม่มีกำไร" ธนา เธียรอัจฉริยะ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายการพาณิชย์ บมจ.โทเทิ่ล
แอ็คเซ็ส คอมมูนิเกชั่น หรือ ดีแทคกล่าว
ในมุมมองของคู่แข่งกับยุทธศาสตร์ธุรกิจ "คอนเวอร์เจนซ์" ของกลุ่มทรู แม้จะไม่มีใครปฏิเสธว่าการกำหนดเกมใหม่ของทรูทำได้น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการสร้างการยอมรับใน แบรนด์ แต่ในแง่รายได้ คู่แข่งทั้งดีแทค และ เอไอเอสต่างมองว่าไม่ดีนัก เพราะผลตอบแทนในแง่รายได้ไม่เห็นชัดเจน เนื่องจากอุดหนุนกันไปมาระหว่างสินค้าและบริการในกลุ่มเดียวกัน เช่น ใช้ทรูมูฟดูทรูวิชั่นส์ฟรี เป็นต้น
ในมุมของ "ทรูมูฟ" ศุภชัย เจียรวนนท์ แม่ทัพกลุ่มทรูเชื่อว่าสิ่งที่ทำให้ทรูมูฟเติบโตได้อย่างรวดเร็ว นอกเหนือไปจากยุทธศาสตร์ธุรกิจด้านคอนเวอร์เจนซ์ และการมุ่งตอบสนองไลฟ์สไตล์ของลูกค้าด้วยคอนเทนต์ที่ตรงความของลูกค้าแล้ว มาจากเน็ตเวิร์กที่ครอบคลุมมากขึ้นด้วยทำให้ผู้บริโภคตอบรับ และใช้บริการของทรูมูฟเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม บิ๊กบอสกลุ่มทรูยอมรับว่าในแง่รายได้ต่อเลขหมายของ "ทรูมูฟ" อาจลดต่ำลงเทียบกับคู่แข่ง เพราะฐานลูกค้าใหม่ที่เข้ามาเป็น กลุ่มคนใช้น้อย แต่ก็สามารถสร้างการยอมรับ ในแบรนด์ได้ดีขึ้นมากเทียบกับคู่แข่ง รวมถึงมีมาร์เก็ตแชร์ในกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่มากกว่าคู่แข่งทุกราย
"12 ล้านรายของทรูมูฟถือเป็นไมล์สโตนหรือขั้นบันไดที่มีความสำคัญมากสำหรับกลุ่มทรู เพราะทรูมูฟทำรายได้ให้ทรูเกือบ 50%" ศุภชัยกล่าวและว่า
"ทรูมูฟ" มีมาร์เก็ตแชร์โดยรวมในตลาดมือถือ 22% และในปีหน้าจะพยายามทำให้ได้ถึง 25% หากมองเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่จะมีมาร์เก็ตแชร์เหนือกว่าคู่แข่ง ซึ่งน่าพอใจ และตั้งใจจะทำให้ดียิ่งขึ้นต่อไป
"ที่มากกว่านั้นคือ จะเพิ่มน้ำหนักให้กับการรุกตลาดในลูกค้าธุรกิจ และลูกค้าเดิมที่ยังยึดติดกับเบอร์เดิม เพราะมีส่วนแบ่งตลาดแค่ 5% และเป็น กลุ่มที่มีการใช้งานต่อเดือนมากด้วย"
เป้าหมายของทรูมูฟในอนาคตอันใกล้นี้คือต้องมีฐานลูกค้าแซงหน้าดีแทคให้จงได้
"ผมเชื่อว่าไม่ปีหน้าก็ปีถัดไปเราน่าจะทำได้" ศุภชัยกล่าวทิ้งท้าย
แม้ปี 2550 นี้จะเหลือเวลาเดือนเศษๆ แต่ทั้ง พี่ใหญ่ และน้องเล็กต่างออกมาประกาศจุดยืน และเป้าหมายในปีหน้าแล้วเรียบร้อย
ไม่ต้องบอกว่าสมรภูมิการแข่งขันจะเป็นเช่นไร
ที่น่าสนใจมากกว่า เป็นจังหวะก้าวของ "เบอร์ 2-ดีแทค" ซึ่งเปรียบเป็น "ไส้แซนด์วิช" ด้วยว่าอยู่ตรงกลางระหว่างพี่ใหญ่ที่แข็งแรง และน้องเล็ก (ที่คิดว่าตัวเองพร้อมแล้ว)
โปรดอย่ากะพริบตา !!!
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0209
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news06/12/07
โพสต์ที่ 88
3ยักษ์ไอทีจ่อตลาดหุ้น ระดมทุนบุกธุรกิจปีหน้า
กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีชักแถวเข้าตลาดหุ้นระลอกใหม่ ยักษ์ผู้ให้บริการเกมออนไลน์ "เอเซีย ซอฟท์ฯ" เล็งระดมทุน 1,000 ล้าน ทุ่มขยายฐานธุรกิจที่เวียดนามและมาเลเซีย เพื่อสร้างความแข็งแกร่งรับมือคู่แข่งต่างชาติ ด้าน "ซินเน็ค" ยักษ์ค้าส่งไอทีพัฒนาธุรกิจ สู่ one stop shopping วางแผนปีหน้าขยายเครือข่าย CNEX Shop อีก 30-40 แห่ง ขณะที่ "ไซแมท เทคโนโลยี" จ่อคิวเข้าตลาดหลักทรัพย์ใหม่
รายงานข่าวจากวงการคอมพิวเตอร์ เปิดเผยว่า ขณะนี้กลุ่มธุรกิจด้านเทคโนโลยีได้มีแผนการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหลายราย ได้แก่ บริษัท เอเซียซอฟท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไซแมท เทคโนโลยี จำกัด ซึ่งคาดว่าแต่ละบริษัจะ ดำเนินการกระจายหุ้นให้กับประชาชนครั้งแรก (ไอพีโอ) และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯช่วง ต้นปี 2551
นายปราโมทย์ สุดจิตพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเซียซอฟท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการเกมออนไลน์รายใหญ่ของไทย กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ถึงแผนการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ขณะนี้การดำเนินการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงกระบวนการเปิดขายหุ้นไอพีโอซึ่งเดิมวางแผนจะเปิดขายในช่วงกลางเดือนธันวาคมนี้ แต่เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่เกรงว่าบรรยากาศการลงทุนปลายปีไม่ค่อยดีจะกระทบกับราคาหุ้น
ดังนั้นจึงได้เลื่อนแผนการกระจายหุ้นออกไปในช่วงต้นปี โดยที่บริษัทจะได้รับสิทธิประโยชน์การเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลเหลือ 25% ในรอบบัญชี ปีถัดไป
สำหรับแผนการระดมทุนนั้นคาดว่าจะได้เม็ดเงินประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยตามแผนจะนำเงินทุนไปขยายการลงทุนให้บริการเกมออนไลน์ ในประเทศเวียดนามและมาเลเซีย เนื่องจาก ในช่วงปีที่ผ่านมาบริษัทได้ขยายธุรกิจการให้บริการเกมออนไลน์ไปต่างประเทศทั้งที่สิงคโปร์ มาเลเซีย และเวียดนาม แต่ในตลาดเวียดนามนั้นเป็นการตั้งตัวแทนในท้องถิ่นช่วยทำตลาด เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาข้อกฎหมายต่างๆ ของเวียดนามยังไม่ชัดเจน จึงไม่แน่ใจว่าการให้บริการเกมออนไลน์จะดีจริงหรือไม่ ช่วงที่ผ่านมาจึงไม่กล้าลงทุนมากนัก
แต่ขณะนี้หลายๆ อย่างมีความชัดเจนมากขึ้น ขณะที่จากการทดลองทำตลาดในช่วงปีที่ผ่านมา
ก็เห็นศักยภาพของตลาดเวียดนามค่อนข้างสูง
ขณะที่เวีดยนามมีจำนวนประชากรค่อนข้างมากและเป็นตลาดใหม่ที่อัตราการเติบโตสูงถึง
60-70% ทำให้ในปีหน้าบริษัทมีแผนในการเข้าไปลงทุนระบบและเซิร์ฟเวอร์เพื่อรองรับการให้บริการเกมออนไลน์ ในประเทศเวียดนามมากเป็นพิเศษ
นายปราโมทย์กล่าวต่อว่า ขณะที่การให้บริการเกมออนไลน์ในตลาดมาเลเซียที่ผ่านมา ใช้ระบบเซิร์ฟเวอร์จากประเทศสิงคโปร์ ดังนั้นในปีหน้า
ก็จะมีการลงทุนระบบเซิร์ฟเวอร์ในมาเลเซียเพื่อรองรับการให้บริการเฉพาะ รวมถึงการลงทุนซื้อคอนเทนต์ใหม่ๆ ในแต่ละประเทศด้วย
นายปราโมทย์กล่าวถึงผลประกอบการของบริษัทว่า แม้ตลาดในเมืองไทยจะมีการเติบโตไม่หวือหวาแต่เนื่องจากบริษัทมีการรับรู้รายได้จากตลาดต่างประเทศ ทำให้ยอดขายช่วง 9 เดือนที่ผ่านมามีการเติบโตและมากกว่ายอดรายได้ในปี 2549 ทั้งปี คือในปี 2549 บริษัท มีรายได้รวมประมาณ 1,000 ล้านบาท แต่ช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้รวมเกือบ 1,100 ล้านบาท โดยเป็นรายได้จากตลาดต่างประเทศประมาณ 40%
"รายได้จากต่างประเทศเข้ามาค่อนข้างมากโดยเฉพาะจากสิงคโปร์ แม้ว่าจำนวนผู้เล่นเกมไม่มากแต่สามารถชาร์จค่าบริการได้สูง นอกจากนี้ ในส่วนอัตรากำไรสุทธิก็เพิ่มขึ้นจาก 12% ในปีที่แล้ว เป็น 17% ส่วนหนึ่งเป็นเพราะตลาดต่างประเทศมีการแข่งขันในด้านราคาไม่สูง ทำให้มีธุรกิจและมาร์จิ้นค่อนข้างดี" นายปราโมทย์กล่าวและว่า
เป้าหมายของบริษัทคือการยกระดับบริษัทเป็นผู้ให้บริการระดับภูมิภาค ซึ่งการที่จะแข่งขันกับต่างประเทศได้บริษัทจะต้องมีขนาดธุรกิจและตลาดมากพอเพื่อที่จะสามารถสร้างพลังในการแข่งขัน ซึ่งเอเซียซอฟท์ฯถือว่าเป็นบริษัทไทยรายแรกที่เข้าสู่การแข่งขันในตลาดภูมิภาค
ด้านนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ยักษ์ค้าส่งสินค้าไอที เปิดเผยว่า แผนการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
คาดว่าจะพร้อมในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2551 หลังจากที่ยื่นแบบไฟลิ่งให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
ในเดือนธันวาคมศกนี้
โดยแผนการระดมทุนของบริษัทก็เพื่อนำเม็ดเงินมาลดสัดส่วนหนี้ของบริษัท เนื่องจากในช่วงปีนี้บริษัทได้ขยายการลงทุนค่อนข้างมากโดยเฉพาะในส่วนของการสร้างออโตแวร์เฮาส์เพื่อรองรับการขยายธุรกิจในช่วงที่ผ่านมา
อีกส่วนหนึ่งก็เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนและพัฒนาช่องทางการจัดจำหน่ายในรูปแบบ CNEX IT Shop ซึ่งเป็นการสนับสนุนให้คู่ค้ามีระบบ การบริหารจัดการเป็นมืออาชีพมากขึ้น พร้อมสนับสนุนการทำกิจกรรมการตลาดและการตกแต่งหน้าร้านเพื่อให้ มีรูปแบบเดียวกัน ลักษณะคล้ายกับแฟรนไชส์โดย ที่ผ่านมาได้ทดลองเปิดร้านค้าในรูปแบบ CNEX IT Shop ประมาณ 7-8 แห่งแล้ว และในปีหน้ามีแผนที่จะเปิดอีก 30-40 แห่ง พร้อมกับแผนการขยายสาขาของซินเน็คในต่างจังหวัดเพื่อรองรับการให้บริการและดูแลคู่ค้าตัวแทนจำหน่ายต่างๆ
ขณะที่บริษัท ไซแมท เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการจัดจำหน่ายและพัฒนาโปรแกรมการใช้งานคอมพิวเตอร์เคลื่อนที่แบบครบวงจร (integrated mobile computing solution provider) ระบบการจัดเก็บและจัดการข้อมูลในองค์กร ก็ได้ประกาศเปิดขายหุ้นให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) เช่นกัน จำนวน 18.75 ล้านหุ้น โดยทั้งนี้จะเป็นการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ใหม่ (MAI) ในปีหน้า
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0209
กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีชักแถวเข้าตลาดหุ้นระลอกใหม่ ยักษ์ผู้ให้บริการเกมออนไลน์ "เอเซีย ซอฟท์ฯ" เล็งระดมทุน 1,000 ล้าน ทุ่มขยายฐานธุรกิจที่เวียดนามและมาเลเซีย เพื่อสร้างความแข็งแกร่งรับมือคู่แข่งต่างชาติ ด้าน "ซินเน็ค" ยักษ์ค้าส่งไอทีพัฒนาธุรกิจ สู่ one stop shopping วางแผนปีหน้าขยายเครือข่าย CNEX Shop อีก 30-40 แห่ง ขณะที่ "ไซแมท เทคโนโลยี" จ่อคิวเข้าตลาดหลักทรัพย์ใหม่
รายงานข่าวจากวงการคอมพิวเตอร์ เปิดเผยว่า ขณะนี้กลุ่มธุรกิจด้านเทคโนโลยีได้มีแผนการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหลายราย ได้แก่ บริษัท เอเซียซอฟท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไซแมท เทคโนโลยี จำกัด ซึ่งคาดว่าแต่ละบริษัจะ ดำเนินการกระจายหุ้นให้กับประชาชนครั้งแรก (ไอพีโอ) และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯช่วง ต้นปี 2551
นายปราโมทย์ สุดจิตพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเซียซอฟท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการเกมออนไลน์รายใหญ่ของไทย กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ถึงแผนการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ขณะนี้การดำเนินการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงกระบวนการเปิดขายหุ้นไอพีโอซึ่งเดิมวางแผนจะเปิดขายในช่วงกลางเดือนธันวาคมนี้ แต่เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่เกรงว่าบรรยากาศการลงทุนปลายปีไม่ค่อยดีจะกระทบกับราคาหุ้น
ดังนั้นจึงได้เลื่อนแผนการกระจายหุ้นออกไปในช่วงต้นปี โดยที่บริษัทจะได้รับสิทธิประโยชน์การเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลเหลือ 25% ในรอบบัญชี ปีถัดไป
สำหรับแผนการระดมทุนนั้นคาดว่าจะได้เม็ดเงินประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยตามแผนจะนำเงินทุนไปขยายการลงทุนให้บริการเกมออนไลน์ ในประเทศเวียดนามและมาเลเซีย เนื่องจาก ในช่วงปีที่ผ่านมาบริษัทได้ขยายธุรกิจการให้บริการเกมออนไลน์ไปต่างประเทศทั้งที่สิงคโปร์ มาเลเซีย และเวียดนาม แต่ในตลาดเวียดนามนั้นเป็นการตั้งตัวแทนในท้องถิ่นช่วยทำตลาด เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาข้อกฎหมายต่างๆ ของเวียดนามยังไม่ชัดเจน จึงไม่แน่ใจว่าการให้บริการเกมออนไลน์จะดีจริงหรือไม่ ช่วงที่ผ่านมาจึงไม่กล้าลงทุนมากนัก
แต่ขณะนี้หลายๆ อย่างมีความชัดเจนมากขึ้น ขณะที่จากการทดลองทำตลาดในช่วงปีที่ผ่านมา
ก็เห็นศักยภาพของตลาดเวียดนามค่อนข้างสูง
ขณะที่เวีดยนามมีจำนวนประชากรค่อนข้างมากและเป็นตลาดใหม่ที่อัตราการเติบโตสูงถึง
60-70% ทำให้ในปีหน้าบริษัทมีแผนในการเข้าไปลงทุนระบบและเซิร์ฟเวอร์เพื่อรองรับการให้บริการเกมออนไลน์ ในประเทศเวียดนามมากเป็นพิเศษ
นายปราโมทย์กล่าวต่อว่า ขณะที่การให้บริการเกมออนไลน์ในตลาดมาเลเซียที่ผ่านมา ใช้ระบบเซิร์ฟเวอร์จากประเทศสิงคโปร์ ดังนั้นในปีหน้า
ก็จะมีการลงทุนระบบเซิร์ฟเวอร์ในมาเลเซียเพื่อรองรับการให้บริการเฉพาะ รวมถึงการลงทุนซื้อคอนเทนต์ใหม่ๆ ในแต่ละประเทศด้วย
นายปราโมทย์กล่าวถึงผลประกอบการของบริษัทว่า แม้ตลาดในเมืองไทยจะมีการเติบโตไม่หวือหวาแต่เนื่องจากบริษัทมีการรับรู้รายได้จากตลาดต่างประเทศ ทำให้ยอดขายช่วง 9 เดือนที่ผ่านมามีการเติบโตและมากกว่ายอดรายได้ในปี 2549 ทั้งปี คือในปี 2549 บริษัท มีรายได้รวมประมาณ 1,000 ล้านบาท แต่ช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้รวมเกือบ 1,100 ล้านบาท โดยเป็นรายได้จากตลาดต่างประเทศประมาณ 40%
"รายได้จากต่างประเทศเข้ามาค่อนข้างมากโดยเฉพาะจากสิงคโปร์ แม้ว่าจำนวนผู้เล่นเกมไม่มากแต่สามารถชาร์จค่าบริการได้สูง นอกจากนี้ ในส่วนอัตรากำไรสุทธิก็เพิ่มขึ้นจาก 12% ในปีที่แล้ว เป็น 17% ส่วนหนึ่งเป็นเพราะตลาดต่างประเทศมีการแข่งขันในด้านราคาไม่สูง ทำให้มีธุรกิจและมาร์จิ้นค่อนข้างดี" นายปราโมทย์กล่าวและว่า
เป้าหมายของบริษัทคือการยกระดับบริษัทเป็นผู้ให้บริการระดับภูมิภาค ซึ่งการที่จะแข่งขันกับต่างประเทศได้บริษัทจะต้องมีขนาดธุรกิจและตลาดมากพอเพื่อที่จะสามารถสร้างพลังในการแข่งขัน ซึ่งเอเซียซอฟท์ฯถือว่าเป็นบริษัทไทยรายแรกที่เข้าสู่การแข่งขันในตลาดภูมิภาค
ด้านนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ยักษ์ค้าส่งสินค้าไอที เปิดเผยว่า แผนการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
คาดว่าจะพร้อมในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2551 หลังจากที่ยื่นแบบไฟลิ่งให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
ในเดือนธันวาคมศกนี้
โดยแผนการระดมทุนของบริษัทก็เพื่อนำเม็ดเงินมาลดสัดส่วนหนี้ของบริษัท เนื่องจากในช่วงปีนี้บริษัทได้ขยายการลงทุนค่อนข้างมากโดยเฉพาะในส่วนของการสร้างออโตแวร์เฮาส์เพื่อรองรับการขยายธุรกิจในช่วงที่ผ่านมา
อีกส่วนหนึ่งก็เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนและพัฒนาช่องทางการจัดจำหน่ายในรูปแบบ CNEX IT Shop ซึ่งเป็นการสนับสนุนให้คู่ค้ามีระบบ การบริหารจัดการเป็นมืออาชีพมากขึ้น พร้อมสนับสนุนการทำกิจกรรมการตลาดและการตกแต่งหน้าร้านเพื่อให้ มีรูปแบบเดียวกัน ลักษณะคล้ายกับแฟรนไชส์โดย ที่ผ่านมาได้ทดลองเปิดร้านค้าในรูปแบบ CNEX IT Shop ประมาณ 7-8 แห่งแล้ว และในปีหน้ามีแผนที่จะเปิดอีก 30-40 แห่ง พร้อมกับแผนการขยายสาขาของซินเน็คในต่างจังหวัดเพื่อรองรับการให้บริการและดูแลคู่ค้าตัวแทนจำหน่ายต่างๆ
ขณะที่บริษัท ไซแมท เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการจัดจำหน่ายและพัฒนาโปรแกรมการใช้งานคอมพิวเตอร์เคลื่อนที่แบบครบวงจร (integrated mobile computing solution provider) ระบบการจัดเก็บและจัดการข้อมูลในองค์กร ก็ได้ประกาศเปิดขายหุ้นให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) เช่นกัน จำนวน 18.75 ล้านหุ้น โดยทั้งนี้จะเป็นการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ใหม่ (MAI) ในปีหน้า
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0209
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news06/12/07
โพสต์ที่ 89
อินเทอร์เน็ตผ่านสายไฟมาแล้ว "กสท"ชิงธงเปิดบริการต้นปีหน้า
"กสท" ซุ่มเตรียมพร้อมเปิดบริการ "อินเทอร์เน็ตผ่านสายไฟ" เชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบภายในไตรมาส 1 ปี 2551 เล็งเจาะตลาด "อาคารสำนักงาน-คอนโด และหมู่บ้านจัดสรร" เปิดใหม่ เดินหน้าเจรจา "การไฟฟ้าฯ" เช่าใช้โครงข่ายสายไฟเพื่อเปิดให้บริการ คาดเบื้องต้นมีอาคารอย่างน้อย 10 แห่ง อ้าแขนรับเทคโนโลยีใหม่ มั่นใจเป็นธุรกิจใหม่สร้างรายได้ในอนาคต และเปิดทางเข้าถึงลูกค้าตามบ้าน
นายสมศักดิ์ พึ่งธรรมเกิดผล ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายการตลาดสื่อสารข้อมูล บมจ. กสท โทรคมนาคม เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า อยู่ระหว่าง การทดลองให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงผ่าน สายไฟฟ้า หรือ broadband over powerline (BPL) ในเชิงพาณิชย์ โดยได้เริ่มให้บริการในอาคาร Parkland Residence ของบริษัท นารายณ์ พร็อพเพอตี้ จำกัด ไปแล้วตั้งแต่ 1 พ.ย. 2550 ที่ผ่านมา ซึ่งได้ผลเป็นที่น่าพอใจ และคาดว่า กสท จะเริ่มเปิดให้บริการในเชิงพาณิชย์อย่างเต็มรูปแบบได้ภายในไตรมาสแรกของปี 2551 อย่างแน่นอน และกำลังพิจารณาหาชื่อที่เหมาะสมสำหรับบริการดังกล่าวด้วย
"เดิม กสท มีบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ที่ใช้ชื่อว่า Hi-Net ซึ่งใช้เทคโนโลยี ADSL ซึ่งต้องลากสายทองแดงไปถึงลูกค้าทำให้ต้นทุนสูง ดังนั้นโครงการบรอดแบนด์พาวเวอร์ไลน์จึงเป็น จุดเริ่มต้นที่จะให้บริการที่เป็น last miles สำหรับ กสท ได้มากขึ้น โดยระหว่างนี้กำลังอยู่ระหว่างการเจรจาเสนอค่าเช่าใช้โครงข่ายสายไฟฟ้าของการไฟฟ้านครหลวง และกับเจ้าของตึกต่างๆ อยู่ ดังนั้น ในไตรมาสแรกปีหน้า กสท จะเปิดบริการนี้อย่างเป็นทางการได้อย่างน้อย 10 ตึก ซึ่งจะเป็น BPL ready หรือพร้อมใช้อินเทอร์เน็ตผ่านสายไฟฟ้าได้"
สำหรับการเช่าใช้สายไฟฟ้าสำหรับให้บริการ ดังกล่าว มีอยู่ 2 ส่วน คือ 1.ภายในอาคาร หรือคอนโดฯต่างๆ เพราะสายไฟฟ้าภายในอาคารถือเป็นทรัพย์สินของเจ้าของอาคาร เป็นพื้นที่ปิด
ที่ต้องเจรจาเช่าใช้จากเจ้าของอาคาร และ 2.พื้นที่ ในหมู่บ้านต่างๆ เพราะสายไฟฟ้าเป็นทรัพย์สินของการไฟฟ้าฯจึงจะต้องเช่าใช้จากการไฟฟ้าฯ และขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาในระดับนโยบายแล้ว
ส่วนการให้บริการไปถึงลูกค้าคอนซูเมอร์ในแต่ ละบ้านนั้น กสท จะประเมินจากความต้องการในการใช้งานในแต่ละพื้นที่เป็นหลัก เพราะสัญญาณอินเทอร์เน็ตจะมีพื้นที่ให้บริการในรัศมี 200 เมตรจากอุปกรณ์ทวนสัญญาณ ดังนั้นหากจะให้มีพื้นที่บริการที่ครอบคลุมต้องมี การลงทุนอุปกรณ์ทบทวน สัญญาณเป็นจำนวนมหาศาลจึงจะเลือกลงทุนในพื้นที่ที่คาดว่าจะมีจำนวนผู้ใช้บริการมากพอและคุ้มที่จะลงทุน ทั้งนี้ ในระยะแรกจะเน้นพื้นที่ให้บริการในกรุงเทพฯก่อนเนื่อง จากมีอาคารใหม่ที่กำลังอยู่ระหว่างก่อสร้างจำนวนมาก รวมทั้งสะดวกในการควบคุมคุณภาพการให้บริการอีกด้วย
"ความเร็วอินเทอร์เน็ตที่เราทดลองให้บริการอยู่ในขณะนี้ขึ้นอยู่กับความเร็วที่ลูกค้าต้องการ
แต่มีจุดเด่นคือลูกค้าได้ความเร็วเต็มจำนวน เช่น แพ็กเกจ 1 Mbps ก็จะได้ความเร็ว 1Mbps จริงๆ เพราะลากสายไฟเบอร์ออปติกไปจนถึงตึกนั้นแล้วเชื่อมต่อกับอุปกรณ์แปลงสัญญาณผ่านสายไฟฟ้า ลูกค้าเมื่อต้องการใช้งานก็เสียบอุปกรณ์แปลงสัญญาณปลายทางแล้วเชื่อมต่อเข้าอินเทอร์เน็ต ได้ทันที"
นายสมศักดิ์ยังกล่าวถึงอัตราค่าบริการว่าจะคำนวณจากต้นทุนค่าเช่าสายไฟฟ้า, ต้นทุนการวางโครงข่ายไฟเบอร์ออปติก รวมทั้งส่วนแบ่งที่ต้องจ่ายให้เจ้าของอาคาร ซึ่งต้นทุนของการใช้โครงข่ายสายไฟฟ้าจะต่ำกว่าผ่านสายโทรศัพท์
แต่ทั้งนี้ กสทฯจะพยายามตั้งราคาให้ได้ใกล้เคียงกับผู้ให้ บริการรายอื่นๆ เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดได้ เช่น ช่วงทดลองจะเก็บค่าบริการจากเจ้าของตึกในอัตราต่ำกว่าราคาที่เก็บกับคนใช้ เพื่อให้เจ้าของตึกค่าบริการจากผู้อยู่อาศัยได้ในราคา 590 บาท/ เดือน
"กสทฯ หวังว่าการให้บริการดังกล่าวจะเป็นธุรกิจใหม่ที่จะสร้างรายได้ในอนาคต รวมทั้งลดข้อจำกัดในเรื่องของความครอบคลุมของพื้นที่บริการ ทำให้มีโครงข่าย last miles เป็นของตนเอง ในส่วนของภาพรวมนั้นทราบว่าผู้ให้บริการรายอื่นๆ ก็กำลังซุ่มทดลองให้บริการเช่นกัน ดังนั้นน่าจะทำให้ตลาดบรอดแบนด์โดยรวมมีการให้บริการที่หลากหลายมากขึ้น"
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0209
"กสท" ซุ่มเตรียมพร้อมเปิดบริการ "อินเทอร์เน็ตผ่านสายไฟ" เชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบภายในไตรมาส 1 ปี 2551 เล็งเจาะตลาด "อาคารสำนักงาน-คอนโด และหมู่บ้านจัดสรร" เปิดใหม่ เดินหน้าเจรจา "การไฟฟ้าฯ" เช่าใช้โครงข่ายสายไฟเพื่อเปิดให้บริการ คาดเบื้องต้นมีอาคารอย่างน้อย 10 แห่ง อ้าแขนรับเทคโนโลยีใหม่ มั่นใจเป็นธุรกิจใหม่สร้างรายได้ในอนาคต และเปิดทางเข้าถึงลูกค้าตามบ้าน
นายสมศักดิ์ พึ่งธรรมเกิดผล ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายการตลาดสื่อสารข้อมูล บมจ. กสท โทรคมนาคม เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า อยู่ระหว่าง การทดลองให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงผ่าน สายไฟฟ้า หรือ broadband over powerline (BPL) ในเชิงพาณิชย์ โดยได้เริ่มให้บริการในอาคาร Parkland Residence ของบริษัท นารายณ์ พร็อพเพอตี้ จำกัด ไปแล้วตั้งแต่ 1 พ.ย. 2550 ที่ผ่านมา ซึ่งได้ผลเป็นที่น่าพอใจ และคาดว่า กสท จะเริ่มเปิดให้บริการในเชิงพาณิชย์อย่างเต็มรูปแบบได้ภายในไตรมาสแรกของปี 2551 อย่างแน่นอน และกำลังพิจารณาหาชื่อที่เหมาะสมสำหรับบริการดังกล่าวด้วย
"เดิม กสท มีบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ที่ใช้ชื่อว่า Hi-Net ซึ่งใช้เทคโนโลยี ADSL ซึ่งต้องลากสายทองแดงไปถึงลูกค้าทำให้ต้นทุนสูง ดังนั้นโครงการบรอดแบนด์พาวเวอร์ไลน์จึงเป็น จุดเริ่มต้นที่จะให้บริการที่เป็น last miles สำหรับ กสท ได้มากขึ้น โดยระหว่างนี้กำลังอยู่ระหว่างการเจรจาเสนอค่าเช่าใช้โครงข่ายสายไฟฟ้าของการไฟฟ้านครหลวง และกับเจ้าของตึกต่างๆ อยู่ ดังนั้น ในไตรมาสแรกปีหน้า กสท จะเปิดบริการนี้อย่างเป็นทางการได้อย่างน้อย 10 ตึก ซึ่งจะเป็น BPL ready หรือพร้อมใช้อินเทอร์เน็ตผ่านสายไฟฟ้าได้"
สำหรับการเช่าใช้สายไฟฟ้าสำหรับให้บริการ ดังกล่าว มีอยู่ 2 ส่วน คือ 1.ภายในอาคาร หรือคอนโดฯต่างๆ เพราะสายไฟฟ้าภายในอาคารถือเป็นทรัพย์สินของเจ้าของอาคาร เป็นพื้นที่ปิด
ที่ต้องเจรจาเช่าใช้จากเจ้าของอาคาร และ 2.พื้นที่ ในหมู่บ้านต่างๆ เพราะสายไฟฟ้าเป็นทรัพย์สินของการไฟฟ้าฯจึงจะต้องเช่าใช้จากการไฟฟ้าฯ และขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาในระดับนโยบายแล้ว
ส่วนการให้บริการไปถึงลูกค้าคอนซูเมอร์ในแต่ ละบ้านนั้น กสท จะประเมินจากความต้องการในการใช้งานในแต่ละพื้นที่เป็นหลัก เพราะสัญญาณอินเทอร์เน็ตจะมีพื้นที่ให้บริการในรัศมี 200 เมตรจากอุปกรณ์ทวนสัญญาณ ดังนั้นหากจะให้มีพื้นที่บริการที่ครอบคลุมต้องมี การลงทุนอุปกรณ์ทบทวน สัญญาณเป็นจำนวนมหาศาลจึงจะเลือกลงทุนในพื้นที่ที่คาดว่าจะมีจำนวนผู้ใช้บริการมากพอและคุ้มที่จะลงทุน ทั้งนี้ ในระยะแรกจะเน้นพื้นที่ให้บริการในกรุงเทพฯก่อนเนื่อง จากมีอาคารใหม่ที่กำลังอยู่ระหว่างก่อสร้างจำนวนมาก รวมทั้งสะดวกในการควบคุมคุณภาพการให้บริการอีกด้วย
"ความเร็วอินเทอร์เน็ตที่เราทดลองให้บริการอยู่ในขณะนี้ขึ้นอยู่กับความเร็วที่ลูกค้าต้องการ
แต่มีจุดเด่นคือลูกค้าได้ความเร็วเต็มจำนวน เช่น แพ็กเกจ 1 Mbps ก็จะได้ความเร็ว 1Mbps จริงๆ เพราะลากสายไฟเบอร์ออปติกไปจนถึงตึกนั้นแล้วเชื่อมต่อกับอุปกรณ์แปลงสัญญาณผ่านสายไฟฟ้า ลูกค้าเมื่อต้องการใช้งานก็เสียบอุปกรณ์แปลงสัญญาณปลายทางแล้วเชื่อมต่อเข้าอินเทอร์เน็ต ได้ทันที"
นายสมศักดิ์ยังกล่าวถึงอัตราค่าบริการว่าจะคำนวณจากต้นทุนค่าเช่าสายไฟฟ้า, ต้นทุนการวางโครงข่ายไฟเบอร์ออปติก รวมทั้งส่วนแบ่งที่ต้องจ่ายให้เจ้าของอาคาร ซึ่งต้นทุนของการใช้โครงข่ายสายไฟฟ้าจะต่ำกว่าผ่านสายโทรศัพท์
แต่ทั้งนี้ กสทฯจะพยายามตั้งราคาให้ได้ใกล้เคียงกับผู้ให้ บริการรายอื่นๆ เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดได้ เช่น ช่วงทดลองจะเก็บค่าบริการจากเจ้าของตึกในอัตราต่ำกว่าราคาที่เก็บกับคนใช้ เพื่อให้เจ้าของตึกค่าบริการจากผู้อยู่อาศัยได้ในราคา 590 บาท/ เดือน
"กสทฯ หวังว่าการให้บริการดังกล่าวจะเป็นธุรกิจใหม่ที่จะสร้างรายได้ในอนาคต รวมทั้งลดข้อจำกัดในเรื่องของความครอบคลุมของพื้นที่บริการ ทำให้มีโครงข่าย last miles เป็นของตนเอง ในส่วนของภาพรวมนั้นทราบว่าผู้ให้บริการรายอื่นๆ ก็กำลังซุ่มทดลองให้บริการเช่นกัน ดังนั้นน่าจะทำให้ตลาดบรอดแบนด์โดยรวมมีการให้บริการที่หลากหลายมากขึ้น"
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0209
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news10/12/07
โพสต์ที่ 90
บรอดแบนด์แข่งเดือด 3ค่ายใหญ่โดดชิงลูกค้า
โพสต์ทูเดย์ ขึ้นปีใหม่ ตลาดบรอดแบนด์เดือด 3 ค่ายโทร.บ้าน แข่งดูดลูกค้า
นางมรกต กุลธรรมโยธิน รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเตอร์เน็ต ประเทศไทย หรือไอเน็ต ในฐานะนายกสมาคมผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตในประเทศไทย (ทิสป้า) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอินเทอร์เน็ตในประเทศไทยปีหน้าจะขยายตัวได้ 15% เมื่อเทียบจากปีนี้ โดยเฉพาะในภาคของบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (บรอดแบนด์) จะขยายตัวไปกับจำนวนเลขหมายโทรศัพท์ที่มีกว่า 7 ล้านเลขหมาย จากผู้ให้บริการโทร.บ้าน 3 ราย ได้แก่ ทีโอที ทรู และทีทีแอนด์ที ซึ่งกลุ่มให้บริการ 3 ค่ายนี้จะบุกตลาดมากขึ้น
ปัจจุบันมีจำนวนผู้ใช้บริการบรอดแบนด์กว่า 1 ล้านราย จาก 3 ค่ายดังกล่าว โดยปีหน้าทีทีแอนด์ทีตั้งเป้าเพิ่มฐานลูกค้าจาก 3 แสนรายเป็น 5 แสนราย
สำหรับมูลค่าตลาดรวมธุรกิจให้บริการอินเทอร์เน็ตในประเทศไทยคาดว่ามีประมาณ 1 หมื่นล้านบาท โดยกว่า 50% เป็นมูลค่ามาจากการให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (บรอดแบนด์) ของกลุ่มผู้ให้บริการโทรศัพท์พื้นฐาน และอีก 50% มาจากกลุ่มผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตที่ไม่มีโครงข่ายเป็นของตนเอง
จะเห็นว่าปริมาณการใช้งานมากขึ้น แต่เม็ดเงินน้อยมากเมื่อเทียบกับธุรกิจมือถือ เพราะแข่งกันดัมพ์ราคา ทำให้โครงสร้างอัตราค่าบริการไม่ตรงกับต้นทุนที่เป็นจริง ส่งผลให้ธุรกิจอินเทอร์เน็ตมีรายได้น้อย นายกสมาคมฯ กล่าว
อย่างไรก็ดี เชื่อว่าปีหน้าตลาดอินเทอร์เน็ตผ่านสายโทรศัพท์ หรือ ไดอัล อัพ จะลดลง แต่ยังมีการ ใช้งานอยู่ เพราะราคาถูก ขณะที่ตลาดบรอดแบนด์แบบเอดีเอสแอลมีผู้ใช้เพิ่มการแข่งขันแย่งลูกค้าจะรุนแรงขึ้น
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=208165
โพสต์ทูเดย์ ขึ้นปีใหม่ ตลาดบรอดแบนด์เดือด 3 ค่ายโทร.บ้าน แข่งดูดลูกค้า
นางมรกต กุลธรรมโยธิน รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเตอร์เน็ต ประเทศไทย หรือไอเน็ต ในฐานะนายกสมาคมผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตในประเทศไทย (ทิสป้า) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอินเทอร์เน็ตในประเทศไทยปีหน้าจะขยายตัวได้ 15% เมื่อเทียบจากปีนี้ โดยเฉพาะในภาคของบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (บรอดแบนด์) จะขยายตัวไปกับจำนวนเลขหมายโทรศัพท์ที่มีกว่า 7 ล้านเลขหมาย จากผู้ให้บริการโทร.บ้าน 3 ราย ได้แก่ ทีโอที ทรู และทีทีแอนด์ที ซึ่งกลุ่มให้บริการ 3 ค่ายนี้จะบุกตลาดมากขึ้น
ปัจจุบันมีจำนวนผู้ใช้บริการบรอดแบนด์กว่า 1 ล้านราย จาก 3 ค่ายดังกล่าว โดยปีหน้าทีทีแอนด์ทีตั้งเป้าเพิ่มฐานลูกค้าจาก 3 แสนรายเป็น 5 แสนราย
สำหรับมูลค่าตลาดรวมธุรกิจให้บริการอินเทอร์เน็ตในประเทศไทยคาดว่ามีประมาณ 1 หมื่นล้านบาท โดยกว่า 50% เป็นมูลค่ามาจากการให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (บรอดแบนด์) ของกลุ่มผู้ให้บริการโทรศัพท์พื้นฐาน และอีก 50% มาจากกลุ่มผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตที่ไม่มีโครงข่ายเป็นของตนเอง
จะเห็นว่าปริมาณการใช้งานมากขึ้น แต่เม็ดเงินน้อยมากเมื่อเทียบกับธุรกิจมือถือ เพราะแข่งกันดัมพ์ราคา ทำให้โครงสร้างอัตราค่าบริการไม่ตรงกับต้นทุนที่เป็นจริง ส่งผลให้ธุรกิจอินเทอร์เน็ตมีรายได้น้อย นายกสมาคมฯ กล่าว
อย่างไรก็ดี เชื่อว่าปีหน้าตลาดอินเทอร์เน็ตผ่านสายโทรศัพท์ หรือ ไดอัล อัพ จะลดลง แต่ยังมีการ ใช้งานอยู่ เพราะราคาถูก ขณะที่ตลาดบรอดแบนด์แบบเอดีเอสแอลมีผู้ใช้เพิ่มการแข่งขันแย่งลูกค้าจะรุนแรงขึ้น
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=208165