MoneyTalk@SET20ตค61เรียนต่อป.โท&กลยุทธ์รุ่นเก๋า
- i-salmon
- Verified User
- โพสต์: 293
- ผู้ติดตาม: 0
MoneyTalk@SET20ตค61เรียนต่อป.โท&กลยุทธ์รุ่นเก๋า
โพสต์ที่ 1
Moneytalk@SET 20/10/2561
ช่วงที่1 “ยุค AI เรียนต่อ ป.โทอะไรดี?”
1. คุณ วิวรรธน์ เหมมณฑารพ / CEO บมจ. ปัญจวัฒนาพลาสติก
2. รศ.ดร.ธัชวรรณ กนิษฐ์พงศ์ / รองคณบดี NIDA BUSINESS SCHOOL
3. คุณ ณัฐ ตราฐิติพันธุ์ / ที่ปรึกษาด้านการจัดการความเสี่ยง
4. คุณ อภิวัฒน์ เจริญรุ่งทรัพย์ / Project Manager, aCommerce
5. คุณ เจนจิรา ศรีดี / ที่ปรึกษาอิสระ Digital Marketing
ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ.เสน่ห์ ศรีสุวรรณ ดำเนินรายการ
เกริ่นนำ
อ.ไพบูลย์ ปัจจุบันการเรียนมหาวิทยาลัยลดลงอย่างมาก
มหาวิทยาลัยเอกชนไทยหลายแห่งก็ผลประกอบการตกต่ำลง
รวมถึงคนจะเรียนปริญญาโทสมัยนี้ก็เริ่มมีความคิดว่าจะเรียนไปทำไม
ในเมื่อ สตีฟจ๊อบ,มาร์คซัคเคอร์เบิร์ก ก็ไม่เรียนหนังสือจบ
ที่จริงคนที่ไม่เรียนแล้วประสบความสำเร็จมีน้อย
แต่คนที่เรียนหนังสือจบแล้วประสบความสำเร็จมีมาก
สิ่งสำคัญตอนนี้ต้องเลือกเรียนให้เหมาะสม จะเรียนมั่วๆไม่ได้
ยุค AI ต่างจากอดีตอย่างไร? การเรียนในยุคนี้มีความจำเป็นแค่ไหน?
อ.ธัชวรรณ
อ้างอิงจากที่ฟัง อ.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธาน TDRI
แบ่ง AI(ปัญญาประดิษฐ์) เป็น 3 เรื่อง
1.หุ่นยนต์อัตโนมัติ
2.AI ที่ใช้คิดวิเคราะห์ในโลกปัจจุบัน
3.AI ที่มีชีวิตจิตใจแบบในภาพยนตร์
เรื่องที่ 1 AI หุ่นยนต์อัตโนมัติ
มีการนำเข้ามาใช้ในอุตสาหกรรมสักระยะแล้ว
ใช้ทดแทนการทำงานของมือคน
เนื่องจากเริ่มขาดแคลนแรงงาน หุ่นยนต์อัตโนมัติจึงมาทดแทน ในการทำงานซ้ำๆ
ประเทศไทยมีอัตราว่างงาน 1.3% ถือว่าต่ำมาก เราขาดแคลนแรงงาน
สังเกตว่าเรามีการใช้แรงงานต่างด้าวค่อนข้างมาก
พอเข้ามายุคปัจจุบันเริ่มได้ยินยุครถยนต์ขับเคลื่อนโดยไร้คนขับ
หลายอาชีพจะหายไป เช่น คนขับ taxi, คนขับรถ bus
บริษัทใหญ่ เช่น uber ประกาศว่ากำลังพัฒนารถยนต์ไร้คนขับ รวมถึงรถบรรทุกไร้คนขับด้วย
อีกอาชีพที่จะหายไป คือ เด็กเสริฟ ก็จะมีหุ่นยนต์มาเสริฟแทน เช่น MK มีการทำโรบอทมาใช้แทน
มีที่จามจุรีสแควร์ จากบริษัท CT Asia Robotics เป็นบริษัทไทยเจ้าเดียวที่ผลิตหุ่นยนต์ส่งไปญี่ปุ่น
คุณอภิวัฒน์ เสริม AI นอกจากที่มีใช้ในอุตสาหกรรม
ตอนนี้เริ่มนำมาใช้ในวงการแพทย์เพื่อวิเคราะห์โรคต่างๆได้ละเอียดและแม่นยำมากขึ้น
และมีการนำหุ่นยนต์มาช่วยบำบัดฟื้นฟูหลอดเลือดสมอง,อัลไซเมอร์
ซึ่งจะมีงานวิจัยต่างๆ ที่จะฟื้นฟูอาการเหล่านี้ได้
หุ่นยนต์ที่ใช้งานที่ MK ใช้บริการช่วยเสริฟและบริการลูกค้า สามารถป้อนคำสั่งได้
จะมีใช้กล้อง VR จับร่างกายคนและเล่นเกมกับลูกค้า เป็นอีกก้าวที่มีบริษัทไทยที่ทำด้านนี้
อ.ธัชวรรณ ต่อ
เรื่องที่ 2 AI ที่ใช้ในโลกปัจจุบันจะมาทดแทนหลายอาชีพที่ใช้สมอง
คิดวิเคราะห์แทนมนุษย์ได้ อาชีพจะตกงาน เช่น
แพทย์
สามารถใช้ AI วินิจฉัยโรค หรือโอกาสเกิดโรคได้
ทนายความ
มีตัวอย่าง AI ที่พัฒนาโดย Joshua Browder
เขาโดนใบสั่งเยอะมากใน 1 เดือน
ถ้าต้องจ่ายค่าใบสั่ง หรือค่าทนายคงเสียเงินเยอะมาก
จึงสร้าง AI ที่ให้คนทั่วไปใช้ได้ และคนได้ใบสั่งวิเคราะห์ได้ว่าคุณผิดจริง หรือไม่ผิด
กรณีที่ไม่ได้ทำผิด AI จะร่างหนังสือส่งไปที่ศาลให้ โดยไม่ต้องพึ่งทนาย
ได้ทดลองไป 2 แสนกว่าเคส พบว่าชนะคดี ราว 1.6 แสนราย จึงประหยัดค่าทนายไปเยอะมาก
อาจารย์
ก็เป็นอาชีพที่อาจตกงานได้
เช่น แมคกรอฮิว มีผลิตสื่อการเรียนการสอน และอาจนำมาเป็นอาจารย์สอนแทนในเวบของเขาเอง
หรือที่ญี่ปุ่น,เกาหลี มีโรบอทใช้สอนพูดภาษาอังกฤษ ทดแทนอาจารย์
เรื่องที่ 3 AI ที่เกี่ยวกับเรื่องความรู้สึกนึกคิด
มีความรู้สึกรักโลภโกรธหลง เห็นอกเห็นใจได้
มีหลายค่ายที่บอกว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นได้เป็นเรื่องชีววิทยา
เพราะโรบอทเป็น algorithm ให้คิดประมวลผลจากข้อมูล
สมองของ AI ที่จะประสบความสำเร็จได้ขึ้นกับข้อมูลที่ใส่เข้าไป
เราจึงได้ยินเกี่ยวกับ Big data, data mining
ในยุค AI จะเรียนอะไรดี ?
อ.ธัชวรรณ การศึกษาไทยที่จะเก่งคณิตศาสตร์ไทยเทียบในโลกถือว่าค่อนข้างต่ำกว่ามาตรฐาน
คนที่จะทำได้ดีต้องเจาะลึก และผลิต AI มาแข่งขัน ซึ่งอาจจะทำได้ยาก
มองอีกมุมหนึ่ง softside(ด้านที่ไม่ใช่ความรู้เชิงเทคนิค) ก็มีโอกาสจะทำ AI ได้
หากเราเป็นเจ้าของไอเดีย และจ้างคนอื่นผลิตก็ได้
เชื่อว่าการเรียนบริหารธุรกิจในศาสตร์ใหม่ จะช่วยปรับตัวเราให้ทันกับยุค ai ได้
ผู้บริหารก็สามารถใช้ AI มาช่วยพัฒนาให้องค์กรเติบโตได้
เช่น big data, data mining, design thinking, digital marketing, e-commerce
สัมภาษณ์ศิษย์เก่าที่ได้เรียนจบจากนิด้า 4 ท่าน
สัมภาษณ์คุณวิรรธน์
จากที่เคยเรียน mba หลักการยังใช้งานได้ แต่เนื้อหาสาระมีการเปลี่ยนแปลง
หลักของmba คือเรียนไปทำธุรกิจ หรือทำเงิน จึงต้องเข้าวิธีการทำเงินขององค์กร
หรือ business model
มีคนใช้เงิน กับคนจ่ายเงิน
ผู้บริโภคจะจ่ายเงิน ต้องมี pain เช่น หิว,หาหมอ, โดยสารเครื่องบิน
การเรียนมาเพื่อตอบสนองความต้องการ และสร้าง business model ที่ตอบสนองได้
ในแง่ AI เป็นเครื่องมือพัฒนาอุตสาหกรรม 4.0
ประเทศไทยอยู่ราว 2.0, การใช้โรบอทคือ 3.0 แต่ 4.0 คือ เครื่องจักรคุยกันได้เอง
เช่น ญี่ปุ่น มีปัญหาผู้สูงอายุมากขึ้นในชนบท, อยู่กันเองไม่ได้อยู่ลูกหลาน, เดินทางกันเองก็ยาก
จึงมีการพัฒนารถยนต์ไร้คนขับ ต้องพัฒนาระบบให้เอื้อให้ระบบทำกัน เช่น ระบบไฟฟ้า,ระบบ infrastruceture,
ถนนต้องตีเส้นให้ระบบเห็นได้
AI เป็น cognitive thinking จะคิดแทนเราได้ เหมือนหมากรุกที่แข่งชนะคนได้ถ้าเราเดินรูปแบบเดิมๆ
โลกอนาคตจะมีแรงงาน 2 ขั้ว คือ
ขั้ว 1 คือ แรงงานถูกมาก แล้วหุ่นยนต์แทนที่ไม่คุ้ม
ขั้ว 2 คือ ฉลาดมาก ที่หุ่นยนต์แทนไม่ได้
คือ คิด business model กับ เอา business model ไปทำเทคโนโลยีออกมา
ดังนั้นจะเรียนหนังสือต้องถามว่าจะเรียนแนวไหน
ถ้ามีพื้นฐานไม่ใช่วิศวกร ก็ต้องเรียนเรื่องที่เป็น business model ทำอย่างไรให้ได้เงิน ให้ผู้บริโภคพอใจ
แต่ถ้าเรียนเป็นวิศวกรก็ต้องเรียนไปสร้างให้ใช้ประโยชน์ได้
โรงงานตัวเองที่อยู่ในจีน มีเครื่องทำพลาสติก เครื่องหล่อเย็น เครื่องบดเศษพลาสติค เครื่องผสมเม็ดพลาสติค
และมีเครื่องต่างๆที่เกี่ยวข้อง
ในอดีตช่างต้องทำความเข้าใจทีละเครื่อง แต่ตอนนี้เริ่มเครื่องให้เครื่องจักรเข้าใจกัน
เช่น ถ้าน้ำเย็นเริ่มตัดต่อบ่อย แสดงว่าชิลเลอร์กำลังมีปัญหา จะส่งผลให้แม่พิมพ์ และเครื่องจักรมีปัญหา
แทนที่จะรอให้น้ำเย็นมีปัญหา ก็ใช้เซนเซอร์จับให้รู้ก่อน
ถ้าน้ำเย็นมากชิ้นงานจะไม่ขึ้นรูป ถ้าชิ้นงานร้อนจะช้า ซึ่งจะนำมาสู่ระบบผสมที่สัดส่วนเปลี่ยนแปลงไป
เรื่องเหล่านี้คือ 4.0 ที่เปลี่ยนแปลง
แม้เรียน MBA จะทำเรื่องเหล่านี้เองไม่ได้ แต่จะนำข้อมูลมาบริหารจัดการ
เอามาวิเคราะห์ต้นทุน ประสิทธิภาพทำงาน วิเคราะห์คุณภาพ วางแผนผลิตเพื่อส่งของให้ลูกค้า
เชื่อว่าการเรียน MBA ยังสามารถใช้ประโยชน์ได้อยู่ แต่ต้องปรับตัวให้ทันกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป
ส่วนเป็นลูกคนจีน สมัยเด็กคุณพ่อสอนว่าไม่ต้องเรียนเยอะ จบมาก็ให้ทำงานเลย
แต่พอท่านออกสังคมเยอะขึ้น ท่านก็บอกว่าเรียนให้เยอะ ต้องมีข้อมูลเยอะ ต้องรู้จักคนเยอะ
การรู้จักคนไม่ใช่แค่หา connection แต่ให้เรียนรู้ว่าเขาคิดอย่างไรที่ไม่เหมือนเรา เป็นการแบ่งปันวิธีคิด
การเรียนไม่จำเป็นต้องเรียนจบเกรดสูง แต่ให้เข้าใจวิธีการเอาความรู้มาใช้ และรู้จักคนบ้าง
สำคัญคือต้องมีวัตถุประสงค์ เรียนจบแล้วจะไปทำอะไรบ้าง อย่าใช้เวลาแค่ในห้องเรียน ต้องใช้เวลากับเรื่องต่างๆรอบตัวด้วย
อ.เสน่ห์ เล่าเสริมเรื่องประเทศจีน
ปัญหาคือ คนจีนมีวัฒนธรรมเสียงดัง และชอบถ่มน้ำลาย
ซึ่งในปี 2008 ประเทศจีนจัดโอลิมปิค มีการออกกฏหมาย
และสั่งปรับควบคุมพฤติกรรม ซึ่งช่วยแก้ปัญหาได้ชั่วคราว
ต่อมามีเทคโนโลยี AI รัฐบาลลงทุนทำ Face recognition
ใช้กล้องวงจรปิด จดจำหน้าคน จับหน้าคนทำผิดแและตรวจสอบประวัติคนได้
พอมีระบบที่ช่วยจับและส่งเก็บค่าปรับ จึงแก้ปัญหานี้ได้
คุณวิวรรธน์ ประเทศจีนมีบุคลากรเยอะ แต่ทักษะพัฒนาช้ากว่าญี่ปุ่น
เมื่อเทคโนโลยีเข้าา ก็ข้ามไปใช้ automation ไม่ต้องรอแรงงานมีฝีมือ จึงมีแรงงาน 2 ขั้วชัดเจน
คนจีนใช้คอมพิวเตอร์ใช้มือถือเก่ง ซื้อของออนไลน์เก่งมาก ขนาดสั่งกาแฟออนไลน์ ไม่ต้องใช้เงินสด
การใช้ wechat pay จะเป็นสิ่งที่สะดวก เขาไม่ค่อยชอบรับเงินสดเป็นภาระ
สัมภาษณ์คุณเจนจิรา
จบ MBA มี.ค.61 ทีผ่านมา เคยเรียน international business การตลาดระหว่างประเทศ มาก่อน
โดยเรียนจบมาปีครึ่ง และมาเรียนต่อป.โทที่ นิด้า ซึ่งไปช่วงไปทำงานการตลาดในประเทศ
ที่เลือกเรียนนิด้า ได้ยินตั้งแต่สมัยปริญญาตรีว่าถ้าจะเข้าที่นี่ต้องได้เกียรตินิยม ต้องเก่ง จึงตั้งเป้าเรียนให้ดีตั้งแต่ตอนนั้น
MBA มี regular เหมือนปริญญาตรี จันทร์-ศุกร์
Flexible MBA เรียน เสาร์-อาทิตย์ เหมาะกับคนทำงาน,
Young Executives MBA เหมาะกับผู้บริหารอายุน้อย,
Executives MBA เหมาะกับผู้บริหารมาเรียน
ตอนนี้จัดตั้งบริษัทเองชื่อ Your MKT แปลคือการตลาดของคุณ
ทำหน้าที่ช่วยดูแลด้าน digital marketing ให้ทั้งบ.เอกชน ในตลาดและนอกตลาดหลักทรัพย์
ปัจจุบันสื่อที่เราใช้เป็น digital มากขึ้น อย่างที่จีนไม่ต้องใช้เงินสด ไม่ต้องเดินห้าง สั่งซื้อออนไลน์ได้
หลายองค์กรมีปัญหาไม่สามารถทำตลาดได้ดีในยุคปัจจุบัน เพราะผู้บริโภคเปลี่ยนไป
สมัยเรียน มีวิชาวิจัยการตลาด อาจารย์ให้นักเรียนประชาสัมพันธ์โครงการบริหารการตลาด โดยฝึกปฏิบัติจริง
ทำให้ได้ประยุกต์ความรู้วิชาการในชีวิตจริง และต้องให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วในปัจจุบัน
อาจารย์จะคอยชี้แนะแนวทาง ซึ่งหลังจากเรียนจบก็มีหลายองค์กรมาติดต่อให้เราทำการตลาดให้
โดยเขาเห็นจากสื่อที่เราใช้ และชอบผลงาน ทำให้จบแล้วก็มีงานต่อทันที
หลายบริษัทที่ดูแลให้มี in-house marketing ในบริษัท แต่ไม่ประสบความสำเร็จ
บางบริษัทการตลาด offline เขาประสบความสำเร็จ แต่พอตลาด online เป็นเบอร์รอง
ซึ่งตอนนี้ใครชนะในตลาด online เข้าถึงคนได้มากกว่า ทำให้ไปได้เร็วกว่า
Inbound marketing คือ การตลาดแบบเดิม ออกไปหาลูกค้า เช่น ไปออก booth
แต่ outbound คือ ให้คนมาเราเอง เช่น search หา
เมื่อก่อนจะซื้อสินค้า ไปดูแล้วชอบ แต่ตอนนี้คนสามารถดูแล้วเปรียบเทียบได้ทันที
สรุปคือ จากที่ได้เรียน และปฏิบัติ เกิดผลงานเป็นการต่อยอดที่เร็ว
ทำให้เรียนจบมี.ค.61 มาไม่กี่เดือนก็สามารถร่วมกับทีมที่เรียนด้วยกัน จัดตั้งบริษัทดูแล marketing ได้
ความรู้ที่เรียนมาพอไหม?
คุณเจนจิรา สิ่งที่ทำก็อยู่ใน scope ทันกับที่เรียน
แต่ถ้าจะเรียนเพิ่มก็อยากเรียน big data หรือ data mining เป็นการจัดการฐานข้อมูลขนาดใหญ่
สังเกตหลายองค์กร เริ่มเก็บข้อมูลลูกค้าทุกคนเป็น membership เก็บข้อมูลส่วนตัว การซื้อของ
บางครั้งไปห้างก็จะเห็นว่ามีข้อมูลเด้งโปรโมชั่นทันที หรือเอาข้อมูลมูลมาวิเคราะห์ให้เป็นประโยชน์
เช่น Walmart มีทำ big data พบว่า คนมาซื้อเบียร์ ต้องมาซื้อแพมเพิร์สด้วย
เขาพบว่าเป็นพ่อบ้าน ที่ต้องมาซื้อผ้าอ้อมให้ลูก
นักการตลาดจึงนำ ผ้าอ้อม ไปวางชั้นใกล้กับเบียร์ ผลทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นมาก
ถ้าเราสามารถวิเคราะห์และประยุกต์ได้ตรงจุดยิ่งขึ้น เรียกว่า customize
สัมภาษณ์คุณอภิวัฒน์
ทำ e-commerce จะมี digital marketing มาเกี่ยวข้องด้วย
ส่วนใหญ่เราน่าจะเคยซื้อของผ่านออนไลน์ ซึ่งการตลาด e-commerce มีหลายแบบ AI เริ่มเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง
สมัยนี้เวลาซื้อสินค้าออนไลน์ สินค้าที่เราเห็นมักเป็นสิ่งที่เราสนใจอยู่ เพราะมีการเก็บข้อมูล
คอมพิวเตอร์จะเก็บข้อมูลตั้งแต่เราไป search หา หรือ คลิก แล้วเอามาประมวลผลแสดงให้เราซื้อมากขึ้น
ตอนเรียนจบ YMBA เมื่อปี 60 เรียนจบ computer science เคยเป็นโปรแกรมเมอร์มาก่อน
ทำหน้าที่ผลิตโปรแกรมหรือระบบมาก่อน รวมถึง AI
ซึ่งที่จริง AI มีมาตั้งนานแล้ว เราสร้างเพื่อเอามันมาใช้งาน ที่น่าสนใจคือเราต้องไม่ถูกมันควบคุม
จะบริหารจัดการมันอย่างไร รวมถึงอยากมีธุรกิจของตัวเอง อยากเป็นผู้บริหาร จึงมาเรียน MBA ที่นิด้า
วิชาที่สอนที่นิด้าหลากหลาย โดยจะมีวิชาปูพื้นฐานให้ อย่าง information and technology management
ไม่จำเป็นต้องจบด้าน IT มาก็เรียนรู้ได้ มี ai,big data ต่างๆด้วย
นอกจากนี้ นิด้ามีวิชาบังคับ ที่ชอบมาก 2 วิชา คือ
วิชา Operation management เป็นการบริหารจัดการตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ การทำงาน บริหารเวลา บริหารเงิน
บริหารความเสี่ยง ที่จะทำให้ธุรกิจขาดทุนหรือกำไร ทุกวันนี้ยังได้ใช้อยู่
วิชา Human resource management การจัดการกับคน เป็นสิ่งที่ AI ยังเข้าไม่ถึง
เราเรียนแล้วจะรู้ว่าเมื่อเจอกับพนักงาน หรือลูกค้าแบบไหน ควรรับมือแบบไหน
ได้เรียนรู้ทฤษฎีหลายอย่าง และนำมาใช้ในชีวิตจริงได้
ต่อไปหุ่นยนต์ทำงานกับข้อมูลและประมวลมาใช้งาน
ซึ่งก็ต้องมีคนมาใช้งานจากข้อมูลนั้นต่อ หรือมนุษย์เป็นผู้สั่งงาน
ตอนที่เรียน YMBA ทำงานไปด้วย เรียนภาคค่ำ 18.30-21.30 น.
ค่าเรียนเปรียบเทียบในเมืองไทยถือว่าไม่แพงมาก
สิ่งที่ได้ connection ภายในรุ่น เพื่อนจะมีประสบการณ์อย่างน้อย 2-3 ปี อายุไม่เกิน 34 ปี
จะมีเพื่อนหลากหลาย และทำงานเป็นทีมร่วมกันทั้งที่มีอายุมากกว่าและน้อยกว่า
ผลจากที่ได้เรียนจบมา เดิมทำงานบริษัทมา 12-13 ปี เก็บข้อมูลลูกค้าพัฒนาและนำมาใช้ในธุรกิจ
ซึ่งเราไม่เคยจัดการความเสี่ยง เกิดการขาดทุนใน project พบว่า สิ่งที่คนเสียไปตลอดเวลา
โดยไม่สามารถดึงกลับมาได้คือ เวลา ทุกครั้ง ที่ทำงานค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นคือ เวลา
เราเรียนรู้ในการจัดการให้คุ้มค่าสุด ทุกวันนี้ที่ออกมาย้ายสายงานและจัดการความเสี่ยง
ทำให้ project มีประสิทธิภาพ และทำกำไรได้
สัมภาษณ์คุณณัฐ
ทำงานบริหารความเสี่ยงให้บริษัท Audit แห่งหนึ่งใน Big4
พื้นฐาน ป.ตรีจบวิศวกรรมศาสตร์เคมี พอไปทำงานแล้วรู้สึกว่าโลกแคบ รู้จักแต่เชิงวิศวกรรม
ไม่รู้จัก marketing คืออะไร ทำงานไป 3 ปีแล้วมองอนาคตไปเลยอิ่มตัว
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าธุรกิจมีแบ่งเป็นหน้าบ้านกับหลังบ้าน เราอยู่ operation ดูกระบวนการผลิต
คำนวณค่าพลังงาน ต้นทุนต่างๆ พอไปเจอลูกค้าก็รู้สึกว่าเขาอยู่คนละโลกกันเลย อยากเปิดโลกบ้าง จึงมาเรียน MBA
และมองหาว่าจะเรียนที่ไหนดี ที่เลือก นิด้า คือ 1. ใกล้บ้าน กับ 2.พ่อดู Money talk เป็นประจำ
และก็แนะนำว่าที่นี่ดีและมีการรับรอง มีประกาศทุน และมีให้เลือกหลายหลักสูตร
ซึ่งสมัครได้ทุน regular และลาออกจากงานมาเรียนเต็มเวลา เพราะทำงานอยู่ระยอง
สมัยที่ทำงานที่โรงงานผลิตก็เทคโนโลยีทีเนำ AI เข้ามาใช้
เช่น Image processing ใช้กล้องยิงเข้าไปดูว่าผลิตภัณฑ์ที่ผลิตมีของเสียไหม
แต่ไม่ต้องกลัวว่า AI จะมาแย่งงานคนไปหมด
เพราะในอดีตยุคการปฏิวัติจากเกษตรกรรม มาอุตสาหกรรม
มนุษย์ก็เคยกังวลมากว่าเครื่องจักรจะแย่งงานคน
แต่ความจริงที่เกิดคือ เครื่องจักรเข้ามาและทำให้เกิดงานใหม่ๆเพิ่มขึ้น เช่น Automation, PLC, SCADA
ยุคอุตสาหกรรม กับสร้างอาชีพใหม่จำนวนมาก เช่น ทำ automation scada
ข้อดีการเรียน regular MBA มี major ให้เลือกหลายอย่าง finance, marketing ,
international business, MIS (Management information system)
ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าอยากเรียนอะไร รู้แค่อยากมีความรู้การเงิน บริหารจัดการเงินตัวเองได้
ช่วงแรกได้รู้จักอ.ไพบูลย์ จึงไปช่วยเป็น TA จากนั้นก็พบว่าความรู้ด้านการเงินแบบเดิมเป็นแก่นสำคัญ
แต่ต้องมี Tool บางอย่างช่วยทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
จึงไปขอเป็น TA ให้กับ อ.จงสวัสดิ์ เพิ่มอีก class หนึ่ง ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ
AI จะเข้ามาเป็น Tool ให้ชีวิตง่ายขึ้น เช่น วิเคราะห์งบการเงิน
รวมถึงตอนนี้ที่ MBA ที่่นิด้ามีอาจารย์ที่มีความรู้เรื่องโปรแกรมมิ่งเข้ามาหลายท่าน เช่น อ.กฤษดา,อ.ณัฐวุฒิ
อ.ไพบูลย์เสริม ในวงการศึกษาต้องมีส่วนผสม มีคนรุ่นเก่ามองภาพใหญ่ รู้อดีต,
คนรุ่นกลาง คอยบริหาร ดูภาพเชื่อมโยงข้างบนข้างล่าง คนรุ่นใหม่ มีความรู้วิชาใหม่ๆ ทำวิจัยเยอะๆ
ต่อไปพออ.รุ่นเดิมเกษียณไป ก็จะมีอ.รุ่นถัดไปขึ้นมาแทน
วิชาที่ประทับใจ?
คุณณัฐ SAS (Statistical Analysis System) เขียนชุดคำสั่ง(coding)เพื่อวิเคราะห์ข้อมูล
ไม่ต้องกังวลเรื่อง coding เพราะปัจจุบันมีโปรแกรมที่สามารถ drag & drop (ลากวางได้)
ถ้าเอาในเชิงปฏิบัติที่ใช้ทุกวันนี้เลี่ยงไม่ได้ต้อง coding
เพราะโปรแกรมที่พัฒนาสำเร็จมาก็ไม่ได้ใช้กับบริบทที่ต้องการได้
นอกจากนี้มีเรียน data mining and crm application
เรียนทำ clustering >> แบ่งกลุ่มลูกค้า
เคยได้นำไปใช้ทำงาน marketing ด้าน data mining อยู่ช่วงหนึ่ง
ปัจจุบันข้อมูลในเมืองไทยยังไม่สามารถใช้งานได้ทันที
เช่น ลูกค้าสมัครบัตรสมาชิก 20 ปีที่แล้ว แต่ไม่ได้ update ข้อมูล
เช่น รายได้,สถานะสมรส,การศึกษา ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามเวลา
แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนคือ transaction ที่เคยซื้อ หรือ path analysis
ข้อมูลที่ลูกค้าท่องเวบ เคยกดเข้าไปดูสินค้าหรือสนใจอะไร
ซึ่งเป็นวิชา Product association
หรือวิชา SEO, SEM จะเป็นทำให้เรา search หาเจอเป็นคนแรกๆ
สรุปจากที่ได้เรียน มองว่าคุ้มมาก
อ.ไพบูลย์ก็เคยแนะนำให้สอบ CFA เป็นผู้วิเคราะห์การเงิน
พอเข้ามาเรียน เนื้อหาหลายวิชาตรงกับที่การที่จะไปสอบใบ certificate ต่างๆเพื่อประกอบการทำงาน
เคยทำงาน marketing อยู่พักหนึ่งและเปลี่ยนมาทำ finance
สัมภาษณ์คุณวิวรรธน์ (ต่อ)
ส่งเสริมให้เรียน เพราะโลกเปลี่ยนไปเยอะ
สมัยก่อนมี computer มีมือถืออันใหญ่ ทุกอย่างเปลี่ยนแปลง
ด้วยกฏของมัวร์ (ปริมาณของทรานซิสเตอร์บน IC จะเพิ่มเท่าตัวทุก 2 ปี)
ที่คนพูดถึง Data กันมากในยุคนี้ เพราะ ปัจจุบันประมวลผลข้อมูลเร็วขึ้นมาก
ซึ่งจะส่งผลกระทบต่างๆอีกมากมาย
“ถ้าเราไม่เข้าใจว่ามันจะเปลี่ยนแปลงไปสู่อะไร ก็จะได้แค่เห็นการเปลี่ยนแปลง แต่ใช้อะไรต่อไม่ได้”
การที่เราเรียนจะช่วยทำให้เข้าใจว่าจะเกิดอะไรต่อไปข้างหน้า
จากข้อมูล สวทช บอกมีมีเทรนด์ในโลกเกิดขึ้นในปี 2025
- คนจะมากขึ้น 2 เท่า
- มูลค่าเศรษฐกิจของซีกตะวันออกกับตะวันตกจะใกล้กัน
- คนจะอยู่ในเมืองมากขึ้น มีเงินมากขึ้น ความต้องการหลากหลาย ซับซ้อนมากขึ้น
เทคโนโลยีต่างๆเหล่านี้จะมาตอบสนองเรา
อเมริกา ยุโรปซื้อขาย e-commerce แต่บ้านเราคือ social commerce ซื้อขายบน facebook
ซึ่งเมืองไทยเราชอบคุยชอบถาม ไม่ใช่ดูแล้วกดซื้อเลย
แต่ประเทศอื่นไม่ได้ชอบเสียเวลาซื้อขายแบบนี้
ถ้าเราเรียนมาก็จะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ พฤติกรรมแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน
ย้อนกลับไปสมัยที่เรียน
ตอนนั้นได้เรียน EU ทำให้เข้าใจภาพใหญ่ว่าจะเกิดผลอะไรกับไทย
หรือ AFTA เกิด ทำให้ไทยกลายเป็น hub บรรจุภัณฑ์พลาสติกส์ ทำให้เรากล้าขยายการลงทุน
ได้เรียนรู้หลายวิชาจากอ.หลายท่าน เช่น การเงิน อ.ไพบูลย์, การตลาด อ.สมคิด,
ความเสี่ยง อ.อุตตม ,EU อ.สมชาย แต่ตอนหลังรุ่นน้องก็เรียนอีกแบบ
แต่ไม่ว่ารุ่นไหน โลกเปลี่ยน เราก็ต้องเรียนให้ทันโลก
วันนี้ก็ต้องเรียนรู้อะไรใหม่ๆจากน้องๆ
โดยผสมผสานระหว่างคน 2-3 รุ่นอยู่ด้วยกัน
เราก็ใช้องค์ความรู้ประสบการณ์ด้าน business model การมองธุรกิจ
ในตอนที่เรียนปี 2535 ขับรถไป-กลับจากโรงงานมาเรียน 4 ชั่วโมงต่อวัน
เนื่องจากคุณพ่ออยากให้เรียน และเป็นความตั้งใจส่วนตัว
นิด้า สอนปริญญาโท,เอก โดยพระราชดำรัส ในหลวง ร.9 ให้เป็นกลไกพัฒนาประเทศ
เรื่องเศรษฐกิจประยุกต์เป็นเรื่องแรกๆ จึงเข้ามาเรียนด้วยความตั้งใจเรื่อง Data การทำงานบนแนวคิดพัฒนาตัวเรา พัฒนาประเทศ
ซึ่งนิด้าทุกวันนี้ก็ยังยึดถือในเรื่อง wisdom of change และยังมีอีกหลายคณะที่ช่วยบูรณาการเข้าด้วยกัน
จะมีเพื่อนหลากหลาย ถึงแม้จะไม่มีระดับปริญญาตรี แต่ก็ยังมี alumni ที่มาเกื้อกูลกันได้
สรุปคำแนะนำ
1.ถ้าเรียนได้ก็อยากให้เรียน
2.เรียนให้เข้าใจแกนความรู้ และเอามาใช้กับการเปลี่ยนแปลง
3.นิด้ามีการปรับเปลี่ยนเยอะมาก การสอนอาจารย์ก็มีการเปลี่ยนแปลงให้เข้าใจโลกในอนาคต
สรุปปิดท้าย
อ.ธัชวรรณ
MBA มิวิชาพื้นฐานยังมีอยู่ เช่น marketing, finance, operation,hr,mis
สิ่งที่มีเพิ่มเติมให้เข้ายุคสมัยขึ้น คือวิชาเลือกเพิ่ม เช่น big data, datamining, IT management
ซึ่งเป็นวิชาที่ให้นักศึกษาสอบ certificate PMP(Project Management Professional)
นอกจากนี้วิธีสอนก็มีปรับเปลี่ยน เป็น case base
มีการ discussion กันในห้อง ซึ่งเป็นแนวความคิดแบบ havarad business school
ให้นักศึกษาไปอ่านเตรียม,วิเคราะห์เป็น
นอกจากนี้ยังได้แสวงหาความรู้ข้างนอก และ มีทักษะการสื่อสารกับเพื่อนในห้อง
เป็นทักษะสำคัญที่ก้าวเข้าสู่ยุค AI ซึ่งคนตะวันตกจะมีทักษะเหล่านี้ แต่คนไทยไม่ค่อยมี
ค่าเรียนขึ้นกับโครงการ
- Regular mba ถูกหน่อย รัฐบาลสนับสนุน ประมาณ แสนต้นๆ
- YMBA ,ExMBA มีดูงานต่างประเทศด้วย ราว 4-5 แสน
- FlexMBA ไม่มีดูงานต่างประเทศ 2-3 แสน
- Firm เป็นภาษาอังกฤษเน้นให้สอบ CFA เป็นหลัก ราว 3-4 แสน
- กำลังจะเปิดหลักสูตรใหม่ คล้าย firm แต่เป็น ภาษาไทย ให้วางแผนการเงิน เริ่มเรียนราว พ.ค.62
คุณสมบัติผู้เข้าเรียน
Regular จบคณะอะไรก็ได้ มีการสอบภาษาอังกฤษ,คณิตศาสตร์ และความรู้ทั่วไป
Executives ไม่ต้องสอบเข้า ต้องมีประสบการณ์ 5 ปีขึ้นไป YMBA 3 ปีขึ้นไป
Flexible 1 ปีขึ้นไป มีสอบเข้า แต่ถ้า GPA ป.ตรีได้เกียรตินิยมไม่ต้องสอบ
อ.ไพบูลย์
เสริม ยุคนี้จะเรียน MBA ต้องใช้ภาษาอังกฤษอ่านออกเขียนได้ฟังรู้
ส่วนจะเรียนมหาวิทยาลัยไหนก็ได้ ทุกที่ก็ดีทั้งนั้น เอาที่สะดวก เรียนแล้วได้ประโยชน์
ช่วงที่ 2 ทางพี่อมรจะเป็นผู้แชร์ ขอบคุณมากครับ
Moneytalk@SET ครั้งถัดไป 17 พ.ย. 61
ช่วง 1 ผู้บริหาร 4 บริษัท tkn(คุณต๊อบ),wha(คุณจรีพร),thg(หมออาทิตย์),karmart(คุณวงศ์วิวัฒน์)
ช่วง 2 ชุมนุมเพจดังแฟนปังนับล้าน finnomena,ลงทุนศาสตร์, buffetcode,แมงเม่าคลับ
ขอขอบพระคุณ อ.ไพบูลย์ อ.เสน่ห์ อ.นิเวศน์ ทีมงาน Moneytalk ที่จัดงานสัมมนา
และขอบคุณแขกรับเชิญทุกท่านที่มาแบ่งปันประสบการณ์ให้ความรู้
หากข้อมูลที่สรุปคลาดเคลื่อนไปอย่างไร ขออภัยไว้ที่นี้ครับ
ติดตามดู VDO ฉบับเต็มได้ทางช่องทีวี,Facebook,youtube ย้อนหลัง
ช่วงที่1 “ยุค AI เรียนต่อ ป.โทอะไรดี?”
1. คุณ วิวรรธน์ เหมมณฑารพ / CEO บมจ. ปัญจวัฒนาพลาสติก
2. รศ.ดร.ธัชวรรณ กนิษฐ์พงศ์ / รองคณบดี NIDA BUSINESS SCHOOL
3. คุณ ณัฐ ตราฐิติพันธุ์ / ที่ปรึกษาด้านการจัดการความเสี่ยง
4. คุณ อภิวัฒน์ เจริญรุ่งทรัพย์ / Project Manager, aCommerce
5. คุณ เจนจิรา ศรีดี / ที่ปรึกษาอิสระ Digital Marketing
ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ.เสน่ห์ ศรีสุวรรณ ดำเนินรายการ
เกริ่นนำ
อ.ไพบูลย์ ปัจจุบันการเรียนมหาวิทยาลัยลดลงอย่างมาก
มหาวิทยาลัยเอกชนไทยหลายแห่งก็ผลประกอบการตกต่ำลง
รวมถึงคนจะเรียนปริญญาโทสมัยนี้ก็เริ่มมีความคิดว่าจะเรียนไปทำไม
ในเมื่อ สตีฟจ๊อบ,มาร์คซัคเคอร์เบิร์ก ก็ไม่เรียนหนังสือจบ
ที่จริงคนที่ไม่เรียนแล้วประสบความสำเร็จมีน้อย
แต่คนที่เรียนหนังสือจบแล้วประสบความสำเร็จมีมาก
สิ่งสำคัญตอนนี้ต้องเลือกเรียนให้เหมาะสม จะเรียนมั่วๆไม่ได้
ยุค AI ต่างจากอดีตอย่างไร? การเรียนในยุคนี้มีความจำเป็นแค่ไหน?
อ.ธัชวรรณ
อ้างอิงจากที่ฟัง อ.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธาน TDRI
แบ่ง AI(ปัญญาประดิษฐ์) เป็น 3 เรื่อง
1.หุ่นยนต์อัตโนมัติ
2.AI ที่ใช้คิดวิเคราะห์ในโลกปัจจุบัน
3.AI ที่มีชีวิตจิตใจแบบในภาพยนตร์
เรื่องที่ 1 AI หุ่นยนต์อัตโนมัติ
มีการนำเข้ามาใช้ในอุตสาหกรรมสักระยะแล้ว
ใช้ทดแทนการทำงานของมือคน
เนื่องจากเริ่มขาดแคลนแรงงาน หุ่นยนต์อัตโนมัติจึงมาทดแทน ในการทำงานซ้ำๆ
ประเทศไทยมีอัตราว่างงาน 1.3% ถือว่าต่ำมาก เราขาดแคลนแรงงาน
สังเกตว่าเรามีการใช้แรงงานต่างด้าวค่อนข้างมาก
พอเข้ามายุคปัจจุบันเริ่มได้ยินยุครถยนต์ขับเคลื่อนโดยไร้คนขับ
หลายอาชีพจะหายไป เช่น คนขับ taxi, คนขับรถ bus
บริษัทใหญ่ เช่น uber ประกาศว่ากำลังพัฒนารถยนต์ไร้คนขับ รวมถึงรถบรรทุกไร้คนขับด้วย
อีกอาชีพที่จะหายไป คือ เด็กเสริฟ ก็จะมีหุ่นยนต์มาเสริฟแทน เช่น MK มีการทำโรบอทมาใช้แทน
มีที่จามจุรีสแควร์ จากบริษัท CT Asia Robotics เป็นบริษัทไทยเจ้าเดียวที่ผลิตหุ่นยนต์ส่งไปญี่ปุ่น
คุณอภิวัฒน์ เสริม AI นอกจากที่มีใช้ในอุตสาหกรรม
ตอนนี้เริ่มนำมาใช้ในวงการแพทย์เพื่อวิเคราะห์โรคต่างๆได้ละเอียดและแม่นยำมากขึ้น
และมีการนำหุ่นยนต์มาช่วยบำบัดฟื้นฟูหลอดเลือดสมอง,อัลไซเมอร์
ซึ่งจะมีงานวิจัยต่างๆ ที่จะฟื้นฟูอาการเหล่านี้ได้
หุ่นยนต์ที่ใช้งานที่ MK ใช้บริการช่วยเสริฟและบริการลูกค้า สามารถป้อนคำสั่งได้
จะมีใช้กล้อง VR จับร่างกายคนและเล่นเกมกับลูกค้า เป็นอีกก้าวที่มีบริษัทไทยที่ทำด้านนี้
อ.ธัชวรรณ ต่อ
เรื่องที่ 2 AI ที่ใช้ในโลกปัจจุบันจะมาทดแทนหลายอาชีพที่ใช้สมอง
คิดวิเคราะห์แทนมนุษย์ได้ อาชีพจะตกงาน เช่น
แพทย์
สามารถใช้ AI วินิจฉัยโรค หรือโอกาสเกิดโรคได้
ทนายความ
มีตัวอย่าง AI ที่พัฒนาโดย Joshua Browder
เขาโดนใบสั่งเยอะมากใน 1 เดือน
ถ้าต้องจ่ายค่าใบสั่ง หรือค่าทนายคงเสียเงินเยอะมาก
จึงสร้าง AI ที่ให้คนทั่วไปใช้ได้ และคนได้ใบสั่งวิเคราะห์ได้ว่าคุณผิดจริง หรือไม่ผิด
กรณีที่ไม่ได้ทำผิด AI จะร่างหนังสือส่งไปที่ศาลให้ โดยไม่ต้องพึ่งทนาย
ได้ทดลองไป 2 แสนกว่าเคส พบว่าชนะคดี ราว 1.6 แสนราย จึงประหยัดค่าทนายไปเยอะมาก
อาจารย์
ก็เป็นอาชีพที่อาจตกงานได้
เช่น แมคกรอฮิว มีผลิตสื่อการเรียนการสอน และอาจนำมาเป็นอาจารย์สอนแทนในเวบของเขาเอง
หรือที่ญี่ปุ่น,เกาหลี มีโรบอทใช้สอนพูดภาษาอังกฤษ ทดแทนอาจารย์
เรื่องที่ 3 AI ที่เกี่ยวกับเรื่องความรู้สึกนึกคิด
มีความรู้สึกรักโลภโกรธหลง เห็นอกเห็นใจได้
มีหลายค่ายที่บอกว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นได้เป็นเรื่องชีววิทยา
เพราะโรบอทเป็น algorithm ให้คิดประมวลผลจากข้อมูล
สมองของ AI ที่จะประสบความสำเร็จได้ขึ้นกับข้อมูลที่ใส่เข้าไป
เราจึงได้ยินเกี่ยวกับ Big data, data mining
ในยุค AI จะเรียนอะไรดี ?
อ.ธัชวรรณ การศึกษาไทยที่จะเก่งคณิตศาสตร์ไทยเทียบในโลกถือว่าค่อนข้างต่ำกว่ามาตรฐาน
คนที่จะทำได้ดีต้องเจาะลึก และผลิต AI มาแข่งขัน ซึ่งอาจจะทำได้ยาก
มองอีกมุมหนึ่ง softside(ด้านที่ไม่ใช่ความรู้เชิงเทคนิค) ก็มีโอกาสจะทำ AI ได้
หากเราเป็นเจ้าของไอเดีย และจ้างคนอื่นผลิตก็ได้
เชื่อว่าการเรียนบริหารธุรกิจในศาสตร์ใหม่ จะช่วยปรับตัวเราให้ทันกับยุค ai ได้
ผู้บริหารก็สามารถใช้ AI มาช่วยพัฒนาให้องค์กรเติบโตได้
เช่น big data, data mining, design thinking, digital marketing, e-commerce
สัมภาษณ์ศิษย์เก่าที่ได้เรียนจบจากนิด้า 4 ท่าน
สัมภาษณ์คุณวิรรธน์
จากที่เคยเรียน mba หลักการยังใช้งานได้ แต่เนื้อหาสาระมีการเปลี่ยนแปลง
หลักของmba คือเรียนไปทำธุรกิจ หรือทำเงิน จึงต้องเข้าวิธีการทำเงินขององค์กร
หรือ business model
มีคนใช้เงิน กับคนจ่ายเงิน
ผู้บริโภคจะจ่ายเงิน ต้องมี pain เช่น หิว,หาหมอ, โดยสารเครื่องบิน
การเรียนมาเพื่อตอบสนองความต้องการ และสร้าง business model ที่ตอบสนองได้
ในแง่ AI เป็นเครื่องมือพัฒนาอุตสาหกรรม 4.0
ประเทศไทยอยู่ราว 2.0, การใช้โรบอทคือ 3.0 แต่ 4.0 คือ เครื่องจักรคุยกันได้เอง
เช่น ญี่ปุ่น มีปัญหาผู้สูงอายุมากขึ้นในชนบท, อยู่กันเองไม่ได้อยู่ลูกหลาน, เดินทางกันเองก็ยาก
จึงมีการพัฒนารถยนต์ไร้คนขับ ต้องพัฒนาระบบให้เอื้อให้ระบบทำกัน เช่น ระบบไฟฟ้า,ระบบ infrastruceture,
ถนนต้องตีเส้นให้ระบบเห็นได้
AI เป็น cognitive thinking จะคิดแทนเราได้ เหมือนหมากรุกที่แข่งชนะคนได้ถ้าเราเดินรูปแบบเดิมๆ
โลกอนาคตจะมีแรงงาน 2 ขั้ว คือ
ขั้ว 1 คือ แรงงานถูกมาก แล้วหุ่นยนต์แทนที่ไม่คุ้ม
ขั้ว 2 คือ ฉลาดมาก ที่หุ่นยนต์แทนไม่ได้
คือ คิด business model กับ เอา business model ไปทำเทคโนโลยีออกมา
ดังนั้นจะเรียนหนังสือต้องถามว่าจะเรียนแนวไหน
ถ้ามีพื้นฐานไม่ใช่วิศวกร ก็ต้องเรียนเรื่องที่เป็น business model ทำอย่างไรให้ได้เงิน ให้ผู้บริโภคพอใจ
แต่ถ้าเรียนเป็นวิศวกรก็ต้องเรียนไปสร้างให้ใช้ประโยชน์ได้
โรงงานตัวเองที่อยู่ในจีน มีเครื่องทำพลาสติก เครื่องหล่อเย็น เครื่องบดเศษพลาสติค เครื่องผสมเม็ดพลาสติค
และมีเครื่องต่างๆที่เกี่ยวข้อง
ในอดีตช่างต้องทำความเข้าใจทีละเครื่อง แต่ตอนนี้เริ่มเครื่องให้เครื่องจักรเข้าใจกัน
เช่น ถ้าน้ำเย็นเริ่มตัดต่อบ่อย แสดงว่าชิลเลอร์กำลังมีปัญหา จะส่งผลให้แม่พิมพ์ และเครื่องจักรมีปัญหา
แทนที่จะรอให้น้ำเย็นมีปัญหา ก็ใช้เซนเซอร์จับให้รู้ก่อน
ถ้าน้ำเย็นมากชิ้นงานจะไม่ขึ้นรูป ถ้าชิ้นงานร้อนจะช้า ซึ่งจะนำมาสู่ระบบผสมที่สัดส่วนเปลี่ยนแปลงไป
เรื่องเหล่านี้คือ 4.0 ที่เปลี่ยนแปลง
แม้เรียน MBA จะทำเรื่องเหล่านี้เองไม่ได้ แต่จะนำข้อมูลมาบริหารจัดการ
เอามาวิเคราะห์ต้นทุน ประสิทธิภาพทำงาน วิเคราะห์คุณภาพ วางแผนผลิตเพื่อส่งของให้ลูกค้า
เชื่อว่าการเรียน MBA ยังสามารถใช้ประโยชน์ได้อยู่ แต่ต้องปรับตัวให้ทันกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป
ส่วนเป็นลูกคนจีน สมัยเด็กคุณพ่อสอนว่าไม่ต้องเรียนเยอะ จบมาก็ให้ทำงานเลย
แต่พอท่านออกสังคมเยอะขึ้น ท่านก็บอกว่าเรียนให้เยอะ ต้องมีข้อมูลเยอะ ต้องรู้จักคนเยอะ
การรู้จักคนไม่ใช่แค่หา connection แต่ให้เรียนรู้ว่าเขาคิดอย่างไรที่ไม่เหมือนเรา เป็นการแบ่งปันวิธีคิด
การเรียนไม่จำเป็นต้องเรียนจบเกรดสูง แต่ให้เข้าใจวิธีการเอาความรู้มาใช้ และรู้จักคนบ้าง
สำคัญคือต้องมีวัตถุประสงค์ เรียนจบแล้วจะไปทำอะไรบ้าง อย่าใช้เวลาแค่ในห้องเรียน ต้องใช้เวลากับเรื่องต่างๆรอบตัวด้วย
อ.เสน่ห์ เล่าเสริมเรื่องประเทศจีน
ปัญหาคือ คนจีนมีวัฒนธรรมเสียงดัง และชอบถ่มน้ำลาย
ซึ่งในปี 2008 ประเทศจีนจัดโอลิมปิค มีการออกกฏหมาย
และสั่งปรับควบคุมพฤติกรรม ซึ่งช่วยแก้ปัญหาได้ชั่วคราว
ต่อมามีเทคโนโลยี AI รัฐบาลลงทุนทำ Face recognition
ใช้กล้องวงจรปิด จดจำหน้าคน จับหน้าคนทำผิดแและตรวจสอบประวัติคนได้
พอมีระบบที่ช่วยจับและส่งเก็บค่าปรับ จึงแก้ปัญหานี้ได้
คุณวิวรรธน์ ประเทศจีนมีบุคลากรเยอะ แต่ทักษะพัฒนาช้ากว่าญี่ปุ่น
เมื่อเทคโนโลยีเข้าา ก็ข้ามไปใช้ automation ไม่ต้องรอแรงงานมีฝีมือ จึงมีแรงงาน 2 ขั้วชัดเจน
คนจีนใช้คอมพิวเตอร์ใช้มือถือเก่ง ซื้อของออนไลน์เก่งมาก ขนาดสั่งกาแฟออนไลน์ ไม่ต้องใช้เงินสด
การใช้ wechat pay จะเป็นสิ่งที่สะดวก เขาไม่ค่อยชอบรับเงินสดเป็นภาระ
สัมภาษณ์คุณเจนจิรา
จบ MBA มี.ค.61 ทีผ่านมา เคยเรียน international business การตลาดระหว่างประเทศ มาก่อน
โดยเรียนจบมาปีครึ่ง และมาเรียนต่อป.โทที่ นิด้า ซึ่งไปช่วงไปทำงานการตลาดในประเทศ
ที่เลือกเรียนนิด้า ได้ยินตั้งแต่สมัยปริญญาตรีว่าถ้าจะเข้าที่นี่ต้องได้เกียรตินิยม ต้องเก่ง จึงตั้งเป้าเรียนให้ดีตั้งแต่ตอนนั้น
MBA มี regular เหมือนปริญญาตรี จันทร์-ศุกร์
Flexible MBA เรียน เสาร์-อาทิตย์ เหมาะกับคนทำงาน,
Young Executives MBA เหมาะกับผู้บริหารอายุน้อย,
Executives MBA เหมาะกับผู้บริหารมาเรียน
ตอนนี้จัดตั้งบริษัทเองชื่อ Your MKT แปลคือการตลาดของคุณ
ทำหน้าที่ช่วยดูแลด้าน digital marketing ให้ทั้งบ.เอกชน ในตลาดและนอกตลาดหลักทรัพย์
ปัจจุบันสื่อที่เราใช้เป็น digital มากขึ้น อย่างที่จีนไม่ต้องใช้เงินสด ไม่ต้องเดินห้าง สั่งซื้อออนไลน์ได้
หลายองค์กรมีปัญหาไม่สามารถทำตลาดได้ดีในยุคปัจจุบัน เพราะผู้บริโภคเปลี่ยนไป
สมัยเรียน มีวิชาวิจัยการตลาด อาจารย์ให้นักเรียนประชาสัมพันธ์โครงการบริหารการตลาด โดยฝึกปฏิบัติจริง
ทำให้ได้ประยุกต์ความรู้วิชาการในชีวิตจริง และต้องให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วในปัจจุบัน
อาจารย์จะคอยชี้แนะแนวทาง ซึ่งหลังจากเรียนจบก็มีหลายองค์กรมาติดต่อให้เราทำการตลาดให้
โดยเขาเห็นจากสื่อที่เราใช้ และชอบผลงาน ทำให้จบแล้วก็มีงานต่อทันที
หลายบริษัทที่ดูแลให้มี in-house marketing ในบริษัท แต่ไม่ประสบความสำเร็จ
บางบริษัทการตลาด offline เขาประสบความสำเร็จ แต่พอตลาด online เป็นเบอร์รอง
ซึ่งตอนนี้ใครชนะในตลาด online เข้าถึงคนได้มากกว่า ทำให้ไปได้เร็วกว่า
Inbound marketing คือ การตลาดแบบเดิม ออกไปหาลูกค้า เช่น ไปออก booth
แต่ outbound คือ ให้คนมาเราเอง เช่น search หา
เมื่อก่อนจะซื้อสินค้า ไปดูแล้วชอบ แต่ตอนนี้คนสามารถดูแล้วเปรียบเทียบได้ทันที
สรุปคือ จากที่ได้เรียน และปฏิบัติ เกิดผลงานเป็นการต่อยอดที่เร็ว
ทำให้เรียนจบมี.ค.61 มาไม่กี่เดือนก็สามารถร่วมกับทีมที่เรียนด้วยกัน จัดตั้งบริษัทดูแล marketing ได้
ความรู้ที่เรียนมาพอไหม?
คุณเจนจิรา สิ่งที่ทำก็อยู่ใน scope ทันกับที่เรียน
แต่ถ้าจะเรียนเพิ่มก็อยากเรียน big data หรือ data mining เป็นการจัดการฐานข้อมูลขนาดใหญ่
สังเกตหลายองค์กร เริ่มเก็บข้อมูลลูกค้าทุกคนเป็น membership เก็บข้อมูลส่วนตัว การซื้อของ
บางครั้งไปห้างก็จะเห็นว่ามีข้อมูลเด้งโปรโมชั่นทันที หรือเอาข้อมูลมูลมาวิเคราะห์ให้เป็นประโยชน์
เช่น Walmart มีทำ big data พบว่า คนมาซื้อเบียร์ ต้องมาซื้อแพมเพิร์สด้วย
เขาพบว่าเป็นพ่อบ้าน ที่ต้องมาซื้อผ้าอ้อมให้ลูก
นักการตลาดจึงนำ ผ้าอ้อม ไปวางชั้นใกล้กับเบียร์ ผลทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นมาก
ถ้าเราสามารถวิเคราะห์และประยุกต์ได้ตรงจุดยิ่งขึ้น เรียกว่า customize
สัมภาษณ์คุณอภิวัฒน์
ทำ e-commerce จะมี digital marketing มาเกี่ยวข้องด้วย
ส่วนใหญ่เราน่าจะเคยซื้อของผ่านออนไลน์ ซึ่งการตลาด e-commerce มีหลายแบบ AI เริ่มเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง
สมัยนี้เวลาซื้อสินค้าออนไลน์ สินค้าที่เราเห็นมักเป็นสิ่งที่เราสนใจอยู่ เพราะมีการเก็บข้อมูล
คอมพิวเตอร์จะเก็บข้อมูลตั้งแต่เราไป search หา หรือ คลิก แล้วเอามาประมวลผลแสดงให้เราซื้อมากขึ้น
ตอนเรียนจบ YMBA เมื่อปี 60 เรียนจบ computer science เคยเป็นโปรแกรมเมอร์มาก่อน
ทำหน้าที่ผลิตโปรแกรมหรือระบบมาก่อน รวมถึง AI
ซึ่งที่จริง AI มีมาตั้งนานแล้ว เราสร้างเพื่อเอามันมาใช้งาน ที่น่าสนใจคือเราต้องไม่ถูกมันควบคุม
จะบริหารจัดการมันอย่างไร รวมถึงอยากมีธุรกิจของตัวเอง อยากเป็นผู้บริหาร จึงมาเรียน MBA ที่นิด้า
วิชาที่สอนที่นิด้าหลากหลาย โดยจะมีวิชาปูพื้นฐานให้ อย่าง information and technology management
ไม่จำเป็นต้องจบด้าน IT มาก็เรียนรู้ได้ มี ai,big data ต่างๆด้วย
นอกจากนี้ นิด้ามีวิชาบังคับ ที่ชอบมาก 2 วิชา คือ
วิชา Operation management เป็นการบริหารจัดการตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ การทำงาน บริหารเวลา บริหารเงิน
บริหารความเสี่ยง ที่จะทำให้ธุรกิจขาดทุนหรือกำไร ทุกวันนี้ยังได้ใช้อยู่
วิชา Human resource management การจัดการกับคน เป็นสิ่งที่ AI ยังเข้าไม่ถึง
เราเรียนแล้วจะรู้ว่าเมื่อเจอกับพนักงาน หรือลูกค้าแบบไหน ควรรับมือแบบไหน
ได้เรียนรู้ทฤษฎีหลายอย่าง และนำมาใช้ในชีวิตจริงได้
ต่อไปหุ่นยนต์ทำงานกับข้อมูลและประมวลมาใช้งาน
ซึ่งก็ต้องมีคนมาใช้งานจากข้อมูลนั้นต่อ หรือมนุษย์เป็นผู้สั่งงาน
ตอนที่เรียน YMBA ทำงานไปด้วย เรียนภาคค่ำ 18.30-21.30 น.
ค่าเรียนเปรียบเทียบในเมืองไทยถือว่าไม่แพงมาก
สิ่งที่ได้ connection ภายในรุ่น เพื่อนจะมีประสบการณ์อย่างน้อย 2-3 ปี อายุไม่เกิน 34 ปี
จะมีเพื่อนหลากหลาย และทำงานเป็นทีมร่วมกันทั้งที่มีอายุมากกว่าและน้อยกว่า
ผลจากที่ได้เรียนจบมา เดิมทำงานบริษัทมา 12-13 ปี เก็บข้อมูลลูกค้าพัฒนาและนำมาใช้ในธุรกิจ
ซึ่งเราไม่เคยจัดการความเสี่ยง เกิดการขาดทุนใน project พบว่า สิ่งที่คนเสียไปตลอดเวลา
โดยไม่สามารถดึงกลับมาได้คือ เวลา ทุกครั้ง ที่ทำงานค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นคือ เวลา
เราเรียนรู้ในการจัดการให้คุ้มค่าสุด ทุกวันนี้ที่ออกมาย้ายสายงานและจัดการความเสี่ยง
ทำให้ project มีประสิทธิภาพ และทำกำไรได้
สัมภาษณ์คุณณัฐ
ทำงานบริหารความเสี่ยงให้บริษัท Audit แห่งหนึ่งใน Big4
พื้นฐาน ป.ตรีจบวิศวกรรมศาสตร์เคมี พอไปทำงานแล้วรู้สึกว่าโลกแคบ รู้จักแต่เชิงวิศวกรรม
ไม่รู้จัก marketing คืออะไร ทำงานไป 3 ปีแล้วมองอนาคตไปเลยอิ่มตัว
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าธุรกิจมีแบ่งเป็นหน้าบ้านกับหลังบ้าน เราอยู่ operation ดูกระบวนการผลิต
คำนวณค่าพลังงาน ต้นทุนต่างๆ พอไปเจอลูกค้าก็รู้สึกว่าเขาอยู่คนละโลกกันเลย อยากเปิดโลกบ้าง จึงมาเรียน MBA
และมองหาว่าจะเรียนที่ไหนดี ที่เลือก นิด้า คือ 1. ใกล้บ้าน กับ 2.พ่อดู Money talk เป็นประจำ
และก็แนะนำว่าที่นี่ดีและมีการรับรอง มีประกาศทุน และมีให้เลือกหลายหลักสูตร
ซึ่งสมัครได้ทุน regular และลาออกจากงานมาเรียนเต็มเวลา เพราะทำงานอยู่ระยอง
สมัยที่ทำงานที่โรงงานผลิตก็เทคโนโลยีทีเนำ AI เข้ามาใช้
เช่น Image processing ใช้กล้องยิงเข้าไปดูว่าผลิตภัณฑ์ที่ผลิตมีของเสียไหม
แต่ไม่ต้องกลัวว่า AI จะมาแย่งงานคนไปหมด
เพราะในอดีตยุคการปฏิวัติจากเกษตรกรรม มาอุตสาหกรรม
มนุษย์ก็เคยกังวลมากว่าเครื่องจักรจะแย่งงานคน
แต่ความจริงที่เกิดคือ เครื่องจักรเข้ามาและทำให้เกิดงานใหม่ๆเพิ่มขึ้น เช่น Automation, PLC, SCADA
ยุคอุตสาหกรรม กับสร้างอาชีพใหม่จำนวนมาก เช่น ทำ automation scada
ข้อดีการเรียน regular MBA มี major ให้เลือกหลายอย่าง finance, marketing ,
international business, MIS (Management information system)
ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าอยากเรียนอะไร รู้แค่อยากมีความรู้การเงิน บริหารจัดการเงินตัวเองได้
ช่วงแรกได้รู้จักอ.ไพบูลย์ จึงไปช่วยเป็น TA จากนั้นก็พบว่าความรู้ด้านการเงินแบบเดิมเป็นแก่นสำคัญ
แต่ต้องมี Tool บางอย่างช่วยทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
จึงไปขอเป็น TA ให้กับ อ.จงสวัสดิ์ เพิ่มอีก class หนึ่ง ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ
AI จะเข้ามาเป็น Tool ให้ชีวิตง่ายขึ้น เช่น วิเคราะห์งบการเงิน
รวมถึงตอนนี้ที่ MBA ที่่นิด้ามีอาจารย์ที่มีความรู้เรื่องโปรแกรมมิ่งเข้ามาหลายท่าน เช่น อ.กฤษดา,อ.ณัฐวุฒิ
อ.ไพบูลย์เสริม ในวงการศึกษาต้องมีส่วนผสม มีคนรุ่นเก่ามองภาพใหญ่ รู้อดีต,
คนรุ่นกลาง คอยบริหาร ดูภาพเชื่อมโยงข้างบนข้างล่าง คนรุ่นใหม่ มีความรู้วิชาใหม่ๆ ทำวิจัยเยอะๆ
ต่อไปพออ.รุ่นเดิมเกษียณไป ก็จะมีอ.รุ่นถัดไปขึ้นมาแทน
วิชาที่ประทับใจ?
คุณณัฐ SAS (Statistical Analysis System) เขียนชุดคำสั่ง(coding)เพื่อวิเคราะห์ข้อมูล
ไม่ต้องกังวลเรื่อง coding เพราะปัจจุบันมีโปรแกรมที่สามารถ drag & drop (ลากวางได้)
ถ้าเอาในเชิงปฏิบัติที่ใช้ทุกวันนี้เลี่ยงไม่ได้ต้อง coding
เพราะโปรแกรมที่พัฒนาสำเร็จมาก็ไม่ได้ใช้กับบริบทที่ต้องการได้
นอกจากนี้มีเรียน data mining and crm application
เรียนทำ clustering >> แบ่งกลุ่มลูกค้า
เคยได้นำไปใช้ทำงาน marketing ด้าน data mining อยู่ช่วงหนึ่ง
ปัจจุบันข้อมูลในเมืองไทยยังไม่สามารถใช้งานได้ทันที
เช่น ลูกค้าสมัครบัตรสมาชิก 20 ปีที่แล้ว แต่ไม่ได้ update ข้อมูล
เช่น รายได้,สถานะสมรส,การศึกษา ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามเวลา
แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนคือ transaction ที่เคยซื้อ หรือ path analysis
ข้อมูลที่ลูกค้าท่องเวบ เคยกดเข้าไปดูสินค้าหรือสนใจอะไร
ซึ่งเป็นวิชา Product association
หรือวิชา SEO, SEM จะเป็นทำให้เรา search หาเจอเป็นคนแรกๆ
สรุปจากที่ได้เรียน มองว่าคุ้มมาก
อ.ไพบูลย์ก็เคยแนะนำให้สอบ CFA เป็นผู้วิเคราะห์การเงิน
พอเข้ามาเรียน เนื้อหาหลายวิชาตรงกับที่การที่จะไปสอบใบ certificate ต่างๆเพื่อประกอบการทำงาน
เคยทำงาน marketing อยู่พักหนึ่งและเปลี่ยนมาทำ finance
สัมภาษณ์คุณวิวรรธน์ (ต่อ)
ส่งเสริมให้เรียน เพราะโลกเปลี่ยนไปเยอะ
สมัยก่อนมี computer มีมือถืออันใหญ่ ทุกอย่างเปลี่ยนแปลง
ด้วยกฏของมัวร์ (ปริมาณของทรานซิสเตอร์บน IC จะเพิ่มเท่าตัวทุก 2 ปี)
ที่คนพูดถึง Data กันมากในยุคนี้ เพราะ ปัจจุบันประมวลผลข้อมูลเร็วขึ้นมาก
ซึ่งจะส่งผลกระทบต่างๆอีกมากมาย
“ถ้าเราไม่เข้าใจว่ามันจะเปลี่ยนแปลงไปสู่อะไร ก็จะได้แค่เห็นการเปลี่ยนแปลง แต่ใช้อะไรต่อไม่ได้”
การที่เราเรียนจะช่วยทำให้เข้าใจว่าจะเกิดอะไรต่อไปข้างหน้า
จากข้อมูล สวทช บอกมีมีเทรนด์ในโลกเกิดขึ้นในปี 2025
- คนจะมากขึ้น 2 เท่า
- มูลค่าเศรษฐกิจของซีกตะวันออกกับตะวันตกจะใกล้กัน
- คนจะอยู่ในเมืองมากขึ้น มีเงินมากขึ้น ความต้องการหลากหลาย ซับซ้อนมากขึ้น
เทคโนโลยีต่างๆเหล่านี้จะมาตอบสนองเรา
อเมริกา ยุโรปซื้อขาย e-commerce แต่บ้านเราคือ social commerce ซื้อขายบน facebook
ซึ่งเมืองไทยเราชอบคุยชอบถาม ไม่ใช่ดูแล้วกดซื้อเลย
แต่ประเทศอื่นไม่ได้ชอบเสียเวลาซื้อขายแบบนี้
ถ้าเราเรียนมาก็จะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ พฤติกรรมแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน
ย้อนกลับไปสมัยที่เรียน
ตอนนั้นได้เรียน EU ทำให้เข้าใจภาพใหญ่ว่าจะเกิดผลอะไรกับไทย
หรือ AFTA เกิด ทำให้ไทยกลายเป็น hub บรรจุภัณฑ์พลาสติกส์ ทำให้เรากล้าขยายการลงทุน
ได้เรียนรู้หลายวิชาจากอ.หลายท่าน เช่น การเงิน อ.ไพบูลย์, การตลาด อ.สมคิด,
ความเสี่ยง อ.อุตตม ,EU อ.สมชาย แต่ตอนหลังรุ่นน้องก็เรียนอีกแบบ
แต่ไม่ว่ารุ่นไหน โลกเปลี่ยน เราก็ต้องเรียนให้ทันโลก
วันนี้ก็ต้องเรียนรู้อะไรใหม่ๆจากน้องๆ
โดยผสมผสานระหว่างคน 2-3 รุ่นอยู่ด้วยกัน
เราก็ใช้องค์ความรู้ประสบการณ์ด้าน business model การมองธุรกิจ
ในตอนที่เรียนปี 2535 ขับรถไป-กลับจากโรงงานมาเรียน 4 ชั่วโมงต่อวัน
เนื่องจากคุณพ่ออยากให้เรียน และเป็นความตั้งใจส่วนตัว
นิด้า สอนปริญญาโท,เอก โดยพระราชดำรัส ในหลวง ร.9 ให้เป็นกลไกพัฒนาประเทศ
เรื่องเศรษฐกิจประยุกต์เป็นเรื่องแรกๆ จึงเข้ามาเรียนด้วยความตั้งใจเรื่อง Data การทำงานบนแนวคิดพัฒนาตัวเรา พัฒนาประเทศ
ซึ่งนิด้าทุกวันนี้ก็ยังยึดถือในเรื่อง wisdom of change และยังมีอีกหลายคณะที่ช่วยบูรณาการเข้าด้วยกัน
จะมีเพื่อนหลากหลาย ถึงแม้จะไม่มีระดับปริญญาตรี แต่ก็ยังมี alumni ที่มาเกื้อกูลกันได้
สรุปคำแนะนำ
1.ถ้าเรียนได้ก็อยากให้เรียน
2.เรียนให้เข้าใจแกนความรู้ และเอามาใช้กับการเปลี่ยนแปลง
3.นิด้ามีการปรับเปลี่ยนเยอะมาก การสอนอาจารย์ก็มีการเปลี่ยนแปลงให้เข้าใจโลกในอนาคต
สรุปปิดท้าย
อ.ธัชวรรณ
MBA มิวิชาพื้นฐานยังมีอยู่ เช่น marketing, finance, operation,hr,mis
สิ่งที่มีเพิ่มเติมให้เข้ายุคสมัยขึ้น คือวิชาเลือกเพิ่ม เช่น big data, datamining, IT management
ซึ่งเป็นวิชาที่ให้นักศึกษาสอบ certificate PMP(Project Management Professional)
นอกจากนี้วิธีสอนก็มีปรับเปลี่ยน เป็น case base
มีการ discussion กันในห้อง ซึ่งเป็นแนวความคิดแบบ havarad business school
ให้นักศึกษาไปอ่านเตรียม,วิเคราะห์เป็น
นอกจากนี้ยังได้แสวงหาความรู้ข้างนอก และ มีทักษะการสื่อสารกับเพื่อนในห้อง
เป็นทักษะสำคัญที่ก้าวเข้าสู่ยุค AI ซึ่งคนตะวันตกจะมีทักษะเหล่านี้ แต่คนไทยไม่ค่อยมี
ค่าเรียนขึ้นกับโครงการ
- Regular mba ถูกหน่อย รัฐบาลสนับสนุน ประมาณ แสนต้นๆ
- YMBA ,ExMBA มีดูงานต่างประเทศด้วย ราว 4-5 แสน
- FlexMBA ไม่มีดูงานต่างประเทศ 2-3 แสน
- Firm เป็นภาษาอังกฤษเน้นให้สอบ CFA เป็นหลัก ราว 3-4 แสน
- กำลังจะเปิดหลักสูตรใหม่ คล้าย firm แต่เป็น ภาษาไทย ให้วางแผนการเงิน เริ่มเรียนราว พ.ค.62
คุณสมบัติผู้เข้าเรียน
Regular จบคณะอะไรก็ได้ มีการสอบภาษาอังกฤษ,คณิตศาสตร์ และความรู้ทั่วไป
Executives ไม่ต้องสอบเข้า ต้องมีประสบการณ์ 5 ปีขึ้นไป YMBA 3 ปีขึ้นไป
Flexible 1 ปีขึ้นไป มีสอบเข้า แต่ถ้า GPA ป.ตรีได้เกียรตินิยมไม่ต้องสอบ
อ.ไพบูลย์
เสริม ยุคนี้จะเรียน MBA ต้องใช้ภาษาอังกฤษอ่านออกเขียนได้ฟังรู้
ส่วนจะเรียนมหาวิทยาลัยไหนก็ได้ ทุกที่ก็ดีทั้งนั้น เอาที่สะดวก เรียนแล้วได้ประโยชน์
ช่วงที่ 2 ทางพี่อมรจะเป็นผู้แชร์ ขอบคุณมากครับ
Moneytalk@SET ครั้งถัดไป 17 พ.ย. 61
ช่วง 1 ผู้บริหาร 4 บริษัท tkn(คุณต๊อบ),wha(คุณจรีพร),thg(หมออาทิตย์),karmart(คุณวงศ์วิวัฒน์)
ช่วง 2 ชุมนุมเพจดังแฟนปังนับล้าน finnomena,ลงทุนศาสตร์, buffetcode,แมงเม่าคลับ
ขอขอบพระคุณ อ.ไพบูลย์ อ.เสน่ห์ อ.นิเวศน์ ทีมงาน Moneytalk ที่จัดงานสัมมนา
และขอบคุณแขกรับเชิญทุกท่านที่มาแบ่งปันประสบการณ์ให้ความรู้
หากข้อมูลที่สรุปคลาดเคลื่อนไปอย่างไร ขออภัยไว้ที่นี้ครับ
ติดตามดู VDO ฉบับเต็มได้ทางช่องทีวี,Facebook,youtube ย้อนหลัง
Go against and stay alive.
- i-salmon
- Verified User
- โพสต์: 293
- ผู้ติดตาม: 0
Re: MoneyTalk@SET20ตค61เรียนต่อป.โท&กลยุทธ์รุ่นเก๋า
โพสต์ที่ 2
Joshua Browder ที่อ.ธัชวรรณพูดถึงว่าทำ Robot lawyer อายุ 22 ปีเองครับ
มีคลิปสั้นๆ 3 นาที น่าสนใจ ลองดูครับ
https://www.youtube.com/watch?v=bAQWOpudAi8
มีคลิปสั้นๆ 3 นาที น่าสนใจ ลองดูครับ
https://www.youtube.com/watch?v=bAQWOpudAi8
Go against and stay alive.
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: MoneyTalk@SET20ตค61เรียนต่อป.โท&กลยุทธ์รุ่นเก๋า
โพสต์ที่ 3
MoneyTalk ช่วงที่2 หัวข้อ กลยุทธ์ลงทุนของรุ่นเก๋า
วิทยากร 4 ท่านได้แก่
1) ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร เป็นนักลงทุนแนวคุณค่า ที่สอนคนอื่นด้วยความรู้ด้านการลงทุน
2) คุณ วัชระ แก้วสว่าง คนที่พูดตรงที่สุด กำไรหรือขาดทุนก็บอก ความรู้วิชาการด้านเทคนิคได้หมด
3) คุณ เจษฏา สุขทิศ ลงทุนโดยใช้ความรู้สมัยใหม่เหมาะกับคนที่เชื่อว่าลงทุนเพื่อสร้างฐานะ ลงทุนผ่านกองทุนรวมผ่าน Fin tech เคยเป็น CIO ของ CIMB Principle
4) คุณ โสรัตน์ วณิชวรากิจ ลงทุนในแนวธรรมะ ลงทุนหุ้นเชิงพุทธ สังคม ครอบครัวได้ประโยชน์
ดร. ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ.เสน่ห์ ศรีสุวรรณ ดำเนินรายการ
นอกจากสี่แนวการลงทุนแล้ว ยังแนะนำการลงทุนแนวแมงเม่าเจ้าเวหา โดย อ เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
“ สมญานาม รุ่นเก๋า เขาต้องเก่ง
พร้อมบรรเลง เพลงรบ ครบเครื่องสู้
กลยุทธ์ สุดลิ่ม ทิ่มประตู
เป็นกูรู การลงทุน หุ้นนานา
เก๋าวีไอ หุ้นใหญ่นี้ มีทีเด็ด
เต่านิเวศน์ ยืนยง ทรงคุณค่า
ผ่านวิกฤต มากมาย ตั้งหลายครา
ไม่ผวา หวาดหวั่น ไม่พรั่นกลัว
เก๋าเทคนิค อ่านซิกเก่ง เจ๋งไม่จ๋อง
มีนามว่า เสี่ยป๋อง ร้องกันทั่ว
จับจังหวะ กะเข้าออก บอกรัวรัว
ช่วงไหนชัวร์ ช่วงไหนซิ่ง ทิ้งไปเลย
เก๋ากองทุน หนุนฟินเทค เมคมันนี่
ทีมงานดี มีความรู้ ไม่อยู่เฉย
นามเจษฏา สุขทิศ คิดไม่เชย
รู้ไหมเอ่ย ฟินโนมิน่า ปรากฏการณ์
เก๋าลงทุน หนุนเชิงพุทธ พิสุทธ์ชัด
เคนโสรัตน์ ยึดแนวนี้ มีทางผ่าน
เน้นความรู้ คู่ความพร้อม ประนอมนาน
รู้เบิกบาน สบายใจ ไม่โลภเกิน
ทั้งสี่เก๋า เคล้าคลุก สนุกแน่
ไพบูลย์แก่ แต่ตลก ไม่งกเงิ่น
เสน่ห์เม่า จ้าวเวหา พาฟังเพลิน
ร่วมดำเนิน รายการ มันแน่นอน”
เรียนถามกูรูสี่ท่านด้วยคำถามเดียวกัน
คำถามแรก แนวทางการลงทุนของกูรูแต่ละท่าน วิธีนี้ดีอย่างไร ประสบความสำเร็จไหม
เริ่มจากแนวเทคนิคอล โดยคุณป๋อง วัชระ แก้วสว่าง
คุณป๋องบอกว่า แนวทางการลงทุนของผม ใครก็คิดว่าผมชำนาญกราฟ เทคนิคอล
จริง ๆ ใช้นิดหน่อยในการตัดสินใจลงทุน
ช่วงแรกซื้อหุ้นและถืออย่างเดียว แต่มาเจอช่วงต้มยำกุ้งเลยขาดทุน
ต่อมาเจอผู้เชี่ยวชาญแนะนำลงทุนโดยใช้กราฟ
จริงๆ แล้วเป็นการเล่นรอบของหุ้น
ผมลงทุนอย่างจริงจัง ทำงานที่บล เอเซียพลัสทุกวัน
ตอนแรกเล่นหุ้นแบบไม่สนใจ โทรซื้อและขายผ่านmarketing
คุณพ่อและคุณแม่ทำการค้าที่จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งต้องเอาใจใส่เรื่องการค้าขาย
แต่ผมซื้อหุ้นแล้วไม่ได้สนใจไปดู เลยเปลี่ยนแนวการลงทุนใหม่ สนใจดูแลหุ้นอย่างจริงจังตั้งแต่ ปี 1999
ไม่ว่าหุ้นตก หรือ หุ้นขึ้นก็ไปทำงานทุกวัน ถึงแม้ช่วงSubprimeก็ตามก็ยังมาทำงานปกติ
ดร นิเวศน์เสริมว่า ปกติจะทำงานที่บ้าน
คุณป๋องบอกว่าที่ทำงานมีจอคอมพิวเตอร์ดูหุ้น 5 จอ จอดูกราฟ 2-3จอ
จอดูข่าว Bloomberg ทั้งหมดรวม 11 จอ
จอต้องมีการset upด้วยความชำนาญ ดูหุ้นแค่5จอ ซึ่งแต่ละหน้าจอจะมีหุ้น10หุ้นที่ผมสนใจ
ผมคีย์ซื้อหรือขายเองประหยัดค่าคอมมิสชั่น
ไม่ค่อยอ่านข่าวหนังสือพิมพ์ แต่ได้ข้อมูลจากLineที่พี่ๆส่งให้
เมื่อก่อนเคยไปทำงาน 7.00 น เพราะไปส่งลูกเข้าโรงเรียนตอนเช้า
เดี๋ยวนี้ไปสายคือ 9 โมงกว่า
ดร นิเวศน์ บอกว่า ยังไม่ตื่น เพราะนอนดึก
คุณป๋องก็นอนดึกเพราะดูดาว(โจนส์)
ช่วงหลังไปสาย ที่ลำบากคือ ใช้เวลา10 นาทีในการเปิดจอทั้ง 11 จอ และ setup
หุ้น 700 ตัว สกรีนเหลือ 50 ตัว หุ้นตัวไหนไม่ใช่ก็ต้องเอาออก
อ เสน่ห์ตอนนี้ฟังเสียงเริ่มอ่อนล้า ไม่รู้การลงทุนในปีนี้จะยากไปไหน
คุณป๋องเล่นหุ้นปีนี้ นึกถึงหนังไทยเรื่องนึง คือ กวนมึนโฮ
ซื้อปุ๊บก็โดนขายเลยเหมือนโดนกวนมากๆเลย โดนเยอะเลยมึน และ ร้องไห้โฮ
ช่วงนี้เสพยา ( หุ้นโอสภสภา หรือ OSP พึ่งIPOเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาตอนนี้ราคาลงมาใกล้จองแล้ว )
ช่วงลงทุนที่ผ่านมา ลงทุนตั้งแต่สมัยเรียนที่มหาวิทยาลัย โดยไม่เคยดูกราฟเลย
พึ่งมาดูกราฟตอนปี 1999 หลังจากนั้น 4 ปี ได้ทุนคืนหมดเพราะใช้กราฟ ข้อดีคือไม่ติดหุ้น
หุ้นต้องมีสภาพคล่อง มโนเองไม่ได้
ต้องมีpatternของกราฟ เรียนรู้จากข้อมูลของเก่า
เคยติดหุ้นธนาคารราคา 200กว่าบาท ย้อนหลังมาดูกราฟ ราคาที่ซื้อเหมือนยีงกว่าดอยอินทนนท์
แต่กราฟไม่เคยใช้ได้ 100% ทำให้รอดออกมา ถึงแม้ประสิทธิภาพแค่ 60-70%
ค่อยๆกำไร เคยได้กำไรเยอะมาก 140% อ้อแต่มีอยู่ปีนึงเคยได้ 500% เปลี่ยนฐานะเลย
แต่ตอนนี้โตยากมากเพราะportใหญ่ขึ้น แต่portลดง่ายมาก
กำลังคิดเปลี่ยนวิธีในการลงทุน
สวรรค์ไม่รู้มีกี่ชั้น ของยิ่งแพงยิ่งดี แต่นรกก็มีหลายชั้นเหมือนกัน ต้องระวัง
ต้องขายช่วงอยู่หุ้นอยู่บนสวรรค์ แต่พอกราฟเสียรูป ต้องขายทั้งที่พื้นฐานไม่เปลี่ยน
มีคนบอกว่า ต้องมีบางคนรู้ล่วงหน้าว่าดัชนีจะตก ก็เลยชิงขายก่อน
จริงๆ เทคนิคอลคือการบันทึกซื้อ ขายที่ผ่านมา มันจะบอกตัวเลขไปทางซื้อ หรือ ขาย
ทำให้เกิดการขาย ถ้าเทคนิคอลบอกว่าไม่ดี เหมือนกับมีคนรู้ล่วงหน้าว่าจะลง
เป็นการเล่นรอบ มีการขายออกทั้งที่พื้นฐานยังดีอยู่
เช่น หุ้นขึ้น 100 บาท หล่นลงมา 50 บาท และขึ้นกลับไปอีกหลายเท่า
ซึ่งคนเล่นยาวไม่สนใจราคาขึ้นลงที่ผ่านมา เน้นลงทุนระยะยาว
เราไม่ได้เล่นหุ้นแบบอินไซด์ ซึ่งในความหมายของคุณป๋องคือ
การลงทุนของคุณป๋อง โดยวิเคราะห์ คิดอย่างดี จากข่าวภาครัฐว่ามีผลต่ออนาคตอย่างไร
เช่น การกระตุ้นของภาครัฐ หรือ เป็นเทรนของแต่ละสินค้า ก็วิเคราะห์ว่าจะมีโอกาสอะไรบ้าง
บางรอบเล่นน้ำมันเพราะรอบมา เราเล่นเป็นรอบๆ ใครมีวินัยในการเล่น ก็ไม่ขาดทุน
ดังนั้นเหมือนกับว่าคุณป๋องจะมีซื้อ ขาย บ่อยมาก (เปรียบเหมือนเปลี่ยนเมียบ่อย)
ดร นิเวศน์บอกว่าถ้าเมียดี ก็ไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยน หุ้นก็เหมือนกัน ไม่เปลี่ยนบ่อย
(คุณป๋องเปลี่ยนหุ้นบ่อย ก็ไม่ได้แสดงว่าเปลี่ยนเมียบ่อย)
เมียเป็นเจ้าของหุ้น หรือ เป็นHolding
เราต้องระวังตลอดเวลา ช่วงตอนสร้างตัว ต้องดูแลราคาหุ้นอย่างใกล้ชิด
กินข้าวก็กินในห้อง ปัสสาวะในห้องโดยใช้comfort
เวลาเรามีpositionละสายตาไม่ได้ เคยปวดหนักเลยเข้าห้องน้ำปรากฏว่าหุ้นตัวนั้นFloorเลย
ถ้าเราอยู่ก็ขายทัน สุดท้ายไปขายอีกวัน เละเลย ถึงแม้ไม่Floorในวันถัดมา
Portการลงทุนแบ่งเป็น Trade 30% และ ถือยาว 70% การเทรดเพื่อจะได้รู้เหตุการณ์
จากการทำบัญชีออกมา ที่รวยมาจากการถือยาว 70%
ตัวที่ถือยาว วิธีการเลือกหุ้นโดยมาจากการดูกราฟและพื้นฐานดีด้วย
คนส่วนใหญ่โพสแต่ตอนได้ แต่ตอนเสียไม่ได้โพส
อยากให้ทุกคนเห็นมุมที่เสียดัวยไม่ว่าเสี่ยไหนก็ตาม
ถามคุณเจษฎาซึ่งมีกลยุทธ์การลงทุนผ่านกองทุนรวม
ผมขอเล่าในช่วงที่ทำงานเป็นผู้จัดการกองทุนตั้งแต่ปี 2002 เวลาบริหารกองทุนหุ้นต่างจากลงทุนเอง
ผู้จัดการกองทุนเวลาลงทุน ก็ต้องลงทุนในกองทุนรวมเป็นหลัก
สมมติ กองทุนหุ้นที่บริหารมีขนาดกองทุน 30,000 ลบ เวลาซื้อหุ้น 1%
ก็คิดเป็นVolumeซื้อขาย 300ลบซึ่งถือว่าเป็นจำนวนเยอะมาก
คุณเจษฏาแนะนำให้ ลงทุนแบบ Best in class
เป็นการวิเคราะห์หุ้นตัวที่ดีที่สุดในแต่ละ sector
เพราะแต่ละช่วงเวลา Sectorแต่ละsectorจะดีไม่เหมือนกัน
ถ้าเราเลือกกลุ่มพลังงาน ซึ่งนักวิเคราะห์แต่ละคนวิเคราะห์ต่างกัน
กลุ่มนี้ผลกำไรผูกกับราคาน้ำมัน กำไรขึ้น หรือ ลง ตามราคาน้ำมัน
เลยเลือกกลุ่มโรงไฟฟ้าซึ่งอยู่ในกลุ่มพลังงานเหมือนกัน
ซึ่งกำไรดูผันผวนน้อยกว่า เลือกหุ้นโรงไฟฟ้าดีๆแค่ 2 ตัวพอ
โดยเงื่อนไขแต่ละคนไม่เหมือนกัน เจ้าหน้าที่ของเราก็ไปCompany Visit 200 บริษัทต่อปี
เจอผู้บริหารระดับ Top level หรือ เจ้าของบริษัท นั่งคุย 2-3 ชม และกลับมาทำการบ้านต่อ
ดีในมุมของผู้บริหารคืออะไร อีกอย่างดูด้วยความคาดหวังต่ำๆ
เช่น Research บอกว่ามีโอกาสโต 100% แสดงว่ามีความคาดหวังสูง และ โบรคส่วนใหญ่แนะนำซื้อ
แต่ถ้าบริษัทดีในเชิงคาดหวังน้อย คือ มีการcall sell เยอะๆ ดังนั้นถ้านักวิเคราะห์เปลี่ยนแนะนำเป็นฺBuy จะดี
หรือ เจอบริษัทที่ดี และไม่มีใครสนใจ จะดีมาก ซึ่งนักวิเคราะห์ไม่cover
สุดท้าย เลือกไปเลย เช่น รพ เลือก BDMS , commerce ชอบ Homepro
และต้องทำrebalance portด้วย เช่น หุ้นบางตัวขึ้นสูง เราให้ทำตรงกันข้าม
คือขายออกไปและซื้อตัวที่ยังไม่ขึ้น หรือ ลงมา
ซึ่งย้อนไปสิบปี กองทุนระดับหัวตารางได้ผลตอบแทนมากกว่า 18%
จากกฎ 72 หมายถึง จำนวนปีที่ทำให้portโตหนึ่งเท่า ขึ้นกับผลตอบแทน
แสดงว่าผลตอบแทน 18% ลงทุนแบบนี้Portโตได้เท่าตัวใน 4 ปี
เงินโตจาก 1 ลบ ไป 2 ลบ ถ้าเวลาสิบปีก็โต 5 เท่าตัว เราสามารถเลี้ยงตัวเองได้จากการลงทุน
เราควรหาแนวทางตัวเองให้เจอ เราต้องลงทุนแบบทบต้นจนถึงจุดที่รายได้ออกมามากกว่าค่าใช้จ่าย
ตอนนั้นมีทีมลงทุนหุ้น 20 คนไปเยี่ยมบริษัทและมาคุยกัน สุดท้ายใครดูแลportไหนก็ตัดสินใจเอาเอง
ถ้าหลายคนยังทำงานอยู่ ปีนี้ลงทุนยากมาก บางบริษัทตกลงมาเหลือ 20%
ผมแนะนำว่า ถ้าportไม่ใหญ่ ควรตั้งเป้าว่าลงทุนอย่างไรได้อย่างน้อย 15%ต่อปี
หลักเกณฑ์ในการเลือกกองทุนเพื่อลงทุน
1.ดูกองทุนที่ให้ผลงานอย่างสม่ำเสมอ
2.กองทุนที่ให้ผลตอบแทนดีสุดในระยะยาว
3.เวลาขาดทุนก็ขาดทุนน้อยสุด
จากกฎการลงทุนของบัฟเฟตต์
ข้อหนึ่ง อย่าขาดทุน
ข้อสอง ให้ย้อนกลับไปดูข้อที่หนึ่ง
ทางเราฟินโนมิน่า มีการจัดกองทุนว่ากองไหนดีสุด เวลาขาดทุนก็น้อยสุด
หุ้น Facebook,Tencent,Google ซึ่งตอนนี้ ค่าPE ถูกกว่า ค่าPE ของ AOT,CPALL
คุณสามารถลงทุนหุ้นเหล่านี้ผ่านกองทุนรวมต่างประเทศที่เป็นกอง Tech ได้
จนกระทั่งกองเติบโตจนเลี้ยงคุณได้ ค่อยมาเป็นนักลงทุนFull time investor
เรามีข้อมูลฟรีให้เยอะ เช่น เราสามารถดูงบการเงิน 10ปี หรือ 40 ไตรมาสย้อนหลัง
ผมทำกับคุณMarch (Buffet code) เราทำแบบ 3D
1.ผลตอบแทนดีกว่าคู่แข่ง
2.เวลาลง ลงน้อยกว่า
3.Sharp ratio สูงกว่ากองอื่น หมายถึง ผลตอบแทนเทียบกับความเสี่ยง ยิ่งสูงยิ่งดี
เราเติมบางค่าเช่น Free cash flow โดยข้อมูลงบการเงินหลักได้มาจากตลาดหลักทรัพย์
วิทยากรท่านต่อไปคือ คุณเคน โสรัตน์ ซึ่งดร ไพบูลย์ บอกว่า สมาคมไทยวีไอ 11 รุ่น เปิดมาไม่เกิน 1 นาทีก็เต็มแต่รุ่นล่าสุดใช้เวลานานกว่าจะกว่าจะเต็ม เพราะตลาดหุ้นช่วงนี้ไม่ดี
วิชาที่ดร ไพบูลย์สอน คือ แนวทางวีไอกับเส้นทางธรรมไปด้วยกันได้ไหม
เวลาลงทุนมีความโลภ โกรธ หลงผิด ทำอย่างไรให้รวยที่สุด
ทางโลก เวลาฝากเงิน ทำไมคนอยากไปซื้อพันธบัตรรัฐบาล มันกินเนื้อเรา แต่คนก็ยังไปลงทุนอยู่
แต่แนวเทคนิคอล ข้อเสีย คือต้องดูตลอดเวลา ห้ามไปไหน
แนวกองทุน fin tech ก็ยังมีความโลภ ยังมีอีกแนวการลงทุนทางธรรมสายพุทธซึ่งคุณเคนจะมาพูดให้ฟัง
คุณเคนบอกว่า ไม่ได้บรรยายมาปีกว่า ตั้งใจใช้เวลาที่เหมาะสมกับจุดมุ่งหมายในชีวิต
หัวข้อที่จะพูด “เก๋าในการลงทุนเชิงพุทธ”
ระยะของการใช้เวลามีความสำคัญกับเราชาวพุทธ
เราเกิดมาทำไมในโลกนี้ ถ้าเรารู้วัตถุประสงค์ เรารู้ว่าเวลาวันนี้ พรุ่งนี้เป็นอย่างไร
เราสามารถแยกมิติเวลา3 มิติของเวลา
1. ช่วงเวลาปัจจุบัน คือระยะเวลา100 ปีที่คุยกัน
2. ภพชาติหน้ามั่นใจว่าปลอดภัย จะมีความสุขกว่าปีนี้ไหม
3. เราเห็นอริยสัจสี่ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เพื่อเห็นความเบื่อหน่าย และคลายความกำหนัด และเห็นการเกิดดับ เพื่อเห็นความเกิดดับ ไม่มีความทุกข์ คือ ขรรค์5 สภาวะนี้เรียกว่าการดับเย็นมีสามสภาวะ ในที่นี้เรามาพูดถึงสภาวะแรกก่อนคือการลงทุนเชิงพุทธ
ผมสรุปว่าพอเราเข้าใจวัตถุประสงค์ทั้งสาม
เวลาเป็นสิ่งที่แหนหวงมาก มีการใช้เวลาแบบประมาทเกินไปกับความตายที่แน่นอนแต่ไม่รู้เกิดขึ้นเมื่อไหร่
สำหรับวิทยากรในงาน
การท้าทายของนักลงทุน คือ การสู้กับสภาวะเสพติดของความสำเร็จ คนยิ่งสำเร็จ จะออกมาไม่ได้ เพราะเกิดจากการปรุงแต่ง เสพเข้าไปเหมือนกับโลกธรรม8 เหมือนกับได้รับการสรรเสริญ
เราได้น้อยลงนิดเดียวก็เกิดความทุกข์ การวางจิตที่ถูกต้องเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
จากที่ปวาราณาตัวเอง ทุกคนมีจุดยืนของตัวเอง เราเกิดมาทำไม
จุดยืนของผมเมื่อก่อน เราต้องรวยกว่าคนอื่น หรือ %ได้มากกว่าดัชนี แต่เกิดความทุกข์ขึ้น
จริงๆแล้วขาดทุนก็ยังไม่สะเทือน แต่ภาวะจิตใจอ่อนแอ ไม่ประสบความสำเร็จ ไม่สงบ
เล่นหุ้นแบบการลงทุนฆราวาสชั้นเลิศ โดยอย่าไปโกงเขา ลงทุนอย่าไปทำเขา
ไม่เคร่งครัดเรื่องเวลา ลองสังเกตว่า เวลาลงทุนแล้วไม่เปิดจอดูราคาหุ้นจะเป็นอย่างไร
เราลองท้าทายกับตัวเอง เวลาดูหุ้นแล้วราคาจะขึ้นหรือครับ
ดูไปก็ไม่มีประโยชน์ จากการสังเกตการณ์ดูการลงทุนแบบดร นิเวศน์เห็นชัดเลย
ยิ่งใช้เวลาน้อย ยิ่งรู้สึกเข้าใจธรรมชาติของคนมากขึ้น พอปฏิบัติมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ทำให้มีสมาธิ
การคิดต่างๆเร็วขึ้นแบบช้าลง ตัวอย่างเช่น ดร นิเวศน์ ลงทุนแบบเต่านั้นถูกต้อง หดหัวในกระดองถูกต้อง
คุณเคนใช้เวลาในการดูหุ้นแค่10% แต่ใช้เวลา 45%ไปปฏิบัติธรรม และ อีก 45%ไปทำความดี
ผมไปเปิดสถานปฏิบัติธรรมในลำพูนกับเชียงใหม่ พาครอบครัวไปขึ้นเขาทำความดี
หลังๆมีแต่การบรรยายธรรมมะแต่ก็ได้รายได้ปันผลจากหุ้นที่ลงทุนระยะยาว
ถ้ากิจการนี้ยังคงได้เปรียบในการแข่งขัน การขึ้นลงของราคาหุ้นเป็นรอบก็ไม่ต้องสนใจมากถ้าระยะยาวดี
อีกสิ่งคือ การแพ้ตลาด แพ้คนอื่น แพ้เพื่อนๆ เพื่อชนะตนเอง แท้จริงแล้วการที่กำไรแตกต่างจากคนอื่น
ทุกอย่างสมมติ ทำให้ความเป็นจริงของเราเกิดการรับรู้ ทุกวันนี้ ดูสภาวะจิตของตนเอง ลงทุนแบบนี้ ใช้เวลาแบบนี้เกิดความทุกข์
คำถามคือ ตกลงเงินได้เพียงพอไหม ถ้าต้องการมากกว่านี้แล้วเกิดทุกข์ จะทำไปทำไม
ทุกวันนี้การลงทุนของผมslow downไปเยอะ มีโอกาสก็ดี ถ้าไม่มีโอกาสผมก็ไม่เดือดร้อน
เมื่อก่อนต้องประเมินว่าทุกวันพอร์ตขึ้นลงเท่าไหร่ ทุกอาทิตย์ทุกเดือนทุกปี ขึ้นลงเท่าไหร่
เราจะชนะตัวเองมากเท่านั้นเป็นperfectionist ว่าดูจากมือถือว่าพอร์ตขึ้นลงเท่าไหร่
ถ้าหยุดประเมินมากเท่าไหร่ เราก็มีความสุข
เราลองฝึกห้ามดูLine มันค่อนข้างยาก แต่ถ้าเราฝึกฝนไม่ใช้Lineดู เราจะมีความสุขมากขึ้น
ผมมองว่าย้อนคิดดูว่า คนในห้องสัมมนาจะไม่กินข้าวเพราะไม่มีเงิน ไม่น่าจะประเด็น ทุกคนมีเงิน มีความรู้
ช่วยเหลือสังคม เพียงแต่ว่ากติกาสังคม เราได้น้อยกว่าคนอื่น เรามีประสิทธิภาพต่ำ ไม่ประสบความสำเร็จ
เราอย่าให้ ราคะ โทสะ ที่ดร ไพบูลย์บอก ครอบงำ ทำให้เราเกิดความทุกข์
เวลาเรามีน้อย สุขภาพ ครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญ การงานเป็นจุดนึง การลงทุนก็เป็นอีกจุดนึง
เสี่ยป๋องบอกได้ชัดเจนว่า การเล่นหุ้นรายวันไม่ใช่คำตอบว่าทำให้เรารวย แต่เป็นคำตอบที่ทำให้เราจน
ตลาดหลักทรัพย์มีวัตถุประสงค์ให้เราร่วมลงทุนกับกิจการที่ดีในเวลาหนึ่งๆ
เราควรใช้วัตถุประสงค์นี้ VS = Value shareholder ทุกคนมีความเก่งอย่างมาก
ให้ทุกคนไปถือหุ้น 10 บริษัท และไปเสนอแนะดีๆกับบริษัท เหมือนให้เขารู้สึกว่าเราร่วมลงทุนกับเขา
พยายามให้เห็นคุณค่าอยู่ที่ตัวเรากำลังคิด พูดกับตัวเองและสังคม ทำให้สังคมที่ดีขึ้น
ยิ่งให้ ยิ่งได้รับ การที่เราจะบอกแนะนำ IR สักข้อ เราต้องทำการบ้านลึกมากเพื่อเสนอข้อแนะนำทีดี เพื่อให้บริษัทดีขึ้นคือการลงทุนแบบวีไอ และ แบบ VS
เมื่อเวลาเรามีมากขึ้น เริ่มหวงเวลาในชาตินี้ 100 ปีทำให้ดีขึ้น
ทุกปันผลที่ได้มาก็ไปบริจาค สร้างสิ่งดีๆให้กับสังคม
การทำความดีมีกรรมบางอย่าง ทำให้การวิเคราะห์เพื่อหลุดจากบริษัทที่มีวัตถุประสงค์หรือเจตนาที่ไม่ชัดเจน
หลีกเลี่ยงหุ้นไม่ดี
ดร ไพบูลย์ บอกว่าคุณเคนบอกมา น้อยคนจะได้ยิน รายการMoneytalk ย้อนหลังสิบกว่าปีก่อน
เราพยายามเชิญคนที่ประโยชน์มาพูดในแนวทางธรรม คนฟัง500คน แค่หนึ่งคนที่เข้าใจก็คุ้มแล้ว
แต่เราหาคนที่พูดแนวธรรมะได้ยาก
เราได้เชิญ คุณดังตฤณ ผู้เขียนหนังสือ เสียดาย…..คนตายไม่ได้อ่าน มาสองรอบ ทางธรรมลึก แต่ไม่เข้าใจเรื่องการลงทุนและ เคยเชิญพระรักเกียรติ์ พระพยอมก็เคยมาพูด และ สัมภาษณ์หลวงพ่อปัญญาที่วัดทำเป็นเทปแจก ท่านพึ่งสิ้นไป
รวมถึงทีเด็ดสัมภาษณ์หลวงพ่อคูณ ดีแอบตับ ฟังแล้วไม่เข้าใจความหมาย ท่านก็หัวเราะ
หลายคนบอกว่า ของดีหายาก ไปแอบหลังตับ หลวงพ่อมาเคาะหัวดร ไพบูลย์
หลังจากนั้นหุ้นที่ไม่ได้ถือขึ้นตลอด
ตอนนี้ ระยะเวลา100ปีทางโลก สำหรับคนในห้องเหลือไม่เท่าไหร่ ขึ้นกับแต่ละคน
ดร นิเวศน์ แนวทางวีไอ พูดในหัวข้อ “ เก๋าวีไอ “
หลักการลงทุน มันเกิดในช่วงที่ไม่มีคนเล่นหุ้น
การลงทุนในช่วงก่อนหน้าก็ซื้อๆขายๆ
การลงทุนช่วงนั้นเกิดจากความจำเป็นต้องเอาตัวรอด จากวิกฤตเศรษฐกิจ และ ออกจากงาน
ต้องเกษียณไม่มีงานทำแต่ตอนนี้เงินไม่พอ จากเคยรับเงินเดือนประจำ
ก็เลยเกิดแนวทางลงทุนวีไอ เป็นความจำเป็นที่ต้องเอาตัวรอด
โชคดีมีตลาดหุ้น ถ้าเรามีเงินก็สร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจ
เงินที่เหลือก็ไปลงทุนในหุ้น เหมือนไปลงทุนในธุรกิจ
หาคนทำงานแทนเรา มีโอกาสครั้งสุดท้ายในชีวิตเลือกใครมาทำงานแทนเรา
เราต้องเลือกคนที่ทำงานไม่ชุ่ย เลือกคนที่ไว้ใจที่สุด มีความขยันขันแข็ง
เป็นคนมีความสามารถและอยู่ได้ยาวจนถึงช่วงที่เราตาย
ต้องเป็นบริษัทที่อยู่ได้เป็นสิบปี เลือกบริษัทที่เรามั่นใจ เหมือนเราเลือกคนทำงาน
ที่แข่งขันสู้คนอื่นได้ไหม ใครได้เปรียบ สินค้าขายดีกว่าคนอื่น
สุดท้ายคือราคาที่จ่าย ถ้าแพงไปเลือกได้น้อยคน ถ้าจ่ายถูกก็ได้หลายคน
เราต้องดูทั้งบริษัทในระยะยาว ลงทุนไปแล้วพบว่าเป็นคนเก่ง ได้เปรียบด้วย
เช่นเกิดในตระกูลที่มีเงิน หรือชื่อเสียงขอกู้ได้ 100 ลบมาลงทุนได้ หรือ มีที่ดินเยอะ
ชีวิตตัวเราเอง ทำงานแข่งกับคนอื่นถ้าเสียเปรียบก็แพ้
ดังนั้นต้องเลือกบริษัทที่มีความได้เปรียบ ถ้าแข่งในด้านได้เปรียบก็มีโอกาสชนะ
บริษัทก็คือคน ทุกวันนี้ก็ดูทุกอย่าง จะไปแข่งแสดงกับณเดชย์ และ ญาญ่า ก็แพ้แน่นอน
พอคิดอย่างนี้ เรามีหน้าที่ต้องเลือกว่าใครสามารถทำงานแทนเราในระยะยาว
เอาเงินให้เราเพิ่มทุกวัน เราไม่ได้ลงทุนเล่นหุ้นแล้ว
เมื่อก่อนvolumeน้อย ซื้อไปแล้วขายยาก เงื่อนไขแบบนี้คือ เลือกไปแล้วทุกปีดีขึ้นเรื่อยๆ
ถ้าเราแน่ใจว่าดี เราก็ไม่ขาย ปีที่แล้วไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง เพราะไม่มีตัวที่น่าสนใจให้ซื้อ
ตัวที่มีอยู่มีความแข็งแกร่ง ไม่ต้องไปยุ่งมัน
มองย้อนหลัง ด้วยวิธีคิดแบบนี้ ซื้อหุ้นและถือไป10ปี บริษัทก็ออกลูก หลาน โตขึ้นทุกวัน
จากเมื่อก่อนพนักงาน 10,000 คน เป็น 100,000 คน มาเลี้ยงดูเรา
การลงทุนสไตด์อื่น เช่น เสี่ยป๋องก็รวยได้ จริงๆเราไม่ต้องคิดมาก 20ปีที่ผ่านมา มีคนที่รวยทุกภาคส่วน
รวมถึงการถือผ่านกองทุนรวม เรามานั่งคิดว่า วิธีของเราอาจไม่แน่ แต่ก็ใช้ได้
สรุป จริงๆวิธีการไม่ได้แน่กว่าคนอื่น เซียนบางคนรวยกว่าเรา
ประเด็นคือตอนนี้บางคนเริ่มหายรวย บางคนเจ๊ง หรือ ตายโดยเราไม่รู้ตัว คนเจ๊งไม่ได้พูด
ปีนี้ไม่ทำอะไรแต่หุ้นลง ดร นิเวศน์ เมื่อก่อนลงทุน 20 ปี ขาดทุน 2 ปี หมายถึงportลดลง
ปีนี้น่าจะขาดทุนเป็นปีที่3 เมื่อก่อนขาดทุนก็พยายามหาเงินมาซื้อหุ้น
แต่ปีนี้มีเงิน แต่หาหุ้นที่น่าลงทุนไม่เจอ หุ้นที่ดี PE 30-40เท่า บางตัว PE 100 เท่า
ช่วงกำไรสร้างวีรบุรุษ จนกระทั่งหุ้นตก หรือ ซึม วันนั้นจะเป็นการพิสูจน์ว่าเราลงทุนถูกต้องหรือไม่
การลงทุนแนววีไอ คนดังเช่น วอร์เรน บัฟเฟต ก็ยังอยู่ ไม่เคยได้ 100% สำคัญขาดทุนน้อยมาก
เช่น ขาดทุนแค่ 5 ปี เลือกหุ้นที่อยู่นาน แข็งแกร่ง หุ้นไม่หวือหวา หุ้นไม่ร้อนแรง
บัฟเฟตต์ซื้อหุ้นซอสมะเขือเทศ ซึ่งตอนคนรู้จักทั่วโลกแล้ว
แต่หุ้นพวกนึ้อยู่ได้ เวลาใครเป็นอะไรก็ยังกินซอสมะเขือเทศไฮนส์
ถ้าเรามั่นใจธุรกิจที่อยู่ได้ โตได้ไม่มีโอกาสลดลง เวลาเกิดร้ายแรงก็อยู่ได้ และฟื้นตัว ขยายได้
ตอนนั้นซื้อเพราะเอาตัวรอด ผมสนใจประวัติศาสตร์ ซึ่งชนะทุกอย่างที่เราคิด
ตอนหลังเราศึกษาประวัติศาสตร์ อ่านเยอะ
อ เสน่ห์ สรุป ตอนท้าย
“ ประสบการณ์ ของเก๋า เขาบอกว่า
เทคนิคอล ใช้เวลา อย่าพลาดหาย
ต้องอ่านกราฟ ถ้วนถี่ ฉี่วอดวาย
ประเดี๋ยวขาย ประเดี๋ยวซื้อ มือระวิง
ตัดสินใจ ด้วยพื้นฐาน เป็นงานหลัก
อย่าจมปลัก ต้องเปลี่ยนแปลง แบ่งขายทิ้ง
หุ้นขาขึ้น เป็นโอกาส ไม่พลาดจริง
ยามหุ้นดิ่ง นิ่งไว้ ไม่เข้าไป
แนวกองทุน หุ้นพิเศษ เบสต์อินคลาส
ออกตลาด เยี่ยมบริษัท เขาจัดให้
คิดถ้วนถี่ เห็นชัด ตัดสินใจ
ยึดหลักไว้ ต้องบาลานซ์ การลงทุน
แนวเชิงพุทธ สุดท้าย เป้าหมายแม่น
ถือเป็นแก่น สบายใจ ไม่หัวหมุน
ไม่ประมาท พลาดพลั้ง ช่างเป็นคุณ
กุศลหนุน ลงทุนดี มีร่ำรวย
แนววีไอ ใช่คุณค่า มาตัดสิน
ไม่ยลยิน เก็งกำไร ให้มันสวย
ถือหุ้นดี ไม่เจ็ง เซ๊งกระบวย
หุ้นระทวย ยังสบาย ไม่เจ็บตัว
หลากสไตด์ หลายเก๋า เขาบอกกล่าว
เป็นเรื่องราว บทเรียน เปลี่ยนกันทั่ว
อย่าเสี่ยงมาก วุ่นวาย ไร้ความกลัว
อย่าเล่นมั่ว หมดตัว หมดหัวใจ “
เนื่องจากเวลาจำกัดเลยได้คุยแค่คำถามแรกเท่านั้น เอาไว้มาคุยใหม่ในโอกาสหน้านะครับ
สุดท้ายขอขอบวิทยากรทุกท่าน ดร ไพบูลย์ ดร นิเวศน์ อ เสน่ห์ และทีมงานMoneytalk ทุกท่านครับ
วิทยากร 4 ท่านได้แก่
1) ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร เป็นนักลงทุนแนวคุณค่า ที่สอนคนอื่นด้วยความรู้ด้านการลงทุน
2) คุณ วัชระ แก้วสว่าง คนที่พูดตรงที่สุด กำไรหรือขาดทุนก็บอก ความรู้วิชาการด้านเทคนิคได้หมด
3) คุณ เจษฏา สุขทิศ ลงทุนโดยใช้ความรู้สมัยใหม่เหมาะกับคนที่เชื่อว่าลงทุนเพื่อสร้างฐานะ ลงทุนผ่านกองทุนรวมผ่าน Fin tech เคยเป็น CIO ของ CIMB Principle
4) คุณ โสรัตน์ วณิชวรากิจ ลงทุนในแนวธรรมะ ลงทุนหุ้นเชิงพุทธ สังคม ครอบครัวได้ประโยชน์
ดร. ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ.เสน่ห์ ศรีสุวรรณ ดำเนินรายการ
นอกจากสี่แนวการลงทุนแล้ว ยังแนะนำการลงทุนแนวแมงเม่าเจ้าเวหา โดย อ เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
“ สมญานาม รุ่นเก๋า เขาต้องเก่ง
พร้อมบรรเลง เพลงรบ ครบเครื่องสู้
กลยุทธ์ สุดลิ่ม ทิ่มประตู
เป็นกูรู การลงทุน หุ้นนานา
เก๋าวีไอ หุ้นใหญ่นี้ มีทีเด็ด
เต่านิเวศน์ ยืนยง ทรงคุณค่า
ผ่านวิกฤต มากมาย ตั้งหลายครา
ไม่ผวา หวาดหวั่น ไม่พรั่นกลัว
เก๋าเทคนิค อ่านซิกเก่ง เจ๋งไม่จ๋อง
มีนามว่า เสี่ยป๋อง ร้องกันทั่ว
จับจังหวะ กะเข้าออก บอกรัวรัว
ช่วงไหนชัวร์ ช่วงไหนซิ่ง ทิ้งไปเลย
เก๋ากองทุน หนุนฟินเทค เมคมันนี่
ทีมงานดี มีความรู้ ไม่อยู่เฉย
นามเจษฏา สุขทิศ คิดไม่เชย
รู้ไหมเอ่ย ฟินโนมิน่า ปรากฏการณ์
เก๋าลงทุน หนุนเชิงพุทธ พิสุทธ์ชัด
เคนโสรัตน์ ยึดแนวนี้ มีทางผ่าน
เน้นความรู้ คู่ความพร้อม ประนอมนาน
รู้เบิกบาน สบายใจ ไม่โลภเกิน
ทั้งสี่เก๋า เคล้าคลุก สนุกแน่
ไพบูลย์แก่ แต่ตลก ไม่งกเงิ่น
เสน่ห์เม่า จ้าวเวหา พาฟังเพลิน
ร่วมดำเนิน รายการ มันแน่นอน”
เรียนถามกูรูสี่ท่านด้วยคำถามเดียวกัน
คำถามแรก แนวทางการลงทุนของกูรูแต่ละท่าน วิธีนี้ดีอย่างไร ประสบความสำเร็จไหม
เริ่มจากแนวเทคนิคอล โดยคุณป๋อง วัชระ แก้วสว่าง
คุณป๋องบอกว่า แนวทางการลงทุนของผม ใครก็คิดว่าผมชำนาญกราฟ เทคนิคอล
จริง ๆ ใช้นิดหน่อยในการตัดสินใจลงทุน
ช่วงแรกซื้อหุ้นและถืออย่างเดียว แต่มาเจอช่วงต้มยำกุ้งเลยขาดทุน
ต่อมาเจอผู้เชี่ยวชาญแนะนำลงทุนโดยใช้กราฟ
จริงๆ แล้วเป็นการเล่นรอบของหุ้น
ผมลงทุนอย่างจริงจัง ทำงานที่บล เอเซียพลัสทุกวัน
ตอนแรกเล่นหุ้นแบบไม่สนใจ โทรซื้อและขายผ่านmarketing
คุณพ่อและคุณแม่ทำการค้าที่จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งต้องเอาใจใส่เรื่องการค้าขาย
แต่ผมซื้อหุ้นแล้วไม่ได้สนใจไปดู เลยเปลี่ยนแนวการลงทุนใหม่ สนใจดูแลหุ้นอย่างจริงจังตั้งแต่ ปี 1999
ไม่ว่าหุ้นตก หรือ หุ้นขึ้นก็ไปทำงานทุกวัน ถึงแม้ช่วงSubprimeก็ตามก็ยังมาทำงานปกติ
ดร นิเวศน์เสริมว่า ปกติจะทำงานที่บ้าน
คุณป๋องบอกว่าที่ทำงานมีจอคอมพิวเตอร์ดูหุ้น 5 จอ จอดูกราฟ 2-3จอ
จอดูข่าว Bloomberg ทั้งหมดรวม 11 จอ
จอต้องมีการset upด้วยความชำนาญ ดูหุ้นแค่5จอ ซึ่งแต่ละหน้าจอจะมีหุ้น10หุ้นที่ผมสนใจ
ผมคีย์ซื้อหรือขายเองประหยัดค่าคอมมิสชั่น
ไม่ค่อยอ่านข่าวหนังสือพิมพ์ แต่ได้ข้อมูลจากLineที่พี่ๆส่งให้
เมื่อก่อนเคยไปทำงาน 7.00 น เพราะไปส่งลูกเข้าโรงเรียนตอนเช้า
เดี๋ยวนี้ไปสายคือ 9 โมงกว่า
ดร นิเวศน์ บอกว่า ยังไม่ตื่น เพราะนอนดึก
คุณป๋องก็นอนดึกเพราะดูดาว(โจนส์)
ช่วงหลังไปสาย ที่ลำบากคือ ใช้เวลา10 นาทีในการเปิดจอทั้ง 11 จอ และ setup
หุ้น 700 ตัว สกรีนเหลือ 50 ตัว หุ้นตัวไหนไม่ใช่ก็ต้องเอาออก
อ เสน่ห์ตอนนี้ฟังเสียงเริ่มอ่อนล้า ไม่รู้การลงทุนในปีนี้จะยากไปไหน
คุณป๋องเล่นหุ้นปีนี้ นึกถึงหนังไทยเรื่องนึง คือ กวนมึนโฮ
ซื้อปุ๊บก็โดนขายเลยเหมือนโดนกวนมากๆเลย โดนเยอะเลยมึน และ ร้องไห้โฮ
ช่วงนี้เสพยา ( หุ้นโอสภสภา หรือ OSP พึ่งIPOเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาตอนนี้ราคาลงมาใกล้จองแล้ว )
ช่วงลงทุนที่ผ่านมา ลงทุนตั้งแต่สมัยเรียนที่มหาวิทยาลัย โดยไม่เคยดูกราฟเลย
พึ่งมาดูกราฟตอนปี 1999 หลังจากนั้น 4 ปี ได้ทุนคืนหมดเพราะใช้กราฟ ข้อดีคือไม่ติดหุ้น
หุ้นต้องมีสภาพคล่อง มโนเองไม่ได้
ต้องมีpatternของกราฟ เรียนรู้จากข้อมูลของเก่า
เคยติดหุ้นธนาคารราคา 200กว่าบาท ย้อนหลังมาดูกราฟ ราคาที่ซื้อเหมือนยีงกว่าดอยอินทนนท์
แต่กราฟไม่เคยใช้ได้ 100% ทำให้รอดออกมา ถึงแม้ประสิทธิภาพแค่ 60-70%
ค่อยๆกำไร เคยได้กำไรเยอะมาก 140% อ้อแต่มีอยู่ปีนึงเคยได้ 500% เปลี่ยนฐานะเลย
แต่ตอนนี้โตยากมากเพราะportใหญ่ขึ้น แต่portลดง่ายมาก
กำลังคิดเปลี่ยนวิธีในการลงทุน
สวรรค์ไม่รู้มีกี่ชั้น ของยิ่งแพงยิ่งดี แต่นรกก็มีหลายชั้นเหมือนกัน ต้องระวัง
ต้องขายช่วงอยู่หุ้นอยู่บนสวรรค์ แต่พอกราฟเสียรูป ต้องขายทั้งที่พื้นฐานไม่เปลี่ยน
มีคนบอกว่า ต้องมีบางคนรู้ล่วงหน้าว่าดัชนีจะตก ก็เลยชิงขายก่อน
จริงๆ เทคนิคอลคือการบันทึกซื้อ ขายที่ผ่านมา มันจะบอกตัวเลขไปทางซื้อ หรือ ขาย
ทำให้เกิดการขาย ถ้าเทคนิคอลบอกว่าไม่ดี เหมือนกับมีคนรู้ล่วงหน้าว่าจะลง
เป็นการเล่นรอบ มีการขายออกทั้งที่พื้นฐานยังดีอยู่
เช่น หุ้นขึ้น 100 บาท หล่นลงมา 50 บาท และขึ้นกลับไปอีกหลายเท่า
ซึ่งคนเล่นยาวไม่สนใจราคาขึ้นลงที่ผ่านมา เน้นลงทุนระยะยาว
เราไม่ได้เล่นหุ้นแบบอินไซด์ ซึ่งในความหมายของคุณป๋องคือ
การลงทุนของคุณป๋อง โดยวิเคราะห์ คิดอย่างดี จากข่าวภาครัฐว่ามีผลต่ออนาคตอย่างไร
เช่น การกระตุ้นของภาครัฐ หรือ เป็นเทรนของแต่ละสินค้า ก็วิเคราะห์ว่าจะมีโอกาสอะไรบ้าง
บางรอบเล่นน้ำมันเพราะรอบมา เราเล่นเป็นรอบๆ ใครมีวินัยในการเล่น ก็ไม่ขาดทุน
ดังนั้นเหมือนกับว่าคุณป๋องจะมีซื้อ ขาย บ่อยมาก (เปรียบเหมือนเปลี่ยนเมียบ่อย)
ดร นิเวศน์บอกว่าถ้าเมียดี ก็ไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยน หุ้นก็เหมือนกัน ไม่เปลี่ยนบ่อย
(คุณป๋องเปลี่ยนหุ้นบ่อย ก็ไม่ได้แสดงว่าเปลี่ยนเมียบ่อย)
เมียเป็นเจ้าของหุ้น หรือ เป็นHolding
เราต้องระวังตลอดเวลา ช่วงตอนสร้างตัว ต้องดูแลราคาหุ้นอย่างใกล้ชิด
กินข้าวก็กินในห้อง ปัสสาวะในห้องโดยใช้comfort
เวลาเรามีpositionละสายตาไม่ได้ เคยปวดหนักเลยเข้าห้องน้ำปรากฏว่าหุ้นตัวนั้นFloorเลย
ถ้าเราอยู่ก็ขายทัน สุดท้ายไปขายอีกวัน เละเลย ถึงแม้ไม่Floorในวันถัดมา
Portการลงทุนแบ่งเป็น Trade 30% และ ถือยาว 70% การเทรดเพื่อจะได้รู้เหตุการณ์
จากการทำบัญชีออกมา ที่รวยมาจากการถือยาว 70%
ตัวที่ถือยาว วิธีการเลือกหุ้นโดยมาจากการดูกราฟและพื้นฐานดีด้วย
คนส่วนใหญ่โพสแต่ตอนได้ แต่ตอนเสียไม่ได้โพส
อยากให้ทุกคนเห็นมุมที่เสียดัวยไม่ว่าเสี่ยไหนก็ตาม
ถามคุณเจษฎาซึ่งมีกลยุทธ์การลงทุนผ่านกองทุนรวม
ผมขอเล่าในช่วงที่ทำงานเป็นผู้จัดการกองทุนตั้งแต่ปี 2002 เวลาบริหารกองทุนหุ้นต่างจากลงทุนเอง
ผู้จัดการกองทุนเวลาลงทุน ก็ต้องลงทุนในกองทุนรวมเป็นหลัก
สมมติ กองทุนหุ้นที่บริหารมีขนาดกองทุน 30,000 ลบ เวลาซื้อหุ้น 1%
ก็คิดเป็นVolumeซื้อขาย 300ลบซึ่งถือว่าเป็นจำนวนเยอะมาก
คุณเจษฏาแนะนำให้ ลงทุนแบบ Best in class
เป็นการวิเคราะห์หุ้นตัวที่ดีที่สุดในแต่ละ sector
เพราะแต่ละช่วงเวลา Sectorแต่ละsectorจะดีไม่เหมือนกัน
ถ้าเราเลือกกลุ่มพลังงาน ซึ่งนักวิเคราะห์แต่ละคนวิเคราะห์ต่างกัน
กลุ่มนี้ผลกำไรผูกกับราคาน้ำมัน กำไรขึ้น หรือ ลง ตามราคาน้ำมัน
เลยเลือกกลุ่มโรงไฟฟ้าซึ่งอยู่ในกลุ่มพลังงานเหมือนกัน
ซึ่งกำไรดูผันผวนน้อยกว่า เลือกหุ้นโรงไฟฟ้าดีๆแค่ 2 ตัวพอ
โดยเงื่อนไขแต่ละคนไม่เหมือนกัน เจ้าหน้าที่ของเราก็ไปCompany Visit 200 บริษัทต่อปี
เจอผู้บริหารระดับ Top level หรือ เจ้าของบริษัท นั่งคุย 2-3 ชม และกลับมาทำการบ้านต่อ
ดีในมุมของผู้บริหารคืออะไร อีกอย่างดูด้วยความคาดหวังต่ำๆ
เช่น Research บอกว่ามีโอกาสโต 100% แสดงว่ามีความคาดหวังสูง และ โบรคส่วนใหญ่แนะนำซื้อ
แต่ถ้าบริษัทดีในเชิงคาดหวังน้อย คือ มีการcall sell เยอะๆ ดังนั้นถ้านักวิเคราะห์เปลี่ยนแนะนำเป็นฺBuy จะดี
หรือ เจอบริษัทที่ดี และไม่มีใครสนใจ จะดีมาก ซึ่งนักวิเคราะห์ไม่cover
สุดท้าย เลือกไปเลย เช่น รพ เลือก BDMS , commerce ชอบ Homepro
และต้องทำrebalance portด้วย เช่น หุ้นบางตัวขึ้นสูง เราให้ทำตรงกันข้าม
คือขายออกไปและซื้อตัวที่ยังไม่ขึ้น หรือ ลงมา
ซึ่งย้อนไปสิบปี กองทุนระดับหัวตารางได้ผลตอบแทนมากกว่า 18%
จากกฎ 72 หมายถึง จำนวนปีที่ทำให้portโตหนึ่งเท่า ขึ้นกับผลตอบแทน
แสดงว่าผลตอบแทน 18% ลงทุนแบบนี้Portโตได้เท่าตัวใน 4 ปี
เงินโตจาก 1 ลบ ไป 2 ลบ ถ้าเวลาสิบปีก็โต 5 เท่าตัว เราสามารถเลี้ยงตัวเองได้จากการลงทุน
เราควรหาแนวทางตัวเองให้เจอ เราต้องลงทุนแบบทบต้นจนถึงจุดที่รายได้ออกมามากกว่าค่าใช้จ่าย
ตอนนั้นมีทีมลงทุนหุ้น 20 คนไปเยี่ยมบริษัทและมาคุยกัน สุดท้ายใครดูแลportไหนก็ตัดสินใจเอาเอง
ถ้าหลายคนยังทำงานอยู่ ปีนี้ลงทุนยากมาก บางบริษัทตกลงมาเหลือ 20%
ผมแนะนำว่า ถ้าportไม่ใหญ่ ควรตั้งเป้าว่าลงทุนอย่างไรได้อย่างน้อย 15%ต่อปี
หลักเกณฑ์ในการเลือกกองทุนเพื่อลงทุน
1.ดูกองทุนที่ให้ผลงานอย่างสม่ำเสมอ
2.กองทุนที่ให้ผลตอบแทนดีสุดในระยะยาว
3.เวลาขาดทุนก็ขาดทุนน้อยสุด
จากกฎการลงทุนของบัฟเฟตต์
ข้อหนึ่ง อย่าขาดทุน
ข้อสอง ให้ย้อนกลับไปดูข้อที่หนึ่ง
ทางเราฟินโนมิน่า มีการจัดกองทุนว่ากองไหนดีสุด เวลาขาดทุนก็น้อยสุด
หุ้น Facebook,Tencent,Google ซึ่งตอนนี้ ค่าPE ถูกกว่า ค่าPE ของ AOT,CPALL
คุณสามารถลงทุนหุ้นเหล่านี้ผ่านกองทุนรวมต่างประเทศที่เป็นกอง Tech ได้
จนกระทั่งกองเติบโตจนเลี้ยงคุณได้ ค่อยมาเป็นนักลงทุนFull time investor
เรามีข้อมูลฟรีให้เยอะ เช่น เราสามารถดูงบการเงิน 10ปี หรือ 40 ไตรมาสย้อนหลัง
ผมทำกับคุณMarch (Buffet code) เราทำแบบ 3D
1.ผลตอบแทนดีกว่าคู่แข่ง
2.เวลาลง ลงน้อยกว่า
3.Sharp ratio สูงกว่ากองอื่น หมายถึง ผลตอบแทนเทียบกับความเสี่ยง ยิ่งสูงยิ่งดี
เราเติมบางค่าเช่น Free cash flow โดยข้อมูลงบการเงินหลักได้มาจากตลาดหลักทรัพย์
วิทยากรท่านต่อไปคือ คุณเคน โสรัตน์ ซึ่งดร ไพบูลย์ บอกว่า สมาคมไทยวีไอ 11 รุ่น เปิดมาไม่เกิน 1 นาทีก็เต็มแต่รุ่นล่าสุดใช้เวลานานกว่าจะกว่าจะเต็ม เพราะตลาดหุ้นช่วงนี้ไม่ดี
วิชาที่ดร ไพบูลย์สอน คือ แนวทางวีไอกับเส้นทางธรรมไปด้วยกันได้ไหม
เวลาลงทุนมีความโลภ โกรธ หลงผิด ทำอย่างไรให้รวยที่สุด
ทางโลก เวลาฝากเงิน ทำไมคนอยากไปซื้อพันธบัตรรัฐบาล มันกินเนื้อเรา แต่คนก็ยังไปลงทุนอยู่
แต่แนวเทคนิคอล ข้อเสีย คือต้องดูตลอดเวลา ห้ามไปไหน
แนวกองทุน fin tech ก็ยังมีความโลภ ยังมีอีกแนวการลงทุนทางธรรมสายพุทธซึ่งคุณเคนจะมาพูดให้ฟัง
คุณเคนบอกว่า ไม่ได้บรรยายมาปีกว่า ตั้งใจใช้เวลาที่เหมาะสมกับจุดมุ่งหมายในชีวิต
หัวข้อที่จะพูด “เก๋าในการลงทุนเชิงพุทธ”
ระยะของการใช้เวลามีความสำคัญกับเราชาวพุทธ
เราเกิดมาทำไมในโลกนี้ ถ้าเรารู้วัตถุประสงค์ เรารู้ว่าเวลาวันนี้ พรุ่งนี้เป็นอย่างไร
เราสามารถแยกมิติเวลา3 มิติของเวลา
1. ช่วงเวลาปัจจุบัน คือระยะเวลา100 ปีที่คุยกัน
2. ภพชาติหน้ามั่นใจว่าปลอดภัย จะมีความสุขกว่าปีนี้ไหม
3. เราเห็นอริยสัจสี่ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เพื่อเห็นความเบื่อหน่าย และคลายความกำหนัด และเห็นการเกิดดับ เพื่อเห็นความเกิดดับ ไม่มีความทุกข์ คือ ขรรค์5 สภาวะนี้เรียกว่าการดับเย็นมีสามสภาวะ ในที่นี้เรามาพูดถึงสภาวะแรกก่อนคือการลงทุนเชิงพุทธ
ผมสรุปว่าพอเราเข้าใจวัตถุประสงค์ทั้งสาม
เวลาเป็นสิ่งที่แหนหวงมาก มีการใช้เวลาแบบประมาทเกินไปกับความตายที่แน่นอนแต่ไม่รู้เกิดขึ้นเมื่อไหร่
สำหรับวิทยากรในงาน
การท้าทายของนักลงทุน คือ การสู้กับสภาวะเสพติดของความสำเร็จ คนยิ่งสำเร็จ จะออกมาไม่ได้ เพราะเกิดจากการปรุงแต่ง เสพเข้าไปเหมือนกับโลกธรรม8 เหมือนกับได้รับการสรรเสริญ
เราได้น้อยลงนิดเดียวก็เกิดความทุกข์ การวางจิตที่ถูกต้องเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
จากที่ปวาราณาตัวเอง ทุกคนมีจุดยืนของตัวเอง เราเกิดมาทำไม
จุดยืนของผมเมื่อก่อน เราต้องรวยกว่าคนอื่น หรือ %ได้มากกว่าดัชนี แต่เกิดความทุกข์ขึ้น
จริงๆแล้วขาดทุนก็ยังไม่สะเทือน แต่ภาวะจิตใจอ่อนแอ ไม่ประสบความสำเร็จ ไม่สงบ
เล่นหุ้นแบบการลงทุนฆราวาสชั้นเลิศ โดยอย่าไปโกงเขา ลงทุนอย่าไปทำเขา
ไม่เคร่งครัดเรื่องเวลา ลองสังเกตว่า เวลาลงทุนแล้วไม่เปิดจอดูราคาหุ้นจะเป็นอย่างไร
เราลองท้าทายกับตัวเอง เวลาดูหุ้นแล้วราคาจะขึ้นหรือครับ
ดูไปก็ไม่มีประโยชน์ จากการสังเกตการณ์ดูการลงทุนแบบดร นิเวศน์เห็นชัดเลย
ยิ่งใช้เวลาน้อย ยิ่งรู้สึกเข้าใจธรรมชาติของคนมากขึ้น พอปฏิบัติมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ทำให้มีสมาธิ
การคิดต่างๆเร็วขึ้นแบบช้าลง ตัวอย่างเช่น ดร นิเวศน์ ลงทุนแบบเต่านั้นถูกต้อง หดหัวในกระดองถูกต้อง
คุณเคนใช้เวลาในการดูหุ้นแค่10% แต่ใช้เวลา 45%ไปปฏิบัติธรรม และ อีก 45%ไปทำความดี
ผมไปเปิดสถานปฏิบัติธรรมในลำพูนกับเชียงใหม่ พาครอบครัวไปขึ้นเขาทำความดี
หลังๆมีแต่การบรรยายธรรมมะแต่ก็ได้รายได้ปันผลจากหุ้นที่ลงทุนระยะยาว
ถ้ากิจการนี้ยังคงได้เปรียบในการแข่งขัน การขึ้นลงของราคาหุ้นเป็นรอบก็ไม่ต้องสนใจมากถ้าระยะยาวดี
อีกสิ่งคือ การแพ้ตลาด แพ้คนอื่น แพ้เพื่อนๆ เพื่อชนะตนเอง แท้จริงแล้วการที่กำไรแตกต่างจากคนอื่น
ทุกอย่างสมมติ ทำให้ความเป็นจริงของเราเกิดการรับรู้ ทุกวันนี้ ดูสภาวะจิตของตนเอง ลงทุนแบบนี้ ใช้เวลาแบบนี้เกิดความทุกข์
คำถามคือ ตกลงเงินได้เพียงพอไหม ถ้าต้องการมากกว่านี้แล้วเกิดทุกข์ จะทำไปทำไม
ทุกวันนี้การลงทุนของผมslow downไปเยอะ มีโอกาสก็ดี ถ้าไม่มีโอกาสผมก็ไม่เดือดร้อน
เมื่อก่อนต้องประเมินว่าทุกวันพอร์ตขึ้นลงเท่าไหร่ ทุกอาทิตย์ทุกเดือนทุกปี ขึ้นลงเท่าไหร่
เราจะชนะตัวเองมากเท่านั้นเป็นperfectionist ว่าดูจากมือถือว่าพอร์ตขึ้นลงเท่าไหร่
ถ้าหยุดประเมินมากเท่าไหร่ เราก็มีความสุข
เราลองฝึกห้ามดูLine มันค่อนข้างยาก แต่ถ้าเราฝึกฝนไม่ใช้Lineดู เราจะมีความสุขมากขึ้น
ผมมองว่าย้อนคิดดูว่า คนในห้องสัมมนาจะไม่กินข้าวเพราะไม่มีเงิน ไม่น่าจะประเด็น ทุกคนมีเงิน มีความรู้
ช่วยเหลือสังคม เพียงแต่ว่ากติกาสังคม เราได้น้อยกว่าคนอื่น เรามีประสิทธิภาพต่ำ ไม่ประสบความสำเร็จ
เราอย่าให้ ราคะ โทสะ ที่ดร ไพบูลย์บอก ครอบงำ ทำให้เราเกิดความทุกข์
เวลาเรามีน้อย สุขภาพ ครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญ การงานเป็นจุดนึง การลงทุนก็เป็นอีกจุดนึง
เสี่ยป๋องบอกได้ชัดเจนว่า การเล่นหุ้นรายวันไม่ใช่คำตอบว่าทำให้เรารวย แต่เป็นคำตอบที่ทำให้เราจน
ตลาดหลักทรัพย์มีวัตถุประสงค์ให้เราร่วมลงทุนกับกิจการที่ดีในเวลาหนึ่งๆ
เราควรใช้วัตถุประสงค์นี้ VS = Value shareholder ทุกคนมีความเก่งอย่างมาก
ให้ทุกคนไปถือหุ้น 10 บริษัท และไปเสนอแนะดีๆกับบริษัท เหมือนให้เขารู้สึกว่าเราร่วมลงทุนกับเขา
พยายามให้เห็นคุณค่าอยู่ที่ตัวเรากำลังคิด พูดกับตัวเองและสังคม ทำให้สังคมที่ดีขึ้น
ยิ่งให้ ยิ่งได้รับ การที่เราจะบอกแนะนำ IR สักข้อ เราต้องทำการบ้านลึกมากเพื่อเสนอข้อแนะนำทีดี เพื่อให้บริษัทดีขึ้นคือการลงทุนแบบวีไอ และ แบบ VS
เมื่อเวลาเรามีมากขึ้น เริ่มหวงเวลาในชาตินี้ 100 ปีทำให้ดีขึ้น
ทุกปันผลที่ได้มาก็ไปบริจาค สร้างสิ่งดีๆให้กับสังคม
การทำความดีมีกรรมบางอย่าง ทำให้การวิเคราะห์เพื่อหลุดจากบริษัทที่มีวัตถุประสงค์หรือเจตนาที่ไม่ชัดเจน
หลีกเลี่ยงหุ้นไม่ดี
ดร ไพบูลย์ บอกว่าคุณเคนบอกมา น้อยคนจะได้ยิน รายการMoneytalk ย้อนหลังสิบกว่าปีก่อน
เราพยายามเชิญคนที่ประโยชน์มาพูดในแนวทางธรรม คนฟัง500คน แค่หนึ่งคนที่เข้าใจก็คุ้มแล้ว
แต่เราหาคนที่พูดแนวธรรมะได้ยาก
เราได้เชิญ คุณดังตฤณ ผู้เขียนหนังสือ เสียดาย…..คนตายไม่ได้อ่าน มาสองรอบ ทางธรรมลึก แต่ไม่เข้าใจเรื่องการลงทุนและ เคยเชิญพระรักเกียรติ์ พระพยอมก็เคยมาพูด และ สัมภาษณ์หลวงพ่อปัญญาที่วัดทำเป็นเทปแจก ท่านพึ่งสิ้นไป
รวมถึงทีเด็ดสัมภาษณ์หลวงพ่อคูณ ดีแอบตับ ฟังแล้วไม่เข้าใจความหมาย ท่านก็หัวเราะ
หลายคนบอกว่า ของดีหายาก ไปแอบหลังตับ หลวงพ่อมาเคาะหัวดร ไพบูลย์
หลังจากนั้นหุ้นที่ไม่ได้ถือขึ้นตลอด
ตอนนี้ ระยะเวลา100ปีทางโลก สำหรับคนในห้องเหลือไม่เท่าไหร่ ขึ้นกับแต่ละคน
ดร นิเวศน์ แนวทางวีไอ พูดในหัวข้อ “ เก๋าวีไอ “
หลักการลงทุน มันเกิดในช่วงที่ไม่มีคนเล่นหุ้น
การลงทุนในช่วงก่อนหน้าก็ซื้อๆขายๆ
การลงทุนช่วงนั้นเกิดจากความจำเป็นต้องเอาตัวรอด จากวิกฤตเศรษฐกิจ และ ออกจากงาน
ต้องเกษียณไม่มีงานทำแต่ตอนนี้เงินไม่พอ จากเคยรับเงินเดือนประจำ
ก็เลยเกิดแนวทางลงทุนวีไอ เป็นความจำเป็นที่ต้องเอาตัวรอด
โชคดีมีตลาดหุ้น ถ้าเรามีเงินก็สร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจ
เงินที่เหลือก็ไปลงทุนในหุ้น เหมือนไปลงทุนในธุรกิจ
หาคนทำงานแทนเรา มีโอกาสครั้งสุดท้ายในชีวิตเลือกใครมาทำงานแทนเรา
เราต้องเลือกคนที่ทำงานไม่ชุ่ย เลือกคนที่ไว้ใจที่สุด มีความขยันขันแข็ง
เป็นคนมีความสามารถและอยู่ได้ยาวจนถึงช่วงที่เราตาย
ต้องเป็นบริษัทที่อยู่ได้เป็นสิบปี เลือกบริษัทที่เรามั่นใจ เหมือนเราเลือกคนทำงาน
ที่แข่งขันสู้คนอื่นได้ไหม ใครได้เปรียบ สินค้าขายดีกว่าคนอื่น
สุดท้ายคือราคาที่จ่าย ถ้าแพงไปเลือกได้น้อยคน ถ้าจ่ายถูกก็ได้หลายคน
เราต้องดูทั้งบริษัทในระยะยาว ลงทุนไปแล้วพบว่าเป็นคนเก่ง ได้เปรียบด้วย
เช่นเกิดในตระกูลที่มีเงิน หรือชื่อเสียงขอกู้ได้ 100 ลบมาลงทุนได้ หรือ มีที่ดินเยอะ
ชีวิตตัวเราเอง ทำงานแข่งกับคนอื่นถ้าเสียเปรียบก็แพ้
ดังนั้นต้องเลือกบริษัทที่มีความได้เปรียบ ถ้าแข่งในด้านได้เปรียบก็มีโอกาสชนะ
บริษัทก็คือคน ทุกวันนี้ก็ดูทุกอย่าง จะไปแข่งแสดงกับณเดชย์ และ ญาญ่า ก็แพ้แน่นอน
พอคิดอย่างนี้ เรามีหน้าที่ต้องเลือกว่าใครสามารถทำงานแทนเราในระยะยาว
เอาเงินให้เราเพิ่มทุกวัน เราไม่ได้ลงทุนเล่นหุ้นแล้ว
เมื่อก่อนvolumeน้อย ซื้อไปแล้วขายยาก เงื่อนไขแบบนี้คือ เลือกไปแล้วทุกปีดีขึ้นเรื่อยๆ
ถ้าเราแน่ใจว่าดี เราก็ไม่ขาย ปีที่แล้วไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง เพราะไม่มีตัวที่น่าสนใจให้ซื้อ
ตัวที่มีอยู่มีความแข็งแกร่ง ไม่ต้องไปยุ่งมัน
มองย้อนหลัง ด้วยวิธีคิดแบบนี้ ซื้อหุ้นและถือไป10ปี บริษัทก็ออกลูก หลาน โตขึ้นทุกวัน
จากเมื่อก่อนพนักงาน 10,000 คน เป็น 100,000 คน มาเลี้ยงดูเรา
การลงทุนสไตด์อื่น เช่น เสี่ยป๋องก็รวยได้ จริงๆเราไม่ต้องคิดมาก 20ปีที่ผ่านมา มีคนที่รวยทุกภาคส่วน
รวมถึงการถือผ่านกองทุนรวม เรามานั่งคิดว่า วิธีของเราอาจไม่แน่ แต่ก็ใช้ได้
สรุป จริงๆวิธีการไม่ได้แน่กว่าคนอื่น เซียนบางคนรวยกว่าเรา
ประเด็นคือตอนนี้บางคนเริ่มหายรวย บางคนเจ๊ง หรือ ตายโดยเราไม่รู้ตัว คนเจ๊งไม่ได้พูด
ปีนี้ไม่ทำอะไรแต่หุ้นลง ดร นิเวศน์ เมื่อก่อนลงทุน 20 ปี ขาดทุน 2 ปี หมายถึงportลดลง
ปีนี้น่าจะขาดทุนเป็นปีที่3 เมื่อก่อนขาดทุนก็พยายามหาเงินมาซื้อหุ้น
แต่ปีนี้มีเงิน แต่หาหุ้นที่น่าลงทุนไม่เจอ หุ้นที่ดี PE 30-40เท่า บางตัว PE 100 เท่า
ช่วงกำไรสร้างวีรบุรุษ จนกระทั่งหุ้นตก หรือ ซึม วันนั้นจะเป็นการพิสูจน์ว่าเราลงทุนถูกต้องหรือไม่
การลงทุนแนววีไอ คนดังเช่น วอร์เรน บัฟเฟต ก็ยังอยู่ ไม่เคยได้ 100% สำคัญขาดทุนน้อยมาก
เช่น ขาดทุนแค่ 5 ปี เลือกหุ้นที่อยู่นาน แข็งแกร่ง หุ้นไม่หวือหวา หุ้นไม่ร้อนแรง
บัฟเฟตต์ซื้อหุ้นซอสมะเขือเทศ ซึ่งตอนคนรู้จักทั่วโลกแล้ว
แต่หุ้นพวกนึ้อยู่ได้ เวลาใครเป็นอะไรก็ยังกินซอสมะเขือเทศไฮนส์
ถ้าเรามั่นใจธุรกิจที่อยู่ได้ โตได้ไม่มีโอกาสลดลง เวลาเกิดร้ายแรงก็อยู่ได้ และฟื้นตัว ขยายได้
ตอนนั้นซื้อเพราะเอาตัวรอด ผมสนใจประวัติศาสตร์ ซึ่งชนะทุกอย่างที่เราคิด
ตอนหลังเราศึกษาประวัติศาสตร์ อ่านเยอะ
อ เสน่ห์ สรุป ตอนท้าย
“ ประสบการณ์ ของเก๋า เขาบอกว่า
เทคนิคอล ใช้เวลา อย่าพลาดหาย
ต้องอ่านกราฟ ถ้วนถี่ ฉี่วอดวาย
ประเดี๋ยวขาย ประเดี๋ยวซื้อ มือระวิง
ตัดสินใจ ด้วยพื้นฐาน เป็นงานหลัก
อย่าจมปลัก ต้องเปลี่ยนแปลง แบ่งขายทิ้ง
หุ้นขาขึ้น เป็นโอกาส ไม่พลาดจริง
ยามหุ้นดิ่ง นิ่งไว้ ไม่เข้าไป
แนวกองทุน หุ้นพิเศษ เบสต์อินคลาส
ออกตลาด เยี่ยมบริษัท เขาจัดให้
คิดถ้วนถี่ เห็นชัด ตัดสินใจ
ยึดหลักไว้ ต้องบาลานซ์ การลงทุน
แนวเชิงพุทธ สุดท้าย เป้าหมายแม่น
ถือเป็นแก่น สบายใจ ไม่หัวหมุน
ไม่ประมาท พลาดพลั้ง ช่างเป็นคุณ
กุศลหนุน ลงทุนดี มีร่ำรวย
แนววีไอ ใช่คุณค่า มาตัดสิน
ไม่ยลยิน เก็งกำไร ให้มันสวย
ถือหุ้นดี ไม่เจ็ง เซ๊งกระบวย
หุ้นระทวย ยังสบาย ไม่เจ็บตัว
หลากสไตด์ หลายเก๋า เขาบอกกล่าว
เป็นเรื่องราว บทเรียน เปลี่ยนกันทั่ว
อย่าเสี่ยงมาก วุ่นวาย ไร้ความกลัว
อย่าเล่นมั่ว หมดตัว หมดหัวใจ “
เนื่องจากเวลาจำกัดเลยได้คุยแค่คำถามแรกเท่านั้น เอาไว้มาคุยใหม่ในโอกาสหน้านะครับ
สุดท้ายขอขอบวิทยากรทุกท่าน ดร ไพบูลย์ ดร นิเวศน์ อ เสน่ห์ และทีมงานMoneytalk ทุกท่านครับ