สัมมนา ก้าวสู่การลงทุนหุ้นเวียดนามปี2561
หัวข้อ ประสบการณ์การลงทุนหุ้นเวียดนาม โอกาสและความท้าทายจากบาทแข็งและหุ้นเวียดนามพุ่งสูง
วิทยากร
คุณธาราบดี ซึ้งอดิชัยวิทย์ หรือ คุณเอก ผู้จัดการทั่วไปธนาคารกรุงเทพสาขาประเทศเวียดนาม
คุณพิกุล พิทยาอิสระกุล Vietnam Private Fund Manager บล Phillip
คุณวิศวกร ปันยารชุน หรือ คุณแจ๊ค นักลงทุนประสบการณ์8ปีในตลาดหุ้นเวียดนาม
คุณจิตติมา ทวาเรศ พิธีกรรายการรู้ใช้เข้าใจเงิน เป็นผู้ดำเนินรายการ
คุณจิตติมาเริ่มคำถามแรก เริ่มต้นลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามอย่างไร
การขึ้นมาของหุ้นใหญ่ปีที่แล้ว ผลตอบแทนในช่วงที่ผ่านมา
คุณวิศวกรหรือคุณแจ๊ค พูดเป็นท่านแรกว่าผมเริ่มลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามเมื่อปี 2008
ช่วงที่ลงทุน การแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจของภาครัฐไม่ดี ลงทุนห้าปีแรกไม่ค่อยได้อะไร
คุณแจ็คพูดถึง ดร นิเวศน์ว่าดรไปลงทุนช่วงปลายปี 2013 จังหวะดีมาก กระแสเวียดนามค่อยๆดีขึ้น
แต่ถ้าเทียบPerformance กับตลาดหุ้นไทยจะไม่ดี เพราะตอนปี2008 set แค่400จุดเอง
แต่สามปีหลัง ดัชนีหุ้นเวียดนามชนะดัชนีหุ้นไทย โดยปี2017 return 40กว่า%
ผมตั้งเป้าแค่26%ต่อปี
ดูจากศักยภาพของประเทศเป็นหลัก
คุณพิกุลกล่าวเป็นท่านถัดมาว่า ไปลงทุนหลังพี่แจ็คนาน ดูตลาดเวียดนามน่าจะไปได้นาน
ลงทุนจริงจังตั้งแต่ปี2015 ลงทุนแบบVI หุ้นไม่ใหญ่มาก
คิดว่าตลาดมีประสิทธิภาพและเติบโตมาก
คุณธาราบดีหรือคุณเอกกล่าวเป็นท่านที่3ว่า ผมน่าจะอยู่เวียดนามอีกสิบกว่าปี
เมื่อก่อนดูbubble สินเชื่อธนาคารเพิ่มขึ้น50%ในปี 2012
ถือว่าธนาคารเกือบเจ๊งหมด แต่รัฐบาลจัดการดี เปลี่ยนวิธีคิดในการแก้ไขเศรษฐกิจ
ทำอย่างไรให้เงินเฟ้อต่ำ ดอกเบี้ยต่ำ
คุมอัตราแลกเปลี่ยนให้นิ่งมากจนถึงตอนนี้ ถือเป็นช่วงโอกาสที่ดีที่สุด
ส่งออกเดือนละ 18.5 Billion
FDI มากกว่า พันล้านเหรียญ
อีก 10-15ปีข้างหน้า จะโตมากกว่านี้สองเท่า
ผมเข้าไปลงทุนปี2012 ถือว่าเหมือนตลาดหุ้นไทยปี1998(ช่วงต้มยำกุ้ง)
Return ดีมาก ซื้อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
พิธีกร คุณจิตติมาสรุปว่ายังเข้าไปได้
คุณจิตติมาถามต่อว่า เข้าไปเวียดนามเหมือนกับเข้าซื้อหุ้นแบบเมืองไทย
คุณแจ็คตอบว่าวิธีการลงทุนอาจไม่เหมือนในไทย
มีการกระจายลงทุนหุ้นค่อนข้างสูง
ซื้อหุ้นจำนวนเยอะตัว ผลตอบแทนไม่ได้กลายเป็น20-30 เท่า
ไม่รู้ว่าหุ้นไหนดี เลยตั้งเป้าถือไม่เกิน15ตัว
และซื้อแบบยิงยาว ทิ้งไว้10ปี สมมติโตปีละ26%ก็โตได้ในระยะยาว
เทียบกับตลาดหุ้นไทยวันก่อนมีรุ่นน้องlineมาบอกว่า portวันเดียวโต300ล้านบาท
อีกคนบอกว่า 10ปีก่อนมีแค่ 10 ล้าน แต่ตอนนี้มี 10,000ล้านบาท โดยถือหุ้นแค่2ตัว
คุณพิกุลตอบว่า ลงทุนในไทยแบบfocus ทำการบ้าน เข้าใจธุรกิจก่อนลงทุน
แต่ในเวียดนามการเข้าถึงข้อมูลยาก ไม่สามารถรู้เรื่องได้ดีเหมือนเมืองไทย
เลยใช้วิธี Top down approach
เรามองว่าอุตสาหกรรมใดได้ประโยชน์ ค่อยมาดูว่า บริษัทไหนดีสุดในอุตสาหกรรม
แต่เรื่องCGต้องใส่ใจด้วย เราอยู่เมืองไทย เราจะรู้ว่าคนไหนดี ไม่ดี
แต่ที่เวียดนามเราต้องหาข้อมูลมากขึ้น
คุณเอกพูดเป็นท่านต่อมาว่า ตลาดหุ้นเวียดนามเป็นตลาดFrontier (Note: ตลาดชายขอบ ยังไม่ถึงขั้น Emerging Market)
CG ไม่สูง หาหุ้นเพชรในตมค่อนข้างยาก
เปรียบไทยเมื่อก่อน น่าซื้อหุ้นใหญ่ทีน่าจะโดนตรวจสอบเยอะเช่น หุ้นธนาคาร
ดูปลอดภัยดีกว่าหุ้นเล็กๆ
ผมจะbuy and forget เพราะเวียดนามจะพีคและค่อยstableในอีก10กว่าปีข้างหน้า
แรงงานถูก ตอนนี้คนส่วนใหญ่ยินยอมทำในโรงงาน หาแรงงานง่ายไม่เหมือนไทย
คนทำงานในไทยสนใจไปทำ7-11ซึ่งเป็นส่วนภาคserviceมากกว่าไปทำในโรงงาน
ผมทำแค่นี้ก็รอผลประกอบการ เลือกหุ้นใหญ่เป็นหลัก และ ถือยาวไปเลย
ผมต้องทำงานประจำ และ ซื้อหุ้นเป็นประจำเหมือนฝากธนาคาร
คำถามจากคุณจิตติมาว่ามีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการลงทุนหลังจากนี้ไหม
คุณแจ็คตอบว่า ยึดVI เป็นหลักการ แต่ปรับรูปแบบการลงทุน
ตลาดหุ้นเวียดนามจะ All time high หุ้นที่อยู่ในตลาดต่อไปจะไม่ถูก
วิธีการต้องปรับ อนาคตเราจะมองแม่นขนาดไหน
ต้องvaluationมูลค่าในอนาคต
อย่ายึดติดกับเมื่อก่อนที่PE 7 , div 4%
ตอนนี้ PE 17เท่า,div 3%
ดังนั้นต้องvaluationให้ถูกต้อง
ส่วนคุณพิกุลพูดว่าเป็นเรื่องของทั่วโลกที่หุ้นขึ้นหมดมาจากสภาพคล่องล้นโลก
จากแต่ละประเทศปั้มเงินออกมา
มาดูธุรกิจ และ valuation แบบ conservative
ต้นทุน(cost of fund )ถูกลง ราคาหุ้นยังไปต่อได้
การประเมินมูลค่าตอนนี้ WACC ลดลงจาก10กว่า% เหลือ 7%
ดังนั้นราคาไปต่อได้อีก ทุกธุรกิจเติบโตได้
คำถามที่จะต้องหาคือ Cost of fund ที่ reasonable คือเท่าไหร่
เราต้องคิดว่าราคาในอนาคตสมเหตุผลไหม ถ้าใช่ราคาก็ยังแพงได้อีก
คุณเอกพูดว่า ยังไงเราก็ลงทุนระยะยาวเหมือนเดิม
คุณจิตติมาถามวิทยากรว่า หุ้นตีแตกคือหุ้นไหนบ้าง
คุณแจ็ค บอกว่า ให้พูดถึงหุ้นที่พร้อมที่จะถือยาว
ถามดร ก็บอกว่า ลงทุนในหุ้นSuper stock
ตอนนั้นมาลงทุนแบบไม่รู้เรื่อง ตอนนี้นำมาapplyกับหุ้นในตลาดหุ้นเวียดนาม
Vinmcom (ticker: VIC)มีPE 100 เท่า สมัยนั้นซื้อหุ้นตอนPE40เท่า
เหมือน CPN และ บริษัทลูกที่เป็นretailเข้าตลาด (Vincom Retail, VRE)
เลยยอมซื้อหุ้นแพงตอนหลังบริษัทไปทำเกี่ยวกับรถยนต์ Vin Fast
ส่วนเรื่องท่องเที่ยวก็มีVietjet(VJC) ซึ่งเป็นสายการบินแห่งชาติอันดับ2
ภาพสนามบินยังโตได้อีกเยอะน่าจะเป็นsuperstock
อีกบริษัทคือ บ่าวเวียดBao Viet(ticker: BVH) เป็นบริษัทประกันที่เป็นผู้นำทั้งประกันภัยเละประกันชีวิต ก็น่าสนใจ
ส่วนคุณพิกุลบอกว่า เรามองเทรนใหญ่
Trend consumerเพราะสุดท้ายส่งออกดี จ้างงานมากขึ้นมีการขึ้นค่าแรง
ผู้บริโภคมีกำลังซื้อมากขึ้นทำให้ค้าปลีกน่าจะดี
หุ้นร้านเพชรPNJได้กำไรสามเท่ากว่า
ก่อนหน้านั้น Foreign Room เต็ม ซื้อไม่ได้ เต่ที่ได้มาเป็นช่วงที่เป็นหุ้นที่ซื้อได้เพราะโชคดีที่มีข่าวว่า Dong A Bank ถูกสอบสวน (PNJ ถือหุ้นของ Dong A Bank) บริษัทในเครือญาติมีปัญหา ทำให้ราคา PNJ ร่วงแรงทางคุณพิกุลเลยเข้าไปเก็บ
บริษัทมีสาขาสองร้อยกว่าสาขา ยอดขายหมื่นกว่าล้านบาทต่อปี
หลังจากนั้น SSS (same store sales)โตdouble digit อีกหลายปี
บริษัทPNJ เป็นแบรนด์ที่มีความเชื่อถือ
อีกตัว บริษัทเหล็ก อ่านออกเสียงว่า ท๊อคฟัค
PE ห้าเท่าเอง มีmarket shareเพิ่มขึ้นทุกปี สร้างโรงงานเพิ่มเติม
Utilizationเต็มเร็วมาก ผู้บริหารมีCGดีมาก
กำไรสองเท่ากว่า
วิธีคิด คือ เรามองtrendของประเทศ ซึ่งมีconstructionมาก
เราโชคดี จีนดั้มราคาเหล็ก แต่เวียดนามมีการคุ้มครองผู้ผลิตในประเทศ
ผู้ผลิตเหล็ก (Local producer ) ไม่โดนกระทบ
เพราะรัฐบาลออกมาตรการภาษีปกป้องธุรกิจlocal
คุณเอก บอกว่า (จากนโยบายลดภาษีรถยนต์นำเข้าจากAECเหลือ0%)
ทำให้ค่ายรถยนต์อย่างฮอนด้า ฟอร์ต ชะลอการประกอบรถที่เวียดนาม
แต่มาเร่งผลิตจากไทย อินโด เพื่อเริ่มส่งเข้าเวียดนาม หลังจากคำนวณว่า
ต้นทุนลดลง20% ปรากฏว่ารัฐบาลเวียดนามดัดหลังโดยเพิ่มมาตรการเพื่อชะลอ
การนำเข้ารถ : ผู้สรุป)
รถที่เข้ามามีการเช็คenvironment ทุกรุ่นของแต่ละล๊อต ใช้เวลานานประมาณ 2 เดือน
ต้นทุนการเช็คหลายแสนบาททำให้ต้นทุนการนำเข้ารถจากAECเพิ่มขึ้น
และต้องออก certificate หรือออกกฏเพิ่มป้องกันบริษัทรถที่ส่งเข้าไปเวียดนามแทนการประกอบรถในเวียดนาม
ช่วงปลายธค 17 รัฐบาลเวียดนามให้ส่วนลดภาษีSpare Parts สำหรับนำเข้าอุปกรณ์รถยนต์ เข้ามาประกอบผลิตในประเทศเวียดนาม
ปกติเวียดนามยอดขายรถยนต์300,000กว่าคัน ต่อปี
ผมซื้อvietcom bank ใช้ POS 80%กว่า
ไม่ปล่อยสินเชื่อในบริษัทที่ดูไม่ดี
เป็นธนาคารที่แก้หนี้เสียโดยทำทั้งวิธี IMF , USมาmixกัน
โดยเปิด issue special bond อายุ5ปี โดยยอมให้ทำ amortize
และ เอากำไรมาทำ ทำให้ไม่กระทบกำไรเยอะเหมือนไทย
ซึ่งธนาคารต้องเพิ่มทุน หาคนซื้อยาก
ปกติหนี้เสียเยอะจะทำให้GDPหดตัวมาก
เวียดนามฉลาดมาก ศึกษาว่าไทยเคยล้มอย่างไรก็ไม่ทำ เช่น ไม่เปิด Exim bank
การกู้เงินต่างประเทศ ก็มีโควตา ไม่ใช่ให้บริษัทกู้อย่างไม่จำกัด
ตอนนี้เงินตราต่างประเทศเข้ามา ทุนสำรองมี 3-4 เดือนของนำเข้า และจะเพิ่มขึ้นต่อ
เงินเฟ้อต่ำ Risk ratio ไม่สูงสำหรับธนาคารไปซื้อหุ้น
ถ้าmodel subtainsustainก็ดีด้วย
Vietcapital,SSIได้ประโยชน์จากการที่ตลาดหุนเป็นขาขึ้น
Peitro Vietnam GAS(ticker: GAS)gasเขาเป็นคนสร้างและส่งให้โรงไฟฟ้า ต่างชาติไม่สามารถทำได้ เป็น Monopoly
GAS DE ไม่ถึง 0.3
ส่วนเรื่องการท่องเที่ยว หุ้นที่ซื้อได้ราคาแพง แต่ก็ยังขึ้นได้อีกได้อีก
คำถามต่อมาสำหรับวิทยากรคืออยากให้แชร์มุมที่เป็นประสบการณ์ผิดพลาด
คุณแจ็คตอบว่าที่มีผิดพลาดคือขับรถเลยป้าย มีหุ้นตัวหนึ่งที่ทำรถบรรทุก ได้ประโยชน์จากเหตุกาณ์
การควบคุมน้ำหนักรถเลยทำให้ซื้อหุ้นได้ถูก และ หุ้นขึ้นไป5เท่า ตอนนี้ราคาลงมาเกือบเท่าทุน
มองระยะยาว หุ้นบริษัทนี้ยังพอไหว แต่ก็มีเก็งกำไรบางช่วง ผมไม่อยากขาย
ต้องยอมรับความผันผวนระหว่างทาง
อีกเคส ไปกับน้องเต๋า เจอบริษัทที่ทำเฟอร์นิเจอร์ เชียร์ให้ซื้อ มีการขายที่ดินให้วินกรุ๊ฟ VIN group
เราไม่ได้ซื้อ ปรากฏว่าหุ้นขึ้นแรง แต่หลังจากนั้นลง11floor
เรารอดมาได้อย่างหวุดหวิด
อีกเรื่องเป็นการเสียโอกาส หุ้นบางตัวroomเต็ม(ติดFForeign Limit) ขนาดตลาดตกเยอะยังซื้อไม่ได้
ทำใจซื้อหุ้นpremiumไม่ได้ (หมายถึงซื้อราคาแพงกว่าตลาดตั้งแต่ 7-30%)
เช่น Mobile world(MWG) ถ้าเราซื้อตอนนั้น ก็ขายในราคาpremiumได้
คุณพิกุล บอกว่าจ่ายค่าเรียนเยอะ (ขาดทุนจากการลงทุน)
ตลาดหุ้นเวียดนามมีข่าวเยอะมากเข้าตอนแรก บริษัท JVBC
บริษัทขายอุปกรณ์การแพทย์ เจ้าของจบจากญี่ปุ่น มีสัมพันธ์ที่ดีกับมีHitachi ได้เป็น Exclusive distributor และมาถือหุ้นใหญ่ด้วย มี board seat
ทำmodelการขาย LeasingMobile unit
มีMobile unitไปตรวจร่างกายพนักงานโรงงานญี่ปุ่นถึงโรงงาน (ไม่ต้องเสียเวลาไปโรงพยาบาล) และ คิวเต็มตลอด
ต่อมามีข่าวผู้บริหารโดนจับ ตอนนั้นยังไม่ได้ซื้อ
หุ้นลงมา50% ผู้บริหารญี่ปุ่นบอกว่าจะบริหารเอง
เลยเข้าไปซื้อ ปรากฏว่าหุ้นลงไปอีก 50%
ปรากฏว่าผู้บริหารญี่ปุ่นก็ลาออก สุดท้ายเราเลยต้องออกตาม
แต่มีเคสเจ็บตัวเยอะ คือบริษัท Hoang Huy Services (วังลี HHS)DL
นำเข้ารถจากจีนเพื่อที่จะขายให้ญี่ปุ่น (HDL) เราคิดว่าตลาดน่าจะเติบโตได้ และได้ประโยชน์จากกฎหมายควบคุมน้ำหนัก และน่าจะได้ประโยชน์จากการขนส่ง Logistics เนื่องจากการส่งออกมีมากขึ้น
บริษัทกำไรค่อนข้างดีเพราะเป็นผู้นำเข้ารายเดียว แต่ HDL เป็น dealer
ตอนเข้าหุ้นไปต่อ แต่หลังจากนั้นภาพกลับกัน
ราคาลงมาจุดนึง เลยเข้าไปคุยกับผู้บริหารพบว่า
มีการนำเข้ารถมือสองจากอีกอเมริกาประเทศคิดว่าถือว่าเป็นเรื่องดี
ปรากฏว่าหุ้นยังลงต่อ ราคาหุ้นจนถึง Net-Net(คือเอา current assets – current liabilitiedของบริษัทแล้วยังมากกว่า Mkt cap)ซึ่งถือว่าถูกมาก เพราะบริษัทมีเงินสดเยอะมาก และมีรถยนต์
ถ้าเป็นอย่างที่คิด ถ้ามีปัญหา สามารถขายรถที่มีอยู่ได้ในราคาที่discount20%ก็ยังมีกำไร
แต่สุดท้ายเรามาเจอว่ามีการตั้งบริษัทที่เป็นญาติกัน มาเป็นนายหน้าในการซื้อขาย คล้ายกับมาทำTransfer pricing
ดังนั้นหุ้นเวียดนามมีปัญหาเป็นเรื่องของCGค่อนข้างเยอะต้องระวัง
คุณเอก บอกว่า ผมเทรดแต่หุ้นใหญ่ก็ไม่ค่อยเจอบริษัทที่ไม่มีCG
บริษัทPV gGas ขับรถเลยป้าย ซื้อตอนสี่หมื่น ราคาขึ้นไปและ แต่กลับมาราคาเดิม ยังพอโชคดีที่
ตอนนี้ ราคาขึ้นไปเป็นแสนเหมือนเดิม
คำถามต่อมา จากประสบการณ์การคัดเลือกหุ้นในปัจจุบันช้าไปไหมถ้าเข้าตอนนี้
คุณแจ็คตอบว่า เวียดนามไม่ใช่ประเทศที่ผลตอบแทนอันดับหนึ่ง เพราะประเทศซิมบับเว่ ได้อันดับหนึ่ง
ซึ่งประเทศนี้ดูน่ากลัวกว่าเวียดนามเยอะ
ประเทศเวียดนามคล้ายประเทสไทยเมื่อสมัยก่อนช่วงหลังปี2004 หุ้นไทยขึ้น 100%
ดังนั้นหุ้นเวียดนามขึ้น 47%ถือว่าน้อย
ดังนั้นวิธีดูหุ้นคือ ดูMarket cap เทียบกับ GDPทำให้รู้ว่าหุ้นจะไปต่อได้อีกเยอะไหม
ตลาดหุ้นเวียดนามตอนนี้มีPE 18 เท่า บริษัทมีGrowth 18% ในแง่ PB,Divไม่ขึ้เหร่
ถึงแม้แพงกว่าสมัยก่อน แต่มองอีกสิบปีข้างหน้า
ผมเทียบกับจีน เวียดนามตามจีนอีก 11 ปี
เขาพยายามทำคือไปที่4.0ให้ได้ เพราะมีญี่ปุ่น จีนมาลงทุนในเวียดนามเยอะ
เวียดนามมีอิสระ ไม่กีดกันธุรกิจต่างชาติ เช่น Facebook,Uber,Youtubeเข้ามาทำธุรกิจได้
ไม่มีการกันUber จนlocalจะเจ็ง
เวียดนามมีส่วน4.0 แต่ไทย เป็นแค่ยุค 2.5-3.0 เอง
สรุปว่าไม่ช้าที่จะลงทุนต่อ
คำถาม อยากทราบกลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ
คุณพิกุล บอกว่าเวลาลงทุนจะดู Investment timeframe
Vietnam น่าสนใจถ้าเรามองไป 5 ปีข้างหน้าจะดูน่าลงทุน
ตลาดหุ้นมีความผันผวน มีลง 2%กว่าในวันเดียวกัน
ต้องระวัง Vitalityคนที่ไม่มั่นคง จิตใจหวั่นไหวมีโอกาสขาดทุน
อุตสาหกรรมน่าสนใจ
Consumer ค่อนข้างชัวร์ ถ้ารู้ว่าคนอยากได้อะไร ก็ลองหาดู
อุตสาหกรรมที่เป็นMonopoly
ระยะสั้น Privatization , corporatization เอาบริษัทมาlist เข้าตลาด
คุณแจ็ค ตอนลงทุนแรก อุตสาหกรรมคล้ายไทย
ผมลงทุนไทยและเวียดนาม ลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ประเทศไทยไม่มี
เช่น Tourism ไทยมีโรงแรม
แต่เวียดนาม มี duty free มีสายการบินที่ดีกว่า
ไทย Foodไม่ใหญ่ แต่ที่เวียดนามมีFoodที่ใหญ่กว่าและ listในตลาดหุ้นUS
ธุรกิจBeerก็มี consumerน่าจะเติบโต
Phamasuticle Pharmaceuticalมีบริษัทใหญ่อยู่พอสมควร
Logisticมีทั้งท่าเรือน้ำลึก มี portเต็มไปหมด
MSCI index ประกอบไปด้วยกลุ่มconsumer 50% พยายามมองหุ้นที่ไม่แพงและถือ
คำถามต่อมา แล้วเรื่องค่าเงินน่าเป็นห่วงไหม (ปีที่แล้วค่าเงินบาทแข็งทำให้ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน10%)
คุณเอกบอกว่า คิดว่าเวียดนามมี Balance of payment ดีขึ้น
เขาต้องการให้นักธุรกิจไม่ต้องดูค่าเงินในการทำธุรกิจ
พยายามไม่ให้ค่าเงินแกว่งเกิน 1-2%
ค่าเงินตอนนี้นิ่งมาก
เมื่อก่อนมีสงคราม เงินเฟ้อสูง
คนที่ได้เงินเดือน จะเปลี่ยนเป็นถือทองคำ หรือ ที่ดิน
เศรษฐีทุกคนจะถือassetพวกนี้ไว้
Dollarization ทำให้มีตลาดมืดอัตราแตกต่างกันกับตลาดทางการซึ่งพบในพม่า เขมร
แต่เวียดนามมีวิธีการจัดการ มีการmonitorตลอดเวลา
เดี่ยวนี้ส่งออกดี FDI (การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ) มีคนนอกประเทศโอนเงินเข้ามาเยอะ
ค่าเงินตั้งแต่ปี2012 devalue น้อยมาก ยกเว้นปี 2015 มี Brexit ทำให้ค่าเงินแกว่งเยอะหน่อย
(Stable Foreign Exchange)
แต่ต้องระวัง Publice Debtตอนนี้ติดเพดาน 65% พยายามขอขยายไป 70%แต่ไม่ได้
พยายามขายบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ เพื่อเอาเงินมาลดหนี้ Public Debt
ถ้าไม่เกิดวิกฤต ก็ไม่น่าจะกระทบตลาดหุ้นเวียดนาม
คุณจิตติมาถามว่า อสังหาริมทรัพย์ในเวียดนามก็น่าสนใจ
ระหว่างไทยกับเวียดนาม ถามคุณเอกว่าเป็นอย่างไร
คุณเอกบอกว่า ที่ดินที่อยู่นอกเมือง ราคาถูกหน่อย
รถเยอะขึ้นตลอด ในโฮจิมิน รถยนต์ 500,000 คัน รถมอเตอร์ไซด์
6,500,000 คัน ถ้าตัวเลขรถกลับกัน จะกระทบเยอะ
โครงการจัดสรรหมู่บ้าน ที่ให้คนต่างชาติมาซื้อ ไม่เกิน 30%
ให้เช่า50ปี+50ปี
เวียดนามตอนกู้ ให้จ่าย 90% แล้วมาผ่อนอีก 10%
Urbanizationกำลังเกิดในเวียดนาม คนเริ่มแยกออกมาอยู่เองตามคอนโด
ถ้ารถไฟฟ้าเสร็จก็ยังมีโอกาสโตอีก
ผลตอบแทนอสังหาริมทรัพย์น้อยกว่าหุ้น ให้เช่าคิดเป็น 6-7%
ถามคุณพิกุลเรื่องPrivate fund ขอรายละเอียดของprivate fundของหุ้นเวียดนามที่ดูแลอยู่
คุณพิกุลตอบว่า ลงทุนขั้นต่ำ 3 ล้านบาทโดยไปซื้อหุ้นเวียดนามผ่านกองทุนส่วนบุคคลของPhillip
เราลงทุนโดยตรง รับเงินปีละครั้ง เวลาเราขายทำกำไรถ้าเอาเงินกลับในปีเดียวกันต้องเสียภาษ๊
ดังนั้นเราให้ถอนปีละครั้ง
ส่วนคุณเอกทิ้งท้ายก่อนปิดสัมมนาส่วนนี้ว่าอยากทำงานจนเกษียณที่เวียดนาม
สุดท้ายขอขอบคุณวิทยากรทุกท่านที่มาให้ความรู้ครับ
ขอบคุณ คุณพรชนก พวงสุข หรือ น้องเป้ที่ช่วยเสริมข้อมูลเพื่อให้บทความสมบูรณ์ขึ้น