งานสังสรรค์วีไอครั้งที่2 ปี 2561 รุมหลังงานกับดร นิเวศน์

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

งานสังสรรค์วีไอครั้งที่2 ปี 2561 รุมหลังงานกับดร นิเวศน์

โพสต์ที่ 1

โพสต์

งานสังสรรค์วีไอครั้งที่2 ปี 2561 ของสมาคมไทยวีไอ 27 ตค 2561

ช่วงรุมหลังงานกับ ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
พิธีกร คุณบอล และ น้องเบส


คุณบอลเกริ่นนำ ว่าก่อนจจหน้านี้ บัตรเข้างานสัมมนาครั้งนี้ยังไม่เต็ม แต่พอใกล้วันงาน
มีคนติดต่อมาเยอะมาก ถามว่ายังมีที่นั่งเหลือหรือไม่ ซึ่งปกติช่วงหุ้นตก จะมาร่วมงานกันน้อยมาก
มาเริ่มคำถามข้อแรกกันครับ

Q: ตอนนี้ตลาดหุ้นไทยอยู่ในช่วงไหน
A: อ นิเวศน์บอกว่า เคยพูดเมื่อ3-4 ปีที่แล้วว่า ได้ขายไปพอสมควร แล้วกลับมาตลาดหุ้นอีกครั้งเพราะ
เทียบกับนำไปฝากกับเงินปันผลของหุ้นแล้วมาลงหุ้นดีกว่า ได้ผลตอบแทนสูงกว่า ผมเลยเจ็บตัวไปในรอบนี้
ตอนช่วงหลังเริ่มเห็นสัญญาณตลาดหุ้นไม่ไปไหน ปีที่แล้วก็ออกหนังสือชื่อว่า ลงทุนในตลาดหุ้นSideways
ซึ่งตลาดหุ้นช่วงปี 57-60 ไม่ได้ไปไหนเลย

กลยุทธ์ในการลงทุนมี 2 ทาง คือ
1. ตลาดหุ้นตกแรงๆ แล้วค่อยขึ้นกลับมา
2. ตลาดหุ้นตกช้าๆ และ ไม่ไปไหนไกล

ส่วนตัวอาจารย์คิดว่าเป็นข้อ 1 แต่ไม่เกิดขึ้นเพราะ เม็ดเงินของคนไทยที่ลงทุนผ่านกองทุนรวมหรือลงทุนเอง
มารับที่ต่างชาติขายออกมาช่วงนั้นจนถึงปัจจุบันคิดเป็นยอดขาย 500,000-600,000 ล้านบาท ปีนี้ก็ขายอีก
260,000 ล้านบาท ถ้าเป็นเมื่อก่อนมีการขายจากต่างชาติแบบนี้ ตลาดPanicแล้ว
แต่ตอนนี้ต่างชาติขาย รายย่อยและกองทุนรับ
ช่วงนี้พื้นฐานเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวยต่อตลาดหุ้น คนไทยเริ่มแก่ตัวลง ผลประกอบการบริษัทไม่ค่อยดี
เริ่มมาดีเอาตอนปีนี้ เพราะรัฐบาลก่อนหน้าลดภาษีของบริษัทลง ช่วยประคองไปได้

คนไทยอยู่ในช่วงเก็บเงินมากสุดเทียบกับช่วงที่ผ่านมา มีการออมเงินผ่าน กองทุนประหยัดภาษ๊เช่น RMF,LTF
ซึ่งเป็นตัวหนุนให้หุ้นไม่ค่อยลง
กิจการไม่ค่อยขยายตัว ดังนั้นเจ้าของบริษัทเลยเอาเงินมาลงทุนในตลาดหุ้นแทน
ปีนี้ส่งออกดีขึ้นมาหน่อย แต่ตอนนี้เริ่มชะลอแล้ว ส่งออกของเวียดนามเริ่มตามทันเราแล้ว
นักลงทุนที่มีประสบการณ์ ศึกษามาเพียงพอก็ไปลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ
ซึ่งมีความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวน

ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงไม่ได้นำเงินไปลงทุนในต่างประเทศ ไม่มีทางออกในเรื่องการลงทุน
ซื้อทองก็เจ๊ง Propertyก็เฟ้อมาก เลยเข้าตลาดหุ้นแทน ทำให้ประคองตลาดไปได้
ส่วนตัวอาจารย์เองหลังจากรอPanicมาหลายปีไม่เกิดสักที เลยเข้าตลาดหุ้นรอบใหม่
ปันผลได้แค่5%ก็happyแล้ว และเงินส่วนนึงไปลงทุนตลาดหุ้นเวียดนาม ผลตอบแทนที่ผ่านมา
ได้ปีละ5% ซึ่งน้อยมาก ไม่ได้ดีกว่าเมืองไทย แต่ถือว่าเป็นการDiversify หรือการกระจายความเสี่ยง
รอคนเวียดนามมีรายได้เพิ่ม และ นำมาลงทุนในตลาดหุ้น

ผมลงทุนแบบหว่านแห ทั้งที่หุ้นปันผล 10% แต่หุ้นก็ลง แม้ว่าผู้บริหารบอกว่าจะปันผลปีหน้า 12%
แต่ไม่มีใครสนใจ เพราะมีทางออกที่สามารถหาผลตอบแทนได้มากกว่านี้
กลับมาที่ตลาดหุ้นไทย ด้วยเหตุผลข้างต้น ตลาดหุ้นไทยเลยไม่Panicด้วยพลังเงินของรายย่อยและกองทุน
ดอกเบี้ยต่ำติดดิน บริษัทใหญ่ ธนาคารขนาดใหญ่ กำไรเยอะ แต่ไม่โต เพราะโดนdisruptionในเรื่องค่าธรรมเนียม
ที่หายไป ส่วน Teleco คนมีมือถือกันหมดแล้ว ดังนั้นจะเห็นได้ว่าบริษัทใหญ่ๆโตยากแล้ว
ท่าอากาศยาน (AOT) ซึ่งใหญ่มากแล้ว จะโตมากกว่านี้ก็ยาก ที่กำไรมากๆที่ผ่านมาเนื่องมาจากรัฐบาลและท่องเที่ยวโต
ส่วนธุรกิจโรงแรม ที่มีโรงแรมในตลาดประเทศ ก็มีคู่แข่งมาเปิดตาม ไม่สามารถป้องกันคู่แข่งเข้ามา กำไรก็โตยาก
ส่วนค้าปลีกก็โตช้าลง เพราะคนเกิดในอัตราที่ต่ำลง แทบไม่มีsectorใหญ่ๆที่โตได้ เราเลยต้องกระจายความเสี่ยง
ไปลงในต่างประเทศ

เราผ่านช่วงsuper growthมาแล้ว คนก็ไม่กล้าลงทุนเพิ่ม เพราะอาจมีปัจจัยจากรัฐมาแทรกแซงเช่น ลดค่าธรรมเนียมการใช้สนามบิน เป็นต้น

ตอนนี้ ก็เลยหาหุ้น Deep Value ซึ่งได้ผลตอบแทน 10-15% ก็มีความสุขแล้ว
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: งานสังสรรค์วีไอครั้งที่2 ปี 2561 รุมหลังงานกับดร นิเวศน

โพสต์ที่ 2

โพสต์

Q: นักลงทุนบางคนยังไม่เคยเจอวิกฤตใหญ่ เช่น วิกฤตSubprime ซึ่งตลาดหุ้นตกวันละ10%ติดต่อกัน อยากให้
อาจารย์ช่วยแชร์
A: สมัยก่อนตลาดหุ้นลงแรง ลง10%เป็นเรื่องธรรมดา สมัยนี้ถ้าเป็นเหมือนสมัยก่อน ต่างประเทศขาย5,000ล้านบาท
ตลาดหุ้นก็ตกเป็นเดือนๆ แต่ตอนนี้เปลี่ยนไป ตลาดหุ้นไม่ได้ลงหนัก ถึงมีการขายติดต่อกัน แต่ไม่เจอวันพิฆาต
ตอนนี้คนจะชินว่า เวลาตลาดหุ้นตกก็รอตลาดหุ้นเด้ง เลยไม่รู้ถึงเหตุการณ์สมัยก่อน
ความชินนั้นน่ากลัวมาก หุ้นลงมาได้50% ถึงแม้storyยังดี ยี่ห้อขายได้ดี คิดว่าถูก แต่PEของหุ้นยัง 30 เท่า
คนดูแต่สิ่งใกล้ๆ ยอมรับหุ้นPE 20-30 เท่า คิดว่าราคาลงมาก็น่าจะขึ้นไปได้ ดังนั้นหลายคนจึงเข้าไปซื้อ
ซึ่งที่ผ่านมาก็เด้งจริงๆ ดังนั้นต้องรอให้คนหมดกำลังใจ เงินหมด จึงจะเกิดวิกฤต
สมัยก่อน หุ้นต้องลงจนมีPE 10 เท่าจึงค่อยเข้าไปซื้อ แต่ปัจจุบัน หุ้นที่ลงมามากๆ ก็ยังมี PE 30เท่า
และไม่ใช่หุ้นที่เด่น อันดับในอุตสาหกรรมก็ อันดับ 2-3
ตอนตลาดแย่ อาจารย์แนะนำว่า เราควรเกี่ยงเรื่องราคา สมัยก่อนหุ้นที่มีPE 15 เท่าก็คิดว่ายังแพง
คนที่เป็นHard Core ก็มีการใช้Leverage , Block Trade หรือมีการใช้ margin เพื่อให้มีกำไรเยอะๆ
ถึงแม้หุ้นขึ้นไม่เยอะก็สามารถทำกำไรเยอะ ปัจจัยเหล่านี้ช่วยประคองตลาดหุ้นไม่ให้ลงลึกมาก

Q: อยากให้อาจารย์แนะนำคนที่ไม่เคยลงทุนในตลาดหุ้น จะปรับmindset อย่างไร
A: อาจารย์แนะนำให้ขายหมด ตอนหุ้นวิกฤต PE เหลือแค่10เท่า คนยังไม่ซื้อเลย
ตอนนี้ต้องอย่าให้ความเคยชินมาหลอกลวงเรา ถ้าเกิดการล้างไพ่ ตลาดจะลงหนักมาก
จะมานึกว่าทำไมเราไปซื้อหุ้น ที่มีPE 30เท่าได้อย่างไร
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: งานสังสรรค์วีไอครั้งที่2 ปี 2561 รุมหลังงานกับดร นิเวศน

โพสต์ที่ 3

โพสต์

Q: อาจารย์มีเปลี่ยนตัวหุ้นระหว่างทางหรือไม่
A: ไม่เคยเปลี่ยน เพราะตอนตัดสินใจลงทุนในหุ้นแต่ละตัวนั้น ได้มองแล้วว่า
บริษัทที่เลือกมีโอกาสที่จะชนะในระยะยาวหรือไม่

เราชินเรื่องเกี่ยวกับstartupว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้ประสบความสำเร็จในช่วง20ปีที่ผ่านมา เช่น Facebook
ถ้าเราเจอบริษัทแบบเดียวกันนี้ก็จะซื้อ แต่สถานการณ์เปลี่ยนไปทุกคนรู้เหมือนกันหมด

อาจารย์คิดอีกแบบว่า สมัยก่อนไม่มีคนรู้ เลยประสบความสำเร็จ แต่ในปัจจุบันถ้าคุณทำเหมือนกัน
ไม่สามารถเติบโตได้อย่างFacebook , Google เพราะต้องแข่งขันกับบริษัทใหญ่ๆที่ลงมาแข่งกับเรา หรือบางที
อาจถูกซื้อจากบริษัทเหล่านี้
ตัวอย่างเช่น รถยนต์ไร้คนชับ ก็มีหลายบริษัทที่ไม่ได้อยู่ในวงการ แต่ก็เข้ามาทำเหมือนกัน
เพราะบริษัทเหล่านี้มีเงินสดในมือมาก สามารถลงทุนวิจัย พัฒนาได้ กลายเป็นว่าบริษัทใหญ่ๆก็ต่อสู้กัน
และต้องมีบริษัทที่หายไปจากการต่อสู้ บาดเจ็บกันทั้งหมด ทายไม่ถูกว่าสุดท้ายใครเป็นผู้ชนะ ใครได้ประโยชน์
สุดท้ายก็จะทำธุรกิจคล้ายๆกันหมด

อาจารย์แนะนำว่า เราไม่ควรเข้าไปยุ่งในส่วนที่เราไม่ชำนาญ พยายามหาในส่วนที่ยังไม่มีคนเล่นน่าจะมีโอกาสมากกว่า
มองตลาดเมืองไทย จุดไหนที่เราชนะได้ กินแค่ตรงนี้ก็พอ การซื้อstartupเล็กๆเพื่อหวังโตในระยะยาวเป็นunicornไม่ง่ายเลย เพราะรายใหญ่ดักไว้หมดแล้ว


Q: อยากให้อาจารย์แนะนำว่า จะดูยอดขายต่อMarketcapในแต่ละอุตสาหกรรม ดูอย่างไร
A: ยอดขายในแต่ละproductไม่เท่ากัน เช่น ยอดขายของน้ำมัน หรือ ข้าวซึ่งเป็นสินค้าcommodity ไม่มีความหมาย
เนื่องจากสินค้าอยู่ในตลาดที่มีการแข่งขันสมบูรณ์ ราคาขึ้นกับตลาดโลก

อาจารย์แนะนำให้ไปดูยอดขายที่ก่อให้เกิดกำไรที่ชัดเจน รักษาmarginได้ มีคนfavorสินค้า หรือ เป็นผู้นำมีmarket shareเยอะ หรือ มีต้นทุนที่ต่ำกว่าคู่แข่งเสมอ
ตัวอย่างเช่น บริษัทAppleขายสินค้าในราคาแพงกว่า ถ้ายอดขายโต ก็ส่งผลดีต่อกำไร

ดังนั้นต้องดูเฉพาะยอดขายที่ก่อให้เกิดกำไรที่ชัดเจน ถ้าสินค้ามีความแตกต่าง marginจะเป็นตัวบอกกำไร
ถ้าเป็นสินค้าcommodityจะผันผวน ต้องเฉลี่ยไป


ตัวอย่างเช่น จะคำนวณหากำไรของบริษัทที่ขายน้ำมัน สมมติเรารู้ว่ากำไรจะได้ 2%ของยอดขาย
ดังนั้นคำนวณได้ว่า จำนวนยอดเงินที่ขายในแต่ละปั้ม*2%*จำนวนปั้ม จะรู้ว่ากำไรที่เป็น
longrun / averageว่าได้เท่าไหร่

แต่เราทำผิด คือตอนยอดขายดีๆ marginก็โตเป็น4% กำไรโตพรวด คนก็ขยับ PEจาก 10เป็น20เท่า เพราะถือเป็นหุ้นgrowthรวมถึงกำไรที่เพิ่มขึ้นเท่าตัว ก็เลยให้PEเป็น40เท่า หุ้นเลยขึ้น 4 เท่า อะไรก็ตามที่โตผิดปกติเช่น marginที่ผิดปกติก็อยู่ไม่ได้นาน ทำให้ราคาหุ้นลงพรวด ดังนั้นจะไม่ซื้อหุ้นที่เป็นcommodityที่ขึ้นแรงๆ
sssjjjj
Verified User
โพสต์: 454
ผู้ติดตาม: 0

Re: งานสังสรรค์วีไอครั้งที่2 ปี 2561 รุมหลังงานกับดร นิเวศน

โพสต์ที่ 4

โพสต์

Q: อยากให้อาจารย์แนะนำคนที่ไม่เคยลงทุนในตลาดหุ้น จะปรับmindset อย่างไร
A: อาจารย์แนะนำให้ขายหมด ตอนหุ้นวิกฤต PE เหลือแค่10เท่า คนยังไม่ซื้อเลย
ตอนนี้ต้องอย่าให้ความเคยชินมาหลอกลวงเรา ถ้าเกิดการล้างไพ่ ตลาดจะลงหนักมาก
จะมานึกว่าทำไมเราไปซื้อหุ้น ที่มีPE 30เท่าได้อย่างไร


ข้อนี้พิมพ์ผิดหรือตกหล่นอะไรรึเปล่าครับ ? อ่านไม่ค่อยเข้าใจ
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: งานสังสรรค์วีไอครั้งที่2 ปี 2561 รุมหลังงานกับดร นิเวศน

โพสต์ที่ 5

โพสต์

อาจารย์พูดแบบนั้นเพื่อสื่อให้นักลงทุนอย่าได้ชินกับหุ้นที่มีpe30เท่าแต่คุณภาพธรรมดา
เพราะถ้าหุ้นอยู่ในช่วงวิกฤตจะตกหนักมากเราจะรับไม่ไหว
แต่ถ้าคุณถือหุ้นที่มีคุณภาพและpeไม่สูง อาจไม่ต้องขาย
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: งานสังสรรค์วีไอครั้งที่2 ปี 2561 รุมหลังงานกับดร นิเวศน

โพสต์ที่ 6

โพสต์

Q: อยากสอบถามความเห็นของอาจารย์เกี่ยวกับ อุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้าง และ ตอกเสาเข็ม
A: อุตสาหกรรมรับเหมามากับประชากรที่เพิ่มขึ้น และ รวยขึ้น แต่ตอนนี้เด็กเกิดใหม่น้อยลง
Facilityที่สร้างมาเยอะ สะสมมาเรื่อยๆ Mega projectที่เกิดขึ้น สุดท้ายเป็นอย่างไร
การที่ประเทศญี่ปุ่นไมร่วมลงทุนกับโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงที่ไปเชียงใหม่จากข่าวเมื่อวันที่ 26 ตค 18
ความคิดเก่าเกี่ยวกับว่าจำเป็นต้องมีรถไฟฟ้าความเร็วสูง สุดท้ายสร้างขึ้นมาก็เจ๊ง จริงๆนาทีนี้ใช้เครื่องบินดีกว่า
ถ้าญี่ปุ่นถอยก็รอรัฐบาลหน้ามาตัดสินใจ ท้ายสุดก็ขึ้นกับcapacity
การรับงานpublicเป็นธุรกิจสีเทา กำไรได้มาจะถึงกระเป๋าเราเท่าไหร่
ธุรกิจเสาเข็ม มีข้อดี คือ กำไรจากการเก็บเงินหลังงานเสร็จ ไม่ต้องรอตึกเสร็จ คำนวณง่าย มีmarginค่อนข้างดี
กำไรจะโตมากในช่วงนี้ กำไรเพิ่ม ถ้าให้PEเพิ่มอีก เราก็จะติดกับดัก PEเพิ่ม เราเข้าไปซื้อของแพง บางคนคิดว่า
ซื้อแพง ก็ขายแพงกว่า แต่มีคนอื่นรู้ดีกว่าเรา
หุ้นเสาเข็มไม่ใช่หุ้นGrowth เพราะว่าถ้าprojectหมด ก็กลับมาสู่ช่วงปกติ ซึ่งปกติPEไม่เกิน 10 เท่า
ระยะสั้น PEสูงได้จากนักเก็งกำไร เป็นเหตุว่าหุ้นตัวเล็กมีmarket cap 10,000-100,000 ลบ ตัวอย่างเช่น
บริษัทขายขนมทำไมจะโตได้ขนาดนี้ ถึงแม้เขาบริหารดีกว่า แต่ธุรกิจไม่ใช่ธุรกิจหลักในเมืองไทย อาจมีคู่แข่งเข้ามาได้

Q: ราคาห้นบางตัว เช่น Jxxxt ลงมาเยอะสุดในปีนี้ เกิดอะไรขึ้น จะเจ๊งไหม มีโอกาสกลับเหมือนเดิมไหม
A: ตอนหุ้นขึนมีstory : JxT, Jaxxxt อะไรก็ดูดีหมด มือถือก็เป็นผู้นำ พยายามทำเป็นหุ้นgrowth
ตอนนี้กลับมาสู่ความเป็นจริง ขายมือถือเท่าไหร่ marginเท่าไหร่
ตอนนี้ต้องเข้าสู่ความเป็นจริง ควรมีmarket cap เท่าไหร่ ถ้าresonableก็ถึงจะเข้าไป
Marketcapรวมหนี้ด้วย ถ้าเราวิเคราะห์แบบนี้ได้ ตัวธุรกิจขายมือถือไม่มีvalue marginบางมาก

Q: Bond 10 years Yieldเพิ่ม มีโอกาสเกิดวิกฤตไหม
A: มีโอกาส เพราะถ้าYieldสูง คนหันมาซื้อBondแทน เวลานั้นคนย้ายจากหุ้นมาBond มีผลสูงมาก
คนกลัวมา ดอกเบี้ยขึ้นแรงๆ แต่ยังมั่นใจดอกเบี้ยในไทยไม่ขึ้นแรง เพราะว่าเงินยังมีอยู่เยอะ ไม่มีทางไป
รัฐบาลพยายามกดอัตราดอกเบี้ย ทำให้ความเสี่ยงมีแต่ไม่สูงมากเมื่อเทียบกับสหรัฐ แต่ถ้าสหรัฐเกิดไป
เราก็โดนไม่แรง และ ฟื้นตัวได้

Q: อาจารย์มีการขายหุ้นบางตัวไป อยากให้ช่วยแนะนำว่าปัจจัยอะไรที่ทำให้ขายหุ้นไป
A: ส่วนใหญ่ดูfundamental ราคาเป็นส่วนน้อยที่เป็นตัวตัดสินใจในการขาย
หุ้นตกไม่ใช่ประเด็นในการขาย เวลากิจการดี สุดท้ายราคาก็กลับมา
ตอน Hmpro เปิด Magahome มีคู่แข่งเช่น ไทวัสดุ Global houseเข้ามาตลาดใกล้เคียง
แทนกันได้เยอะในต่างจังหวัด อีกหน่อยก็แย่ คนที่improveบ้านแบบ middle income ก็จะไปที่อื่น
ผมซื้อHmproมา10ปี ราคาขึ้นก็เลยขายหมูไป เพราะว่าหลังจากการขาย ราคาก็ขึ้นไปอีก ต่อมาซื้อ
QHซึ่งถือHmpro 25% valuationได้ ขยายไปมาเลเซีย ถ้าธุรกิจที่นั่นลงตัว ก็เป็นตัวเร่งได้
ช่วงนี้ Hmpro ขึ้นสวนกระแสมาตลอด
การซื้อหุ้น QH เหมือนการซื้อหุ้น Hmpro ในราคาdiscount ปันผลดี ดูแลผู้ถือหุ้นดี มีธรรมมาภิบาล
ส่วน BCP ซื้อมาก่อน BCPG เพราะตอนหลังหาหุ้นซื้อยาก ส่วนsuper stock ราคาแพงเวอร์มาก
เลยหาหุ้นแบบ Supercheap stockแทน BCP ราคาค่อนข้างถูก ปันผล 5-6%
Commodity long run ,marginบาง 2-3% แต่ยอดขาย แสนล้านบาท ได้กำไร 2,000-3,000 ล้านบาท
ประกอบกับ ลงทุนในธุรกิจBattery ซื้อบ่อน้ำมัน ซึ่งอาจารย์ไม่เห็นด้วย เพราะเจ๊งไปบ่อนึงแล้ว
ถือหุ้น50%ในโรงเอทานอลด้วย P/B 1 เท่า , PE < 10 เท่า ปันผล 5-6% ดูย้อนหลัง 5-6 ปี
มีเงินสำหรับจ่ายปันผลได้ Cash flowดี , EBITDA / cash 10,000 กว่าล้านบาทต่อปี
Market cap 50,000 ลบ แสดงว่าเก็บแค่ 3-4 ปี ก็คืนหมดแล้ว พอใจกับปันผล 5%
BCPG มั่นคงน้อยกว่า BCP เป็นหุ้นแนว growth

Q: วิกฤต ถ้าเกิดจริงๆ อาจารย์สนใจหุ้นUS, VN หรือ ไทยครับ
A: น่าจะเป็นหุ้นไทย เพราะเรารู้ดีกว่าหุ้นในตลาดอื่น เวลาลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม
เห็นว่าหลายอย่างไม่เหมือนกับไทย เกณฑ์การทำธุรกิจ มีความแตกต่าง
ถ้าย้อนหลังไปได้ ประเทศเวียดนามตอนนั้นกำลังพุ่ง ย้ายโรงงานจากไทยไปเวียดนาม
ทำให้เรารู้สึกว่าเวียดนามจะเป็น Next Thailand and Beyond
เราเข้าตอนเริ่มต้น น่าจะได้กำไร และต้องการdiversify เพราะเห็นriskในไทย
อาจารย์ใช้robotหาหุ้นจากเกณฑ์ที่อาจารย์กำหนด และ ซื้อลงทุนไป 100 กว่าตัวที่เข้าเกณฑ์
แต่3 ปีไม่ไปไหน ลงอีก ได้แต่ปันผล และ ปกติต้องปรับportทุกปี แต่ไม่มีสภาพคล่องให้ปรับportเลย
ยังหวังว่า ตลาดหุ้นเวียดนาม รายย่อยจะแห่มาเล่นจนPE 40 เท่า ครั้งนึงในชีวิต ซึ่งคุ้มมาก

Q: ตอนวิกฤต ตลาดหุ้นเวียดนามจะแย่กว่าไทยไหม
A: ตอนนี้ก็ลงไปเยอะแล้ว หุ้นที่อาจารย์ลงไปส่วนใหญ่เป็นของรัฐ ไม่มีแรงจูงใจใรการเติบโต
แต่ถือว่าเป็นการกระจายการลงทุน

Q: อยากให้อาจารย์ช่วยแชร์ประสบการณ์ความผิดพลาดมาแบ่งปันเพื่อเป็นกำลังใจ
A: ความรู้ที่เรียนมาอาจผิด แต่สถานการณ์ที่ผ่านมา ทำให้หุ้นขึ้นมา
บางทีรวยจากการผิด ถ้าเราลงอย่างไม่ถูกต้อง จะไม่ยั่งยืน
วอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยขาดทุน แต่ยืนอยู่บนฐานที่ถูกต้อง
ถ้าเกิดความเสียหายขึ้น ก็ฟื้นมาได้
นักเก็งกำไรระดับโลก บางครั้งรวยกว่าวอร์เรน แต่ก็มีโอกาสขาดทุนและหายไป
ให้ล้างสมอง ไม่ได้อยู่ตอนนี้ แต่ไปอยู่ตอนวิกฤต ไม่มีสภาพคล่อง ไม่มีการเชียร์หุ้น
คุณจะให้valueเท่าไหร่ วอร์เรนไม่เคยซื้อของแพง
ตอนซื้อapple PE 10กว่าเท่า เขาซื้อหุ้นราคาถูก
บางทีต้องคิดว่าแต่ละคนมีจุดยืนอย่างไร
เวลาขึ้นดีมากๆ ได้ไม่ค่อยมาก แต่เวลาตลาดลง ขาดทุนไม่เยอะ ประมาณ 20% แต่หลายคนเจอขาดทุน 50%
วอร์เรน ไม่เคยเจอกำไรเกิน 100% มีแค่2ปีที่กำไรเยอะ กำไร 40-45%ต่อปี อาศัยความอึดและทน ไม่ตื่นเต้นมาก
ปกตินักลงทัเวลาหุ้นตก ก็เศร้า ทำใจให้มันผ่านไป เราต้องรอหุ้นขึ้นในอีก2-3 ปี ซึ่งทำยาก แต่ผมรอเป็น 10 ปีเลย
ร้านสะดวกซื้อ ก็เคยลงหนักๆมาหลายรอบ รอบละ 10-20% บางทีก็หาสาเหตุไม่ได้ว่าทำไมลง
เราต้องมั่นใจในธุรกิจ อนาคตขยายสาขาได้อีก ยังพอถือได้

Q: คำแนะนำสำหรับคนที่ซื้อไปแล้วตอนPE สูง จะปรับportอย่างไร
A: ระยะต่อจากนี้หลายปี จะกลับมาเป็นช่วงของหุ้นvalue เน้นหุ้นถูก อนาคตค่อนข้างโตยาก
หุ้นgrowthดีๆ ค่อนข้างแพงซึ่ง downside risk สูง
ต้องปรับเปลี่ยนความคิด ล้างสมอง กลับมาเริ่มต้นใหม่ ไม่รับรู้ว่าหุ้นขึ้นแบบนี้
เล่นกันแบบบ้าคลั่ง กำไรเป็น 100% ซึ่งเป็นอะไรที่ผิดปกติ
การลงทุนต้องค่อยๆไป ได้ ปีละ 10-15% ก็ทำให้ฐานะการเงินดีขึ้นแล้ว
หวังแต่ financially ดีขึ้น ตอนเข้าตลาดหวังปันผลอย่างเดียว สุดท้ายอยู่ที่คนในบริษัท
เวลาไปเที่ยวก็ดูพฤติกรรมของคนแต่ละประเทศ เปรียบเทียบกับคนไทย
วัดได้ถ้าคนมีศักยภาพ ท้ายสุด ประเทศมีความก้าวหน้า
ตอนนี้เราเจริญกว่า เขามีปัญหาเรื่องระบบ ถ้าแก้ได้ก็เจริญกว่า
จีนเมื่อ30ปีที่แล้วล้าหลัง จีนที่อยู่นอกประเทศเจริญกว่า พอเปลี่ยนแปลงระบบ ก็เจริญอย่างรวดเร็ว
ขึ้นอยู่กับคน ดังนั้นที่เวียดนาม อย่างไรก็เจริญ ถือเป็นเสือตัวต่อไป

สุดท้ายขอขอบคุณ อาจารย์นิเวศน์ และ คุณบอล น้องเบสมากครับ
โพสต์โพสต์