ผมชักเริ่มเห็นของถูกกลับมาเยอะขึ้นอีกแล้วแฮะ

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

ล็อคหัวข้อ
ภาพประจำตัวสมาชิก
mrkool
Verified User
โพสต์: 28
ผู้ติดตาม: 0

ผมชักเริ่มเห็นของถูกกลับมาเยอะขึ้นอีกแล้วแฮะ

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ผมไม่รู้ว่าตลาดเกิดอะไรขึ้นช่วงนี้นะ ไม่น่าจะมีแต่คนขายมากขนาดนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเม็ดเงินจากต่างประเทศที่มีแต่การประโคมข่าวว่าฝรั่งขายเท่านั้นเท่านี้ ทั้งๆ ที่ผมว่าพื้นฐานของหลายๆ บริษัทก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากมายอะไร โอกาสของเหล่า VI ทั้งหลายน่าที่จะมาถึงในเวลาอันใกล้นี้ (เอ หรือมาถึงแล้วหว่า) พวกพี่ๆ คิดว่าไงครับ? ส่วนตัวผมอยากจะรออีกซักหน่อย เผื่อจะมีลดกระหน่ำซัมเมอร์เซลแบบช่วงก่อนหน้านี้ :wink:
Underworld
Verified User
โพสต์: 18
ผู้ติดตาม: 0

ผมชักเริ่มเห็นของถูกกลับมาเยอะขึ้นอีกแล้วแฮะ

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ผมเอง ทยอยรับบางส่วน ครับ
ในตัวที่ พื่นฐานดี
Dr.T
Verified User
โพสต์: 1608
ผู้ติดตาม: 0

ผมชักเริ่มเห็นของถูกกลับมาเยอะขึ้นอีกแล้วแฮะ

โพสต์ที่ 3

โพสต์

หมดเงินช้อนแล้ว :(
มนุษย์เห่อลูก :lol:
http://tyakon.multiply.com
ภาพประจำตัวสมาชิก
champ
Verified User
โพสต์: 1280
ผู้ติดตาม: 0

ผมชักเริ่มเห็นของถูกกลับมาเยอะขึ้นอีกแล้วแฮะ

โพสต์ที่ 4

โพสต์

[quote="Dr.T"]หมดเงินช้อนแล้ว :([/quote]

เหมือนกันเลยครับ
pixel
Verified User
โพสต์: 8
ผู้ติดตาม: 0

ขอสารภาพ

โพสต์ที่ 5

โพสต์

สวิงหมด กระสุนหมด วันนี้ยิงไปนัดสุดท้ายแล้วด้วยครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
edd
Verified User
โพสต์: 325
ผู้ติดตาม: 0

ผมชักเริ่มเห็นของถูกกลับมาเยอะขึ้นอีกแล้วแฮะ

โพสต์ที่ 6

โพสต์

ผมเริ่มเก็บของเพิ่มมาตั้งแต่วันศุกร์ครับ เก็บวันละนิดจิตแจ่มใส ตอนนี้ยังเหลือเงินสดอีกประมาณ 20% ของ Port คงทยอยเก็บไปเรื่อยๆครับ ถ้าได้ราคาเป้าหมาย ทำการบ้านรอมาตั้งนาน ค่อยหายเหนื่อยหน่อยครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา ทิพย์มาบุตร
Verified User
โพสต์: 18
ผู้ติดตาม: 0

เศรษฐศาสตร์จานร้อน : การลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทย

โพสต์ที่ 7

โพสต์

เมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีการรายงานข่าวอย่างแพร่หลาย ใจความว่า บริษัท UBS ริเริ่มปรับลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทย ตามมาด้วยการปรับลดน้ำหนักโดย เมอร์ริล ลินช์ และตามมาด้วยการปรับลดน้ำหนักโดย CSFB ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นโบรกเกอร์ต่างประเทศชั้นนำทั้งสิ้น เป็นผลให้ราคาหุ้นตกต่ำลงไปอีก



รายงานข่าว อ้างแหล่งข่าวที่กล่าวหาว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการ "ทุบหุ้น" ของโบรกเกอร์ต่างประเทศ เพื่อให้นักลงทุนต่างประเทศได้ซื้อหุ้นในราคาถูก โดยอ้างหลักฐานว่า นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อสุทธิเมื่อรายงานดังกล่าวถูกตีพิมพ์ออกมา ต่อมาก็มีการร้องเรียนให้ ก.ล.ต.ติดตามสืบสวนการดำเนินงานดังกล่าวของโบรกเกอร์ต่างประเทศว่า เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องหรือไม่

กระแสดังกล่าวแผ่วลงแล้ว เมื่อปรากฏนักลงทุนต่างประเทศยังขายสุทธิอย่างต่อเนื่อง โดยในสัปดาห์แรกของเดือนมีนาคม (1-10 มีนาคม) นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 5,000 ล้านบาท หรือประมาณ 600 ล้านบาทต่อวัน

แต่ที่ผมแปลกใจ คือ หนังสือพิมพ์ไทยและนักลงทุนไทยหลายคน เชื่อตามกันว่า นักวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ชั้นนำของโลก จะแกล้งวิเคราะห์ว่า ควรลดน้ำหนัก การลงทุนในไทย แต่ที่จริงแล้วแอบไปบอกให้นักลงทุนต่างประเทศเข้าช้อนซื้อหุ้น เมื่อการวิเคราะห์ทำให้รายย่อยตื่นตระหนก และเทขายหุ้นออกมาในราคาถูก

ความเชื่อดังกล่าว แสดงให้เห็นถึง การขาดความเข้าใจในการดำเนินธุรกิจในตลาดทุน เพราะหากนักวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ชั้นนำ ออกบทวิเคราะห์มาสู่สาธารณชน และแนะนำให้ขายหุ้น แต่นักลงทุนกลับทำตรงกันข้าม ผมรับรองได้เลยว่า นักวิเคราะห์คนนั้น จะยังเป็นนักวิเคราะห์ได้อีกไม่นาน เพราะเขาจะต้องถูกปลดออกจากตำแหน่งแน่นอน เนื่องจากการวิเคราะห์ของเขาไม่มีคุณค่า และไม่น่าเชื่อถือ

ความแม่นยำและความน่าเชื่อถือของบทวิเคราะห์ เป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของนักวิเคราะห์ ไม่มีนักวิเคราะห์คนใด อยากวิเคราะห์ผิด (จึงมีนักวิเคราะห์หลายคนไม่กล้าวิเคราะห์แบบฟันธง เพราะต้องการความยืดหยุ่นที่จะพูดแก้ตัวได้ในภายหลัง ว่าเขาไม่ได้วิเคราะห์ผิด) เพราะหากวิเคราะห์ผิดติดต่อกัน ก็จะไม่มีใครเชื่อถือบทวิเคราะห์ ทำให้นักวิเคราะห์คนนั้น จะต้องจบอาชีพลง

สำหรับบริษัทโบรกเกอร์ก็ไม่ต้องการนักวิเคราะห์ที่วิเคราะห์ผิด เพราะในอนาคต หากธุรกิจสาขาดังกล่าวมีบริษัทใหม่ จะมาเข้าระดมทุนในตลาด โบรกเกอร์จะเสนอตัวไปทำการกระจายหุ้นให้กับบริษัทดังกล่าวไม่ได้ เพราะการประเมินศักยภาพของบริษัท ตลอดจนการกำหนดราคาหุ้นที่ถูกต้องเหมาะสม จะต้องพึ่งพานักวิเคราะห์ที่มีความสามารถในการวิเคราะห์ให้ถูกต้อง และเป็นที่น่าเชื่อถือของนักลงทุน ไม่ใช่วิเคราะห์ว่าหุ้นแพง (จึงต้องขาย) ทั้งๆ ที่หุ้นถูก นักลงทุนจึงอยากซื้อเพิ่ม

สรุปคือ หากพิจารณาให้ดีแล้ว จะเห็นทันทีว่า ข้อกล่าวหา ว่าโบรกเกอร์แกล้งวิเคราะห์ผิด เพื่อทุบหุ้นนั้น เป็นสิ่งที่ไร้ด้วยเหตุผล

และหวังว่า นักลงทุนจะไตร่ตรองข้อกล่าวหาต่างๆ ให้รอบคอบกว่านี้ เพื่อประโยชน์ในการลงทุนของตัวเอง และที่สำคัญคือ เมื่อมีการรายงานข่าวที่ทำให้ตื่นตระหนก นักลงทุนก็ควรจะรวบรวมสติแล้วไปอ่านบทวิเคราะห์ที่ถูกอ้างอิงให้ละเอียดถี่ถ้วนเสียก่อน

ซึ่งผมยอมรับว่า เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ยากลำบากสำหรับนักลงทุนรายย่อย เพราะการวิเคราะห์จะเป็นภาษาอังกฤษ และมีความสลับซับซ้อน เพราะเป็นการวิเคราะห์ที่ทำให้ผู้เชี่ยวชาญที่เป็นผู้จัดการกองทุนสถาบันเป็นผู้อ่าน นอกจากนั้น การแจกจ่ายบทวิเคราะห์ดังกล่าว มักจะกระทำในขอบเขตที่จำกัดอีกด้วย

ในส่วนของบทวิเคราะห์โบรกเกอร์อื่นนั้น ผมไม่อยู่ในฐานะที่จะนำมาสรุปให้อ่านได้ แต่สำหรับบทวิเคราะห์ เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ที่เขียนโดย Spencer White ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนของเมอร์ริล ลินช์ ในภูมิภาคเอเชียนั้น ผมยินดีนำมาสรุปให้ทราบดังนี้ครับ

1. เมอร์ริล ลินช์ เห็นว่า หุ้นไทยนั้น ราคาจะไม่ปรับเพิ่มขึ้น มากกว่าตลาดอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชีย จึงแนะนำให้ลดน้ำหนักการลงทุนมาเท่ากับเกณฑ์ปกติและนำเงินที่ถอนออกจากไทยไปลงทุนที่มาเลเซีย เพราะปัจจัยเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งขึ้น แนวโน้มการขยายตัวของรายได้ในบริษัทขนาดกลาง นโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรีคนใหม่ และความเป็นไปได้ที่มาเลเซียจะปล่อยให้ค่าเงินริงกิตลอยตัว จะทำให้ราคาหุ้นมาเลเซียมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าหุ้นไทย

2. เมอร์ริล ลินช์ มีความมั่นใจในความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจไทย แต่ข่าวดีต่างๆ ได้เข้าไปอยู่ในราคาหุ้นหมดแล้ว และมองไม่เห็นว่าจะมีข่าวดีอะไรเพิ่มเติมที่ตลาดยังไม่ได้รับทราบ (อย่าลืมว่า การซื้อหุ้น คือ การซื้อนาคตที่สดใสเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้)

3. นอกจากนั้น เครื่องมือวัดทางเทคนิคต่างๆ แสดงให้เห็นว่า หุ้นไทยอยู่ในสภาวะ Overbought เช่น มูลค่าตลาดที่มีสัดส่วนสูงมาก เมื่อเทียบกับสภาพคล่อง (วัดจาก M1) การที่ตลาดหุ้นไทยจะยังมีการนำหุ้นใหม่เข้าตลาด เพื่อระดมทุนเพิ่มอีกเป็นร้อยบริษัท และสถิติช่วง 15 ปีที่ผ่านมา ซึ่งพบว่าตลาดหุ้นไทยไม่เคยปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกันได้มากกว่า 3 ปี เนื่องจากหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกันมาตั้งแต่ปี 2001, 2002 และ 2003 จึงไม่น่าจะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีกมากนักในปี 2004

แนวทางการวิเคราะห์ของ Spencer White อาจจะถูกหรือผิด เป็นการคาดการณ์ของเขาโดยเขาจะต้องเอาความน่าเชื่อถือของเขาไปเดิมพัน หากหุ้นไทยปรับตัวขึ้นดีกว่าหุ้นมาเลเซีย นักลงทุนก็จะเชื่อเขาน้อยลงในการวิเคราะห์ครั้งต่อไป

สำหรับบริษัทหลักทรัพย์ ภัทร นั้น เรายังยืนยันการคาดการณ์ ว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์จะขึ้นไปถึง 860 ในปลายปีนี้ ซึ่งเป็นการคาดการณ์ที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ของโบรกเกอร์ส่วนใหญ่ แต่ก็ยังให้ผลตอบแทนที่สูง สำหรับนักลงทุนไทย เพราะการลงทุนประเภทอื่น ที่ให้ผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยนั้น น่าจะต่ำกว่าการลงทุนในหุ้น (แต่ก็ต้องเข้าใจถึงความเสี่ยงและความผันผวนของการลงทุนในหุ้นด้วย)

ข้อมูลการวิเคราะห์ตลาดหุ้น และตัวหุ้นของไทยที่บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จัดทำนั้น จะถูกนำไปตีพิมพ์เป็นบทวิเคราะห์ของเมอร์ริล ลินช์ ในการนำเสนอนักลงทุนต่างประเทศทั่วโลก และเป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับนักวิเคราะห์ของเมอร์ริล ลินช์ นำไปใช้ในการแนะนำการลงทุน เช่นที่ Spencer White นำไปใช้ในการตัดสินใจว่า สมควรลดน้ำหนักการลงทุนในประเทศไทย ทั้งๆ ที่ปัจจัยพื้นฐานยังแข็งแกร่ง เพราะเขาเห็นว่า การนำเงินไปลงทุนในตลาดอื่นๆ จะให้ผลตอบแทนมากกว่าไทยครับ
"ข้าพเจ้าอาจถูกตีกรอบอยู่ในเปลือกนัท และถือตนเป็นกษัตริย์แห่งอวกาศไม่สิ้นสุด..."
nita
Verified User
โพสต์: 32
ผู้ติดตาม: 0

ผมชักเริ่มเห็นของถูกกลับมาเยอะขึ้นอีกแล้วแฮะ

โพสต์ที่ 8

โพสต์

edd เขียน:ผมเริ่มเก็บของเพิ่มมาตั้งแต่วันศุกร์ครับ เก็บวันละนิดจิตแจ่มใส ตอนนี้ยังเหลือเงินสดอีกประมาณ 20% ของ Port คงทยอยเก็บไปเรื่อยๆครับ ถ้าได้ราคาเป้าหมาย ทำการบ้านรอมาตั้งนาน ค่อยหายเหนื่อยหน่อยครับ

พี่ครับผมขอกู้เงินมั่งซิครับ อยากช้อนมั่ง ของถูกเพียบครับ แต่ไม่มีตัง แง ๆ ๆ ๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
mrkool
Verified User
โพสต์: 28
ผู้ติดตาม: 0

ผมชักเริ่มเห็นของถูกกลับมาเยอะขึ้นอีกแล้วแฮะ

โพสต์ที่ 9

โพสต์

คุณปรัชญาวิเคราะห์เยี่ยมมากฮะ ผมเห็นด้วยเลยนะว่าโบรกเกอร์ต่างประเทศคงไม่ออกบทวิเคราะห์เพียงเพื่อต้องการจะทุบหุ้น แต่ที่ผมแปลกใจก็คือ การซื้อขายของฝรั่งไม่น่าที่จะมีผลต่อตลาดมากขนาดนี้ เพราะมีส่วนร่วมแค่ 20-25% เท่านั้น
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา ทิพย์มาบุตร
Verified User
โพสต์: 18
ผู้ติดตาม: 0

่อ่าคือ ไปลอกเค้ามาให้อ่านกันครับ

โพสต์ที่ 10

โพสต์

ลองเอาอ่านกันดู -__-"
"ข้าพเจ้าอาจถูกตีกรอบอยู่ในเปลือกนัท และถือตนเป็นกษัตริย์แห่งอวกาศไม่สิ้นสุด..."
ล็อคหัวข้อ