การอ่านบทวิเคราะห์ของโบรคเกอร์ต่างๆ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11443
- ผู้ติดตาม: 0
การอ่านบทวิเคราะห์ของโบรคเกอร์ต่างๆ
โพสต์ที่ 1
เวลาอ่านบทวิเคราะห์จากนักวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆนั้น เราจะเห็นถึงตัวเลขในปีก่อน ปีปัจจบัน และอนาคต แล้วก็นำตัวเลขในอนาคตที่คำนวณโดยการประมาณการนั้นมาหาราคาที่เหมาะสมอีกที่หนึ่ง
มีใครเคยสงสัยเหมือนผมไหมว่าตัวเลขประมาณในอนาคตเหล่านั้น นักวิเคราะห์ใช้สมมติฐาน ตัวแปรอะไรบ้าง อย่างไรบ้าง จึงคำนวณมาเป็นตัวเลขเหล่านั้นได้
และอีกประการนั้นการหาราคาที่เหมาะสมนั้น จึงๆแล้วก็มีหลายตัวเลข เช่นคำนวณจาก P/E Yield EV/EBITDA DCF หรืออื่นอีกมากมาย แต่ทำไมบริษัท A จึงใช้ P/E ที่ 10 เท่า พอตลาดขึ้นก็เปลี่ยนเป็น 12 เท่าบ้างละ หรือบริษัท B จึงใช้ DCF บริษัท C ใช้ EV/EBITDA
มีใครเคยโทรศัพท์ไปถามข้อสงสัยของผมเหล่านี้ไหมครับ หรือว่าคณเพียงอ่านตัวเลขราคาเป้าหมายเท่านั้นพอ
มีใครเคยสงสัยเหมือนผมไหมว่าตัวเลขประมาณในอนาคตเหล่านั้น นักวิเคราะห์ใช้สมมติฐาน ตัวแปรอะไรบ้าง อย่างไรบ้าง จึงคำนวณมาเป็นตัวเลขเหล่านั้นได้
และอีกประการนั้นการหาราคาที่เหมาะสมนั้น จึงๆแล้วก็มีหลายตัวเลข เช่นคำนวณจาก P/E Yield EV/EBITDA DCF หรืออื่นอีกมากมาย แต่ทำไมบริษัท A จึงใช้ P/E ที่ 10 เท่า พอตลาดขึ้นก็เปลี่ยนเป็น 12 เท่าบ้างละ หรือบริษัท B จึงใช้ DCF บริษัท C ใช้ EV/EBITDA
มีใครเคยโทรศัพท์ไปถามข้อสงสัยของผมเหล่านี้ไหมครับ หรือว่าคณเพียงอ่านตัวเลขราคาเป้าหมายเท่านั้นพอ
- kotaro
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1495
- ผู้ติดตาม: 0
การอ่านบทวิเคราะห์ของโบรคเกอร์ต่างๆ
โพสต์ที่ 2
สงสัยมากครับ
แต่ไม่เคยโทรไปถามเลยครับ
หุ้นตัวเดียวกัน โบรกแต่ละที ให้ราคาเป้าหมายไม่เท่ากัน บางที PE ก็ยังไม่เท่ากันเลยครับ ใช้วิธีคำนวณกันคนละแบบบ
ตอนนี้ก็พยายามหาว่า แต่ละวิธีเขาคำนวณกันยังไง แล้วเอามาคำนวณเองดีกว่าครับ
เคยอ่านที่ไหนไม่รู้ครับ ว่าโบรกเมืองไทยเก่งมากครับ ออกบทวิเคราะห์ได้ทุกวันเลย วันละหลายตัวด้วยครับ เมืองนอกเป็นงง...
แต่ไม่เคยโทรไปถามเลยครับ

หุ้นตัวเดียวกัน โบรกแต่ละที ให้ราคาเป้าหมายไม่เท่ากัน บางที PE ก็ยังไม่เท่ากันเลยครับ ใช้วิธีคำนวณกันคนละแบบบ
ตอนนี้ก็พยายามหาว่า แต่ละวิธีเขาคำนวณกันยังไง แล้วเอามาคำนวณเองดีกว่าครับ
เคยอ่านที่ไหนไม่รู้ครับ ว่าโบรกเมืองไทยเก่งมากครับ ออกบทวิเคราะห์ได้ทุกวันเลย วันละหลายตัวด้วยครับ เมืองนอกเป็นงง...
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
การอ่านบทวิเคราะห์ของโบรคเกอร์ต่างๆ
โพสต์ที่ 3

ให้เป้าหมายไม่เหมือนกันไม่ว่า...
นั่งดูนักวิเคราะห์ออกทีวีเช้าบอกให้ซื้อ
พอบ่ายบอกให้ขาย คุณทิพยวรรณเป็นผู้จัดรายการเลยว่าทำไมเช้าให้ซื้อบ่ายให้ขาย
นักวิเคราะห์ก็ตอบหน้าตาเฉย ต้องเปลี่ยนมุมมอง
(ผมเดาว่านักวิเคราะห์พูดตอนเช้าแล้วบ่ายลืม
เลยไปคนละทางกันแก้ตัวแบบหน้าตาย
สงสัยเน็คไทที่ผูกคอ คงมีรายใหญ่คอยกระตุกเตือน 555)
- Minesweeper
- Verified User
- โพสต์: 472
- ผู้ติดตาม: 0
การอ่านบทวิเคราะห์ของโบรคเกอร์ต่างๆ
โพสต์ที่ 7
บางทีนักวิเคราะห์เขาก็มีตัวเลขในใจของเขาเหมือนกันครับ
บางครั้งเขาก็ไม่อยากให้เสียโอกาส
ราคาเป้าหมายจึงต้องถูกปรับขึ้นตามสภาพแวดล้อมในตลาดหุ้น หุ้นมันมีน้อยกว่าเงินที่ถาโถมเข้ามา รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง (ในช่วย มิ.ย.) ก็ทำให้จำต้องปรับ discount rate เช่นกัน
แต่ปี 2004 อาจเป็นในทางตรงกันข้าม
หุ้นจะเพิ่มขึ้นมากมาย (รัฐวิสาหกิจ) แต่จำนวนเงินจะเพิ่มขึ้นทันกันหรือไม่ยังเป็นที่สงสัยอยู่ อัตราดอกเบี้ยก็มีแนวโน้มจะปรับขึ้นด้วย
หวังว่านักวิเคราะห์จะไหวตัวทัน และไม่เพลินจนเกินไป
ข้อมูลเพิ่มเติม
+ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ณ 31 ธค 46 อยู่ที่ประมาณ 5%
+ ดร. นิเวศน์ คำนวณ PE ตลาดได้ 20 ถ้าคิดเป็น EP ก็ 5% เท่ากัน
(ปล. ขอเหน็บ ดร. หน่อยเหอะ ไม่รู้แกคิดอย่างไงถึงได้ต่างกับ ชาวบ้านทั่วไปที่เขาคิดกันเหลือเกิน)
บางครั้งเขาก็ไม่อยากให้เสียโอกาส
ราคาเป้าหมายจึงต้องถูกปรับขึ้นตามสภาพแวดล้อมในตลาดหุ้น หุ้นมันมีน้อยกว่าเงินที่ถาโถมเข้ามา รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง (ในช่วย มิ.ย.) ก็ทำให้จำต้องปรับ discount rate เช่นกัน
แต่ปี 2004 อาจเป็นในทางตรงกันข้าม
หุ้นจะเพิ่มขึ้นมากมาย (รัฐวิสาหกิจ) แต่จำนวนเงินจะเพิ่มขึ้นทันกันหรือไม่ยังเป็นที่สงสัยอยู่ อัตราดอกเบี้ยก็มีแนวโน้มจะปรับขึ้นด้วย
หวังว่านักวิเคราะห์จะไหวตัวทัน และไม่เพลินจนเกินไป
ข้อมูลเพิ่มเติม
+ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ณ 31 ธค 46 อยู่ที่ประมาณ 5%
+ ดร. นิเวศน์ คำนวณ PE ตลาดได้ 20 ถ้าคิดเป็น EP ก็ 5% เท่ากัน
(ปล. ขอเหน็บ ดร. หน่อยเหอะ ไม่รู้แกคิดอย่างไงถึงได้ต่างกับ ชาวบ้านทั่วไปที่เขาคิดกันเหลือเกิน)
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
การอ่านบทวิเคราะห์ของโบรคเกอร์ต่างๆ
โพสต์ที่ 8
รายใหญ่เล่นแล้วอยากได้ของคืนเลยกระตุกให้นักวิเคราะห์กลับคำพูดครับนักดูดาว เขียน:แปลว่าหุ้นตัวนั้นให้เล่นเน็ต ห้ามเอากลับบ้านหรือเปล่าครับพี่ปรัชญา หุๆๆๆๆ :lol:
และก็จริงอย่างคุณนักดูดาว ว่า..ให้เล่นเน็ทอย่าเอาหุ้นกลับบ้าน
เพราะไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะมีอะไรเกิดขึ้น
เลยทำให้รายย่อย
1) ขาดทุน
2) เชื่อมาร์-นักวิเคราะห์มากกว่าเชื่อตัวเอง
3) จะได้ค่าคอมฯเยอะๆ
4)หมุนรอบให้เร็วขึ้นตามไปสร้างกราฟ
และแล้วรายย่อยที่เชื่อนักวิเคราะห์ก็วิ่งไล่จับเงาทุกวัน
และก็จะมีให้เห็นกันตลอดไป จากนักลงทุนหน้าเดิมๆก็มีรายใหม่ๆหลงเข้ามาในเส้นทางสายนี้ตลอดมาและตลอดไป
ตราบใดที่ความโลภคอยชี้นำ
(ผมได้ผ่านระยะเวลาที่ว่า.มาแล้ว
ก็โง่มาก่อนฉลาด และ
ก.ไก่ยังนำหน้าข.ไข่นี่ครับ)
-
- ผู้ติดตาม: 0
การอ่านบทวิเคราะห์ของโบรคเกอร์ต่างๆ
โพสต์ที่ 9
หลักง่ายๆๆ P/E ใช้กับธุรกิจที่ โตเต็มที่ อยู่ในช่วงออกดอกออกผล หรือ พวก Mature ครับ ดังนั้นจะมี dividend ที่สม่ำเสมอ
ส่วน DCF ใช้กับพวกธุรกิจที่อยู่ในช่วงเริ่มลงทุน รายได้ในช่วงแรกจะมีไม่มาก แต่หลังจากนั้นหากธุรกิจไปได้ดี ก็จะมี cash flow ที่เพิ่มขึ้น จึงเหมาะกับพวกหุ้นที่เริ่มลงทุนโครงการใหม่ๆๆ
วิธีอื่น ผมไม่ชอบเลย พวก ev/ebit หรือ pb ratio เพราะนักวิเคราะห์บางคนไม่อยากจะว่าบัดซบก็ต้องว่าครับ ให้ ev/ebit ของ ms 20 เท่า ผมเห็นแล้วแทบจะโทรไปด่าเลย แต่นึกได้ว่าเรามิได้เป็นลูกค้าของโบรคนั้น
เท่าที่ผมอ่านดู นักวิเคราะห์ของ kimeng conservative ที่สุดครับ ของ natsec นี่สุดเวอร์จริงๆๆ ส่วน tisco นักวิเคราะห์ในกลุ่มหลักทรัพยื สงสัย bias มากไม่เคยเชียร์ซื้อเลย ให้ pe zmico 8 เท่า ส่วน pe ast cns kgi ให้ 15 เท่า ให้target price ต่ำแบบเห็นแล้วช๊อค zmico ตอน 40 มันให้ target ประมาณ book คือ 20 บาท เห็นแล้วอยากจะเตะสักที ใครเป็นลูกค้า tisco คงเคยผ่านตา จะเห็นได้ว่าไม่มีบทวิเคราะห์หุ้นหลักทรัพย์ออกมากว่า 6 เดือนแล้วจาก tisco เนื่องจากนักวิเคราะห์มันคงไม่หายติ้งต๊อง
ส่วน DCF ใช้กับพวกธุรกิจที่อยู่ในช่วงเริ่มลงทุน รายได้ในช่วงแรกจะมีไม่มาก แต่หลังจากนั้นหากธุรกิจไปได้ดี ก็จะมี cash flow ที่เพิ่มขึ้น จึงเหมาะกับพวกหุ้นที่เริ่มลงทุนโครงการใหม่ๆๆ
วิธีอื่น ผมไม่ชอบเลย พวก ev/ebit หรือ pb ratio เพราะนักวิเคราะห์บางคนไม่อยากจะว่าบัดซบก็ต้องว่าครับ ให้ ev/ebit ของ ms 20 เท่า ผมเห็นแล้วแทบจะโทรไปด่าเลย แต่นึกได้ว่าเรามิได้เป็นลูกค้าของโบรคนั้น
เท่าที่ผมอ่านดู นักวิเคราะห์ของ kimeng conservative ที่สุดครับ ของ natsec นี่สุดเวอร์จริงๆๆ ส่วน tisco นักวิเคราะห์ในกลุ่มหลักทรัพยื สงสัย bias มากไม่เคยเชียร์ซื้อเลย ให้ pe zmico 8 เท่า ส่วน pe ast cns kgi ให้ 15 เท่า ให้target price ต่ำแบบเห็นแล้วช๊อค zmico ตอน 40 มันให้ target ประมาณ book คือ 20 บาท เห็นแล้วอยากจะเตะสักที ใครเป็นลูกค้า tisco คงเคยผ่านตา จะเห็นได้ว่าไม่มีบทวิเคราะห์หุ้นหลักทรัพย์ออกมากว่า 6 เดือนแล้วจาก tisco เนื่องจากนักวิเคราะห์มันคงไม่หายติ้งต๊อง
-
- ผู้ติดตาม: 0
การอ่านบทวิเคราะห์ของโบรคเกอร์ต่างๆ
โพสต์ที่ 10
ha ha ha,,, i like that ... ting tong Tisco 

-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
การอ่านบทวิเคราะห์ของโบรคเกอร์ต่างๆ
โพสต์ที่ 11
จริงๆแล้ว โบรกต่างๆ น่าจะมีเว็บบอร์ดให้ถามกลับนะ ว่าที่คิดแบบนั้นเอาตรงไหนมาคิด และมีวิธีการคิดอย่างไร
โบรกไหนทำก่อน โบรกนั้นน่าจะดังมากๆ เลย เพราะทำให้ เอกสารที่โบรกวิเคราะห์ไว้ คนอ่าน จะได้อ่านรู้เรื่อง
ชาวบ้านธรรมดา ใครจะรู้เรื่อง เช่น EV/EBITDA
ขนาดผมเคยเรียนบัญชีมาบ้าง ยังไม่เคยเห็นเลย
โบรกไหนทำก่อน โบรกนั้นน่าจะดังมากๆ เลย เพราะทำให้ เอกสารที่โบรกวิเคราะห์ไว้ คนอ่าน จะได้อ่านรู้เรื่อง
ชาวบ้านธรรมดา ใครจะรู้เรื่อง เช่น EV/EBITDA
ขนาดผมเคยเรียนบัญชีมาบ้าง ยังไม่เคยเห็นเลย
- wpong
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1336
- ผู้ติดตาม: 0
การอ่านบทวิเคราะห์ของโบรคเกอร์ต่างๆ
โพสต์ที่ 12
ผมขอยกตัวอย่างครับ LST มี
โบรกเกอร์ วันออกบทวิเคราะห์ EPS 2003E
ZMICO 1/10/46 3.08
KGI 7/11/46 2.25
SYSLUS 11/11/46 2.66
ข้อมูลจริง q3 ออก 11/11/46
ข้อมูลจริง 2HEPS ของ lst = 1.63 ผมดูแล้วงงการประมาณการEPSของ KGI มากครับ ไม่แน่ใจว่าคิดยังไง
ใครรู้ช่วยบอกด้วย
โบรกเกอร์ วันออกบทวิเคราะห์ EPS 2003E
ZMICO 1/10/46 3.08
KGI 7/11/46 2.25
SYSLUS 11/11/46 2.66
ข้อมูลจริง q3 ออก 11/11/46
ข้อมูลจริง 2HEPS ของ lst = 1.63 ผมดูแล้วงงการประมาณการEPSของ KGI มากครับ ไม่แน่ใจว่าคิดยังไง
ใครรู้ช่วยบอกด้วย

-
- Verified User
- โพสต์: 1647
- ผู้ติดตาม: 0
การอ่านบทวิเคราะห์ของโบรคเกอร์ต่างๆ
โพสต์ที่ 14
ไม่ได้มาตั้งนาน ครับ ไปดู friends season 4-5 จบค่อยมาเข้าเวบครับ - อ้อ ต้องไปตอบ ในกระทู้งานอดิเรกซักหน่อย ว่าสะสม friends ครับ ทั้ง friends จริงๆ และ sit com
ปกติผมใช้ DCF ครับ แต่ว่าจำนวนปีที่ใช้คำนวน แตกต่างกันครับ ตามกฎ 1-5-7-10 ครับ 1กับ boring stock 5 decent companies 7 good companies และ 10 กับ great companies แต่ขึ้นอยู่กับ ระยะที่ผมคิดว่าจะถือด้วยครับ (อันนี้ตามตลาดบ้างครับ)
ผมไม่ได้เรียน financeครับ อาศัยอ่านเอง -แฮ่ๆ และก็ไมได้อ่านมากเท่าไหร่ครับ เลยยึด streetsmart guide to valuing a stock เป็นแม่บทครับ
ปกติผมใช้ DCF ครับ แต่ว่าจำนวนปีที่ใช้คำนวน แตกต่างกันครับ ตามกฎ 1-5-7-10 ครับ 1กับ boring stock 5 decent companies 7 good companies และ 10 กับ great companies แต่ขึ้นอยู่กับ ระยะที่ผมคิดว่าจะถือด้วยครับ (อันนี้ตามตลาดบ้างครับ)
ผมไม่ได้เรียน financeครับ อาศัยอ่านเอง -แฮ่ๆ และก็ไมได้อ่านมากเท่าไหร่ครับ เลยยึด streetsmart guide to valuing a stock เป็นแม่บทครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 91
- ผู้ติดตาม: 0
การอ่านบทวิเคราะห์ของโบรคเกอร์ต่างๆ
โพสต์ที่ 15
ส่วนใหญ่คนทั่วไปมักจะไปอ่านบทวิเคราะห์ของเขาในจุดใดจุดหนึ่งครับ
สำหรับผมถ้าผมเป็นลูกค้าที่โบรกไหนก็โทรไปเลยคุยกับคนที่เขา
เคยวิเคราะตัวนั้นๆ ว่าทำไมใช้วิธีนี้หรือวิธีนั้น
ผมคิดว่าคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยติดตามบทวิเคราะห์ในระยะยาวครับ
สำหรับผมอย่างช่วงที่ผ่านมาผมยอมรับว่าวิเคราะไม่ค่อยทันเพราะมัน
รีบาวน์กันแรงเหลือ เลยใช้วิธีนี้ครับ ได้มาจาก fire your stock analyst
คือคอยดูบทวิเคราะห์ที่เขาติดตามมา เช่น sales, eps , target price
ถ้าปรับไปเรื่อยๆ ก็แนวโน้มไปทางนั้นครับ
ยกตัวอย่าง ของ CCP (เอาแค่ประมาณการปี 2546 นะครับขี้เกียจพิมพ์)
กิมเอ็ง
16-12-2003 net profit 130 target price 28
23-12-2003 151 ไม่บอกไว้คงจะข้ามปีแล้ว
26-01-2004 160 ไม่บอกไว้คงจะข้ามปีแล้ว
เสร็จแล้วก็ไปลองดูราคาหุ้น ccp ตอนนี้สิครับ
สำหรับผมถ้าผมเป็นลูกค้าที่โบรกไหนก็โทรไปเลยคุยกับคนที่เขา
เคยวิเคราะตัวนั้นๆ ว่าทำไมใช้วิธีนี้หรือวิธีนั้น
ผมคิดว่าคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยติดตามบทวิเคราะห์ในระยะยาวครับ
สำหรับผมอย่างช่วงที่ผ่านมาผมยอมรับว่าวิเคราะไม่ค่อยทันเพราะมัน
รีบาวน์กันแรงเหลือ เลยใช้วิธีนี้ครับ ได้มาจาก fire your stock analyst
คือคอยดูบทวิเคราะห์ที่เขาติดตามมา เช่น sales, eps , target price
ถ้าปรับไปเรื่อยๆ ก็แนวโน้มไปทางนั้นครับ
ยกตัวอย่าง ของ CCP (เอาแค่ประมาณการปี 2546 นะครับขี้เกียจพิมพ์)
กิมเอ็ง
16-12-2003 net profit 130 target price 28
23-12-2003 151 ไม่บอกไว้คงจะข้ามปีแล้ว
26-01-2004 160 ไม่บอกไว้คงจะข้ามปีแล้ว
เสร็จแล้วก็ไปลองดูราคาหุ้น ccp ตอนนี้สิครับ
- CEO
- Verified User
- โพสต์: 1243
- ผู้ติดตาม: 0
การอ่านบทวิเคราะห์ของโบรคเกอร์ต่างๆ
โพสต์ที่ 16
ผมนึกว่าคนห้องนี้ไม่อ่านบทวิเคราะห์ของโบรคกอร์แล้วเสียอีก
ผมคิดว่าหุ้นแต่ละตัวนี่ก็ยังใช้วิธีไม่เหมือนกันนะครับ ผมว่ามันมีแฟคเตอร์มาก
แต่เนื่องจากต้องมีการอ้างอิงตัวเลขจากวิธีการใดวิธีหนึ่งไว้ เราจึงเห็นต่างๆกัน
ผมเองเนื่องจากไม่มีความรู้ ก็เลยต้องใช้วิธีแบบงูๆปลาๆเป็นมวยวัดประเภทนั้น แต่ถ้าจะให้ตามอ่านบทวิเคราะห์หลายๆเจ้าเอามาเปรียบเทียบ ผมว่าคงเลิกเล่นหุ้นละครับ ไม่อดทนขนาดนั้น
ผมคิดว่าหุ้นแต่ละตัวนี่ก็ยังใช้วิธีไม่เหมือนกันนะครับ ผมว่ามันมีแฟคเตอร์มาก
แต่เนื่องจากต้องมีการอ้างอิงตัวเลขจากวิธีการใดวิธีหนึ่งไว้ เราจึงเห็นต่างๆกัน
ผมเองเนื่องจากไม่มีความรู้ ก็เลยต้องใช้วิธีแบบงูๆปลาๆเป็นมวยวัดประเภทนั้น แต่ถ้าจะให้ตามอ่านบทวิเคราะห์หลายๆเจ้าเอามาเปรียบเทียบ ผมว่าคงเลิกเล่นหุ้นละครับ ไม่อดทนขนาดนั้น
การซื้อกิจการอาจไม่ใช่การเทคโอเวอร์ และการเทคโอเวอร์ ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าซื้อหุ้น..
-
- Verified User
- โพสต์: 226
- ผู้ติดตาม: 0
การอ่านบทวิเคราะห์ของโบรคเกอร์ต่างๆ
โพสต์ที่ 17
ผมยอมรับว่าใช้บทวิเคราะห์ของหลายๆโบรกเป็นไกด์นำทางครับ โดยเฉพาะบทวิเคราะห์รายเดือน ผมเห็นว่าเป็นเครื่องมือในการกรองหุ้นเบื้องต้นที่ง่ายและรวดเร็วดี
ผมไม่ได้เชื่อตัวเลขเชิงปริมาณที่เกิดจากการประมาณการเองมากนักของบทวิเคราะห์ของแต่ละโบรก แต่เนื่องจากนักวิเคราะห์สามารถหาข้อมูลของแต่ละบริษัทได้ง่ายกว่า (แม้ว่าข้อมูลอาจจะเชื่อถือได้ไม่ 100%) ผมจึงยังเชื่อข้อมูลในเชิงคุณภาพอยู่ครับ
ดังนั้นราคาเป้าหมายที่อิงกับค่า PE ที่มีการขยับกัน ผมว่าไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเขาใช้ค่าเฉลี่ยของอุตสหากรรมเป็นตัวตั้งต้น เมื่อมีการซื้อขายที่ราคาเฉลี่ยทั้งอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น ราคาเป้าหมายตาม PE ก็ขยับตาม (ก็มันเป็นตัวเลขเชิงปริมาณนี่ครับ...)
DFC กับ FCF ผมหาไม่เป็นครับ เข้าใจว่าต้องแกะงบย้อนหลังและทำประมาณการรายได้ไปข้างหน้า สำหรับผมคงทำเองไม่ไหว (แกะงบย้อนหลังพอทน แต่ประมาณการไปข้างหน้านี่ยอมรับว่า -ขาดความสามารถ-ถึงขั้นรุนแรง)
สรุปคือ ยังใช้บทวิเคราะห์ของโบรกครับ แต่ใช้สติ+ปัญญา(ที่มีน้อยๆ)กำกับลงไปด้วยก่อนตัดสินใจ...
ผมไม่ได้เชื่อตัวเลขเชิงปริมาณที่เกิดจากการประมาณการเองมากนักของบทวิเคราะห์ของแต่ละโบรก แต่เนื่องจากนักวิเคราะห์สามารถหาข้อมูลของแต่ละบริษัทได้ง่ายกว่า (แม้ว่าข้อมูลอาจจะเชื่อถือได้ไม่ 100%) ผมจึงยังเชื่อข้อมูลในเชิงคุณภาพอยู่ครับ
ดังนั้นราคาเป้าหมายที่อิงกับค่า PE ที่มีการขยับกัน ผมว่าไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเขาใช้ค่าเฉลี่ยของอุตสหากรรมเป็นตัวตั้งต้น เมื่อมีการซื้อขายที่ราคาเฉลี่ยทั้งอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น ราคาเป้าหมายตาม PE ก็ขยับตาม (ก็มันเป็นตัวเลขเชิงปริมาณนี่ครับ...)
DFC กับ FCF ผมหาไม่เป็นครับ เข้าใจว่าต้องแกะงบย้อนหลังและทำประมาณการรายได้ไปข้างหน้า สำหรับผมคงทำเองไม่ไหว (แกะงบย้อนหลังพอทน แต่ประมาณการไปข้างหน้านี่ยอมรับว่า -ขาดความสามารถ-ถึงขั้นรุนแรง)
สรุปคือ ยังใช้บทวิเคราะห์ของโบรกครับ แต่ใช้สติ+ปัญญา(ที่มีน้อยๆ)กำกับลงไปด้วยก่อนตัดสินใจ...
- Wvix
- Verified User
- โพสต์: 124
- ผู้ติดตาม: 0
การอ่านบทวิเคราะห์ของโบรคเกอร์ต่างๆ
โพสต์ที่ 19
ยังไม่มีใครตอบข้อสงสัยตรงนี้เลยครับchatchai เขียน:เวลาอ่านบทวิเคราะห์จากนักวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆนั้น เราจะเห็นถึงตัวเลขในปีก่อน ปีปัจจบัน และอนาคต แล้วก็นำตัวเลขในอนาคตที่คำนวณโดยการประมาณการนั้นมาหาราคาที่เหมาะสมอีกที่หนึ่ง
มีใครเคยสงสัยเหมือนผมไหมว่าตัวเลขประมาณในอนาคตเหล่านั้น นักวิเคราะห์ใช้สมมติฐาน ตัวแปรอะไรบ้าง อย่างไรบ้าง จึงคำนวณมาเป็นตัวเลขเหล่านั้นได้
ที่ผมเรียนมานะครับเค้าประมาณการจากยอดขายก่อนเลยครับ เช่น
สมมุติว่ายอดขาย ปีนี้เท่ากับ 1,000 บาท ปีต่อไปยอดขายโตขึ้น 10% ก็เป็น 1,100 บาท
ต่อไปเค้าก็ใช้รายการต่างๆไปเทียบกับยอดขายทำเป็นอัตราส่วนต่างๆไปเทียบกับยอดขายครับ
แล้วก็ประมาณการด้วยอัตราส่วนต่างๆที่เท่ากันกับปีที่แล้วครับ
อาจมีการปรับปรุงตัวเลขบางประการเช่นถ้าผู้บริหารต้องการลด Accounts Receivable, Inventory
หรืออื่นๆ ก็ต้องปรับตัวเลขกันไปครับ
-
- ผู้ติดตาม: 0
การอ่านบทวิเคราะห์ของโบรคเกอร์ต่างๆ
โพสต์ที่ 20
คุณ Wvix ได้ post ถามคำถามที่เกี่ยวข้องกับกระทู้นี้ในกระทิงเขียว ผมจึงขออนุญาต มา post ในที่นี่ด้วยนะครับ
valuation ทีใช้มีได้หลายแบบครับ
ตัวอย่างที่จะยกมาเป็นวัตถุนิยมนะครับ ไม่ควรใช้ในชีวิตจริง แต่ก็เห็นภาพได้ค่อนข้างชัดเจน
หากเรามีลูกสาว และมีคนมาจีบลูกสาวหลายคน
ผู้ชายคนแรก ร่ำรวยมีสินทรัพย์มาก แต่ไม่ทำมาหากิน เล่นการพนัน หากเรายกลูกสาวให้ผู้ชายคนนี้โดยมองที่สินทรัพย์ แสดงว่าเราจะเลือกหุ้นโดยดู P/BV เป็นหลัก
หากผู้ชายคนที่ 2 มีรายได้ต่อเดือนสูงมาก แต่มีอาชีพที่เสี่ยงและมีรายได้ในอนาคตไม่แน่นอน และมีหนี้สินทางบ้านสูงมาก หากเรายกลูกสาวให้ แสดงว่าเราดูที่ P/E อย่างเดียว
หากผู้ชายคนที่ 3 เราพิจารณาทั้งสินทรัพย์ของเขาว่าไม่มีหนี้มากเกินไป มีรายได้สูงในระดับหนึ่ง อาชีพการงานมีความมั่นคงในระดับหนึ่งและมีโอกาสก้าวหน้า แสดงว่าเราเลื่อกหุ้นโดยวิธี DCF
สรุปก็คือ P/BV บอกอดีต
P/E บอกปัจจุบัน
DCF บอกอดีต ปัจจุบัน อนาคต ครับ
EV/EBITDA คล้าย P/E แต่ต่างตรงที่ EV/EBITDA ขจัดความแตกต่างหรือความบกพร่องของการตัดค่าเสื่อมราคาออก และใช้กรณีที่ P/E หาไม่ได้เพราะกำไรติดลบ หุ้นที่ earning เป็นบวกก็อาจจะมี EBITDA เป็นบวกได้ครับ
ประมาณการในอนาคตจะดูถึง แนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมครับ และดูถืงความสามารถของบริษัทในการแข่งขันในธุรกิจนั้น เช่น หากเราคาดว่า
ธุรกิจจะโต 10% หากบริษัท A มีการบริหารที่ดี อาจจะมียอดขายโต 15% ต่อปีหรือมากกว่าได้ แสดงว่า A มี market share เพิ่มขึ้น
ดังนั้นการประมาณการกำไรในอนาคตเป็น art ครับ เพราะทุกคนสามารถประมาณได้แตกต่างกันได้มากจากการประมาณ sale growth gross margin SG&A to sale ที่ต่างกัน นักวิเคราะห์ต่างก็มี financial model ที่มี assumption เยอะมากหุ้นบางตัวอาจจะมี 10 assumption ซึ่งเป็นการประมาณในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นในอนาคต ดังนั้นโอกาสที่แตกต่างกันมีสูงมาก บางทีการทำ model หรือการหาราคาปัจจัยพื้นฐานตัวเลขก็มีส่วนสำคัญแต่เรื่อง gutt feeling หรือเรียกง่ายๆ ว่า sense ก็สำคัญไม่น้อยครับ
ความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้บริหารบริษัทที่จะให้ข้อมูลนักวิเคราะห์ก็มีผลครับ นักวิเคราะห์ที่ดีควรจะถามคำถามที่สร้างสรรค์ และให้คำแนะนำบริษัทได้บ้างตามอัถภาพ ทำการบ้านมาก่อน visit อย่างนี้จะมีโอกาสที่จะได้ข้อมูลดีๆ ในอนาคตได้ครับ วิธี check เราก็ลองโทรไปคุยกับนักวิเคราะห์ของ broker ถามเกี่ยวกับหุ้นที่เขาวิเคราะห์ ( เราก็ควรทำการบ้านมาก่อนเช่นกัน ) หากคำตอบของเขาทำให้เรารู้สึก convince ซึ่งจะเกิดจาก logic การตอบที่ชัดเจน นักวิเคราะห์คนนั้นก็มีแนวโน้มสูงที่จะทำให้เราไม่ขาดทุนหากซื้อหุ้นตามเขา แต่หากรู้สึกตรงกันข้าม คุณภาพคำตอบที่เขาตอบเราก็คือคุณภาพการถามคำถามเวลา visit และคุณภาพการทำงานของเขานั่นแหละครับ
valuation ทีใช้มีได้หลายแบบครับ
ตัวอย่างที่จะยกมาเป็นวัตถุนิยมนะครับ ไม่ควรใช้ในชีวิตจริง แต่ก็เห็นภาพได้ค่อนข้างชัดเจน
หากเรามีลูกสาว และมีคนมาจีบลูกสาวหลายคน
ผู้ชายคนแรก ร่ำรวยมีสินทรัพย์มาก แต่ไม่ทำมาหากิน เล่นการพนัน หากเรายกลูกสาวให้ผู้ชายคนนี้โดยมองที่สินทรัพย์ แสดงว่าเราจะเลือกหุ้นโดยดู P/BV เป็นหลัก
หากผู้ชายคนที่ 2 มีรายได้ต่อเดือนสูงมาก แต่มีอาชีพที่เสี่ยงและมีรายได้ในอนาคตไม่แน่นอน และมีหนี้สินทางบ้านสูงมาก หากเรายกลูกสาวให้ แสดงว่าเราดูที่ P/E อย่างเดียว
หากผู้ชายคนที่ 3 เราพิจารณาทั้งสินทรัพย์ของเขาว่าไม่มีหนี้มากเกินไป มีรายได้สูงในระดับหนึ่ง อาชีพการงานมีความมั่นคงในระดับหนึ่งและมีโอกาสก้าวหน้า แสดงว่าเราเลื่อกหุ้นโดยวิธี DCF
สรุปก็คือ P/BV บอกอดีต
P/E บอกปัจจุบัน
DCF บอกอดีต ปัจจุบัน อนาคต ครับ
EV/EBITDA คล้าย P/E แต่ต่างตรงที่ EV/EBITDA ขจัดความแตกต่างหรือความบกพร่องของการตัดค่าเสื่อมราคาออก และใช้กรณีที่ P/E หาไม่ได้เพราะกำไรติดลบ หุ้นที่ earning เป็นบวกก็อาจจะมี EBITDA เป็นบวกได้ครับ
ประมาณการในอนาคตจะดูถึง แนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมครับ และดูถืงความสามารถของบริษัทในการแข่งขันในธุรกิจนั้น เช่น หากเราคาดว่า
ธุรกิจจะโต 10% หากบริษัท A มีการบริหารที่ดี อาจจะมียอดขายโต 15% ต่อปีหรือมากกว่าได้ แสดงว่า A มี market share เพิ่มขึ้น
ดังนั้นการประมาณการกำไรในอนาคตเป็น art ครับ เพราะทุกคนสามารถประมาณได้แตกต่างกันได้มากจากการประมาณ sale growth gross margin SG&A to sale ที่ต่างกัน นักวิเคราะห์ต่างก็มี financial model ที่มี assumption เยอะมากหุ้นบางตัวอาจจะมี 10 assumption ซึ่งเป็นการประมาณในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นในอนาคต ดังนั้นโอกาสที่แตกต่างกันมีสูงมาก บางทีการทำ model หรือการหาราคาปัจจัยพื้นฐานตัวเลขก็มีส่วนสำคัญแต่เรื่อง gutt feeling หรือเรียกง่ายๆ ว่า sense ก็สำคัญไม่น้อยครับ
ความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้บริหารบริษัทที่จะให้ข้อมูลนักวิเคราะห์ก็มีผลครับ นักวิเคราะห์ที่ดีควรจะถามคำถามที่สร้างสรรค์ และให้คำแนะนำบริษัทได้บ้างตามอัถภาพ ทำการบ้านมาก่อน visit อย่างนี้จะมีโอกาสที่จะได้ข้อมูลดีๆ ในอนาคตได้ครับ วิธี check เราก็ลองโทรไปคุยกับนักวิเคราะห์ของ broker ถามเกี่ยวกับหุ้นที่เขาวิเคราะห์ ( เราก็ควรทำการบ้านมาก่อนเช่นกัน ) หากคำตอบของเขาทำให้เรารู้สึก convince ซึ่งจะเกิดจาก logic การตอบที่ชัดเจน นักวิเคราะห์คนนั้นก็มีแนวโน้มสูงที่จะทำให้เราไม่ขาดทุนหากซื้อหุ้นตามเขา แต่หากรู้สึกตรงกันข้าม คุณภาพคำตอบที่เขาตอบเราก็คือคุณภาพการถามคำถามเวลา visit และคุณภาพการทำงานของเขานั่นแหละครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2509
- ผู้ติดตาม: 0
การอ่านบทวิเคราะห์ของโบรคเกอร์ต่างๆ
โพสต์ที่ 21
ผมมองว่า ข้อมูลที่โบรกเกอร์วิเคราะห์ มีประโยชน์มากนะครับ (แต่ต้องใช้ให้เป็น)
ข้อมูลในอดีต ที่นักวิเคราะห์นำมาเสนอในรูปแบบของอัตราส่วนทางการเงินแบบต่างๆ ผมเห็นว่าเชื่อถือได้เกือบ 100% เพราะมันตรวจสอบได้ และคงไม่มีโบรกไหนอยาก "หลุด" ในส่วนของข้อมูลอดีตนี้หรอกครับ เพราะมันแสดงให้เห็นถึงความบกพร่องอย่างไม่น่าให้อภัยของมืออาชีพ
ข้อมูลคาดการณ์ในอนาคต อันนี้แล้วแต่กึ๋นของนักวิเคราะห์ครับ ผมมองว่าเราต้องอ่านเพื่อศึกษามุมมองตามที่นักวิเคราะห์เขียน แล้วนำมาพิจารณาว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ เพียงไร
หากเพื่อนๆ อ่านบทวิเคราะห์ของหลายๆ โบรกดู ก็จะทราบว่า "กึ๋น" ของนักวิเคราะห์นั้น มันก็อยู่ตรงการคาดการณ์นี่แหละครับ ที่จะทำให้เราทราบว่าคนไหน "รู้จริง"
ข้อมูลในอดีต ที่นักวิเคราะห์นำมาเสนอในรูปแบบของอัตราส่วนทางการเงินแบบต่างๆ ผมเห็นว่าเชื่อถือได้เกือบ 100% เพราะมันตรวจสอบได้ และคงไม่มีโบรกไหนอยาก "หลุด" ในส่วนของข้อมูลอดีตนี้หรอกครับ เพราะมันแสดงให้เห็นถึงความบกพร่องอย่างไม่น่าให้อภัยของมืออาชีพ
ข้อมูลคาดการณ์ในอนาคต อันนี้แล้วแต่กึ๋นของนักวิเคราะห์ครับ ผมมองว่าเราต้องอ่านเพื่อศึกษามุมมองตามที่นักวิเคราะห์เขียน แล้วนำมาพิจารณาว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ เพียงไร
หากเพื่อนๆ อ่านบทวิเคราะห์ของหลายๆ โบรกดู ก็จะทราบว่า "กึ๋น" ของนักวิเคราะห์นั้น มันก็อยู่ตรงการคาดการณ์นี่แหละครับ ที่จะทำให้เราทราบว่าคนไหน "รู้จริง"
-
- Verified User
- โพสต์: 2509
- ผู้ติดตาม: 0
การอ่านบทวิเคราะห์ของโบรคเกอร์ต่างๆ
โพสต์ที่ 22
อีกอย่างที่ผมใช้เป็นประโยชน์อย่างมากคือ บทวิเคราะห์หลังจากรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน
เพราะทำให้เราประหยัดเวลา ไม่ต้องไปทำการคำนวณอัตราส่วนทางการเงินเองให้ยุ่งยาก (อันนี้ต้องเลือกบทวิจัยของโบรกที่ทำออกมาได้รูปแบบข้อมูลตรงตามความต้องการของเราด้วยนะครับ)
เพราะทำให้เราประหยัดเวลา ไม่ต้องไปทำการคำนวณอัตราส่วนทางการเงินเองให้ยุ่งยาก (อันนี้ต้องเลือกบทวิจัยของโบรกที่ทำออกมาได้รูปแบบข้อมูลตรงตามความต้องการของเราด้วยนะครับ)