Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 31
ความน่าสนใจของตลาดเกิดใหม่ ( Emerging Market ,EM)
ตลาดเกิดใหม่ รายได้ยังไม่สูงเมื่อเทียบกับตลาดพัฒนา (Develop Market,DM)
สามารถดูรายละเอียดจากรูปได้
ตลาดพัฒนาแล้ว แบ่งออกเป็น 3 โซน คือ อเมริกาเหนือ ยูโรโซน ยกเว้น โซเวียด และ เอเชีย บางส่วน
ส่วนตลาด Frontier หรือ ตลาดชายขอบ เป็นอีกตลาดที่ยังพัฒนาไม่มาก ได้แก่ ตลาดหุ้นเวียดนาม เป็นต้น
มาเจาะลึกตลาดเกิดใหม่ทำไมน่าสนใจในตอนนี้
ตลาดเกิดใหม่ มาจาก
1. ลาตินอเมริกา และ อเมริกาใต้ ( EM&EA )
2. Asia ex Japan มีทั้งหมด 8 ประเทศ ยกเว้น ฮ่องกง และ สิงคโปร์ ที่อยู่ในตลาด DM
จากรูปที่เปรียบเทียบ ระหว่าง ตลาด DM กับ ตลาด EM
พบว่า ผลตอบแทน และ ความผันผวนของ ตลาด EM จะสูงกว่า
แต่ช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้น US ซึ่งอยู่ในตลาด DM ผลตอบแทนดีมากแต่ตลาด EM underperformมาหลายปี
ปกติถ้าเศรษฐกิจขาลง คนจะfocusที่ความเสี่ยง ผลตอบแทนอาจไม่ดีเท่าไหร่ ช่วงที่ผ่านมา ตลาดDM ดีกว่า ตลาดEM
หุ้นที่เป็น Growth stock มี PE สูงมาก หาหุ้นราคาถูกไม่เจอ หรือ ระยะหลัง ราคาหุ้นที่ถูกมักไม่ค่อยดี
การฟื้นตัวของวัฐจักรปกติ 1-1.5 ปี นับจาก Q3 16 ปีนี้จะครบรอบประมาณ กลางปี 17
ความเสี่ยงและผลตอบแทนของ 2 ตลาดเริ่มใกล้เคียงกันในตอนนี้ เลยมาfocusที่ผลตอบแทน
หุ้นคุณค่า หรือ value stock เป็นหุ้นที่น่าสนใจ ส่วนตลาดหุ้นที่น่าสนใจคือ Malaysia PB=1 เท่านั้น
หลังจากเจอปัญหา commodity ราคาตกต่ำ การเติบโตสามารถคาดหวังได้ เวลาเศรษฐกิจขาขึ้น
หุ้นคุณภาพไม่สูง แต่มี upside เยอะน่าสนใจ
แต่ต้องดูผลตอบแทนที่แท้จริง หมายถึง Dividend ลบด้วยเงินเฟ้อ
เงินของต่างชาติไหลเข้า ไทย เกาหลี เยอะ
สาเหตุที่เงินไหลเข้าไทยเพราะ
1.ไทยมีทุนสำรองมาก ฝรั่งเข้ามาไม่กลัวตอนเงินไหลออก ไม่เจ็บหนัก
2.ดุลบัญชีเดินสะพัด ดุลการค้าเกินดุล
3.เงินเฟ้อต่ำ ค่าแรงต่ำ
ทำไมเงินบาทแข็งค่าในช่วงนี้
เพราะว่า ดอกเบี้ยที่แท้จริงสูงจากเงินเฟ้อไทยต่ำ
หุ้นในตลาดเกิดใหม่ ( EM ) dividend yield สูงอยู่แล้ว ทำให้เงินไหลไปที่ EM
ระยะสั้น Bond ดีกว่าหุ้น แต่ให้หลีกเลี่ยง Bondในต่างประเทศ
แต่ระยะยาว ตลาดหุ้นน่าสนใจมากกว่า รวมถึง property fund ในต่างประเทศเช่น สิงค์โปร์
ซึ่ง ตอนนี้ Dividend yield สูงกว่าไทยแล้ว เพราะ ราคาของ prop fund ในไทยขึ้นมาสูงมาก
ตลาดหุ้นในจีน น่าสนใจเพราะราคาไม่แพง
ถ้าใครชอบหุ้นเกี่ยวกับอนาคต ก็ลงทุนในตลาดหุ้นจีน H-share
แต่ถ้าชอบสำหรับอุตสาหกรรมเก่า เช่น การเงิน ก็ลงทุนใน ตลาดหุ้น A-share
ส่วนตลาดหุ้นไทย อจ วิศิษฐ์ บอกว่ามีโอกาส ที่หุ้นขึ้น 1620 ในช่วง Q2 ลองติดตามดูนะครับ
สุดท้ายขอขอบคุณ บลจ ทหารไทย และ บล RHB ที่จัดสัมมนาให้ความรู้กับนักลงทุนครับ
ตลาดเกิดใหม่ รายได้ยังไม่สูงเมื่อเทียบกับตลาดพัฒนา (Develop Market,DM)
สามารถดูรายละเอียดจากรูปได้
ตลาดพัฒนาแล้ว แบ่งออกเป็น 3 โซน คือ อเมริกาเหนือ ยูโรโซน ยกเว้น โซเวียด และ เอเชีย บางส่วน
ส่วนตลาด Frontier หรือ ตลาดชายขอบ เป็นอีกตลาดที่ยังพัฒนาไม่มาก ได้แก่ ตลาดหุ้นเวียดนาม เป็นต้น
มาเจาะลึกตลาดเกิดใหม่ทำไมน่าสนใจในตอนนี้
ตลาดเกิดใหม่ มาจาก
1. ลาตินอเมริกา และ อเมริกาใต้ ( EM&EA )
2. Asia ex Japan มีทั้งหมด 8 ประเทศ ยกเว้น ฮ่องกง และ สิงคโปร์ ที่อยู่ในตลาด DM
จากรูปที่เปรียบเทียบ ระหว่าง ตลาด DM กับ ตลาด EM
พบว่า ผลตอบแทน และ ความผันผวนของ ตลาด EM จะสูงกว่า
แต่ช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้น US ซึ่งอยู่ในตลาด DM ผลตอบแทนดีมากแต่ตลาด EM underperformมาหลายปี
ปกติถ้าเศรษฐกิจขาลง คนจะfocusที่ความเสี่ยง ผลตอบแทนอาจไม่ดีเท่าไหร่ ช่วงที่ผ่านมา ตลาดDM ดีกว่า ตลาดEM
หุ้นที่เป็น Growth stock มี PE สูงมาก หาหุ้นราคาถูกไม่เจอ หรือ ระยะหลัง ราคาหุ้นที่ถูกมักไม่ค่อยดี
การฟื้นตัวของวัฐจักรปกติ 1-1.5 ปี นับจาก Q3 16 ปีนี้จะครบรอบประมาณ กลางปี 17
ความเสี่ยงและผลตอบแทนของ 2 ตลาดเริ่มใกล้เคียงกันในตอนนี้ เลยมาfocusที่ผลตอบแทน
หุ้นคุณค่า หรือ value stock เป็นหุ้นที่น่าสนใจ ส่วนตลาดหุ้นที่น่าสนใจคือ Malaysia PB=1 เท่านั้น
หลังจากเจอปัญหา commodity ราคาตกต่ำ การเติบโตสามารถคาดหวังได้ เวลาเศรษฐกิจขาขึ้น
หุ้นคุณภาพไม่สูง แต่มี upside เยอะน่าสนใจ
แต่ต้องดูผลตอบแทนที่แท้จริง หมายถึง Dividend ลบด้วยเงินเฟ้อ
เงินของต่างชาติไหลเข้า ไทย เกาหลี เยอะ
สาเหตุที่เงินไหลเข้าไทยเพราะ
1.ไทยมีทุนสำรองมาก ฝรั่งเข้ามาไม่กลัวตอนเงินไหลออก ไม่เจ็บหนัก
2.ดุลบัญชีเดินสะพัด ดุลการค้าเกินดุล
3.เงินเฟ้อต่ำ ค่าแรงต่ำ
ทำไมเงินบาทแข็งค่าในช่วงนี้
เพราะว่า ดอกเบี้ยที่แท้จริงสูงจากเงินเฟ้อไทยต่ำ
หุ้นในตลาดเกิดใหม่ ( EM ) dividend yield สูงอยู่แล้ว ทำให้เงินไหลไปที่ EM
ระยะสั้น Bond ดีกว่าหุ้น แต่ให้หลีกเลี่ยง Bondในต่างประเทศ
แต่ระยะยาว ตลาดหุ้นน่าสนใจมากกว่า รวมถึง property fund ในต่างประเทศเช่น สิงค์โปร์
ซึ่ง ตอนนี้ Dividend yield สูงกว่าไทยแล้ว เพราะ ราคาของ prop fund ในไทยขึ้นมาสูงมาก
ตลาดหุ้นในจีน น่าสนใจเพราะราคาไม่แพง
ถ้าใครชอบหุ้นเกี่ยวกับอนาคต ก็ลงทุนในตลาดหุ้นจีน H-share
แต่ถ้าชอบสำหรับอุตสาหกรรมเก่า เช่น การเงิน ก็ลงทุนใน ตลาดหุ้น A-share
ส่วนตลาดหุ้นไทย อจ วิศิษฐ์ บอกว่ามีโอกาส ที่หุ้นขึ้น 1620 ในช่วง Q2 ลองติดตามดูนะครับ
สุดท้ายขอขอบคุณ บลจ ทหารไทย และ บล RHB ที่จัดสัมมนาให้ความรู้กับนักลงทุนครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 32
ผมมาประชุม AGM ที่บริษัท ไทยคม เมื่อวานซืน
รายละเอียดของการประชุมสามารถดูการประชุมย้อนหลังได้จาก website ของบริษัทครับ เลยคิดเปลี่ยนแบบการรายงานการประชุม
เป็นการชมสินค้าของบริษัท และ มาเทียบกับ กลยุทธ์ที่กำหนดขึ้น จะได้เข้ามากขึ้น
ขอเกริ่นนำ ธุรกิจของไทยคมสักนิดสำหรับคนที่พึ่งเริ่มต้นศึกษาครับ
บริษัท ไทยคม ประกอบธุรกิจในกลุ่มธุรกิจหลัก 3 กลุ่ม ได้แก่
1. ธุรกิจดาวเทียม และ บริการที่เกี่ยวเนื่อง บริษัทลูกในกลุ่ม ได้แก่ บริษัท ไอพีสตาร์ ในประเทศต่างๆ
รวมถึง บริษัท ซีเอส ล๊อคอินโฟ จำกัดด้วย รายได้คิดเป็น 70% ของรายได้ทั้งหมด
2. ธุรกิจอินเตอร์เน๊ตและสื่อ ผ่านบริษัทลูก จัดจำหน่ายอุปกรณ์รับสัญญาณดาวเทียม รายได้คิดเป็น 26% ของรายได้ทั้งหมด
3. ธุรกิจโทรศัพท์ในต่างประเทศ ได้แก่ บริษัท ลาว เทเลคอมมิวนิเคชั่น
กลยุทธ์ด้านธุรกิจ
1. กลยุทธ์ สำหรับรับบริการหลักด้านบรอดคาสต์ นำเสนอบริการคุณภาพเพื่อออกอากาศรายการโทรทัศน์ที่มีความคมชัดสูง และ เน้นขยายบริการไปยังตลาดเกิดใหม่ เช่น ประเทศในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงและเอเชียใต้
บริการด้านบรอดแบรนด์ เพิ่มประสิทธิภาพของการใช้งานแบนวิดธ์บนแพลตฟอร์มไอพีสตาร์ ในอินเดีย อินโดนีเซีย และ ฟิลิปปินส์
2. กลยุทธ์สำหรับบริการทางนวัตกรรมใหม่ เพื่อตอบสนองพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ต้องการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร และ การติดต่อสื่อสารทุกที่ ทุกเวลา บนทุกหน้าจอ โดยเชื่อมต่อข้อมูลผ่านระบบดาวเทียมแบบเคลื่อนที่ทั้งในส่วนของการให้บริการทางอากาศและทางทะเล รวมถึงบริการส่งรายการโทรทัศน์หรือวีดีโอผ่านโครงข่ายอินเทอร์เน๊ต โดยเน้นหน้าจอที่ 2 ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
3. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ ให้ความสำคัญกับการสร้างการเติบโตใน 2 มิติ ทั้งเติบโตแนวราบ คือ เพิ่มจำนวนดาวเทียม และ การสร้างการเติบโตในแนวตั้ง คือ การขยายบริการลงในห่วงโซ่ธุรกิจ
ตัวอย่างของกลยุทธ์ทางธุรกิจ จากการเยี่ยมชมบูธ ในงาน AGM ปีนี้
1.Digital Life box
ศูนย์ดิจิทัลชุมชน เรียนรู้สู่ความสำเร็จ
แบบแรก เสนอให้กับกระทรวงไอซีที เป็น Solution ให้กับ ศูนย์ชุมชน เนื่องจาก wifi ไม่ได้เข้าถึงทุกที่ในประเทศ
ดังนั้น จึงเกิดsolutionนี้ โดย มีอุปกรณ์ จานดาวเทียม ,wifi router , play box แบบเฉพาะ
คนในชุมชนสำหรับดูข่าวสาร รายการต่างๆผ่านอุปกรณ์ที่นำมาต่อเช่น Tablet , TV
ได้ Demoเรียบร้อย ตอนนี้รอใบ PO จากกระทรวงไอซีที
แบบที่สอง เสนอให้กับกระทรวงศึกษาธิการ เป็นการรวบรวม คลิปการศึกษา ที่อยู่ใน Yutube มาเก็บไว้ในกล่อง
ซึ่งมี Harddisk ไว้สำหรับแต่โรงเรียนเปิดดู เนื่องจากเดิม แต่ละโรงเรียนอาจไม่มี Wifi หรือ สัญญาณไมเพียงพอ
สำหรับดูพร้อมๆกัน เลยคิด solution นี้เสนอกระทรวง และ การใช้งานในการดู วิชาเรียน สามารถดูพร้อมๆกันได้
หลายๆห้อง เนื่องจาก เนื้อหาได้ถูกเก็บไว้ใน Harddisk ของ โรงเรียนแล้ว
2. 4G-A Box
เป็นการขยายสัญญาณมือถือในที่จุดอับสัญญาณ
ตัวอย่างการใช้งานที่สำนักงาน ณ น้ำตก ทีลอซู
หรือติดไว้เป็น mobile ในรถ
3.บริษัท ได้จัดตั้ง Ipstar (อินเดีย) เมื่อ 19 มกราคม 59
ได้ผลิตตัว Modem รุ่นใหม่ ที่รับสัญญาณดีขึ้น คือ
Capricorn modem ใช้ร่วมกับ IPSTAR เพื่อเพิ่มความเร็วในการใช้งาน
ตัวอย่างการใช้งานที่ Ground system ประเทศอินเดีย
4. บริษัทได้เปิดตัว บริการด้านการสื่อสารผ่านดาวเทียมบรอดแบรนด์ทางทะเล โดยมีบริษัท โอเชี่ยน ทรานส์ จำกัด
ผู้นำด้านธุรกิจทางทะเล เป็นลูกค้ารายแรกในการให้บริการด้านสื่อสารผ่านดาวเทียมทางทะเลแก่พนักงาน และ ลูกเรือ
ในการเชื่อมต่ออินเตอร์เน๊ตและอีเมลในช่วงออกปฏิบัติการทางทะเล
จากรูปเป็นชุดจานดาวเทียมเสริมสำหรับใช้งานสื่อสารบนเรือ
อยากให้ทุกบริษัท ได้จัดproductมา present ตอนประชุมผู้ถือหุ้นเหมือน ไทยคม จะได้เข้าใจสินค้าและบริการมากขึ้น
รายละเอียดของการประชุมสามารถดูการประชุมย้อนหลังได้จาก website ของบริษัทครับ เลยคิดเปลี่ยนแบบการรายงานการประชุม
เป็นการชมสินค้าของบริษัท และ มาเทียบกับ กลยุทธ์ที่กำหนดขึ้น จะได้เข้ามากขึ้น
ขอเกริ่นนำ ธุรกิจของไทยคมสักนิดสำหรับคนที่พึ่งเริ่มต้นศึกษาครับ
บริษัท ไทยคม ประกอบธุรกิจในกลุ่มธุรกิจหลัก 3 กลุ่ม ได้แก่
1. ธุรกิจดาวเทียม และ บริการที่เกี่ยวเนื่อง บริษัทลูกในกลุ่ม ได้แก่ บริษัท ไอพีสตาร์ ในประเทศต่างๆ
รวมถึง บริษัท ซีเอส ล๊อคอินโฟ จำกัดด้วย รายได้คิดเป็น 70% ของรายได้ทั้งหมด
2. ธุรกิจอินเตอร์เน๊ตและสื่อ ผ่านบริษัทลูก จัดจำหน่ายอุปกรณ์รับสัญญาณดาวเทียม รายได้คิดเป็น 26% ของรายได้ทั้งหมด
3. ธุรกิจโทรศัพท์ในต่างประเทศ ได้แก่ บริษัท ลาว เทเลคอมมิวนิเคชั่น
กลยุทธ์ด้านธุรกิจ
1. กลยุทธ์ สำหรับรับบริการหลักด้านบรอดคาสต์ นำเสนอบริการคุณภาพเพื่อออกอากาศรายการโทรทัศน์ที่มีความคมชัดสูง และ เน้นขยายบริการไปยังตลาดเกิดใหม่ เช่น ประเทศในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงและเอเชียใต้
บริการด้านบรอดแบรนด์ เพิ่มประสิทธิภาพของการใช้งานแบนวิดธ์บนแพลตฟอร์มไอพีสตาร์ ในอินเดีย อินโดนีเซีย และ ฟิลิปปินส์
2. กลยุทธ์สำหรับบริการทางนวัตกรรมใหม่ เพื่อตอบสนองพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ต้องการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร และ การติดต่อสื่อสารทุกที่ ทุกเวลา บนทุกหน้าจอ โดยเชื่อมต่อข้อมูลผ่านระบบดาวเทียมแบบเคลื่อนที่ทั้งในส่วนของการให้บริการทางอากาศและทางทะเล รวมถึงบริการส่งรายการโทรทัศน์หรือวีดีโอผ่านโครงข่ายอินเทอร์เน๊ต โดยเน้นหน้าจอที่ 2 ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
3. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ ให้ความสำคัญกับการสร้างการเติบโตใน 2 มิติ ทั้งเติบโตแนวราบ คือ เพิ่มจำนวนดาวเทียม และ การสร้างการเติบโตในแนวตั้ง คือ การขยายบริการลงในห่วงโซ่ธุรกิจ
ตัวอย่างของกลยุทธ์ทางธุรกิจ จากการเยี่ยมชมบูธ ในงาน AGM ปีนี้
1.Digital Life box
ศูนย์ดิจิทัลชุมชน เรียนรู้สู่ความสำเร็จ
แบบแรก เสนอให้กับกระทรวงไอซีที เป็น Solution ให้กับ ศูนย์ชุมชน เนื่องจาก wifi ไม่ได้เข้าถึงทุกที่ในประเทศ
ดังนั้น จึงเกิดsolutionนี้ โดย มีอุปกรณ์ จานดาวเทียม ,wifi router , play box แบบเฉพาะ
คนในชุมชนสำหรับดูข่าวสาร รายการต่างๆผ่านอุปกรณ์ที่นำมาต่อเช่น Tablet , TV
ได้ Demoเรียบร้อย ตอนนี้รอใบ PO จากกระทรวงไอซีที
แบบที่สอง เสนอให้กับกระทรวงศึกษาธิการ เป็นการรวบรวม คลิปการศึกษา ที่อยู่ใน Yutube มาเก็บไว้ในกล่อง
ซึ่งมี Harddisk ไว้สำหรับแต่โรงเรียนเปิดดู เนื่องจากเดิม แต่ละโรงเรียนอาจไม่มี Wifi หรือ สัญญาณไมเพียงพอ
สำหรับดูพร้อมๆกัน เลยคิด solution นี้เสนอกระทรวง และ การใช้งานในการดู วิชาเรียน สามารถดูพร้อมๆกันได้
หลายๆห้อง เนื่องจาก เนื้อหาได้ถูกเก็บไว้ใน Harddisk ของ โรงเรียนแล้ว
2. 4G-A Box
เป็นการขยายสัญญาณมือถือในที่จุดอับสัญญาณ
ตัวอย่างการใช้งานที่สำนักงาน ณ น้ำตก ทีลอซู
หรือติดไว้เป็น mobile ในรถ
3.บริษัท ได้จัดตั้ง Ipstar (อินเดีย) เมื่อ 19 มกราคม 59
ได้ผลิตตัว Modem รุ่นใหม่ ที่รับสัญญาณดีขึ้น คือ
Capricorn modem ใช้ร่วมกับ IPSTAR เพื่อเพิ่มความเร็วในการใช้งาน
ตัวอย่างการใช้งานที่ Ground system ประเทศอินเดีย
4. บริษัทได้เปิดตัว บริการด้านการสื่อสารผ่านดาวเทียมบรอดแบรนด์ทางทะเล โดยมีบริษัท โอเชี่ยน ทรานส์ จำกัด
ผู้นำด้านธุรกิจทางทะเล เป็นลูกค้ารายแรกในการให้บริการด้านสื่อสารผ่านดาวเทียมทางทะเลแก่พนักงาน และ ลูกเรือ
ในการเชื่อมต่ออินเตอร์เน๊ตและอีเมลในช่วงออกปฏิบัติการทางทะเล
จากรูปเป็นชุดจานดาวเทียมเสริมสำหรับใช้งานสื่อสารบนเรือ
อยากให้ทุกบริษัท ได้จัดproductมา present ตอนประชุมผู้ถือหุ้นเหมือน ไทยคม จะได้เข้าใจสินค้าและบริการมากขึ้น
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 33
ดร นิเวศน์ แนะนำหนังสือที่ควรอ่าน ในงานสังสรรค์วีไอ วันที่ 2 เมษายน 2560
1. ตีแตก
2. เดินสุ่มในวอลสตรีท (Random walk on wall street)
3. One up on wall street
4. Beating the street
5. หนังสือเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์มนุษย์
6. 500 ล้านปีของความรัก
7. The SELFISH GENE เป็นหนังสือ warren buffet อ่าน ให้เรารู้จักตัวตนของมนุษย์
8. The intelligent Investor ซึ่งหนังสือหนามาก แนะนำให้อ่านน้อยสุด
ลองหามาอ่านดูนะครับ
1. ตีแตก
2. เดินสุ่มในวอลสตรีท (Random walk on wall street)
3. One up on wall street
4. Beating the street
5. หนังสือเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์มนุษย์
6. 500 ล้านปีของความรัก
7. The SELFISH GENE เป็นหนังสือ warren buffet อ่าน ให้เรารู้จักตัวตนของมนุษย์
8. The intelligent Investor ซึ่งหนังสือหนามาก แนะนำให้อ่านน้อยสุด
ลองหามาอ่านดูนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 34
สัมมนางานสังสรรค์VI ครั้งที่ 1 ปี 2560
หุ้น Value & Growth ลงทุนอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ[/b][/u]
โดย คุณกานต์ ณัฐชาติ คำศิริตระกูล อุปนายก สมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า ( ประเทศไทย )
คุณ ทศ ทศวรรษ ทองสุข กรรมการ สมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า ( ประเทศไทย )
สัมภาษณ์ โดย คุณ บอล
เริ่มจาก พูดถึง หุ้น value ว่าคืออะไร
น้องกานต์ แชร์มุมมองจากประสบการณ์10กว่าปีที่ผ่านมา
แต่เรื่องที่ผ่านมาอาจไม่ถูกตลอดไป
คนที่มาฟัง มีพื้นฐานมาพอสมควร บางคนพึ่งเข้ามาลงทุน เลยสำรวจประสบการณ์ของคนในห้องประชุม
ปรากฏว่า ส่วนใหญ่คนในห้องจะลงทุนมากกว่า 3 ปี ส่วนคนมือใหม่อาจฟังไม่เข้าใจอาจถามนอกรอบได้
ส่วนตัวกานต์ชอบลงทุนหุ้นที่ดูไม่แพง แต่จะมีgrowthไหม ก็ดูอีกที
หรือเป็นหุ้นgrowth ซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าก็ได้
น้องกานต์พูดถึง คำว่าหุ้นvalueในตลาดหุ้น หมายถึงวีไอเข้าไปลงทุน เรียกว่าหุ้นวีไอใช่ไหม
จริงๆแล้วไม่ใช่ ต้องแยกให้ได้ว่า ระหว่าง หุ้นวีไอ กับ หุ้น value
หุ้น value ให้มองที่มูลค่าของบริษัทก่อน
สามารถดูมูลค่าจากงบการเงิน มูลค่าของส่วนผู้ถือหุ้น คือ มูลค่าทางบัญชีหรือสินทรัพย์ของบริษัท
สินทรัพย์เช่น ที่ดิน ราคาที่ดินที่เคยบันทึกในราคาทุน ต้องมีการ adjust มูลค่าทางบัญชีให้เป็นราคาตลาด
สินทรัพย์นอกจากทีดิน value ยังมาจาก ฐานลูกค้า แบรนด์ที่แข็งแกร่ง
หลังจากได้ค่าที่เหมาะสม เช่น 1,000 ล้านบาท แต่ราคาตลาดเป็น 800 ล้านบาท แสดงว่า
มี MOS หรือ ส่วนลด 20% ถูกกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น
เปรียบเหมือนไปซื้อกระเป๋าตอนช่วงลดราคา จากมูลค่า 10,000 บาท แต่ซื้อในราคา 5,000 บาทได้
ยิ่งซื้อราคาที่ต่ำก็จะมีส่วนปลอดภัยเยอะ
หุ้น value อาจอยู่ในอุตสาหกรรมที่ตกต่ำยาวนาน หรือ ไม่ดีมากหลายปี เป็นหุ้นน่าเบื่อ
ตัวอย่างเช่นหุ้นกลุ่มสถาบันการเงิน ธนาคาร เคยซื้อขายที่ PE สูงกว่า 10 หรือ PB สูงกว่า 1 เท่า
ก็สามารถซื้อในราคาต่ำกว่าตอนสูงสุดได้
คำถามต่อมา คือ เราควรซื้อหุ้น value ประเภทไหน
ก่อนอื่น เราต้องประเมินมูลค่าของบริษัทก่อน ซึ่งมีหลายวิธี หลังจากนั้นก็มาดูว่าราคาตลาดเป็นอย่างไร
กลับมาดูที่น้องทศซึ่งทำงานหนักมาตลอด ปกติมองอนาคตค่อนข้างไกลของบริษัทที่สนใจ
น้องทศ บอกว่า ไม่มีใครซื้อหุ้นแบบ value หรือ growth ล้วนๆ
หลังจากคุยกันหลายรอบจะสังเกตว่า บางคนจะลงทุนหุ้นvalueเยอะ อีกคนลงในหุ้นgrowthเยอะ
หุ้นที่ผมชอบ สไตล์หุ้น growth มีลักษณะคือ
1. มีการเพิ่มทีมขาย ขยายสาขาเพิ่ม เห็นการเติบโตของบริษัทไปเรื่อยๆ หรือ
เปิดร้านกาแฟสาขาเดียว รายได้เท่าเดิม ถือว่าไม่ใช่หุ้นgrowth
2. ขายสินค้าเพิ่มขึ้นก็ได้
ยกตัวอย่าง บริษัท ขายน้ำมันที่มีสาขาอันดับ2 ขยายปั๊มน้ำมัน มีแผนการสร้างปั๊มน้ำมัน
ตอนปีแรก กำไรยังไม่มา แต่ ขายเพิ่ม สาขาเพิ่ม แต่มีตัวที่บดบังอยู่ ทำให้กำไรยังไม่มา
หรือ เถ้าแก่ไม่ใหญ่ หลังจากประสบความสำเร็จในประเทศ เริ่มขยายไปในต่างประเทศ
หรือ บริษัทปล่อยสินเชื่อแต่ชื่อเหมือนบริษัทประกัน
บริษัทปล่อยสินเชื่อรถ มีแผนขยายโต2 เท่า ถือเป็นหุ้น growth
ผู้บริหารมีแผนในการเติบโตแล้ว แต่เราต้องตามผลการดำเนินงานว่าเป็นไปตามที่วางแผนหรือไม่
ผมค่อนข้างระวังคำพูดของผู้บริหารด้วย ผมจะดูบริษัทที่สามารถพิสูจน์ว่าประสบความสำเร็จได้ และ
สามารถขยายสาขาตามที่พูดไว้
ข้อดีของหุ้นgrowth คือ มีโอกาสโต แต่ข้อเสีย ราคาเพิ่มไปหุ้นเรียบร้อยแล้ว
แตกต่างจากหุ้น value ที่ไม่ค่อยมีคนลงทุน เงียบเหงา
น้องกานต์ เสริมเรื่อง growth มี operation ที่เติบโต เพิ่มคนงาน ขยาย line การผลิต
ผู้บริหารตั้งใจโต แต่ต้องรอผลการดำเนินงานก่อน ดูจากกระแสเงินสดได้
ความถูกแพงในการลงทุนเป็นอีกเรื่อง เราสามารถซื้อก่อนบริษัทมาออก opp day หรือ ออกข่าว
แต่ถ้าซื้อทีหลัง ราคาจะบวกความคาดหวังไปแล้ว PE ก็สูงไปแล้ว (หลังวีไอจัดเต็มไปแล้ว)
อีกลักษณะคือ ความคาดหวังมีโอกาสเติบโตในต่างประเทศอีกมากมาย เราต้องดูว่ามันจะเป็นไปได้ไหม
ถ้ารู้สึกว่ามันโตอีกสิบเท่า คือความรู้สึกในการซื้อหุ้น growth
ต่างกันกับ Value stock นักลงทุนฟังผู้บริหารแล้วไม่เร้าใจ ไม่อยากลงทุน คือเหตุผลทำให้ราคาหุ้นถูก
หุ้นที่โตสม่ำเสมอ มีส่วนผสมของgrowth ราคาไม่ถูกมาก เป็นส่วนผสมของหุ้นที่เหมาะสม
ส่วนตัวที่ทำหน้าที่เร่งได้แก่ กำไร ถ้าเห็นกำไรเปลี่ยนแปลง ต้องมาวิเคราะห์ว่าโตชั่วคราวหรือ เกิดการเปลี่ยนแปลงในสินค้าหรือบริการ โดยตลาดมองว่าโตปกติทำให้ราคายังไม่สูง แต่ถ้าตลาดเริ่มเปลี่ยนมุมมอง ทำให้คนเพิ่มความคาดหวัง
ราคาก็เพิ่มขึ้น โดยผลประกอบการยังไม่ได้เปลี่ยนแปลง ก็ได้กำไรเพิ่มขึ้นเท่าตัวแล้ว
แต่หุ้นgrowthที่ต้องระวัง ว่าไปขยายไปต่างประเทศ มี story มากมาย คนคาดหวังเยอะ ทำให้มีโอกาสราคาตกลงมา
มากกว่า 50% ทั้งที่กำไรยังไม่เปลี่ยนแปลง หรือ หุ้นที่โตมา 40% ตลอด แต่เริ่มโตลดลง ราคาจะลงมาเพราะคนไม่ให้ราคาเท่าเดิม
น้องทศ มีเคส เรื่องความคาดหวัง
ซื้อหุ้นผลิตแอร์พกพา ยี่ห้อเย็น ราคาเพิ่มจาก 2 บาท ไป 8 บาท ผมซื้อตอนจะลงไป 1 บาท เขาจ้างจีนผลิต
คนรู้จักในชื่อ สุดยอดเย็น เขามีแผนจะไปเปิดขายใน Lotus, BigC เลยจัดไปเต็มที่ ปรากฏว่างบขาดทุนในไตรมาสต่อมาเริ่มไม่มั่นใจว่าจะดีต่อ แต่เรายังมั่นใจ แต่คนอื่นยังไม่มั่นใจเลยขายทำให้ราคาลดจาก 2 บาท ลดมาที่ 1 บาท ขาดทุน 50% ใน 2-3 เดือนเลยขายไปเข้าอีกตัว หลังจากนั้น 3 เดือนปรากฏว่าราคาวิ่งไปที่ 8 บาท
หุ้นมีความคาดหวัง เราเข้าไปในช่วงที่ผิดหวังต้องระวังไว้
คุณบอลเสริม เรื่องจิตวิทยาการลงทุน ย้อนกลับมาคิดว่าน่าลงทุนหรือไม่
น้องทศพูดต่อว่า หุ้นเถ้าแก่ไม่ใหญ่ PE สูง ได้ข่าวรัฐบาลยกเลิกทัวร์ศูนย์เหรียญ ข่าวกระทบต่อราคาตลาด
ดังนั้นคนที่เวลาตามข่าวน้อย ทำงานประชุมทุกวัน บางทีเลือกหุ้นที่ไม่คาดหวังสูงมากน่าจะดีกว่า
คำถาม เรามองเป็น Time frame ไกลแค่ไหน
น้องทศตอบว่า ผมจะดูว่า เวลาประเมินขึ้นกับประเภทหุ้น
หุ้นที่เดาทิศทางไม่ได้ เดาจากข้อมูลปัจจุบัน ก็ให้ราคาเท่ากับการเติบโตในปัจจุบัน
แต่ถ้าหุ้นโรงไฟฟ้าโซลาร์ ปกติจะมีแผนการติดตั้ง ช่วงที่ยังไม่มีแผน เดาว่ามันไม่โต
แต่บางหุ้นที่มีแผนการพัฒนาที่ชัดเจน เช่น ภายใน3 ปี มีปั๊มเพิ่มเท่าไหร่ อันนี้ทำให้เดาได้
สรุปลักษณะของหุ้น growth
1. ผู้บริหารต้องสู้ก่อน การไปฟังผู้บริหารพูดบ่อยๆ ฟังดูรู้ว่าผู้บริหารจะพูดอะไร
ผู้บริหารหนุ่ม มีไฟ ไปได้ไกล เช่น คุณสต๊อบ
2. ถ้าเราทำธุรกิจเอง เราพร้อมจะขยายสาขาอย่างโตเนื่องหรือเปล่า
เช่น บริษัทอสังหาทีชื่อเหมือนพระเอก อันดาและฟ้าใส
ผู้บริหารบอกว่าจะโตต่อไปเรื่อยๆซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ทีมงานต้องพร้อมจริงๆ
หุ้น growth ต้องมีแผนในการเติบโตในระยะยาว เราก็ติดตามว่าเขาทำได้ตามแผนหรือไม่
กลับมาที่น้องกานต์ มองว่าtime frame สัก 3 -5 ปี
หุ้นgrowth ต้องมีผู้บริหารที่มีความทะเยอทะยาน เรามองว่าจะเชื่อเขาดีไหม
เราต้องดูสินค้าที่เขามี ดีกว่าคู่แข่ง หรือ ตอบสนองต่อลูกค้าดีกว่าคู่แข่งหรือเปล่า
วอร์เรน บอกว่า บริษัทมี คูเมือง ป้อมปราการที่ขยายทุกปีหรือเปล่า ถ้าใช่ จะทำให้กำไรเพิ่มขึ้นทุกปี
บางบริษัท โต50% แต่โตปีเดียว ไม่สามารถคิดราคาโดยใช้ PEG ปกติต้องมีการเติบโตอย่างน้อย 5 ปี
เราต้องวิเคราะห์กิจการว่าทำได้อย่างต่อเนื่องหรือเปล่า
ตัวอย่าง เช่น หุ้นอสังหาที่พึ่งเป็นHolding company มีขยายอย่างต่อเนื่องเป็น 10 ปี
ฟิลิป ฟิชเชอร์ เป็น ปรมาจารย์ของหุ้น growth ต้องทำ scuttlebutt เราต้องรู้ให้เยอะกว่าตลาดรู้ด้วย
เรามองยาว มองเรื่อง quality ให้ออก
แต่ถ้าเป็นหุ้น value ส่วนใหญ่ความกลัวครอบงำตลาดเช่น ตลาดอสังหาริมทรัพย์ กลัวฟองสบู่จะแตก
ส่วนบริษัทอสังหา ที่ชื่อเหมือนพระเอกลูกครึ่ง เรื่องอันดากับฟ้าใส
เคยลงทุนตอนที่ยังไม่เป็นหุ้นgrowth งบขาดทุน 3 ไตรมาส หุ้นราคาลงไป 50%
แต่ผู้บริหารซื้อต่อเนื่อง ราคาเหลือ 2 บาท market cap 6,000 ล้านบาท ตอนนั้นขาย presales
ไม่มีรายได้ ขาดทุนอยู่แล้ว แต่เรามาฟัง opp day คนมาฟัง 5 คน เขาบอกว่าเริ่มขายได้
และมีstory โตต่อเนื่อง ไม่มีใครถามคำถาม ไม่มีคนคาดหวังเลย แต่ดูแบรนด์ ไอดีโอ เริ่มมาแข่งกับเจ้าตลาด
หลังจากเริ่มมีกำไร นักวิเคราะห์เริ่มเข้ามาสนใจ ตอนซื้อ PE 6 เท่า แต่ ตลาด 10 เท่า ตอนนี้ขายไปแล้ว
คุณบอล มองว่าลงทุนแบบไหนก็ต้องทำการบ้านเยอะ
ราคาของหุ้นบางตัว ถูกเรื้อรัง ต้องดูว่า เขาขยายต่อเนื่องหรือเปล่า
บางทีดูที่เศรษฐกิจ ก่อนลงทุนหุ้น growth
ตอนนี้ดอกเบี้ยต่ำ เวลาคำนวณ ทำให้ถูกdiscount ได้ราคาหุ้นที่สูงขึ้นด้วย
ช่วงที่ผ่านมาการเติบโตของหุ้นคาดหวังได้ยาก
ดังนั้น หุ้นที่มีขยายสาขาตลอด เช่น ปั๊มน้ำมัน ยังไปได้
แต่หลังจากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว สถานการณ์เริ่มเปลี่ยน หุ้นที่ขึ้นมาจากความคาดหวัง จะแพงต่อไปได้ไหม
ในทางกลับกัน บริษัทที่ถูกมองข้าม จะเริ่มมีคนพิจารณาซื้อแล้ว
บางช่วงเวลา หุ้น value ดีกว่า growth และ บางช่วง หุ้นgrowth ดีกว่า
คุณบอล ถามว่ามีการวิเคราะห์หุ้นเติบโตอย่างไร
น้องทศ ตอบว่า เชิงทฤษฏี ดูว่าบริษัทมีคูเมืองไหม ถ้ามี คู่แข่งสู้เขายาก
ให้ระวังผู้บริหารที่บอกว่าจะเริ่มทำธุรกิจใหม่ เช่นไปปล่อยกู้ ทำ nano finance ก่อนนี้ขายเครื่องกรองน้ำ
ทำให้ฉุกคิดว่า เครื่องกรองน้ำอาจไม่ดีอย่างที่คิด
หรือในอดีต กลับไปดูว่าผู้บริหารทำได้อย่างที่พูดคราวก่อนหรือไม่ เช่น บอกผู้ถือหุ้นว่าทำได้มากกว่าเป้า
โดยไปปรับเป้าลดลง เราต้องค่อยๆตรวจไปเรื่อยๆ
ผู้บริหารบางคนชอบพูด base case, best case บางคนชอบพูด worst case ต้องหมั่นสังเกตให้ดี
ผมชอบหุ้นที่รายได้โตอัตโนมัติ ไม่ต้องทำอะไรเลย เช่น หุ้นชื่อมะลิ ทำinternet
หุ้นทำเครื่องเติมเงินมือถือ เอาตัวเลขรายเดือนมาโชว์อย่างต่อเนื่องย้อนหลัง 4-5 ปี
อีกบริษัท คือ หุ้นขายน้ำมันทีมีสาขาอันดับ2 โชว์ยอดขายรายเดือน ซึ่งบ่งบอกความสามารถในการทำการค้า
นอกจากนั้นยังชอบ หุ้นที่รายจ่ายคงที่ ซึ่งหายากมาก
แปลว่า กำไรจะก้าวกระโดดไปเรื่อยๆ โอกาสพลาดค่อนข้างต่ำ
บริษัทที่ขยายเยอะและใช้เงินเยอะ ถ้าพลาดขึ้นมา ทำให้ถอยไม่ทัน
เช่น ค้าปลีกเมื่อก่อน ยิ่งสาขาเยอะยิ่งแย่ ต้องปรับตัวให้ทัน
น้องทศพูดต่อว่า ผมชอบหุ้นค่อนข้างถูก แต่มีโอกาสโต คนไม่ค่อยคาดหวัง เราต้องรู้ข้อมูลก่อนคนอื่น
เคยปลอมตัวไปคุยกับ supplier ซึ่งเป็นบุคคลที่3 หรือ สอบถามคู่แข่ง เพื่อสอบถามข้อมูล เราไม่เชื่อข้อมูลที่ผู้บริหารให้
เช่นหุ้นอสังหาริมทรัพย์ ก็ไปสอบถามข้อมูลตลาดอสังหาจากบริษัทและคู่แข่ง ว่า ตลาดอสังหาช่าวนี้เป็นอย่างไร
การลงทุนหุ้นgrowth มีความเสี่ยงมาก ต้องตรวจสอบให้ดี ฟังแค่ opp day ไม่แนะนำให้เคาะซื้อเลย
ต้องไปดูสถานที่จริง สำรวจแบบ scuttlebutt โดยไปเยี่ยมสาขา เช่น หุ้นสาวสวยซึ่งขายเครื่องสำอาง ที่มีร้านอยู่ในห้าง
สอบถามเรื่องเครื่องสำอางจากพนักงานจริง เพื่อป้องกันว่าข่าวสารที่ได้จากผู้บริหารถูกต้องหรือไม่
คุณบอลถามน้องกานต์ เรื่องการประเมินมูลค่า ว่าการมองหุ้น value , growth มองต่างกันหรือไม่
น้องกานต์เล่าเรื่องcase study ให้ฟัง
บริษัทอสังหา ที่ชื่อเหมือนพระเอกลูกครึ่ง เรื่องอันดากับฟ้าใส
ผมดู market cap 6000 ล้านบาท กำไรที่ทำได้ 900 ล้าน PE 6-7 เท่า PB 1.1 เท่า
ซี่งไม่สูงเกินไป โครงสร้างของบริษัทที่ทำคอนโดเป็นหลัก คือ บริษัทสวนลุม ยังดีอยู่ แต่PB 3 เท่า
ผู้บริหารมีความตั้งใจเหมือน บริษัทสวนลุม แต่ขายแบบบริษัท ซิรี สร้างให้เร็ว โครงสร้างการเงินใกล้เคียง
ช่วงแรกลงทุนมี fix cost แต่ระยะต่อมา รายได้เพิ่ม SG&A ไม่โตตาม ตอนนั้นยังไม่แสดงภาพออกมา
เราซื้อหุ้นที่ราคา 2 บาท บริษัทร่วมลงทุนกับเจ้าของ คุณชานนท์ หลังปรับโครงสร้าง ROE มีโอกาสเพิ่มขึ้น
เป็นปัจจัยโดยรวม แต่ไม่ได้คาดหวังโตเท่ากับ บริษัทสวนลุม คิดแล้ว มี MOS 20%
Book value มีโอกาสโตขึ้น ตอนนั้น รอประกาศงบQ4 ค่อยซื้อ
เพราะคนยังไม่ค่อยเข้าใจธรรมชาติ ของ อสังหา ถ้ามีโครงการโอนต่อเนื่อง แสดงว่ายังเติบโต
ตอนนี้ market cap 14,000-15,000 ล้านบาท
อีกเคสบริษัท เป็น Distributor ขายอุปกรณ์ไอที เป็นบริษัทลูกของบริษัทที่ทำ สิ่งพิมพ์ และ Soft packaging
เคยได้รับความนิยมมาก่อน แต่ PC, NB ได้รับความนิยมน้อยลง
บริษัทเพิ่มสินค้า mobile มากขึ้น รวมถึงสินค้าที่มี high margin มากขึ้น และ มีลูกค้าองค์กร
เข้ามาด้วย ถ้ามองจากงบการเงินยังไม่ค่อยเห็นการเติบโต
จุดเปลี่ยนอีกอัน คือ เปลี่ยนแปลงผู้บริหารจากรุ่นพ่อเป็นรุ่นลูก
วันที่สนใจคืองบออก Q3 มีการปรับเปลี่ยนสินค้า ซื้อตอน 3 บาทนิดๆ ราคายังถูกอยู่ ROE อาจขึ้นถึง 20%
ตอนนี้บริษัทก็ซื้อบริษัทที่ปล่อยสินเชื่อ ทำให้ PE โตเป็น 20 เท่า
แต่ผมก็ขายระหว่างทาง ไม่ได้ขายราคาสูงสุดเพราะไม่คิดว่าจะโตสูงขนาดนั้น
คุณบอลถามน้องทศว่าตอนซื้อ หาค่าPEได้หรือไม่ (หมายถึงมีกำไรหรือเปล่า)
น้องทศ พูดว่า ตอนซื้อยังมี PE อยู่ แต่ PE เป็น 2 หลัก
วิธีการดูว่าราคาที่ซื้อไม่แพงเกินไป
น้องทศ บอกว่าเวลาซื้อหุ้น PEอยู่ระหว่าง 10 ปลายๆ – 20 ต้นๆ การที่ยันราคาได้ แสดงว่าเหมาะสม
บางทีซื้อในราคาสูงขึ้นได้ ถ้าราคาหุ้นนักวิเคราะห์ใช้วิธี PEG เพื่อชวนให้ซื้อต้องระวัง เพราะ
วิธีนี้ทำให้ราคาหุ้นถูก เพราะในระยะสั้นๆมันใช้ได้
ผมใช้วิธีข้ามขั้นไป เช่น ถามว่าขยายปั้มไป 2,000 ปั้มแล้ว
ถามว่า ขายได้กี่ลิตร มีกำไรเท่าไหร่
น้องทศกล่าวต่อว่า คนเริ่มรู้จัก อาจปรับให้โตอีกหน่อย หาราคาขายและกำไร
อาจให้ราคาที่ PE 10 เท่า ดูว่าราคาต่างกับเป้าหมายไหม
ไปดูอนาคต ดูจากตัวเลขที่ผู้บริหารพูดแต่ปรับลงมาหน่อย และ คำนวณราคาว่าเหมาะสมหรือไม่
ตัวเลขจะออกมาเป็นช่วงๆ ทำราคามาบน caseต่างๆ ได้แก่ Best case, Base case, Worst case
เช่น บริษัทไปทำธุรกิจที่จีนสำเร็จมากๆ หรือ สำเร็จกลางๆ
และ ดูราคาว่าเหมาะสมในแต่ละเหตุการณ์หรือไม่
ความคาดหวังของนักลงทุนกับการเข้าซื้อ
สมมติ ความคาดการณ์ 1-5 กานต์จะซื้อช่วง 1-2 ส่วนทศ จะซื้อในช่วง 2-3
ถ้านักลงทุนมีความคาดหวัง 4-5 เป็นจังหวะขายมากกว่า
เราเป็นนักลงทุนเน้นคุณค่า ตลาดมีนักลงทุนหลายแนว
ไม่ควรปรับความคิดในการลงทุนตามตลาด
ซึ่งถ้าปรับตาม เราจะมีความเสี่ยงในการลงทุนมากขึ้น
หุ้นแนว value คุณเบนจามิน เขียนหนังสือ the intelligent investor ตอนปี 1930
หลังวิกฤตเศรษฐกิจรอบใหญ่ของUS ซื้อหุ้นที่มี PB ต่ำ
วิธีคัดหุ้น โดยคำนวณสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่อง ลบด้วย หนี้สิน และ
ซื้อต่ำกว่านั้น 2-3 เท่า ซึ่งเป็นการหาหุ้นหลังวิกฤต ซื้อครั้งละ 50-60 ตัว
เป็นหุ้นก้นบุหรี่ Qualityไม่ค่อยดี เป็น การลงทุน value แบบ classic
ส่วนการลงทุนของไทย ก็เป็นหุ้นในช่วงต้มยำกุ้ง ตอนนี้ไม่มีแล้ว
การลงทุนในยุคต่อมาเริ่มเปลี่ยนแปลงไป ดูเรื่องคูเมือง ป้อมปราการ มีการเติบโตอย่างสมเหตุสมผล
โอกาสในการลงทุนหุ้นพวกนี้ ดูจากเหตุการณ์ต่อไปนี้
1. บริษัทที่แย่มาสักพักนึง แย่ชั่วคราวเท่านั้น ไม่ใช่บริษัทที่ซื้อบริษัทเหล็กในอังกฤษ
ซึ่งอยู่ในอุตสาหกรรมแย่ และ บริษัทแย่ด้วย
2. เกิดเหตุการณ์ไม่ดีชั่วคราว จังหวะที่ตลาดpanic คุณต้องมีสภาพคล่องเพียงพอ
เช่น เงินสด หรือ หุ้นที่มีสภาพคล่องเยอะ ในการซื้อช่วงนั้น เวลาpanic
อาจกลับขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว คนที่ใช้แนวทางนี้คือ คุณวอร์เรน บัฟเฟต
จุดขายหุ้น
สำหรับหุ้น growth ความคาดหวังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่วนตัวของน้องทศมีแนวคิดว่า
1. เมื่อราคาถึงจุดนึง ราคานี้ไม่ใช่แล้ว มันเป็นจุดสูงสุดแล้ว ก็ปล่อยหุ้นไป
2. แต่ถ้าราคายังขึ้นได้อีก ทำให้เรากล้าถือ แก้ไขโดยขยันมากขึ้น
หาหุ้นที่กำลังเริ่มต้นโตตัวต่อไป
ส่วนน้องกานต์ ให้ความเห็นเรื่องจุดขายหุ้น
ถ้าหุ้นเกินความฝันไปแล้ว เราต้องยอม หรือ อย่าโลภเกินความรู้ ถ้าโลภเกิน
จะเกิดความเสียหาย
ใช้วิธีเปรียบเทียบเอา ทยอยขาย ลดสัดส่วนตามความสบายใจ
มีเรื่องฝากเพื่อนนักลงทุน
สิ่งที่ปรับใช้ แต่ละคนมีจุดพิจารณาไม่เหมือนกัน
1. จุดในการรับความผันผวนไม่เหมือนกัน ถ้าเป็นหุ้น growth ต้องรับความผันผวนมาก
ถ้าจิตใจไม่แข็งแรง หุ้น value น่าจะเหมาะกว่า
2. เป้าหมายในการลงทุน ถ้าอายุไม่เยอะ มีโอกาสได้รับผลตอบแทนเยอะ
แต่ถ้าใกล้เกษียณ ไม่มีเวลาในการติดตามข่าวสาร ก็เป็นหุ้น value จะเหมาะสมกว่า
ถ้ามีเวลาในการลงทุนไม่ถึง 10 ปี ลงทุนหุ้น value ซึ่งได้ 15% ต่อปี
แต่ถ้าหุ้น growth (high risk high reward)
หรือ จัดเป็นพอร์ต เช่น แกนหุ้นเป็น growth 50% ที่เหลือเป็นหุ้นvalue และ Assetอื่นๆ
ส่วนคุณทศ จะหาหุ้นก่อนที่จะ growth ซึ่งหุ้นเริ่มเติบโตแล้วจะปลอดภัยมากกว่า
มีคนมาปรึกษาเกี่ยวกับหุ้น PE 100 เท่า เลยแนะนำว่า ถ้าไม่มีเวลา
ก็ไม่เหมาะสมในการถือหุ้นเหล่านี้
เลือกหุ้นที่มีความคาดหวังน้อย จะปลอดภัยกว่า
Value Low risk low return
Growth High risk high return
แต่คนที่ประสบความสำเร็จ Low risk High return
สุดท้ายขอขอบคุณวิทยากรทุกท่านที่มาให้ความรู้ครับ
หุ้น Value & Growth ลงทุนอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ[/b][/u]
โดย คุณกานต์ ณัฐชาติ คำศิริตระกูล อุปนายก สมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า ( ประเทศไทย )
คุณ ทศ ทศวรรษ ทองสุข กรรมการ สมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า ( ประเทศไทย )
สัมภาษณ์ โดย คุณ บอล
เริ่มจาก พูดถึง หุ้น value ว่าคืออะไร
น้องกานต์ แชร์มุมมองจากประสบการณ์10กว่าปีที่ผ่านมา
แต่เรื่องที่ผ่านมาอาจไม่ถูกตลอดไป
คนที่มาฟัง มีพื้นฐานมาพอสมควร บางคนพึ่งเข้ามาลงทุน เลยสำรวจประสบการณ์ของคนในห้องประชุม
ปรากฏว่า ส่วนใหญ่คนในห้องจะลงทุนมากกว่า 3 ปี ส่วนคนมือใหม่อาจฟังไม่เข้าใจอาจถามนอกรอบได้
ส่วนตัวกานต์ชอบลงทุนหุ้นที่ดูไม่แพง แต่จะมีgrowthไหม ก็ดูอีกที
หรือเป็นหุ้นgrowth ซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าก็ได้
น้องกานต์พูดถึง คำว่าหุ้นvalueในตลาดหุ้น หมายถึงวีไอเข้าไปลงทุน เรียกว่าหุ้นวีไอใช่ไหม
จริงๆแล้วไม่ใช่ ต้องแยกให้ได้ว่า ระหว่าง หุ้นวีไอ กับ หุ้น value
หุ้น value ให้มองที่มูลค่าของบริษัทก่อน
สามารถดูมูลค่าจากงบการเงิน มูลค่าของส่วนผู้ถือหุ้น คือ มูลค่าทางบัญชีหรือสินทรัพย์ของบริษัท
สินทรัพย์เช่น ที่ดิน ราคาที่ดินที่เคยบันทึกในราคาทุน ต้องมีการ adjust มูลค่าทางบัญชีให้เป็นราคาตลาด
สินทรัพย์นอกจากทีดิน value ยังมาจาก ฐานลูกค้า แบรนด์ที่แข็งแกร่ง
หลังจากได้ค่าที่เหมาะสม เช่น 1,000 ล้านบาท แต่ราคาตลาดเป็น 800 ล้านบาท แสดงว่า
มี MOS หรือ ส่วนลด 20% ถูกกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น
เปรียบเหมือนไปซื้อกระเป๋าตอนช่วงลดราคา จากมูลค่า 10,000 บาท แต่ซื้อในราคา 5,000 บาทได้
ยิ่งซื้อราคาที่ต่ำก็จะมีส่วนปลอดภัยเยอะ
หุ้น value อาจอยู่ในอุตสาหกรรมที่ตกต่ำยาวนาน หรือ ไม่ดีมากหลายปี เป็นหุ้นน่าเบื่อ
ตัวอย่างเช่นหุ้นกลุ่มสถาบันการเงิน ธนาคาร เคยซื้อขายที่ PE สูงกว่า 10 หรือ PB สูงกว่า 1 เท่า
ก็สามารถซื้อในราคาต่ำกว่าตอนสูงสุดได้
คำถามต่อมา คือ เราควรซื้อหุ้น value ประเภทไหน
ก่อนอื่น เราต้องประเมินมูลค่าของบริษัทก่อน ซึ่งมีหลายวิธี หลังจากนั้นก็มาดูว่าราคาตลาดเป็นอย่างไร
กลับมาดูที่น้องทศซึ่งทำงานหนักมาตลอด ปกติมองอนาคตค่อนข้างไกลของบริษัทที่สนใจ
น้องทศ บอกว่า ไม่มีใครซื้อหุ้นแบบ value หรือ growth ล้วนๆ
หลังจากคุยกันหลายรอบจะสังเกตว่า บางคนจะลงทุนหุ้นvalueเยอะ อีกคนลงในหุ้นgrowthเยอะ
หุ้นที่ผมชอบ สไตล์หุ้น growth มีลักษณะคือ
1. มีการเพิ่มทีมขาย ขยายสาขาเพิ่ม เห็นการเติบโตของบริษัทไปเรื่อยๆ หรือ
เปิดร้านกาแฟสาขาเดียว รายได้เท่าเดิม ถือว่าไม่ใช่หุ้นgrowth
2. ขายสินค้าเพิ่มขึ้นก็ได้
ยกตัวอย่าง บริษัท ขายน้ำมันที่มีสาขาอันดับ2 ขยายปั๊มน้ำมัน มีแผนการสร้างปั๊มน้ำมัน
ตอนปีแรก กำไรยังไม่มา แต่ ขายเพิ่ม สาขาเพิ่ม แต่มีตัวที่บดบังอยู่ ทำให้กำไรยังไม่มา
หรือ เถ้าแก่ไม่ใหญ่ หลังจากประสบความสำเร็จในประเทศ เริ่มขยายไปในต่างประเทศ
หรือ บริษัทปล่อยสินเชื่อแต่ชื่อเหมือนบริษัทประกัน
บริษัทปล่อยสินเชื่อรถ มีแผนขยายโต2 เท่า ถือเป็นหุ้น growth
ผู้บริหารมีแผนในการเติบโตแล้ว แต่เราต้องตามผลการดำเนินงานว่าเป็นไปตามที่วางแผนหรือไม่
ผมค่อนข้างระวังคำพูดของผู้บริหารด้วย ผมจะดูบริษัทที่สามารถพิสูจน์ว่าประสบความสำเร็จได้ และ
สามารถขยายสาขาตามที่พูดไว้
ข้อดีของหุ้นgrowth คือ มีโอกาสโต แต่ข้อเสีย ราคาเพิ่มไปหุ้นเรียบร้อยแล้ว
แตกต่างจากหุ้น value ที่ไม่ค่อยมีคนลงทุน เงียบเหงา
น้องกานต์ เสริมเรื่อง growth มี operation ที่เติบโต เพิ่มคนงาน ขยาย line การผลิต
ผู้บริหารตั้งใจโต แต่ต้องรอผลการดำเนินงานก่อน ดูจากกระแสเงินสดได้
ความถูกแพงในการลงทุนเป็นอีกเรื่อง เราสามารถซื้อก่อนบริษัทมาออก opp day หรือ ออกข่าว
แต่ถ้าซื้อทีหลัง ราคาจะบวกความคาดหวังไปแล้ว PE ก็สูงไปแล้ว (หลังวีไอจัดเต็มไปแล้ว)
อีกลักษณะคือ ความคาดหวังมีโอกาสเติบโตในต่างประเทศอีกมากมาย เราต้องดูว่ามันจะเป็นไปได้ไหม
ถ้ารู้สึกว่ามันโตอีกสิบเท่า คือความรู้สึกในการซื้อหุ้น growth
ต่างกันกับ Value stock นักลงทุนฟังผู้บริหารแล้วไม่เร้าใจ ไม่อยากลงทุน คือเหตุผลทำให้ราคาหุ้นถูก
หุ้นที่โตสม่ำเสมอ มีส่วนผสมของgrowth ราคาไม่ถูกมาก เป็นส่วนผสมของหุ้นที่เหมาะสม
ส่วนตัวที่ทำหน้าที่เร่งได้แก่ กำไร ถ้าเห็นกำไรเปลี่ยนแปลง ต้องมาวิเคราะห์ว่าโตชั่วคราวหรือ เกิดการเปลี่ยนแปลงในสินค้าหรือบริการ โดยตลาดมองว่าโตปกติทำให้ราคายังไม่สูง แต่ถ้าตลาดเริ่มเปลี่ยนมุมมอง ทำให้คนเพิ่มความคาดหวัง
ราคาก็เพิ่มขึ้น โดยผลประกอบการยังไม่ได้เปลี่ยนแปลง ก็ได้กำไรเพิ่มขึ้นเท่าตัวแล้ว
แต่หุ้นgrowthที่ต้องระวัง ว่าไปขยายไปต่างประเทศ มี story มากมาย คนคาดหวังเยอะ ทำให้มีโอกาสราคาตกลงมา
มากกว่า 50% ทั้งที่กำไรยังไม่เปลี่ยนแปลง หรือ หุ้นที่โตมา 40% ตลอด แต่เริ่มโตลดลง ราคาจะลงมาเพราะคนไม่ให้ราคาเท่าเดิม
น้องทศ มีเคส เรื่องความคาดหวัง
ซื้อหุ้นผลิตแอร์พกพา ยี่ห้อเย็น ราคาเพิ่มจาก 2 บาท ไป 8 บาท ผมซื้อตอนจะลงไป 1 บาท เขาจ้างจีนผลิต
คนรู้จักในชื่อ สุดยอดเย็น เขามีแผนจะไปเปิดขายใน Lotus, BigC เลยจัดไปเต็มที่ ปรากฏว่างบขาดทุนในไตรมาสต่อมาเริ่มไม่มั่นใจว่าจะดีต่อ แต่เรายังมั่นใจ แต่คนอื่นยังไม่มั่นใจเลยขายทำให้ราคาลดจาก 2 บาท ลดมาที่ 1 บาท ขาดทุน 50% ใน 2-3 เดือนเลยขายไปเข้าอีกตัว หลังจากนั้น 3 เดือนปรากฏว่าราคาวิ่งไปที่ 8 บาท
หุ้นมีความคาดหวัง เราเข้าไปในช่วงที่ผิดหวังต้องระวังไว้
คุณบอลเสริม เรื่องจิตวิทยาการลงทุน ย้อนกลับมาคิดว่าน่าลงทุนหรือไม่
น้องทศพูดต่อว่า หุ้นเถ้าแก่ไม่ใหญ่ PE สูง ได้ข่าวรัฐบาลยกเลิกทัวร์ศูนย์เหรียญ ข่าวกระทบต่อราคาตลาด
ดังนั้นคนที่เวลาตามข่าวน้อย ทำงานประชุมทุกวัน บางทีเลือกหุ้นที่ไม่คาดหวังสูงมากน่าจะดีกว่า
คำถาม เรามองเป็น Time frame ไกลแค่ไหน
น้องทศตอบว่า ผมจะดูว่า เวลาประเมินขึ้นกับประเภทหุ้น
หุ้นที่เดาทิศทางไม่ได้ เดาจากข้อมูลปัจจุบัน ก็ให้ราคาเท่ากับการเติบโตในปัจจุบัน
แต่ถ้าหุ้นโรงไฟฟ้าโซลาร์ ปกติจะมีแผนการติดตั้ง ช่วงที่ยังไม่มีแผน เดาว่ามันไม่โต
แต่บางหุ้นที่มีแผนการพัฒนาที่ชัดเจน เช่น ภายใน3 ปี มีปั๊มเพิ่มเท่าไหร่ อันนี้ทำให้เดาได้
สรุปลักษณะของหุ้น growth
1. ผู้บริหารต้องสู้ก่อน การไปฟังผู้บริหารพูดบ่อยๆ ฟังดูรู้ว่าผู้บริหารจะพูดอะไร
ผู้บริหารหนุ่ม มีไฟ ไปได้ไกล เช่น คุณสต๊อบ
2. ถ้าเราทำธุรกิจเอง เราพร้อมจะขยายสาขาอย่างโตเนื่องหรือเปล่า
เช่น บริษัทอสังหาทีชื่อเหมือนพระเอก อันดาและฟ้าใส
ผู้บริหารบอกว่าจะโตต่อไปเรื่อยๆซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ทีมงานต้องพร้อมจริงๆ
หุ้น growth ต้องมีแผนในการเติบโตในระยะยาว เราก็ติดตามว่าเขาทำได้ตามแผนหรือไม่
กลับมาที่น้องกานต์ มองว่าtime frame สัก 3 -5 ปี
หุ้นgrowth ต้องมีผู้บริหารที่มีความทะเยอทะยาน เรามองว่าจะเชื่อเขาดีไหม
เราต้องดูสินค้าที่เขามี ดีกว่าคู่แข่ง หรือ ตอบสนองต่อลูกค้าดีกว่าคู่แข่งหรือเปล่า
วอร์เรน บอกว่า บริษัทมี คูเมือง ป้อมปราการที่ขยายทุกปีหรือเปล่า ถ้าใช่ จะทำให้กำไรเพิ่มขึ้นทุกปี
บางบริษัท โต50% แต่โตปีเดียว ไม่สามารถคิดราคาโดยใช้ PEG ปกติต้องมีการเติบโตอย่างน้อย 5 ปี
เราต้องวิเคราะห์กิจการว่าทำได้อย่างต่อเนื่องหรือเปล่า
ตัวอย่าง เช่น หุ้นอสังหาที่พึ่งเป็นHolding company มีขยายอย่างต่อเนื่องเป็น 10 ปี
ฟิลิป ฟิชเชอร์ เป็น ปรมาจารย์ของหุ้น growth ต้องทำ scuttlebutt เราต้องรู้ให้เยอะกว่าตลาดรู้ด้วย
เรามองยาว มองเรื่อง quality ให้ออก
แต่ถ้าเป็นหุ้น value ส่วนใหญ่ความกลัวครอบงำตลาดเช่น ตลาดอสังหาริมทรัพย์ กลัวฟองสบู่จะแตก
ส่วนบริษัทอสังหา ที่ชื่อเหมือนพระเอกลูกครึ่ง เรื่องอันดากับฟ้าใส
เคยลงทุนตอนที่ยังไม่เป็นหุ้นgrowth งบขาดทุน 3 ไตรมาส หุ้นราคาลงไป 50%
แต่ผู้บริหารซื้อต่อเนื่อง ราคาเหลือ 2 บาท market cap 6,000 ล้านบาท ตอนนั้นขาย presales
ไม่มีรายได้ ขาดทุนอยู่แล้ว แต่เรามาฟัง opp day คนมาฟัง 5 คน เขาบอกว่าเริ่มขายได้
และมีstory โตต่อเนื่อง ไม่มีใครถามคำถาม ไม่มีคนคาดหวังเลย แต่ดูแบรนด์ ไอดีโอ เริ่มมาแข่งกับเจ้าตลาด
หลังจากเริ่มมีกำไร นักวิเคราะห์เริ่มเข้ามาสนใจ ตอนซื้อ PE 6 เท่า แต่ ตลาด 10 เท่า ตอนนี้ขายไปแล้ว
คุณบอล มองว่าลงทุนแบบไหนก็ต้องทำการบ้านเยอะ
ราคาของหุ้นบางตัว ถูกเรื้อรัง ต้องดูว่า เขาขยายต่อเนื่องหรือเปล่า
บางทีดูที่เศรษฐกิจ ก่อนลงทุนหุ้น growth
ตอนนี้ดอกเบี้ยต่ำ เวลาคำนวณ ทำให้ถูกdiscount ได้ราคาหุ้นที่สูงขึ้นด้วย
ช่วงที่ผ่านมาการเติบโตของหุ้นคาดหวังได้ยาก
ดังนั้น หุ้นที่มีขยายสาขาตลอด เช่น ปั๊มน้ำมัน ยังไปได้
แต่หลังจากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว สถานการณ์เริ่มเปลี่ยน หุ้นที่ขึ้นมาจากความคาดหวัง จะแพงต่อไปได้ไหม
ในทางกลับกัน บริษัทที่ถูกมองข้าม จะเริ่มมีคนพิจารณาซื้อแล้ว
บางช่วงเวลา หุ้น value ดีกว่า growth และ บางช่วง หุ้นgrowth ดีกว่า
คุณบอล ถามว่ามีการวิเคราะห์หุ้นเติบโตอย่างไร
น้องทศ ตอบว่า เชิงทฤษฏี ดูว่าบริษัทมีคูเมืองไหม ถ้ามี คู่แข่งสู้เขายาก
ให้ระวังผู้บริหารที่บอกว่าจะเริ่มทำธุรกิจใหม่ เช่นไปปล่อยกู้ ทำ nano finance ก่อนนี้ขายเครื่องกรองน้ำ
ทำให้ฉุกคิดว่า เครื่องกรองน้ำอาจไม่ดีอย่างที่คิด
หรือในอดีต กลับไปดูว่าผู้บริหารทำได้อย่างที่พูดคราวก่อนหรือไม่ เช่น บอกผู้ถือหุ้นว่าทำได้มากกว่าเป้า
โดยไปปรับเป้าลดลง เราต้องค่อยๆตรวจไปเรื่อยๆ
ผู้บริหารบางคนชอบพูด base case, best case บางคนชอบพูด worst case ต้องหมั่นสังเกตให้ดี
ผมชอบหุ้นที่รายได้โตอัตโนมัติ ไม่ต้องทำอะไรเลย เช่น หุ้นชื่อมะลิ ทำinternet
หุ้นทำเครื่องเติมเงินมือถือ เอาตัวเลขรายเดือนมาโชว์อย่างต่อเนื่องย้อนหลัง 4-5 ปี
อีกบริษัท คือ หุ้นขายน้ำมันทีมีสาขาอันดับ2 โชว์ยอดขายรายเดือน ซึ่งบ่งบอกความสามารถในการทำการค้า
นอกจากนั้นยังชอบ หุ้นที่รายจ่ายคงที่ ซึ่งหายากมาก
แปลว่า กำไรจะก้าวกระโดดไปเรื่อยๆ โอกาสพลาดค่อนข้างต่ำ
บริษัทที่ขยายเยอะและใช้เงินเยอะ ถ้าพลาดขึ้นมา ทำให้ถอยไม่ทัน
เช่น ค้าปลีกเมื่อก่อน ยิ่งสาขาเยอะยิ่งแย่ ต้องปรับตัวให้ทัน
น้องทศพูดต่อว่า ผมชอบหุ้นค่อนข้างถูก แต่มีโอกาสโต คนไม่ค่อยคาดหวัง เราต้องรู้ข้อมูลก่อนคนอื่น
เคยปลอมตัวไปคุยกับ supplier ซึ่งเป็นบุคคลที่3 หรือ สอบถามคู่แข่ง เพื่อสอบถามข้อมูล เราไม่เชื่อข้อมูลที่ผู้บริหารให้
เช่นหุ้นอสังหาริมทรัพย์ ก็ไปสอบถามข้อมูลตลาดอสังหาจากบริษัทและคู่แข่ง ว่า ตลาดอสังหาช่าวนี้เป็นอย่างไร
การลงทุนหุ้นgrowth มีความเสี่ยงมาก ต้องตรวจสอบให้ดี ฟังแค่ opp day ไม่แนะนำให้เคาะซื้อเลย
ต้องไปดูสถานที่จริง สำรวจแบบ scuttlebutt โดยไปเยี่ยมสาขา เช่น หุ้นสาวสวยซึ่งขายเครื่องสำอาง ที่มีร้านอยู่ในห้าง
สอบถามเรื่องเครื่องสำอางจากพนักงานจริง เพื่อป้องกันว่าข่าวสารที่ได้จากผู้บริหารถูกต้องหรือไม่
คุณบอลถามน้องกานต์ เรื่องการประเมินมูลค่า ว่าการมองหุ้น value , growth มองต่างกันหรือไม่
น้องกานต์เล่าเรื่องcase study ให้ฟัง
บริษัทอสังหา ที่ชื่อเหมือนพระเอกลูกครึ่ง เรื่องอันดากับฟ้าใส
ผมดู market cap 6000 ล้านบาท กำไรที่ทำได้ 900 ล้าน PE 6-7 เท่า PB 1.1 เท่า
ซี่งไม่สูงเกินไป โครงสร้างของบริษัทที่ทำคอนโดเป็นหลัก คือ บริษัทสวนลุม ยังดีอยู่ แต่PB 3 เท่า
ผู้บริหารมีความตั้งใจเหมือน บริษัทสวนลุม แต่ขายแบบบริษัท ซิรี สร้างให้เร็ว โครงสร้างการเงินใกล้เคียง
ช่วงแรกลงทุนมี fix cost แต่ระยะต่อมา รายได้เพิ่ม SG&A ไม่โตตาม ตอนนั้นยังไม่แสดงภาพออกมา
เราซื้อหุ้นที่ราคา 2 บาท บริษัทร่วมลงทุนกับเจ้าของ คุณชานนท์ หลังปรับโครงสร้าง ROE มีโอกาสเพิ่มขึ้น
เป็นปัจจัยโดยรวม แต่ไม่ได้คาดหวังโตเท่ากับ บริษัทสวนลุม คิดแล้ว มี MOS 20%
Book value มีโอกาสโตขึ้น ตอนนั้น รอประกาศงบQ4 ค่อยซื้อ
เพราะคนยังไม่ค่อยเข้าใจธรรมชาติ ของ อสังหา ถ้ามีโครงการโอนต่อเนื่อง แสดงว่ายังเติบโต
ตอนนี้ market cap 14,000-15,000 ล้านบาท
อีกเคสบริษัท เป็น Distributor ขายอุปกรณ์ไอที เป็นบริษัทลูกของบริษัทที่ทำ สิ่งพิมพ์ และ Soft packaging
เคยได้รับความนิยมมาก่อน แต่ PC, NB ได้รับความนิยมน้อยลง
บริษัทเพิ่มสินค้า mobile มากขึ้น รวมถึงสินค้าที่มี high margin มากขึ้น และ มีลูกค้าองค์กร
เข้ามาด้วย ถ้ามองจากงบการเงินยังไม่ค่อยเห็นการเติบโต
จุดเปลี่ยนอีกอัน คือ เปลี่ยนแปลงผู้บริหารจากรุ่นพ่อเป็นรุ่นลูก
วันที่สนใจคืองบออก Q3 มีการปรับเปลี่ยนสินค้า ซื้อตอน 3 บาทนิดๆ ราคายังถูกอยู่ ROE อาจขึ้นถึง 20%
ตอนนี้บริษัทก็ซื้อบริษัทที่ปล่อยสินเชื่อ ทำให้ PE โตเป็น 20 เท่า
แต่ผมก็ขายระหว่างทาง ไม่ได้ขายราคาสูงสุดเพราะไม่คิดว่าจะโตสูงขนาดนั้น
คุณบอลถามน้องทศว่าตอนซื้อ หาค่าPEได้หรือไม่ (หมายถึงมีกำไรหรือเปล่า)
น้องทศ พูดว่า ตอนซื้อยังมี PE อยู่ แต่ PE เป็น 2 หลัก
วิธีการดูว่าราคาที่ซื้อไม่แพงเกินไป
น้องทศ บอกว่าเวลาซื้อหุ้น PEอยู่ระหว่าง 10 ปลายๆ – 20 ต้นๆ การที่ยันราคาได้ แสดงว่าเหมาะสม
บางทีซื้อในราคาสูงขึ้นได้ ถ้าราคาหุ้นนักวิเคราะห์ใช้วิธี PEG เพื่อชวนให้ซื้อต้องระวัง เพราะ
วิธีนี้ทำให้ราคาหุ้นถูก เพราะในระยะสั้นๆมันใช้ได้
ผมใช้วิธีข้ามขั้นไป เช่น ถามว่าขยายปั้มไป 2,000 ปั้มแล้ว
ถามว่า ขายได้กี่ลิตร มีกำไรเท่าไหร่
น้องทศกล่าวต่อว่า คนเริ่มรู้จัก อาจปรับให้โตอีกหน่อย หาราคาขายและกำไร
อาจให้ราคาที่ PE 10 เท่า ดูว่าราคาต่างกับเป้าหมายไหม
ไปดูอนาคต ดูจากตัวเลขที่ผู้บริหารพูดแต่ปรับลงมาหน่อย และ คำนวณราคาว่าเหมาะสมหรือไม่
ตัวเลขจะออกมาเป็นช่วงๆ ทำราคามาบน caseต่างๆ ได้แก่ Best case, Base case, Worst case
เช่น บริษัทไปทำธุรกิจที่จีนสำเร็จมากๆ หรือ สำเร็จกลางๆ
และ ดูราคาว่าเหมาะสมในแต่ละเหตุการณ์หรือไม่
ความคาดหวังของนักลงทุนกับการเข้าซื้อ
สมมติ ความคาดการณ์ 1-5 กานต์จะซื้อช่วง 1-2 ส่วนทศ จะซื้อในช่วง 2-3
ถ้านักลงทุนมีความคาดหวัง 4-5 เป็นจังหวะขายมากกว่า
เราเป็นนักลงทุนเน้นคุณค่า ตลาดมีนักลงทุนหลายแนว
ไม่ควรปรับความคิดในการลงทุนตามตลาด
ซึ่งถ้าปรับตาม เราจะมีความเสี่ยงในการลงทุนมากขึ้น
หุ้นแนว value คุณเบนจามิน เขียนหนังสือ the intelligent investor ตอนปี 1930
หลังวิกฤตเศรษฐกิจรอบใหญ่ของUS ซื้อหุ้นที่มี PB ต่ำ
วิธีคัดหุ้น โดยคำนวณสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่อง ลบด้วย หนี้สิน และ
ซื้อต่ำกว่านั้น 2-3 เท่า ซึ่งเป็นการหาหุ้นหลังวิกฤต ซื้อครั้งละ 50-60 ตัว
เป็นหุ้นก้นบุหรี่ Qualityไม่ค่อยดี เป็น การลงทุน value แบบ classic
ส่วนการลงทุนของไทย ก็เป็นหุ้นในช่วงต้มยำกุ้ง ตอนนี้ไม่มีแล้ว
การลงทุนในยุคต่อมาเริ่มเปลี่ยนแปลงไป ดูเรื่องคูเมือง ป้อมปราการ มีการเติบโตอย่างสมเหตุสมผล
โอกาสในการลงทุนหุ้นพวกนี้ ดูจากเหตุการณ์ต่อไปนี้
1. บริษัทที่แย่มาสักพักนึง แย่ชั่วคราวเท่านั้น ไม่ใช่บริษัทที่ซื้อบริษัทเหล็กในอังกฤษ
ซึ่งอยู่ในอุตสาหกรรมแย่ และ บริษัทแย่ด้วย
2. เกิดเหตุการณ์ไม่ดีชั่วคราว จังหวะที่ตลาดpanic คุณต้องมีสภาพคล่องเพียงพอ
เช่น เงินสด หรือ หุ้นที่มีสภาพคล่องเยอะ ในการซื้อช่วงนั้น เวลาpanic
อาจกลับขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว คนที่ใช้แนวทางนี้คือ คุณวอร์เรน บัฟเฟต
จุดขายหุ้น
สำหรับหุ้น growth ความคาดหวังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่วนตัวของน้องทศมีแนวคิดว่า
1. เมื่อราคาถึงจุดนึง ราคานี้ไม่ใช่แล้ว มันเป็นจุดสูงสุดแล้ว ก็ปล่อยหุ้นไป
2. แต่ถ้าราคายังขึ้นได้อีก ทำให้เรากล้าถือ แก้ไขโดยขยันมากขึ้น
หาหุ้นที่กำลังเริ่มต้นโตตัวต่อไป
ส่วนน้องกานต์ ให้ความเห็นเรื่องจุดขายหุ้น
ถ้าหุ้นเกินความฝันไปแล้ว เราต้องยอม หรือ อย่าโลภเกินความรู้ ถ้าโลภเกิน
จะเกิดความเสียหาย
ใช้วิธีเปรียบเทียบเอา ทยอยขาย ลดสัดส่วนตามความสบายใจ
มีเรื่องฝากเพื่อนนักลงทุน
สิ่งที่ปรับใช้ แต่ละคนมีจุดพิจารณาไม่เหมือนกัน
1. จุดในการรับความผันผวนไม่เหมือนกัน ถ้าเป็นหุ้น growth ต้องรับความผันผวนมาก
ถ้าจิตใจไม่แข็งแรง หุ้น value น่าจะเหมาะกว่า
2. เป้าหมายในการลงทุน ถ้าอายุไม่เยอะ มีโอกาสได้รับผลตอบแทนเยอะ
แต่ถ้าใกล้เกษียณ ไม่มีเวลาในการติดตามข่าวสาร ก็เป็นหุ้น value จะเหมาะสมกว่า
ถ้ามีเวลาในการลงทุนไม่ถึง 10 ปี ลงทุนหุ้น value ซึ่งได้ 15% ต่อปี
แต่ถ้าหุ้น growth (high risk high reward)
หรือ จัดเป็นพอร์ต เช่น แกนหุ้นเป็น growth 50% ที่เหลือเป็นหุ้นvalue และ Assetอื่นๆ
ส่วนคุณทศ จะหาหุ้นก่อนที่จะ growth ซึ่งหุ้นเริ่มเติบโตแล้วจะปลอดภัยมากกว่า
มีคนมาปรึกษาเกี่ยวกับหุ้น PE 100 เท่า เลยแนะนำว่า ถ้าไม่มีเวลา
ก็ไม่เหมาะสมในการถือหุ้นเหล่านี้
เลือกหุ้นที่มีความคาดหวังน้อย จะปลอดภัยกว่า
Value Low risk low return
Growth High risk high return
แต่คนที่ประสบความสำเร็จ Low risk High return
สุดท้ายขอขอบคุณวิทยากรทุกท่านที่มาให้ความรู้ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 35
Tisco Exclusive Talk
หุ้นTPIPP บรรยายโดย
คุณประเสริฐ อิทธิเมฆินทร์ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานบัญชีและการเงิน TPIPL
คุณภัคพล เลี่ยวไพรัตน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบัญชีและการเงิน
คุณวรวิทย์ เลิศบุษศราคาม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายโรงงานงาน
ธุรกิจหลัก
1.Energy&Utilities
โรงงานไฟฟ้าขยะ(RDF)ที่ใหญ่ที่สุดในไทย 4 commercial operation power plants
และ ยังมี อีก3โโรงงานไฟฟ้าที่ยังอยู่ในช่วงก่อสร้าง
2. Petrol & Gas stations
ธุรกิจgas stations แบ่งเป็นสถานีน้ำมัน แปดแห่ง และ สถานีก๊าซ หนึ่งแห่ง
รายได้มาจากการขายน้ำมัน ก๊าซ และ convenience store goods
ความร้อนทิ้ง คิดเป็นเจ็ดสิบ% ขายให้บริษํทเเม่(TPIPL) ในราคาที่การไฟฟ้าขายให้
3.Others
ปกติเราต้องรับขยะมาทำไฟฟ้า เราต้องแยกขยะก่อนไปผลิตไฟฟ้า
และเอาส่วนที่ให้ค่าความร้อนสูงมาต้ม ให้เกิดสตรีมเพื่อไปปั่นไฟ
ดังนั้น เราแตกต่างกับรายอื่น RDF-Fired power plants
เราลงทุน RDF Plants สี่พันล้านบาท
เพื่อให้เกิดสตรีมปั่นไฟ เราเอาขยะมาทำเป็น RDF low grade
ส่วน Hi grade เอาไปปั่นไฟ
Summary of Power Plant Operation
Capacity ปัจจุบัน 150 MW
กำลังก่อสร้าง capacity 290 MW
รวม 440 MW
Summary of TPIPP’s Petrol & Gas station operations
มีทั้งหมด 12 stations แบ่งเป็น petrol station = 8, gas station =1
และ station ที่เป็นทั้งสองแบบ =3 แห่ง
EBITDA เดือนละสามถึงสิบห้า ล้านบาท
แต่ไม่ใช่ธุรกิจที่มีกำไรเท่าไหร่ รายได้จากตโรงงานนี้ แปดร้อยล้านบาทต่อปี
Mutually Beneficial Support Framework with TPIPL
โชว์ความสัมพันธ์บริษัทแม่และบริษัทลูก ตอนนี้บริษัทแม่ถืออยู่เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์
บริษัทแม่ มีความร้อนเหลือทิ้งจากการผลิดปูนนำมาต้ม บอยเลอร์(Boiler)
และ ขายให้บริษัท ลูก หกสตางค์ ต่อหน่วย และซื้อกลับในราคาเดียวกับที่การไฟฟ้าขาย
Key Investment Highlights
คุณวรวิทย์ พูดในส่วนรายละเอียดของโรงงานไฟฟ้า
โรงงานไฟฟ้าขยะในไทย มีสองรูปแบบ
แบบที่หนึ่ง เอาขยะมาเผาที่โรงงาน
แบบที่สอง เอาขยะจากแลนด์ฟิวส์แก็ส ได้adderมากกว่า
สัดส่วนขายไฟ สองโรงงานงานประมาณ 80MW (53%)เทียบกับอันดับสอง
คือ PTJ ที่มีสองโรงงาน รวม14MW (9%) ห่างจากเราค่อนมาก
ผู้ผลิตอื่น เป็นVSPP ซึ่งมีขนาดเล็กมาก
ปัญหาการเอาขยะมาเผาที่โรงงานคือค่าความชื้นสูง
ทำให้ค่าดำเนินการสูงมาก เพราะต้องเผาน้ำด้วย
และทำให้หม้อเผาขยะมีปัญหาบ่อย และถูกกัดกร่อน
แต่เราจะมีการคัดแยกขยะก่อน
ขยะบ้านเราให้ค่าความร้อนต่ำ ความชื้นสูง
ดังนั้นต้องทำRDF คัดแยกขยะทำให้ขยะมีค่าความร้อนที่สูงขึ้น
ทำไห้คุณภาพของRDFนิ่งขึ้น
ทำให้ปัญหาเรื่องการสึกกร่อนลดลง ต้นทุนต่ำกว่าเจ้าอื่น
นอกจากเรื่องการประหยัดจากขนาด
ต้นทุนต่ำกว่าเจ้าอื่นที่มีต้นทุนต่อหน่วยมากกว่า สี่บาทต่อหน่วย
หลังปี2540 โรงงานผลิตไฟฟ้า ความร้อนทิ้ง จากโรง1,2,3
ต่อมาเป็น การผลิต RDF
เอามาแทนที่ถ่านหิน และ ผลิตไฟฟ้าทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง
การลดอุณหภูมิมากกว่า 1,400 เหลือ 400องศา
โดยลดความร้อน ใช้เพิ่มความเย็นเข้าไป ทำให้เสียค่าใช้จ่ายมากขึ้น
เราจึงเอามาผ่านบอยเลอร์ก่อนผลิตไอน้ำ โดยไม่ใช้อื่นๆเสริมเลย
ในปีเดียวกัน ได้ก่อสร้างโรงงานไฟฟ้าโรงที่ห้าเพื่อขายให้EGAT
Capacity 60 MWและขาย (PPA) 55 เมกกะวัตต์
ผู้ประกอบการเดิม สามารถใช้เชื้อเพลิงเสริม ซึ่งอาจเป็นถ่านหิน
สัดส่วน 25%ที่การไฟฟ้าให้ยืดหยุ่น แต่เราไม่ต้องใช้ เลยต่อรอง
และขอใช้ไอน้ำแทน เราได้รับอนุญาตไอน้ำจากความร้อนทิ้ง
เราใช้เชื้อเพลิงผสม ได้เปรียบกับผู้ประกอบการรายอื่น
ปีที่แล้ว เราขายไฟจากโรง1,2,4ให้โรงงานปูนซิเมนต์ในราคาที่ซื้อจากการไฟฟ้า
และขายให้กับการไฟฟ้าด้วยจากโรง 3,5
ปัจจุบันขยายโรงงานไฟฟ้าอีกสามยูนิต คือโรงที่ 6,7,8
เราเอา ทีจีสี่ มารวมกับ ทีจีหก คิดเป็น capacity 100 MW , PPA 90 MW
ตอนนี้เกือบสมบูรณ์เพื่อขายไฟแล้ว
ส่วนทีจี เจ็ด ถ้าเทอร์ไบของทีจีห้าเสีย การซ่อมใช้เวลาหนึ่งปี
ดังนั้น ที่จีเจ็ดมาช่วยจุดนี้
ทำให้เราไม่เสียเเอดเดอร์ แต่เราไม่ปล่อยเฉย
เรามี บอยเลอร์เสริม เพื่อผลิตขายให้โรงงานปูน
ที่จีแปด เป็น โโรงงานไฟฟ้า ถ่านหินสะอาด
กำลังติดตั้ง สองร้อยหกสิบ เมกกะวัตต์
เรามีโโรงงานปูน สี่ โโรงงาน และ อิฐมวลเบา
ยอดการใช้ไฟฟ้า ของโโรงงานปูน สองร้อยเจ็ดสิบ เมกกะวัตต์
เราผลิต 220MW (TG7 70MW + TG8 150MW) ขายให้โรงงานปูนได้หมด ไม่ต้องดิ้นรนหาลูกค้า
ส่วนที่สอง กำลังติดตั้ง 170MW บน PPA 160 MW
ปีที่แล้ว รายได้ส่วนใหญ่มาจาก ขายให้การไฟฟ้า คิดเป็น 150MW
ส่วนจากโรงงานปูนแค่ ห้าร้อยล้านบาท (73MW)
ปีนี้มีการเติบโตในส่วนโรงไฟฟ้าใหม่ TG6,7,8
มีการปรับadderอีก 12.5สตางค์ (พึ่งประกาศช่วงบ่ายวันสัมมนา)
จากเดิม หกบาทห้าสิบสตางค์ ช่วยในเรื่องกำไรของบริษัทดีขึ้น โดยค่าใช้จ่ายเท่าเดิม
กำลังการผลิต RDF 4,181 kcal/kg
เครื่องRDF ต่อเครื่อง แพง และ ไม่สามารถใช้ได้กับขยะเมืองไทยทันทีแต่
เรารู้ว่าเครื่องจักรแบบไหนเหมาะสมกับเรา เราเสนอแบบให้บริษัทผลิตเครื่อง
เพื่อรองรับขยะภายในประเทศ
ปกติพลาสติกอยู่ในขยะสามสิบเปอร์เซนต์
และต้องกำจัดขยะที่เป็นเศษอาหารด้วย
เหล็กที่แยกก็เอาไปขาย
หินดินทรายที่แยกก็ส่งไปโรงงานปูน
ส่วนที่สามเป็นขยะเปียก
เมื่อก่อนส่งให้ปุ๋ยอินทรีย์แต่ไม่สามารถรับได้หมด
เอ็มพีทีเป็นกระบวนการลดความชื้นของขยะเปียก
เป็นการย่อยสลายจุลินทรีย์ เครื่องจะช่วยทำให้ย่อยได้เร็วขึ้น
แปลงขยะเปียกเป็น low grade RDF
ดังนั้น จะได้ RDFจากพลาสติก ยี่สิบห้า และ โลว์เกรดอีก ยี่สิบห้า
รวมเป็น ห้าสิบเปอร์เซนต์ (50%)
RDF ไฮเกรด และ โลว์เกรด ต้องมาผสมกันเพื่อรักษาสภาพของRDF
โดยมีต้นทุนต่ำ และสามารถผลิตค่าRDF สี่พันสองร้อย กิโลแคลอรี่ /kg
คำถาม ขยะพอไหม มาจากไหน
ตอบ ปกติ คือ ตั้งโรงงานงานใกล้กับขยะ
ผมตั้งโรงไฟฟ้าที่สระบุรี ทำไมผมไม่ตั้งใกล้กับวัตถุดิบ ขยะ
ปกติการขนย้ายขยะไปทิ้งจะต้องเสียค่า ทิปปิ้งฟรี ค่าฝังกลบจาก สี่ร้อยจนถึงเก้าร้อยบาท
ตอนนี้ ไม่อนุญาตขุดหลุมฝังกลบ ในหลุมที่ไม่อนุญาติ
เราเสนอว่าส่งมาให้ที่ผม ฟรี เสียค่าขนส่งอย่างเดียว ถ้าถูกกว่า
ค่าขนส่งบวกค่าทิปปิ้งฟรี เข่น ที่พัทยา ส่งมาต้นทุนถูกกว่าเดิม
จากที่เสีย แปดร้อยแปดสิบบาท เหลือแค่ สี่ร้อยสี่สิบบาท เท่านั้น
รายได้ ปี15 = 2,627 ลบ ปีที่แล้ว 4,368 ลบ
ปีนี้ขายให้การไฟฟ้า กำไรเยอะสุด และ ขายให้โรงงานปูนเพิ่มขึ้น
ปีนี้เราสร้างโรงงานไฟฟ้าเสร็จอีก สามโรงงาน
ปีหน้ารับรู้รายได้โรงงานไฟฟ้าสามโรงงานนี้เต็มปี
การลงทุนปีหน้า เพิ่มจาก 5,382 ลบ เป็น 6,900 ลบ เป็นการลงทุนเพิ่มเติม
สัดส่วนหนี้สินต่อทุน 0.81 เท่าในปี 16
การเพิ่มทุน หนึ่งหมื่นเจ็ดพันล้าน ดังนั้น คืนหนี้เหลือศูนย์
การจ่ายปันผล ห้าสิบเปอร์เซนต์
โรงงาน แปดโรงงาน ได้BOIยกเว้นภาษีแปดปี
และจ่ายภาษี ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ในอีกแปดปี
คำถาม การผลิตในQ1,2 เป็นอย่างไรบ้าง
ตอบ Q1 ร้อยละเก้าสิบเจ็ด มากกว่าเติม มาจากทีจี สาม และ ห้า
มาจากการปรับปรุงบอยเลอร์
คำถาม ความคืบหน้าของทีจีหก (TG6)
ตอบ เราไม่ได้ถูกปฎิเสธ เราทำซีโอพี กพพ พึ่งพิจารณาเมื่อปลายปี
ให้ทำอีไอเอใหม่ ใช้เวลานาน ยื่น 9 มีนาคม และกำลังเข้าสู่
การพิจารณา จริงๆจะ ซีโอดี Q4 17 เราผ่านได้น่าจะไม่เกิน มิย 17
ดังนั้น น่าจะเร็วขึ้น หนึ่งไตรมาส
คำถาม ความแตกต่างของRDFโรงงาน เวฟอีส
ตอบ ต้นทุนถูกมาก ประมาณ หนึ่งบาท ต่อหน่วย รวม ค่าเสื่อมแล้ว
ตัวที่สองที่ขายไฟให้การไฟฟ้า ต้นทุน หนึ่งบาทขายสามบาท
ตัวต่อมาขายได้หกบาท เฉลี่ยต้นทุนประมาณ สามถึงสี่บาท ต่อหน่วย
TG7 ขายสามบาท จากต้นทุนสองบาท ไม่มีความเสี่ยง
เนื่องจากบริษัทแม่รับซื้อหมด
EBITDA margin 51%
คำถาม การตั้งบริษัทที่กัมพูชา อยากทราบวัตถุประสงค์ในการตั้ง
ตอบ การตั้งเพื่อศึกษาความเป็นได้ในการตั้งโรงงานไฟฟ้ากำจัดขยะในกัมพูชา
แต่ต้องได้พีพีเอก่อน และ ด้านวัตถุดิบจะหาจากไหน
เป็นการไปศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุน
สุดท้ายขอขอบคุณ บล ทิสโก้ และ ผู้บริหารของ TPIPP ที่มาให้ข้อมูล
หุ้นTPIPP บรรยายโดย
คุณประเสริฐ อิทธิเมฆินทร์ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานบัญชีและการเงิน TPIPL
คุณภัคพล เลี่ยวไพรัตน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบัญชีและการเงิน
คุณวรวิทย์ เลิศบุษศราคาม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายโรงงานงาน
ธุรกิจหลัก
1.Energy&Utilities
โรงงานไฟฟ้าขยะ(RDF)ที่ใหญ่ที่สุดในไทย 4 commercial operation power plants
และ ยังมี อีก3โโรงงานไฟฟ้าที่ยังอยู่ในช่วงก่อสร้าง
2. Petrol & Gas stations
ธุรกิจgas stations แบ่งเป็นสถานีน้ำมัน แปดแห่ง และ สถานีก๊าซ หนึ่งแห่ง
รายได้มาจากการขายน้ำมัน ก๊าซ และ convenience store goods
ความร้อนทิ้ง คิดเป็นเจ็ดสิบ% ขายให้บริษํทเเม่(TPIPL) ในราคาที่การไฟฟ้าขายให้
3.Others
ปกติเราต้องรับขยะมาทำไฟฟ้า เราต้องแยกขยะก่อนไปผลิตไฟฟ้า
และเอาส่วนที่ให้ค่าความร้อนสูงมาต้ม ให้เกิดสตรีมเพื่อไปปั่นไฟ
ดังนั้น เราแตกต่างกับรายอื่น RDF-Fired power plants
เราลงทุน RDF Plants สี่พันล้านบาท
เพื่อให้เกิดสตรีมปั่นไฟ เราเอาขยะมาทำเป็น RDF low grade
ส่วน Hi grade เอาไปปั่นไฟ
Summary of Power Plant Operation
Capacity ปัจจุบัน 150 MW
กำลังก่อสร้าง capacity 290 MW
รวม 440 MW
Summary of TPIPP’s Petrol & Gas station operations
มีทั้งหมด 12 stations แบ่งเป็น petrol station = 8, gas station =1
และ station ที่เป็นทั้งสองแบบ =3 แห่ง
EBITDA เดือนละสามถึงสิบห้า ล้านบาท
แต่ไม่ใช่ธุรกิจที่มีกำไรเท่าไหร่ รายได้จากตโรงงานนี้ แปดร้อยล้านบาทต่อปี
Mutually Beneficial Support Framework with TPIPL
โชว์ความสัมพันธ์บริษัทแม่และบริษัทลูก ตอนนี้บริษัทแม่ถืออยู่เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์
บริษัทแม่ มีความร้อนเหลือทิ้งจากการผลิดปูนนำมาต้ม บอยเลอร์(Boiler)
และ ขายให้บริษัท ลูก หกสตางค์ ต่อหน่วย และซื้อกลับในราคาเดียวกับที่การไฟฟ้าขาย
Key Investment Highlights
คุณวรวิทย์ พูดในส่วนรายละเอียดของโรงงานไฟฟ้า
โรงงานไฟฟ้าขยะในไทย มีสองรูปแบบ
แบบที่หนึ่ง เอาขยะมาเผาที่โรงงาน
แบบที่สอง เอาขยะจากแลนด์ฟิวส์แก็ส ได้adderมากกว่า
สัดส่วนขายไฟ สองโรงงานงานประมาณ 80MW (53%)เทียบกับอันดับสอง
คือ PTJ ที่มีสองโรงงาน รวม14MW (9%) ห่างจากเราค่อนมาก
ผู้ผลิตอื่น เป็นVSPP ซึ่งมีขนาดเล็กมาก
ปัญหาการเอาขยะมาเผาที่โรงงานคือค่าความชื้นสูง
ทำให้ค่าดำเนินการสูงมาก เพราะต้องเผาน้ำด้วย
และทำให้หม้อเผาขยะมีปัญหาบ่อย และถูกกัดกร่อน
แต่เราจะมีการคัดแยกขยะก่อน
ขยะบ้านเราให้ค่าความร้อนต่ำ ความชื้นสูง
ดังนั้นต้องทำRDF คัดแยกขยะทำให้ขยะมีค่าความร้อนที่สูงขึ้น
ทำไห้คุณภาพของRDFนิ่งขึ้น
ทำให้ปัญหาเรื่องการสึกกร่อนลดลง ต้นทุนต่ำกว่าเจ้าอื่น
นอกจากเรื่องการประหยัดจากขนาด
ต้นทุนต่ำกว่าเจ้าอื่นที่มีต้นทุนต่อหน่วยมากกว่า สี่บาทต่อหน่วย
หลังปี2540 โรงงานผลิตไฟฟ้า ความร้อนทิ้ง จากโรง1,2,3
ต่อมาเป็น การผลิต RDF
เอามาแทนที่ถ่านหิน และ ผลิตไฟฟ้าทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง
การลดอุณหภูมิมากกว่า 1,400 เหลือ 400องศา
โดยลดความร้อน ใช้เพิ่มความเย็นเข้าไป ทำให้เสียค่าใช้จ่ายมากขึ้น
เราจึงเอามาผ่านบอยเลอร์ก่อนผลิตไอน้ำ โดยไม่ใช้อื่นๆเสริมเลย
ในปีเดียวกัน ได้ก่อสร้างโรงงานไฟฟ้าโรงที่ห้าเพื่อขายให้EGAT
Capacity 60 MWและขาย (PPA) 55 เมกกะวัตต์
ผู้ประกอบการเดิม สามารถใช้เชื้อเพลิงเสริม ซึ่งอาจเป็นถ่านหิน
สัดส่วน 25%ที่การไฟฟ้าให้ยืดหยุ่น แต่เราไม่ต้องใช้ เลยต่อรอง
และขอใช้ไอน้ำแทน เราได้รับอนุญาตไอน้ำจากความร้อนทิ้ง
เราใช้เชื้อเพลิงผสม ได้เปรียบกับผู้ประกอบการรายอื่น
ปีที่แล้ว เราขายไฟจากโรง1,2,4ให้โรงงานปูนซิเมนต์ในราคาที่ซื้อจากการไฟฟ้า
และขายให้กับการไฟฟ้าด้วยจากโรง 3,5
ปัจจุบันขยายโรงงานไฟฟ้าอีกสามยูนิต คือโรงที่ 6,7,8
เราเอา ทีจีสี่ มารวมกับ ทีจีหก คิดเป็น capacity 100 MW , PPA 90 MW
ตอนนี้เกือบสมบูรณ์เพื่อขายไฟแล้ว
ส่วนทีจี เจ็ด ถ้าเทอร์ไบของทีจีห้าเสีย การซ่อมใช้เวลาหนึ่งปี
ดังนั้น ที่จีเจ็ดมาช่วยจุดนี้
ทำให้เราไม่เสียเเอดเดอร์ แต่เราไม่ปล่อยเฉย
เรามี บอยเลอร์เสริม เพื่อผลิตขายให้โรงงานปูน
ที่จีแปด เป็น โโรงงานไฟฟ้า ถ่านหินสะอาด
กำลังติดตั้ง สองร้อยหกสิบ เมกกะวัตต์
เรามีโโรงงานปูน สี่ โโรงงาน และ อิฐมวลเบา
ยอดการใช้ไฟฟ้า ของโโรงงานปูน สองร้อยเจ็ดสิบ เมกกะวัตต์
เราผลิต 220MW (TG7 70MW + TG8 150MW) ขายให้โรงงานปูนได้หมด ไม่ต้องดิ้นรนหาลูกค้า
ส่วนที่สอง กำลังติดตั้ง 170MW บน PPA 160 MW
ปีที่แล้ว รายได้ส่วนใหญ่มาจาก ขายให้การไฟฟ้า คิดเป็น 150MW
ส่วนจากโรงงานปูนแค่ ห้าร้อยล้านบาท (73MW)
ปีนี้มีการเติบโตในส่วนโรงไฟฟ้าใหม่ TG6,7,8
มีการปรับadderอีก 12.5สตางค์ (พึ่งประกาศช่วงบ่ายวันสัมมนา)
จากเดิม หกบาทห้าสิบสตางค์ ช่วยในเรื่องกำไรของบริษัทดีขึ้น โดยค่าใช้จ่ายเท่าเดิม
กำลังการผลิต RDF 4,181 kcal/kg
เครื่องRDF ต่อเครื่อง แพง และ ไม่สามารถใช้ได้กับขยะเมืองไทยทันทีแต่
เรารู้ว่าเครื่องจักรแบบไหนเหมาะสมกับเรา เราเสนอแบบให้บริษัทผลิตเครื่อง
เพื่อรองรับขยะภายในประเทศ
ปกติพลาสติกอยู่ในขยะสามสิบเปอร์เซนต์
และต้องกำจัดขยะที่เป็นเศษอาหารด้วย
เหล็กที่แยกก็เอาไปขาย
หินดินทรายที่แยกก็ส่งไปโรงงานปูน
ส่วนที่สามเป็นขยะเปียก
เมื่อก่อนส่งให้ปุ๋ยอินทรีย์แต่ไม่สามารถรับได้หมด
เอ็มพีทีเป็นกระบวนการลดความชื้นของขยะเปียก
เป็นการย่อยสลายจุลินทรีย์ เครื่องจะช่วยทำให้ย่อยได้เร็วขึ้น
แปลงขยะเปียกเป็น low grade RDF
ดังนั้น จะได้ RDFจากพลาสติก ยี่สิบห้า และ โลว์เกรดอีก ยี่สิบห้า
รวมเป็น ห้าสิบเปอร์เซนต์ (50%)
RDF ไฮเกรด และ โลว์เกรด ต้องมาผสมกันเพื่อรักษาสภาพของRDF
โดยมีต้นทุนต่ำ และสามารถผลิตค่าRDF สี่พันสองร้อย กิโลแคลอรี่ /kg
คำถาม ขยะพอไหม มาจากไหน
ตอบ ปกติ คือ ตั้งโรงงานงานใกล้กับขยะ
ผมตั้งโรงไฟฟ้าที่สระบุรี ทำไมผมไม่ตั้งใกล้กับวัตถุดิบ ขยะ
ปกติการขนย้ายขยะไปทิ้งจะต้องเสียค่า ทิปปิ้งฟรี ค่าฝังกลบจาก สี่ร้อยจนถึงเก้าร้อยบาท
ตอนนี้ ไม่อนุญาตขุดหลุมฝังกลบ ในหลุมที่ไม่อนุญาติ
เราเสนอว่าส่งมาให้ที่ผม ฟรี เสียค่าขนส่งอย่างเดียว ถ้าถูกกว่า
ค่าขนส่งบวกค่าทิปปิ้งฟรี เข่น ที่พัทยา ส่งมาต้นทุนถูกกว่าเดิม
จากที่เสีย แปดร้อยแปดสิบบาท เหลือแค่ สี่ร้อยสี่สิบบาท เท่านั้น
รายได้ ปี15 = 2,627 ลบ ปีที่แล้ว 4,368 ลบ
ปีนี้ขายให้การไฟฟ้า กำไรเยอะสุด และ ขายให้โรงงานปูนเพิ่มขึ้น
ปีนี้เราสร้างโรงงานไฟฟ้าเสร็จอีก สามโรงงาน
ปีหน้ารับรู้รายได้โรงงานไฟฟ้าสามโรงงานนี้เต็มปี
การลงทุนปีหน้า เพิ่มจาก 5,382 ลบ เป็น 6,900 ลบ เป็นการลงทุนเพิ่มเติม
สัดส่วนหนี้สินต่อทุน 0.81 เท่าในปี 16
การเพิ่มทุน หนึ่งหมื่นเจ็ดพันล้าน ดังนั้น คืนหนี้เหลือศูนย์
การจ่ายปันผล ห้าสิบเปอร์เซนต์
โรงงาน แปดโรงงาน ได้BOIยกเว้นภาษีแปดปี
และจ่ายภาษี ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ในอีกแปดปี
คำถาม การผลิตในQ1,2 เป็นอย่างไรบ้าง
ตอบ Q1 ร้อยละเก้าสิบเจ็ด มากกว่าเติม มาจากทีจี สาม และ ห้า
มาจากการปรับปรุงบอยเลอร์
คำถาม ความคืบหน้าของทีจีหก (TG6)
ตอบ เราไม่ได้ถูกปฎิเสธ เราทำซีโอพี กพพ พึ่งพิจารณาเมื่อปลายปี
ให้ทำอีไอเอใหม่ ใช้เวลานาน ยื่น 9 มีนาคม และกำลังเข้าสู่
การพิจารณา จริงๆจะ ซีโอดี Q4 17 เราผ่านได้น่าจะไม่เกิน มิย 17
ดังนั้น น่าจะเร็วขึ้น หนึ่งไตรมาส
คำถาม ความแตกต่างของRDFโรงงาน เวฟอีส
ตอบ ต้นทุนถูกมาก ประมาณ หนึ่งบาท ต่อหน่วย รวม ค่าเสื่อมแล้ว
ตัวที่สองที่ขายไฟให้การไฟฟ้า ต้นทุน หนึ่งบาทขายสามบาท
ตัวต่อมาขายได้หกบาท เฉลี่ยต้นทุนประมาณ สามถึงสี่บาท ต่อหน่วย
TG7 ขายสามบาท จากต้นทุนสองบาท ไม่มีความเสี่ยง
เนื่องจากบริษัทแม่รับซื้อหมด
EBITDA margin 51%
คำถาม การตั้งบริษัทที่กัมพูชา อยากทราบวัตถุประสงค์ในการตั้ง
ตอบ การตั้งเพื่อศึกษาความเป็นได้ในการตั้งโรงงานไฟฟ้ากำจัดขยะในกัมพูชา
แต่ต้องได้พีพีเอก่อน และ ด้านวัตถุดิบจะหาจากไหน
เป็นการไปศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุน
สุดท้ายขอขอบคุณ บล ทิสโก้ และ ผู้บริหารของ TPIPP ที่มาให้ข้อมูล
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 36
หลักการคิดของvalue stock โดย ดร นิเวศน์
ปกติหุ้น Growth จะมีPE สูงลิ่ว
ส่วนหุ้น Value เป็นหุ้นแบกับดิน ตัวกิจการไม่โดดเด่น ราคาถูกมาก
ต่อมาวอร์เรน ได้ลงทุนหุ้น Growth ซึ่งเป็นattributeนึงของหุ้นvalue
เขาชอบหุ้นgrowth แต่addเข้าไปในหุ้นvalue
โดยธุรกิจต้องมีความแข็งแกร่ง มีคูเมือง และ
อีกหลายอย่างนอกจากคุณสมบัติของหุ้นที่มีgrowthด้วย
การเติบโต (Growth) แค่ 15% ก็เพียงพอแล้ว
ต้องมีgrowth เพิ่มขึ้นเรื่อยๆและอธิบายได้ว่าโตมาจากอะไร
แต่หุ้นที่โตสูงมาก และ ไม่สามารถหาสาเหตุได้ น่าเป็นห่วง
ถาม ดร นิเวศน์ว่า business model แบบไหนที่ดร ชอบ
ตอบ ดร ตอบว่าหุ้นที่มี high quality แต่ที่ US หาง่ายกว่าไทยเยอะ
หุ้นในเมืองไทย ใช้วิธีอัดให้ขึ้นเร็ว แต่ในระยะยาว ถ้าไม่จริงก็กลับมา
ในไทย มีไม่เกิน 4-10 ตัวจากตลาดหุ้นประมาณ 700 ตัว
ในรายการ Business model จะเลือกหุ้นที่ดังเข้ามาวิเคราะห์
ส่วนใหญ่ไม่ค่อยอยู่ใน list 10 ตัวซึ่งจะดังแค่ 15 นาที
เราต้องการหุ้นที่ดังไปเรื่อยๆ แบบ ที่วอร์เรน กล่าวถึง
มุมมองของดร สำหรับหุ้นที่ดัง 15 นาที ไม่ควรไปยุ่งมัน
ถ้าเราซื้อตอนที่หุ้นดัง โอกาสเจ็บตัวสูง ส่วนใหญ่มีโอกาสจนมากกว่า
ถ้าเราอยู่ในตลาดหุ้นนานๆ ส่วนใหญ่จะไม่ลงทุนหุ้นที่ดัง
หลังจากนั้น 2-3 ปี จะไม่เจอหุ้นที่ดังอีกต่อไป
ยกเว้นคนที่เริ่มต้นหุ้นตัวนั้นก่อน
ประสบการณ์ของดร ดูที่ stability
ยอดขาย กำไร โตช้าๆ ฐานธุรกิจแข็งแกร่ง ราคาหุ้นไม่แพง
ยกเว้น บางช่วงมี seasonโตมากๆ เราไปซื้อเอาไว้
ที่กำไรมา คือ กลุ่ม Modern trade จับตัวไหนก็ได้ในช่วงเวลานึง
ตอนนั้นที่ เริ่มมาของกลุ่ม Moderntrade
ผมโชคดี ที่เข้ามาตอนที่ประวัติศาสตร์ถูกเขียนเรียบร้อย
คือ ดูที่เขียนย้อนหลัง จะไม่ได้เยอะ
ถ้าเป็นหุ้นที่ไม่ค่อยมีใครซื้อ แต่เรามั่นใจ และ กิจการแข็งแกร่ง เราจะได้เยอะ
คนส่วนใหญ่คิดว่า มันเงียบมาก ไม่ไปไหน เลยปล่อยไปก่อน เลยเสียโอกาสไป
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในงานสังสรรค์thaivi เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2560
ปกติหุ้น Growth จะมีPE สูงลิ่ว
ส่วนหุ้น Value เป็นหุ้นแบกับดิน ตัวกิจการไม่โดดเด่น ราคาถูกมาก
ต่อมาวอร์เรน ได้ลงทุนหุ้น Growth ซึ่งเป็นattributeนึงของหุ้นvalue
เขาชอบหุ้นgrowth แต่addเข้าไปในหุ้นvalue
โดยธุรกิจต้องมีความแข็งแกร่ง มีคูเมือง และ
อีกหลายอย่างนอกจากคุณสมบัติของหุ้นที่มีgrowthด้วย
การเติบโต (Growth) แค่ 15% ก็เพียงพอแล้ว
ต้องมีgrowth เพิ่มขึ้นเรื่อยๆและอธิบายได้ว่าโตมาจากอะไร
แต่หุ้นที่โตสูงมาก และ ไม่สามารถหาสาเหตุได้ น่าเป็นห่วง
ถาม ดร นิเวศน์ว่า business model แบบไหนที่ดร ชอบ
ตอบ ดร ตอบว่าหุ้นที่มี high quality แต่ที่ US หาง่ายกว่าไทยเยอะ
หุ้นในเมืองไทย ใช้วิธีอัดให้ขึ้นเร็ว แต่ในระยะยาว ถ้าไม่จริงก็กลับมา
ในไทย มีไม่เกิน 4-10 ตัวจากตลาดหุ้นประมาณ 700 ตัว
ในรายการ Business model จะเลือกหุ้นที่ดังเข้ามาวิเคราะห์
ส่วนใหญ่ไม่ค่อยอยู่ใน list 10 ตัวซึ่งจะดังแค่ 15 นาที
เราต้องการหุ้นที่ดังไปเรื่อยๆ แบบ ที่วอร์เรน กล่าวถึง
มุมมองของดร สำหรับหุ้นที่ดัง 15 นาที ไม่ควรไปยุ่งมัน
ถ้าเราซื้อตอนที่หุ้นดัง โอกาสเจ็บตัวสูง ส่วนใหญ่มีโอกาสจนมากกว่า
ถ้าเราอยู่ในตลาดหุ้นนานๆ ส่วนใหญ่จะไม่ลงทุนหุ้นที่ดัง
หลังจากนั้น 2-3 ปี จะไม่เจอหุ้นที่ดังอีกต่อไป
ยกเว้นคนที่เริ่มต้นหุ้นตัวนั้นก่อน
ประสบการณ์ของดร ดูที่ stability
ยอดขาย กำไร โตช้าๆ ฐานธุรกิจแข็งแกร่ง ราคาหุ้นไม่แพง
ยกเว้น บางช่วงมี seasonโตมากๆ เราไปซื้อเอาไว้
ที่กำไรมา คือ กลุ่ม Modern trade จับตัวไหนก็ได้ในช่วงเวลานึง
ตอนนั้นที่ เริ่มมาของกลุ่ม Moderntrade
ผมโชคดี ที่เข้ามาตอนที่ประวัติศาสตร์ถูกเขียนเรียบร้อย
คือ ดูที่เขียนย้อนหลัง จะไม่ได้เยอะ
ถ้าเป็นหุ้นที่ไม่ค่อยมีใครซื้อ แต่เรามั่นใจ และ กิจการแข็งแกร่ง เราจะได้เยอะ
คนส่วนใหญ่คิดว่า มันเงียบมาก ไม่ไปไหน เลยปล่อยไปก่อน เลยเสียโอกาสไป
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในงานสังสรรค์thaivi เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2560
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 37
"สมคิด"ขึ้นเวทีโรดโชว์ EEC นลท.ฮ่องกง-จีน หวังผลักดัน S- Curve
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ไทยและเขตบริหารพิเศษฮ่องกง จัดสัมมนาการลงทุนไทย-ฮ่องกง-เซี่ยงไฮ้ในวันนี้เพื่อหารือการสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจภายใต้ยุทธศาสตร์หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (One Belt One Road) โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและนักธุรกิจจากทั้งฝั่งไทยและฮ่องกงเข้าร่วมรับฟังนโยบายกว่า 300 ราย
กรอบเนื้อหาความร่วมมือหลักจะมุ่งไปที่การพัฒนาการใช้พื้นที่ เส้นทางคมนาคมและอุตสาหกรรมสาขาเป้าหมาย อาทิ การนำเสนอนโยบาย Thailand 4.0 และเชิญชวนภาคเอกชนให้มาลงทุนในไทย โดยเฉพาะ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ซูเปอร์คลัสเตอร์ ระบบการขนส่งสาธารณะ ภายใต้โครงการพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) รวมถึงการผลักดันให้เกิดการจัดตั้งสำนักงานเศรษฐกิจและการค้าฮ่องกง (ETO) ในไทย เป็นต้น
นายสมคิด กล่าวว่า หลังจากนี้หน่วยงานต่างๆ ของไทยจะเร่งผลักดันนโยบายการส่งเสริมให้ภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมเกิดการขยายความร่วมมือกับเขตบริหารพิเศษดังกล่าวในบริบทและรูปแบบที่กว้างและหลากหลายมากยิ่งขึ้น โดยในส่วนของรัฐบาลได้เร่งสร้างความต่อเนื่องในการแลกเปลี่ยนความช่วยเหลือ ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทย-ฮ่องกงให้เป็นรูปธรรม พร้อมทั้งสร้างความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจเพื่อช่วยให้เกิดการร่วมมือในระดับต่างๆ ที่สูงขึ้นได้ต่อไป
บทบาทของฮ่องกงนั้นถือว่าเป็นคู่ค้าและคู่ลงทุนที่สำคัญของไทยมาโดยตลอด โดยในปีที่ผ่านมา ฮ่องกงมีการนำเข้าสินค้าจากไทยคิดเป็นมูลค่ากว่า 1.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 4 แสนล้านบาท และในขณะนี้ยังถือเป็นเสมือนจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่ทำให้การริเริ่มนโยบายหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (One Belt One Road) หรือโครงการเส้นทางสายไหมเก่าของประเทศจีนประสบความสำเร็จได้
ในอนาคตต่อไปเส้นทางดังกล่าวกำลังจะขยายการเชื่อมโยงสู่ทางทะเล สามารถส่งผลต่อการส่งเสริมความร่วมมือด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านการลงทุนระหว่างจีนกับประเทศในแถบภูมิภาคมหาสมุทร ไม่ว่าจะเป็นภูมิภาคอาเซียน โอเชียเนีย แอฟริกาเหนือ แปซิฟิก รวมถึงมหาสมุทรอินเดีย ทั้งยังมีแนวโน้มที่สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงถึงยุทธศาสตร์ด้านการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะจีน ฮ่องกง และ เซี่ยงไฮ้ที่จะให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากยิ่งขึ้นต่อไป
ทั้ง นี้ในโอกาสดังกล่าวประเทศไทยจึงต้องเร่งใช้ประโยชน์จากการเป็นศูนย์กลางที่สำคัญของกลุ่มประเทศ CLMV ในการพัฒนาศักยภาพความร่วมมือระหว่างประเทศให้มากขึ้น ซึ่งหากสามารถพัฒนาได้อย่างเป็นรูปธรรมก็จะทำให้เกิดการเชื่อมโยงอาเซียนกับมณฑลตอนใต้ของจีน โดยมีไทยและฮ่องกงเป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยง ซึ่งจะเป็นข้อดีในการได้รับผลประโยน์ในรูปแบบ Win – Win ของทั้งสองประเทศในอนาคต
Cr: การเงินการธนาคาร
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ไทยและเขตบริหารพิเศษฮ่องกง จัดสัมมนาการลงทุนไทย-ฮ่องกง-เซี่ยงไฮ้ในวันนี้เพื่อหารือการสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจภายใต้ยุทธศาสตร์หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (One Belt One Road) โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและนักธุรกิจจากทั้งฝั่งไทยและฮ่องกงเข้าร่วมรับฟังนโยบายกว่า 300 ราย
กรอบเนื้อหาความร่วมมือหลักจะมุ่งไปที่การพัฒนาการใช้พื้นที่ เส้นทางคมนาคมและอุตสาหกรรมสาขาเป้าหมาย อาทิ การนำเสนอนโยบาย Thailand 4.0 และเชิญชวนภาคเอกชนให้มาลงทุนในไทย โดยเฉพาะ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ซูเปอร์คลัสเตอร์ ระบบการขนส่งสาธารณะ ภายใต้โครงการพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) รวมถึงการผลักดันให้เกิดการจัดตั้งสำนักงานเศรษฐกิจและการค้าฮ่องกง (ETO) ในไทย เป็นต้น
นายสมคิด กล่าวว่า หลังจากนี้หน่วยงานต่างๆ ของไทยจะเร่งผลักดันนโยบายการส่งเสริมให้ภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมเกิดการขยายความร่วมมือกับเขตบริหารพิเศษดังกล่าวในบริบทและรูปแบบที่กว้างและหลากหลายมากยิ่งขึ้น โดยในส่วนของรัฐบาลได้เร่งสร้างความต่อเนื่องในการแลกเปลี่ยนความช่วยเหลือ ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทย-ฮ่องกงให้เป็นรูปธรรม พร้อมทั้งสร้างความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจเพื่อช่วยให้เกิดการร่วมมือในระดับต่างๆ ที่สูงขึ้นได้ต่อไป
บทบาทของฮ่องกงนั้นถือว่าเป็นคู่ค้าและคู่ลงทุนที่สำคัญของไทยมาโดยตลอด โดยในปีที่ผ่านมา ฮ่องกงมีการนำเข้าสินค้าจากไทยคิดเป็นมูลค่ากว่า 1.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 4 แสนล้านบาท และในขณะนี้ยังถือเป็นเสมือนจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่ทำให้การริเริ่มนโยบายหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (One Belt One Road) หรือโครงการเส้นทางสายไหมเก่าของประเทศจีนประสบความสำเร็จได้
ในอนาคตต่อไปเส้นทางดังกล่าวกำลังจะขยายการเชื่อมโยงสู่ทางทะเล สามารถส่งผลต่อการส่งเสริมความร่วมมือด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านการลงทุนระหว่างจีนกับประเทศในแถบภูมิภาคมหาสมุทร ไม่ว่าจะเป็นภูมิภาคอาเซียน โอเชียเนีย แอฟริกาเหนือ แปซิฟิก รวมถึงมหาสมุทรอินเดีย ทั้งยังมีแนวโน้มที่สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงถึงยุทธศาสตร์ด้านการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะจีน ฮ่องกง และ เซี่ยงไฮ้ที่จะให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากยิ่งขึ้นต่อไป
ทั้ง นี้ในโอกาสดังกล่าวประเทศไทยจึงต้องเร่งใช้ประโยชน์จากการเป็นศูนย์กลางที่สำคัญของกลุ่มประเทศ CLMV ในการพัฒนาศักยภาพความร่วมมือระหว่างประเทศให้มากขึ้น ซึ่งหากสามารถพัฒนาได้อย่างเป็นรูปธรรมก็จะทำให้เกิดการเชื่อมโยงอาเซียนกับมณฑลตอนใต้ของจีน โดยมีไทยและฮ่องกงเป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยง ซึ่งจะเป็นข้อดีในการได้รับผลประโยน์ในรูปแบบ Win – Win ของทั้งสองประเทศในอนาคต
Cr: การเงินการธนาคาร
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 38
คุณ ทิวา หรือ เซียน มี่
เป็นนักลงทุนคนนึงที่ผมชื่นชอบ จากคนธรรมดา
ที่รู้ว่าตัวเองมีจุดไหนที่ต้องปรับปรุงเพื่อเป็นนักลงทุนที่ดี
เช่น การรักการอ่านหนังสือ การอ่านภาษาอังกฤษ
และพยายามทำให้ได้เหมือนนักลงทุนที่มีชื่อเสียง เช่น หมอพงษ์ศักดิ์
หมอเค ท้ายสุดเวลา9ปี เขาก็สามารถยืนได้ด้วยตัวเขาเอง
พยายามลงทุนจากความเข้าใจของตัวเอง นั่นคือสิ่งที่ดีสำหรับนักลงทุน
ชอบที่เขาพยายามตอบคำถามทุกคน และ คนที่ฟังได้ความรู้ที่ดีนำไปปฏิบัติต่อได้
แต่ขึ้นแต่ละคนว่า พยายามทำอย่างต่อเนื่องได้หรือเปล่า
ดังนั้น เรื่อง การอดทน หมั่นเรียนรู้ วิเคราะห์จากเหตุการณ์เป็น ปัจจัยที่ประสบความสำเร็จ
ในทุกด้านไม่ว่าการลงทุน หรือ การทำธุรกิจ
เป็นนักลงทุนคนนึงที่ผมชื่นชอบ จากคนธรรมดา
ที่รู้ว่าตัวเองมีจุดไหนที่ต้องปรับปรุงเพื่อเป็นนักลงทุนที่ดี
เช่น การรักการอ่านหนังสือ การอ่านภาษาอังกฤษ
และพยายามทำให้ได้เหมือนนักลงทุนที่มีชื่อเสียง เช่น หมอพงษ์ศักดิ์
หมอเค ท้ายสุดเวลา9ปี เขาก็สามารถยืนได้ด้วยตัวเขาเอง
พยายามลงทุนจากความเข้าใจของตัวเอง นั่นคือสิ่งที่ดีสำหรับนักลงทุน
ชอบที่เขาพยายามตอบคำถามทุกคน และ คนที่ฟังได้ความรู้ที่ดีนำไปปฏิบัติต่อได้
แต่ขึ้นแต่ละคนว่า พยายามทำอย่างต่อเนื่องได้หรือเปล่า
ดังนั้น เรื่อง การอดทน หมั่นเรียนรู้ วิเคราะห์จากเหตุการณ์เป็น ปัจจัยที่ประสบความสำเร็จ
ในทุกด้านไม่ว่าการลงทุน หรือ การทำธุรกิจ
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 39
Update Performance Q1 17 ARROW by คุณ ธานินทร์
ยอดขายใน Q1 17 เติบโต Q-Q จาก 297 ลบ เป็น 329 ลบ
แต่เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงการบันทึกต้นทุนวัตถุดิบ จาก FIFO เป็น
Standard cost บวกด้วย variance ทำให้ต้นทุนวัตถุดิบแทนที่จะใช้ต้นทุนเก่าที่ถูก
แต่ไปใช้ต้นทุน บวกกับ ค่าเฉลี่ยของต้นทุนใหม่ที่สูงขึ้น ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ทำให้ GP ลดลงจาก 36% เหลือ 25.6%
Bottom line ลดลงจาก 21% เหลือ 12.8%
Q2 เริ่มรับรายได้จากท่อสายไฟใต้ดิน
ส่วน เครื่องจักรที่ผลิตท่อสายไฟใต้ดิน กำลังพิจารณาว่าจะซื้อเพิ่มหรือไม่ในช่วง Q3
ปีที่แล้ว เน้นขยายส่วนแบ่งการตลาด เลยมีการลดราคาลงมาจน market share เป็น 60%
หลังจากปลายปี 59 เริ่มปรับราคาขึ้นมา ให้พอๆกับคู่แข่งรายอื่น
ดูโครงการที่ก่อสร้างในปีนี้
ปีนี้เม็ดเงินในการก่อสร้างลดลงจาก 3.4 เป็น 2.4 ล้านล้านบาท
Infrastructure จาก 4.6 เป็น 3.3 ล้านล้านบาท
Residence จาก 9 เป็น 5 แสนล้านบาท
ส่วน transportation 1.4 แสนล้านบาท เป็น 7 แสนล้านบาท
ได้ส่งคนไปศึกษา EEC เพื่อเตรียมตัวเข้าประมูลในอีก 1-2 ปี
ราคาเหล็กขณะนี้ถูกกว่า ต้นปี 15% ทางเราก็เริ่มซื้อเหล็กเป็น inventory
ดังนั้นราคาวัตถุดิบในQต่อไปน่าจะลดลง
ขอบคุณ บล ทิสโก้ ที่จัดสัมมนานี้นะครับ
ยอดขายใน Q1 17 เติบโต Q-Q จาก 297 ลบ เป็น 329 ลบ
แต่เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงการบันทึกต้นทุนวัตถุดิบ จาก FIFO เป็น
Standard cost บวกด้วย variance ทำให้ต้นทุนวัตถุดิบแทนที่จะใช้ต้นทุนเก่าที่ถูก
แต่ไปใช้ต้นทุน บวกกับ ค่าเฉลี่ยของต้นทุนใหม่ที่สูงขึ้น ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ทำให้ GP ลดลงจาก 36% เหลือ 25.6%
Bottom line ลดลงจาก 21% เหลือ 12.8%
Q2 เริ่มรับรายได้จากท่อสายไฟใต้ดิน
ส่วน เครื่องจักรที่ผลิตท่อสายไฟใต้ดิน กำลังพิจารณาว่าจะซื้อเพิ่มหรือไม่ในช่วง Q3
ปีที่แล้ว เน้นขยายส่วนแบ่งการตลาด เลยมีการลดราคาลงมาจน market share เป็น 60%
หลังจากปลายปี 59 เริ่มปรับราคาขึ้นมา ให้พอๆกับคู่แข่งรายอื่น
ดูโครงการที่ก่อสร้างในปีนี้
ปีนี้เม็ดเงินในการก่อสร้างลดลงจาก 3.4 เป็น 2.4 ล้านล้านบาท
Infrastructure จาก 4.6 เป็น 3.3 ล้านล้านบาท
Residence จาก 9 เป็น 5 แสนล้านบาท
ส่วน transportation 1.4 แสนล้านบาท เป็น 7 แสนล้านบาท
ได้ส่งคนไปศึกษา EEC เพื่อเตรียมตัวเข้าประมูลในอีก 1-2 ปี
ราคาเหล็กขณะนี้ถูกกว่า ต้นปี 15% ทางเราก็เริ่มซื้อเหล็กเป็น inventory
ดังนั้นราคาวัตถุดิบในQต่อไปน่าจะลดลง
ขอบคุณ บล ทิสโก้ ที่จัดสัมมนานี้นะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 40
Nomura Monthly meeting 17 May 17
ภาพตลาดแย่กว่าที่คิด จริงๆมองว่าแถว 1550 น่าจะรับอยู่
ตอนนี้เริ่มมีแรงดึงกลับจากสถาบันในประเทศ
ส่วนกำไรโดยรวม ไตรมาสแรก อยู่ที่ 28% ของ ที่คาดการณ์กำไรทั้งปี
ตลาดมีโอกาสbullish รอบใหม่ และ ฟื้นตัวจากฐานต่ำของไตรมาสสองปีที่แล้ว
มองว่า เศรษฐกิจน่าจะเติบโตได้ 3.4-3.6% โดยมีส่งออก และ และการบริโภคมาหนุน
ส่วนท่องเที่ยวยังเติบโตต่อเนื่อง
ภาพระยะยาวยังเติบโตต่อได้ถึงปี 62 มาจากปัจจัยเรื่องการเลือกตั้งใหม่
ส่วนภาพอุตสาหกรรม ธุรกิจธนาคารโดยธนาคารขนาดใหญ่ในไตรมาสสอง เริ่มฟื้นตัวจาก NPL เริ่มดีขึ้น
ส่วน ICT รอลุ้นในส่วนประมูลคลื่น 2300 MHz ว่าใครจะได้
เงินจากต่างประเทศไหลเข้าไทย แต่ไปเข้าตลาดพันธบัตรแทน
ธุรกิจปิโตรเคมีดีขึ้น แต่ราคาไปรอล่วงหน้าแล้ว ต้องระวัง
ภาพตลาดแย่กว่าที่คิด จริงๆมองว่าแถว 1550 น่าจะรับอยู่
ตอนนี้เริ่มมีแรงดึงกลับจากสถาบันในประเทศ
ส่วนกำไรโดยรวม ไตรมาสแรก อยู่ที่ 28% ของ ที่คาดการณ์กำไรทั้งปี
ตลาดมีโอกาสbullish รอบใหม่ และ ฟื้นตัวจากฐานต่ำของไตรมาสสองปีที่แล้ว
มองว่า เศรษฐกิจน่าจะเติบโตได้ 3.4-3.6% โดยมีส่งออก และ และการบริโภคมาหนุน
ส่วนท่องเที่ยวยังเติบโตต่อเนื่อง
ภาพระยะยาวยังเติบโตต่อได้ถึงปี 62 มาจากปัจจัยเรื่องการเลือกตั้งใหม่
ส่วนภาพอุตสาหกรรม ธุรกิจธนาคารโดยธนาคารขนาดใหญ่ในไตรมาสสอง เริ่มฟื้นตัวจาก NPL เริ่มดีขึ้น
ส่วน ICT รอลุ้นในส่วนประมูลคลื่น 2300 MHz ว่าใครจะได้
เงินจากต่างประเทศไหลเข้าไทย แต่ไปเข้าตลาดพันธบัตรแทน
ธุรกิจปิโตรเคมีดีขึ้น แต่ราคาไปรอล่วงหน้าแล้ว ต้องระวัง
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 41
Oppday AMATA 22 May 17
เจอคุณวิบูลย์ก่อนเข้าห้องประชุม ไม่เห็นคุณ สตีเฟ่น ตั้งแต่ AGM เลยสอบถามปรากฏว่าลาออกไปแล้ว
และให้คุณเด่นดาวมารับผิดชอบแทน
Q1 17 ยอด presales 63 ไร่ ลดลงเมื่อเทียบกับ Q1 16 = 76 ไร่
ยอดโอนส่วนใหญ่มาจาก Amata Vietnam ซึ่งไตรมาสสี่มีปัญหาเรื่องทางเข้าพื้นที่
หลังจากแก้ไขปัญหาแล้ว เลยโอนได้เยอะในไตรมาสหนึ่งปีนี้ 56 ไร่
ส่วน thai-chinese หลังจากpresales มากใน Q3-4 16 ไตรมาสนี้เลยมียอดน้อย
Q1 17 ยอด land transfer 35 ไร่ ลดลงมากเมื่อเทียบกับ Q1 16 = 56 ไร่
มีแค่ amata nakorn ที่โอนได้มากขึ้นจาก 12 ไร่ เป็น 15 ไร่ ซึ่งมูลค่าต่อไร่สูงกว่า amata city
แต่รายได้รวม Q1 ลดลงเล็กน้อยจาก 807 ลบ เป็น 794 ลบ
เพราะยอดขายในส่วน Utility Service เพิ่มขึ้น 11% และ rental เพิ่มขึ้น 21%
ส่วน other income ลดลงเล็กน้อย เมื่อก่อน ส่วนของ telecommunication เป็นสัดส่วนที่เยอะใน
ส่วนของ other income แต่ตอนนี้หายไป พยายามชดเชยจากการเก็บค่าเช่าเสามือถือของแต่ละค่าย
โดยมี Breakeven point ประมาณ 2 ปี ในการลงทุนแต่เป็น recurring income ได้นาน
นโยบายระยะยาวของบริษัท พยายามเพิ่มสัดส่วน recurring income เป็น 50% ของรายได้ทั้งหมด
Net profit Q-Q เพิ่มขึ้นจาก 120 ลบ เป็น 263 ลบ มาจากกำไรที่เพิ่มขึ้นในส่วนของ Amata power
และ เปลี่ยนจากขาดทุนก๊าซมาเป็นกำไรในปีนี้
Project and Expansion Update
1. Amata city Long Thanh
- Hi-tech Park on process land compensation and expect finish mid – 17
- Service city and Mega Township
ได้รับ Investment certificate for service city east&west , township
2. Amata City Halong
- On process apply IC initial phase 709 ha .
Eastern Economic Corridor ซึ่งรอเซ็นต์อนุมัติจาก สนช ถ้าผ่านจะช่วยทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น
ใน Q2-Q3 แทนที่จะเป็น Q3-Q4 ในช่วงปกติ
เจอคุณวิบูลย์ก่อนเข้าห้องประชุม ไม่เห็นคุณ สตีเฟ่น ตั้งแต่ AGM เลยสอบถามปรากฏว่าลาออกไปแล้ว
และให้คุณเด่นดาวมารับผิดชอบแทน
Q1 17 ยอด presales 63 ไร่ ลดลงเมื่อเทียบกับ Q1 16 = 76 ไร่
ยอดโอนส่วนใหญ่มาจาก Amata Vietnam ซึ่งไตรมาสสี่มีปัญหาเรื่องทางเข้าพื้นที่
หลังจากแก้ไขปัญหาแล้ว เลยโอนได้เยอะในไตรมาสหนึ่งปีนี้ 56 ไร่
ส่วน thai-chinese หลังจากpresales มากใน Q3-4 16 ไตรมาสนี้เลยมียอดน้อย
Q1 17 ยอด land transfer 35 ไร่ ลดลงมากเมื่อเทียบกับ Q1 16 = 56 ไร่
มีแค่ amata nakorn ที่โอนได้มากขึ้นจาก 12 ไร่ เป็น 15 ไร่ ซึ่งมูลค่าต่อไร่สูงกว่า amata city
แต่รายได้รวม Q1 ลดลงเล็กน้อยจาก 807 ลบ เป็น 794 ลบ
เพราะยอดขายในส่วน Utility Service เพิ่มขึ้น 11% และ rental เพิ่มขึ้น 21%
ส่วน other income ลดลงเล็กน้อย เมื่อก่อน ส่วนของ telecommunication เป็นสัดส่วนที่เยอะใน
ส่วนของ other income แต่ตอนนี้หายไป พยายามชดเชยจากการเก็บค่าเช่าเสามือถือของแต่ละค่าย
โดยมี Breakeven point ประมาณ 2 ปี ในการลงทุนแต่เป็น recurring income ได้นาน
นโยบายระยะยาวของบริษัท พยายามเพิ่มสัดส่วน recurring income เป็น 50% ของรายได้ทั้งหมด
Net profit Q-Q เพิ่มขึ้นจาก 120 ลบ เป็น 263 ลบ มาจากกำไรที่เพิ่มขึ้นในส่วนของ Amata power
และ เปลี่ยนจากขาดทุนก๊าซมาเป็นกำไรในปีนี้
Project and Expansion Update
1. Amata city Long Thanh
- Hi-tech Park on process land compensation and expect finish mid – 17
- Service city and Mega Township
ได้รับ Investment certificate for service city east&west , township
2. Amata City Halong
- On process apply IC initial phase 709 ha .
Eastern Economic Corridor ซึ่งรอเซ็นต์อนุมัติจาก สนช ถ้าผ่านจะช่วยทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น
ใน Q2-Q3 แทนที่จะเป็น Q3-Q4 ในช่วงปกติ
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 42
กลบัญชี ภาคพิเศษ โดย ดร ภาพร
ดร ภาพร มาพูดถึงการตกแต่งบัญชีของต่างประเทศ
1. Lotxx UK ปี 2014 แต่งรายได้กว่า $263M ในช่วงที่รายได้ตก ก็ตกลงก็คนขาย
ว่าจะโปรโมทสินค้าให้ โดยการรับเงินล่วงหน้าแล้วนำมารับรู้รายได้ ทำให้รายได้โตเกินจริง
หลังจากที่ตรวจพบ Lotxx จ่ายค่าปรับ $162M + ค่าชดเชยให้กับนักลงทุนที่ขาดทุน
จากการลงทุนในหุ้นบริษัทนี้ เพราะหลงเชื่อว่ารายได้โต
2. Sino-Forxxt เป็นการร่วมทุนระหว่าง Mr Chan ซึ่งจบ แค่ม ปลาย กับ Mr Poon วิศวกร
บริษัทร่วมทุนกับบริษัทในจีน และ รัฐวิสาหกิจ ผลิตไม้ Fibre board สำหรับงานก่อสร้าง
ลวงตลาดด้วยข้อมูลการลงทุน คือ ประกาศซื้อแมนดร้าและป่าไม้ 7.5 แสนไร่ บอกว่าจะได้
กระแสเงินสดเข้ามามาก แต่บริษัทที่ซื้อผิดนัดชำระหนี้อยู่ ซึ่งได้เงินเพิ่มทุนมา $800M
จ่ายเงิน $7.1M ซื้อบริษัทที่เกี่ยวข้องกับรองประธาน บอกว่ามีสิทธิบัตรที่มีค่ามาก
เปิดเผยสินทรัพย์สูงเกินจริง แจ้งพื้นที่ต้นไม่เกินจริงไป 1ล้านไร่
ผู้บริหาร Mr chan & poon ขายหุ้นทำกำไร เป็นสัญญาณไม่ดีสำหรับหุ้น
หุ้นขึ้น เพราะคนเชื่อว่า เศรษฐกิจดี เป็นการเล่นข่าว
สุดท้ายบริษัทโดนรัฐวิสาหกิจจีนฟ้องว่าทำการไซฟ่อนเงิน $1M
3. บริษัทญี่ปุ่นชื่อดัง Toshixx หลังจากทำธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า คอมพิวเตอร์
ก็แตกlineไปธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้อง
คือ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ แต่เนื่องจากเจอเหตุการณ์โรงไฟฟ้าฮิโรชิม่าระเบิด ทำให้ธุรกิจเดินต่อไม่ได้
ผู้บริหาร คือ ประธาน 3 คน ทำการแต่งบัญชีต่อเนื่องรวม 7 ปี ในส่วนของ นิวเคลียร์ พีซี เครื่องใช้ไฟฟ้า
Semi-conductor แต่งบัญชีสูงเป็นอันดับ 2 รองจากโอลิมปัส
ตัวอย่างการลงทุนในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ใช้เรื่องการบันทึกรายได้ตามสัดส่วนงานที่เสร็จ ซึ่งเป็นช่องทาง
ให้ตกแต่งรายได้เกินจริง สุดท้ายอยู่ในสภาพอาจล้มละลายทั้งบริษัท
4. บริษัท Olymxxx ทำธุรกิจกล้องถ่ายรูป เครื่องส่องกล้องลำไส้
แต่งบัญชีสูงสุดในประวัติการณ์ของญี่ปุ่น มานานเป็นสิบปี โดยร่วมกันระหว่าง ประธานบอร์ด รองประธาน
กับ ผู้สอบภายใน ความแตกจากการแต่งตั้งผู้บริหารชาวอังกฤษมา เขาพบว่า มีหลายธุรกรรมไม่โปร่งใส
เขาถูกเลิกจ้างภายใน 6 เดือนหลังจากรับตำแหน่ง หลังจากนั้นเรื่องจึงถูกเปิดโปงขึ้นมา
วิธีการตกแต่งบัญชี โดย เล่นกับบริษัทย่อยหรือบริษัทร่วม โดยโอนเงินลงทุนไว้นอกบริษัทระยะหนึ่ง
แล้วค่อยเอากลับเข้าบัญชีตอนงบดีขึ้น เรียกว่า การแต่งบัญชี แบบ โตบาชิ
วิธีการนี้ต้องร่วมกับธนาคารที่จะปล่อยกู้ให้บริษัทบริวาร ไปซื้อบริษัทใหม่
และมาขายให้กับ บริษัทแม่อีกที ซึ่งจะมีค่าความนิยมสูง และ ค่าที่ปรึกษาสูง
ซึ่งในส่วนนี้เป็นช่องทางให้เกิดการทำแบบไม่โปร่งใส
ตัวอย่างทั้ง 4 บริษัทในต่างประเทศ เป็นตัวอย่างที่อาจเกิดขึ้นในประเทศไหนก็ได้ครับ
ดร ภาพร มาพูดถึงการตกแต่งบัญชีของต่างประเทศ
1. Lotxx UK ปี 2014 แต่งรายได้กว่า $263M ในช่วงที่รายได้ตก ก็ตกลงก็คนขาย
ว่าจะโปรโมทสินค้าให้ โดยการรับเงินล่วงหน้าแล้วนำมารับรู้รายได้ ทำให้รายได้โตเกินจริง
หลังจากที่ตรวจพบ Lotxx จ่ายค่าปรับ $162M + ค่าชดเชยให้กับนักลงทุนที่ขาดทุน
จากการลงทุนในหุ้นบริษัทนี้ เพราะหลงเชื่อว่ารายได้โต
2. Sino-Forxxt เป็นการร่วมทุนระหว่าง Mr Chan ซึ่งจบ แค่ม ปลาย กับ Mr Poon วิศวกร
บริษัทร่วมทุนกับบริษัทในจีน และ รัฐวิสาหกิจ ผลิตไม้ Fibre board สำหรับงานก่อสร้าง
ลวงตลาดด้วยข้อมูลการลงทุน คือ ประกาศซื้อแมนดร้าและป่าไม้ 7.5 แสนไร่ บอกว่าจะได้
กระแสเงินสดเข้ามามาก แต่บริษัทที่ซื้อผิดนัดชำระหนี้อยู่ ซึ่งได้เงินเพิ่มทุนมา $800M
จ่ายเงิน $7.1M ซื้อบริษัทที่เกี่ยวข้องกับรองประธาน บอกว่ามีสิทธิบัตรที่มีค่ามาก
เปิดเผยสินทรัพย์สูงเกินจริง แจ้งพื้นที่ต้นไม่เกินจริงไป 1ล้านไร่
ผู้บริหาร Mr chan & poon ขายหุ้นทำกำไร เป็นสัญญาณไม่ดีสำหรับหุ้น
หุ้นขึ้น เพราะคนเชื่อว่า เศรษฐกิจดี เป็นการเล่นข่าว
สุดท้ายบริษัทโดนรัฐวิสาหกิจจีนฟ้องว่าทำการไซฟ่อนเงิน $1M
3. บริษัทญี่ปุ่นชื่อดัง Toshixx หลังจากทำธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า คอมพิวเตอร์
ก็แตกlineไปธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้อง
คือ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ แต่เนื่องจากเจอเหตุการณ์โรงไฟฟ้าฮิโรชิม่าระเบิด ทำให้ธุรกิจเดินต่อไม่ได้
ผู้บริหาร คือ ประธาน 3 คน ทำการแต่งบัญชีต่อเนื่องรวม 7 ปี ในส่วนของ นิวเคลียร์ พีซี เครื่องใช้ไฟฟ้า
Semi-conductor แต่งบัญชีสูงเป็นอันดับ 2 รองจากโอลิมปัส
ตัวอย่างการลงทุนในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ใช้เรื่องการบันทึกรายได้ตามสัดส่วนงานที่เสร็จ ซึ่งเป็นช่องทาง
ให้ตกแต่งรายได้เกินจริง สุดท้ายอยู่ในสภาพอาจล้มละลายทั้งบริษัท
4. บริษัท Olymxxx ทำธุรกิจกล้องถ่ายรูป เครื่องส่องกล้องลำไส้
แต่งบัญชีสูงสุดในประวัติการณ์ของญี่ปุ่น มานานเป็นสิบปี โดยร่วมกันระหว่าง ประธานบอร์ด รองประธาน
กับ ผู้สอบภายใน ความแตกจากการแต่งตั้งผู้บริหารชาวอังกฤษมา เขาพบว่า มีหลายธุรกรรมไม่โปร่งใส
เขาถูกเลิกจ้างภายใน 6 เดือนหลังจากรับตำแหน่ง หลังจากนั้นเรื่องจึงถูกเปิดโปงขึ้นมา
วิธีการตกแต่งบัญชี โดย เล่นกับบริษัทย่อยหรือบริษัทร่วม โดยโอนเงินลงทุนไว้นอกบริษัทระยะหนึ่ง
แล้วค่อยเอากลับเข้าบัญชีตอนงบดีขึ้น เรียกว่า การแต่งบัญชี แบบ โตบาชิ
วิธีการนี้ต้องร่วมกับธนาคารที่จะปล่อยกู้ให้บริษัทบริวาร ไปซื้อบริษัทใหม่
และมาขายให้กับ บริษัทแม่อีกที ซึ่งจะมีค่าความนิยมสูง และ ค่าที่ปรึกษาสูง
ซึ่งในส่วนนี้เป็นช่องทางให้เกิดการทำแบบไม่โปร่งใส
ตัวอย่างทั้ง 4 บริษัทในต่างประเทศ เป็นตัวอย่างที่อาจเกิดขึ้นในประเทศไหนก็ได้ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 43
Krungsri Guru " Millionaire Millenials"
specail guest คุณจักรพงษ์ เมษพันธุ์
หัวข้อ ให้เงินทำงาน ในวันที่อยากสโลว์ไลฟ์สไตล์ Gen M ...
มโนกันไปหรือทำได้จริง
ชอบคุณหนุ่ม Money coach พูดในช่วงสอนลูกวัย 8 ขวบให้รู้จักการลงทุน
โดยการพูดคุยกับลูกหลังจากดอกเบี้ยเงินฝากออกมาหลังจากฝากครบปี
เพื่อที่จะให้ลูกเข้าใจ ก็หยิบธนบัตรใบละร้อยบาทจากลูก และ บอกว่าฝากไว้กับพ่อ
หนึ่งปี จะได้ดอกเบี้ย เป็นเหรียญห้าสิบสตางค์ และไม่ใช่ได้เดี่ยวนี้แต่จะได้
ในอีกหนึ่งปีข้างหน้าจากธนาคาร ลูกถามว่ามีทางอื่นที่จะได้มากกว่านี้ไหม
คุณหนุ่มบอกว่า มีอีกวิธีคือเป็นเจ้าของธนาคาร และ พนักงานเป็นลูกน้องของเรา
ผลตอบแทนดีกว่ามากโดยการลงทุนในหุ้น ส่วนเครื่องมือที่ใช้คือ Jitta
ซึ่งดูว่าหุ้นไหนดีจาก 2 ข้อ คือ 1. Score สูง 2. กราฟราคาต่ำกว่า Jitta line
แต่ลูกต้องสะสมเงินสักช่วงเพราะไม่สามารถซื้อแค่ 1 หุ้นได้ ต้องซื้อ 100 หุ้น
เป็นอย่างต่ำ เป็นการสอนให้สะสมเงินก่อน มีเงินเพียงพอแล้วค่อยลงทุน
ซึ่งคล้ายกับ เราต้องมีเงินเก็บเพียงพอเพื่อสร้างฐานให้แน่นก่อน
แล้วค่อยเอาเงินไปลงทุนให้ออกดอกออกผลมาให้เรา
นี่คือตัวอย่างของ พ่อรวยสอนลูก อีกวิธีหนึ่งที่เอาไปใช้ได้
ขอบคุณ Krungsri kuru ที่จัดสัมมนาดีๆแบบนี้ครับ
specail guest คุณจักรพงษ์ เมษพันธุ์
หัวข้อ ให้เงินทำงาน ในวันที่อยากสโลว์ไลฟ์สไตล์ Gen M ...
มโนกันไปหรือทำได้จริง
ชอบคุณหนุ่ม Money coach พูดในช่วงสอนลูกวัย 8 ขวบให้รู้จักการลงทุน
โดยการพูดคุยกับลูกหลังจากดอกเบี้ยเงินฝากออกมาหลังจากฝากครบปี
เพื่อที่จะให้ลูกเข้าใจ ก็หยิบธนบัตรใบละร้อยบาทจากลูก และ บอกว่าฝากไว้กับพ่อ
หนึ่งปี จะได้ดอกเบี้ย เป็นเหรียญห้าสิบสตางค์ และไม่ใช่ได้เดี่ยวนี้แต่จะได้
ในอีกหนึ่งปีข้างหน้าจากธนาคาร ลูกถามว่ามีทางอื่นที่จะได้มากกว่านี้ไหม
คุณหนุ่มบอกว่า มีอีกวิธีคือเป็นเจ้าของธนาคาร และ พนักงานเป็นลูกน้องของเรา
ผลตอบแทนดีกว่ามากโดยการลงทุนในหุ้น ส่วนเครื่องมือที่ใช้คือ Jitta
ซึ่งดูว่าหุ้นไหนดีจาก 2 ข้อ คือ 1. Score สูง 2. กราฟราคาต่ำกว่า Jitta line
แต่ลูกต้องสะสมเงินสักช่วงเพราะไม่สามารถซื้อแค่ 1 หุ้นได้ ต้องซื้อ 100 หุ้น
เป็นอย่างต่ำ เป็นการสอนให้สะสมเงินก่อน มีเงินเพียงพอแล้วค่อยลงทุน
ซึ่งคล้ายกับ เราต้องมีเงินเก็บเพียงพอเพื่อสร้างฐานให้แน่นก่อน
แล้วค่อยเอาเงินไปลงทุนให้ออกดอกออกผลมาให้เรา
นี่คือตัวอย่างของ พ่อรวยสอนลูก อีกวิธีหนึ่งที่เอาไปใช้ได้
ขอบคุณ Krungsri kuru ที่จัดสัมมนาดีๆแบบนี้ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 45
ความรู้ทางการเงิน การลงทุน และการบัญชีจาก อ สรรพงศ์ (2/6/60)
o Cyclical Stock หุ้นวงจรเศรษฐกิจหรือหุ้นวัฎจักร หุ้นพวกนี้กำไรและยอดขาย จะได้รับผลกระทบจากวงจรหรือวัฏจักรธุรกิจสูงมาก โดยมากก็แทบทั้งนั้นที่เป็นหุ้นวัฎจักร เพราะทุกอุตสาหกรรมล้วนมีวัฎจักรทั้งนั้น เพียงแต่ว่า อุตสาหกรรมใดที่ เมื่อขาขึ้นก็กำไรก้าวกระโดด เวลาถึงขาลง ขาดทุนบักโกรก พวก Commodity หรือ consumer จะจัดอยู่ในกลุ่มนี้ การขึ้นลงมักอยู่กับการขาดความสมดุลของ Demand-Supply หากช่วงไหน มี Demand ที่สูง หรือช่วงไหน Supply ขาดแคลน ราคาสินค้าจะพุ่ง ทำให้เกิดการขยายการผลิตมากขึ้น คู่แข่งเข้ามามากขึ้น Supply สินค้าในตลาดมากขึ้นจนเกิดความสมดุลเป็นปกติอีกครั้ง ราคา Commodity ก็จะลดลง ตามหลักเศรษฐศาตร์ การขึ้นลงของราคาหุ้นผูกติดกับรคาของ commodity มากทีเดียว เช่น ปิโตรเคมี น้ำมัน เหล็ก ถ่านหิน เหล็ก กระดาษ เดินเรือ เป็นต้น หุ้น Cyclical Stock กับหุ้น Blue-Ship Stock หรือ Growth Stock ต่างกันตรงที่ หุ้น Blue-Ship Stock หรือ Growth Stock แม้ว่าจะอยู่ในช่วงสภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ การเติบโตจะมีการชะลอตัวอยู่บ้าง แต่ผลประกอบการโดยรวมก็ยังคงสร้างกำไรออกมาอยู่เรื่อยๆ แต่สำหรับหุ้นวัฏจักรแล้วจะมีการผันผวนตามสภาพเศรษกิจสูงมากๆ ยามเศรษฐกิจแย่ ก็อาจจะประสบกับการขาดทุนหนัก
ประเภทของหุ้นวัฏจักร สามารถแบ่งเป็นสองกลุ่มหลักคือ
1. หุ้นสินค้าสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) ตัวอย่างเช่น น้ำมัน ปิโตรเคมี เหล็ก สังกะสี กาแฟ ยาง ถ่านหิน เรือ เป็นต้น หุ้นจะมีวัฏจักร ขึ้นลง ตามอุปสงค์หรือราคาสินค้าสินค้าโภคภัณฑ์
2. หุ้นสินค้าหรือบริการที่มีความต้องการผันผวนตามสภาพเศรษกิจ ตัวอย่างเช่น หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง รถยนต์ อิเลคทรอนิกส์ รวมไปถึง หุ้นธนาคาร บริษัทเงินทุนและหลักทรัพย์
การลงทุนหุ้นในกลุ่มนี้โดยเฉพาะหุ้นวัฏจักรสินค้าสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) ต้องมอง cycle ของธุรกิจนั้นๆ ให้ขาดด้วย เพราะการขึ้นลงที่รุนแรงของมัน ถือเป็นดาบสองคมต่อนักลงทุน
o Cyclical Stock หุ้นวงจรเศรษฐกิจหรือหุ้นวัฎจักร หุ้นพวกนี้กำไรและยอดขาย จะได้รับผลกระทบจากวงจรหรือวัฏจักรธุรกิจสูงมาก โดยมากก็แทบทั้งนั้นที่เป็นหุ้นวัฎจักร เพราะทุกอุตสาหกรรมล้วนมีวัฎจักรทั้งนั้น เพียงแต่ว่า อุตสาหกรรมใดที่ เมื่อขาขึ้นก็กำไรก้าวกระโดด เวลาถึงขาลง ขาดทุนบักโกรก พวก Commodity หรือ consumer จะจัดอยู่ในกลุ่มนี้ การขึ้นลงมักอยู่กับการขาดความสมดุลของ Demand-Supply หากช่วงไหน มี Demand ที่สูง หรือช่วงไหน Supply ขาดแคลน ราคาสินค้าจะพุ่ง ทำให้เกิดการขยายการผลิตมากขึ้น คู่แข่งเข้ามามากขึ้น Supply สินค้าในตลาดมากขึ้นจนเกิดความสมดุลเป็นปกติอีกครั้ง ราคา Commodity ก็จะลดลง ตามหลักเศรษฐศาตร์ การขึ้นลงของราคาหุ้นผูกติดกับรคาของ commodity มากทีเดียว เช่น ปิโตรเคมี น้ำมัน เหล็ก ถ่านหิน เหล็ก กระดาษ เดินเรือ เป็นต้น หุ้น Cyclical Stock กับหุ้น Blue-Ship Stock หรือ Growth Stock ต่างกันตรงที่ หุ้น Blue-Ship Stock หรือ Growth Stock แม้ว่าจะอยู่ในช่วงสภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ การเติบโตจะมีการชะลอตัวอยู่บ้าง แต่ผลประกอบการโดยรวมก็ยังคงสร้างกำไรออกมาอยู่เรื่อยๆ แต่สำหรับหุ้นวัฏจักรแล้วจะมีการผันผวนตามสภาพเศรษกิจสูงมากๆ ยามเศรษฐกิจแย่ ก็อาจจะประสบกับการขาดทุนหนัก
ประเภทของหุ้นวัฏจักร สามารถแบ่งเป็นสองกลุ่มหลักคือ
1. หุ้นสินค้าสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) ตัวอย่างเช่น น้ำมัน ปิโตรเคมี เหล็ก สังกะสี กาแฟ ยาง ถ่านหิน เรือ เป็นต้น หุ้นจะมีวัฏจักร ขึ้นลง ตามอุปสงค์หรือราคาสินค้าสินค้าโภคภัณฑ์
2. หุ้นสินค้าหรือบริการที่มีความต้องการผันผวนตามสภาพเศรษกิจ ตัวอย่างเช่น หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง รถยนต์ อิเลคทรอนิกส์ รวมไปถึง หุ้นธนาคาร บริษัทเงินทุนและหลักทรัพย์
การลงทุนหุ้นในกลุ่มนี้โดยเฉพาะหุ้นวัฏจักรสินค้าสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) ต้องมอง cycle ของธุรกิจนั้นๆ ให้ขาดด้วย เพราะการขึ้นลงที่รุนแรงของมัน ถือเป็นดาบสองคมต่อนักลงทุน
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 46
กฎความมั่งคั่ง 9 ประการ ของ คุณ หนุ่ม The Money Coach ฉบับปรับปรุง
ที่คุณหนุ่มมาพูดใน Money coach on stage
1. หยุดแสร้งทำเป็นรวย
เราต้องแสดงตัวตนให้ตรงกับความเป็นจริง
อย่าแสร้งทำเป็นรวย โดย กู้เงินมาซื้อรถ ซื้อบ้าน เพื่อทำตัวเป็นคนรวย
เราจะสามารถเก็บเงินได้ โดยการไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เพื่อสร้างทรัพย์สิน
2. ใช้ทรัพย์สินซื้อความสุข
คนทั่วไป อยากได้สิ่งของก็จะวิธีการผ่อน ซึ่งถือเป็นหนี้ไม่ดี
คุณหนุ่มแนะให้สร้างทรัพย์สินที่ให้กระแสเงินสด ก่อนก่อหนี้ไม่ดี
และนำกระแสเงินสดมาซื้อความสุขภายหลัง
3. อย่าเสียเวลาค้นหา “ทางลัด”
ไม่มีความสำเร็จใดที่ได้มาอย่างง่าย หรือ มีทางลัดรวยเร็วได้
ต้องหมั่นสะสมความรู้ ปฏิบัติ และ แก้ไขตลอดเวลา
4. ลงทุนในความรู้เป็นอันดับแรก
เราต้องอุทิศเวลา ทำความรู้จัก และ ทำความเข้าใจกับการลงทุนที่คุณสนใจให้ดี
ระวังคำแนะนำที่ได้มาฟรี เราต้องสร้างการลงทุนของตัวเองให้เป็น
ต้องสามารถคิด วางแผน และ ตัดสินใจทุกการลงทุนด้วยปัญญาที่สะสมอยู่ในตัว
5. สร้างพลังทวีจาก connection
ตอนคุณหนุ่ม อยู่ในช่วงสร้างตัว เช่น เรียนที่จุฬา 6 ปี หรือ เคยทำงาน MLM
ได้รู้จักผู้คนมากมาย และ ตอนนี้หลายคนก็มาช่วยงานคุณหนุ่ม ทั้งที่ปรึกษากฎหมาย
ที่ปรึกษาทางภาษี หรือ เพื่อนที่จุฬาก็มาชวนทำ Talk show หลังจากฟังคุณหนุ่มพูด
6. ทำ 1 วันให้มีมากกว่า 24 ชั่วโมง
เราสามารถทำงานโดยมีเวลามากกว่า 24ชั่วโมงใน 1 วัน โดย ใช้เวลาของคนอื่น
เราสามารถมอบหมายงานบางอย่างให้คนอื่นช่วยงานได้ โดยให้ผลตอบแทนที่เหมาะสม
ทำให้เราสามารถทำงานได้มากขึ้น หรือ สามารถใช้ชีวิตกับครอบครัวได้มากขึ้น
7. คิด ทำ เรียนรู้
กูรูส่วนมากจะบอกว่า ให้คิด ทำ แล้วประสบความสำเร็จ
ชีวิตจริง อาจไม่ราบรื่น คิด ทำ อาจมีอุปสรรคระหว่างทาง ให้เราเรียนรู้ไปเรื่อยๆ
ท้ายสุดก็จะประสบความสำเร็จเอง หลายคน คิด ทำ แล้วล้มเหลว ก็เลิกไป
จริงๆแล้วอาจจะมีเส้นกั้นความสำเร็จอยู่ ถ้าเราทลายไปได้ เราก็ประสบความสำเร็จ
8. รวยไม่ได้ ถ้าให้ไม่เป็น
คนที่ประสบความสำเร้๗ ต้องเป็นคนให้กับคนอื่นด้วย ไม่จำเป็นต้องให้เป็นเงินทอง
เป็นความรู้ที่ให้กับคนอื่น เพื่อช่วยแก้ปัญหาเช่นหนี้สิน หรือ การวางแผนเกษียณ ก็ได้
9. จงเป็นผู้สร้าง คุณค่า แล้ว ความมั่งคั่ง จะตามมาเอง
เราต้องสร้างสิ่งที่มีคุณค่า ต่อตัวเองและคนอื่น ท้ายสุด ความมั่งคั่งจะมาหาเอง
ส่วนคำพูดที่บอกว่า ทำในสิ่งที่รัก แล้ว ความมั่งคั่งจะมา ไม่จริงถ้าสิ่งที่รักไม่มีคุณค่าต่อคนอื่น
สิ่งที่ทำเป็นแค่งานอดิเรกเท่านั้น
ขอบคุณ คุณหนุ่มที่มาให้ความรู้ครับ
ที่คุณหนุ่มมาพูดใน Money coach on stage
1. หยุดแสร้งทำเป็นรวย
เราต้องแสดงตัวตนให้ตรงกับความเป็นจริง
อย่าแสร้งทำเป็นรวย โดย กู้เงินมาซื้อรถ ซื้อบ้าน เพื่อทำตัวเป็นคนรวย
เราจะสามารถเก็บเงินได้ โดยการไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เพื่อสร้างทรัพย์สิน
2. ใช้ทรัพย์สินซื้อความสุข
คนทั่วไป อยากได้สิ่งของก็จะวิธีการผ่อน ซึ่งถือเป็นหนี้ไม่ดี
คุณหนุ่มแนะให้สร้างทรัพย์สินที่ให้กระแสเงินสด ก่อนก่อหนี้ไม่ดี
และนำกระแสเงินสดมาซื้อความสุขภายหลัง
3. อย่าเสียเวลาค้นหา “ทางลัด”
ไม่มีความสำเร็จใดที่ได้มาอย่างง่าย หรือ มีทางลัดรวยเร็วได้
ต้องหมั่นสะสมความรู้ ปฏิบัติ และ แก้ไขตลอดเวลา
4. ลงทุนในความรู้เป็นอันดับแรก
เราต้องอุทิศเวลา ทำความรู้จัก และ ทำความเข้าใจกับการลงทุนที่คุณสนใจให้ดี
ระวังคำแนะนำที่ได้มาฟรี เราต้องสร้างการลงทุนของตัวเองให้เป็น
ต้องสามารถคิด วางแผน และ ตัดสินใจทุกการลงทุนด้วยปัญญาที่สะสมอยู่ในตัว
5. สร้างพลังทวีจาก connection
ตอนคุณหนุ่ม อยู่ในช่วงสร้างตัว เช่น เรียนที่จุฬา 6 ปี หรือ เคยทำงาน MLM
ได้รู้จักผู้คนมากมาย และ ตอนนี้หลายคนก็มาช่วยงานคุณหนุ่ม ทั้งที่ปรึกษากฎหมาย
ที่ปรึกษาทางภาษี หรือ เพื่อนที่จุฬาก็มาชวนทำ Talk show หลังจากฟังคุณหนุ่มพูด
6. ทำ 1 วันให้มีมากกว่า 24 ชั่วโมง
เราสามารถทำงานโดยมีเวลามากกว่า 24ชั่วโมงใน 1 วัน โดย ใช้เวลาของคนอื่น
เราสามารถมอบหมายงานบางอย่างให้คนอื่นช่วยงานได้ โดยให้ผลตอบแทนที่เหมาะสม
ทำให้เราสามารถทำงานได้มากขึ้น หรือ สามารถใช้ชีวิตกับครอบครัวได้มากขึ้น
7. คิด ทำ เรียนรู้
กูรูส่วนมากจะบอกว่า ให้คิด ทำ แล้วประสบความสำเร็จ
ชีวิตจริง อาจไม่ราบรื่น คิด ทำ อาจมีอุปสรรคระหว่างทาง ให้เราเรียนรู้ไปเรื่อยๆ
ท้ายสุดก็จะประสบความสำเร็จเอง หลายคน คิด ทำ แล้วล้มเหลว ก็เลิกไป
จริงๆแล้วอาจจะมีเส้นกั้นความสำเร็จอยู่ ถ้าเราทลายไปได้ เราก็ประสบความสำเร็จ
8. รวยไม่ได้ ถ้าให้ไม่เป็น
คนที่ประสบความสำเร้๗ ต้องเป็นคนให้กับคนอื่นด้วย ไม่จำเป็นต้องให้เป็นเงินทอง
เป็นความรู้ที่ให้กับคนอื่น เพื่อช่วยแก้ปัญหาเช่นหนี้สิน หรือ การวางแผนเกษียณ ก็ได้
9. จงเป็นผู้สร้าง คุณค่า แล้ว ความมั่งคั่ง จะตามมาเอง
เราต้องสร้างสิ่งที่มีคุณค่า ต่อตัวเองและคนอื่น ท้ายสุด ความมั่งคั่งจะมาหาเอง
ส่วนคำพูดที่บอกว่า ทำในสิ่งที่รัก แล้ว ความมั่งคั่งจะมา ไม่จริงถ้าสิ่งที่รักไม่มีคุณค่าต่อคนอื่น
สิ่งที่ทำเป็นแค่งานอดิเรกเท่านั้น
ขอบคุณ คุณหนุ่มที่มาให้ความรู้ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 47
เซียนหุ้นสัญจร ที่ ขอนแก่น
ดร นิเวศน์
คุณ โจ ลูกอีสาน
เชิญชมคลิปด้านล่างครับ
https://www.youtube.com/watch?v=6pG_3gSCRfM
ดร นิเวศน์
คุณ โจ ลูกอีสาน
เชิญชมคลิปด้านล่างครับ
https://www.youtube.com/watch?v=6pG_3gSCRfM
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 48
ความรู้ทางการเงิน การลงทุน และการบัญชี (3/6/60) โดย อ สรรพงศ์
เมื่อดูหุ้นตัวหนึ่ง แต่ละคนอาจจัดหุ้นเป็นแบบใดแบบหนึ่งได้ต่างกันไป ขึ้นกับว่าใช้อะไรเป็นเกฑ์การจัดประเภท เช่น หุ้นบางตัวอาจเป็น Blue-Chip Stock และ Growth Stock ได้พร้อมกัน หรือบางคนอาจมองว่ามันคือ Blue-Chip Stock บางคนมองว่าเป็น Growth Stock ก็ได้ บางคนเอากำไรสุทธิวัด บางคนเอาแต่ Operating Profit วัด แบบนี้ก็อาจได้ค่า Growth ต่างกันได้ และยังต่างกันได้อีกว่าเอาค่าอะไรเป็นตัวเทียบหรืออย่างหุ้น Blue-Chip บางคนอาจใช้ ROE วัด เช่นกัน ยังต่างกันได้อีกว่าเอาค่าอะไรเป็นตัวเทียบ ใช้ที่เท่าใด ค่าตัวเทียบนี้ไม่มีค่าตายตัว มีแต่หลักการกว้างๆ มีพียงข้อสังเกตที่ต้องตามจับสัญญาณ อย่าลืมว่า Valuation ราคาหุ้นถูก/แพง เป็นคนละประเด็น หุ้นพื้นฐานดี หุ้นเติบโตอาจราคาแพงได้ ถ้าเราตัดประเด็นเรื่อง valuation ออกไปก่อน อาจสรุปหลักที่นิยมจัดหรือดูประเภทหุ้นได้คือ
o Blue-Chip Stock หุ้นที่มีพื้นฐานดี ROE อยู่ในระดับสูง หลายคนมักถามว่าแค่ไหนเรียกสูง ผมมักใช้อยู่ 2-3 criteria คือ ROE เฉลี่ยควรอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยผลตอบแทนคาดหวังระยะยาวของตลาด/อุตสาหกรรม ต่อมาคือดูว่าค่า sd ของ ROE ควรไม่ผันผวนมาก อัตราการเติบโตของยอดขายและกำไรค่อนข้างต่อเนื่องสม่ำเสมอ (sd ต่ำ) และอัตราส่วนคุณภาพกำไร เกินกว่าหนึ่งสม่ำเสมอ นี่คือเกณฑ์ด่านแรก ดังนั้นหุ้น Blue-Chip แท้จริงไม่ใช่มีกันได้ง่ายๆ หุ้นนั้นๆ ต้องผ่านร้อนผ่านหนาว และพิสูจน์ตัวเองมานานระดับหนึ่ง ไม่ใช่เข้ามารู้จักกันเพียงสามสี่ปี หรือเพิ่งมา show กำไรสูงๆ เพียงปีสองปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ด่านสองคืออัตราส่วนทางการเงินต่างๆ ควรต้องค่อนข้างนิ่ง เช่น AR turnover, Inventory turnover ถ้านิ่งแสดงว่าเก็บเงินสม่ำเสมอ ผลิตได้สม่ำเสมอ Asset turnover ค่อนข้างนิ่งแสดงว่า เมื่อสินทรัพย์เพิ่ม (มีการลงทุน) ยอดขายก็เพิ่มด้วยแสดงว่าการลงทุนมีประสิทธิภาพ เป็นต้น หลายบริษัทอาจผ่านด่านแรกแต่ไม่ผ่านด่านสองก็มีมาก บางครั้งอาจต้องจัดชั้นหุ้น Blue-Chip Stock ด้วยเช่นกัน
o Growth Stock หุ้นมีการเติบโตสูง คำว่าเติบโตนี้มีความหมายกว้างหลากหลาย หุ้นที่อยู่ในช่วง Growth Stage ของวงจรอุตสาหกรรมก็จัดอยู่ในกลุ่มนี้เพราะ ยอดขายเติบโตสูงต่อเนื่อง กำไรโต สินทรัพย์โต หุ้นพวกนี้ในระยะยาวอาจกลายเป็น Blue-Ship หรืออาจดับลงเมื่อวงจรเข้าสู่ขาลง เพราะระหว่างที่เติบโต กำไรก็ดี หุ้นกลุ่มนี้หลายตัวอาจไม่มีใครสนใจโครงสร้างทุน อัตราการจ่ายปันผล ระดับ P/E หรืออีกหลายอย่าง เพราะมักเป็นหุ้น hot ในช่วงนั้นๆ ใครไม่ลงทุนจะรู้สึกว่าตกรถไฟ วงจรอาจนานเป็นปีหรือเกือบสามปีก็ได้ แต่พอวัฏจักรอุตสาหกรรมเริ่มอิ่มตัวหรือเข้าวงจรชะลอตัวจะตกลงอย่างต่อเนื่องยาวนานฟื้นก็ไม่เท่าเดิมแล้ว
เมื่อดูหุ้นตัวหนึ่ง แต่ละคนอาจจัดหุ้นเป็นแบบใดแบบหนึ่งได้ต่างกันไป ขึ้นกับว่าใช้อะไรเป็นเกฑ์การจัดประเภท เช่น หุ้นบางตัวอาจเป็น Blue-Chip Stock และ Growth Stock ได้พร้อมกัน หรือบางคนอาจมองว่ามันคือ Blue-Chip Stock บางคนมองว่าเป็น Growth Stock ก็ได้ บางคนเอากำไรสุทธิวัด บางคนเอาแต่ Operating Profit วัด แบบนี้ก็อาจได้ค่า Growth ต่างกันได้ และยังต่างกันได้อีกว่าเอาค่าอะไรเป็นตัวเทียบหรืออย่างหุ้น Blue-Chip บางคนอาจใช้ ROE วัด เช่นกัน ยังต่างกันได้อีกว่าเอาค่าอะไรเป็นตัวเทียบ ใช้ที่เท่าใด ค่าตัวเทียบนี้ไม่มีค่าตายตัว มีแต่หลักการกว้างๆ มีพียงข้อสังเกตที่ต้องตามจับสัญญาณ อย่าลืมว่า Valuation ราคาหุ้นถูก/แพง เป็นคนละประเด็น หุ้นพื้นฐานดี หุ้นเติบโตอาจราคาแพงได้ ถ้าเราตัดประเด็นเรื่อง valuation ออกไปก่อน อาจสรุปหลักที่นิยมจัดหรือดูประเภทหุ้นได้คือ
o Blue-Chip Stock หุ้นที่มีพื้นฐานดี ROE อยู่ในระดับสูง หลายคนมักถามว่าแค่ไหนเรียกสูง ผมมักใช้อยู่ 2-3 criteria คือ ROE เฉลี่ยควรอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยผลตอบแทนคาดหวังระยะยาวของตลาด/อุตสาหกรรม ต่อมาคือดูว่าค่า sd ของ ROE ควรไม่ผันผวนมาก อัตราการเติบโตของยอดขายและกำไรค่อนข้างต่อเนื่องสม่ำเสมอ (sd ต่ำ) และอัตราส่วนคุณภาพกำไร เกินกว่าหนึ่งสม่ำเสมอ นี่คือเกณฑ์ด่านแรก ดังนั้นหุ้น Blue-Chip แท้จริงไม่ใช่มีกันได้ง่ายๆ หุ้นนั้นๆ ต้องผ่านร้อนผ่านหนาว และพิสูจน์ตัวเองมานานระดับหนึ่ง ไม่ใช่เข้ามารู้จักกันเพียงสามสี่ปี หรือเพิ่งมา show กำไรสูงๆ เพียงปีสองปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ด่านสองคืออัตราส่วนทางการเงินต่างๆ ควรต้องค่อนข้างนิ่ง เช่น AR turnover, Inventory turnover ถ้านิ่งแสดงว่าเก็บเงินสม่ำเสมอ ผลิตได้สม่ำเสมอ Asset turnover ค่อนข้างนิ่งแสดงว่า เมื่อสินทรัพย์เพิ่ม (มีการลงทุน) ยอดขายก็เพิ่มด้วยแสดงว่าการลงทุนมีประสิทธิภาพ เป็นต้น หลายบริษัทอาจผ่านด่านแรกแต่ไม่ผ่านด่านสองก็มีมาก บางครั้งอาจต้องจัดชั้นหุ้น Blue-Chip Stock ด้วยเช่นกัน
o Growth Stock หุ้นมีการเติบโตสูง คำว่าเติบโตนี้มีความหมายกว้างหลากหลาย หุ้นที่อยู่ในช่วง Growth Stage ของวงจรอุตสาหกรรมก็จัดอยู่ในกลุ่มนี้เพราะ ยอดขายเติบโตสูงต่อเนื่อง กำไรโต สินทรัพย์โต หุ้นพวกนี้ในระยะยาวอาจกลายเป็น Blue-Ship หรืออาจดับลงเมื่อวงจรเข้าสู่ขาลง เพราะระหว่างที่เติบโต กำไรก็ดี หุ้นกลุ่มนี้หลายตัวอาจไม่มีใครสนใจโครงสร้างทุน อัตราการจ่ายปันผล ระดับ P/E หรืออีกหลายอย่าง เพราะมักเป็นหุ้น hot ในช่วงนั้นๆ ใครไม่ลงทุนจะรู้สึกว่าตกรถไฟ วงจรอาจนานเป็นปีหรือเกือบสามปีก็ได้ แต่พอวัฏจักรอุตสาหกรรมเริ่มอิ่มตัวหรือเข้าวงจรชะลอตัวจะตกลงอย่างต่อเนื่องยาวนานฟื้นก็ไม่เท่าเดิมแล้ว
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 49
สัมมนาของTMBAM
สัมมนาพิเศษ กับกูรูผู้เชี่ยวชาญการลงทุนในตลาดเกิดใหม่จาก Amundi เพื่อช่วยให้คุณสร้างโอกาสจากความแตกต่าง เพิ่มช่องทางในการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตลงทุน
ภายใต้หัวข้อเรื่อง “ตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่...ทางเลือกที่ใช่ เพื่อใช้กระจายความเสี่ยงพอร์ตลงทุน?”
โดย
Mr. Maxim Vydrine, CFA
Senior Emerging Market Debt Fund Manager
Amundi Asset Management
ดร.สมจินต์ ศรไพศาล CFA
กรรมการผู้จัดการ
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทหารไทย จำกัด
https://www.tmbam.com/home/th/news-adve ... .php?n=246
สัมมนาพิเศษ กับกูรูผู้เชี่ยวชาญการลงทุนในตลาดเกิดใหม่จาก Amundi เพื่อช่วยให้คุณสร้างโอกาสจากความแตกต่าง เพิ่มช่องทางในการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตลงทุน
ภายใต้หัวข้อเรื่อง “ตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่...ทางเลือกที่ใช่ เพื่อใช้กระจายความเสี่ยงพอร์ตลงทุน?”
โดย
Mr. Maxim Vydrine, CFA
Senior Emerging Market Debt Fund Manager
Amundi Asset Management
ดร.สมจินต์ ศรไพศาล CFA
กรรมการผู้จัดการ
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทหารไทย จำกัด
https://www.tmbam.com/home/th/news-adve ... .php?n=246
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 50
ผู้ประกอบการอสังหาฯ ประสานเสียงค้านเก็บภาษีลาภลอย มองซ้ำซ้อน-เพิ่มภาระประชาชน
Source: IQ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ | 9 Jun 2017 17:15
สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (09 มิ.ย. 60)--นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท พรีเมียม บมจ.พฤกษา โฮลดิ้ง (PSH) และนายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวในงานเสวนา"โอกาสลงทุนอสังหาฯ ในเมกะโปรเจคภาครัฐ"ว่า นโยบายการจัดเก็บภาษีลาภลอย (Windfall Gain Tax) เป็นการเก็บภาษีที่ซ้ำซ้อน และสร้างภาระให้กับผู้ซื้อที่อยู่อาศัย เพราะปัจจุบันค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนมือในแต่ละครั้งอยู่ในระดับที่สูงถึง 7-8% ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่ผู้ซื้อต้องจ่ายอยู่แล้ว
อีกทั้งส่วนต่างหรือผลประโยชน์ที่ประชาชนได้รับยังต้องนำมาคิดคำนวณภาษีรายได้บุคคลธรรมหรือภาษีนิติบุคคลประจำปีอยู่แล้ว ดังนั้น ภาครัฐไม่ควรนำระบบการจัดเก็บภาษีลาภลอยมาใช้ แต่ควรนำส่วนต่างหรือผลประโยชน์ของอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดขึ้นไปคิดรวมกับราคาประเมินที่สะท้อนมูลค่าเพิ่มจากอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ใกล้เคียงบริเวณการคมนาคมและสาธารณูปโภคที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอสังหาริมทรัพย์นั้นๆ
นายสัมมา คีตสิน กรรมการ บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย กล่าวว่า การเก็บภาษีลาภลอยเป็นการสร้างภาระที่เพิ่มขึ้นสำหรับผู้ที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์ในอนาคต และเป็นการเสียภาษีที่ซ้ำซ้อน โดยมองว่าไม่มีความจำเป็นที่ภาครัฐจะนำการจัดเก็บภาษีลาภลอยมาใช้ เพราะปัจจุบันการเสียภาษีรายได้นิติบุคคลและภาษีรายได้บุคคลธรรมดามีการเปิดเผยข้อมูลรายได้และกำไร หรือผลประโยชน์ที่ได้จากการทำงาน หรือจากสินทรัพย์ที่ถือครอง ซึ่งเป็นส่วนต่างที่จะต้องมาคำนวณภาษีในทุกๆ ปีอยู่แล้ว
อีกทั้งการใช้ระยะทางที่กำหนดโดยห่างจากสถานีรถไฟฟ้า 2.5 กิโลเมตร, ห่างจากทางพิเศษ 2.5 กิโลเมตร, ห่างจากสนามบิน 5 กิโลเมตร และห่างจากท่าเรือ 5 กิโลเมตร เป็นสิ่งที่มองว่าไม่เหมาะสมและการเป็นปัญหาที่จะทำให้เกิดความคลุมเครือขึ้นได้ เพราะการจัดเก็บภาษีเบกการวัดระยะทางไม่ได้บอกถึงมูลค่าที่เกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน ทำให้มองว่าในเบื้องต้นหากภาครัฐจะจัดเก็บภาษีลาภลอยควรใช้วิธีการคิดคำนวณที่ไม่เกิดความคลุมเครือ แต่มองว่าภาษีดังกล่าวไม่มีความจำเป็นที่จะต้องนำมาใช้
น.ส.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ (SENA) กล่าวว่า การจัดเก็บภาษีลาภลอยอาจจะมีความวุ่นวายในเรื่องการประเมินมูลค่าส่วนต่างของสินทรัพย์ที่ถูกจัดเก็บภาษี เพราะไม่มีตัววัดส่วนเกินที่ต้องจัดเก็บอย่างแน่นอนและเป็นรูปธรรม อีกทั้งมองว่าปัจจุบันการซื้ออสังหาริมทรัพย์มีการจัดเก็บภาษีมากอยู่แล้ว เมื่อมีการจัดเก็บภาษีลาภลอยเพิ่มเข้ามาอีกจะทำให้เกิดความซ้ำซ้อนเกิดขึ้น และทำให้ผู้ที่ต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์ต้องคิดอย่างรอบคอบมากขึ้น เพราะมีโอกาสที่ภาระค่าใช้จ่ายภาษีในอนาคตจะเพิ่มขึ้นได้
"มองว่าอาจจะยังไม่มีความจำเป็นมากนักที่ภาครัฐจะจัดเก็บภาษีลาภลอย ซึ่งหากจะจัดเก็บภาษีลาภลอยจริงๆ ภาครัฐควรศึกษาแนวทางการประเมินมูลค่าส่วนต่างที่สามารถคิดคำนวณได้ เพื่อป้องกันความคลุมเครือที่มีโอกาสเกิดขึ้น"น.ส.เกษรา กล่าว
--อินโฟเควสท์ โดย ศศิธร ซิมาภรณ์ โทร.02-2535000 ต่อ 345 อีเมล์: [email protected]--
All rights reserved. INFORMATION DISCLAIMER applies (http://goo.gl/4mfKZ3).
Source: IQ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ | 9 Jun 2017 17:15
สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (09 มิ.ย. 60)--นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท พรีเมียม บมจ.พฤกษา โฮลดิ้ง (PSH) และนายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวในงานเสวนา"โอกาสลงทุนอสังหาฯ ในเมกะโปรเจคภาครัฐ"ว่า นโยบายการจัดเก็บภาษีลาภลอย (Windfall Gain Tax) เป็นการเก็บภาษีที่ซ้ำซ้อน และสร้างภาระให้กับผู้ซื้อที่อยู่อาศัย เพราะปัจจุบันค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนมือในแต่ละครั้งอยู่ในระดับที่สูงถึง 7-8% ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่ผู้ซื้อต้องจ่ายอยู่แล้ว
อีกทั้งส่วนต่างหรือผลประโยชน์ที่ประชาชนได้รับยังต้องนำมาคิดคำนวณภาษีรายได้บุคคลธรรมหรือภาษีนิติบุคคลประจำปีอยู่แล้ว ดังนั้น ภาครัฐไม่ควรนำระบบการจัดเก็บภาษีลาภลอยมาใช้ แต่ควรนำส่วนต่างหรือผลประโยชน์ของอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดขึ้นไปคิดรวมกับราคาประเมินที่สะท้อนมูลค่าเพิ่มจากอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ใกล้เคียงบริเวณการคมนาคมและสาธารณูปโภคที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอสังหาริมทรัพย์นั้นๆ
นายสัมมา คีตสิน กรรมการ บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย กล่าวว่า การเก็บภาษีลาภลอยเป็นการสร้างภาระที่เพิ่มขึ้นสำหรับผู้ที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์ในอนาคต และเป็นการเสียภาษีที่ซ้ำซ้อน โดยมองว่าไม่มีความจำเป็นที่ภาครัฐจะนำการจัดเก็บภาษีลาภลอยมาใช้ เพราะปัจจุบันการเสียภาษีรายได้นิติบุคคลและภาษีรายได้บุคคลธรรมดามีการเปิดเผยข้อมูลรายได้และกำไร หรือผลประโยชน์ที่ได้จากการทำงาน หรือจากสินทรัพย์ที่ถือครอง ซึ่งเป็นส่วนต่างที่จะต้องมาคำนวณภาษีในทุกๆ ปีอยู่แล้ว
อีกทั้งการใช้ระยะทางที่กำหนดโดยห่างจากสถานีรถไฟฟ้า 2.5 กิโลเมตร, ห่างจากทางพิเศษ 2.5 กิโลเมตร, ห่างจากสนามบิน 5 กิโลเมตร และห่างจากท่าเรือ 5 กิโลเมตร เป็นสิ่งที่มองว่าไม่เหมาะสมและการเป็นปัญหาที่จะทำให้เกิดความคลุมเครือขึ้นได้ เพราะการจัดเก็บภาษีเบกการวัดระยะทางไม่ได้บอกถึงมูลค่าที่เกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน ทำให้มองว่าในเบื้องต้นหากภาครัฐจะจัดเก็บภาษีลาภลอยควรใช้วิธีการคิดคำนวณที่ไม่เกิดความคลุมเครือ แต่มองว่าภาษีดังกล่าวไม่มีความจำเป็นที่จะต้องนำมาใช้
น.ส.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ (SENA) กล่าวว่า การจัดเก็บภาษีลาภลอยอาจจะมีความวุ่นวายในเรื่องการประเมินมูลค่าส่วนต่างของสินทรัพย์ที่ถูกจัดเก็บภาษี เพราะไม่มีตัววัดส่วนเกินที่ต้องจัดเก็บอย่างแน่นอนและเป็นรูปธรรม อีกทั้งมองว่าปัจจุบันการซื้ออสังหาริมทรัพย์มีการจัดเก็บภาษีมากอยู่แล้ว เมื่อมีการจัดเก็บภาษีลาภลอยเพิ่มเข้ามาอีกจะทำให้เกิดความซ้ำซ้อนเกิดขึ้น และทำให้ผู้ที่ต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์ต้องคิดอย่างรอบคอบมากขึ้น เพราะมีโอกาสที่ภาระค่าใช้จ่ายภาษีในอนาคตจะเพิ่มขึ้นได้
"มองว่าอาจจะยังไม่มีความจำเป็นมากนักที่ภาครัฐจะจัดเก็บภาษีลาภลอย ซึ่งหากจะจัดเก็บภาษีลาภลอยจริงๆ ภาครัฐควรศึกษาแนวทางการประเมินมูลค่าส่วนต่างที่สามารถคิดคำนวณได้ เพื่อป้องกันความคลุมเครือที่มีโอกาสเกิดขึ้น"น.ส.เกษรา กล่าว
--อินโฟเควสท์ โดย ศศิธร ซิมาภรณ์ โทร.02-2535000 ต่อ 345 อีเมล์: [email protected]--
All rights reserved. INFORMATION DISCLAIMER applies (http://goo.gl/4mfKZ3).
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 51
*รมว.คมนาคม เตรียมเสนอโครงการรถไฟ 3 เส้นทางให้ครม.พิจารณาในอีก 2 เดือน-รถไฟฟ้า 6 สายใน H2/60
Source: IQ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ | 9 Jun 2017 16:58
สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (09 มิ.ย. 60)--นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า กระทรวงคมนาคมเตรียมนำโครงการรถไฟ จำนวน 3 เส้นทาง ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่, โครงการรถไฟทางคู่ ช่วงบ้านไผ่-นครพนม และช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ เสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายใน 2 เดือน
พร้อมกับเตรียมนำโครงการรถไฟฟ้าอีก 6 เส้นทาง เข้าครม.ในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ ได้แก่ สายสีส้มฝั่งตะวันออก ช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ-ตลิ่งชัน, สายสีม่วงส่วนต่อขยาย ช่วงเตาปูน-ราษฏร์บูรณะ, สายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย ช่วงบางแค-พุทธมณฑลสาย 4, สายสีเขียวส่วนต่อขยายเหนือ-ใต้ 2 เส้นทาง คือ ช่วงคูคต-ลำลูกา และช่วงสมุทรปราการ-บางปู และโครงการแอร์พอร์ตเรลลิงก์จากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเชื่อมต่อท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง
โดยในปีนี้กระทรวงคมนาคมมั่นใจว่าการนำเสนอโครงการรถไฟฟ้าเส้นทางในกรุงเทพฯและปริมณฑลตามแผนแม่บท ฉบับที่ 1 จะสามารถทำได้ครบถ้วนภายในปีนี้ และปัจจุบันอยู่ระหว่างการเตรียมจัดทำแผนแม่บท ฉบับที่ 2 ของโครงการรถไฟฟ้าที่เป็นโครงข่ายย่อยในเส้นทางกรุงเทพฯและปริมณฑล เพื่อเชื่อมต่อกับโครงข่ายหลัก และเป็นการรองรับในช่วงที่เครือข่ายหลักมีปัญหาหรือเกิดเหุตขัดข้อง และช่วยให้การเชื่อมต่อสมบูรณ์ ประกอบกับมีเส้นทางที่หลากหลายให้ประชาชนได้เลือกใช้เดินทางเพิ่มขึ้น โดยในเบื้องต้นมีโครงการรถไฟฟ้า 2 สี ในแผนแม่บทฉบับที่ 2 คือ สายสีเงิน (ตลิ่งชัน-ชัยพฤกษ์) และสายสีทอง (กรุงธนบุรี-ประชาธิปก) ซึ่งจะส่งต่อไปให้รัฐบาลในชุดต่อไปเดินหน้าต่อ
ส่วนโครงการรถไฟไทย-จีน หลังจากที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้แนะให้ใช้มาตรา 44 เพื่อเร่งการดำเนินงานของโครงการ ขณะนี้ความคืบหน้ายังอยู่ระหว่างสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) หารือเกี่ยวกับแนวทางในการทำงานร่วมกัน รวมถึงเร่งให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในการเร่งรัดโครงการดังกล่าวร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นสภาวิศวกร สภาสถาปนิก และฝ่ายจีน เข้ามาเจรจาและร่วมมือกันผลักดัน ซึ่งอาจจะต้องใช้ระยะเวลาอีกสักระยะหนึ่งก่อนที่เได้ข้อสรุปที่ชัดเจน
ด้านโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อ 3 สนามบิน ได้แก่ ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา เพื่อเป็นการเสริมศักยภาพของโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) คาดว่าภายใน 3 เดือนจะได้ข้อสรุปผลการศึกษาร่วมกับพันธมิตรญี่ปุ่น และจะเพิ่มเติมเส้นทางไปเชื่อมต่อจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นข้อเสนอแนะของพันธมิตรญี่ปุ่นที่มองเห็นโอกาส เพราะจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นหนึ่งในฐานการผลิตสินค้าของผู้ประกอบการญี่ปุ่นที่เป็นที่ตั้งโรงงานนอกเหนือจากพื้นที่อีสเทิร์นซีบอร์ด จึงทำให้เป็นโอกาสที่จะสามารถศึกษาต่อยอดโครงการเชื่อมต่อ 3 สนามบินได้ เพื่อให้มีการเชื่อมต่อที่ครอบคลุม และคาดว่าจะได้ข้อสรุปผลการศึกษาภายใน 3 เดือนเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้โครงการลงทุนขนาดใหญ่สำหรับการลงทุนระบบคมนาคมของภาครัฐ ไม่รวมการลงทุนที่อยู่ในงบประมาณประจำปี มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 2.3 ล้านล้านบาท โดยมีระยะเวลาลงทุนจำนวน 8 ปี ตั้งแต่ปี 58-65 ซึ่งกระทรวงคมนาคมคาดว่าภายในปี 62 จะเห็นการก่อสร้างโครงการโครงสร้างพื้นฐานต่างๆได้อย่างเป็นรูปธรรม และคาดว่าจะเริ่มทยอยเปิดให้บริการในช่วงปี 65-67 โดยการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของประเทศไทยในครั้งนี้เป็นการกลับมาลงทุนอีกครั้งหลังจากปี 49 ที่ได้ลงทุนโครงการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ที่เป็นโครงการขนาดใหญ่
รมว.คมนาคม เชื่อว่าการลงทุนดังกล่าวจะเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทย และสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคเอกชนมีการลงทุนตามภาครัฐ อีกทั้งการลงทุนโครงการคมนาคมจะทำให้การเดินทางของประชาชนในประเทศสะดวกสบายมากขึ้นและใช้ระยะเวลาในการเดินทางที่น้อยลง ส่วนภาคการขนส่งจะมีตัวเลือกและรูปแบบในการขนส่งที่เพิ่มมากขึ้น จากปัจจุบันการขนส่งของประเทศไทยส่วนใหญ่จะเป๊นการขนส่งทางถนนเป็นหลัก และช่วยให้ต้นทุนโลจิสติกส์ของไทยในอนาคตลดลงต่ำกว่าปัจจุบันอยู่ที่ 14% ของจีดีพี
--อินโฟเควสท์ โดย จีรายุทธ จันทรงสกุล/เสาวลักษณ์/รัชดา โทร.02-2535000 ต่อ 317 อีเมล์: [email protected]--
All rights reserved. INFORMATION DISCLAIMER applies (http://goo.gl/4mfKZ3).
Source: IQ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ | 9 Jun 2017 16:58
สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (09 มิ.ย. 60)--นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า กระทรวงคมนาคมเตรียมนำโครงการรถไฟ จำนวน 3 เส้นทาง ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่, โครงการรถไฟทางคู่ ช่วงบ้านไผ่-นครพนม และช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ เสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายใน 2 เดือน
พร้อมกับเตรียมนำโครงการรถไฟฟ้าอีก 6 เส้นทาง เข้าครม.ในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ ได้แก่ สายสีส้มฝั่งตะวันออก ช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ-ตลิ่งชัน, สายสีม่วงส่วนต่อขยาย ช่วงเตาปูน-ราษฏร์บูรณะ, สายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย ช่วงบางแค-พุทธมณฑลสาย 4, สายสีเขียวส่วนต่อขยายเหนือ-ใต้ 2 เส้นทาง คือ ช่วงคูคต-ลำลูกา และช่วงสมุทรปราการ-บางปู และโครงการแอร์พอร์ตเรลลิงก์จากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเชื่อมต่อท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง
โดยในปีนี้กระทรวงคมนาคมมั่นใจว่าการนำเสนอโครงการรถไฟฟ้าเส้นทางในกรุงเทพฯและปริมณฑลตามแผนแม่บท ฉบับที่ 1 จะสามารถทำได้ครบถ้วนภายในปีนี้ และปัจจุบันอยู่ระหว่างการเตรียมจัดทำแผนแม่บท ฉบับที่ 2 ของโครงการรถไฟฟ้าที่เป็นโครงข่ายย่อยในเส้นทางกรุงเทพฯและปริมณฑล เพื่อเชื่อมต่อกับโครงข่ายหลัก และเป็นการรองรับในช่วงที่เครือข่ายหลักมีปัญหาหรือเกิดเหุตขัดข้อง และช่วยให้การเชื่อมต่อสมบูรณ์ ประกอบกับมีเส้นทางที่หลากหลายให้ประชาชนได้เลือกใช้เดินทางเพิ่มขึ้น โดยในเบื้องต้นมีโครงการรถไฟฟ้า 2 สี ในแผนแม่บทฉบับที่ 2 คือ สายสีเงิน (ตลิ่งชัน-ชัยพฤกษ์) และสายสีทอง (กรุงธนบุรี-ประชาธิปก) ซึ่งจะส่งต่อไปให้รัฐบาลในชุดต่อไปเดินหน้าต่อ
ส่วนโครงการรถไฟไทย-จีน หลังจากที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้แนะให้ใช้มาตรา 44 เพื่อเร่งการดำเนินงานของโครงการ ขณะนี้ความคืบหน้ายังอยู่ระหว่างสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) หารือเกี่ยวกับแนวทางในการทำงานร่วมกัน รวมถึงเร่งให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในการเร่งรัดโครงการดังกล่าวร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นสภาวิศวกร สภาสถาปนิก และฝ่ายจีน เข้ามาเจรจาและร่วมมือกันผลักดัน ซึ่งอาจจะต้องใช้ระยะเวลาอีกสักระยะหนึ่งก่อนที่เได้ข้อสรุปที่ชัดเจน
ด้านโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อ 3 สนามบิน ได้แก่ ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา เพื่อเป็นการเสริมศักยภาพของโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) คาดว่าภายใน 3 เดือนจะได้ข้อสรุปผลการศึกษาร่วมกับพันธมิตรญี่ปุ่น และจะเพิ่มเติมเส้นทางไปเชื่อมต่อจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นข้อเสนอแนะของพันธมิตรญี่ปุ่นที่มองเห็นโอกาส เพราะจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นหนึ่งในฐานการผลิตสินค้าของผู้ประกอบการญี่ปุ่นที่เป็นที่ตั้งโรงงานนอกเหนือจากพื้นที่อีสเทิร์นซีบอร์ด จึงทำให้เป็นโอกาสที่จะสามารถศึกษาต่อยอดโครงการเชื่อมต่อ 3 สนามบินได้ เพื่อให้มีการเชื่อมต่อที่ครอบคลุม และคาดว่าจะได้ข้อสรุปผลการศึกษาภายใน 3 เดือนเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้โครงการลงทุนขนาดใหญ่สำหรับการลงทุนระบบคมนาคมของภาครัฐ ไม่รวมการลงทุนที่อยู่ในงบประมาณประจำปี มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 2.3 ล้านล้านบาท โดยมีระยะเวลาลงทุนจำนวน 8 ปี ตั้งแต่ปี 58-65 ซึ่งกระทรวงคมนาคมคาดว่าภายในปี 62 จะเห็นการก่อสร้างโครงการโครงสร้างพื้นฐานต่างๆได้อย่างเป็นรูปธรรม และคาดว่าจะเริ่มทยอยเปิดให้บริการในช่วงปี 65-67 โดยการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของประเทศไทยในครั้งนี้เป็นการกลับมาลงทุนอีกครั้งหลังจากปี 49 ที่ได้ลงทุนโครงการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ที่เป็นโครงการขนาดใหญ่
รมว.คมนาคม เชื่อว่าการลงทุนดังกล่าวจะเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทย และสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคเอกชนมีการลงทุนตามภาครัฐ อีกทั้งการลงทุนโครงการคมนาคมจะทำให้การเดินทางของประชาชนในประเทศสะดวกสบายมากขึ้นและใช้ระยะเวลาในการเดินทางที่น้อยลง ส่วนภาคการขนส่งจะมีตัวเลือกและรูปแบบในการขนส่งที่เพิ่มมากขึ้น จากปัจจุบันการขนส่งของประเทศไทยส่วนใหญ่จะเป๊นการขนส่งทางถนนเป็นหลัก และช่วยให้ต้นทุนโลจิสติกส์ของไทยในอนาคตลดลงต่ำกว่าปัจจุบันอยู่ที่ 14% ของจีดีพี
--อินโฟเควสท์ โดย จีรายุทธ จันทรงสกุล/เสาวลักษณ์/รัชดา โทร.02-2535000 ต่อ 317 อีเมล์: [email protected]--
All rights reserved. INFORMATION DISCLAIMER applies (http://goo.gl/4mfKZ3).
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 52
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 53
"หุ้นปั่น"
โดย โจ ลูกอิสาน ( อนุรักษ์ บุญแสวง : อดีตนายกสมาคมนักลงทุนแน้นคุณค่าฯ)
06/06/57
หุ้นปั่นในนิยามของผม มี 2 จำพวก
- หุ้นพื้นฐานแย่มากๆ แล้วปั่น
- หุ้นพื้นฐานดี หรือพอมีพื้นฐานบ้าน ปั่นจนราคาแพงเวอร์ เป็นการปั่นแบบเนียนๆ
ลักษณะร่วมของหุ้นปั่นมีหลายอย่าง
หุ้นบางตัว อาจเป็นหุ้นที่ดีก็ได้ ถึงแม้ตรงกับหุ้นปั่นบางประการ
แต่ถ้ามีลักษณะร่วม ตรงกันหลายอย่าง โปรดระวัง
หุ้นปั่นมักเป็นอย่างไร
1.ประตูหน้ามีไม่เข้า ชอบเข้าประตูหลัง
หน้า บ้านมี ชอบมุดเข้าประตูหลัง ไม่ปกติ หุ้นที่เข้าตลาดโดยการ backdoor listing ความเข้มงวดของกฎเกณฑ์อาจน้อยกว่า เข้าประตูหลัง ไม่เสียงดัง ไม่เอิกเกริก แต่ถ้าของดี ทำไมต้องทำลับลมคมใน ทำไมไม่เข้ามาอย่างสง่าผ่าเผย หุ้นของใคร ที่เข้าประตูหลัง อาจจะไม่ทุกตัว แต่ควรสงสัย
2. โปรดลืมฉัน
หุ้นบางตัว อยากให้นักลงทุนลืมๆชื่อเสียง(เน่าๆ) ในอดีต ทำอย่างไร วิธีที่นิยมคือเปลี่ยนชื่อบริษัท หุ้นบางตัว อยู่ๆโผล่ๆขึ้นมา ทั้งที่ไม่เคยมีการขาย ipo มันมาจากการเปลี่ยนชื่อ หวังว่าเปลี่ยนชื่อแล้ว จะเป็นสิริมงคล เป็นจุดเปลี่ยนของบริษัท ล้างเรื่องเน่าๆ ในอดีตให้ผ่านไป มันก็แค่ "เหล้าเก่าในขวดใหญ่" นิสัยกมล...ของผู้บริหาร มันไม่ได้เปลี่ยนตามชื่อบริษัท ลองดูหุ้นที่ถือ ถ้าเปลี่ยนชื่อแล้ว ชื่ออีก จนขุดหารากเหง้าไม่เจอ ท่านต้องระวังตัวแล้ว
3.หากำไรไม่เจอ
หรือมีก็บางๆ ก็ความมั่งคั่งหลักของผู้บริหาร ไม่ได้มาจากเงินปันผล แต่มาจากการหากินกับราคาหุ้น กับ"การดูด" ความมั่งคั่งจากบริษัท ผ่านรายจ่ายที่ถูกกฏหมาย เช่นเงินเดือน รถประจำตัวแหน่ง ค่าตอบแทนต่างๆ กับผลประโยชน์ที่ตกลงกับบุคคลที่ 3 ผ่านการซื้อสินค้าหรือบริการ ราคาแพงกว่าปกติ ส่วนที่จ่ายเกิน ก็ทอนกับมาสู่ผู้บริหารหรือเครือญาติ บริษัทเหล่านี้มีแต่ขาดทุนซ้ำซาก เพราะผู้บริหารร่วมใจกัน "ดูด" นั่นเอง หรือบางครั้งก็เลี้ยงให้บริษัทมีกำไรขาดทุนบางๆ เพื่อให้ผู้ถือหุ้นด่ามาก แล้วเอาเวลามาหากินกับส่วนต่างราคาหุ้น เป็นพักๆ ท่านเห็นไหมบริษัทอย่างนี้ มีกี่บริษัทในตลาดหุ้นไทย
4.เพิ่มทุนเป็นนิจ
ต่อจาก ข้อที่แล้ว ในเมื่อกิจการขาดทุนเสมอๆ จากการดูดเงินของผู้บริหาร เมื่อผ่านไปนานเข้า เงินหมดบริษัท ส่วนทุนใกล้ติดลบ อาจโดนตลาดแขวน sp ย้ายเข้ากลุ่มี rehap ต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว นั่นคือการเพิ่มทุน จะเอาเงินจากใครดี ควักกระเป๋าเอง หรือดูดเงินจากรายย่อย แน่นอนต้องเป็นอย่างหลัง (บางบริษัทมีเงื่อนใขให้รายย่อยซื้อหุ้นเพิ่มทุนเกินสิทธิ์ได้ พอเม่าคนไหนใช้สิทธิ์ซื้อหุ้นเกินสิทธิ์ ผลออกมา ได้ครบทุกคนเลย แต่ผู้บริหารไม่ซื้อสักหุ้น โอละพ่อ.. ก็วัตถุประสงค์คือดูดเงินจากรายย่อย นี่นา
5.ปั่นหุ้น ต้องมีสตอรี่
ต่อ เนื่องจากการเพิ่มทุน ก็ถ้าไม่มีสตอรี่ ที่ตื่นเต้น ใคร้..จะยอมเพิ่มทุน คราวนี้ก็โหมประโคมข่าวตามหนังสือพิมพ์ โปรเจคโน้นนี้ เราจะทำพลังงานทดแทน เราจะหันไปทำธุรกิจใหม่ ยอดขายเราจะโตปีละ 50% บลาาๆ รายย่อยพอให้ฟังเรื่องราวน่าตื่นเต้น บวกกับการชงข่าว ออกข่าวของผู้บริหาร เกิดอาการอิน ความโลภเริ่มทำงาน สติเริ่มหาย โลกสดใสเหลือเกิน จัดไปเพิ่มทุน แถมซื้อเกินสิทธ์
6.ฝนตกขี้หมูไหล คน...มาพบกัน
สังเกต ไหม หุ้นปั่นมักจะมีชื่อ นามสกุล ซ้ำๆไปมาไม่กี่ตระกูล ไม่กี่คน โยงใยกันไหมหมด ชาติที่แล้วอาจมีกรรมอะไรกัน ชาตินี้เลยต้องมาพบกัน (เพื่อปั่นหุ้น) หุ้นบางตัว รายชื่อผู้ถือหุ้นจะซ้ำๆ กับหุ้นอีกตัว หรืออีกหลายตัว เป็นไปได้ไหมว่า คนเหล่านี้ อาโนเนะ ไร้เดียงสา ไม่รู้จักกันจริ๊งๆ เราพบกันโดยบังเอิญที่หน้าอำเภอ หรือที่จริงแล้วเป็นการสบคบคิด รวมหัว เพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง แล้วแบ่งผลประโยชน์กัน เคยเห็นไหม หุ้นบางตัวเพิ่มทุน ได้เงินทุน แทนที่จะนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ กลับเอาไปซื้อหุ้นอีกตัวที่ราคาแพงๆ (แล้วไอ้โม่งที่ขายหุ้นให้คือใคร) หุ้นบางตัว swap หุ้นวุ่นวายกันไปหมด แต่สุดท้ายพวกเดียวกันทั้งน้านนนน
7.หุ้นดี ดันไม่มีเจ้าของ
บ้าหรือเปล่า บอกว่าหุ้นตัวเองดีนักหนา แต่ไปดูรายชื่อผู้ถือหุ้น ถือกันคนละไม่เกิน 5% ไหนบอกดีหนักหนา ทำไมไม่ถือหุ้นมากๆ ก็วัตถุประสงค์การถือหุ้นไม่ใช่ รอรับปันผล หรือส่วนแบ่งกำไรนี่ แต่คือการดูดและเอาส่วนต่างราคา ทำไมจะต้องไปถือหุ้นเยอะๆ ล่ะ ถือแค่ให้พอรวบอำนาจการบริหารก็พอ หุ้นปั่นแทบทุกตัวจะเป็นอย่างนี้
แต่หุ้นบางตัวถือกันคนละไม่เยอะจริง แต่ส่วนใหญ่ดันเป็น nominee คนกันเองทั้งนั้น อย่างนี้อาจไม่เข้าข่าย
8.ลูกรักของ กลต. ตลท.
เมื่อทางการเริ่มได้กลิ่น ไม่ดี สิ่งแรกที่ทำคือให้บริษัทชี้แจง ซึ่งบริษัทก็จะตะแบงไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่ก็แถจนผ่านละ เพราะที่ปรึกษาทางการเงินก็เตรียมข้อมูลมาแล้ว (รับเงินมาแล้วนี่) ตอนผ่านวาระประชุม ก็สบายเพราะผู้บริหารถือสัก 20% ก็ผ่านแล้ว รายย่อยที่มีเป็นหมื่นเป็นพัน แต่ไม่มีพลัง เพราะส่วนใหญ่ไม่ไปประชุมผู้ถือหุ้น ไม่รู้จักการพิทักษ์สิทธ์ตัวเองด้วยซ้ำ ทางการก็พยายามเตือนเท่าที่จะทำได้ บอกให้ไปประชุมผ่านวาระสำคัญ ใส่เทรดดิ้ง alert ใส่ turnover list ยังเอาไม่อยู่ เคยสังเกตไหม รายชื่อที่ กลต.กล่าวโทษ นามสกุลเดิมๆ หน้าเดิมๆ กลุ่มเดิมๆ
9.ไม่ครบองค์ประชุม
ในเมื่อเป็นบริษัทไม่มีเจ้าของ ถือหุ้นเป็นเบี้ยหัวแตก รวมกันได้แค่ 20-30% พอนัดประชุมก็มัก "ไม่ครบองค์ประชุม" ต้องนัดใหม่ ซึ่งครั้งที่ 2 มักจะประชุมได้ เพราะใช้คนละเกณฑ์ วาระไหนที่น่าสงสัย โดนทักท้วง ก็มักจะผ่านในการประชุมครั้งที่ 2 นี่เอง หุ้นตัวไหนที่ไม่ครบองค์ประชุม พึงระวัง
10.ราคาที่หวือหวา
เป็นหุ้น ปั่น ราคาต้องหวือหวา เพราะนี่คือเชื้อไฟอย่างดีเพื่อล่อ "แมงเม่า"ให้มาติดกับ ไฟหน้าจอหุ้นปั่นจะกระพริบตลอดเวลา เปรียบเสมือนไฟจากกองไฟที่ล่อแมงเม่า เม่าหลายคนแม้รู้ทั้งรู้ว่าเป็นหุ้นปั่น แต่ over confidence bias มักคิดว่าตัวเองเจ๋งสามารถ "หนีทัน" ดันลืมไปว่า ถ้าจ้าวมือไม่เก่งจริง โดนเม่ากินตลอด จะเป็นจ้าวมือได้อย่างไร้รรร ราคาหุ้นที่ขึ้นพร้อมบิดหนาๆ อย่าเพิ่งชะล่าใจว่ามีคนจะซื้อเยอะจริง เผลอเมื่อไหร่บิดหายทันทีพร้อมๆกันห้าช่อง เหลือแต่บิดของรายย่อย แล้วถูกโยนโครมซ้าย ยัดหุ้นใส่มือเม่าเรียบร้อย, offer ที่หนาๆ โดนเคาะ อย่าคิดว่ามีแรงซื้อจริง อาจเป็นหุ้นของจ้าวมือหรือเครือขายซื้อหุ้นตัวเอง เพื่อทำเสมือนมีคนสนใจซื้อหุ้นเยอะ ในโลกการหุ้นปั่น อย่าเชื่อในสิ่งที่เห็น
11.เราจะ turnaround
เราเปลี่ยนชื่อบริษัท เราเปลี่ยนกรรมการ เราจะเปลี่ยนธุรกิจ เราจะเทินอราวด์ ถ้าธุรกิจมันเปลี่ยนกันง่ายๆก็ดีซิ หุ้นหลายตัวเอาให้ได้โครงการไว้ก่อน (ไว้หลอกนักลงทุนให้เพิ่มทุน) พอทำจริงๆ ขาดทุนบักโกรก จำบริษัททำป้ายโฆษณารถเมย์ได้ไหม เป็นตัวอย่างสูตรสำเร็จของการปั่นหุ้น สตอรี่เทินอราวด์ เอาไว้หลอกวีไอที่ฟังก็ชักเคลิ้ม
12.ขุดผีจากหลุม
บางครั้ง ลงทุนแม้กระทั่งขุดผีจากหลุม วิธีการก็ไปซื้อบริษัทเน่าๆที่อยู่ใน rehap นำมาปัดฝุ่น ใส่ธุรกิจใหม่ที่ดาดๆ พอผลประกอบการผ่านเกณฑ์ ก็ออกจากหลุม ปั่นราคาขึ้นไปเยอะ นัยว่าธุรกิจพื้นตัวแข็งแกร่งแล้ว ระหว่างก็รินขายตลอด จำบริษัท ภาพทางขวางของเอเชีย ได้ไหม นี่ก็เห็นบริษัทก่อสร้างอีก บริษัที่ผู้บริหารโดนคดียักยอก สุดท้ายต้องตัดขายหุ้นให้พวกขุดผี น่าแปลกว่าคนที่ไปขุดผี ดันเป็นกลุ่มเดิมๆอีกแล้ว บังเอิญจิงๆๆ
13.พื้นฐานวันนี้ ราคาชาติหน้า
เป็นหุ้นที่พอจะมี พื้นฐานบ้าง เป็นหุ้นที่อาจจะ turnaround ได้จริง จากขาดทุนซ้ำซาก มีกำไรนิดหน่อย แต่ราคาหุ้นโดนกระชากไป สะท้อนกำไรหลายๆปีข้างหน้าแล้ว หุ้นโรงไฟฟ้าเอย หุ้นลม หุ้นอาทิตย์
14.หุ้นปั่น วีไอ
บริษัทมี โปรเจคมากมาย เป็นโปรเจคจริง แต่ใช้เงินเยอะจังเลย จะหาเงินจากไหนดี เอ่อ...ได้ข่าวนักลงทุนวีไอรวยกันนักใช่ไหม เอางี้ ไปติดต่อให้มา company visit บริษัทเราเดี่ยวนี้ ให้ตัวเลขกำไรไปเลย อีก 5 ปีข้างหน้า เราจะกำไรเท่าไหร่ อัดแต่ข่าวดีๆ เอาให้เว่อๆหน่อย วีไอชอบ พอวีไอไล่ซื้อ ราคาดี เราก็ทยอยเพิ่มทุนไปเรื่อยๆ อย่าให้มาก เดี๋ยวแตกตื่น เท่านี้เราก็ได้เงินทุนมาใช้ เสียสัดส่วนหุ้นไม่เท่าไหร่ คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม (พอเพิ่มทุนเสร็จ ก็ไม่ต้องให้ข่าวดีแล้วนะ)
15.หุ้นปั่นไอพีโอ
หุ้นเก่าเป็นสนิม หุ้นใหม่หน้าตาจุุ่มจิ่ม นักลงทุนชอบของใหม่ บิ้วให้เยอะๆ ออกสื่อ road show ขายหุ้นให้แพงที่สุดเพื่อผลประโยชน์ของเจ้าของเดิม (ถ้าขายได้ถูกๆก็ไม่ต้องเข้าตลาดดีกว่า) หุ้นเก่าๆพีอี 10 เท่าแพง หุ้นใหม่ๆพีอี 30 เท่าบอกถูก ยังไม่พอ เทรดวันแรกบิ้วไปเลย ข่าวดีอัดเข้าไป ผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ให้ข่าวเยอะๆ ยังขึ้นได้อีก ทีอีตันยังขึ้นเยอะได้เลย นี่กองทุนมาร์คก็เข้ามาซื้ออีก บิ้วไป ขายไอพีโอว่าแพงแล้ว เข้าตลาดยังแพงได้อีกกกก นักลงทุนไทย สุดยอด(ดอยอีกแล้ว )..
ใช้คำพูดแรงไปนิด พาดพิงใคร หรือหุ้นใครไปบ้างก็อภัยนะครับ
จิ้งจกทักยังฟัง ก็ฟังผมบ่นบ้างละกัน
แต่อยากย้ำนะครับ ไม่ใช่หุ้นทุกตัวที่มีคุณสมบัติเหล่านี้แล้วจะเป็นหุ้นปั่น แต่ถ้ามีลักษณะร่วมกันหลายข้อ เราเตือนแล้วนะ..
ใครจะเสริมข้อไหน หรือแนะนำเพิ่มก็ดีครับ
เกือบลืม ไม่ได้ตั้งกระทู้เพราะอิจฉาที่หุ้นปั่นวิ่งเอาๆ นะครับ หุ้นผมก็โอเคนะครับ ไม่ได้มีปัญหาอะไร
"หุ้นปั่น"
ภาคต่อ....
โดย โจ ลูกอิสาน ( อนุรักษ์ บุญแสวง : นายกสมาคมนักลงทุนแน้นคุณค่าฯ)
16.ปันผลไม่เคยเห็น
จะเห็นได้ไง มีแต่การดูดเงิน(เพิ่มทุน) ไม่มีหน้าที่แจกเงิน (ปันผล) ส่วนใหญ่ขาดทุนซ้ำซาก ปันผลไม่ได้อยู่แล้ว แต่บางตัวมีกำไร ทำไมไม่จ่าย ก็จะแจกเงินให้รายย่อยทำไมล่ะ เราเข้ามาดูดเงินอย่างเดียว เงินอยู่ในบริษัท เดี๋ยวเราก็ดูดออกได้ แบ่งให้รายย่อยทำไม บางบริษัทต้องตุนเงินสดไว้ทำธุรกิจ ปันผลไม่ได้ เพราะแบงค์รู้ทัน ไม่ยอมปล่อยกู้ บริษัทปั่นหุ้น
17. อ๊อฟเดส์ไม่เคยโผล่
จะโผล่มาได้ไง มีแต่แผลทั้งนั้น มาให้นักลงทุนลากใส้หรือ วัวสันหลังหวะ คนทำผิด ย่อมไม่กล้าสู้หน้าคน กลัวโดนซักมาก เดี๋ยวจับได้ไล่ทัน ผิดกับทองแท้ ย่อมไม่กลัวไฟ มีหุ้นปั่นตัวไหน กล้ามาอ๊อฟเดส์บ้าง มีแต่ชอบออกหนังสือพิมพ์ปั่นหุ้น
18.สำเร็จกิจ ถีบหัวส่ง
การเพิ่มทุนเป็นเป็นกระบวน การที่สำคัญมากๆของการปั่นหุ้น เป็นการ"ดูดเงิน" ที่ถูกกฎหมาย อยู่ๆจะเพิ่มทุน ใคร้รรจะมาซื้อหุ้น วิธีที่ได้ผลและทุกบริษัททำคือ ทำราคา+อัดสตอรี่ จ้าง สปอนเซอร์มาทำราคา กระชากขึ้นไป พอราคาขึ้น ก็ถึงตาของผู้บริหารให้ข่าว สอดรับเป็นปี่เป็นขลุ่ย เราจะทำโปรเจคโน้นนี้ (ใช้เงินทั้งนั้นแหละ) ราคาที่ขึ้นไปเรื่อยๆ บวกสตอรี่ที่สดใส ฟ้าสีทอง ผ่องอำไพอยู่เบื้องหน้า ถึงจุดไครแม็ก ประกาศเพิ่มทุน (จะเอาไปทำโปรเจคที่ว่าไว้) เพิ่มทุนที่ราคาดอย = ดูดเงินได้สูงสุด พอเพิ่มทุนสำเร็จกิจ ก็แยกทาง ตัวใครตัวมัน สปอนเซอร์หมดหน้าที่ ราคาหุ้นจะค่อยๆไหลลง แม้แต่บริษัทที่พอมีพื้นฐานบ้างก็ทำอย่างนี้ ยังจำกลุ่มสื่อที่หันไปทำธุรกิจดิจิตอลได้ไหม pattern เหมือนที่เล่าเป๊ะๆหรือเปล่า
Credit: www.thaivi.org
--------------------------------------------------------------------------------------------
โดย โจ ลูกอิสาน ( อนุรักษ์ บุญแสวง : อดีตนายกสมาคมนักลงทุนแน้นคุณค่าฯ)
06/06/57
หุ้นปั่นในนิยามของผม มี 2 จำพวก
- หุ้นพื้นฐานแย่มากๆ แล้วปั่น
- หุ้นพื้นฐานดี หรือพอมีพื้นฐานบ้าน ปั่นจนราคาแพงเวอร์ เป็นการปั่นแบบเนียนๆ
ลักษณะร่วมของหุ้นปั่นมีหลายอย่าง
หุ้นบางตัว อาจเป็นหุ้นที่ดีก็ได้ ถึงแม้ตรงกับหุ้นปั่นบางประการ
แต่ถ้ามีลักษณะร่วม ตรงกันหลายอย่าง โปรดระวัง
หุ้นปั่นมักเป็นอย่างไร
1.ประตูหน้ามีไม่เข้า ชอบเข้าประตูหลัง
หน้า บ้านมี ชอบมุดเข้าประตูหลัง ไม่ปกติ หุ้นที่เข้าตลาดโดยการ backdoor listing ความเข้มงวดของกฎเกณฑ์อาจน้อยกว่า เข้าประตูหลัง ไม่เสียงดัง ไม่เอิกเกริก แต่ถ้าของดี ทำไมต้องทำลับลมคมใน ทำไมไม่เข้ามาอย่างสง่าผ่าเผย หุ้นของใคร ที่เข้าประตูหลัง อาจจะไม่ทุกตัว แต่ควรสงสัย
2. โปรดลืมฉัน
หุ้นบางตัว อยากให้นักลงทุนลืมๆชื่อเสียง(เน่าๆ) ในอดีต ทำอย่างไร วิธีที่นิยมคือเปลี่ยนชื่อบริษัท หุ้นบางตัว อยู่ๆโผล่ๆขึ้นมา ทั้งที่ไม่เคยมีการขาย ipo มันมาจากการเปลี่ยนชื่อ หวังว่าเปลี่ยนชื่อแล้ว จะเป็นสิริมงคล เป็นจุดเปลี่ยนของบริษัท ล้างเรื่องเน่าๆ ในอดีตให้ผ่านไป มันก็แค่ "เหล้าเก่าในขวดใหญ่" นิสัยกมล...ของผู้บริหาร มันไม่ได้เปลี่ยนตามชื่อบริษัท ลองดูหุ้นที่ถือ ถ้าเปลี่ยนชื่อแล้ว ชื่ออีก จนขุดหารากเหง้าไม่เจอ ท่านต้องระวังตัวแล้ว
3.หากำไรไม่เจอ
หรือมีก็บางๆ ก็ความมั่งคั่งหลักของผู้บริหาร ไม่ได้มาจากเงินปันผล แต่มาจากการหากินกับราคาหุ้น กับ"การดูด" ความมั่งคั่งจากบริษัท ผ่านรายจ่ายที่ถูกกฏหมาย เช่นเงินเดือน รถประจำตัวแหน่ง ค่าตอบแทนต่างๆ กับผลประโยชน์ที่ตกลงกับบุคคลที่ 3 ผ่านการซื้อสินค้าหรือบริการ ราคาแพงกว่าปกติ ส่วนที่จ่ายเกิน ก็ทอนกับมาสู่ผู้บริหารหรือเครือญาติ บริษัทเหล่านี้มีแต่ขาดทุนซ้ำซาก เพราะผู้บริหารร่วมใจกัน "ดูด" นั่นเอง หรือบางครั้งก็เลี้ยงให้บริษัทมีกำไรขาดทุนบางๆ เพื่อให้ผู้ถือหุ้นด่ามาก แล้วเอาเวลามาหากินกับส่วนต่างราคาหุ้น เป็นพักๆ ท่านเห็นไหมบริษัทอย่างนี้ มีกี่บริษัทในตลาดหุ้นไทย
4.เพิ่มทุนเป็นนิจ
ต่อจาก ข้อที่แล้ว ในเมื่อกิจการขาดทุนเสมอๆ จากการดูดเงินของผู้บริหาร เมื่อผ่านไปนานเข้า เงินหมดบริษัท ส่วนทุนใกล้ติดลบ อาจโดนตลาดแขวน sp ย้ายเข้ากลุ่มี rehap ต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว นั่นคือการเพิ่มทุน จะเอาเงินจากใครดี ควักกระเป๋าเอง หรือดูดเงินจากรายย่อย แน่นอนต้องเป็นอย่างหลัง (บางบริษัทมีเงื่อนใขให้รายย่อยซื้อหุ้นเพิ่มทุนเกินสิทธิ์ได้ พอเม่าคนไหนใช้สิทธิ์ซื้อหุ้นเกินสิทธิ์ ผลออกมา ได้ครบทุกคนเลย แต่ผู้บริหารไม่ซื้อสักหุ้น โอละพ่อ.. ก็วัตถุประสงค์คือดูดเงินจากรายย่อย นี่นา
5.ปั่นหุ้น ต้องมีสตอรี่
ต่อ เนื่องจากการเพิ่มทุน ก็ถ้าไม่มีสตอรี่ ที่ตื่นเต้น ใคร้..จะยอมเพิ่มทุน คราวนี้ก็โหมประโคมข่าวตามหนังสือพิมพ์ โปรเจคโน้นนี้ เราจะทำพลังงานทดแทน เราจะหันไปทำธุรกิจใหม่ ยอดขายเราจะโตปีละ 50% บลาาๆ รายย่อยพอให้ฟังเรื่องราวน่าตื่นเต้น บวกกับการชงข่าว ออกข่าวของผู้บริหาร เกิดอาการอิน ความโลภเริ่มทำงาน สติเริ่มหาย โลกสดใสเหลือเกิน จัดไปเพิ่มทุน แถมซื้อเกินสิทธ์
6.ฝนตกขี้หมูไหล คน...มาพบกัน
สังเกต ไหม หุ้นปั่นมักจะมีชื่อ นามสกุล ซ้ำๆไปมาไม่กี่ตระกูล ไม่กี่คน โยงใยกันไหมหมด ชาติที่แล้วอาจมีกรรมอะไรกัน ชาตินี้เลยต้องมาพบกัน (เพื่อปั่นหุ้น) หุ้นบางตัว รายชื่อผู้ถือหุ้นจะซ้ำๆ กับหุ้นอีกตัว หรืออีกหลายตัว เป็นไปได้ไหมว่า คนเหล่านี้ อาโนเนะ ไร้เดียงสา ไม่รู้จักกันจริ๊งๆ เราพบกันโดยบังเอิญที่หน้าอำเภอ หรือที่จริงแล้วเป็นการสบคบคิด รวมหัว เพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง แล้วแบ่งผลประโยชน์กัน เคยเห็นไหม หุ้นบางตัวเพิ่มทุน ได้เงินทุน แทนที่จะนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ กลับเอาไปซื้อหุ้นอีกตัวที่ราคาแพงๆ (แล้วไอ้โม่งที่ขายหุ้นให้คือใคร) หุ้นบางตัว swap หุ้นวุ่นวายกันไปหมด แต่สุดท้ายพวกเดียวกันทั้งน้านนนน
7.หุ้นดี ดันไม่มีเจ้าของ
บ้าหรือเปล่า บอกว่าหุ้นตัวเองดีนักหนา แต่ไปดูรายชื่อผู้ถือหุ้น ถือกันคนละไม่เกิน 5% ไหนบอกดีหนักหนา ทำไมไม่ถือหุ้นมากๆ ก็วัตถุประสงค์การถือหุ้นไม่ใช่ รอรับปันผล หรือส่วนแบ่งกำไรนี่ แต่คือการดูดและเอาส่วนต่างราคา ทำไมจะต้องไปถือหุ้นเยอะๆ ล่ะ ถือแค่ให้พอรวบอำนาจการบริหารก็พอ หุ้นปั่นแทบทุกตัวจะเป็นอย่างนี้
แต่หุ้นบางตัวถือกันคนละไม่เยอะจริง แต่ส่วนใหญ่ดันเป็น nominee คนกันเองทั้งนั้น อย่างนี้อาจไม่เข้าข่าย
8.ลูกรักของ กลต. ตลท.
เมื่อทางการเริ่มได้กลิ่น ไม่ดี สิ่งแรกที่ทำคือให้บริษัทชี้แจง ซึ่งบริษัทก็จะตะแบงไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่ก็แถจนผ่านละ เพราะที่ปรึกษาทางการเงินก็เตรียมข้อมูลมาแล้ว (รับเงินมาแล้วนี่) ตอนผ่านวาระประชุม ก็สบายเพราะผู้บริหารถือสัก 20% ก็ผ่านแล้ว รายย่อยที่มีเป็นหมื่นเป็นพัน แต่ไม่มีพลัง เพราะส่วนใหญ่ไม่ไปประชุมผู้ถือหุ้น ไม่รู้จักการพิทักษ์สิทธ์ตัวเองด้วยซ้ำ ทางการก็พยายามเตือนเท่าที่จะทำได้ บอกให้ไปประชุมผ่านวาระสำคัญ ใส่เทรดดิ้ง alert ใส่ turnover list ยังเอาไม่อยู่ เคยสังเกตไหม รายชื่อที่ กลต.กล่าวโทษ นามสกุลเดิมๆ หน้าเดิมๆ กลุ่มเดิมๆ
9.ไม่ครบองค์ประชุม
ในเมื่อเป็นบริษัทไม่มีเจ้าของ ถือหุ้นเป็นเบี้ยหัวแตก รวมกันได้แค่ 20-30% พอนัดประชุมก็มัก "ไม่ครบองค์ประชุม" ต้องนัดใหม่ ซึ่งครั้งที่ 2 มักจะประชุมได้ เพราะใช้คนละเกณฑ์ วาระไหนที่น่าสงสัย โดนทักท้วง ก็มักจะผ่านในการประชุมครั้งที่ 2 นี่เอง หุ้นตัวไหนที่ไม่ครบองค์ประชุม พึงระวัง
10.ราคาที่หวือหวา
เป็นหุ้น ปั่น ราคาต้องหวือหวา เพราะนี่คือเชื้อไฟอย่างดีเพื่อล่อ "แมงเม่า"ให้มาติดกับ ไฟหน้าจอหุ้นปั่นจะกระพริบตลอดเวลา เปรียบเสมือนไฟจากกองไฟที่ล่อแมงเม่า เม่าหลายคนแม้รู้ทั้งรู้ว่าเป็นหุ้นปั่น แต่ over confidence bias มักคิดว่าตัวเองเจ๋งสามารถ "หนีทัน" ดันลืมไปว่า ถ้าจ้าวมือไม่เก่งจริง โดนเม่ากินตลอด จะเป็นจ้าวมือได้อย่างไร้รรร ราคาหุ้นที่ขึ้นพร้อมบิดหนาๆ อย่าเพิ่งชะล่าใจว่ามีคนจะซื้อเยอะจริง เผลอเมื่อไหร่บิดหายทันทีพร้อมๆกันห้าช่อง เหลือแต่บิดของรายย่อย แล้วถูกโยนโครมซ้าย ยัดหุ้นใส่มือเม่าเรียบร้อย, offer ที่หนาๆ โดนเคาะ อย่าคิดว่ามีแรงซื้อจริง อาจเป็นหุ้นของจ้าวมือหรือเครือขายซื้อหุ้นตัวเอง เพื่อทำเสมือนมีคนสนใจซื้อหุ้นเยอะ ในโลกการหุ้นปั่น อย่าเชื่อในสิ่งที่เห็น
11.เราจะ turnaround
เราเปลี่ยนชื่อบริษัท เราเปลี่ยนกรรมการ เราจะเปลี่ยนธุรกิจ เราจะเทินอราวด์ ถ้าธุรกิจมันเปลี่ยนกันง่ายๆก็ดีซิ หุ้นหลายตัวเอาให้ได้โครงการไว้ก่อน (ไว้หลอกนักลงทุนให้เพิ่มทุน) พอทำจริงๆ ขาดทุนบักโกรก จำบริษัททำป้ายโฆษณารถเมย์ได้ไหม เป็นตัวอย่างสูตรสำเร็จของการปั่นหุ้น สตอรี่เทินอราวด์ เอาไว้หลอกวีไอที่ฟังก็ชักเคลิ้ม
12.ขุดผีจากหลุม
บางครั้ง ลงทุนแม้กระทั่งขุดผีจากหลุม วิธีการก็ไปซื้อบริษัทเน่าๆที่อยู่ใน rehap นำมาปัดฝุ่น ใส่ธุรกิจใหม่ที่ดาดๆ พอผลประกอบการผ่านเกณฑ์ ก็ออกจากหลุม ปั่นราคาขึ้นไปเยอะ นัยว่าธุรกิจพื้นตัวแข็งแกร่งแล้ว ระหว่างก็รินขายตลอด จำบริษัท ภาพทางขวางของเอเชีย ได้ไหม นี่ก็เห็นบริษัทก่อสร้างอีก บริษัที่ผู้บริหารโดนคดียักยอก สุดท้ายต้องตัดขายหุ้นให้พวกขุดผี น่าแปลกว่าคนที่ไปขุดผี ดันเป็นกลุ่มเดิมๆอีกแล้ว บังเอิญจิงๆๆ
13.พื้นฐานวันนี้ ราคาชาติหน้า
เป็นหุ้นที่พอจะมี พื้นฐานบ้าง เป็นหุ้นที่อาจจะ turnaround ได้จริง จากขาดทุนซ้ำซาก มีกำไรนิดหน่อย แต่ราคาหุ้นโดนกระชากไป สะท้อนกำไรหลายๆปีข้างหน้าแล้ว หุ้นโรงไฟฟ้าเอย หุ้นลม หุ้นอาทิตย์
14.หุ้นปั่น วีไอ
บริษัทมี โปรเจคมากมาย เป็นโปรเจคจริง แต่ใช้เงินเยอะจังเลย จะหาเงินจากไหนดี เอ่อ...ได้ข่าวนักลงทุนวีไอรวยกันนักใช่ไหม เอางี้ ไปติดต่อให้มา company visit บริษัทเราเดี่ยวนี้ ให้ตัวเลขกำไรไปเลย อีก 5 ปีข้างหน้า เราจะกำไรเท่าไหร่ อัดแต่ข่าวดีๆ เอาให้เว่อๆหน่อย วีไอชอบ พอวีไอไล่ซื้อ ราคาดี เราก็ทยอยเพิ่มทุนไปเรื่อยๆ อย่าให้มาก เดี๋ยวแตกตื่น เท่านี้เราก็ได้เงินทุนมาใช้ เสียสัดส่วนหุ้นไม่เท่าไหร่ คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม (พอเพิ่มทุนเสร็จ ก็ไม่ต้องให้ข่าวดีแล้วนะ)
15.หุ้นปั่นไอพีโอ
หุ้นเก่าเป็นสนิม หุ้นใหม่หน้าตาจุุ่มจิ่ม นักลงทุนชอบของใหม่ บิ้วให้เยอะๆ ออกสื่อ road show ขายหุ้นให้แพงที่สุดเพื่อผลประโยชน์ของเจ้าของเดิม (ถ้าขายได้ถูกๆก็ไม่ต้องเข้าตลาดดีกว่า) หุ้นเก่าๆพีอี 10 เท่าแพง หุ้นใหม่ๆพีอี 30 เท่าบอกถูก ยังไม่พอ เทรดวันแรกบิ้วไปเลย ข่าวดีอัดเข้าไป ผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ให้ข่าวเยอะๆ ยังขึ้นได้อีก ทีอีตันยังขึ้นเยอะได้เลย นี่กองทุนมาร์คก็เข้ามาซื้ออีก บิ้วไป ขายไอพีโอว่าแพงแล้ว เข้าตลาดยังแพงได้อีกกกก นักลงทุนไทย สุดยอด(ดอยอีกแล้ว )..
ใช้คำพูดแรงไปนิด พาดพิงใคร หรือหุ้นใครไปบ้างก็อภัยนะครับ
จิ้งจกทักยังฟัง ก็ฟังผมบ่นบ้างละกัน
แต่อยากย้ำนะครับ ไม่ใช่หุ้นทุกตัวที่มีคุณสมบัติเหล่านี้แล้วจะเป็นหุ้นปั่น แต่ถ้ามีลักษณะร่วมกันหลายข้อ เราเตือนแล้วนะ..
ใครจะเสริมข้อไหน หรือแนะนำเพิ่มก็ดีครับ
เกือบลืม ไม่ได้ตั้งกระทู้เพราะอิจฉาที่หุ้นปั่นวิ่งเอาๆ นะครับ หุ้นผมก็โอเคนะครับ ไม่ได้มีปัญหาอะไร
"หุ้นปั่น"
ภาคต่อ....
โดย โจ ลูกอิสาน ( อนุรักษ์ บุญแสวง : นายกสมาคมนักลงทุนแน้นคุณค่าฯ)
16.ปันผลไม่เคยเห็น
จะเห็นได้ไง มีแต่การดูดเงิน(เพิ่มทุน) ไม่มีหน้าที่แจกเงิน (ปันผล) ส่วนใหญ่ขาดทุนซ้ำซาก ปันผลไม่ได้อยู่แล้ว แต่บางตัวมีกำไร ทำไมไม่จ่าย ก็จะแจกเงินให้รายย่อยทำไมล่ะ เราเข้ามาดูดเงินอย่างเดียว เงินอยู่ในบริษัท เดี๋ยวเราก็ดูดออกได้ แบ่งให้รายย่อยทำไม บางบริษัทต้องตุนเงินสดไว้ทำธุรกิจ ปันผลไม่ได้ เพราะแบงค์รู้ทัน ไม่ยอมปล่อยกู้ บริษัทปั่นหุ้น
17. อ๊อฟเดส์ไม่เคยโผล่
จะโผล่มาได้ไง มีแต่แผลทั้งนั้น มาให้นักลงทุนลากใส้หรือ วัวสันหลังหวะ คนทำผิด ย่อมไม่กล้าสู้หน้าคน กลัวโดนซักมาก เดี๋ยวจับได้ไล่ทัน ผิดกับทองแท้ ย่อมไม่กลัวไฟ มีหุ้นปั่นตัวไหน กล้ามาอ๊อฟเดส์บ้าง มีแต่ชอบออกหนังสือพิมพ์ปั่นหุ้น
18.สำเร็จกิจ ถีบหัวส่ง
การเพิ่มทุนเป็นเป็นกระบวน การที่สำคัญมากๆของการปั่นหุ้น เป็นการ"ดูดเงิน" ที่ถูกกฎหมาย อยู่ๆจะเพิ่มทุน ใคร้รรจะมาซื้อหุ้น วิธีที่ได้ผลและทุกบริษัททำคือ ทำราคา+อัดสตอรี่ จ้าง สปอนเซอร์มาทำราคา กระชากขึ้นไป พอราคาขึ้น ก็ถึงตาของผู้บริหารให้ข่าว สอดรับเป็นปี่เป็นขลุ่ย เราจะทำโปรเจคโน้นนี้ (ใช้เงินทั้งนั้นแหละ) ราคาที่ขึ้นไปเรื่อยๆ บวกสตอรี่ที่สดใส ฟ้าสีทอง ผ่องอำไพอยู่เบื้องหน้า ถึงจุดไครแม็ก ประกาศเพิ่มทุน (จะเอาไปทำโปรเจคที่ว่าไว้) เพิ่มทุนที่ราคาดอย = ดูดเงินได้สูงสุด พอเพิ่มทุนสำเร็จกิจ ก็แยกทาง ตัวใครตัวมัน สปอนเซอร์หมดหน้าที่ ราคาหุ้นจะค่อยๆไหลลง แม้แต่บริษัทที่พอมีพื้นฐานบ้างก็ทำอย่างนี้ ยังจำกลุ่มสื่อที่หันไปทำธุรกิจดิจิตอลได้ไหม pattern เหมือนที่เล่าเป๊ะๆหรือเปล่า
Credit: www.thaivi.org
--------------------------------------------------------------------------------------------
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 54
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 55
ภาพบรรยากาศและสรุปสัมมนาMoneytalk@set 18/6/17
https://www.facebook.com/MoneyTalkTV/po ... 6237801856
https://www.facebook.com/MoneyTalkTV/po ... 6237801856
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 56
BuffettCode
ถ้าถามผมว่าอยากลงทุนเริ่มต้นตรงไหนก่อนดี?
ผมขอแนะนำให้อ่านหนังสือ ตีแตก ของท่านอจ.นิเวศน์ก่อนเลยครับ
เป็นหนังสือที่ให้ภาพการลงทุนที่เป็นการลงทุนจริงๆไม่ใช่การเก็งกำไรหรือการพนัน ทำให้ผมเห็นภาพที่แท้จริงว่าการลงทุนให้ประสบความสำเร็จนั้นทำได้อย่างไร
.
อีกอย่างหนึ่งที่ผมอยากแนะนำคือการหาคลิปวีดีโอและเสียงที่อจ.นิเวศน์มาฟังครับ เพราะการอ่านหนังสือจะทำให้เราเข้าใจหลักการคร่าวๆแต่การไล่ดูคลิปเหล่านี้จะทำให้เราเข้าใจในเชิงลึกมากขึ้นเรื่อยๆจนถึงแก่นการลงทุนของท่านอาจารย์ เป็นความรู้ดีๆที่ไม่ต้องเสียเงินเลยซักบาท หลายๆครั้งผมคิดว่าคุ้มค่ากว่าการไปเรียนคอร์สแพงๆเป็นหมื่นๆครับ
.
วันนี้ผมเลยลองรวบรวมคลิปที่อจ.นิเวศน์พูดไว้ใน Youtube มาให้ทุกคนได้ตามไปดูกันง่ายๆครับ
Have Fun Investing & May all the success be with you krub
.
ประวัติดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร - https://www.youtube.com/watch?v=bLIqFSXAM7A
.
3 ปัจจัยในการเลือกหุ้น - https://www.youtube.com/watch?v=0fPOXUubc6g
.
หุ้น 10 เด้งใน 10 ปี - https://www.youtube.com/watch?v=NsMYkG6r2G4&t=176s
.
ลงทุนอย่างไรได้หุ้นคุณค่า - https://www.youtube.com/watch?v=UK8Bl8quEuc
.
สัญญาณจากเว็บบอร์ด - https://www.youtube.com/watch?v=RbS51_f1ZCc
.
เศรษฐกิจพอเพียงกับ VI - https://www.youtube.com/watch?v=hg98J95SvcE
.
ลงหุ้นโรงงานเสี่ยงแค่ไหน - https://www.youtube.com/watch?v=k70nmFYQDW4
.
ลงทุนแบบบ้านๆแต่มีเงินพันล้าน - https://www.youtube.com/watch?v=96nkXtmK6mw
.
ลงทุนอย่างเสือ - https://www.youtube.com/watch?v=aDRlhZlyaPI
.
ลงทุนสไตล์มนุษย์เงินเดือน - https://www.youtube.com/watch?v=f5YeILdQll0
.
ประสบการณ์การลงทุนที่ดร.นิเวศน์ไม่เคยเล่าที่ไหนมาก่อน - https://www.youtube.com/watch?v=B1CIGs7nkvg
.
การวิเคราะห์ปัจจัยเชิงคุณภาพของบริษัท - https://www.youtube.com/watch?v=xMSEVxNLw5c&t=13s
.
ถ้ามีวินัย มีความศรัทธา จะไปถึงจุดหมาย - https://www.youtube.com/watch?v=fTtULJF_qIU
.
การเงินแบบไม่ต้องเครียดสไตล์ Value Investor - https://www.youtube.com/watch?v=TgaN3vGoEII
.
Investment by Walking around - https://www.youtube.com/watch?v=jfgie_mNUss
.
Mega Trend - https://www.youtube.com/watch?v=UOW5lTj6SXM
.
หุ้นผู้ชนะ - https://www.youtube.com/watch?v=28cUJgS1s40
.
เทคนิคลงทุนหุ้นแบบ VI มือใหม่ - https://www.youtube.com/watch?v=0A2o5Bn_agY&t=8s
.
แนวทางการลงทุนหุ้นอย่างมืออาชีพ - https://www.youtube.com/watch?v=b2_a_FIVFk4
.
ตลาดหุ้น...ฟองสบู่แตก - https://www.youtube.com/watch?v=NEizDqaQdwg
.
Consumer Behavior - https://www.youtube.com/watch?v=3PB3J7HUGm0
.
เงิน เงิน เงิน - https://www.youtube.com/watch?v=r3S60hBIgy8
.
งานไม่ทำเงิน - https://www.youtube.com/watch?v=M_mUEzwg7xI
.
Your First Stock I - https://www.youtube.com/watch?v=iIhVmVutpzY
.
Your First Stock II - https://www.youtube.com/watch?v=13KeC8Xb0eI
.
Your First Stock III - https://www.youtube.com/watch?v=i_HFqJI8Vls&t=60s
.
เม่าปรมาจารย์สุดยอดการลงทุนแนว VI - https://www.youtube.com/watch?v=VXgmayhdBeY
.
เป็น Value Shareholder อย่างไรในกลุ่มค้าปลีก - https://www.youtube.com/watch?v=4v5wP3m_BoU
.
แก้ว 3 ประการลงทุนหุ้นแบบมนุษย์เงินเดือน - https://www.youtube.com/watch?v=p4myWk1xFo4
.
หุ้นตัวเรา - https://www.youtube.com/watch?v=Yij6FKT99v0
.
Appreciate Thailand - https://www.youtube.com/watch?v=7OPxVu9d2y4
.
การหาผู้ชนะ - https://www.youtube.com/watch?v=SqQ7UR4i2Is
.
วิเคราะห์หุ้นค้าปลีก - https://www.youtube.com/watch?v=qgVKwNh9QLw
.
หุ้นที่จะใหญ่ที่สุดในตลาด - https://www.youtube.com/watch?v=2_8NWMAdlPc
.
ธรรมะกับการลงทุน - https://www.youtube.com/watch?v=JyFstaAK4Ko
.
ตลาดหุ้น AEC - https://www.youtube.com/watch?v=qjVpdktyoK0
.
VI กับ ฟองสบู่ - https://www.youtube.com/watch?v=71mxCH4xGyQ
.
จะขายหุ้นเมื่อไหร่ - https://www.youtube.com/watch?v=S03e4BPGpTA
.
ก้าวเล็กๆในตลาดหุ้น ก้าวที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต - https://www.youtube.com/watch?v=g5FS_yXzNVo
.
หุ้นล่าฝัน - https://www.youtube.com/watch?v=kJBlIDMYyWY
.
ชนชั้นกลางรุ่นใหม่ - https://www.youtube.com/watch?v=dii_C_6WsZI
.
ชนชั้นนำ - https://www.youtube.com/watch?v=EXDDXmfrves
.
Stock Mania - https://www.youtube.com/watch?v=j8qGtizNOoQ
.
อาชีพนักลงทุน - https://www.youtube.com/watch?v=gzUJwI2PrUw
.
ชีวิตที่เรียบง่ายจากการเล่นหุ้น - https://www.youtube.com/watch?v=swJByHNBX50
.
สัญญาณบวกลบในตลาดที่นักลงทุนติดตาม - https://www.youtube.com/watch?v=HKjA63NYvUo
.
การลงทุนในตลาดต่างประเทศต้องเตรียมตัวอย่างไร - https://www.youtube.com/watch?v=3RkHv8PUIcI
.
จิตสำนึกกับการลงทุน - https://www.youtube.com/watch?v=jFKDgt2Oq3g
.
งานเลี้ยงที่กำลังร้อนแรง - https://www.youtube.com/watch?v=GFewTXgmBok
.
การลงทุนในหุ้นที่รวยจากรัฐ - https://www.youtube.com/watch?v=EyrngwD6IG0
.
ศึกนํ้าหวาน - https://www.youtube.com/watch?v=dYm3m93u3Tc
.
ลงทุนอะไรดีปี 60 - https://www.youtube.com/watch?v=aMoW5_TiryI&t=47s
ถ้าถามผมว่าอยากลงทุนเริ่มต้นตรงไหนก่อนดี?
ผมขอแนะนำให้อ่านหนังสือ ตีแตก ของท่านอจ.นิเวศน์ก่อนเลยครับ
เป็นหนังสือที่ให้ภาพการลงทุนที่เป็นการลงทุนจริงๆไม่ใช่การเก็งกำไรหรือการพนัน ทำให้ผมเห็นภาพที่แท้จริงว่าการลงทุนให้ประสบความสำเร็จนั้นทำได้อย่างไร
.
อีกอย่างหนึ่งที่ผมอยากแนะนำคือการหาคลิปวีดีโอและเสียงที่อจ.นิเวศน์มาฟังครับ เพราะการอ่านหนังสือจะทำให้เราเข้าใจหลักการคร่าวๆแต่การไล่ดูคลิปเหล่านี้จะทำให้เราเข้าใจในเชิงลึกมากขึ้นเรื่อยๆจนถึงแก่นการลงทุนของท่านอาจารย์ เป็นความรู้ดีๆที่ไม่ต้องเสียเงินเลยซักบาท หลายๆครั้งผมคิดว่าคุ้มค่ากว่าการไปเรียนคอร์สแพงๆเป็นหมื่นๆครับ
.
วันนี้ผมเลยลองรวบรวมคลิปที่อจ.นิเวศน์พูดไว้ใน Youtube มาให้ทุกคนได้ตามไปดูกันง่ายๆครับ
Have Fun Investing & May all the success be with you krub
.
ประวัติดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร - https://www.youtube.com/watch?v=bLIqFSXAM7A
.
3 ปัจจัยในการเลือกหุ้น - https://www.youtube.com/watch?v=0fPOXUubc6g
.
หุ้น 10 เด้งใน 10 ปี - https://www.youtube.com/watch?v=NsMYkG6r2G4&t=176s
.
ลงทุนอย่างไรได้หุ้นคุณค่า - https://www.youtube.com/watch?v=UK8Bl8quEuc
.
สัญญาณจากเว็บบอร์ด - https://www.youtube.com/watch?v=RbS51_f1ZCc
.
เศรษฐกิจพอเพียงกับ VI - https://www.youtube.com/watch?v=hg98J95SvcE
.
ลงหุ้นโรงงานเสี่ยงแค่ไหน - https://www.youtube.com/watch?v=k70nmFYQDW4
.
ลงทุนแบบบ้านๆแต่มีเงินพันล้าน - https://www.youtube.com/watch?v=96nkXtmK6mw
.
ลงทุนอย่างเสือ - https://www.youtube.com/watch?v=aDRlhZlyaPI
.
ลงทุนสไตล์มนุษย์เงินเดือน - https://www.youtube.com/watch?v=f5YeILdQll0
.
ประสบการณ์การลงทุนที่ดร.นิเวศน์ไม่เคยเล่าที่ไหนมาก่อน - https://www.youtube.com/watch?v=B1CIGs7nkvg
.
การวิเคราะห์ปัจจัยเชิงคุณภาพของบริษัท - https://www.youtube.com/watch?v=xMSEVxNLw5c&t=13s
.
ถ้ามีวินัย มีความศรัทธา จะไปถึงจุดหมาย - https://www.youtube.com/watch?v=fTtULJF_qIU
.
การเงินแบบไม่ต้องเครียดสไตล์ Value Investor - https://www.youtube.com/watch?v=TgaN3vGoEII
.
Investment by Walking around - https://www.youtube.com/watch?v=jfgie_mNUss
.
Mega Trend - https://www.youtube.com/watch?v=UOW5lTj6SXM
.
หุ้นผู้ชนะ - https://www.youtube.com/watch?v=28cUJgS1s40
.
เทคนิคลงทุนหุ้นแบบ VI มือใหม่ - https://www.youtube.com/watch?v=0A2o5Bn_agY&t=8s
.
แนวทางการลงทุนหุ้นอย่างมืออาชีพ - https://www.youtube.com/watch?v=b2_a_FIVFk4
.
ตลาดหุ้น...ฟองสบู่แตก - https://www.youtube.com/watch?v=NEizDqaQdwg
.
Consumer Behavior - https://www.youtube.com/watch?v=3PB3J7HUGm0
.
เงิน เงิน เงิน - https://www.youtube.com/watch?v=r3S60hBIgy8
.
งานไม่ทำเงิน - https://www.youtube.com/watch?v=M_mUEzwg7xI
.
Your First Stock I - https://www.youtube.com/watch?v=iIhVmVutpzY
.
Your First Stock II - https://www.youtube.com/watch?v=13KeC8Xb0eI
.
Your First Stock III - https://www.youtube.com/watch?v=i_HFqJI8Vls&t=60s
.
เม่าปรมาจารย์สุดยอดการลงทุนแนว VI - https://www.youtube.com/watch?v=VXgmayhdBeY
.
เป็น Value Shareholder อย่างไรในกลุ่มค้าปลีก - https://www.youtube.com/watch?v=4v5wP3m_BoU
.
แก้ว 3 ประการลงทุนหุ้นแบบมนุษย์เงินเดือน - https://www.youtube.com/watch?v=p4myWk1xFo4
.
หุ้นตัวเรา - https://www.youtube.com/watch?v=Yij6FKT99v0
.
Appreciate Thailand - https://www.youtube.com/watch?v=7OPxVu9d2y4
.
การหาผู้ชนะ - https://www.youtube.com/watch?v=SqQ7UR4i2Is
.
วิเคราะห์หุ้นค้าปลีก - https://www.youtube.com/watch?v=qgVKwNh9QLw
.
หุ้นที่จะใหญ่ที่สุดในตลาด - https://www.youtube.com/watch?v=2_8NWMAdlPc
.
ธรรมะกับการลงทุน - https://www.youtube.com/watch?v=JyFstaAK4Ko
.
ตลาดหุ้น AEC - https://www.youtube.com/watch?v=qjVpdktyoK0
.
VI กับ ฟองสบู่ - https://www.youtube.com/watch?v=71mxCH4xGyQ
.
จะขายหุ้นเมื่อไหร่ - https://www.youtube.com/watch?v=S03e4BPGpTA
.
ก้าวเล็กๆในตลาดหุ้น ก้าวที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต - https://www.youtube.com/watch?v=g5FS_yXzNVo
.
หุ้นล่าฝัน - https://www.youtube.com/watch?v=kJBlIDMYyWY
.
ชนชั้นกลางรุ่นใหม่ - https://www.youtube.com/watch?v=dii_C_6WsZI
.
ชนชั้นนำ - https://www.youtube.com/watch?v=EXDDXmfrves
.
Stock Mania - https://www.youtube.com/watch?v=j8qGtizNOoQ
.
อาชีพนักลงทุน - https://www.youtube.com/watch?v=gzUJwI2PrUw
.
ชีวิตที่เรียบง่ายจากการเล่นหุ้น - https://www.youtube.com/watch?v=swJByHNBX50
.
สัญญาณบวกลบในตลาดที่นักลงทุนติดตาม - https://www.youtube.com/watch?v=HKjA63NYvUo
.
การลงทุนในตลาดต่างประเทศต้องเตรียมตัวอย่างไร - https://www.youtube.com/watch?v=3RkHv8PUIcI
.
จิตสำนึกกับการลงทุน - https://www.youtube.com/watch?v=jFKDgt2Oq3g
.
งานเลี้ยงที่กำลังร้อนแรง - https://www.youtube.com/watch?v=GFewTXgmBok
.
การลงทุนในหุ้นที่รวยจากรัฐ - https://www.youtube.com/watch?v=EyrngwD6IG0
.
ศึกนํ้าหวาน - https://www.youtube.com/watch?v=dYm3m93u3Tc
.
ลงทุนอะไรดีปี 60 - https://www.youtube.com/watch?v=aMoW5_TiryI&t=47s
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 57
คุณเบน หยวนต้ากำลังแนะนำหุ้น TKS: Top pick in SMID Cap.
ดร. วิศิษฐ์: macro trend 7 กลุ่ม outperform
ดร. show Utility index -- Manufacturing->export->stocking->steel->container
Export leads to private investment
คุณสยาม: ยกหุ้นกลุ่ม TV Digital
TKS ถือ SYNNEX 38% ลูกดีมาก, TKS พิมพ์กระดาษพิเศษ พิมพ์บัตรเลือกตั้งปีหน้า, พิมพ์ฉลาก label กับไลน์การผลิตลูกค้า จึ้น commercial 3Q, งาน IT ลาว รับรู้ปีหน้า, สรุป ลูกค้า outperform กำไรดีมาตลอด จากนี้ไปแม่ turnaround จะโต 30-35%, PE 12x
SYNNEX PE 20x, choice คือซื้อ TKS ที่ของเหมือนกันแม้ไม่ 100%
ราคาตลาด 13.7
TP 17.4
คุณสยาม: แนะ RS สื่อฟื้นตัว + ธุรกิจความงามสุขภาพโดดเด่น 2 ธุรกิจหลักรวม 80-90%
สื่อ: รายได้หลักมาจากช่อง 8 rating อันดับ 5 รองจาก WORK, MONO ซึ่ง B/E ไปก่อน คาด RS จะตามมา
ความงาม: เริ่ม 2558 จากการทดลอง เห็นผู้ผลิตสินค้าความงามมาเช้าเวลา และ Call Center เลยลองทำ ปีแรกได้กำไรมา 200 ล้านบาท ปีที่สองไปลง modern trade ไม่ได้ตามเป้า และขาดทุน มาปีนี้ปรับใหม่ ไตรมาสแรกไตรมาสเดียวได้มา 199 ล้าน คาดครึ่งปีได้ 300 ผู้บริหารจึงได้ปรับเป้าอย่าง Aggressive มาก ปรับทั้งปี เป็น 1,100 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปได้ เพิ่ม 15 SKU (สินค้าย่อย) Call center รับคนจาก 40 คน เป็น 250 คน โตเร็วและค่อนข้างสูง margin 70% net margin 25-30%
สรุป ธุรกิจใหม่ RS ดาวเด่นปีนี้ได้แก่ สุขภาพและความงาม
ราคาพื้นฐาน: เต็มมูลค่าแล้ว เพราะอาทิตย์ที่ผ่านมาขึ้นจนเกินเป้าหมาย
ดร วิศิษฐ์: ให้ดู slide หาหุ้น outperform
ให้ดู ROE, Dividend yields, PE ทำ ranking
กลุ่มอาหาร outperform ได้ตัว ASAIN
กลุ่ม property มีหลายบริษัท ที่ราคาขึ้นมา 10%
อ. เห็น VNT Yield 5.8, ROE 11.1, EPS growth 65%
ข้อมูล ณ เมื่อวาน VNT ranking ขึ้นมาเป็นอันดับ 2
อ. อธิบาย เคมีภัณฑ์ของ VNT ทั้ง PVC และ Ethelene ที่ราคา correlation กับ oil 80%
กำลังอธิบายสถานการณ์ PVC ในจีนที่หายไป เชื่อว่า PVC จะ outperform
ตอนนี้กำลังพูดถึง caustic soda ที่อยู่ในอุตสาหกรรมดูดความชื้น Textile, Pulp and paper
ซึ่ง supply chain นี้กำลังขาดแคลน
อ.ตั่งข้อสังเกตว่า กลุ่มนี้น่าจะได้ประโยชน์ จากการที่ราคา PVC เพิ่มขึ้น และ Caustic Soda เพิ่มขึ้น
สรุป VNT ราคา under value
Market cap THB 23 bn, Enterprise value THB 21 bn ธุรกิจ VNT เป็น net cash
คุณเบน: มองตลาดครึ่งปีหลังจะกลับตัวขึ้นไป แต่ไม่มาก 1,680
ความเชื่อมั่นจาก Thailand big strategic move.
ดร วิศิษฐ์: ปีนี้ตลาดให้ผลตอบแทนเพียง 2.6% เทียบ TIP 9% ซึ่ง under และ sideway ยาว สิ่งที่จะทำให้ตลาด sideway ต่อเพราะราคาน้ำมันที่ลง ทำให้เกิดการ mark to market อ.แนะนำให้ selective และระวัง tail risks หากทาง US เกิดอะไรขึ้น ตลาดจะ pricing เร็ว ให้ระวังใน Q3
จบการสัมมนา. Cr. @Kittipoom 24/6/2017 บันทึกงานสัมมนา เวลานี้เหมาะซื้อหุ้นหรือยัง วิทยากร ดร.วิศิษฐ์ และ คุณเบน มยุรี
Cr:คุณหน่อง
Chakkarin
ดร. วิศิษฐ์: macro trend 7 กลุ่ม outperform
ดร. show Utility index -- Manufacturing->export->stocking->steel->container
Export leads to private investment
คุณสยาม: ยกหุ้นกลุ่ม TV Digital
TKS ถือ SYNNEX 38% ลูกดีมาก, TKS พิมพ์กระดาษพิเศษ พิมพ์บัตรเลือกตั้งปีหน้า, พิมพ์ฉลาก label กับไลน์การผลิตลูกค้า จึ้น commercial 3Q, งาน IT ลาว รับรู้ปีหน้า, สรุป ลูกค้า outperform กำไรดีมาตลอด จากนี้ไปแม่ turnaround จะโต 30-35%, PE 12x
SYNNEX PE 20x, choice คือซื้อ TKS ที่ของเหมือนกันแม้ไม่ 100%
ราคาตลาด 13.7
TP 17.4
คุณสยาม: แนะ RS สื่อฟื้นตัว + ธุรกิจความงามสุขภาพโดดเด่น 2 ธุรกิจหลักรวม 80-90%
สื่อ: รายได้หลักมาจากช่อง 8 rating อันดับ 5 รองจาก WORK, MONO ซึ่ง B/E ไปก่อน คาด RS จะตามมา
ความงาม: เริ่ม 2558 จากการทดลอง เห็นผู้ผลิตสินค้าความงามมาเช้าเวลา และ Call Center เลยลองทำ ปีแรกได้กำไรมา 200 ล้านบาท ปีที่สองไปลง modern trade ไม่ได้ตามเป้า และขาดทุน มาปีนี้ปรับใหม่ ไตรมาสแรกไตรมาสเดียวได้มา 199 ล้าน คาดครึ่งปีได้ 300 ผู้บริหารจึงได้ปรับเป้าอย่าง Aggressive มาก ปรับทั้งปี เป็น 1,100 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปได้ เพิ่ม 15 SKU (สินค้าย่อย) Call center รับคนจาก 40 คน เป็น 250 คน โตเร็วและค่อนข้างสูง margin 70% net margin 25-30%
สรุป ธุรกิจใหม่ RS ดาวเด่นปีนี้ได้แก่ สุขภาพและความงาม
ราคาพื้นฐาน: เต็มมูลค่าแล้ว เพราะอาทิตย์ที่ผ่านมาขึ้นจนเกินเป้าหมาย
ดร วิศิษฐ์: ให้ดู slide หาหุ้น outperform
ให้ดู ROE, Dividend yields, PE ทำ ranking
กลุ่มอาหาร outperform ได้ตัว ASAIN
กลุ่ม property มีหลายบริษัท ที่ราคาขึ้นมา 10%
อ. เห็น VNT Yield 5.8, ROE 11.1, EPS growth 65%
ข้อมูล ณ เมื่อวาน VNT ranking ขึ้นมาเป็นอันดับ 2
อ. อธิบาย เคมีภัณฑ์ของ VNT ทั้ง PVC และ Ethelene ที่ราคา correlation กับ oil 80%
กำลังอธิบายสถานการณ์ PVC ในจีนที่หายไป เชื่อว่า PVC จะ outperform
ตอนนี้กำลังพูดถึง caustic soda ที่อยู่ในอุตสาหกรรมดูดความชื้น Textile, Pulp and paper
ซึ่ง supply chain นี้กำลังขาดแคลน
อ.ตั่งข้อสังเกตว่า กลุ่มนี้น่าจะได้ประโยชน์ จากการที่ราคา PVC เพิ่มขึ้น และ Caustic Soda เพิ่มขึ้น
สรุป VNT ราคา under value
Market cap THB 23 bn, Enterprise value THB 21 bn ธุรกิจ VNT เป็น net cash
คุณเบน: มองตลาดครึ่งปีหลังจะกลับตัวขึ้นไป แต่ไม่มาก 1,680
ความเชื่อมั่นจาก Thailand big strategic move.
ดร วิศิษฐ์: ปีนี้ตลาดให้ผลตอบแทนเพียง 2.6% เทียบ TIP 9% ซึ่ง under และ sideway ยาว สิ่งที่จะทำให้ตลาด sideway ต่อเพราะราคาน้ำมันที่ลง ทำให้เกิดการ mark to market อ.แนะนำให้ selective และระวัง tail risks หากทาง US เกิดอะไรขึ้น ตลาดจะ pricing เร็ว ให้ระวังใน Q3
จบการสัมมนา. Cr. @Kittipoom 24/6/2017 บันทึกงานสัมมนา เวลานี้เหมาะซื้อหุ้นหรือยัง วิทยากร ดร.วิศิษฐ์ และ คุณเบน มยุรี
Cr:คุณหน่อง
Chakkarin
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 58
งานเดียวกัน ผมสรุปในส่วนอุตสาหกรรมดิจิตอลทีวี
งานสัมมนาวิเคราะห์เจาะลึกหุ้นเด่นกลุ่มบริการและสินค้าอุตสาหกรรม
โดยคุณ สยาม ติยานนท์ บล ฟิลลิป ประเทศไทย
อุตสาหกรรม TV Digital หลังจากเปิดประมูลเมื่อปลายปี56 และเริ่มออกอากาศ
วันที่ 1 เมษายน 2557 ช่องทีวีจาก 6 ช่อง บวกกับช่องใหม่อีก 24 ช่องรวมเป็น 30 ช่อง
Demand เท่าเดิม แต่ supplyเพิ่มอีก 24 ช่อง คนดูทีวีเท่าเดิม ก็เกิดการแข่งขันกันสูง
ช่วง Q4 16 มีการหยุดออกอากาศมากกว่า 1 เดือน ทำให้ผลประกอบการลดลง
ต้นปี 60 ภาพรวมดีขึ้น agencyมองว่ายังดี แต่กำลังซื้อชะลอตัวลง เม็ดเงินโฆษณาลดลง6%
คนในอุตสาหกรรมโฆษณาคิดว่าชะลอตัวลงจนถึงกันยายน และจะโตโดดเด่นในQ4
ส่วนปีหน้า แนวโน้มเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น กำลังซื้อค่อยๆกลับมา อุตสาหกรรมทีวีจะค่อยๆกลับมา
หลังจากทีวีดิจิตอลโตมาตลอด โดย Rating WP,Mono,RS อยู่อันดับต้นของอุตสาหกรรม
หุ้น workpoint เป็นช่องแรกที่มีกำไร และ MONO เริ่มจะมีกำไรในQ1 17
ตัวถัดไปนักวิเคราะห์มองว่าเป็น RS ซึ่งได้Ratingอันดับที่5 = 0.5-0.6
รายการที่เป็นจุดเด่นคือ ละคร กีฬามวย วาไรตี้ ซึ่งมีเม็ดเงินเข้ามาโฆษณาสูงขึ้น
แถมยังมีสื่อประเภทอื่นขายเป็นแพตเกต เช่น ทีวีดาวเทียม และ รายการวิทยุ
ช่วงปี58 มีผู้ผลิตสินค้าเสริมความงามมาเช่าเวลา เพื่อโปรโมตสินค้า เห็นว่าดี
เลยลองทำดู ซึ่งปีแรกรายได้กว่า 200 ล้านบาท ปีที่2รายได้ทรงตัวไปมุ่งmodern trade
ไม่ได้ตามเป้า และ ใช้งบโฆษณาสูง ขาดทุนจากการดำเนินงาน
ส่วนปีนี้ภาพกลับกัน
รายได้ในส่วน H&B ในQ1 199 ลบซึ่งดีกว่าเดิมคือทั้งปี16 ได้แค่ 230 ลบ
ส่วนQ2น่าจะได้มากขึ้นกว่าQ2 16
ตอนนี้ผู้บริหารปรับเป้ารายได้ส่วน H&B เป็น 1,100 ลบในปีนี้
โดย สินค้าในหมวดนี้จะเพิ่มจาก 7 SKU เป็น 15 SKU
ส่วน call center เพิ่มคนจาก 40 เป็น 250 คนเพื่อรองรับลูกค้า
ส่วนGP 70% NP 20% ซึ่งบริษัทยังขายสินค้าน้อยเมื่อคิดถึงมูลค่าอุตสาหกรรมความงาน
2.8 แสนล้านบาท ถือว่าใหญ่สุดในอาเซียน
ธุรกิจใหม่น่าจะเป็นดาวเด่น ปีหน้าจะโดดเด่นทั้ง TV Digital และ H&B
ปีนี้ผลประกอบการน่าจะดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว รวมถึงภาพรวมก็เติบโตอย่างมีนัยยะ
งานสัมมนาวิเคราะห์เจาะลึกหุ้นเด่นกลุ่มบริการและสินค้าอุตสาหกรรม
โดยคุณ สยาม ติยานนท์ บล ฟิลลิป ประเทศไทย
อุตสาหกรรม TV Digital หลังจากเปิดประมูลเมื่อปลายปี56 และเริ่มออกอากาศ
วันที่ 1 เมษายน 2557 ช่องทีวีจาก 6 ช่อง บวกกับช่องใหม่อีก 24 ช่องรวมเป็น 30 ช่อง
Demand เท่าเดิม แต่ supplyเพิ่มอีก 24 ช่อง คนดูทีวีเท่าเดิม ก็เกิดการแข่งขันกันสูง
ช่วง Q4 16 มีการหยุดออกอากาศมากกว่า 1 เดือน ทำให้ผลประกอบการลดลง
ต้นปี 60 ภาพรวมดีขึ้น agencyมองว่ายังดี แต่กำลังซื้อชะลอตัวลง เม็ดเงินโฆษณาลดลง6%
คนในอุตสาหกรรมโฆษณาคิดว่าชะลอตัวลงจนถึงกันยายน และจะโตโดดเด่นในQ4
ส่วนปีหน้า แนวโน้มเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น กำลังซื้อค่อยๆกลับมา อุตสาหกรรมทีวีจะค่อยๆกลับมา
หลังจากทีวีดิจิตอลโตมาตลอด โดย Rating WP,Mono,RS อยู่อันดับต้นของอุตสาหกรรม
หุ้น workpoint เป็นช่องแรกที่มีกำไร และ MONO เริ่มจะมีกำไรในQ1 17
ตัวถัดไปนักวิเคราะห์มองว่าเป็น RS ซึ่งได้Ratingอันดับที่5 = 0.5-0.6
รายการที่เป็นจุดเด่นคือ ละคร กีฬามวย วาไรตี้ ซึ่งมีเม็ดเงินเข้ามาโฆษณาสูงขึ้น
แถมยังมีสื่อประเภทอื่นขายเป็นแพตเกต เช่น ทีวีดาวเทียม และ รายการวิทยุ
ช่วงปี58 มีผู้ผลิตสินค้าเสริมความงามมาเช่าเวลา เพื่อโปรโมตสินค้า เห็นว่าดี
เลยลองทำดู ซึ่งปีแรกรายได้กว่า 200 ล้านบาท ปีที่2รายได้ทรงตัวไปมุ่งmodern trade
ไม่ได้ตามเป้า และ ใช้งบโฆษณาสูง ขาดทุนจากการดำเนินงาน
ส่วนปีนี้ภาพกลับกัน
รายได้ในส่วน H&B ในQ1 199 ลบซึ่งดีกว่าเดิมคือทั้งปี16 ได้แค่ 230 ลบ
ส่วนQ2น่าจะได้มากขึ้นกว่าQ2 16
ตอนนี้ผู้บริหารปรับเป้ารายได้ส่วน H&B เป็น 1,100 ลบในปีนี้
โดย สินค้าในหมวดนี้จะเพิ่มจาก 7 SKU เป็น 15 SKU
ส่วน call center เพิ่มคนจาก 40 เป็น 250 คนเพื่อรองรับลูกค้า
ส่วนGP 70% NP 20% ซึ่งบริษัทยังขายสินค้าน้อยเมื่อคิดถึงมูลค่าอุตสาหกรรมความงาน
2.8 แสนล้านบาท ถือว่าใหญ่สุดในอาเซียน
ธุรกิจใหม่น่าจะเป็นดาวเด่น ปีหน้าจะโดดเด่นทั้ง TV Digital และ H&B
ปีนี้ผลประกอบการน่าจะดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว รวมถึงภาพรวมก็เติบโตอย่างมีนัยยะ
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 59
ส่วนงานที่ตลทของ บล ธนชาติมาแนะนำเครื่องมือใหม่
และคุณประชา หรือ คุณไลท์ เป็นแขกรับเชิญมาพูดในวันที่ 25-6-60
1.ดูroe , roicเป็นหลัก roeสูงแต่หนี้ต่ำไม่นับเจ้าหนี้การค้า
ดูปัจจุบันสะท้อนไปรึยัง อนาคตจะดีขึ้นอีกไหม
ไส้ในดูการใช้cap.เทียบด้วย
ตัวอย่าง เคสbdms (bgh) และ bh
ตอนนั้นbdms10%ค่าเสื่อมของrev เจ้าอื่น5% เพราะลงทุนเยอะโอกาสมีช่องให้ไปอีก
Roeต่ำต้องวิเคราะห์ อาจจะมีเงินสดเยอะไป จริงๆกี่ปีคืนทุน
คือroeของเค้า nature จริงๆเช่น 7. 3ปีคืนทุนอันนี้คือroeจริงๆ
2.ดูcash cycle / cash flow กำไรโตเงินไม่เข้าไม่โอ
ต้องเก็บลูกหนี้ได้ด้วยไม่งั้นมันจะไม่ยั่งยืน
กระแสเงินสดดีสอดคล้องcash cycle
ถ้าต้องกู้ในการขยายโอกาสขยายจะไปได้ช้ากว่าความแตกต่างจะเกิด
และโอกาสปันผลได้มากกว่า
การมีcycleดีถึงจะบวกอ่อนก็น่าสนใจความเสี่ยงก็จะน้อยกว่า
กรณีตัวอย่าง tkn ว่าตอนนั้นมองยังไง
แชร์มุมมอง
มองผบห.คาแรคเตอร์น่าสนใจสู้งาน
อ่านfiling ชอบ
1.roeสูง
2.cash cycle ลบ
แกมองหายากเพราะเทียบเจ้าอื่นอย่าง tf , sauce พวกนี้บวก60-70วัน
แปลว่าพึ่งพาmodern tradeเยอะมาก แต่tknบวกอ่อน
ดีสุดเป็นเบอร์2ของconsumer product
ยอดขายในจีนโตดีมาก
ดูคุณภาพผบห. เคสนี้มองดีมาก
มองหาธุรกิจที่มีโอกาสดีกว่าค่าเฉลี่ย potential ตอนนั้นมีโอกาสดีกว่าไหม
ที่cycleดีเพราะขยับจาก7-11 มาส่งออก เพราะส่งออกรับเงินสด ตอนนี้สัดส่วน7-11=23%
ที่เหลือtraditional กับexport
ศึกษาธุรกิจ ว่าจะมีใช้อย่างต่อเนื่องไหม
ทำการเทียบขนมในอุต เลย์กะของคนไทย แล้วดูnature ของธุรกิจ
ความผิดพลาดเป็นสิ่งที่ดี ให้ผบห.ไม่บุ่มบ่าม ถ้าหาโปรดักดีได้เหลือที่mkt distributed
เคสผิดพลาด
Case aot
ถ้าหุ้นดีtarget เป็นเรื่องรอง ถือไปเรื่อยๆจนอิ่มตัว หรือเจออะไรที่ไม่ดีแล้ว
หุ้นจะทำนิวไฮได้กำไรต้องนิวไฮแน่นอน
พัฒนาความรู้ตลอดเวลา ศึกษาธรรมชาติธุรกิจให้ท่องแท้ เวลามองภาพให้เห็นคร่าวๆ3ปี
มองดาวไซก่อน ถ้าพลาดจะโดนยังไง ยั่งยืนแค่ไหน
ใช้จุดแข็งของเราทุกคนที่มี supply เป็นยังไง
มองแบงค์ ความเสี่ยงมีcycle nplกำไรหดตัวโอกาสเสี่ยงตลอด ประกันเสี่ยงน้อยกว่าการจัดการดีภาพใหญ่ดูดี
รีวิวหลักการ เรื่อยๆ สงสัยความเชื่อของตัวเอง ไม่มีสูตรสำเร็จ พัฒนาตัวเองหาความรู้ตลอดเวลา จะเกิดวิวัฒนาการของตัวเราเอง ไม่ประมาทความเชื่อเดิม
Cr :page อ่านและแชร์หุ้น
และคุณประชา หรือ คุณไลท์ เป็นแขกรับเชิญมาพูดในวันที่ 25-6-60
1.ดูroe , roicเป็นหลัก roeสูงแต่หนี้ต่ำไม่นับเจ้าหนี้การค้า
ดูปัจจุบันสะท้อนไปรึยัง อนาคตจะดีขึ้นอีกไหม
ไส้ในดูการใช้cap.เทียบด้วย
ตัวอย่าง เคสbdms (bgh) และ bh
ตอนนั้นbdms10%ค่าเสื่อมของrev เจ้าอื่น5% เพราะลงทุนเยอะโอกาสมีช่องให้ไปอีก
Roeต่ำต้องวิเคราะห์ อาจจะมีเงินสดเยอะไป จริงๆกี่ปีคืนทุน
คือroeของเค้า nature จริงๆเช่น 7. 3ปีคืนทุนอันนี้คือroeจริงๆ
2.ดูcash cycle / cash flow กำไรโตเงินไม่เข้าไม่โอ
ต้องเก็บลูกหนี้ได้ด้วยไม่งั้นมันจะไม่ยั่งยืน
กระแสเงินสดดีสอดคล้องcash cycle
ถ้าต้องกู้ในการขยายโอกาสขยายจะไปได้ช้ากว่าความแตกต่างจะเกิด
และโอกาสปันผลได้มากกว่า
การมีcycleดีถึงจะบวกอ่อนก็น่าสนใจความเสี่ยงก็จะน้อยกว่า
กรณีตัวอย่าง tkn ว่าตอนนั้นมองยังไง
แชร์มุมมอง
มองผบห.คาแรคเตอร์น่าสนใจสู้งาน
อ่านfiling ชอบ
1.roeสูง
2.cash cycle ลบ
แกมองหายากเพราะเทียบเจ้าอื่นอย่าง tf , sauce พวกนี้บวก60-70วัน
แปลว่าพึ่งพาmodern tradeเยอะมาก แต่tknบวกอ่อน
ดีสุดเป็นเบอร์2ของconsumer product
ยอดขายในจีนโตดีมาก
ดูคุณภาพผบห. เคสนี้มองดีมาก
มองหาธุรกิจที่มีโอกาสดีกว่าค่าเฉลี่ย potential ตอนนั้นมีโอกาสดีกว่าไหม
ที่cycleดีเพราะขยับจาก7-11 มาส่งออก เพราะส่งออกรับเงินสด ตอนนี้สัดส่วน7-11=23%
ที่เหลือtraditional กับexport
ศึกษาธุรกิจ ว่าจะมีใช้อย่างต่อเนื่องไหม
ทำการเทียบขนมในอุต เลย์กะของคนไทย แล้วดูnature ของธุรกิจ
ความผิดพลาดเป็นสิ่งที่ดี ให้ผบห.ไม่บุ่มบ่าม ถ้าหาโปรดักดีได้เหลือที่mkt distributed
เคสผิดพลาด
Case aot
ถ้าหุ้นดีtarget เป็นเรื่องรอง ถือไปเรื่อยๆจนอิ่มตัว หรือเจออะไรที่ไม่ดีแล้ว
หุ้นจะทำนิวไฮได้กำไรต้องนิวไฮแน่นอน
พัฒนาความรู้ตลอดเวลา ศึกษาธรรมชาติธุรกิจให้ท่องแท้ เวลามองภาพให้เห็นคร่าวๆ3ปี
มองดาวไซก่อน ถ้าพลาดจะโดนยังไง ยั่งยืนแค่ไหน
ใช้จุดแข็งของเราทุกคนที่มี supply เป็นยังไง
มองแบงค์ ความเสี่ยงมีcycle nplกำไรหดตัวโอกาสเสี่ยงตลอด ประกันเสี่ยงน้อยกว่าการจัดการดีภาพใหญ่ดูดี
รีวิวหลักการ เรื่อยๆ สงสัยความเชื่อของตัวเอง ไม่มีสูตรสำเร็จ พัฒนาตัวเองหาความรู้ตลอดเวลา จะเกิดวิวัฒนาการของตัวเราเอง ไม่ประมาทความเชื่อเดิม
Cr :page อ่านและแชร์หุ้น
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 60
สัมมนา ดร กอบศักดิ์ ผู้ริเริ่ม EEC
ที่มาของประเทศไทย 4.0
-GDP และ Export ลดลงมาตลอด ในช่วงที่ผ่านมา นั่นเป็นเพราะ ประเทศไทย ขายของล้าสมัย ถ้าเทียบกับบริษัท ก็เหมือน ไทย เราเป็น Nokia เป็น Blackberry ขายของไม่ค่อยออก ทำให้ Export ลดลงมาตลอดในช่วงที่ผ่านมา
-ถ้าเปรียบกับ การประกวดนางงาม ประเทศไทย เปรียบเสมือน ผู้หญิงวัยกลางคนแล้ว เดี๋ยวนี้ Investors เค้าสนใจไปลงทุนใน จีน, อินเดีย, อินโดนีเซีย, ลาว, พม่า ฯลฯ กันมากกว่า
ต้องทำอะไรเพิ่มบ้าง??
-ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
*ช่วงที่ผ่านมา ดีเลย์ มาตลอด เพราะ เกิด กีฬาสี / การเมือง
-Advance and Innovative industries
-เรากินบุญเก่ามาตลอด มีแต่อุตฯ เดิมๆ เช่น ปิโตรเคมี , ยานยนต์ , อิเล็กทรอนิกส์
-ดังนั้นเราต้องสร้างอุตฯ ดาวรุ่งใหม่ๆ ขึ้นมา โดยเฉพาะบน พื้นที่ EEC
-Better Livelihood of Our People Local Economy and HRD
-New Set of Laws and Institutions
กฏหมายยังโบราณ ฉุดการเติบโต เศรษฐกิจของบ้านเรา
จุดแข็ง/โอกาส ของประเทศไทยคืออะไร??
-เราเป็นประตูสู่อาเซียน 230 ล้านคน (CLMV + Thailand) เราเป็นจุดศูนย์กลางของอาเซียน
note ไว้ว่า เราส่งออกไป CLMV แทบจะเยอะที่สุดแล้ว (ถ้ารวมรายการนอกบัญชีอีก เราคิดว่า เยอะที่สุด แน่ๆ)
-บังคลาเทศ 160 ล้านคน ก็ไม่ถูกกับ เมียนม่า และ อินเดีย >> นี่ก็เป็นอีกหนึ่งโอกาส ที่เค้าจะมาร่วม และเชื่อมกับ CLMV + Thailand >> รวมเป็น 400 ล้านคน
-รัฐบาลนำเรื่องนี้ไปขาย story กับ Foreign Investors จะชอบเรื่องนี้กันมาก เพราะ ตลาดมันใหญ่มากจริงๆ
-เราเป็นส่วนที่สำคัญ ของนโยบาย One Belt One Road ของ จีน
รถไฟความเร็วสูง ไทย-จีน เป็นส่วนสำคัญ ของนโยบายนี้ของจีน เพราะ เชื่อมไปกับ จีน (ลาว เริ่มก่อสร้างแล้ว ) >> และจะเชื่อม มาบกะเบา มา แหลมฉบัง ด้วย >>> ถ้าสำเร็จเสร็จสิ้น มันจะเชื่อมจาก London มา China มา Laos มา Thailand >> Malaysia
-ถนน Indochina มีการเชื่อมกันเป็นใยแมงมุม กันมากขึ้นเยอะมาก เช่น เส้น R3A , R12 (นครพนม ไป เวียดนาม ชายฝั่ง ห่างเพียง 270km ) ฯลฯ
-นครพนม สามารถส่งออกได้ 100bn/ปี !!! ภายหลัง สะพาน ไทย - ลาว สร้างเสร็จ และ R12 สร้างเสร็จ
เราทำอะไรไปแล้วบ้าง?? และกำลังจะทำอะไร อีกบ้าง??
-ประมูล 4G ไปแล้ว
-รถไฟทางคู่ 2 เส้น ก่อสร้างแล้ว (เป็น project แรกที่ bid ได้แล้ว construct ได้ทันทีใน 1 mth)
-หลังจาก ร.5 สิ้นไป 150 ปี สร้างรถไฟได้แค่ 75 km เท่านั้นเอง
แต่รัฐบาลนี้ approve ไปแล้ว 1,000km >> เอาเส้นทางเดิมมาทำเป็นทางคู่ เพื่อให้มันขนส่งสินค้าได้
-ในปี 2017F-18F รัฐบาลจะ approve เพิ่มเติมอีก 7 เส้นทาง 1,000km ซึ่งจะเป็นรถไฟทางคู่ เส้นทางใหม่ !! (ครั้งแรกในรอบ 150 ปี !!!)
-motorway 3 เส้น ก่อสร้างไปแล้ว
East-west corridor เริ่มแล้ว (วิ่งผ่าน ขอนแก่น, พิษณุโลก, แม่สอด) >> จะพลิกโฉม ศก. จังหวัดเหล่านี้ ถ้าสร้างเสร็จ
-กรุงเทพ-หนองคาย และ กรุงเทพ-ระยอง เตรียม เริ่ม bidding ในปี 2017-18F นี้
-เตรียมขยายสนามบินอีก 400bn กว่า เพราะปัจจุบันใช้เกิน capacity ไปปีละ 23 ล้านคน !! (อาจจะขยายเพิ่มในส่วน BKK phase 2 , กระบี่, อุดรธานี ฯลฯ)
-รถไฟฟ้า 10 เส้นทาง + รถไฟที่ตัดผ่านพื้นที่ชั้นใน กทม จะยกระดับทั้งหมด >> เพื่อลด ต้นทุนการเดินทาง ใน กรุงเทพฯ ลง
-โดยสรุป ก็คือ หลังจากที่พูดกันมาเป็นสิบปี มันเกิดขึ้นจริงแล้ว และจะยังทำมากขึ้นเรื่อยๆ !!
ทำไปเพื่ออะไร??
*เพื่อการเชื่อมโยง เพราะตอนนี้เราอยู่ระหว่าง การพัฒนาครั้งมโหฬารใน CLMV
-เกิดเมืองใหม่ๆ มากขึ้น เช่น
เชียงราย จะเป็นเมืองหน้าด่านกับ เมืองจีน
แม่ฮ่องสอน จะเชื่อม มัณฑะเล เป็นเมืองใหญ่ของ พม่า
แม่สอด เป็นประตู สู่ย่างกุ้ง
กาญจนบุรี กลายเป็นเมืองหน้าด่าน กับ พม่า เช่นกัน
พัทยา เป็นเมืองแห่ง Mice
ขอนแก่น เป็นเมืองแห่ง Bioeconomy
ฯลฯ
-เพื่อเป็นศูนย์กลางของ CLMV + thailand ประชากร รวมกันกว่า 230 ล้านคน (ถ้ารวมบังคลาเทศ ก็ 400 ล้านคน)
ตัวอย่าง เช่น บริษัท Minibea เดิมมีฐานผลิตอยู่ที่ไทย เพิ่งจะขยายไป พนมเปญ ที่ เขมร เพราะ ถนนหนทาง มีคุณภาพมากขึ้น เพื่อผลิตสินค้า high value ที่ Thailand แล้วส่งไปประกอบ ที่ เขมร แทน
อีกตัวอย่างคือ กล้อง Nikon ก็นอกใจไทย ไปเปิดโรงงานที่ ลาว แล้วเช่นกัน
หรือ อย่าง บริษัทยานยนต์ , สิ่งทอ เค้าก็ไปเหมือนกัน
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ เป็นเรื่องที่มันต้องเกิดสำหรับประเทศที่จะก้าวพ้นกับดักรายได้ปานกลางอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า ประเทศไทย ต้องยกระดับตัวเอง ขึ้นเป็น Thailand 4.0 ให้ได้ ผลิตสินค้า High value added
EEC คืออะไร??
*EEC คือประตูสู่อาเซียน และคนที่เข้ามาลงทุน จะได้ตลาด CLMV + บังคลาเทศ ด้วย ซึ่งเราต้องลง infrastructure เพื่อเชื่อมโยง ประเทศเหล่านี้ เป็น network เดียวกัน
*มันคือ Eastern Seaboard Season 2
*ข้อได้เปรียบ คือ เรามี อุตฯ ปิโตรเลียม + ชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งเป็นอุตฯ ต้นน้ำ ไปพัฒนาสินค้าอื่นๆ ต่อได้อีกเยอะ
*จะ focus บนพื้นที่ แหลมฉบัง ท่าเรือสัตหีบ มาบตะพุด (ขนาดจะประมาณ 2x ของ SG) ไม่ถึงขนาด พื้นที่ทั้งหมด สามจังหวัด ระยอง ชลบุรี ฉะเชิงเทรา
*หัวใจของ EEC คือสนามบินอู่ตะเภา (ที่ผ่านมา ทัพเรือ ไม่เคยอนุญาตซักที) >>
- One airport Two mission >> มีพื้นที่ 15k ไร่ จะแบ่งครึ่งๆ เพื่อ ความมั่นคง และ เพื่อ commercial (รถไฟความเร็วสูง จะวิ่งผ่านมาทางนี้ด้วย) >>
- Airbus มาขอจีบตลอดในช่วงที่ผ่านมา (เค้าบอกจะเอาศูนย์ซ่อมที่ทันสมัยที่สุด + โรงเรียนการบิน) >> บริษัทชิ้นส่วนอากาศยาน กว่า 10 แห่ง สนใจเข้ามาใน อู่ตะเภา
- สายการบิน จำนวนมหาศาล จะเข้ามาบนพื้นที่ อู่ตะเภา ข้อได้เปรียบคือ ประหยัดเวลาเยอะมาก ถ้ามาศูนย์ซ่อมบำรุงที่ อู่ตะเภา (แทนที่จะเป็น ชางฮี SG)
- เราไม่ได้สร้างสนามบิน แต่สร้าง เมืองแห่งการบิน ต่างห่าง (Sky city / Airport city / Aerotropolis) คือพัฒนาพื้นที่ commercial/ medical hub/ real estate นู่นนี่ เพิ่มเติมไปเลย เพื่อให้ Head office อยู่ใกล้ Airport ที่สุด ประหยัดเวลาได้เยอะมาก ฯลฯ
-อีกหน่อย นักท่องเที่ยว ที่จะไปหัวหิน สามารถมาลง อู่ตะเภา แล้วนั่งท่าเรือ สัตหีบ ไปหัวหิน ได้เลย ภายใน 1.5 ชม.
*อีกหัวใจนึง คือ "โครงการแหลมฉบัง Phase 3 " เพราะ ถ้าไม่ทำ ในอีก 5 ปี นี้ capacity จะเต็มแล้ว แต่ครั้งนี้เปลี่ยนแนวคิดด้วย จากเดิม เป็น container ให้เป็นท่าเรือ transhipment เพื่อเชื่อมโยงสินค้าจาก ท่าเรือแหลมฉบัง ไปยัง ชายแดน CLMV กระจายสินค้าได้ดี เหมือน ท่าเรือ rotterdam กระจายสินค้าให้ทางยุโรป
ความคืบหน้าอื่นๆ ของ EEC
*ล่าสุด Lazada จะสร้าง E-commerce park ซึ่งเป็นเรื่อง Logistics ที่ใหญ่ที่สุดใน EEC เพราะ ตรงนี้เป็นพื้นที่ ที่ดีที่สุดในการกระจายสินค้า (ส่วน digital park ค่อยเอาไปไว้ที่ มาเลเซีย)
*BMW จะเอา battery ไฟฟ้า มาผลิตที่ Thailand เป็นครั้งแรกที่เค้าเอก technology นี้ออกจาก germany มานอกประเทศ
*กำลังคุยญี่ปุ่น ให้มาลงทุน ในอุตฯ Robot
*กระทรวงวิทฯ เตรียมตั้ง ศูนย์วิจัย ใน EEC ที่ Wang chan Valley 3,000 ไร่ ซึ่งรัฐบาลอนุมัติให้ นักวิจัย + ผู้บริหาร จาก ตปท. จะเสียภาษีแค่ 15% ถ้าเข้ามาทำงานในไทย (vs คนไทย 35%)
โดยสรุป คือ
1.ในอดีต ไทย ตัดสินใจถูกสองเรื่องคือ
*ไทยตัดสินใจไม่มีรถยนต์เป็นของตัวเอง ทำให้เรากลายเป็น hub ของยานยนต์
*ไทยตัดสินใจ ลงทุนปิโตรเคมี (ยุคโชติช่วงชัชวาลย์)
2.ไทย ต้องหารายได้ใหม่เข้าประเทศ
*แผนระยะสั้น >> focus 5 อุตฯ
*แผนระยะกลาง >> เป็น logistics hub ของ ASEAN
*แผนระยะยาว >> Advances in innovation & human resources
# HOME THIEN
ที่มาของประเทศไทย 4.0
-GDP และ Export ลดลงมาตลอด ในช่วงที่ผ่านมา นั่นเป็นเพราะ ประเทศไทย ขายของล้าสมัย ถ้าเทียบกับบริษัท ก็เหมือน ไทย เราเป็น Nokia เป็น Blackberry ขายของไม่ค่อยออก ทำให้ Export ลดลงมาตลอดในช่วงที่ผ่านมา
-ถ้าเปรียบกับ การประกวดนางงาม ประเทศไทย เปรียบเสมือน ผู้หญิงวัยกลางคนแล้ว เดี๋ยวนี้ Investors เค้าสนใจไปลงทุนใน จีน, อินเดีย, อินโดนีเซีย, ลาว, พม่า ฯลฯ กันมากกว่า
ต้องทำอะไรเพิ่มบ้าง??
-ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
*ช่วงที่ผ่านมา ดีเลย์ มาตลอด เพราะ เกิด กีฬาสี / การเมือง
-Advance and Innovative industries
-เรากินบุญเก่ามาตลอด มีแต่อุตฯ เดิมๆ เช่น ปิโตรเคมี , ยานยนต์ , อิเล็กทรอนิกส์
-ดังนั้นเราต้องสร้างอุตฯ ดาวรุ่งใหม่ๆ ขึ้นมา โดยเฉพาะบน พื้นที่ EEC
-Better Livelihood of Our People Local Economy and HRD
-New Set of Laws and Institutions
กฏหมายยังโบราณ ฉุดการเติบโต เศรษฐกิจของบ้านเรา
จุดแข็ง/โอกาส ของประเทศไทยคืออะไร??
-เราเป็นประตูสู่อาเซียน 230 ล้านคน (CLMV + Thailand) เราเป็นจุดศูนย์กลางของอาเซียน
note ไว้ว่า เราส่งออกไป CLMV แทบจะเยอะที่สุดแล้ว (ถ้ารวมรายการนอกบัญชีอีก เราคิดว่า เยอะที่สุด แน่ๆ)
-บังคลาเทศ 160 ล้านคน ก็ไม่ถูกกับ เมียนม่า และ อินเดีย >> นี่ก็เป็นอีกหนึ่งโอกาส ที่เค้าจะมาร่วม และเชื่อมกับ CLMV + Thailand >> รวมเป็น 400 ล้านคน
-รัฐบาลนำเรื่องนี้ไปขาย story กับ Foreign Investors จะชอบเรื่องนี้กันมาก เพราะ ตลาดมันใหญ่มากจริงๆ
-เราเป็นส่วนที่สำคัญ ของนโยบาย One Belt One Road ของ จีน
รถไฟความเร็วสูง ไทย-จีน เป็นส่วนสำคัญ ของนโยบายนี้ของจีน เพราะ เชื่อมไปกับ จีน (ลาว เริ่มก่อสร้างแล้ว ) >> และจะเชื่อม มาบกะเบา มา แหลมฉบัง ด้วย >>> ถ้าสำเร็จเสร็จสิ้น มันจะเชื่อมจาก London มา China มา Laos มา Thailand >> Malaysia
-ถนน Indochina มีการเชื่อมกันเป็นใยแมงมุม กันมากขึ้นเยอะมาก เช่น เส้น R3A , R12 (นครพนม ไป เวียดนาม ชายฝั่ง ห่างเพียง 270km ) ฯลฯ
-นครพนม สามารถส่งออกได้ 100bn/ปี !!! ภายหลัง สะพาน ไทย - ลาว สร้างเสร็จ และ R12 สร้างเสร็จ
เราทำอะไรไปแล้วบ้าง?? และกำลังจะทำอะไร อีกบ้าง??
-ประมูล 4G ไปแล้ว
-รถไฟทางคู่ 2 เส้น ก่อสร้างแล้ว (เป็น project แรกที่ bid ได้แล้ว construct ได้ทันทีใน 1 mth)
-หลังจาก ร.5 สิ้นไป 150 ปี สร้างรถไฟได้แค่ 75 km เท่านั้นเอง
แต่รัฐบาลนี้ approve ไปแล้ว 1,000km >> เอาเส้นทางเดิมมาทำเป็นทางคู่ เพื่อให้มันขนส่งสินค้าได้
-ในปี 2017F-18F รัฐบาลจะ approve เพิ่มเติมอีก 7 เส้นทาง 1,000km ซึ่งจะเป็นรถไฟทางคู่ เส้นทางใหม่ !! (ครั้งแรกในรอบ 150 ปี !!!)
-motorway 3 เส้น ก่อสร้างไปแล้ว
East-west corridor เริ่มแล้ว (วิ่งผ่าน ขอนแก่น, พิษณุโลก, แม่สอด) >> จะพลิกโฉม ศก. จังหวัดเหล่านี้ ถ้าสร้างเสร็จ
-กรุงเทพ-หนองคาย และ กรุงเทพ-ระยอง เตรียม เริ่ม bidding ในปี 2017-18F นี้
-เตรียมขยายสนามบินอีก 400bn กว่า เพราะปัจจุบันใช้เกิน capacity ไปปีละ 23 ล้านคน !! (อาจจะขยายเพิ่มในส่วน BKK phase 2 , กระบี่, อุดรธานี ฯลฯ)
-รถไฟฟ้า 10 เส้นทาง + รถไฟที่ตัดผ่านพื้นที่ชั้นใน กทม จะยกระดับทั้งหมด >> เพื่อลด ต้นทุนการเดินทาง ใน กรุงเทพฯ ลง
-โดยสรุป ก็คือ หลังจากที่พูดกันมาเป็นสิบปี มันเกิดขึ้นจริงแล้ว และจะยังทำมากขึ้นเรื่อยๆ !!
ทำไปเพื่ออะไร??
*เพื่อการเชื่อมโยง เพราะตอนนี้เราอยู่ระหว่าง การพัฒนาครั้งมโหฬารใน CLMV
-เกิดเมืองใหม่ๆ มากขึ้น เช่น
เชียงราย จะเป็นเมืองหน้าด่านกับ เมืองจีน
แม่ฮ่องสอน จะเชื่อม มัณฑะเล เป็นเมืองใหญ่ของ พม่า
แม่สอด เป็นประตู สู่ย่างกุ้ง
กาญจนบุรี กลายเป็นเมืองหน้าด่าน กับ พม่า เช่นกัน
พัทยา เป็นเมืองแห่ง Mice
ขอนแก่น เป็นเมืองแห่ง Bioeconomy
ฯลฯ
-เพื่อเป็นศูนย์กลางของ CLMV + thailand ประชากร รวมกันกว่า 230 ล้านคน (ถ้ารวมบังคลาเทศ ก็ 400 ล้านคน)
ตัวอย่าง เช่น บริษัท Minibea เดิมมีฐานผลิตอยู่ที่ไทย เพิ่งจะขยายไป พนมเปญ ที่ เขมร เพราะ ถนนหนทาง มีคุณภาพมากขึ้น เพื่อผลิตสินค้า high value ที่ Thailand แล้วส่งไปประกอบ ที่ เขมร แทน
อีกตัวอย่างคือ กล้อง Nikon ก็นอกใจไทย ไปเปิดโรงงานที่ ลาว แล้วเช่นกัน
หรือ อย่าง บริษัทยานยนต์ , สิ่งทอ เค้าก็ไปเหมือนกัน
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ เป็นเรื่องที่มันต้องเกิดสำหรับประเทศที่จะก้าวพ้นกับดักรายได้ปานกลางอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า ประเทศไทย ต้องยกระดับตัวเอง ขึ้นเป็น Thailand 4.0 ให้ได้ ผลิตสินค้า High value added
EEC คืออะไร??
*EEC คือประตูสู่อาเซียน และคนที่เข้ามาลงทุน จะได้ตลาด CLMV + บังคลาเทศ ด้วย ซึ่งเราต้องลง infrastructure เพื่อเชื่อมโยง ประเทศเหล่านี้ เป็น network เดียวกัน
*มันคือ Eastern Seaboard Season 2
*ข้อได้เปรียบ คือ เรามี อุตฯ ปิโตรเลียม + ชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งเป็นอุตฯ ต้นน้ำ ไปพัฒนาสินค้าอื่นๆ ต่อได้อีกเยอะ
*จะ focus บนพื้นที่ แหลมฉบัง ท่าเรือสัตหีบ มาบตะพุด (ขนาดจะประมาณ 2x ของ SG) ไม่ถึงขนาด พื้นที่ทั้งหมด สามจังหวัด ระยอง ชลบุรี ฉะเชิงเทรา
*หัวใจของ EEC คือสนามบินอู่ตะเภา (ที่ผ่านมา ทัพเรือ ไม่เคยอนุญาตซักที) >>
- One airport Two mission >> มีพื้นที่ 15k ไร่ จะแบ่งครึ่งๆ เพื่อ ความมั่นคง และ เพื่อ commercial (รถไฟความเร็วสูง จะวิ่งผ่านมาทางนี้ด้วย) >>
- Airbus มาขอจีบตลอดในช่วงที่ผ่านมา (เค้าบอกจะเอาศูนย์ซ่อมที่ทันสมัยที่สุด + โรงเรียนการบิน) >> บริษัทชิ้นส่วนอากาศยาน กว่า 10 แห่ง สนใจเข้ามาใน อู่ตะเภา
- สายการบิน จำนวนมหาศาล จะเข้ามาบนพื้นที่ อู่ตะเภา ข้อได้เปรียบคือ ประหยัดเวลาเยอะมาก ถ้ามาศูนย์ซ่อมบำรุงที่ อู่ตะเภา (แทนที่จะเป็น ชางฮี SG)
- เราไม่ได้สร้างสนามบิน แต่สร้าง เมืองแห่งการบิน ต่างห่าง (Sky city / Airport city / Aerotropolis) คือพัฒนาพื้นที่ commercial/ medical hub/ real estate นู่นนี่ เพิ่มเติมไปเลย เพื่อให้ Head office อยู่ใกล้ Airport ที่สุด ประหยัดเวลาได้เยอะมาก ฯลฯ
-อีกหน่อย นักท่องเที่ยว ที่จะไปหัวหิน สามารถมาลง อู่ตะเภา แล้วนั่งท่าเรือ สัตหีบ ไปหัวหิน ได้เลย ภายใน 1.5 ชม.
*อีกหัวใจนึง คือ "โครงการแหลมฉบัง Phase 3 " เพราะ ถ้าไม่ทำ ในอีก 5 ปี นี้ capacity จะเต็มแล้ว แต่ครั้งนี้เปลี่ยนแนวคิดด้วย จากเดิม เป็น container ให้เป็นท่าเรือ transhipment เพื่อเชื่อมโยงสินค้าจาก ท่าเรือแหลมฉบัง ไปยัง ชายแดน CLMV กระจายสินค้าได้ดี เหมือน ท่าเรือ rotterdam กระจายสินค้าให้ทางยุโรป
ความคืบหน้าอื่นๆ ของ EEC
*ล่าสุด Lazada จะสร้าง E-commerce park ซึ่งเป็นเรื่อง Logistics ที่ใหญ่ที่สุดใน EEC เพราะ ตรงนี้เป็นพื้นที่ ที่ดีที่สุดในการกระจายสินค้า (ส่วน digital park ค่อยเอาไปไว้ที่ มาเลเซีย)
*BMW จะเอา battery ไฟฟ้า มาผลิตที่ Thailand เป็นครั้งแรกที่เค้าเอก technology นี้ออกจาก germany มานอกประเทศ
*กำลังคุยญี่ปุ่น ให้มาลงทุน ในอุตฯ Robot
*กระทรวงวิทฯ เตรียมตั้ง ศูนย์วิจัย ใน EEC ที่ Wang chan Valley 3,000 ไร่ ซึ่งรัฐบาลอนุมัติให้ นักวิจัย + ผู้บริหาร จาก ตปท. จะเสียภาษีแค่ 15% ถ้าเข้ามาทำงานในไทย (vs คนไทย 35%)
โดยสรุป คือ
1.ในอดีต ไทย ตัดสินใจถูกสองเรื่องคือ
*ไทยตัดสินใจไม่มีรถยนต์เป็นของตัวเอง ทำให้เรากลายเป็น hub ของยานยนต์
*ไทยตัดสินใจ ลงทุนปิโตรเคมี (ยุคโชติช่วงชัชวาลย์)
2.ไทย ต้องหารายได้ใหม่เข้าประเทศ
*แผนระยะสั้น >> focus 5 อุตฯ
*แผนระยะกลาง >> เป็น logistics hub ของ ASEAN
*แผนระยะยาว >> Advances in innovation & human resources
# HOME THIEN