อีกครั้งกับ Blue Ocean Strategy

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

อีกครั้งกับ Blue Ocean Strategy

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ขออภัย ไม่สามรถโพสในห้องร้อยคนร้อยเล่มได้  รบกวนให้ MOD Move ด้วยตามเห็นสมควร  

มีโอกาสไปร่วมนั่งเกาะสนาม สัมมนา  Blue Ocean Startegy เร็วๆนี้  เลยเอามาเล่าสู่กันฟัง เพราะเห็นถกเถียงในประเด็นต่างๆไว้มากมาย เนื่องจากเป็นสัมมนาพร้อม Workshop 2 วันติดต่อกัน เนื้อหายาวเหยียด พร้อมกราฟและชาร์ทมากมาย ไม่สามารถเอามาลงได้ (ทำไม่เป็นด้วย) เลยเอาบทบรรยายมา Rewrite เป็นรูปแบบ ถาม -ตอบ เข้าใจง่ายๆพร้อมตัวอย่างอธิบายแล้วกัน

ไม่มียุคสมัยใดที่หันไปทางไหนๆก็ได้ยินแต่เรื่องของ Blue Ocean Strategy  (เรียกสั้นๆว่า BOS) หรือเรียกให้เป็นภาษาโรแมนติคสักนิดว่า กลยุทธน่านน้ำฟ้าคราม (เอ...น้ำเงินกับครามสีใกล้ๆกัน พอจะอนุโลมได้กระมัง) เริ่มตั้งแต่หนังสือเล่มขายดีเขียนโดย  Professor 2 ท่านจาก INSEAD ฝรั่งเศส คือ W.Chan Kan และ Renee Mauborgne  ที่ได้รับการถ่ายทอดแปลเป็นภาษาต่างๆรวมทั้งภาษาไทย   ตามติดด้วยโปรแกรมถ่ายทอดฝึกอบรม  สัมมนาไทย เทศ  และล่าสุดนี้ เมื่อวันที่ 18-19 กรกฏาคม 2507 โดย Professor Ben M. Bensaou  จากสถาบันเดียวกัน  กูรูได้มีโอกาสเข้าไปสังเกตการณ์และเกาะติดสัมมนา เลยสกัดกลั่นกรองแนวความคิดดังกล่าวมาถ่ายทอดกันฟังด้วย 10 คำถามกับ BOS ให้กับชาว VI
1. BOS คืออะไรกันแน่

หลายคนคิดว่า คือกลยุทธการสร้างความแตกต่างให้กับสินค้าใหม่  กลยุทธเจาะตลาดใหม่ที่ไม่มีใครมองมาก่อน
หรือการหลีกหนีภาวะการแข่งขันสู่ชัยภูมิใหม่  ทั้งหมดนี้ก้อใช่อยู่   แต่ก็ยังไม่ถูกต้อง 100 %  BOS คือระบบวิถีคิดของการสร้างคุณค่าใหม่บนพื้นฐานของภาษาลูกค้า  แล้วนำมาถอดรหัส ผสมผสาน (Codify& Formulate) เนื้อหาของ BOS มาจากการศึกษาวิจัยบริษัทที่ประสบความสำเร็จ ฉีกตัวเองออกมาจากวิถีดำเนินตลาดแบบเดิมๆ ด้วยวิธีคิดออกนอกกรอบ ค้นหากลุ่มเป้าหมายใหม่ที่ไม่มีใครนึกถึง  เสนอคุณค่านวัตกรรมอันสอดคล้องกับความต้องการของพวกเขาจากมุมมองผู้บริโภค จนประสบความสำเร็จยั่งยืนมาจนถึงทุกวันนี้ ไมว่าจะเป็น Starbucks   เฟอร์นิเจอร์น็อคดาวน์ IKEA  โซนี่ วอล์คแมน สายการบิน Southwest Airlines      Dell คอมพิวเตอร์ เป็นต้น

2. ทำไมต้องเป็นน่านน้ำฟ้าคราม

จะเป็นสีขาว สีเขียว สีชมพูได้ทั้งนั้น ความจริงจะเป็นน่านน้ำสีอะไรก็ได้  แต่ในแง่ของชื่อที่สะดุดหูสะดุดตาแตกต่างจำง่าย ก็เลยหาอุปมาอุปมัย (Metaphor)เปรียบเทียบความกว้างใหญ่ไพศาลของทะเลมา แบ่งทะเลออกเป็น 2 ภาค  ภาคสีแดงที่เต็มไปด้วยคลื่น ลมพายุ การชิงรันพันตูอย่างดุเดือด เลือดสาด แถมมีฉลามเวียนว่ายใกล้ๆ ใครพลาดก็ตกลงไปเป็นเหยื่อถูกงับทันที  ขณะที่น่านน้ำฟ้าคราม ยังเป็นอาณาจักรใหม่ รอการค้นพบ สามารถแล่นเรือสำรวจได้อีกไกลสุดหูสุดตา  หากตั้งชื่อเชยๆว่า การสร้างนวัตกรรมแห่งคุณค่า เช่น Value Creation หรือ Value Innovation รับรอง แป๊ก.....อันนี้ต้องยกเครดิตให้บรรณาธิการสำนักพิมพิ์


3. BOS แตกต่างจากกลยุทธสร้างคุณค่าใหม่ๆจากคนอื่นอย่างไร

หลายคนอาจจะส่ายหน้า มันก็คือวิธีการสร้างความแตกต่าง ของผลิตภัณฑ์แบบใหม่ให้มีพื้นที่เข้ามาอยู่ในตลาดผู้บริโภค ใช้ทฤษฎีที่เรียนมาแล้วมาดัดแปลงใหม่  ตั้งนิยามสวยๆหรูๆให้ดูเท่ๆก็แค่นั้น

สมมุติฐานเบื้องต้นนี้ก็ไม่ได้ไกลจากความจริงเท่าไหร่  ถูกต้อง BOS คือการมองหาตลาดใหม่ที่ยังมีศักยภาพและยังไม่มีคู่แข่งให้กับผลิตภัณฑ์  แยกออกมาเด็ดขาดจากตลาดเก่าที่มีการแข่งขันสูง  นี่คือการมองในมิติของการสร้างความแตกต่าง  ปรมาจารย์จากสถาบันกูรูหลายท่านก็เคยพูดถึงเรื่องนี้อยู่เนืองๆ  แต่กระบวนการสร้างความแตกต่างด้วยเครื่องมือ (Tools) และวิธีคิดอย่างเป็นระบบ (Process) นี้ต่างหากที่ทำให้ BOS สร้างมิติที่จับต้องได้อย่างเป็นรูปธรรมมากกว่า  

4. ทำไมต้องเสี่ยงออกไปหาน่านน้ำใหม่เพื่อสร้างตลาด ในเมื่อน่านน้ำเก่าเองคุณก็คุ้นเคยอยู่แล้ว

ความคุ้นเคยจะทำให้คุณไม่กล้าคิดอะไรนอกกรอบ  นอกจากจะแข่งเทียบ เลียนแบบคุณสมบัติอย่างที่เรียกกันว่า Benchmarking แล้วก็วังวนอยู่แต่ในน่านน้ำเดิมนั้นๆ  ในที่สุดเมื่อการแข่งขันถึงจุดเดือดก็ต้องมีการตัดราคาเพื่อให้อยู่รอด หรืออาจจะอยู่ไม่รอดก็ได้  บางบริษัทก็ต้องล้มหายตายจากไป  บริษัทใหม่เข้ามาแทนที่ก็เริ่มวัฏจักรแบบเดิมอีก เทียบคุณสมบัติ เสนอผลิตภัณฑ์ใหม่  ตัดราคา  ทั้งนี้ไม่ได้มองเลยว่าผู้บริโภคได้คุณค่าอะไรที่ตรงใจบ้าง  เป็นการทำตลาดจากมุมมองของบริษัทและภาคอุตสาหกรรมเท่านั้น

5. เครื่องมือ (Tool) และ ระบบ (Process) ที่ใช้คืออะไร

Tools หมายถึงเครื่องมือในการวิเคราะห์เบื้องต้น  อย่างเช่น SWOT กึคือ Tools ในการวิเคราะห์ตัวองค์กร  5 forces ก็เป็นการวิเคราะห์ภาคอุตสาหกรรมโดยรวม  แต่ทั้ง 2  Tools เป็นมุมมองที่สะท้อนออกจากตัวบริษัทหรือในภาคอุตสาหกรรม ต่างกับ Tools ที่เราใช้เพราะพัฒนาจากมุมมองและภาษาของผู้บริโภค  คือ Value Curve เส้นกราฟแห่งความพึงพอใจที่พล็อตออกมาจากคุณค่าที่ผู้บริโภคกลุ่มนั้นๆต้องการ

6. เอ...ก็ดูคล้ายๆกับการวิจัยผู้บริโภค Consumer Research นะซิ

ถูกต้อง แต่การวิจัยผู้บริโภคมักจะวิจัยในกลุ่มลูกค้าผู้ใช้  ทำไมไม่วิจัยในกลุ่มที่ไม่ใช้บ้างล่ะ หรือกลุ่มที่จำเป็นต้องใช้เพราะไม่มีตัวเลือกใหม่ๆ   อย่างคุณจะออกไวน์ตัวใหม่ออกมา ทำ Focus Group อย่างมากที่สุดคุณก็จะได้ไวน์ที่แปลกใหมขึ้นมาอีกระดับหนึ่งในกลุ่มผู้ดื่มไวน์ แต่ถ้าทำ Un focus Group ล่ะ ถามซิ พวกไหนที่ไม่ดื่มไวน์  คนหนุ่มๆใช่มั๊ย ด้วยเหตุผลเยอะแยะไปหมด  เช่น  เลือกไม่เป็น มีไวน์ซีเล็คชั่นเต็มท้องตลาด จะรู้ได้ว่าอย่างไรปีไหนสู้ปีไหนได้  เข้าร้านไวน์ก็ถูกคนขายต้อนถามแกมหมิ่นๆ  รูปลักษณ์ ขวด ฉลากก็ดูเชยสมเป็นเครื่องดื่มคนแก่ จะดื่มแต่ละทีก็ต้องมีโอกาสสำคัญๆ ต้องวางมาดเคร่งขรึม จะสนุกสนานเฮฮาบ้างก็ไม่ได้   โอ๊ย สารพัด ดื่มเบียร์ดีกว่า  แต่นี่แหละคือน่านน้ำฟ้าครามที่ไม่มีใครแล่นเรือออกไป  ทำไมเราไม่ทำไวน์ที่ดื่มง่าย ซื้อง่าย ดื่มได้ทุกโอกาสสำหรับคนหนุ่มที่ไม่ยังอยากแก่  รสชาติก็ไม่ขมปร่าจนเกินไป นี่คือ Value ของไวน์ในความคิดของคนที่ไม่ใช่คอไวน์แบบรุ่นปู่รุ่นพ่อ    

และนี่เองถึงทำให้ Casella บริษัทผู้ผลิตไวน์จากออสเตรเลีย ได้จุดประกายไวน์คนหนุ่มในน่านน้ำฟ้าครามด้วยแบรนด์ Yellow  Tail ออกมา  ไวน์ดื่มง่ายๆสบายๆสไตล์วัยรุ่น  ประสบความสำเร็จอย่างสูงจนทำให้บรรดาผู้ผลิตไวน์คลาสสิคถึงกับเหน็บขึ้นมาว่า นั่นมันไม่ใช่ไวน์หรือก แค่เครื่องดื่มผสมไวน์เท่านั้น  แต่ใครจะแคร์ล่ะ ในเมื่อความนิยมมันแพร่หลายไปถึงขนาดนั้น แม้แต่ร้านอาหารทุกร้านก็มีเมนูเครื่องดื่ม Yellow Tail ให้เลือกอยู่ด้วย

7. ทำไมบริษัทที่อยู่ในทะเลเดือดถึงยังไม่กล้าชักธงรบฝ่าวงล้อมออกสู่น่านน้ำใหม่

คุณต้องใช้ความกล้าหาญและเปลี่ยนกรอบความคิดใหม่อย่างมากทีเดียว  ในน่านน้ำเดิมคุณถูกปลูกฝังวิธีการรบแบบเดิมๆ คุณรู้จักคู่ต่อสู้ว่าจะมาไม้ไหนแล้วจะโต้ตอบกลับอย่างไร  คุณมีประสบการณ์เป็นเกราะวินิจฉัยว่าควรจะแข่งขันรูปแบบไหน  หากในน่านน้ำใหม่  บางครั้ง คุณไม่สามารถใช้ประสบการณ์ยาวนานมาเริ่มต้นใหม่ได้

ดูอย่างอีกกรณีหนึ่ง เรื่องนี้เกิดขึ้นนานมาแล้ว ประมาณปี 1970 บริษัทรถยนต์อเมริกันแห่งหนึ่ง ตั้งเป้าว่าจะบุกตลาดรถยนต์อังกฤษกวาดส่วนแบ่งตลาดให้ได้ 30% จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถบรรลุความตั้งใจได้  เปลี่ยนรุ่นใหม่เข้ามา  ปรับปรุงรูปลักษณ์หน้าตาและฟังก์ชั่นใหม่หมด  ก็ยังขายไม่ได้ จนในที่สุดต้องเชิญ Edward De Bono ปรมาจารย์ด้านคิดนอกกรอบเข้ามา   De Bono ได้ทำการสำรวจหาสาเหตุและข้อเสนอแนะนั่นก็คือ ให้บริษัทรถยนต์ซื้อบริษัทที่ดำเนินธุรกิจจอดรถทั้งอังกฤษ (ฮา)  

แปลกใจใช่มั๊ย ผู้บริหารรถยนต์อเมริกันทั้งหมดก็แปลกใจไม่น้อยไปกว่ากัน  อะไรล่ะนี่ อุตส่าห์เสียเงินมากมายจ้างปรมาจารย์ด้านความคิดสร้างสรรค์มาช่วยแก้ปัญหารถยนต์ขายไม่ออก แต่กลับมาเสนอให้ไปซื้อบริษัทที่ให้บริการจอดรถ เหตุผลของ De Bono ก็คือ การที่ได้เป็นเจ้าของบริษัทให้บริการจอดรถที่ใหญ่ที่สุดในสหราชอาณาจักร มีมาร์เก็ตแชร์ถึง 70% คือโอกาสอันดีที่บริษัทรถอเมริกันจะได้ใช้สถานที่จอดรถทำธุรกรรมทุกอย่างโดยตรงกับลูกค้าได้  ไม่ว่าเป็นการสาธิตรถรุ่นใหม่ การทดลองขับรถ การขายรถหรือเปิดศูนย์บริการในที่จอดรถ  ทุกอย่างคุณทำได้หมดเพราะเป็นลานจอดรถของคุณเอง   แต่ข้อเสนอดังกล่าวถูกยิงตกหมด  ด้วยเหตุผลสั้นๆ  เราอยู่ในธุรกิจขายรถ ไม่ใช่ให้บริการที่จอดรถ  คุณไม่เข้าใจธุรกิจของเราหรอก    เห็นมั๊ย เพราะตัวประสบการณ์ของบริษัทอันยาวนานกลายเป็นกำแพงกั้นไม่ให้พวกเขาแล่นเรือฝ่าน่านน้ำเดิมๆออกไป  ทั้งๆถ้าพวกเขาเอาจริง  เขาก็สามารถหาหนทางบริหารลานจอดรถได้

8. แล้วจะมีวิธีอย่างไรที่จะไม่ให้ประสบการณ์มาเป็นกำแพงทะมึนขวางการคิด

มีหลักการสำคัญๆไม่กี่ข้อที่ใครก็ทำได้คือ[/b]
หนึ่ง  
ท้าทายวิธีการเดิมๆซะ อย่ามองปัญหาด้วยแว่นคู่เก่า  ลองหามุมมองใหม่ๆบ้าง ถ้าคิดว่าตัวเองยังหนีไม่พ้น คิดในกรอบเดิมๆ ก็ลองไปถามคนอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องดูซิจะได้คำตอบอย่างไร ลูกค้าที่ไม่ใช้ผลิตภัณฑ์เรา ร้านค้าที่ไม่อยากสั่งสินค้าเราไปขาย  หรือบรรดาพวกที่มีอิทธิพลชี้นำทั้งหลาย (Influencer) ทำไมถึงไม่เห็นเราอยู่ในสายตา
สอง
อย่าให้ความเก่งกาจของบริษัท (Core Competency) มาบดบัง   เช่น บอกว่า เราไม่เคยทำธุรกิจนี้มาก่อน  เราเก่งแต่เรื่องนี้เท่านั้น   จำได้ไหม ครั้งหนึ่งที่ บิลเกตต์เข้าไปหาผู้บริหาร IBM เพื่อเสนอโปรแกรมการทำงานของคอมพิวเตอร์  แล้วหนุ่มน้อยหลุดโลกมหาวิทยาลัยอย่างบิล เกตต์ก็ต้องเจอคำตอบหงายหลังออกมาว่า  คอมพิวเตอร์เป็นเรื่องของฮาร์ดแวร์เท่านั้น  ( Computer is all about Hardware) แล้ววันนี้คุณก็เห็นแล้วว่า ใครเป็นอย่างไร
สาม  
สนับสนุนให้ทีมงานของคุณคิดนอกกรอบด้วย  อย่าด่วนตัดสินหรือถามคำถามที่ปิดหนทางสิ้นเชิง เช่น ไหนทำอย่างไร บอกมาซิ  ใช้เงินเท่าไหร่ โอ๊ย..นี่มันอยู่นอกเหนืองบนะ  แค่นี้ก็จบ ลูกน้องเดินกลับไปทำงานแบบเก่าตามเดิม   ควรจะเริ่มด้วยการถามว่า
1. จะมีคุณค่าอะไรใหม่ๆให้ลูกค้าบ้าง ( Is There any benefits to customer ?)
2. คิดว่าลูกค้าจะยินยอมจ่ายเงินซื้อในราคาเท่าใด ( How much or what should be the price that customer willing to pay ? )
3. ต้นทุน ค่าใช้จ่ายที่ตั้งไว้ประมาณเท่าไหร่  ( What is target cost ? )และก็มาถึงคำถามข้อสุดท้าย
4. ควรใช้รูปแบบดำเนินงานอย่างไรดี  ( How are we going to make it ?) เรามีทรัพยากรเพียงพอหรือไม่ เรามีความสามารถเหมาะสมหรือเปล่า หากเราไม่เก่งพอหรือไม่ใช่ความสามารถพิเศษของเรา ควรหาพันธมิตรที่เก่งกว่ามาร่วมงานด้วยหรือเปล่า เป็นต้น

9. ดูเหมือน BOS จะคำนึงถึงความพอใจลูกค้าเป็นหลัก ไม่คำนึงถึงผลกำไรที่ทำให้ธุรกิจอยู่ได้

ตรงกันข้าม  เราประสาน 2 สิ่งเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืนต่างหาก  ธุรกิจอยู่ไม่ได้หรอกถ้าไม่มีกำไร ต่อให้มีคุณค่านวัตกรรมถูกใจลูกค้าแค่ไหน หากขาดทุนก็แสดงว่าไม่ใช่ตัวอย่างที่ดีของการทำธุรกิจ เรามีขั้นตอนจัดการบริหารน่านน้ำฟ้าครามให้คุณแล่นเรือไปอย่างมั่นใจ มีน้ำมันเพียงพอ  ด้วยหลักการ เลิก (Eliminate) ลด  (Reduce)  ขยาย(Raise)  สร้าง (Create)  หรือเรียกสั้นๆว่า ERRC ส่วนที่ลดและเลิกก็คือ ประโยชน์ที่ลูกค้าเป้าหมายไม่ได้ต้องการ  ซึ่งก็เป็นการลดต้นทุนบริหารของคุณ  ส่วนที่เพิ่มและสร้างใหม่ คือคุณค่าที่ลูกค้าอยากได้และจำเป็นที่คุณควรรักษาไว้เพราะลูกค้าเต็มใจที่จะจ่ายก็เพราะส่วนนี้  ลองมาดูตัวอย่าง โรงแรมประหยัดในฝรั่งเศสแห่งหนึ่งกันดีกว่า  

ตลาดโรงแรมราคาถูกสำหรับคนพักค้างคืนสั้นๆเพียงคืน 2 คืน  มีการแข่งขันกันมาก  ทั่วทุกสถานีรถไฟจะมีตึกเก่าๆที่ดัดแปลงให้เป็นที่พักแรมถูกๆสำหรับคนรายได้น้อยที่จำเป็นต้องค้างคืนระหว่างการเดินทาง  เครือโรงแรมแห่งหนึ่งเฝ้ามองสถานการณ์การแข่งขันอย่างตริตรอง หากจะเข้าร่วมแข่งขันในตลาดนี้ เห็นทีจะลงไปตัดราคาแข่งไม่ได้แน่ๆ   เอาล่ะ ลองหาตลาดใหม่ดูซิ ตลาดของคนที่ไม่มีโอกาสใช้โรงแรมพวกนี้ ซึ่งได้แก่บรรดา คนขับรถบรรทุก (แน่นอน โรงแรมพวกนี้ไม่มีที่ให้จอดรถคันใหญ่)  เซลส์แมนที่ต้องการคืนพักผ่อนสงบๆ หลับเต็มอื่มหลังจากขับรถเหนื่อยมาทั้งวัน จะนอนโรงแรมแถวสถานีรถไฟมีหวังต้องหลับไปนับขบวนรถไฟวิ่งเข้าออกตลอดคืนแน่  ฉะนั้นพวกเขาไม่ต้องการอะไรมากกว่าสถานที่พักแรมปลอดภัย หลับสบาย สะอาด  ไม่ต้องการบริการรูมเซอร์วิสหรือห้องอาหารใดๆทั้งสิ้น  Value Curve ของโรงแรมใหม่แห่งนี้ จะฉีกตัวออกจากโรงแรมประหยัดแบบเดียวกัน  เลิกส่วนบริการออก ไม่ต้องมีคนทำงาน  เลิกบริเวณหน้าโรงแรมที่ตกแต่งสวยหรู เกินจำเป็น ปรับเรียบให้เป็นลานจอดรถกว้างขวาง  เลิกการตกแต่งฟุ่มเฟือยทั้งหลาย พรม รูปภาพสวยๆ  ช่อดอกไม้บูเก้ หน้าทางเข้า  ใครจะชื่นชม เมื่อต่างคนต่างเข้าห้องนอนไปแล้ว   เห็นมั๊ยการตกแต่งประดับประดาตามมาตรฐานโรงแรมทั่วไปไม่มีคุณค่าในสายตากลุ่มเป้าหมายนี้   ทำเลโรงแรมอยู่ริมถนนใหญ่ ขับรถเข้าไปจอดได้เลย  สงบเงียบ ตัวโรงแรมสร้างให้เรียบง่ายที่สุด เป็นกล่องสี่เหลี่ยมเจาะหน้าต่าง ไม่ต้องมีสไตล์ดีไซน์ใดๆทั้งสิ้น  ความสะดวกสบายในห้องนอนเล็กๆก็เพียงพอสำหรับค้างแรมสั้นๆ ทั้งหมดคือการ ลดและเลิกคุณสมบัติที่ไม่จำเป็น  ซึ่งช่วยประหยัดต้นทุนและค่าดำเนินงานไปได้มหาศาล แทบไม่ต้องใช้พนักงานเลย  แต่ขยายคุณค่าด้วยเตียงนอนที่ดีเลิศ  ความสะอาด ปลอดภัย หลับสนิททั้งคืน     สร้าง การบริการตัวเองด้วยตู้เวนดิ้งสำหรับกดเครื่องดื่ม ขนม อาหารว่าง   สร้างระบบออนไลน์ที่สามารถจองห้องพักและชำระเงินได้ด้วยตัวเอง  สร้างเครือข่ายโรงแรมที่มีให้บริการในลักษณะเดียวกันทั่วฝรั่งเศส  

เมื่อเรามา พล็อตกราฟ ทำ Value Curve จะเห็นว่า ฟังก์ชั่นโรงแรมส่วนที่ฟุ่มเฟือย ไม่มีคุณค่าในสายตาลูกค้าเส้นกราฟจะต่ำเรี่ยแทบติดดิน ขณะที่ฟังก์ชั่นที่มีคุณค่าอย่างเตียงหลับสบาย   บริการตัวเองด้วยตู้เว้นดิ้งแมชชีน  บริการจองห้องพักออนไลน์ เส้นกราฟจะพุ่งสูงขึ้น  สูงกว่าโรงแรมอื่นในระดับเดียวกัน  และกลายเป็นนวัตกรรมใหม่ที่สร้างตัวเองให้แหวกว่ายออกจากวังวนของการแข่งขันตัดราคาเพื่อแย่งลูกค้า
ภายหลังเปิดบริการ  ผลปรากฏว่าโรงแรม Formule 1 ประสบความสำเร็จมหาศาลในตลาดโรงแรมประหยัดทั้งๆที่ไม่ได้มีทำเลดีเด่นไปกว่าบรรดาโรงแรมตามสถานีรถไฟ

10. สรุปแล้ว BOS คล้ายกับเป็นคัมภีร์การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่กับกลุ่มเป้าหมายใหม่เท่านั้น

ถ้าดูจากตัวอย่างที่กล่าวไว้ก็ไม่ผิด  แต่จริงๆแล้ว ดังที่บอกแต่ต้น มันคือกระบวนทัศน์ วิถีปฏิบัติในทุกๆหน่วยงานขององค์กร แม้แต่ในองค์กรเดียวกัน ทุกคนก็สวมบทบาทเป็นลูกค้า ผู้ให้บริการภายในนั้นเอง เช่น ฝ่ายบุคคลให้บริการดูแลสวัสดิการของพนักงาน พนักงานคือลูกค้า  อะไรที่ฝ่ายบุคคลเห็นว่ามีคุณค่าต่อพนักงาน
ก็ควรจะนำเสนอออกมา   เลขานุการก็สามารถทดลองทำ Value Curve เพื่อเสนอบริการบรรดาผู้บริหารให้ดีกว่าเดิม อะไรที่ไม่จำเป็น สามารถลด  เลิกได้แต่หันไปขยาย และสร้างบริการใหม่ๆถูกใจกว่าเดิมขึ้นมา เพื่อทำให้ลูกค้ามีความสุข ซึ่ง ณ ที่นี้ก็คือบรรดาผู้บริหารนั้นเอง

ฉะนั้น BOS ไม่ใช่เรื่องของนวัตกรรมเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ล้ำเลิศ แต่เป็นกระบวนการปรับปรุงในสิ่งสามัญที่เราสามารถทำให้ดีกว่าเดิมได้  สร้างความพอใจให้กับลูกค้ากลุ่มที่ถูกมองข้าม   เป็นกระบวนการแสวงหาคุณค่าใหม่ตอบสนองความสุขของมนุษย์  ดังเช่น Michael Dell กล่าวไว้ว่า  นวัตกรรมที่แท้จะต้องเป็นนวัติกรรมเพื่อความสุขของลูกค้าเท่านั้น An innovation is no innovation if it is not a customer innovation

อา..ถูกแล้ว นวัตกรรมจะมีความหมายอะไรหากถูกคิดค้นขึ้นมาแล้วไม่สามารถรับใช้มนุษยชาติได้ ก็คงเป็นได้แค่แท่งอนุสาวรีย์ให้รำลึกชื่อเพิ่มขึ้นมาเท่านั้น   กูรูบอกตัวเอง ขณะแหวกว่ายออกมาจากน่านน้ำฟ้าคราม  มาเจอ ถนนหลุมบ่อสีโคลน  ฝนเพิ่งหยุดตก เฉอะแฉะไปหมด ต้องเดินพลางกระโดดพลางและระวังไม่ให้ถูกน้ำโคลนกระเด็นจากรถที่แล่นสวน มองไปข้างหน้า แพขนานรถยนต์ยาวเหยียด  ไม่เป็นไร  สุดปลายทางอาจจะมีสวนสงบๆเงียบๆให้นั่งพัก  

สายรุ้งพาดวงสวย  เหนือฟ้าอมรกรุงเทพมหานคร ท่ามกลางบรรยากาศขะมุกขมัวก่อนตะวันพลบ....
นี่แหละที่เรียกว่า  รุ้งพลบ

ว่าแล้วก็จ้ำ จ้ำ และจ้ำกลับบ้าน
ภาพประจำตัวสมาชิก
Raphin Phraiwal
Verified User
โพสต์: 1342
ผู้ติดตาม: 0

อีกครั้งกับ Blue Ocean Strategy

โพสต์ที่ 2

โพสต์

:bow:  :bow:  :bow:

ขอบคุณครับ
อ่านแบบผ่านๆไปแล้ว เดี๋ยวมีเวลาจะมาตั้งใจอ่านใหม่ครับ
รักในหลวงครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
alexx
Verified User
โพสต์: 332
ผู้ติดตาม: 0

อีกครั้งกับ Blue Ocean Strategy

โพสต์ที่ 3

โพสต์

สุดยอดเลย ท่านกูรูขอบสนาม :bow:  :bow:  :bow:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Mon money
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 3134
ผู้ติดตาม: 0

อีกครั้งกับ Blue Ocean Strategy

โพสต์ที่ 4

โพสต์

ขอบพระคุณในน้ำใจอย่างมากครับ

สมาชิกเรามีที่ดีๆ เก่งๆและมีน้ำใจมากครับ
เป็นบุญหนักหนาเหลือเกินที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย เป็นคนไทยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

คาราวะ

โพสต์ที่ 5

โพสต์

ขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆที่แบ่งปันกันครับ
                                  ขอแสดงความนับถือ
                                  chartchai madman
:)  :)  :)
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

Re: อีกครั้งกับ Blue Ocean Strategy

โพสต์ที่ 6

โพสต์

เห็นความผิดพลาดของตัวเองอย่างใหญ่หลวง ขออภัย
18-19 กรกฎาคม 2507

ความจริงตั้งใจจะเขียน 2007 ตามหมายตารางสัมมนา เลยเอามาจับผสมกันได้เสียนี่
ภาพประจำตัวสมาชิก
Yaileela
Verified User
โพสต์: 373
ผู้ติดตาม: 0

อีกครั้งกับ Blue Ocean Strategy

โพสต์ที่ 7

โพสต์

ขอคราวะให้กับผู้มีน้ำใจดีๆเช่นนี้ด้วยครับ :bow:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Yaileela
Verified User
โพสต์: 373
ผู้ติดตาม: 0

อีกครั้งกับ Blue Ocean Strategy

โพสต์ที่ 8

โพสต์

ขอคราวะให้กับผู้มีน้ำใจดีๆเช่นนี้ด้วยครับ :bow:
qingwen
Verified User
โพสต์: 487
ผู้ติดตาม: 0

อีกครั้งกับ Blue Ocean Strategy

โพสต์ที่ 9

โพสต์

ขอบคุณครับ ได้ยินบ่อยๆ เพิ่งได้อ่านจริงจังก็หนนี้

:bow:  :bow:  :bow:
对不起,请问一下.
存货是什么意思 ?
waluck4
Verified User
โพสต์: 8
ผู้ติดตาม: 0

อีกครั้งกับ Blue Ocean Strategy

โพสต์ที่ 10

โพสต์

ขอบคุณ คุณกูรูขอบสนามมากนะคะที่แบ่งบันความรู้ ดี ๆ นี้
ได้มุมมองใหม่ ๆ ที่ ดีมากค่ะ  :bow:
ลูกไม่ท้อ
Verified User
โพสต์: 421
ผู้ติดตาม: 0

อีกครั้งกับ Blue Ocean Strategy

โพสต์ที่ 11

โพสต์

ขอบคุณครับ
รู้สึกดีๆ
b37skp
Verified User
โพสต์: 274
ผู้ติดตาม: 0

อีกครั้งกับ Blue Ocean Strategy

โพสต์ที่ 12

โพสต์

ขอบคุณครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Muffin
Verified User
โพสต์: 874
ผู้ติดตาม: 0

อีกครั้งกับ Blue Ocean Strategy

โพสต์ที่ 13

โพสต์

วันนั้นผมก็อยู่ในงานสัมมนา...
ฝรั่งนี่ ก็สอนเก่งดีครับ
แต่หมื่นหก ผมว่าก็แพงเหมือนกันครับ สงสัยงกเกิน (ขนาดไปฟรีนะเนี่ย)
"Hope is not a strategy"
ภาพประจำตัวสมาชิก
Muffin
Verified User
โพสต์: 874
ผู้ติดตาม: 0

อีกครั้งกับ Blue Ocean Strategy

โพสต์ที่ 14

โพสต์

หนังสือเล่มล่าสุดของ ck prahalad ก็ไม่เลวนะครับ ใครมาสรุปให้ฟังหน่อยครับ
"Hope is not a strategy"
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

อีกครั้งกับ Blue Ocean Strategy

โพสต์ที่ 15

โพสต์

ใช่เล่ม The Fortune at the Bottom of the Pyramid หรือเปล่า
เคยอ่านแล้วรอบหนึ่ง  มีหนังสืออยู่ที่บ้าน ว่างๆค่อยสรุปให้ฟัง  เพื่อนๆยังไม่ต้องซื้อหรอก เพราะราคาค่อนข้างสูง ( พันกว่าๆ)  Asia Book ขายหนังสือแพงขึ้นทุกวัน  รอซื้อตอนลดราคาเท่านั้น

สัมมนา BOS ครั้งนี้แพงพอควร สงสัยค่าตัวฝรั่งคงมหาศาล
เออ...มีแต่เรื่องแพงๆทั้งนั้นเลยนะ
jezznet
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 25
ผู้ติดตาม: 0

อีกครั้งกับ Blue Ocean Strategy

โพสต์ที่ 16

โพสต์

ขอบคุณมากครับ

มีประโยชน์มาก ๆ เลย
ภาพประจำตัวสมาชิก
Saran
Verified User
โพสต์: 2377
ผู้ติดตาม: 0

อีกครั้งกับ Blue Ocean Strategy

โพสต์ที่ 17

โพสต์

ขอบคุณมากๆ ครับ
เขียนสรุปได้ดีจริงๆ  :cool:
August
Verified User
โพสต์: 510
ผู้ติดตาม: 0

อีกครั้งกับ Blue Ocean Strategy

โพสต์ที่ 18

โพสต์

แบ่งปันความรู้ดีๆแบบนี้  ขอคุณมากๆครับ

:D
ภาพประจำตัวสมาชิก
thumbman2001
Verified User
โพสต์: 7535
ผู้ติดตาม: 0

อีกครั้งกับ Blue Ocean Strategy

โพสต์ที่ 19

โพสต์

thanks for good idea krub
surat2536
Verified User
โพสต์: 90
ผู้ติดตาม: 0

อีกครั้งกับ Blue Ocean Strategy

โพสต์ที่ 20

โพสต์

ขอบคุณมาก ๆ ครับ  :bow:  :bow:  :bow:  :bow:
ภาพประจำตัวสมาชิก
yoyo
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4833
ผู้ติดตาม: 0

อีกครั้งกับ Blue Ocean Strategy

โพสต์ที่ 21

โพสต์

ได้ความรู้มากๆเลยครับ ... ขอบคุณคร้าบบ
การลงทุนที่มีค่าที่สุด คือการลงทุนในความรู้
http://www.yoyoway.com
ภาพประจำตัวสมาชิก
Meeja
Verified User
โพสต์: 333
ผู้ติดตาม: 0

อีกครั้งกับ Blue Ocean Strategy

โพสต์ที่ 22

โพสต์

ขอบคุณครับ
มีหนังสืออยู่ไม่เคยแงะออกมาเลย...
ภาพประจำตัวสมาชิก
Meeja
Verified User
โพสต์: 333
ผู้ติดตาม: 0

อีกครั้งกับ Blue Ocean Strategy

โพสต์ที่ 23

โพสต์

กูรูขอบสนาม เขียน:ใช่เล่ม The Fortune at the Bottom of the Pyramid หรือเปล่า
เคยอ่านแล้วรอบหนึ่ง  มีหนังสืออยู่ที่บ้าน ว่างๆค่อยสรุปให้ฟัง  เพื่อนๆยังไม่ต้องซื้อหรอก เพราะราคาค่อนข้างสูง ( พันกว่าๆ)  Asia Book ขายหนังสือแพงขึ้นทุกวัน  รอซื้อตอนลดราคาเท่านั้น
เล่มนี้เพื่อนบอกว่าเป็นหนังสืออีกเล่มที่นักเรียน MBA อเมริกาอ่านกันเยอะมาก
ดังมาคู่กับ The World Is Flat เลยครับ

ลืมชื่อไปแล้วนะเนี่ย ต้องไปหาทางงัดมาดองแล้วครับ
ลูกอิสาน
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 6447
ผู้ติดตาม: 0

อีกครั้งกับ Blue Ocean Strategy

โพสต์ที่ 24

โพสต์

Meeja เขียน:ขอบคุณครับ
มีหนังสืออยู่ไม่เคยแงะออกมาเลย...
คุณ Meeja หายไปนานมากเลยนะครับ :o
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
ภาพประจำตัวสมาชิก
bigsby111
Verified User
โพสต์: 50
ผู้ติดตาม: 0

อีกครั้งกับ Blue Ocean Strategy

โพสต์ที่ 25

โพสต์

ขอบคุณครับ :D
sunnyvi
Verified User
โพสต์: 186
ผู้ติดตาม: 0

ขอบคุณครับ

โพสต์ที่ 26

โพสต์

ได้ความรู้ดีครับ
เดินให้ถึงจุดหมาย
อย่างมีความสุข
tanapol
Verified User
โพสต์: 919
ผู้ติดตาม: 0

อีกครั้งกับ Blue Ocean Strategy

โพสต์ที่ 27

โพสต์

หนังสือเล่มนี้ซื้อมานานตั้งแต่งานสัปดาห์ฯแล้ว

ยังไม่มีเวลาอ่านสักทีคับ

แต่อ่านเนื้อย่อของพี่กูรูแล้ว...



ฮึ่ม...



ผมว่าไม่ต้องอ่านเล่มเต็มก็ได้มั้ง :lol:

ย่อซะครบ(มั้ง)ขนาดนี้

ขอบคุณมากคับ
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

อีกครั้งกับ Blue Ocean Strategy

โพสต์ที่ 28

โพสต์

tanapol เขียน:หนังสือเล่มนี้ซื้อมานานตั้งแต่งานสัปดาห์ฯแล้ว

ยังไม่มีเวลาอ่านสักทีคับ

แต่อ่านเนื้อย่อของพี่กูรูแล้ว...



ฮึ่ม...



ผมว่าไม่ต้องอ่านเล่มเต็มก็ได้มั้ง :lol:

ย่อซะครบ(มั้ง)ขนาดนี้

ขอบคุณมากคับ

อ่านเถอะครับ เพราะคงมีรายละเอียดอีกมาก
ในเล่มมีบทคาดการณ์ว่า  จะทำอย่างไรให้ BOS  อยู่รอด (sustainable) ไม่ถูกกลบบดบังหรือถูกแซงหน้าจากกลยุทธ์อื่นๆ

สัจธรรมข้อหนึ่ง ไม่มีมีอะไรนิรันดร์ สักวัน ก็ต้องมีแนวคิดทฤษฎีใหม่ๆเข้ามาท้าทาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
owen
Verified User
โพสต์: 89
ผู้ติดตาม: 0

อีกครั้งกับ Blue Ocean Strategy

โพสต์ที่ 29

โพสต์

ขอบคุณครับ
ราคาคือสิ่งที่เราจ่าย แต่มูลค่าคือสิ่งที่เราได้รับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Muffin
Verified User
โพสต์: 874
ผู้ติดตาม: 0

อีกครั้งกับ Blue Ocean Strategy

โพสต์ที่ 30

โพสต์

ใช่ครับ หมายถึง fortune at the bottom of the pyramid ครับ
อาจารย์ CK เป็นคนน่าสนใจมากๆนะครับ

เรื่อง value ที่สร้างจาก มุมของ customer แกพูดไว้ได้ดีมากๆครับ
"Hope is not a strategy"
โพสต์โพสต์