คนที่ถึงอิสระภาพทางการเงินแล้ว วันๆกระดิกเท้ารับปันผล ชีวิต
-
- Verified User
- โพสต์: 15
- ผู้ติดตาม: 0
คนที่ถึงอิสระภาพทางการเงินแล้ว วันๆกระดิกเท้ารับปันผล ชีวิต
โพสต์ที่ 1
สวัสดีครับ ขอเท้าความนิดนึง ตอนนี้ผมยังทำงานประจำอยู่ การลงทุนนับว่าประสบความสำเร็จพอสมควร พอร์ตประมาณ แต่หากนับเฉพาะปันผล ก็พออยู่ได้อย่างสบายหากไม่ฟุ่มเฟือยจนเกินไป เอาล่ะ ด้วยการงานของผมถามว่าชอบไหม ก็ไม่ได้ชอบเท่าไร ออกจากค่อนข้างเบื่อ และมีความเสี่ยงเล็กน้อยต่อชีวิตร่างกาย ในขณะที่หากจะออกจากงานไปลงทุนเต็มตัวก็กลัวจะสิ้นหวังแล้วกลับมาไม่ได้ ผมก็ครุ่นคิดมานานว่าควรจะเกษียณตัวเองแล้วหรือยัง ออกไปใช้ชีวิต ไปมีเวลา ไปหาความสุขตามที่ใจปรารถนา อย่างที่พี่นักลงทุน Vi หลายๆท่านทำกันมาแล้ว
คราวนี้ผมไปเจอคลิปหนึ่ง ของคุณนิ้วกลม https://youtu.be/fgYbIBOqRRQ เค้าตั้งคำถามว่า การที่เราตื่นนอนทุกวัน มีข้าวกิน มีเงินใช้ อยากทำอะไรก็ทำ มันควรจะเป็นชีวิตที่ดีไหม และบอกว่ามีหนังสือชื่อ Resiliece บอกถึงความสุขของมนุษย์ไว้สามแง่ คือ 1.ความสุขในความต้องการพื้นฐานทั่วไป 2.ความสุขจากการรู้สึกขอบคุณโลกที่เราอยู่อาศัย 3.ความสุขที่เกิดจากการกัาวข้ามผ่านอุปสรรคยากๆ ซึ่งคุณนิ้วกลมสรุปตามหนังสือไว้เลยว่า ถ้าคุณขาดข้อสาม ยากที่ชีวิตจะมีความสุข สักพักคนๆนั้น จะต้องเป็นโรคซึมเศร้าแน่นอน
จึงอยากจะถามนักลงทุน Vi ที่มีนิสัยการลงทุนระยะยาวครับว่า การที่เรารับปันผล ออกจากงาน เกษียณตัวเอง หุ้นบางตัวถือห้าปีสิบปี แทบไม่เคยซื้อขายเลย หากไม่ได้มีงานพูด มีภารกิจเหมือนนักลงทุน Vi ดังๆแล้ว การที่เรามีชีวิตอยู่ๆไประยะหนึ่ง มันจะมทำให้เราอับเฉา ห่อเหี่ยวหรือไม่ หรือว่าชีวิตหลังออกจากงานมาสักสองปีแล้วเป็นอย่างไร มีความสุขดี หรือยังไง
เพื่อเป็นวิทยาทานสำหรับนักลงทุนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จในการลงทุน แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตการคิดได้ใช้เป็นวิทยาทานด้วยครับ
คราวนี้ผมไปเจอคลิปหนึ่ง ของคุณนิ้วกลม https://youtu.be/fgYbIBOqRRQ เค้าตั้งคำถามว่า การที่เราตื่นนอนทุกวัน มีข้าวกิน มีเงินใช้ อยากทำอะไรก็ทำ มันควรจะเป็นชีวิตที่ดีไหม และบอกว่ามีหนังสือชื่อ Resiliece บอกถึงความสุขของมนุษย์ไว้สามแง่ คือ 1.ความสุขในความต้องการพื้นฐานทั่วไป 2.ความสุขจากการรู้สึกขอบคุณโลกที่เราอยู่อาศัย 3.ความสุขที่เกิดจากการกัาวข้ามผ่านอุปสรรคยากๆ ซึ่งคุณนิ้วกลมสรุปตามหนังสือไว้เลยว่า ถ้าคุณขาดข้อสาม ยากที่ชีวิตจะมีความสุข สักพักคนๆนั้น จะต้องเป็นโรคซึมเศร้าแน่นอน
จึงอยากจะถามนักลงทุน Vi ที่มีนิสัยการลงทุนระยะยาวครับว่า การที่เรารับปันผล ออกจากงาน เกษียณตัวเอง หุ้นบางตัวถือห้าปีสิบปี แทบไม่เคยซื้อขายเลย หากไม่ได้มีงานพูด มีภารกิจเหมือนนักลงทุน Vi ดังๆแล้ว การที่เรามีชีวิตอยู่ๆไประยะหนึ่ง มันจะมทำให้เราอับเฉา ห่อเหี่ยวหรือไม่ หรือว่าชีวิตหลังออกจากงานมาสักสองปีแล้วเป็นอย่างไร มีความสุขดี หรือยังไง
เพื่อเป็นวิทยาทานสำหรับนักลงทุนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จในการลงทุน แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตการคิดได้ใช้เป็นวิทยาทานด้วยครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1575
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คนที่ถึงอิสระภาพทางการเงินแล้ว วันๆกระดิกเท้ารับปันผล ช
โพสต์ที่ 3
ลองจัดสรรเวลาในตอนนี้เท่าที่หาได้
แล้วเดินเส้นทางธรรมดูครับ
อาจจะพบหนทางที่เหมาะสมกับนักลงทุนระยะยาวได้เลยครับ
ลองอ่านในกระทู้ "เส้นทางธรรมกับการลงทุนวีไอ" ดูก่อนก็ได้นะครับ
แล้วเดินเส้นทางธรรมดูครับ
อาจจะพบหนทางที่เหมาะสมกับนักลงทุนระยะยาวได้เลยครับ
ลองอ่านในกระทู้ "เส้นทางธรรมกับการลงทุนวีไอ" ดูก่อนก็ได้นะครับ
ดู clip รายการ money talk ย้อนหลังได้ที่
http://www.facebook.com/MoneyTalkTV
http://www.facebook.com/MoneyTalkTV
- newbie_12
- Verified User
- โพสต์: 2904
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คนที่ถึงอิสระภาพทางการเงินแล้ว วันๆกระดิกเท้ารับปันผล ช
โพสต์ที่ 4
ผมเลิกทำงานประจำตอนอายุ 32 ตอนนี้ 38 ก็ปาเข้าไป 6 ปี เป็นนักลงทุน full-time และไม่ได้ชื่อดัง ไม่มีงานพูด ไม่ค่อยได้ไป visit บริษัทใดๆ ไปประชุมผู้ถือหุ้นปีละราวๆ 2 บริษัท บางปีไม่ได้ไปเลย น่าจะเข้าข่ายที่จะตอบคำถามเจ้าของกระทู้ได้นะครับ
ถามว่าไม่ได้ทำงานแล้วห่อเหี่ยวมั้ย
ไม่เลยครับ ปกติดีทุกอย่าง ชีวิตถือว่าดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ ดีดตัวออกงาน office ที่รู้ๆกันอยู่กับปัญหาโลกแตกทั้งหลายเช่น ฝ่าการจราจรในกทม คับที่อยู่ได้คับใจอยู่ยากหรือดราม่าไร้สาระใน office อะไรทำนองนั้น เพื่อนๆผมหลายคนก็อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ไม่ได้ทำงานประจำเหมือนกัน พวกเค้าก็ไม่ได้ห่อเหียวอะไรครับ
ถามว่าไม่ห่อเหี่ยวแล้วเบื่อมั้ย วันๆไม่มีอะไรทำ
ผมคิดว่าเบื่อหรือไม่เบื่อมันขึ้นกะนิสัยของเจ้าตัวมากกว่าครับ บางคนชอบเข้าสังคม ชอบทำงานที่เจอผู้เจอคนเยอะแยะ ชอบงานปาร์ตี้เปิดตัวสินค้า กลุ่มพวกนี้ก็อาจจะเบื่อได้มั้งครับ
แต่กรณีของผม ผมเฉยๆมากกว่า เบื่อก็ช่างมัน ไม่เบื่อก็ช่างมัน ไม่เดือดร้อนกะความเบื่อหรือไม่เบื่อ
การหันหน้าเข้าหาทางธรรมอย่างที่พี่เด็กใหม่ไฟแรงแนะนำก็ดีนะครับ การทำงานหาเงินเราทำเพื่อ "เลี้ยงกาย" นี้เท่านั้น ซึ่งอย่างเก่งก็ไม่เกิน 100 ปี เมื่อถึงจุดหนึ่งก็ควรจะพอแล้ว เพราะสุดท้ายไม่ว่าจะมีเงินเยอะเท่าไหร่ เราก็ต้องทิ้งกายทิ้งสมบัติที่หาไว้ได้ทั้งหมดอยู่ดี
การหันเข้าหาทางธรรมผมว่าเป็นการสร้างบุญกุศล ส่งเสริมสติปัญญาที่จะติดกะเราไปอีกไกลหลายอสงไขย ถ้าไม่สะสมสติปัญญาความเข้าใจในธรรม ก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในนี้อีกไม่มีประมาณ น่ากลัวนะครับ
ถามว่าไม่ได้ทำงานแล้วห่อเหี่ยวมั้ย
ไม่เลยครับ ปกติดีทุกอย่าง ชีวิตถือว่าดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ ดีดตัวออกงาน office ที่รู้ๆกันอยู่กับปัญหาโลกแตกทั้งหลายเช่น ฝ่าการจราจรในกทม คับที่อยู่ได้คับใจอยู่ยากหรือดราม่าไร้สาระใน office อะไรทำนองนั้น เพื่อนๆผมหลายคนก็อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ไม่ได้ทำงานประจำเหมือนกัน พวกเค้าก็ไม่ได้ห่อเหียวอะไรครับ
ถามว่าไม่ห่อเหี่ยวแล้วเบื่อมั้ย วันๆไม่มีอะไรทำ
ผมคิดว่าเบื่อหรือไม่เบื่อมันขึ้นกะนิสัยของเจ้าตัวมากกว่าครับ บางคนชอบเข้าสังคม ชอบทำงานที่เจอผู้เจอคนเยอะแยะ ชอบงานปาร์ตี้เปิดตัวสินค้า กลุ่มพวกนี้ก็อาจจะเบื่อได้มั้งครับ
แต่กรณีของผม ผมเฉยๆมากกว่า เบื่อก็ช่างมัน ไม่เบื่อก็ช่างมัน ไม่เดือดร้อนกะความเบื่อหรือไม่เบื่อ
การหันหน้าเข้าหาทางธรรมอย่างที่พี่เด็กใหม่ไฟแรงแนะนำก็ดีนะครับ การทำงานหาเงินเราทำเพื่อ "เลี้ยงกาย" นี้เท่านั้น ซึ่งอย่างเก่งก็ไม่เกิน 100 ปี เมื่อถึงจุดหนึ่งก็ควรจะพอแล้ว เพราะสุดท้ายไม่ว่าจะมีเงินเยอะเท่าไหร่ เราก็ต้องทิ้งกายทิ้งสมบัติที่หาไว้ได้ทั้งหมดอยู่ดี
การหันเข้าหาทางธรรมผมว่าเป็นการสร้างบุญกุศล ส่งเสริมสติปัญญาที่จะติดกะเราไปอีกไกลหลายอสงไขย ถ้าไม่สะสมสติปัญญาความเข้าใจในธรรม ก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในนี้อีกไม่มีประมาณ น่ากลัวนะครับ
.
.
อดีตอันรุ่งโรจน์ ไม่ได้การันตีอนาคตจะรุ่งเรือง
----------------------------
.
อดีตอันรุ่งโรจน์ ไม่ได้การันตีอนาคตจะรุ่งเรือง
----------------------------
- คนขายของ
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 788
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คนที่ถึงอิสระภาพทางการเงินแล้ว วันๆกระดิกเท้ารับปันผล ช
โพสต์ที่ 5
ผมเคยเขียนบทความนี้ไว้สักพักหนึ่งแล้ว เผื่อเป็นประโยชน์กับเจ้าของกระทู้ครับ
ที่สุดของ VI
กุมภาพันธ์ 19, 2015 Filed under บทความ Posted by คนขายของ
พัฒนาการ ของการเป็นนักลงทุนนั้นผมเชื่อว่าคล้ายกับช่วงชีวิตของคนเราที่มีรายละเอียด แตกต่างกันไปในแต่ละช่วงอายุ เช่นตอนเป็นเด็กก็ชอบของเล่น เป็นวัยรุ่นก็สนใจเรื่องแฟน โตมาหน่อยก็เรื่องหน้าที่การงาน หรือจะว่าอีกอย่าง พัฒนาการของนักลงทุนคงคล้ายกับวงจรผีเสื้อซึ่งตอนแรกเกิดมาเป็นหนอนแล้วกลาย มา เป็นตัวอ่อน มาเป็นดักแด้ แล้วค่อยกลายมาเป็นผีเสื้อที่สวยงาม ในบทความนี้ผมได้ลองแบ่งพัฒนาการ การลงทุนออกเป็นสี่ระยะด้วยกัน เราลองมาดูกันนะครับว่าแต่ละช่วงมีรายละเอียดเป็นอย่างไรกันบ้าง
พัฒนาการ แรกขอเรียกว่าระยะ “ตั้งหลัก” หากคุณเป็นคนที่เรียนจบมาที่บ้านไม่ได้มีเงินทองมากองให้ ไม่มีกิจการร้านรวงอะไร ส่วนใหญ่หลังจากจบมาแล้วได้ใช้เงินไปกับการเที่ยวเตร่ตามประสาคนเริ่มมี เงินเดือนได้สักปีสองปีก็เริ่มรู้สึกตัวได้ว่าต้องเริ่มเก็บออม ในระยะนี้บางคนเริ่มสนใจลงทุนบ้างแล้วแต่ก็ รู้สึกว่าผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนนั้นน้อยกว่ารายได้จากการทำงานมากๆ การประหยัดอดออมจึงเป็น หัวใจหลักสำหรับในช่วงนี้ที่จะทำให้มูลค่าพอร์ตเติบโตไปได้ ความรู้ในการลงทุนก็มีไม่มาก ดังนั้นโอกาส ขาดทุนมีสูงมากและอาจจะเป็นตัวฉุดมากกว่าตัวเสริมความมั่งคั่งด้วยซ้ำ
พัฒนาการ ที่สองขอเรียกว่าระยะ “วัยเรียน” ในช่วงนี้หลังจากที่การออมเริ่มเห็นผล จะเป็นช่วงที่นักลงทุน ขยันเสาะหาความรู้เรื่องการลงทุนมากขึ้นเพราะเงินลงทุนก้อนเริ่มใหญ่ขึ้น แต่เนื่องจากความรู้และ ประสบการณ์ยังไม่มาก ผลก็เลยออกมาแบบแพ้ชนะสลับกันไป ได้มาบ้างเสียไปบ้าง ขายตัวนั้นไปได้กำไรมา ซื้อตัวใหม่มากลับขาดทุน ทั้งนี้เพราะยังเห็น “ภาพใหญ่” ของการลงทุนไม่ชัดเจน ยังเหมือนตาบอดคลำช้าง อยู่ มองการลงทุนออกเป็นส่วนๆ ความรู้ที่สะสมมายังไม่ตกผลึก ทำให้ต้องเร่งขวนขวายมากขึ้น รายได้จาก การทำงานกับรายได้จากการลงทุน เริ่มมีน้ำหนักใกล้เคียงกัน การออมยังคงมีความสำคัญต่อการสร้าง ความมั่งคั่ง
พัฒนาการที่สามขอ เรียกว่าระยะ “เติบโต” หลังจากอดออมมานาน พัฒนาความรู้เรื่องการลงทุนมาพอสมควร เริ่มมีความชำนาญมากขึ้น ไม่ได้ตัดสินใจในการลงทุนด้วยอะไรเพียงอย่างเดียวเช่น ดูเฉพาะค่า PE หรือ ดูเฉพาะเงินปันผลของบริษัท แต่มองภาพรวมของธุรกิจ ทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม เริ่มศึกษาประวัติผู้บริหาร ทำการวิเคราะห์บริษัททั้งในแง่อัตราส่วนทางการเงิน และ ความสามารถในการ แข่งขัน พอร์ตเริ่มโตต่อเนื่องยาวนานหลายปี เป็นช่วงสร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเองและครอบครัว รายได้จาก งานประจำเริ่มมีน้ำหนักน้อยลงมาก บางคนพอร์ตโตมากจนมีอิสระภาพทางการเงินและออกมาเป็นนักลงทุน แบบ “Full Time”
มีหลายๆคนคงคิดว่าที่สุดของชีวิตการเป็นนักลงทุนคงมาหยุดอยู่ ที่ตรงนี้ คือการมีอิสระภาพทางการเงิน และชีวิตก็สร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเองไปเรื่อยๆ จากสิบเป็นร้อย จากร้อยมุ่งเป็นพันเป็นหมื่นประมาณนั้น ผมลองศึกษาชีวิตของนักลงทุนชั้นเซียนระดับโลก หลายคนมีชื่อติดหนึ่งในร้อยของอันดับมหาเศรษฐีของโลก เพื่อที่จะดูว่าหลังจากที่เขาสร้างความมั่งคั่งมากมายแล้วเขาทำอะไรกัน?
ผม พบว่าหลายๆท่านยังไม่หยุดอยู่แค่ “การสร้างความมั่งคั่ง” แต่กลับมุ่งสู่พัฒนาการที่ขั้นสี่ ซึ่งผมขอเรียกว่า ระยะ “ทำประโยชน์” อย่างเช่น Warren Buffett ได้เริ่มโครงการ “The Giving Pledge” ในปี 2010 โดยได้ชักชวนมหาเศรษฐีทั้งหลายให้บริจาคเงินอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของความ มั่งคั่งทั้งหมดเพื่อการกุศล ซึ่งอภิมหาเศรษฐีนักลงทุน Ray Dalio ได้ตอบรับการเข้าร่วมโครงการนี้ หรืออย่าง George Soros เขามีมูลนิธิที่เขาก่อตั้งเองให้การสนับสนุนเงินทุนวิจัยและการศึกษา โดยเน้นประเทศแถบยุโรปตะวันออก ผู้จัดการกองทุนชื่อก้องโลก Peter Lynch ที่นักลงทุนไทยหลายคนรู้จักดี ตอนนี้เขาไม่ได้รับบริหาร กองทุนเหมือนแต่ก่อนแล้วแต่ให้เวลาส่วน ใหญ่แก่ “Lynch Foundation” ซึ่งเน้นการบริจาคเงินเพื่อ การกุศล
เราจะเห็นได้ว่า “พัฒนาการที่สี่” ซึ่งว่าด้วยการทำประโยชน์แก่ส่วนรวมนั้น ใช้ทักษะที่แตกต่างจาก พัฒนาการในช่วงที่หนึ่งถึงสามเป็นอย่างมาก เพราะในช่วงที่สี่นี้ นักลงทุนจะต้อง “จ่าย” หรือ “ใช้” ความมั่งคั่งที่อุตส่าห์เก็บออมและลงทุนออกไป ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่ตรงกันข้ามกับที่เคยทำมาตลอด ทำให้อาจจะมีนักลงทุนบางคนไม่สามารถก้าวข้ามไปถึง “ที่สุด” ของการเป็นนักลงทุนได้ แต่หากเขา ลองพิจารณาให้ดีก็อาจจะเห็นว่า เงินที่หามาได้นั้นจะมีประโยชน์อย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อได้ใช้มันออกไป ในทางที่ถูกที่ควร ไม่เช่นนั้นก็คงกับเหมือนที่มีผู้กล่าวไว้ว่า “หนังสือที่ซื้อไว้แต่ไม่ได้อ่าน มีดที่แหลมคมแต่เอามาแขวนประดับ เงินทองที่มีแต่ไม่ได้ใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ตัวเองและผู้อื่น สามอย่างนี้มีไว้ก็เหมือนไม่มี ซ้ำยังเป็นภาระต้องคอยดูแลรักษาอีกต่างหาก”
แสดงความเห็น
ที่สุดของ VI
กุมภาพันธ์ 19, 2015 Filed under บทความ Posted by คนขายของ
พัฒนาการ ของการเป็นนักลงทุนนั้นผมเชื่อว่าคล้ายกับช่วงชีวิตของคนเราที่มีรายละเอียด แตกต่างกันไปในแต่ละช่วงอายุ เช่นตอนเป็นเด็กก็ชอบของเล่น เป็นวัยรุ่นก็สนใจเรื่องแฟน โตมาหน่อยก็เรื่องหน้าที่การงาน หรือจะว่าอีกอย่าง พัฒนาการของนักลงทุนคงคล้ายกับวงจรผีเสื้อซึ่งตอนแรกเกิดมาเป็นหนอนแล้วกลาย มา เป็นตัวอ่อน มาเป็นดักแด้ แล้วค่อยกลายมาเป็นผีเสื้อที่สวยงาม ในบทความนี้ผมได้ลองแบ่งพัฒนาการ การลงทุนออกเป็นสี่ระยะด้วยกัน เราลองมาดูกันนะครับว่าแต่ละช่วงมีรายละเอียดเป็นอย่างไรกันบ้าง
พัฒนาการ แรกขอเรียกว่าระยะ “ตั้งหลัก” หากคุณเป็นคนที่เรียนจบมาที่บ้านไม่ได้มีเงินทองมากองให้ ไม่มีกิจการร้านรวงอะไร ส่วนใหญ่หลังจากจบมาแล้วได้ใช้เงินไปกับการเที่ยวเตร่ตามประสาคนเริ่มมี เงินเดือนได้สักปีสองปีก็เริ่มรู้สึกตัวได้ว่าต้องเริ่มเก็บออม ในระยะนี้บางคนเริ่มสนใจลงทุนบ้างแล้วแต่ก็ รู้สึกว่าผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนนั้นน้อยกว่ารายได้จากการทำงานมากๆ การประหยัดอดออมจึงเป็น หัวใจหลักสำหรับในช่วงนี้ที่จะทำให้มูลค่าพอร์ตเติบโตไปได้ ความรู้ในการลงทุนก็มีไม่มาก ดังนั้นโอกาส ขาดทุนมีสูงมากและอาจจะเป็นตัวฉุดมากกว่าตัวเสริมความมั่งคั่งด้วยซ้ำ
พัฒนาการ ที่สองขอเรียกว่าระยะ “วัยเรียน” ในช่วงนี้หลังจากที่การออมเริ่มเห็นผล จะเป็นช่วงที่นักลงทุน ขยันเสาะหาความรู้เรื่องการลงทุนมากขึ้นเพราะเงินลงทุนก้อนเริ่มใหญ่ขึ้น แต่เนื่องจากความรู้และ ประสบการณ์ยังไม่มาก ผลก็เลยออกมาแบบแพ้ชนะสลับกันไป ได้มาบ้างเสียไปบ้าง ขายตัวนั้นไปได้กำไรมา ซื้อตัวใหม่มากลับขาดทุน ทั้งนี้เพราะยังเห็น “ภาพใหญ่” ของการลงทุนไม่ชัดเจน ยังเหมือนตาบอดคลำช้าง อยู่ มองการลงทุนออกเป็นส่วนๆ ความรู้ที่สะสมมายังไม่ตกผลึก ทำให้ต้องเร่งขวนขวายมากขึ้น รายได้จาก การทำงานกับรายได้จากการลงทุน เริ่มมีน้ำหนักใกล้เคียงกัน การออมยังคงมีความสำคัญต่อการสร้าง ความมั่งคั่ง
พัฒนาการที่สามขอ เรียกว่าระยะ “เติบโต” หลังจากอดออมมานาน พัฒนาความรู้เรื่องการลงทุนมาพอสมควร เริ่มมีความชำนาญมากขึ้น ไม่ได้ตัดสินใจในการลงทุนด้วยอะไรเพียงอย่างเดียวเช่น ดูเฉพาะค่า PE หรือ ดูเฉพาะเงินปันผลของบริษัท แต่มองภาพรวมของธุรกิจ ทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม เริ่มศึกษาประวัติผู้บริหาร ทำการวิเคราะห์บริษัททั้งในแง่อัตราส่วนทางการเงิน และ ความสามารถในการ แข่งขัน พอร์ตเริ่มโตต่อเนื่องยาวนานหลายปี เป็นช่วงสร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเองและครอบครัว รายได้จาก งานประจำเริ่มมีน้ำหนักน้อยลงมาก บางคนพอร์ตโตมากจนมีอิสระภาพทางการเงินและออกมาเป็นนักลงทุน แบบ “Full Time”
มีหลายๆคนคงคิดว่าที่สุดของชีวิตการเป็นนักลงทุนคงมาหยุดอยู่ ที่ตรงนี้ คือการมีอิสระภาพทางการเงิน และชีวิตก็สร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเองไปเรื่อยๆ จากสิบเป็นร้อย จากร้อยมุ่งเป็นพันเป็นหมื่นประมาณนั้น ผมลองศึกษาชีวิตของนักลงทุนชั้นเซียนระดับโลก หลายคนมีชื่อติดหนึ่งในร้อยของอันดับมหาเศรษฐีของโลก เพื่อที่จะดูว่าหลังจากที่เขาสร้างความมั่งคั่งมากมายแล้วเขาทำอะไรกัน?
ผม พบว่าหลายๆท่านยังไม่หยุดอยู่แค่ “การสร้างความมั่งคั่ง” แต่กลับมุ่งสู่พัฒนาการที่ขั้นสี่ ซึ่งผมขอเรียกว่า ระยะ “ทำประโยชน์” อย่างเช่น Warren Buffett ได้เริ่มโครงการ “The Giving Pledge” ในปี 2010 โดยได้ชักชวนมหาเศรษฐีทั้งหลายให้บริจาคเงินอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของความ มั่งคั่งทั้งหมดเพื่อการกุศล ซึ่งอภิมหาเศรษฐีนักลงทุน Ray Dalio ได้ตอบรับการเข้าร่วมโครงการนี้ หรืออย่าง George Soros เขามีมูลนิธิที่เขาก่อตั้งเองให้การสนับสนุนเงินทุนวิจัยและการศึกษา โดยเน้นประเทศแถบยุโรปตะวันออก ผู้จัดการกองทุนชื่อก้องโลก Peter Lynch ที่นักลงทุนไทยหลายคนรู้จักดี ตอนนี้เขาไม่ได้รับบริหาร กองทุนเหมือนแต่ก่อนแล้วแต่ให้เวลาส่วน ใหญ่แก่ “Lynch Foundation” ซึ่งเน้นการบริจาคเงินเพื่อ การกุศล
เราจะเห็นได้ว่า “พัฒนาการที่สี่” ซึ่งว่าด้วยการทำประโยชน์แก่ส่วนรวมนั้น ใช้ทักษะที่แตกต่างจาก พัฒนาการในช่วงที่หนึ่งถึงสามเป็นอย่างมาก เพราะในช่วงที่สี่นี้ นักลงทุนจะต้อง “จ่าย” หรือ “ใช้” ความมั่งคั่งที่อุตส่าห์เก็บออมและลงทุนออกไป ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่ตรงกันข้ามกับที่เคยทำมาตลอด ทำให้อาจจะมีนักลงทุนบางคนไม่สามารถก้าวข้ามไปถึง “ที่สุด” ของการเป็นนักลงทุนได้ แต่หากเขา ลองพิจารณาให้ดีก็อาจจะเห็นว่า เงินที่หามาได้นั้นจะมีประโยชน์อย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อได้ใช้มันออกไป ในทางที่ถูกที่ควร ไม่เช่นนั้นก็คงกับเหมือนที่มีผู้กล่าวไว้ว่า “หนังสือที่ซื้อไว้แต่ไม่ได้อ่าน มีดที่แหลมคมแต่เอามาแขวนประดับ เงินทองที่มีแต่ไม่ได้ใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ตัวเองและผู้อื่น สามอย่างนี้มีไว้ก็เหมือนไม่มี ซ้ำยังเป็นภาระต้องคอยดูแลรักษาอีกต่างหาก”
แสดงความเห็น
อดทนไว้ กำไรยั่งยืน
-
- Verified User
- โพสต์: 4337
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คนที่ถึงอิสระภาพทางการเงินแล้ว วันๆกระดิกเท้ารับปันผล ช
โพสต์ที่ 6
มนุษย์เงินเดือนทำงานก็หวังเงินเดือนขึ้น ตำแหน่งใหญ่ขึ้น
นลทก็หวังได้เงินปันผลเพิ่มขึ้น พอร์ทใหญ่ขึ้น
นลทต้องเรียนรู้เกี่ยวกับอารมณ์ ความผิดหวังเช่น
หุ้นตก40-50%เงินปันผลหายไป60%ทำไงดี
นลทก็หวังได้เงินปันผลเพิ่มขึ้น พอร์ทใหญ่ขึ้น
นลทต้องเรียนรู้เกี่ยวกับอารมณ์ ความผิดหวังเช่น
หุ้นตก40-50%เงินปันผลหายไป60%ทำไงดี
-
- Verified User
- โพสต์: 100
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คนที่ถึงอิสระภาพทางการเงินแล้ว วันๆกระดิกเท้ารับปันผล ช
โพสต์ที่ 7
ผมเกษียณตัวเองมาลงทุนอย่างเดียวเกือบ12ปีแล้ว รายได้จากหุ้นแค่พออยู่ได้อย่างสมถะ ฟุ่มเฟือยไม่ได้ ชีวิตก็มีเบื่อๆอยากๆตามเรื่อง ก็พยายามหาอะไรทำแก้เบื่อไป แต่หากย้อนไปเปรียบเทียบกับสมัยเป็นมนุษย์เงินเดือนในกทม. ผมรู้สึกเหมือนว่าชีวิตตอนนี้ได้ผ่านนรกตอนนั้นมาเลยทีเดียว
-
- Verified User
- โพสต์: 2232
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คนที่ถึงอิสระภาพทางการเงินแล้ว วันๆกระดิกเท้ารับปันผล ช
โพสต์ที่ 8
เท่าที่ผมพอทราบนอกจากดร.นิเวศน์ที่เป็นสไตล์ถือยาวจริงๆ ก้อไม่ค่อยเห็นเซียนคนไหนกระดิกเท้ารับปันผลเฉยๆนะครับ ก้อยังขยันไปcv หาข้อมูล ดิ้นรนประหนึ่งมีพอร์ตเล็กๆอย่างผมอยู่เลย
นักเลงคีย์บอร์ด4.0
- theerasak24
- Verified User
- โพสต์: 614
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คนที่ถึงอิสระภาพทางการเงินแล้ว วันๆกระดิกเท้ารับปันผล ช
โพสต์ที่ 9
เป็นกระทู้ที่ดีมากครับ. สำหรับคนที่ยังไม่พบวันที่สำเร็จและอยากอกจากงานที่ทำอยู่ ก็อยากจะสัมผัสกับ รสชาติแบบนั้น ซึ่งมองว่ามันน่าจะเป็นสิ่งที่ดี ที่มีความสุข. ทำให้ครอบครัวสบาย หลุดจาก ภาวะที่ต้องดิ้นรนเพื่อหาค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้พอกับการดำรงอยู่ แต่อาจจจัพอถึงจุดๆนั้น ก็มีวามทุกข์ในแบบอื่นๆ เข้ามาอีกในรูปแบบที่ต่างกัน เพราะฉะนั้นผมว่า จะสุข หรือว่าทุกข์. นั้นขึ้นอยู่กับใจของเราใน แต่ละช่วงขณะ. ควรมีความสุข ในทุกข์ ขณะ ไม่ว่าจะช่วงที่ยังทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือน. หรือว่าประสพความสำเร็จ แล้ว เมื่อนั้นอหละผมว่าเป็นชีวิตที่น่าอิจฉาอย่างยิ่งครับ. ไม่รู้ว่าเกี่ยวกันป่าว
"เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะยังคงทำสิ่งต่างๆ ต่อไปตราบใดที่มันยังให้ความรื่นรมย์และคุณก็ทำมันได้ดี"
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3227
- ผู้ติดตาม: 4
Re: คนที่ถึงอิสระภาพทางการเงินแล้ว วันๆกระดิกเท้ารับปันผล ช
โพสต์ที่ 10
ถ้าพูดถึงบันได 5 ขั้นของ Maslow 2 ขั้นสุดท้ายก็ คือ Self-Esteem กับ Self-Actualization
ผมคิดว่าถ้าเราออกมาจากงานที่ทำให้เรารู้สึกมีคุณค่า มีความหมายกับชีวิต มาอยู่เฉยๆ มันคงจะอับเฉาอย่างแน่นอน
แต่ถ้าเราออกมาจากงานที่ทำให้เราอับเฉา วุ่ยวาย มาทำให้สิ่งที่มีค่ามากขึ้น ชีวิตอาจจะดีขึ้น
แต่ถ้าเราออกมาจากงานที่ทำให้เราอับเฉา วุ่ยวาย มาทำตัวไร้ค่า ไร้แก่นสาร ผมว่าชีวิตอาจจะแย่ลง
แต่ถ้าเราออกจากงานที่มีคุณค่าความหมาย มาทำสิ่งที่มีคุณค่าและความหมายที่ยิ่งใหญ่มาขึ้น สนอง Self-Esteem และ Self-Actualization ได้ดีมากยิ่งขึ้น ชีวิตจะยิ่งมีความหมายยิ่งขึ้น
โดยส่วนตัวแล้ว ผมออกจากงานมากระดิกเท้ารับผลตอบแทนจากเงินลงทุนจริงๆ ครับ ชีวิตนักลงทุนตอนนี้ อยู่ในระดับใช้เวลากับการลงทุน หรือเกี่ยวกับการลงทุน น้อยกว่า 1% ของชีวิต แต่ได้ผลตอบแทนมากพอที่จะใช้ในแต่ละปีได้สบายๆ
เวลาที่เป็นอิสระจากงานประจำ และจากการลงทุน ผมเอาไปใช้ในเรื่องที่เกี่ยวกับ Self-Actualization ครับ คือ
1) ผมกลับเข้ามาเรียนรู้ร่างกายตัวเองอย่างละเอียดๆ จากการศึกษาปัญหาของร่างกายตัวเอง การออกกำลังกาย และศึกษาถึง Potential ของร่างกายตัวเอง เพื่อปรับร่างกายตัวเองให้อยู่ในจุดที่สมดุลแข็งแรงในระยะยาว
2) ผมเข้ามาศึกษาเรียนรู้จิตใจตัวเอง ให้เข้าใจถึงศักยภาพของจิตใจ ฝึกฝน ทำเข้าใจการเกิดดับ การปรุงแต่ง ธรรมชาติของจิต ตลอดจนลักษณะแต่ละประเภทของจิต
3) นอกจากสองเรื่องข้างต้น ก็เป็นเรื่องสัพเพเหระทั่วไปครับ มีเรื่องอะไรเข้ามาให้แก้ไขก็แก้ไข มีคนเข้ามาขอความช่วยเหลือก็ช่วยเหลือ มีสิ่งดีๆ ที่เราทำอะไรให้กับคนอื่นได้บ้างก็ทำ ใช้ชีวิตอย่างสงบเสงี่ยม สร้างปัญหาให้น้อย แกว่งเท้าหาเสี้ยนให้น้อย เอาเวลาที่เรามีอยู่อย่างจำกัดไปทำเรื่องที่เป็นสาระจริงๆ ของเรา ไม่เอาเวลาไปใช้อย่างเปล่าเปลืองให้กับคนอื่นมากนัก เพราะ ชีวิตเรามีอยู่อย่างจำกัด ตัวผมเองอีกไม่กี่ปีก็ต้องตายแล้ว การงาน สาระหลักในเรื่องกายใจเราเองยังไม่แจ้ง ผมไม่อยากเสียเวลาอะไรมากนักไปกับเรื่องที่ไม่ใช่สาระของชีวิต
ทำอย่างนี้แล้ว ได้ข้อสรุปอย่างไรบ้าง?
สนุกดีครับ ผมรู้สึกว่าชีวิตของผมช่วงนี้มีคุณค่า สนุกทุกขณะ สามารถเข้าถึงความสุขทุกครั้งเมื่อใช้เครื่องมือที่ถูกต้อง สุขที่เกิดจากการได้รู้อะไรที่เป็นสาระจริงๆ ในชีวิต และเอาไปใช้ประโยชน์ได้จริง เป็นสุขที่ผมคิดว่ายั่งยืนกว่าสุขในอดีตที่เคยประสบมา
ผมคิดว่าถ้าเราออกมาจากงานที่ทำให้เรารู้สึกมีคุณค่า มีความหมายกับชีวิต มาอยู่เฉยๆ มันคงจะอับเฉาอย่างแน่นอน
แต่ถ้าเราออกมาจากงานที่ทำให้เราอับเฉา วุ่ยวาย มาทำให้สิ่งที่มีค่ามากขึ้น ชีวิตอาจจะดีขึ้น
แต่ถ้าเราออกมาจากงานที่ทำให้เราอับเฉา วุ่ยวาย มาทำตัวไร้ค่า ไร้แก่นสาร ผมว่าชีวิตอาจจะแย่ลง
แต่ถ้าเราออกจากงานที่มีคุณค่าความหมาย มาทำสิ่งที่มีคุณค่าและความหมายที่ยิ่งใหญ่มาขึ้น สนอง Self-Esteem และ Self-Actualization ได้ดีมากยิ่งขึ้น ชีวิตจะยิ่งมีความหมายยิ่งขึ้น
โดยส่วนตัวแล้ว ผมออกจากงานมากระดิกเท้ารับผลตอบแทนจากเงินลงทุนจริงๆ ครับ ชีวิตนักลงทุนตอนนี้ อยู่ในระดับใช้เวลากับการลงทุน หรือเกี่ยวกับการลงทุน น้อยกว่า 1% ของชีวิต แต่ได้ผลตอบแทนมากพอที่จะใช้ในแต่ละปีได้สบายๆ
เวลาที่เป็นอิสระจากงานประจำ และจากการลงทุน ผมเอาไปใช้ในเรื่องที่เกี่ยวกับ Self-Actualization ครับ คือ
1) ผมกลับเข้ามาเรียนรู้ร่างกายตัวเองอย่างละเอียดๆ จากการศึกษาปัญหาของร่างกายตัวเอง การออกกำลังกาย และศึกษาถึง Potential ของร่างกายตัวเอง เพื่อปรับร่างกายตัวเองให้อยู่ในจุดที่สมดุลแข็งแรงในระยะยาว
2) ผมเข้ามาศึกษาเรียนรู้จิตใจตัวเอง ให้เข้าใจถึงศักยภาพของจิตใจ ฝึกฝน ทำเข้าใจการเกิดดับ การปรุงแต่ง ธรรมชาติของจิต ตลอดจนลักษณะแต่ละประเภทของจิต
3) นอกจากสองเรื่องข้างต้น ก็เป็นเรื่องสัพเพเหระทั่วไปครับ มีเรื่องอะไรเข้ามาให้แก้ไขก็แก้ไข มีคนเข้ามาขอความช่วยเหลือก็ช่วยเหลือ มีสิ่งดีๆ ที่เราทำอะไรให้กับคนอื่นได้บ้างก็ทำ ใช้ชีวิตอย่างสงบเสงี่ยม สร้างปัญหาให้น้อย แกว่งเท้าหาเสี้ยนให้น้อย เอาเวลาที่เรามีอยู่อย่างจำกัดไปทำเรื่องที่เป็นสาระจริงๆ ของเรา ไม่เอาเวลาไปใช้อย่างเปล่าเปลืองให้กับคนอื่นมากนัก เพราะ ชีวิตเรามีอยู่อย่างจำกัด ตัวผมเองอีกไม่กี่ปีก็ต้องตายแล้ว การงาน สาระหลักในเรื่องกายใจเราเองยังไม่แจ้ง ผมไม่อยากเสียเวลาอะไรมากนักไปกับเรื่องที่ไม่ใช่สาระของชีวิต
ทำอย่างนี้แล้ว ได้ข้อสรุปอย่างไรบ้าง?
สนุกดีครับ ผมรู้สึกว่าชีวิตของผมช่วงนี้มีคุณค่า สนุกทุกขณะ สามารถเข้าถึงความสุขทุกครั้งเมื่อใช้เครื่องมือที่ถูกต้อง สุขที่เกิดจากการได้รู้อะไรที่เป็นสาระจริงๆ ในชีวิต และเอาไปใช้ประโยชน์ได้จริง เป็นสุขที่ผมคิดว่ายั่งยืนกว่าสุขในอดีตที่เคยประสบมา
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
- oatty
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2444
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คนที่ถึงอิสระภาพทางการเงินแล้ว วันๆกระดิกเท้ารับปันผล ช
โพสต์ที่ 11
เราเกิดมาบนโลก แต่อย่าติดในโลก
หากว่าไม่มีปัญหาด้านการเงินแล้ว ก็หาทางทำประโยชน์คืนแก่โลก
แค่นี้ก็หมดเวลาเบื่อแล้ว
หากว่าไม่มีปัญหาด้านการเงินแล้ว ก็หาทางทำประโยชน์คืนแก่โลก
แค่นี้ก็หมดเวลาเบื่อแล้ว
"ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี" ว.วชิรเมธี
- Tibular
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 522
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คนที่ถึงอิสระภาพทางการเงินแล้ว วันๆกระดิกเท้ารับปันผล ช
โพสต์ที่ 12
ยังไม่ควรออกจากงานครับ
ถ้ามุ่งมั่นในการลงทุน สำหรับนักลงทุนส่วนบุคคลแล้ว
การมีเงินมาเติมพอร์ตจากรายได้อย่างเงินเดือน ฯลฯ ถือว่าดีมาก ดีกว่ามาหวังพึ่งกำไรจากการลงทุนหรือเงินปันผลที่เหลือจากรายจ่ายของเรา
มาลงทุนเพิ่ม ซึ่งนับจากนี้การลงทุนจะหวังผลตอบแทนระดับสูงได้ยากพอสมควร
บัฟเฟตเอง ก็ไม่ได้ใช้เงินลงทุนอย่างเดียว แต่มีเงินทุนเพิ่มเติมจากบรัษทประกัน และอื่นๆ
การทำงานอย่างมีความสุข ไม่ใช่การหนีปัญหาต่างๆ แม้จะออกจากงานเป็นนักลงทุนเต็มเวลา ก็จะเจอปัญหาอีก
ถ้ามีโอกาสอยู่แล้วควรใช้ให้เกิดประโยชน์ที่สุด อย่าประมาทเพราะการลงทุนนั้นมีโอกาสผิดพลาดได้เสมอ คุณจะเครียดเปล่าๆ
อย่าเพิ่งไปฟังความเห็น นักเขียน หรือกูรูคนนั้นคนนี้ แล้วเอามาเป็นบรรทัดฐาน ให้ถาม ตัวเอง ว่าสถานะ ความพร้อม ประสบการณ์
และการใช้ชีวิต คุณเองจะลำบากมากไหม อย่าให้ ความคิด ความอยาก ทิฐิ ความเชื่อ มาจูงคุณไป
พระผู้มีพระภาคเจ้า (ถ้าคุณนับถือพุทธ ซึ่งเป็นบุคคลที่คุณควรเชื่อมากที่สุด มากกว่าผู้รู้ใดๆ)
ทรงสอนไว้เรื่องกรรม กล่าวคือ ท่านว่าไว้ว่าเจตนา(ความคิด)ว่าเป็นกรรม ความคิดนั่นแหล่ะเป็นตัวกรรม คิดแล้วทำอะไร ให้มองให้รอบคอบ
ว่ากรรมนั้น ทำให้ตัวเองลำบาก ผู้อื่นลำบากหรือเปล่า เป็นประโยชน์ หรือ ไม่เป็นประโยชน์ เป็นกุศลไหม มีสุขเป็นผล มีสุขเป็นวิบาก(คือผลถัดไป)ไหม
หรือ เป็นอกุศล(การฆ่า การลักทรัพย์ พูดหยาบ พูดยุแยง เพ้อเจ้อไม่มีเหตุผล โกหก ล่วงเกินผู้คนที่มีผู้ปกป้องรักษา เสพสุราเมรัยจนครองสติไม่อยู่
และมีความคิดว่า ทำดีไม่มีผล ทำบุญบูชาไม่มีผล พ่อ แม่ ไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี โลกอื่นไม่มี สมณะผู้ปฏิบัติให้พ้นจากทุกข์ไม่มี)
ซึ่งทำให้ มีความทุกข์เป็นผล ทุกข์เป็นวิบาก หรือเปล่า แล้วค่อยคิดค่อยทำกรรมนั้นๆ
ถ้าจะทำอะไรลงไปพียงเพราะทัศนคติ แค่ว่า ความสุขที่เกิดจากการกัาวข้ามผ่านอุปสรรคยากๆ อย่างที่นักเขียนว่าไว้ตามหนังสือที่คุณอ่าน
ว่าจะทำให้ชีวิตยากจะมีความสุข นั้นเป็นจริงอย่างที่เค้าว่าไว้หรือเปล่า
ผมอยากให้กลับความคิดว่า
อุปสรรคยากๆตอนนี้ก็คือ ความคิดในหัวคุณนั่นแหละ ก้าวข้ามตรงนี้ไปได้คุณก็จะมีความสุข
ถ้ามุ่งมั่นในการลงทุน สำหรับนักลงทุนส่วนบุคคลแล้ว
การมีเงินมาเติมพอร์ตจากรายได้อย่างเงินเดือน ฯลฯ ถือว่าดีมาก ดีกว่ามาหวังพึ่งกำไรจากการลงทุนหรือเงินปันผลที่เหลือจากรายจ่ายของเรา
มาลงทุนเพิ่ม ซึ่งนับจากนี้การลงทุนจะหวังผลตอบแทนระดับสูงได้ยากพอสมควร
บัฟเฟตเอง ก็ไม่ได้ใช้เงินลงทุนอย่างเดียว แต่มีเงินทุนเพิ่มเติมจากบรัษทประกัน และอื่นๆ
การทำงานอย่างมีความสุข ไม่ใช่การหนีปัญหาต่างๆ แม้จะออกจากงานเป็นนักลงทุนเต็มเวลา ก็จะเจอปัญหาอีก
ถ้ามีโอกาสอยู่แล้วควรใช้ให้เกิดประโยชน์ที่สุด อย่าประมาทเพราะการลงทุนนั้นมีโอกาสผิดพลาดได้เสมอ คุณจะเครียดเปล่าๆ
อย่าเพิ่งไปฟังความเห็น นักเขียน หรือกูรูคนนั้นคนนี้ แล้วเอามาเป็นบรรทัดฐาน ให้ถาม ตัวเอง ว่าสถานะ ความพร้อม ประสบการณ์
และการใช้ชีวิต คุณเองจะลำบากมากไหม อย่าให้ ความคิด ความอยาก ทิฐิ ความเชื่อ มาจูงคุณไป
พระผู้มีพระภาคเจ้า (ถ้าคุณนับถือพุทธ ซึ่งเป็นบุคคลที่คุณควรเชื่อมากที่สุด มากกว่าผู้รู้ใดๆ)
ทรงสอนไว้เรื่องกรรม กล่าวคือ ท่านว่าไว้ว่าเจตนา(ความคิด)ว่าเป็นกรรม ความคิดนั่นแหล่ะเป็นตัวกรรม คิดแล้วทำอะไร ให้มองให้รอบคอบ
ว่ากรรมนั้น ทำให้ตัวเองลำบาก ผู้อื่นลำบากหรือเปล่า เป็นประโยชน์ หรือ ไม่เป็นประโยชน์ เป็นกุศลไหม มีสุขเป็นผล มีสุขเป็นวิบาก(คือผลถัดไป)ไหม
หรือ เป็นอกุศล(การฆ่า การลักทรัพย์ พูดหยาบ พูดยุแยง เพ้อเจ้อไม่มีเหตุผล โกหก ล่วงเกินผู้คนที่มีผู้ปกป้องรักษา เสพสุราเมรัยจนครองสติไม่อยู่
และมีความคิดว่า ทำดีไม่มีผล ทำบุญบูชาไม่มีผล พ่อ แม่ ไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี โลกอื่นไม่มี สมณะผู้ปฏิบัติให้พ้นจากทุกข์ไม่มี)
ซึ่งทำให้ มีความทุกข์เป็นผล ทุกข์เป็นวิบาก หรือเปล่า แล้วค่อยคิดค่อยทำกรรมนั้นๆ
ถ้าจะทำอะไรลงไปพียงเพราะทัศนคติ แค่ว่า ความสุขที่เกิดจากการกัาวข้ามผ่านอุปสรรคยากๆ อย่างที่นักเขียนว่าไว้ตามหนังสือที่คุณอ่าน
ว่าจะทำให้ชีวิตยากจะมีความสุข นั้นเป็นจริงอย่างที่เค้าว่าไว้หรือเปล่า
ผมอยากให้กลับความคิดว่า
อุปสรรคยากๆตอนนี้ก็คือ ความคิดในหัวคุณนั่นแหละ ก้าวข้ามตรงนี้ไปได้คุณก็จะมีความสุข
-
- Verified User
- โพสต์: 187
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คนที่ถึงอิสระภาพทางการเงินแล้ว วันๆกระดิกเท้ารับปันผล ช
โพสต์ที่ 13
เป็นผมจะลองดูนะครับ ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าตัวเองได้ลองทำหรอกครับ ไหนๆมีรายได้จากปันผลพอเลี้ยงตัวได้อยู่แล้วบวกกับงานที่ทำก็ไม่ได้ชอบเท่าไหร่ ลองออกมาเป้นนักลงทุนสักพัก
ไม่ชอบก็ค่อยไปหาอะไรที่ตัวเองชอบทำ ไม่มีประสบการณืก็ไปเรียนเพิ่มเติม ผมว่าถ้าเรามีรายได้พอเลี้ยงตัวแล้ว เราควรจะทำสิ่งที่ตัวเองชอบได้แล้วนะครับ
ลองออกแบบชีวิตตัวเองดู ผมทำบ่อยๆคือชอบมองภาพว่าชีวิตแบบไหนที่ทำให้เรามีความสุขที่สุด ลองออกแบบทั้งเรื่อง งาน ครอบครัว ชีวิต ความรัก จากนั้นก็ลองพยายามไปให้ถึงภาพนั้น บางเรื่องอาจจะยากเพราะไม่ใช่เรื่องของเราคนเดียว แต่เราก็สามารถออกแบบให้มันดีที่สุดได้ ผมชอบทำเพราะทำแล้วรู้สึกชีวิตมีเป้าหมาย
ไม่ชอบก็ค่อยไปหาอะไรที่ตัวเองชอบทำ ไม่มีประสบการณืก็ไปเรียนเพิ่มเติม ผมว่าถ้าเรามีรายได้พอเลี้ยงตัวแล้ว เราควรจะทำสิ่งที่ตัวเองชอบได้แล้วนะครับ
ลองออกแบบชีวิตตัวเองดู ผมทำบ่อยๆคือชอบมองภาพว่าชีวิตแบบไหนที่ทำให้เรามีความสุขที่สุด ลองออกแบบทั้งเรื่อง งาน ครอบครัว ชีวิต ความรัก จากนั้นก็ลองพยายามไปให้ถึงภาพนั้น บางเรื่องอาจจะยากเพราะไม่ใช่เรื่องของเราคนเดียว แต่เราก็สามารถออกแบบให้มันดีที่สุดได้ ผมชอบทำเพราะทำแล้วรู้สึกชีวิตมีเป้าหมาย
- Paul Octopus
- Verified User
- โพสต์: 798
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คนที่ถึงอิสระภาพทางการเงินแล้ว วันๆกระดิกเท้ารับปันผล ช
โพสต์ที่ 15
ได้มีโอกาสประชุมร่วมกับผู้ถือหุ้นรายสำคัญ และ ผู้บริหารสูงสุด ก่อนการประชุมผู้ถือหุ้นอย่างเป็นทางการของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง....miracle57 เขียน:สวัสดีครับ ขอเท้าความนิดนึง ตอนนี้ผมยังทำงานประจำอยู่ การลงทุนนับว่าประสบความสำเร็จพอสมควร พอร์ตประมาณ แต่หากนับเฉพาะปันผล ก็พออยู่ได้อย่างสบายหากไม่ฟุ่มเฟือยจนเกินไป เอาล่ะ ด้วยการงานของผมถามว่าชอบไหม ก็ไม่ได้ชอบเท่าไร ออกจากค่อนข้างเบื่อ และมีความเสี่ยงเล็กน้อยต่อชีวิตร่างกาย ในขณะที่หากจะออกจากงานไปลงทุนเต็มตัวก็กลัวจะสิ้นหวังแล้วกลับมาไม่ได้ ผมก็ครุ่นคิดมานานว่าควรจะเกษียณตัวเองแล้วหรือยัง ออกไปใช้ชีวิต ไปมีเวลา ไปหาความสุขตามที่ใจปรารถนา อย่างที่พี่นักลงทุน Vi หลายๆท่านทำกันมาแล้ว
คราวนี้ผมไปเจอคลิปหนึ่ง ของคุณนิ้วกลม https://youtu.be/fgYbIBOqRRQ เค้าตั้งคำถามว่า การที่เราตื่นนอนทุกวัน มีข้าวกิน มีเงินใช้ อยากทำอะไรก็ทำ มันควรจะเป็นชีวิตที่ดีไหม และบอกว่ามีหนังสือชื่อ Resiliece บอกถึงความสุขของมนุษย์ไว้สามแง่ คือ 1.ความสุขในความต้องการพื้นฐานทั่วไป 2.ความสุขจากการรู้สึกขอบคุณโลกที่เราอยู่อาศัย 3.ความสุขที่เกิดจากการกัาวข้ามผ่านอุปสรรคยากๆ ซึ่งคุณนิ้วกลมสรุปตามหนังสือไว้เลยว่า ถ้าคุณขาดข้อสาม ยากที่ชีวิตจะมีความสุข สักพักคนๆนั้น จะต้องเป็นโรคซึมเศร้าแน่นอน
จึงอยากจะถามนักลงทุน Vi ที่มีนิสัยการลงทุนระยะยาวครับว่า การที่เรารับปันผล ออกจากงาน เกษียณตัวเอง หุ้นบางตัวถือห้าปีสิบปี แทบไม่เคยซื้อขายเลย หากไม่ได้มีงานพูด มีภารกิจเหมือนนักลงทุน Vi ดังๆแล้ว การที่เรามีชีวิตอยู่ๆไประยะหนึ่ง มันจะมทำให้เราอับเฉา ห่อเหี่ยวหรือไม่ หรือว่าชีวิตหลังออกจากงานมาสักสองปีแล้วเป็นอย่างไร มีความสุขดี หรือยังไง
เพื่อเป็นวิทยาทานสำหรับนักลงทุนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จในการลงทุน แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตการคิดได้ใช้เป็นวิทยาทานด้วยครับ
ในกลุ่มผู้ถือหุ้นล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่ก้าวข้ามฯ และ พูดได้ว่ามีอิสระทางการเงินเต็มตัว น่าแปลกที่ทุกคนมีแนวคิดไปในทางเดียวกัน แต่สิ่งที่พูดออกมาขึ้นกับว่าเขาอายุเท่าไหร่กันแล้ว
ผมสรุป....มาให้แบบนี้นะครับ (บางส่วนเป็นคำพูดจริงๆ)
ผู้ก้าวข้ามฯ มีอิสระทางการเงินที่อายุ.....
40-50 ปี: "ผมไม่เสียเวลามานั่งตามราคาหุ้นว่ามันจะขึ้นหรือลงไปเท่าไหร่ เคยทำแบบนั้น มันทำให้เวลาของชีวิตมันสั้น หมดไปกับการมานั้งลุ้น นั่งหน้าจอฯ วันนี้ผมทำธุรกิจเล็กๆที่ใจผมชอบจริงๆ มันจะกำไรขาดทุนผมให้ความสำคัญมาที่หลัง รายได้จากหุ้นมันพออยู่แล้ว ผมอยู่กับธุรกิจฯนี้ได้ตลอดไม่น่าเบื่อ"
50-60 ปี: "เราจะยังสามารถช่วยคนรุ่นหลังๆที่กำลังมุ่งมั่นสร้างเนื้อสร้างตัวให้เขาประสบความสำเร็จได้อย่างไร มีรุ่นน้องหรือเด็กรุ่นใหม่ดูน่าเป็นห่วง เห็นการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เน้นแต่ความร่ำรวย เราจะทำให้เขาเข้าใจว่าธุรกิจมันเป็นเรื่องขององค์ประกอบหลายๆอย่าง ฯลฯ การดูแลสุขภาพและ การเข้าใจว่า เราเกิดมาทำไม เป็นเรื่องที่ท้าทายน่าศึกษาและปฏิบัติ เริ่มรู้สึกว่ายิ่งรู้ว่า เกิดมาทำไม มากเท่าไหร่ ความสุข (ความสงบทางใจ) ก็มีมากขึ้นเท่านั้น"
60-70 ปี: "ผมมองภาพรวม ไม่มองแบบเป็นส่วนๆ การลงทุนก็เช่นกันอะไรที่มันเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นภาพใหญ่ ภาพรวม และ เป็นภาพระยะยาวที่ชัดเจนผมจะอยู่กับมัน ผมไม่ลงทุนเพิ่มแล้ว ยกเว้นแต่ว่าเกิดวิกฤต เช่นครั้งที่น้ำท่วมใหญ่ ฯลฯ....ธรรมมะเป็นเรื่องที่ศึกษาปฏิบัติอย่างจริงจัง การเกิดมาต้องมีคุณค่าจริงๆ ไม่ใช่การปรุ่งแต่งอะไรก็ไม่รู้แบบในวัยรุ่นที่ผ่านมา"
70-80 ปี: "ผมยังเล่นกีฬาอยู่ทุกวัน หุ้นที่มีถือมาบางตัว มากกว่า 30 ปี บางตัวราคามัน 50 - 70 เท่าของต้นทุนที่ซื้อไปแล้ว ซื้อหุ้นไม่ขาย อะไรที่มันเป็นปัจจัย 4 หรือ เกิ่ยวกับ ดิน น้ำ ลม ไฟ ยังใงมันก็ต้องใช้ไม่เห็นต้องไปคิดอะไรกันมากมาย พวกเด็กๆทำใจไม่ค่อยได้เพราะไปกำหนดว่าต้องใช้เงินเท่าโน้นเท่านี้สำหรับมีชีวิตอยู่ จริงๆมันใช่รึเปล่า พอคิดแบบนี้ก็คิดแต่จะรวยกันท่าเดียว เสียเวลาในช่วงที่สำคัญไปหมด มีเงินใช้เดือนละ หมื่น กับ แสน มันไม่ได้ต่างกันเลยถ้ารู้จักคิด...จิตใจที่แจ่มใสกับสุขภาพที่ดีเป็นสิ่งที่เราต้องการจริงๆ ความตายไม่เคยคิดเลยคิดแล้วไม่มีประโยชน์"
ผมได้ประโยชน์ในเรื่องแนวคิดเรื่องนี้มากขึ้นๆ จริงๆ ไม่มีใครเบื่อเลยนะครับ เลยอยากจะ Share ให้ฟัง
Disclaimer & Disclosure: The articles posted only represent my personal view. They are by no means a guarantee to the stock performance. Have no plan to change my position to the stock mentioned over the next 72 hrs.
-
- Verified User
- โพสต์: 152
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คนที่ถึงอิสระภาพทางการเงินแล้ว วันๆกระดิกเท้ารับปันผล ช
โพสต์ที่ 16
พระพุทธเจ้ามุ่งเน้น อริยสัจ
คือการมองให้เห็นทุกข์ และรู้ว่าต้นเหตุของทุกข์คือ การยึด
ทางแก้คือ การไม่ยึด
สำหรับเครื่องมือที่ใช้คือ การภาวนาเจริญสติ
เพื่อให้รู้ว่าจิตในขณะนั้นหลงไปยึดกับสภาวะใดอยู่ เช่น รู้ว่าจิตกำลังเศร้า กลัว กังวล แม้แต่สุขก็ตามที
เมื่อรู้สภาวะ จากนั้นให้พิจารณาสภาวะนั้นๆเข้าสู่ลักษณะ 3 ประการ (ไตรลักษณ์)
เรียกว่าเดินปัญญา รู้ว่าทุกสภาวะล้วนไม่เที่ยง เกิดดับ ไม่มีตัวตนที่แท้จริง ไม่สามารถเข้าไปยึดอะไรได้
เมื่อเกิดปัญญารู้เท่าทันขึ้นบ่อยๆ จนกลายเป็นความเคยชิน จะเห็นว่าอะไรจำเป็นจริงๆกับชีวิต อะไรที่ไม่จำเป็นกับชีวิต
ชีวิตก็จะดำเนินไปอย่างเหมาะสมด้วยตัวมันเอง สมบูรณ์ ในทุกๆด้านภายใต้ปัญญา
แม้แต่ด้านการลงทุนก็จะทำได้อย่างเหมาะสม วางการลงทุนเป็นเครื่องมือที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการดำเนินชีวิต
ผมเองไม่ได้มีผลตอบแทนที่มากมาย แต่ถือว่าพอ พอที่จะเลือกเดินตามเส้นทางที่ตรงกับแก่นสาร สำคัญของตัวเราจริงๆ
คือการมองให้เห็นทุกข์ และรู้ว่าต้นเหตุของทุกข์คือ การยึด
ทางแก้คือ การไม่ยึด
สำหรับเครื่องมือที่ใช้คือ การภาวนาเจริญสติ
เพื่อให้รู้ว่าจิตในขณะนั้นหลงไปยึดกับสภาวะใดอยู่ เช่น รู้ว่าจิตกำลังเศร้า กลัว กังวล แม้แต่สุขก็ตามที
เมื่อรู้สภาวะ จากนั้นให้พิจารณาสภาวะนั้นๆเข้าสู่ลักษณะ 3 ประการ (ไตรลักษณ์)
เรียกว่าเดินปัญญา รู้ว่าทุกสภาวะล้วนไม่เที่ยง เกิดดับ ไม่มีตัวตนที่แท้จริง ไม่สามารถเข้าไปยึดอะไรได้
เมื่อเกิดปัญญารู้เท่าทันขึ้นบ่อยๆ จนกลายเป็นความเคยชิน จะเห็นว่าอะไรจำเป็นจริงๆกับชีวิต อะไรที่ไม่จำเป็นกับชีวิต
ชีวิตก็จะดำเนินไปอย่างเหมาะสมด้วยตัวมันเอง สมบูรณ์ ในทุกๆด้านภายใต้ปัญญา
แม้แต่ด้านการลงทุนก็จะทำได้อย่างเหมาะสม วางการลงทุนเป็นเครื่องมือที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการดำเนินชีวิต
ผมเองไม่ได้มีผลตอบแทนที่มากมาย แต่ถือว่าพอ พอที่จะเลือกเดินตามเส้นทางที่ตรงกับแก่นสาร สำคัญของตัวเราจริงๆ
- Linzhi
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1464
- ผู้ติดตาม: 1
Re: คนที่ถึงอิสระภาพทางการเงินแล้ว วันๆกระดิกเท้ารับปันผล ช
โพสต์ที่ 19
กระทู้ดีจังครับ ผมขอตอบแบบนี้แล้วกันครับ
1. แนะนำให้หาหนังสือเกี่ยวกับเรื่อง Positive Psychology อ่านดูครับ น่าจะได้คำตอบครบถ้วน
2. ถ้าไม่มีเวลา ลองดู Mind map สรุปของ Jonathan Haidt ก็อ่านง่ายหน่อย
3. ถ้าให้ผมสรุป
ส่วนตัวผมคิดว่า ชีวิตคนเราต้องหาอะไรทำครับ งานที่ยิ่งทำแล้วมีความหมายยิ่งดี
ส่วนเรื่องลงทุนหาเงิน อิสระภาพทางการเงินอะไรพวกนี้ มันอาจจะเป็นคนละเรื่องเดียวกันครับ
สองเรื่องนี้ ถึงจะเกื้อหนุนกัน ต้องแยกกันคิดครับ ถ้าเอามารวมกัน เราจะตัดสินใจผิดได้ง่าย ๆ ครับ
1. แนะนำให้หาหนังสือเกี่ยวกับเรื่อง Positive Psychology อ่านดูครับ น่าจะได้คำตอบครบถ้วน
2. ถ้าไม่มีเวลา ลองดู Mind map สรุปของ Jonathan Haidt ก็อ่านง่ายหน่อย
3. ถ้าให้ผมสรุป
ส่วนตัวผมคิดว่า ชีวิตคนเราต้องหาอะไรทำครับ งานที่ยิ่งทำแล้วมีความหมายยิ่งดี
ส่วนเรื่องลงทุนหาเงิน อิสระภาพทางการเงินอะไรพวกนี้ มันอาจจะเป็นคนละเรื่องเดียวกันครับ
สองเรื่องนี้ ถึงจะเกื้อหนุนกัน ต้องแยกกันคิดครับ ถ้าเอามารวมกัน เราจะตัดสินใจผิดได้ง่าย ๆ ครับ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
ก้าวช้า ๆ และเชื่อในปาฎิหารย์ของหุ้นเปลี่ยนชีวิต
There is no secret ingredient. It's just you.
There is no secret ingredient. It's just you.
- tum_H
- Verified User
- โพสต์: 1857
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คนที่ถึงอิสระภาพทางการเงินแล้ว วันๆกระดิกเท้ารับปันผล ช
โพสต์ที่ 21
ผมเจอคำถามคล้ายๆแบบนี้ ในวันที่ผมบอกผู้คนรอบข้างว่าผมจะขอลาออกจากการทำงาน แต่มันก็เป็นแผนที่ผมได้วางไว้อย่างยาวนานในการเตรียมการเกษียณตัวเองจากวังวนของการทำงานได้เสียที คำถามซ้ำๆกันจากผู้คนรอบข้างที่เหมือนกันคือ ออกไปไม่เบื่อเหรอ ไม่มีไรทำ ไม่มีเพื่อนร่วมงาน โอ้ยเราอยู่แบบนั้นไม่ได้หรอก พอผมได้ฟังแล้วผมก็แอบขำนิดๆเพราะรูปแบบชีวิตของแต่ล่ะคนไม่น่าเหมือนกันนะ
ผมวางแผนมาตั้งแต่ตอนยังเรียนมหาลัยว่าเราจะไม่มีวันที่จะทำงานไปตลอดชีวิตแน่ๆ เราต้องรีบทำงานเก็บเงิน ลงทุนและออกมาใช้ชีวิตในแบบที่เราชอบให้เร็วที่สุด จนเมื่อตอนทำงานก็บอกกับครอบครัวมาตลอดว่าจะลาออก แต่ก็เลื่อนมาเรื่อยๆ จนพ่อแม่ถามว่าไม่ออกแล้วเหรอ
เมื่อ 6 เดือนที่แล้ว เป็นช่วงเวลาที่จะอยู่ในความทรงจำของผมไปนานแสนนาน เพราะเป็นช่วงเวลาที่ผมตัดสินใจได้อย่างแน่วแน่แล้วว่า จะเกษียณตัวเองเสียทีและทำมันได้ในที่สุด เดือนนั้นเป็นเดือนที่มีความหมายกับผมมาก เพราะเกิดเหตุการณ์สำคัญที่ผมไม่อาจจะลืมเลือนทั้งในเรื่องส่วนตัวและรวมถึงเป็นเดือนที่ในหลวง ร.9 สวรรคตและเกิดขึ้นพร้อมๆกันในคราวเดียว
วันที่ผมทำงานวันสุดท้าย GM ที่เป็นชาวญี่ปุ่นมาจับมือขอบคุณผมและกล่าวว่า ขอบคุณนะครับ ที่ทำ project นี้จนสำเร็จได้อย่างสวยงาม ขอบคุณจริงๆครับและขอให้โชคดีนะครับ อาจเป็นเพราะท่านคงจะเคยได้ยินเรื่องราวของผมเกี่ยวกับการลาออกและเลิกทำงานกลับไปใช้ชีวิตในแบบที่วางแผนไว้ วันนั้นผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่การลาออก แต่มันคือวันที่เราได้บรรลุเป้าหมายแล้วมากกว่า อีกอย่างสำหรับผมนั้น งานมีปัญหา หรือ งานสบายไม่มีปัญหา ไม่ใช่ประเด็นสำหรับผมเลยที่ตัดสินใจในการลาออกในครั้งนี้ แต่มันคือรูปแบบชีวิตที่เราได้เลือกไว้นานแล้วมากกว่าครับ
ทุกวันนี้ผมว่าผมยุ่งนะ ยุ่งที่ต้องวางแผนในแต่ล่ะเดือนว่าจะต้องทำกิจกรรมอะไรหรือไปไหนบ้างและต้องรีบทำให้บรรลุเป้าหมาย มันเป็นช่วงเวลาที่เปลี่ยนไปอย่างมากมายเพราะเราสามารถวางแผนเรื่องอะไรก็ได้ที่เราอยากจะทำและขึ้นกับว่าเราจะทำมันจริงๆไหม
ทุกวันนี้ผมทานอาหารมื้อเดียวแค่ก่อนเที่ยง กลับบ้านไปเจอเพื่อนเก่า เพื่อนๆก็แอบงงว่า ทำไมไม่เห็นผอมเลย กินแค่มื้อเดียว หน้าตาดูผ่องใสจิตใจเบิกบานลาออกแล้วมันดีแบบนี้เหรอ อ้อ เรื่องการลงทุน ถึงแม้จะยังไม่ถึงขั้นกระดิกเท้าเหมือนเจ้าของกระทู้ตั้งไว้ แต่ผมคิดว่า การตัดสินใจของผมในครั้งนี้ไม่ผิดพลาดเลยครับ ขอให้เราเลือกทำในแบบของเราเองแล้วเราจะมีความสุขกับมันตลอดไปครับ
ผมวางแผนมาตั้งแต่ตอนยังเรียนมหาลัยว่าเราจะไม่มีวันที่จะทำงานไปตลอดชีวิตแน่ๆ เราต้องรีบทำงานเก็บเงิน ลงทุนและออกมาใช้ชีวิตในแบบที่เราชอบให้เร็วที่สุด จนเมื่อตอนทำงานก็บอกกับครอบครัวมาตลอดว่าจะลาออก แต่ก็เลื่อนมาเรื่อยๆ จนพ่อแม่ถามว่าไม่ออกแล้วเหรอ
เมื่อ 6 เดือนที่แล้ว เป็นช่วงเวลาที่จะอยู่ในความทรงจำของผมไปนานแสนนาน เพราะเป็นช่วงเวลาที่ผมตัดสินใจได้อย่างแน่วแน่แล้วว่า จะเกษียณตัวเองเสียทีและทำมันได้ในที่สุด เดือนนั้นเป็นเดือนที่มีความหมายกับผมมาก เพราะเกิดเหตุการณ์สำคัญที่ผมไม่อาจจะลืมเลือนทั้งในเรื่องส่วนตัวและรวมถึงเป็นเดือนที่ในหลวง ร.9 สวรรคตและเกิดขึ้นพร้อมๆกันในคราวเดียว
วันที่ผมทำงานวันสุดท้าย GM ที่เป็นชาวญี่ปุ่นมาจับมือขอบคุณผมและกล่าวว่า ขอบคุณนะครับ ที่ทำ project นี้จนสำเร็จได้อย่างสวยงาม ขอบคุณจริงๆครับและขอให้โชคดีนะครับ อาจเป็นเพราะท่านคงจะเคยได้ยินเรื่องราวของผมเกี่ยวกับการลาออกและเลิกทำงานกลับไปใช้ชีวิตในแบบที่วางแผนไว้ วันนั้นผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่การลาออก แต่มันคือวันที่เราได้บรรลุเป้าหมายแล้วมากกว่า อีกอย่างสำหรับผมนั้น งานมีปัญหา หรือ งานสบายไม่มีปัญหา ไม่ใช่ประเด็นสำหรับผมเลยที่ตัดสินใจในการลาออกในครั้งนี้ แต่มันคือรูปแบบชีวิตที่เราได้เลือกไว้นานแล้วมากกว่าครับ
ทุกวันนี้ผมว่าผมยุ่งนะ ยุ่งที่ต้องวางแผนในแต่ล่ะเดือนว่าจะต้องทำกิจกรรมอะไรหรือไปไหนบ้างและต้องรีบทำให้บรรลุเป้าหมาย มันเป็นช่วงเวลาที่เปลี่ยนไปอย่างมากมายเพราะเราสามารถวางแผนเรื่องอะไรก็ได้ที่เราอยากจะทำและขึ้นกับว่าเราจะทำมันจริงๆไหม
ทุกวันนี้ผมทานอาหารมื้อเดียวแค่ก่อนเที่ยง กลับบ้านไปเจอเพื่อนเก่า เพื่อนๆก็แอบงงว่า ทำไมไม่เห็นผอมเลย กินแค่มื้อเดียว หน้าตาดูผ่องใสจิตใจเบิกบานลาออกแล้วมันดีแบบนี้เหรอ อ้อ เรื่องการลงทุน ถึงแม้จะยังไม่ถึงขั้นกระดิกเท้าเหมือนเจ้าของกระทู้ตั้งไว้ แต่ผมคิดว่า การตัดสินใจของผมในครั้งนี้ไม่ผิดพลาดเลยครับ ขอให้เราเลือกทำในแบบของเราเองแล้วเราจะมีความสุขกับมันตลอดไปครับ
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
-
- Verified User
- โพสต์: 381
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คนที่ถึงอิสระภาพทางการเงินแล้ว วันๆกระดิกเท้ารับปันผล ช
โพสต์ที่ 22
ในความเห็นส่วนตัวผม มีปัจจัยสำคัญ3ข้อที่ต้องพิจารณาก่อนเลิกทำงานประจำ คือ
1.งานที่ทำอยู่มีคุณค่าความหมายกับชีวิตของคุณไหม และคุณมีความสุขในการทำงานไหม
ถ้าคำตอบคือใช่ทั้ง2ข้อ คุณก็ไม่มีเหตุผลที่จะเลิกทำงานประจำ
หมอหลายคนรวยมหาศาลแต่ยังทำงานอย่างหนักแทบทุกวัน
ถ้าไปบอกศิลปินบางคนว่าคุณรวยแล้ว เลิกวาดภาพเถอะ เขาอาจตอบว่าผมเกิดมาเพื่อทำสิ่งนี้
แต่ถ้างานของคุณเต็มไปด้วยความเครียดและเป็นทุกข์ และเหตุผลเดียวที่คุณทำอยู่คือเงิน
คุณก็ควรรีบวางแผนเปลี่ยนงานหรือเลิกทำงานประจำเสีย
2.พอร์ทคุณต้องใหญ่พอ
เงินปันผลอย่างเดียวต้องมากกว่าค่าใช้จ่ายประจำของครอบครัว
อย่าคาดหวังว่าจะทำกำไรได้ทุกปีและเอากำไรมาเลี้ยงครอบครัว
เพราะไม่เช่นนั้นคุณไม่เพียงเอาความเสี่ยงมาสู่ตัวเองแต่รวมถึงครอบครัวและคนที่คุณรักด้วย
ในความเห็นผม ถ้าพอร์ทเล็กกว่า20ล้าน อย่าคิดลาออกเลย
ยกเว้นว่าคุณตัวคนเดียวและค่าใช้จ่ายรายเดือนต่ามากๆ
3.คุณต้องวางแผนว่าจะใช้เวลาว่างจำนวนมากอย่างไร
ถ้าคุณมีแผนการและสิ่งที่ตั้งใจจะทำอยู่มาก คุณอาจไม่รู้สึกว่ามีเวลาว่างเลย
แต่ถ้าคุณไม่มีอะไรจะทำและมีเวลาว่างมากมาย ชีวิตคุณจะน่าเบื่อและเป็นทุกข์อย่างมาก
ผมเป็นหมอที่ลาออกจากงานประจำตอนอายุ50กว่า จริงๆผมชอบอาชีพหมอมาก
ได้ช่วยเหลือคน ได้เงิน ได้รับความเคารพให้เกียรติ
แต่ก็เต็มไปด้วยความเครียด ความเหนื่อยล้าหลายๆครั้งต้องอดหลับอดนอน
รวมทั้งความเสี่ยงจากการฟ้องร้องที่มากขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากเป็นหมอมา20กว่าปี รู้ตัวว่าหมดไฟในการทำงานและการตื่นไปทำงานแต่ละวันเป็นเรื่องยากขึ้น
ผมจึงลาออกมาได้3ปีกว่าแล้ว
สิ่งที่ผมได้รับจากการลาออกคือ
1.อิสรภาพในชีวิตที่ไม่ต้องรับคำสั่งจากใครอีกเลย
ตอนเป็นหมอผมแทบไม่เคยกินข้าวเที่ยงหมดจาน โดยไม่ถูกตาม แม้แต่เข้าห้องน้าก็ยังถูกตาม
ผมจึงรู้สึกเป็นสุขแทบเหมือนขึ้นสวรรค์ ที่ได้อิสรภาพของชีวิตกลับมา
เหตุผลข้อนี้ข้อเดียวสำหรับผมก็เกินคุ้มแล้วสำหรับการลาออก
2.สุขภาพดีขึ้นเป็นอย่างมาก
ปัจจุบันผมเข้าฟิตเนสครั้งละ3ชั่วโมงอาทิตย์ละ3วัน
ตอนเป็นหมอผมอ้วนลงพุงหนั80กว่ากิโล เป็นความดันและเริ่มเป็นเบาหวานขั้นแรก
3ปีนี้ผมลดน้าหนักได้12กิโลโดยไม่ค่อยได้ควบคุมอาหารเท่าไหร่
เพื่อนที่นานๆเจอทีบอกว่าหุ่นดีขึ้นและหน้าอ่อนลง
ปัญหาสุขภาพต่างๆหายไปหมด
3.มีเวลาให้ครอบครัวมากขึ้น
ลูกผมเรียนอ่อนได้เกรดแค่1.9 เนื่องจากติดเกมและผมไม่ได้เคี่ยวเข็นเท่าที่ควร
ผมรู้สึกรับไม่ได้จึงติวหนังสือลูกเองทุกวัน ใช้เวลาปีกว่าเกรดลูกขึ้นมา3.4
รวมทั้งมีเวลาพาครอบครัวกินเทียวไปต่างประเทศมากขึ้น
4.มีเวลาทำสิ่งที่ชอบมากขึ้น
ผมมีเวลาศึกษาหุ้นมากขึ้นทำให้เข้าใจธุรกิจมากขึ้น รู้จักหุ้นใหม่ๆมากขึ้น
และรู้สึกมั่นใจในการลงทุนมากขึ้น
ผมชอบอ่านหนังสือและดูหนัง 3ปีนี้ผมอ่านหนังสือเป็นร้อยเล่ม ดูหนังเป็นร้อยเรื่อง
โดยสรุปคือผมมีชีวิตที่มีความสุขขึ้นมากมายหลังลาออกจากงานประจำ
และไม่เคยเสียใจกับการตัดสินใจเลยสักนาที
แต่ยอมรับว่าเบื่อและเหนื่อยกับการตอบคำถามซ้าๆจากผู้คนที่รู้จักแทบทุกคนว่าลาออกทำไม
สิ่งเดียวที่รู้สึกเสียดายคือผมเริ่มลงทุนแนววีไอตอนอายุ40กว่า
ซึ่งช้าไปมาก ถ้าผมเริ่มต้นเร็วกว่านี้ ผมน่าจะได้อิสรภาพทางการเงินมาเนิ่นนานแล้ว
หวังว่าสิ่งที่เล่ามาจะเป็นประโยชน์กับหลายๆท่านที่อยู่ระหว่างวางแผนและตัดสินใจ
1.งานที่ทำอยู่มีคุณค่าความหมายกับชีวิตของคุณไหม และคุณมีความสุขในการทำงานไหม
ถ้าคำตอบคือใช่ทั้ง2ข้อ คุณก็ไม่มีเหตุผลที่จะเลิกทำงานประจำ
หมอหลายคนรวยมหาศาลแต่ยังทำงานอย่างหนักแทบทุกวัน
ถ้าไปบอกศิลปินบางคนว่าคุณรวยแล้ว เลิกวาดภาพเถอะ เขาอาจตอบว่าผมเกิดมาเพื่อทำสิ่งนี้
แต่ถ้างานของคุณเต็มไปด้วยความเครียดและเป็นทุกข์ และเหตุผลเดียวที่คุณทำอยู่คือเงิน
คุณก็ควรรีบวางแผนเปลี่ยนงานหรือเลิกทำงานประจำเสีย
2.พอร์ทคุณต้องใหญ่พอ
เงินปันผลอย่างเดียวต้องมากกว่าค่าใช้จ่ายประจำของครอบครัว
อย่าคาดหวังว่าจะทำกำไรได้ทุกปีและเอากำไรมาเลี้ยงครอบครัว
เพราะไม่เช่นนั้นคุณไม่เพียงเอาความเสี่ยงมาสู่ตัวเองแต่รวมถึงครอบครัวและคนที่คุณรักด้วย
ในความเห็นผม ถ้าพอร์ทเล็กกว่า20ล้าน อย่าคิดลาออกเลย
ยกเว้นว่าคุณตัวคนเดียวและค่าใช้จ่ายรายเดือนต่ามากๆ
3.คุณต้องวางแผนว่าจะใช้เวลาว่างจำนวนมากอย่างไร
ถ้าคุณมีแผนการและสิ่งที่ตั้งใจจะทำอยู่มาก คุณอาจไม่รู้สึกว่ามีเวลาว่างเลย
แต่ถ้าคุณไม่มีอะไรจะทำและมีเวลาว่างมากมาย ชีวิตคุณจะน่าเบื่อและเป็นทุกข์อย่างมาก
ผมเป็นหมอที่ลาออกจากงานประจำตอนอายุ50กว่า จริงๆผมชอบอาชีพหมอมาก
ได้ช่วยเหลือคน ได้เงิน ได้รับความเคารพให้เกียรติ
แต่ก็เต็มไปด้วยความเครียด ความเหนื่อยล้าหลายๆครั้งต้องอดหลับอดนอน
รวมทั้งความเสี่ยงจากการฟ้องร้องที่มากขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากเป็นหมอมา20กว่าปี รู้ตัวว่าหมดไฟในการทำงานและการตื่นไปทำงานแต่ละวันเป็นเรื่องยากขึ้น
ผมจึงลาออกมาได้3ปีกว่าแล้ว
สิ่งที่ผมได้รับจากการลาออกคือ
1.อิสรภาพในชีวิตที่ไม่ต้องรับคำสั่งจากใครอีกเลย
ตอนเป็นหมอผมแทบไม่เคยกินข้าวเที่ยงหมดจาน โดยไม่ถูกตาม แม้แต่เข้าห้องน้าก็ยังถูกตาม
ผมจึงรู้สึกเป็นสุขแทบเหมือนขึ้นสวรรค์ ที่ได้อิสรภาพของชีวิตกลับมา
เหตุผลข้อนี้ข้อเดียวสำหรับผมก็เกินคุ้มแล้วสำหรับการลาออก
2.สุขภาพดีขึ้นเป็นอย่างมาก
ปัจจุบันผมเข้าฟิตเนสครั้งละ3ชั่วโมงอาทิตย์ละ3วัน
ตอนเป็นหมอผมอ้วนลงพุงหนั80กว่ากิโล เป็นความดันและเริ่มเป็นเบาหวานขั้นแรก
3ปีนี้ผมลดน้าหนักได้12กิโลโดยไม่ค่อยได้ควบคุมอาหารเท่าไหร่
เพื่อนที่นานๆเจอทีบอกว่าหุ่นดีขึ้นและหน้าอ่อนลง
ปัญหาสุขภาพต่างๆหายไปหมด
3.มีเวลาให้ครอบครัวมากขึ้น
ลูกผมเรียนอ่อนได้เกรดแค่1.9 เนื่องจากติดเกมและผมไม่ได้เคี่ยวเข็นเท่าที่ควร
ผมรู้สึกรับไม่ได้จึงติวหนังสือลูกเองทุกวัน ใช้เวลาปีกว่าเกรดลูกขึ้นมา3.4
รวมทั้งมีเวลาพาครอบครัวกินเทียวไปต่างประเทศมากขึ้น
4.มีเวลาทำสิ่งที่ชอบมากขึ้น
ผมมีเวลาศึกษาหุ้นมากขึ้นทำให้เข้าใจธุรกิจมากขึ้น รู้จักหุ้นใหม่ๆมากขึ้น
และรู้สึกมั่นใจในการลงทุนมากขึ้น
ผมชอบอ่านหนังสือและดูหนัง 3ปีนี้ผมอ่านหนังสือเป็นร้อยเล่ม ดูหนังเป็นร้อยเรื่อง
โดยสรุปคือผมมีชีวิตที่มีความสุขขึ้นมากมายหลังลาออกจากงานประจำ
และไม่เคยเสียใจกับการตัดสินใจเลยสักนาที
แต่ยอมรับว่าเบื่อและเหนื่อยกับการตอบคำถามซ้าๆจากผู้คนที่รู้จักแทบทุกคนว่าลาออกทำไม
สิ่งเดียวที่รู้สึกเสียดายคือผมเริ่มลงทุนแนววีไอตอนอายุ40กว่า
ซึ่งช้าไปมาก ถ้าผมเริ่มต้นเร็วกว่านี้ ผมน่าจะได้อิสรภาพทางการเงินมาเนิ่นนานแล้ว
หวังว่าสิ่งที่เล่ามาจะเป็นประโยชน์กับหลายๆท่านที่อยู่ระหว่างวางแผนและตัดสินใจ
-
- Verified User
- โพสต์: 152
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คนที่ถึงอิสระภาพทางการเงินแล้ว วันๆกระดิกเท้ารับปันผล ช
โพสต์ที่ 23
ขอบคุณDr.sp มากครับ ทำให้เห็นภาพได้ชัดเจนขึ้นdrsp เขียน:ในความเห็นส่วนตัวผม มีปัจจัยสำคัญ3ข้อที่ต้องพิจารณาก่อนเลิกทำงานประจำ คือ
1.งานที่ทำอยู่มีคุณค่าความหมายกับชีวิตของคุณไหม และคุณมีความสุขในการทำงานไหม
ถ้าคำตอบคือใช่ทั้ง2ข้อ คุณก็ไม่มีเหตุผลที่จะเลิกทำงานประจำ
หมอหลายคนรวยมหาศาลแต่ยังทำงานอย่างหนักแทบทุกวัน
ถ้าไปบอกศิลปินบางคนว่าคุณรวยแล้ว เลิกวาดภาพเถอะ เขาอาจตอบว่าผมเกิดมาเพื่อทำสิ่งนี้
แต่ถ้างานของคุณเต็มไปด้วยความเครียดและเป็นทุกข์ และเหตุผลเดียวที่คุณทำอยู่คือเงิน
คุณก็ควรรีบวางแผนเปลี่ยนงานหรือเลิกทำงานประจำเสีย
2.พอร์ทคุณต้องใหญ่พอ
เงินปันผลอย่างเดียวต้องมากกว่าค่าใช้จ่ายประจำของครอบครัว
อย่าคาดหวังว่าจะทำกำไรได้ทุกปีและเอากำไรมาเลี้ยงครอบครัว
เพราะไม่เช่นนั้นคุณไม่เพียงเอาความเสี่ยงมาสู่ตัวเองแต่รวมถึงครอบครัวและคนที่คุณรักด้วย
ในความเห็นผม ถ้าพอร์ทเล็กกว่า20ล้าน อย่าคิดลาออกเลย
ยกเว้นว่าคุณตัวคนเดียวและค่าใช้จ่ายรายเดือนต่ามากๆ
3.คุณต้องวางแผนว่าจะใช้เวลาว่างจำนวนมากอย่างไร
ถ้าคุณมีแผนการและสิ่งที่ตั้งใจจะทำอยู่มาก คุณอาจไม่รู้สึกว่ามีเวลาว่างเลย
แต่ถ้าคุณไม่มีอะไรจะทำและมีเวลาว่างมากมาย ชีวิตคุณจะน่าเบื่อและเป็นทุกข์อย่างมาก
ผมเป็นหมอที่ลาออกจากงานประจำตอนอายุ50กว่า จริงๆผมชอบอาชีพหมอมาก
ได้ช่วยเหลือคน ได้เงิน ได้รับความเคารพให้เกียรติ
แต่ก็เต็มไปด้วยความเครียด ความเหนื่อยล้าหลายๆครั้งต้องอดหลับอดนอน
รวมทั้งความเสี่ยงจากการฟ้องร้องที่มากขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากเป็นหมอมา20กว่าปี รู้ตัวว่าหมดไฟในการทำงานและการตื่นไปทำงานแต่ละวันเป็นเรื่องยากขึ้น
ผมจึงลาออกมาได้3ปีกว่าแล้ว
สิ่งที่ผมได้รับจากการลาออกคือ
1.อิสรภาพในชีวิตที่ไม่ต้องรับคำสั่งจากใครอีกเลย
ตอนเป็นหมอผมแทบไม่เคยกินข้าวเที่ยงหมดจาน โดยไม่ถูกตาม แม้แต่เข้าห้องน้าก็ยังถูกตาม
ผมจึงรู้สึกเป็นสุขแทบเหมือนขึ้นสวรรค์ ที่ได้อิสรภาพของชีวิตกลับมา
เหตุผลข้อนี้ข้อเดียวสำหรับผมก็เกินคุ้มแล้วสำหรับการลาออก
2.สุขภาพดีขึ้นเป็นอย่างมาก
ปัจจุบันผมเข้าฟิตเนสครั้งละ3ชั่วโมงอาทิตย์ละ3วัน
ตอนเป็นหมอผมอ้วนลงพุงหนั80กว่ากิโล เป็นความดันและเริ่มเป็นเบาหวานขั้นแรก
3ปีนี้ผมลดน้าหนักได้12กิโลโดยไม่ค่อยได้ควบคุมอาหารเท่าไหร่
เพื่อนที่นานๆเจอทีบอกว่าหุ่นดีขึ้นและหน้าอ่อนลง
ปัญหาสุขภาพต่างๆหายไปหมด
3.มีเวลาให้ครอบครัวมากขึ้น
ลูกผมเรียนอ่อนได้เกรดแค่1.9 เนื่องจากติดเกมและผมไม่ได้เคี่ยวเข็นเท่าที่ควร
ผมรู้สึกรับไม่ได้จึงติวหนังสือลูกเองทุกวัน ใช้เวลาปีกว่าเกรดลูกขึ้นมา3.4
รวมทั้งมีเวลาพาครอบครัวกินเทียวไปต่างประเทศมากขึ้น
4.มีเวลาทำสิ่งที่ชอบมากขึ้น
ผมมีเวลาศึกษาหุ้นมากขึ้นทำให้เข้าใจธุรกิจมากขึ้น รู้จักหุ้นใหม่ๆมากขึ้น
และรู้สึกมั่นใจในการลงทุนมากขึ้น
ผมชอบอ่านหนังสือและดูหนัง 3ปีนี้ผมอ่านหนังสือเป็นร้อยเล่ม ดูหนังเป็นร้อยเรื่อง
โดยสรุปคือผมมีชีวิตที่มีความสุขขึ้นมากมายหลังลาออกจากงานประจำ
และไม่เคยเสียใจกับการตัดสินใจเลยสักนาที
แต่ยอมรับว่าเบื่อและเหนื่อยกับการตอบคำถามซ้าๆจากผู้คนที่รู้จักแทบทุกคนว่าลาออกทำไม
สิ่งเดียวที่รู้สึกเสียดายคือผมเริ่มลงทุนแนววีไอตอนอายุ40กว่า
ซึ่งช้าไปมาก ถ้าผมเริ่มต้นเร็วกว่านี้ ผมน่าจะได้อิสรภาพทางการเงินมาเนิ่นนานแล้ว
หวังว่าสิ่งที่เล่ามาจะเป็นประโยชน์กับหลายๆท่านที่อยู่ระหว่างวางแผนและตัดสินใจ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1284
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คนที่ถึงอิสระภาพทางการเงินแล้ว วันๆกระดิกเท้ารับปันผล ช
โพสต์ที่ 24
สำหรับผม การใช้ชีวิตเราต้องใช้เวลาที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเน้นใช้เวลากับสิ่งที่เราคิดว่าสำคัญกับเราจริง ๆ คล้ายๆ กับคำพูดของ Warren Buffett ที่กล่าวว่าให้เขียนสิ่งที่เราอยากทำ อยากได้ อยากมี ทั้งหมด แล้วเลือกทำแค่ 5 สิ่งที่สำคัญที่สุด
กรณีผม สิ่งที่ผมให้ความสำคัญที่สุด 5 อย่างคือ
1 สุขภาพ ทำให้ผมใช้เวลาไปวิ่งเกือบทุกวัน วันละประมาณ 1-2 ชม
2 ครอบครัว ทำให้ผมใช้เวลาไปรับส่งลูกที่โรงเรียน แทบทุกวัน ใช้เวลาพูดคุยกับลูกเมีย ค่อนข้างมาก
3 การเงิน ทำให้ผมใช้เวลาศึกษาลงทุนแนววีไอในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งจริงๆ แล้วใช้เวลากับการอ่านเป็นส่วนใหญ่
4 ทำสิ่งที่อยากทำ เนื่องจากผมมีความอยากรู้อยากเห็นเป็นนิสัยติดตัว เวลาว่างอาจใช้กับการท่องเที่ยวทั่วโลก หรืออ่านหนังสือ หรือศึกษาเรื่องราวสิ่งต่างๆ ที่เราอยากรู้ หาประสบการณ์ใหม่ๆ ทำสิ่งใหม่ๆ เจอผู้คนที่หลากหลาย ก่อนที่เราจะตาย ให้คุ้มกับเวลาที่เหลืออีกไม่มาก
5 ความสงบทางใจ ใช้เวลาก่อนนอนนั่งสมาธิเป็นประจำเกือบทุกวัน ทำสิ่งดีๆ ให้กับผู้อื่นโดยไม่หวังอะไร ช่วยคนอื่นที่เดือดร้อน ให้ทุนการศึกษา บริจาคเงินให้โรงพยาบาล บริจาคโลหิต บริจาคร่างกาย พยายามไม่เบียดเบียนใคร ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน
ขนาดผมเลือกใช้เวลากับสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตแค่ 5 อย่าง ผมพบว่าเวลาที่มีไม่เคยพอเลยครับ ไม่เคยรู้สึกว่างหรือเบื่อ เวลามีค่าโปรดใช้ให้คุ้ม
กรณีผม สิ่งที่ผมให้ความสำคัญที่สุด 5 อย่างคือ
1 สุขภาพ ทำให้ผมใช้เวลาไปวิ่งเกือบทุกวัน วันละประมาณ 1-2 ชม
2 ครอบครัว ทำให้ผมใช้เวลาไปรับส่งลูกที่โรงเรียน แทบทุกวัน ใช้เวลาพูดคุยกับลูกเมีย ค่อนข้างมาก
3 การเงิน ทำให้ผมใช้เวลาศึกษาลงทุนแนววีไอในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งจริงๆ แล้วใช้เวลากับการอ่านเป็นส่วนใหญ่
4 ทำสิ่งที่อยากทำ เนื่องจากผมมีความอยากรู้อยากเห็นเป็นนิสัยติดตัว เวลาว่างอาจใช้กับการท่องเที่ยวทั่วโลก หรืออ่านหนังสือ หรือศึกษาเรื่องราวสิ่งต่างๆ ที่เราอยากรู้ หาประสบการณ์ใหม่ๆ ทำสิ่งใหม่ๆ เจอผู้คนที่หลากหลาย ก่อนที่เราจะตาย ให้คุ้มกับเวลาที่เหลืออีกไม่มาก
5 ความสงบทางใจ ใช้เวลาก่อนนอนนั่งสมาธิเป็นประจำเกือบทุกวัน ทำสิ่งดีๆ ให้กับผู้อื่นโดยไม่หวังอะไร ช่วยคนอื่นที่เดือดร้อน ให้ทุนการศึกษา บริจาคเงินให้โรงพยาบาล บริจาคโลหิต บริจาคร่างกาย พยายามไม่เบียดเบียนใคร ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน
ขนาดผมเลือกใช้เวลากับสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตแค่ 5 อย่าง ผมพบว่าเวลาที่มีไม่เคยพอเลยครับ ไม่เคยรู้สึกว่างหรือเบื่อ เวลามีค่าโปรดใช้ให้คุ้ม
In search of super stocks
-
- Verified User
- โพสต์: 69
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คนที่ถึงอิสระภาพทางการเงินแล้ว วันๆกระดิกเท้ารับปันผล ช
โพสต์ที่ 25
ขอขอบคุณพี่ miracle57 มากๆ สำหรับกระทู้ดีๆอันนี้ครับ
ผมนั่งไล่อ่านความเห็นของพวกพี่ๆทุกคนแล้วม้องย้อนดูตัวเองว่าเป็นอย่างไร
ผมชอบความเห็นของพี่ Picatos มากๆครับ รู้สึกว่าตรงใจผมมาก
ส่วนตัวผมนั้น ใช้เวลากับการเรียนค่อนข้างมากและพึ่งจบการศึกษาจริงๆและทำงานเต็มเวลาได้ไม่นานนัก แต่สิ่งที่รู้สึกได้คือ ความคิดของผมเปลี่ยนไปตามเวลาครับ
เดิมผมให้ความสำคัญกับการทำงานประจำมากๆ คิดว่าการลงทุนช่วยให้ผมมีรายได้เสริม อาจเป็นเพราะผมคิดว่างานประจำของผมมีรายได้ที่ดีมากพอสมควร อีกทั้งเป็นงานที่ได้ช่วยเหลือคน ทำแล้วมีประโยชน์ สุขทั้งกายและใจ จนผมคิดว่าแม้ผมจะมีรายได้ที่มากพอ จนถึงอิสรภาพทางการเงิน ผมก็คงไม่หยุดที่จะทำงานประจำอันนี้อย่างแน่นอนครับ
แต่ 1 ปีที่ผ่านมาผมป่วยไม่สบายจนต้องเข้าโรงพยาบาล ทำให้ผมต้องกลับมาคิดว่าว่าการที่เราทำงานหนักนั้น เรามีความสุขจริงหรือไม่ ผมคิดว่าร่างกายอาจเริ่มฟ้องว่า ที่เคยคิดว่าสุขกายอาจไม่จริงแล้ว ร่างกายเตือนว่าไม่ไหวแล้วน่ะ ต้องพักบ้าง เมื่อกายไม่สุขแล้ว ใจจะสุขได้อย่างไร จริงไหมครับ
ณ เวลานี้ผมทำงานน้อยลง ให้ความสำคัญกับอย่างอื่นมากขึ้น และพยายาม balance ชีวิตให้ดีขึ้นโดยที่พยายามทำให้ชีวิตยังมีคุณค่าทั้งกับตนเอง และผู้อื่น ผมคิดว่าคำว่าคุณค่าชีวิตเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการพิจารณาว่าเราควรออกจากงานประจำหรือไม่ครับ ผมคิดว่าถ้าเมื่อใดก็ตามงานประจำทำให้คุณค่าชีวิตของเราน้อยลงในทุกๆด้าน และเรามีทางเลือกที่ดีกว่าในการใช้ชีวิต มันก็คุ้มน่ะครับที่เราจะเสี่ยงออกมาลอง แม้ว่าจะไม่มีใครสามารถการันตีได้ว่ามันจะดีที่สุดจริงๆ
ผมนั่งไล่อ่านความเห็นของพวกพี่ๆทุกคนแล้วม้องย้อนดูตัวเองว่าเป็นอย่างไร
ผมชอบความเห็นของพี่ Picatos มากๆครับ รู้สึกว่าตรงใจผมมาก
ส่วนตัวผมนั้น ใช้เวลากับการเรียนค่อนข้างมากและพึ่งจบการศึกษาจริงๆและทำงานเต็มเวลาได้ไม่นานนัก แต่สิ่งที่รู้สึกได้คือ ความคิดของผมเปลี่ยนไปตามเวลาครับ
เดิมผมให้ความสำคัญกับการทำงานประจำมากๆ คิดว่าการลงทุนช่วยให้ผมมีรายได้เสริม อาจเป็นเพราะผมคิดว่างานประจำของผมมีรายได้ที่ดีมากพอสมควร อีกทั้งเป็นงานที่ได้ช่วยเหลือคน ทำแล้วมีประโยชน์ สุขทั้งกายและใจ จนผมคิดว่าแม้ผมจะมีรายได้ที่มากพอ จนถึงอิสรภาพทางการเงิน ผมก็คงไม่หยุดที่จะทำงานประจำอันนี้อย่างแน่นอนครับ
แต่ 1 ปีที่ผ่านมาผมป่วยไม่สบายจนต้องเข้าโรงพยาบาล ทำให้ผมต้องกลับมาคิดว่าว่าการที่เราทำงานหนักนั้น เรามีความสุขจริงหรือไม่ ผมคิดว่าร่างกายอาจเริ่มฟ้องว่า ที่เคยคิดว่าสุขกายอาจไม่จริงแล้ว ร่างกายเตือนว่าไม่ไหวแล้วน่ะ ต้องพักบ้าง เมื่อกายไม่สุขแล้ว ใจจะสุขได้อย่างไร จริงไหมครับ
ณ เวลานี้ผมทำงานน้อยลง ให้ความสำคัญกับอย่างอื่นมากขึ้น และพยายาม balance ชีวิตให้ดีขึ้นโดยที่พยายามทำให้ชีวิตยังมีคุณค่าทั้งกับตนเอง และผู้อื่น ผมคิดว่าคำว่าคุณค่าชีวิตเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการพิจารณาว่าเราควรออกจากงานประจำหรือไม่ครับ ผมคิดว่าถ้าเมื่อใดก็ตามงานประจำทำให้คุณค่าชีวิตของเราน้อยลงในทุกๆด้าน และเรามีทางเลือกที่ดีกว่าในการใช้ชีวิต มันก็คุ้มน่ะครับที่เราจะเสี่ยงออกมาลอง แม้ว่าจะไม่มีใครสามารถการันตีได้ว่ามันจะดีที่สุดจริงๆ
- marcus147
- Verified User
- โพสต์: 615
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คนที่ถึงอิสระภาพทางการเงินแล้ว วันๆกระดิกเท้ารับปันผล ช
โพสต์ที่ 26
ขอบคุณทุกๆคาวมเห็นเลยครับ
ได้ข้อคิดมากมายเลย
ได้ข้อคิดมากมายเลย
การลงทุนในตลาดหุ้น ไม่มีทางลัด อยากเก่ง ต้องหมั่นศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม
My Blog : http://marcus147.wordpress.com/
My Blog : http://marcus147.wordpress.com/
-
- Verified User
- โพสต์: 32
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คนที่ถึงอิสระภาพทางการเงินแล้ว วันๆกระดิกเท้ารับปันผล ช
โพสต์ที่ 28
ขอบคุณพี่ๆสำคัญบทความและแง่คิดดีๆครับ
ด้วยประสบการณ์ผมยังน้อยแต่อยากแชร์บ้าง เลยขอยกคำพูดของ Jack Ma ที่เคยพูดแนะนำเกี่ยวกับชีวิตและการทำงานเอาไว้
- ช่วงก่อนอายุ 20 ปี ต้องตั้งใจเรียน
- ช่วงก่อนอายุ 30 ปี หาตัวอย่างที่ดีสักคน แล้วนำมาเป็นแรงบันดาลใจ(ผมก็มาหาแรงบันดาลใจ ในการลงทุนจากที่เว็บละครับ อุอุ)
- ช่วงอายุ 30-40 ปี ต้องมีความคิดชัดเจนกับงานและตัวเราเอง ถนัดอะไร ไม่ถนัดอะไร งานไหนอยู่นอกขอบเขตความสามรถของเรา
- ช่วงอายุ 40-50 ปี ต้องทำงานที่เราถนัดที่สุด และต้องทำงานเพื่อตัวเราเอง
- ช่วงอายุ 50-60 ปี ทำงานร่วมกับเด็กรุ่นใหม่ เพราะเด็กรุ่นใหม่จะทำงานได้ดี,ว่องไว และมีความคิดสร้างสรรค์มากกว่าเรา เราต้องโต้ตอบและใช้เวลาร่วมกัน เราจะสามารถแชร์ความรู้และประสบการณ์ของเราให้กับพวกเด็กรุ่นใหม่ ซึ่งก็เป็นการเพิ่มศักยภาพให้กับพวกเขา
- หลังช่วง 60 ปี ใช้เวลากับตัวเอง พักผ่อน
และเขาได้แน่อีกอย่างหนึ่งว่า ช่วงอายุ 25 ปี ควรสนุกกับความล้นเหลว
ด้วยประสบการณ์ผมยังน้อยแต่อยากแชร์บ้าง เลยขอยกคำพูดของ Jack Ma ที่เคยพูดแนะนำเกี่ยวกับชีวิตและการทำงานเอาไว้
- ช่วงก่อนอายุ 20 ปี ต้องตั้งใจเรียน
- ช่วงก่อนอายุ 30 ปี หาตัวอย่างที่ดีสักคน แล้วนำมาเป็นแรงบันดาลใจ(ผมก็มาหาแรงบันดาลใจ ในการลงทุนจากที่เว็บละครับ อุอุ)
- ช่วงอายุ 30-40 ปี ต้องมีความคิดชัดเจนกับงานและตัวเราเอง ถนัดอะไร ไม่ถนัดอะไร งานไหนอยู่นอกขอบเขตความสามรถของเรา
- ช่วงอายุ 40-50 ปี ต้องทำงานที่เราถนัดที่สุด และต้องทำงานเพื่อตัวเราเอง
- ช่วงอายุ 50-60 ปี ทำงานร่วมกับเด็กรุ่นใหม่ เพราะเด็กรุ่นใหม่จะทำงานได้ดี,ว่องไว และมีความคิดสร้างสรรค์มากกว่าเรา เราต้องโต้ตอบและใช้เวลาร่วมกัน เราจะสามารถแชร์ความรู้และประสบการณ์ของเราให้กับพวกเด็กรุ่นใหม่ ซึ่งก็เป็นการเพิ่มศักยภาพให้กับพวกเขา
- หลังช่วง 60 ปี ใช้เวลากับตัวเอง พักผ่อน
และเขาได้แน่อีกอย่างหนึ่งว่า ช่วงอายุ 25 ปี ควรสนุกกับความล้นเหลว
-
- Verified User
- โพสต์: 1161
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คนที่ถึงอิสระภาพทางการเงินแล้ว วันๆกระดิกเท้ารับปันผล ช
โพสต์ที่ 29
เคยบอกภรรยาว่าจะลาออกจากงาน เธอถามว่างานที่ทำอยู่ไม่ดีหรือ ไม่ทำงานแล้วจะไม่เบื่อหรือ สรุปทำต่อไป แต่ก็เปลี่ยนงานเรื่อยๆตามความพอใจนะครับ
ไม่ควรลงทุนอะไร ถ้าไม่รู้สึกสบายใจในสิ่งนั้น
-
- Verified User
- โพสต์: 459
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คนที่ถึงอิสระภาพทางการเงินแล้ว วันๆกระดิกเท้ารับปันผล ช
โพสต์ที่ 30
ผมขอแบ่งปันแนวคิดบ้างครับ ^^ แม้ว่ายังไม่ประสบความสำเร็จขนาดนั้น
สำหรับผม คำถามสำคัญคือ..... What matters most..... in your LIFE ? ครับ
และ คำตอบของผมคือ ผมอยากให้คุณพ่อ คุณแม่ มีความสุขที่สุดครับ ทั้งทางโลกและทางธรรม
ผมจะทำได้ ผมก็ต้องมีความสุขที่แท้จริงก่อน
ผมจะมีความสุขแท้จริงได้ ผมก็ต้องหาสิ่งที่ผมรักและชอบในชีวิตก่อนครับ ทั้งงาน และเรื่องอื่นๆ ^^
ผมเชื่อว่า ถ้าเราทุกๆ คน ตอบคำถามนี้ได้ คำถามอื่นในชีวิต ไม่ยากแล้ว
ด้านการเงิน - แน่นอนนครับ การเป็นนักลงทุนเน้นคุณค่า
ด้านการงาน - ผมชอบสอนหนังสือครับ ผมอยากเป็นครู ตอนนี้ผมได้เป็นแล้วครับ
เงินเดือนมาทีหลัง แต่ความสุขมาตั้งแต่ตอนสอนเด็กๆ ให้เค้าเข้าใจเลยคับ
ด้านความรัก - ผมพึ่งมีแฟน กว่าจะมี รอคนนี้มา 8 ปี นานคับ 555 ^^
ด้านธรรมะ - ผมยังพึ่งเริ่มครับ แต่สูงสุดอยู่ตรงนี้คับ
ในฐานะ Value Investor คนตัวเล็กๆ คนนึง Value นั้นมีหลายอย่าง เงิน คือ หนึ่งในนั้น เท่านั้น มี Value อื่นอีกมากนะคับ ^^
ผมชอบประโยคนึงในหนั้ง Hitch หนังความรักนะคับ ^^
"Life is not amount of Breath you take,.... it is a "Moment" that .... take your breath away"
ชีวิตไม่ใช่ปริมาณอากาศที่เราหายใจ แต่คือ "ช่วงเวลา" ที่ทำให้เรา ลืมลมหายใจได้ต่างหาก ^^
ตามหา Moment ของเรากันคับ ไม่ว่าในฐานะนักลงทุน คือ คนธรรมดานึงที่จะทำสิ่งดีๆ ให้โลกนี้ ^^
สำหรับผม คำถามสำคัญคือ..... What matters most..... in your LIFE ? ครับ
และ คำตอบของผมคือ ผมอยากให้คุณพ่อ คุณแม่ มีความสุขที่สุดครับ ทั้งทางโลกและทางธรรม
ผมจะทำได้ ผมก็ต้องมีความสุขที่แท้จริงก่อน
ผมจะมีความสุขแท้จริงได้ ผมก็ต้องหาสิ่งที่ผมรักและชอบในชีวิตก่อนครับ ทั้งงาน และเรื่องอื่นๆ ^^
ผมเชื่อว่า ถ้าเราทุกๆ คน ตอบคำถามนี้ได้ คำถามอื่นในชีวิต ไม่ยากแล้ว
ด้านการเงิน - แน่นอนนครับ การเป็นนักลงทุนเน้นคุณค่า
ด้านการงาน - ผมชอบสอนหนังสือครับ ผมอยากเป็นครู ตอนนี้ผมได้เป็นแล้วครับ
เงินเดือนมาทีหลัง แต่ความสุขมาตั้งแต่ตอนสอนเด็กๆ ให้เค้าเข้าใจเลยคับ
ด้านความรัก - ผมพึ่งมีแฟน กว่าจะมี รอคนนี้มา 8 ปี นานคับ 555 ^^
ด้านธรรมะ - ผมยังพึ่งเริ่มครับ แต่สูงสุดอยู่ตรงนี้คับ
ในฐานะ Value Investor คนตัวเล็กๆ คนนึง Value นั้นมีหลายอย่าง เงิน คือ หนึ่งในนั้น เท่านั้น มี Value อื่นอีกมากนะคับ ^^
ผมชอบประโยคนึงในหนั้ง Hitch หนังความรักนะคับ ^^
"Life is not amount of Breath you take,.... it is a "Moment" that .... take your breath away"
ชีวิตไม่ใช่ปริมาณอากาศที่เราหายใจ แต่คือ "ช่วงเวลา" ที่ทำให้เรา ลืมลมหายใจได้ต่างหาก ^^
ตามหา Moment ของเรากันคับ ไม่ว่าในฐานะนักลงทุน คือ คนธรรมดานึงที่จะทำสิ่งดีๆ ให้โลกนี้ ^^
"The Winners .... never Quit, The Quitters .... never Win"