VI mutant
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
VI mutant
โพสต์ที่ 1
สมมติว่าเราใช้ปัจจัยพื้นฐานเลือกหุ้นที่แข็งแกร่งมาสักตัวนึง ประมาณว่าคิดว่าดีที่สุดในตลาดหุ้นไทย โดยที่หุ้นนี้ต้องเป็นหุ้นที่ราคามีการแกว่งตัวพอสมควร...
จากนั้นก็เลิกสนใจหุ้นตัวอื่น มาตามข่าวหุ้นตัวนี้ตัวเดียวอย่างหนัก
แล้วเราก็หากินด้วยการเทรดหุ้นตัวนี้ไปเรื่อยๆ โดยการเล่นรอบ
เนื่องจากเราตัวนี้ตลอดอย่างหนักเราย่อมรู้ดีกว่าคนทั่วไป เหมือนจะเป็นเจ้ามือกลายๆ
เป็นการผสมผสานระหว่าง VI กับการเป็น เทรดเดอร์ คิดว่าวิธีนี้เป็นงั้ยครับ
จากนั้นก็เลิกสนใจหุ้นตัวอื่น มาตามข่าวหุ้นตัวนี้ตัวเดียวอย่างหนัก
แล้วเราก็หากินด้วยการเทรดหุ้นตัวนี้ไปเรื่อยๆ โดยการเล่นรอบ
เนื่องจากเราตัวนี้ตลอดอย่างหนักเราย่อมรู้ดีกว่าคนทั่วไป เหมือนจะเป็นเจ้ามือกลายๆ
เป็นการผสมผสานระหว่าง VI กับการเป็น เทรดเดอร์ คิดว่าวิธีนี้เป็นงั้ยครับ
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1067
- ผู้ติดตาม: 0
VI mutant
โพสต์ที่ 2
ผมก็จดจดจ้องจ้องวิธีนี้อยู่ครับ
แต่ว่าใจไม่กล้าพอ
ถ้าเป็นลักษณะที่ผมคิด
คือกรณีที่ไม่มีการเติมเงินลงไป (ผมไม่มีตัง)
ก็คงเป็นการ Short Port
ที่คิดเพราะต้องการเอาการขึ้นลงของราคา
มาใช้ไห้เป็นประโยชน์
แต่กังวลอยู่สองกรณีครับในตอนนี้
1. หากขาย (ในจุดที่คิดว่าเป็นจุดสูงสุดของรอบ) แล้วราคามันดันขึ้นซะนิ
เราจะยินดีซื้อคืนเมื่อไหร่ และที่มูลค่าระดับไหน คงต้องใช้วิธีตั้งเกณฑ์เอา
สำหรับกรณีนี้โดยเฉพาะ โดยมีเกณฑ์ 2 ตัวครับ คือวัดจาก % of loss
หรือวัดจาก % ของผลกำไรสะสมที่เคยทำได้จากการ Short ครับ
แต่เกณฑ์หลัง หากขาดทุนบ่อย ๆ เข้า เกณฑ์จะยิ่งบีบให้เราต้องรีบซื้อคืนครับ
2. หากขาย แล้วราคาลงจริง แต่รอเป็นนานสองนานแล้ว
ก็ยังไม่ได้ราคาที่ Cover ค่าคอมฯซะที ตรงกรณีนี้ยังคิดเกณฑ์การซื้อคืนไม่ออกครับ
แต่ว่าใจไม่กล้าพอ
ถ้าเป็นลักษณะที่ผมคิด
คือกรณีที่ไม่มีการเติมเงินลงไป (ผมไม่มีตัง)
ก็คงเป็นการ Short Port
ที่คิดเพราะต้องการเอาการขึ้นลงของราคา
มาใช้ไห้เป็นประโยชน์
แต่กังวลอยู่สองกรณีครับในตอนนี้
1. หากขาย (ในจุดที่คิดว่าเป็นจุดสูงสุดของรอบ) แล้วราคามันดันขึ้นซะนิ
เราจะยินดีซื้อคืนเมื่อไหร่ และที่มูลค่าระดับไหน คงต้องใช้วิธีตั้งเกณฑ์เอา
สำหรับกรณีนี้โดยเฉพาะ โดยมีเกณฑ์ 2 ตัวครับ คือวัดจาก % of loss
หรือวัดจาก % ของผลกำไรสะสมที่เคยทำได้จากการ Short ครับ
แต่เกณฑ์หลัง หากขาดทุนบ่อย ๆ เข้า เกณฑ์จะยิ่งบีบให้เราต้องรีบซื้อคืนครับ
2. หากขาย แล้วราคาลงจริง แต่รอเป็นนานสองนานแล้ว
ก็ยังไม่ได้ราคาที่ Cover ค่าคอมฯซะที ตรงกรณีนี้ยังคิดเกณฑ์การซื้อคืนไม่ออกครับ
... จุดเริ่มต้นของคนเราไม่สำคัญ
มันสำคัญที่ว่าเขาวิ่งได้เร็วแค่ไหนตะหาก ...
มันสำคัญที่ว่าเขาวิ่งได้เร็วแค่ไหนตะหาก ...
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
VI mutant
โพสต์ที่ 3
ข้อนี้ใช้วิธีไม่มีการขายหมดได้มั้ยครับ ยังไงต้องเหลือติดพอร์ตไว้จำนวนหนึ่งเสมอ เพราะยังไงเสียก็คัดสรรมาแล้วว่าเป็นหุ้นดีCapo เขียน:
1. หากขาย (ในจุดที่คิดว่าเป็นจุดสูงสุดของรอบ) แล้วราคามันดันขึ้นซะนิ
เราจะยินดีซื้อคืนเมื่อไหร่ และที่มูลค่าระดับไหน คงต้องใช้วิธีตั้งเกณฑ์เอา
สำหรับกรณีนี้โดยเฉพาะ โดยมีเกณฑ์ 2 ตัวครับ คือวัดจาก % of loss
หรือวัดจาก % ของผลกำไรสะสมที่เคยทำได้จากการ Short ครับ
แต่เกณฑ์หลัง หากขาดทุนบ่อย ๆ เข้า เกณฑ์จะยิ่งบีบให้เราต้องรีบซื้อคืนครับ
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1067
- ผู้ติดตาม: 0
VI mutant
โพสต์ที่ 4
คิดว่าได้ครับพี่......
ผมไม่ได้คิดเผื่อกรณีนี้ไว้ครับ
เพราะว่าพอร์ทผมมันมินิมดมากครับ :lol:
เดี๋ยวจะไม่ถึงเกณฑ์ขั้นต่ำของโบรก
หรือว่าจะไปใช้บัญชีแบบ pre-paid ดีแฮะครับ
ผมไม่ได้คิดเผื่อกรณีนี้ไว้ครับ
เพราะว่าพอร์ทผมมันมินิมดมากครับ :lol:
เดี๋ยวจะไม่ถึงเกณฑ์ขั้นต่ำของโบรก
หรือว่าจะไปใช้บัญชีแบบ pre-paid ดีแฮะครับ
... จุดเริ่มต้นของคนเราไม่สำคัญ
มันสำคัญที่ว่าเขาวิ่งได้เร็วแค่ไหนตะหาก ...
มันสำคัญที่ว่าเขาวิ่งได้เร็วแค่ไหนตะหาก ...
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 9795
- ผู้ติดตาม: 0
VI mutant
โพสต์ที่ 5
สามารถทำได้ครับ แต่ผลตอบแทนจะดีกว่า Buy & Hold รึปล่า
ยังเป็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวางครับ
การเล่นแบบพี่สุมาอี้ว่า เป็นเทคนิกที่ใช้ trading systems
เข้ามาช่วยในการ maximize profits ซึ่งมีข้อดีและมีข้อเสีย
วิธีการของคุณเด่นศรี (DSM) ก็นับเป็นแนวทางหนึ่งที่น่าสนใจ
การใช้ turtle trading มาประยุกต์ ก็ดูแล้วค่อนข้างได้ผลดี
อย่างผมเคยทำกับ BANPU พบว่าถ้าใช้สัญญาณที่ถูกต้อง
สามารถทำกำไรเพิ่มจาก Buy @ Lowest and Hold
เพิ่มขึ้นราวๆ 5-6% ต่อปีทีเดียวครับ
แต่ที่น่าเป็นห่วงเล็กน้อย คือสัญญาณที่ว่า
จะยังใช้ได้ต่อไปในอนาคตหรือไม่...
ยังเป็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวางครับ
การเล่นแบบพี่สุมาอี้ว่า เป็นเทคนิกที่ใช้ trading systems
เข้ามาช่วยในการ maximize profits ซึ่งมีข้อดีและมีข้อเสีย
วิธีการของคุณเด่นศรี (DSM) ก็นับเป็นแนวทางหนึ่งที่น่าสนใจ
การใช้ turtle trading มาประยุกต์ ก็ดูแล้วค่อนข้างได้ผลดี
อย่างผมเคยทำกับ BANPU พบว่าถ้าใช้สัญญาณที่ถูกต้อง
สามารถทำกำไรเพิ่มจาก Buy @ Lowest and Hold
เพิ่มขึ้นราวๆ 5-6% ต่อปีทีเดียวครับ
แต่ที่น่าเป็นห่วงเล็กน้อย คือสัญญาณที่ว่า
จะยังใช้ได้ต่อไปในอนาคตหรือไม่...
-
- Verified User
- โพสต์: 1067
- ผู้ติดตาม: 0
VI mutant
โพสต์ที่ 7
ถ้าอย่างนี้
จำเป็นต้องมีวิชา Technical เป็นมีดสั้นประจำกายด้วยฤาเปล่าครับ
หรือว่าอาศัยความคุ้ยเคยกับการเคลื่อนไหวของราคาก็เพียงพอ
ถ้าอาศัยแต่อย่างหลังเพียงอย่างเดียว จะอันตรายไปไหมครับ
จำเป็นต้องมีวิชา Technical เป็นมีดสั้นประจำกายด้วยฤาเปล่าครับ
หรือว่าอาศัยความคุ้ยเคยกับการเคลื่อนไหวของราคาก็เพียงพอ
ถ้าอาศัยแต่อย่างหลังเพียงอย่างเดียว จะอันตรายไปไหมครับ
... จุดเริ่มต้นของคนเราไม่สำคัญ
มันสำคัญที่ว่าเขาวิ่งได้เร็วแค่ไหนตะหาก ...
มันสำคัญที่ว่าเขาวิ่งได้เร็วแค่ไหนตะหาก ...
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
VI mutant
โพสต์ที่ 8
ผมว่าต้องอาศัยการติดตามข่าวของบริษัทนั้นอย่างใกล้ชิดด้วย
บางทีช่วงไหนตามข่าวบริษัทหนึ่งอย่างใกล้ชิดมากๆ จะค่อนข้างเข้าใจได้เลยว่าราคาไหนซื้อได้ ราคาไหนซื้อไม่ได้ ราคาไหนวิ่งมาแรงเกินไปในระยะสั้น
บางทีช่วงไหนตามข่าวบริษัทหนึ่งอย่างใกล้ชิดมากๆ จะค่อนข้างเข้าใจได้เลยว่าราคาไหนซื้อได้ ราคาไหนซื้อไม่ได้ ราคาไหนวิ่งมาแรงเกินไปในระยะสั้น
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1211
- ผู้ติดตาม: 0
VI mutant
โพสต์ที่ 10
ผมอยากแชร์แนวทางการ trade แบบนี้เล็กน้อยนะครับ
1. มีหุ้นบางตัวที่อ่อนไหวต่อดัชนีตลาดมากๆ วันใดตลาดปักหัวลงหุ้นประเภทนี้จะลงก่อนเพื่อนอย่างชัดเจน ส่วนวันใดที่ตลาดมีข่าว ดัชนีวิ่งขึ้นติดๆกัน หุ้นพวกนี้ก็จะวิ่งขึ้นก่อนเพื่อนเช่นกัน
2. ลักษณะแบบนี้ทำให้เราคาดการณ์พฤติกรรมของหุ้นโดยอิงกับการดูข่าวดี ข่าวร้าย (ซึ่งบางทีจะมีหรือไม่มีเหตุผลก็ได้)
3. ยามใดที่ดัชนีตกอย่างรุนแรงเป็น 10 จุดขึ้นไป เราเข้าซื้อเต็มตัว
4. หยุดแค่นั้นไม่ต้องติดตามอะไร
5. ยามใดที่เราได้ยินข่าวดี ดัชนีปรับตัวสูงขึ้นเป็น 10 จุดขึ้นไป หรือปรับขึ้นติดๆกันหลายวัน เราจึงเอาออกมาขาย โดยการขายเราจะมีกำไรที่เราอยากได้ ซึ่งส่วนตัวก็ประมาณ 14%-15%
6. แม้หุ้นประเภทนี้อาจไม่ใช่หุ้นที่เรียกว่าเป็น VI แต่บางตัวก็เป็นหุ้นที่มีคุณภาพดี เป็นผู้นำตลาด และมีปันผลสม่ำเสมอด้วย
7. กลยุทธแบบนี้ต้องอาศัยใจเย็นๆ เข้าให้ถูกจังหวะ เข้าเฉพาะวันที่เราคิดว่า ตลาดวิกฤติจริงๆเท่านั้น เช่นช่วงต้นๆปีที่ลงทีเดียวหลายสิบจุด เพราะต้องจำไว้ว่า "มีถูกแล้วย่อมมีถูกกว่า" ดังนั้นบางปีอาจจะซื้อขายได้แค่ รอบ-สองรอบ เท่านั้น แต่ถ้าใจเย็นพอแล้วเข้ารอบถึงสองรอบต่อปีแบบไม่พลาด นั่นหมายถึงผลตอบแทน 15%-30% ต่อปี ไม่น้อยเลยนะครับ
เป็นอย่างไรบ้างครับ มีอะไรที่ผมมองข้ามไป หรืออยากแนะนำเพิ่มเติม โปรดชี้แนะด้วยครับ ส่วนตัวผมเล่นแบบนี้มา 3 รอบแล้วครับ ซึ่งก็ได้ผลดีทีเดียว สิ่งเดียวที่น่าหงุดหงิดก็คือ ต้องนั่งเฝ้าคอยดูว่า เมื่อไหร่หุ้นจะตกแบบกราวรูดแบบวิกฤติสุดๆน้อออออ ....
1. มีหุ้นบางตัวที่อ่อนไหวต่อดัชนีตลาดมากๆ วันใดตลาดปักหัวลงหุ้นประเภทนี้จะลงก่อนเพื่อนอย่างชัดเจน ส่วนวันใดที่ตลาดมีข่าว ดัชนีวิ่งขึ้นติดๆกัน หุ้นพวกนี้ก็จะวิ่งขึ้นก่อนเพื่อนเช่นกัน
2. ลักษณะแบบนี้ทำให้เราคาดการณ์พฤติกรรมของหุ้นโดยอิงกับการดูข่าวดี ข่าวร้าย (ซึ่งบางทีจะมีหรือไม่มีเหตุผลก็ได้)
3. ยามใดที่ดัชนีตกอย่างรุนแรงเป็น 10 จุดขึ้นไป เราเข้าซื้อเต็มตัว
4. หยุดแค่นั้นไม่ต้องติดตามอะไร
5. ยามใดที่เราได้ยินข่าวดี ดัชนีปรับตัวสูงขึ้นเป็น 10 จุดขึ้นไป หรือปรับขึ้นติดๆกันหลายวัน เราจึงเอาออกมาขาย โดยการขายเราจะมีกำไรที่เราอยากได้ ซึ่งส่วนตัวก็ประมาณ 14%-15%
6. แม้หุ้นประเภทนี้อาจไม่ใช่หุ้นที่เรียกว่าเป็น VI แต่บางตัวก็เป็นหุ้นที่มีคุณภาพดี เป็นผู้นำตลาด และมีปันผลสม่ำเสมอด้วย
7. กลยุทธแบบนี้ต้องอาศัยใจเย็นๆ เข้าให้ถูกจังหวะ เข้าเฉพาะวันที่เราคิดว่า ตลาดวิกฤติจริงๆเท่านั้น เช่นช่วงต้นๆปีที่ลงทีเดียวหลายสิบจุด เพราะต้องจำไว้ว่า "มีถูกแล้วย่อมมีถูกกว่า" ดังนั้นบางปีอาจจะซื้อขายได้แค่ รอบ-สองรอบ เท่านั้น แต่ถ้าใจเย็นพอแล้วเข้ารอบถึงสองรอบต่อปีแบบไม่พลาด นั่นหมายถึงผลตอบแทน 15%-30% ต่อปี ไม่น้อยเลยนะครับ
เป็นอย่างไรบ้างครับ มีอะไรที่ผมมองข้ามไป หรืออยากแนะนำเพิ่มเติม โปรดชี้แนะด้วยครับ ส่วนตัวผมเล่นแบบนี้มา 3 รอบแล้วครับ ซึ่งก็ได้ผลดีทีเดียว สิ่งเดียวที่น่าหงุดหงิดก็คือ ต้องนั่งเฝ้าคอยดูว่า เมื่อไหร่หุ้นจะตกแบบกราวรูดแบบวิกฤติสุดๆน้อออออ ....
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
VI mutant
โพสต์ที่ 13
Belffet เขียน:ผมอยากแชร์แนวทางการ trade แบบนี้เล็กน้อยนะครับ
1. มีหุ้นบางตัวที่อ่อนไหวต่อดัชนีตลาดมากๆ วันใดตลาดปักหัวลงหุ้นประเภทนี้จะลงก่อนเพื่อนอย่างชัดเจน ส่วนวันใดที่ตลาดมีข่าว ดัชนีวิ่งขึ้นติดๆกัน หุ้นพวกนี้ก็จะวิ่งขึ้นก่อนเพื่อนเช่นกัน
2. ลักษณะแบบนี้ทำให้เราคาดการณ์พฤติกรรมของหุ้นโดยอิงกับการดูข่าวดี ข่าวร้าย (ซึ่งบางทีจะมีหรือไม่มีเหตุผลก็ได้)
3. ยามใดที่ดัชนีตกอย่างรุนแรงเป็น 10 จุดขึ้นไป เราเข้าซื้อเต็มตัว
4. หยุดแค่นั้นไม่ต้องติดตามอะไร
5. ยามใดที่เราได้ยินข่าวดี ดัชนีปรับตัวสูงขึ้นเป็น 10 จุดขึ้นไป หรือปรับขึ้นติดๆกันหลายวัน เราจึงเอาออกมาขาย โดยการขายเราจะมีกำไรที่เราอยากได้ ซึ่งส่วนตัวก็ประมาณ 14%-15%
6. แม้หุ้นประเภทนี้อาจไม่ใช่หุ้นที่เรียกว่าเป็น VI แต่บางตัวก็เป็นหุ้นที่มีคุณภาพดี เป็นผู้นำตลาด และมีปันผลสม่ำเสมอด้วย
7. กลยุทธแบบนี้ต้องอาศัยใจเย็นๆ เข้าให้ถูกจังหวะ เข้าเฉพาะวันที่เราคิดว่า ตลาดวิกฤติจริงๆเท่านั้น เช่นช่วงต้นๆปีที่ลงทีเดียวหลายสิบจุด เพราะต้องจำไว้ว่า "มีถูกแล้วย่อมมีถูกกว่า" ดังนั้นบางปีอาจจะซื้อขายได้แค่ รอบ-สองรอบ เท่านั้น แต่ถ้าใจเย็นพอแล้วเข้ารอบถึงสองรอบต่อปีแบบไม่พลาด นั่นหมายถึงผลตอบแทน 15%-30% ต่อปี ไม่น้อยเลยนะครับ
เป็นอย่างไรบ้างครับ มีอะไรที่ผมมองข้ามไป หรืออยากแนะนำเพิ่มเติม โปรดชี้แนะด้วยครับ ส่วนตัวผมเล่นแบบนี้มา 3 รอบแล้วครับ ซึ่งก็ได้ผลดีทีเดียว สิ่งเดียวที่น่าหงุดหงิดก็คือ ต้องนั่งเฝ้าคอยดูว่า เมื่อไหร่หุ้นจะตกแบบกราวรูดแบบวิกฤติสุดๆน้อออออ ....
น่าสนใจครับ ควรเป็นบริษัทที่เราแน่ใจว่ากำไรเขาน่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในระยะยาว และโอกาสในการล้มละลายมีน้อย
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
- tattoo_thai
- Verified User
- โพสต์: 291
- ผู้ติดตาม: 0
VI mutant
โพสต์ที่ 14
ทำไมต้องซื้อขายช่วงนี้ด้วยละครับ หรือว่ามีสถิติว่าการซื้อขายช่วงนี้ดีที่สุด น่าสนใจครับ- ช่วงเวลา (เช่น ขายหลังปันผล ซื้อคืนกันยา)
- bmw2681
- Verified User
- โพสต์: 710
- ผู้ติดตาม: 0
VI mutant
โพสต์ที่ 18
ผมว่า วิธีนี้ไม่เวิร์คน่ะครับ เคยลองทำแล้ว โอกาสเสียหุ้นเยอะมาก ค่อยๆสะสมเงิน แล้วซื้อเพิ่มในหุ้นที่มั่นใจ ดีกว่ามั้งครับ
Every passing minute is a chance to turn it all around
http://bmw2681.wordpress.com
http://bmw2681.wordpress.com
-
- Verified User
- โพสต์: 1211
- ผู้ติดตาม: 0
VI mutant
โพสต์ที่ 20
ตอบ คุณ cwiboon (ถ้าถามถึงผมนะครับ)
อย่างที่เรียนว่าหุ้นพวกนี้ เวลามีข่าวดีก็วิ่งทันใจ เวลาข่าวร้ายก็กระอักเหมือนกัน
กรณีที่คุณ cwiboon พูดจึงเป็นกรณีที่เรา "ขายหมู" นั่นเอง ซึ่งผมว่าโอเคนะครับ ไม่เป็นปัญหาเท่าไหร่ นั่นเพราะตอนเราขายนั้นเราขายที่ระดับราคาที่เราคาดหมายไว้แล้วคือราว 15% ซึ่งผมเชื่อว่าสามารถขายตอนราคาสูงที่สุดได้ตลอด ขอเพียงราคาที่เราขายนั้นเป็นราคาที่เราโอเคกับผลตอบแทนก็พอครับ
หลังจากนั้น เมื่อเราถือเงินสด ก็ไม่ต้องไปสนใจราคาหุ้นแล้วล่ะครับ ฟุ้งซ่านเปล่าๆ เอาเวลาไปจับตาดูดัชนี ดูข่าวร้ายของตลาดที่มักจะเกิดขึ้นเสมอๆ ยามใดที่ดัชนีตกแบบกราวรูด 10-20 จุด ก็ค่อยเข้าซื้อใหม่ครับ
นอกนั้นก็เป็นเทคนิคส่วนตัวครับ เพราะว่า "มีถูกแล้ว ย่อมมีถูกกว่า" เวลาเข้าก็ขอให้แน่ใจจริงๆนะครับว่าช่วงนั้นตลาดย่ำแย่จริงๆ ตกจนไม่น่าจะตกกว่านี้แล้ว (ถึงแม้เรา็คงไปเข้าซื้อตอนมันตกต่ำที่สุดไม่ได้ทุกครั้งเช่นกันก็ตาม)
หรือจะใช้ DSM ผสมเข้าไปด้วยก็คงได้นะครับ แต่ผมไม่ถนัด DSM เลยเข้าๆออกๆอยู่อย่างนี้ ปีนึงก็ 2-3 รอบน่ะครับ
อย่างที่เรียนว่าหุ้นพวกนี้ เวลามีข่าวดีก็วิ่งทันใจ เวลาข่าวร้ายก็กระอักเหมือนกัน
กรณีที่คุณ cwiboon พูดจึงเป็นกรณีที่เรา "ขายหมู" นั่นเอง ซึ่งผมว่าโอเคนะครับ ไม่เป็นปัญหาเท่าไหร่ นั่นเพราะตอนเราขายนั้นเราขายที่ระดับราคาที่เราคาดหมายไว้แล้วคือราว 15% ซึ่งผมเชื่อว่าสามารถขายตอนราคาสูงที่สุดได้ตลอด ขอเพียงราคาที่เราขายนั้นเป็นราคาที่เราโอเคกับผลตอบแทนก็พอครับ
หลังจากนั้น เมื่อเราถือเงินสด ก็ไม่ต้องไปสนใจราคาหุ้นแล้วล่ะครับ ฟุ้งซ่านเปล่าๆ เอาเวลาไปจับตาดูดัชนี ดูข่าวร้ายของตลาดที่มักจะเกิดขึ้นเสมอๆ ยามใดที่ดัชนีตกแบบกราวรูด 10-20 จุด ก็ค่อยเข้าซื้อใหม่ครับ
นอกนั้นก็เป็นเทคนิคส่วนตัวครับ เพราะว่า "มีถูกแล้ว ย่อมมีถูกกว่า" เวลาเข้าก็ขอให้แน่ใจจริงๆนะครับว่าช่วงนั้นตลาดย่ำแย่จริงๆ ตกจนไม่น่าจะตกกว่านี้แล้ว (ถึงแม้เรา็คงไปเข้าซื้อตอนมันตกต่ำที่สุดไม่ได้ทุกครั้งเช่นกันก็ตาม)
หรือจะใช้ DSM ผสมเข้าไปด้วยก็คงได้นะครับ แต่ผมไม่ถนัด DSM เลยเข้าๆออกๆอยู่อย่างนี้ ปีนึงก็ 2-3 รอบน่ะครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 84
- ผู้ติดตาม: 0
VI mutant
โพสต์ที่ 23
แบบนี้ถ้าเรากะจะเล่นรอบ
แล้วเข้าไปซื้อ แล้วราคามันเกิดดิ่งลง
เราจะกล้า cutloss มั้ยครับ (หลักเก็งกำไร)
หรือว่าจะซื้อเพิ่ม (หลัก vi)
คือผมรู้สึกว่าวิธีนี้มันก็เหมือนการเก็งกำไรอย่างนึง
เพียงแต่อาจเป็นการเก็งกำไรระยะกลาง + มีพื้นฐานหุ้นรองรับ
พี่ๆว่าไงครับ?
แล้วเข้าไปซื้อ แล้วราคามันเกิดดิ่งลง
เราจะกล้า cutloss มั้ยครับ (หลักเก็งกำไร)
หรือว่าจะซื้อเพิ่ม (หลัก vi)
คือผมรู้สึกว่าวิธีนี้มันก็เหมือนการเก็งกำไรอย่างนึง
เพียงแต่อาจเป็นการเก็งกำไรระยะกลาง + มีพื้นฐานหุ้นรองรับ
พี่ๆว่าไงครับ?
-
- Verified User
- โพสต์: 1211
- ผู้ติดตาม: 0
VI mutant
โพสต์ที่ 24
การจะ cutloss หรือไม่ ผมว่าเป็นเรื่องเทคนิคและความเชื่อของแต่ละคนแล้วล่ะครับ
1. ถ้าคุณเชื่อว่าตลาดวิกฤติแบบไม่มีเหตุผล มันจะเป็นอย่างนี้อยู่ไม่นาน ก็ไม่ต้อง cut แต่จะซื้อเพิ่มมั๊ยก็แล้วแต่เช่นกัน และก็ต้องรับได้ถ้าเราวิเคราะห์ผิด
2. หุ้นที่เราเลือกต้องเป็นหุ้นที่อย่างน้อยนำตลาด มั่นคงพอสมควร มีปันผลสม่ำเสมอ (เผื่อติดหุ้นด้วยน่ะครับ)
ส่วนตัวผมให้ range สำหรับ cutloss ค่อนข้างยาว คือ 10% เพราะผมเชื่อว่าแต่ละครั้งที่จะเข้าซื้อ ต้องแน่ใจพอสมควรว่าตลาดวิกฤติถึงที่สุดในช่วงนี้ และมันไม่น่าจะเป็นอย่างนี้อยู่นานนัก (ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้ นานนนนๆๆๆ ทีจึงจะเกิด และทำให้เบื่อมากๆเวลา sideway นานๆ ปีที่แล้วผมซื้อขายแบบนี้แค่ 2 ครั้งเอง)
ที่ผ่านมาผมยังไม่พลาด แต่ผมว่าอนาคตไม่แน่
1. ถ้าคุณเชื่อว่าตลาดวิกฤติแบบไม่มีเหตุผล มันจะเป็นอย่างนี้อยู่ไม่นาน ก็ไม่ต้อง cut แต่จะซื้อเพิ่มมั๊ยก็แล้วแต่เช่นกัน และก็ต้องรับได้ถ้าเราวิเคราะห์ผิด
2. หุ้นที่เราเลือกต้องเป็นหุ้นที่อย่างน้อยนำตลาด มั่นคงพอสมควร มีปันผลสม่ำเสมอ (เผื่อติดหุ้นด้วยน่ะครับ)
ส่วนตัวผมให้ range สำหรับ cutloss ค่อนข้างยาว คือ 10% เพราะผมเชื่อว่าแต่ละครั้งที่จะเข้าซื้อ ต้องแน่ใจพอสมควรว่าตลาดวิกฤติถึงที่สุดในช่วงนี้ และมันไม่น่าจะเป็นอย่างนี้อยู่นานนัก (ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้ นานนนนๆๆๆ ทีจึงจะเกิด และทำให้เบื่อมากๆเวลา sideway นานๆ ปีที่แล้วผมซื้อขายแบบนี้แค่ 2 ครั้งเอง)
ที่ผ่านมาผมยังไม่พลาด แต่ผมว่าอนาคตไม่แน่