Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 1
ผมขอเปิดหัวข้อใหม่ เกี่ยวกับสรุปสัมมนาด้านการลงทุน เพื่อแชร์ให้กับเพื่อนนักลงทุนใน Thaivi webboardครับ
ขอนำสัมมนาของสัปดาห์ที่ผ่านมาเริ่มโพส ช่วงต้นปี ทางบลจ ต่างๆ จะมาเปิดสัมมนาประจำปี
พูดถึงมุมมองในตลาดในประเทศและทั่วโลก ซึ่งปีนี้ค่อนข้างผันผวนทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ทางยุโรปก็มีการเลือกตั้งใหม่ใน3ประเทศ รวมถึงกรีซที่ยังมีข่าวมาเป็นช่วงๆ
ส่วนสหรัฐก็ยังรอดูนโยบายที่ทรัมป์ประกาศช่วงหาเสียงว่าจะสามารถทำได้แค่ไหน
ซึ่งมีผลกระทบต่อจีน ซึ่งเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของไทย
ถือเป็นผลเสียต่อประเทศไทย ในแง่การส่งออก แต่ก็ผลดีจากนโยบายของทรัมป์
ที่ทำให้มีการย้ายสายพานการผลิตเข้ามาไทยมาขึ้น ลองมาฟังผู้เชี่ยวชาญพูดดูนะครับ
ขอนำสัมมนาของสัปดาห์ที่ผ่านมาเริ่มโพส ช่วงต้นปี ทางบลจ ต่างๆ จะมาเปิดสัมมนาประจำปี
พูดถึงมุมมองในตลาดในประเทศและทั่วโลก ซึ่งปีนี้ค่อนข้างผันผวนทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ทางยุโรปก็มีการเลือกตั้งใหม่ใน3ประเทศ รวมถึงกรีซที่ยังมีข่าวมาเป็นช่วงๆ
ส่วนสหรัฐก็ยังรอดูนโยบายที่ทรัมป์ประกาศช่วงหาเสียงว่าจะสามารถทำได้แค่ไหน
ซึ่งมีผลกระทบต่อจีน ซึ่งเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของไทย
ถือเป็นผลเสียต่อประเทศไทย ในแง่การส่งออก แต่ก็ผลดีจากนโยบายของทรัมป์
ที่ทำให้มีการย้ายสายพานการผลิตเข้ามาไทยมาขึ้น ลองมาฟังผู้เชี่ยวชาญพูดดูนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 2
สัมมนาประจำปีของ Citibank จัดที่ รร โอเรียนเต็ล เมื่อวันที่ 9 กพ 17
Annual outlook – Investing in a new era : Reflation , Rotation and Risks
By Seminar Knowledge page
เริ่มจากมองเหตุการณ์เมื่อปีที่แล้ว มีประเด็นที่น่าสนใจคือ
ความไม่แน่นอนจากปัจจัยภายนอกประเทศเช่น Brexit, การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐ แต่ตลาด
กลับปิดบวกได้
ก่อนการเลือกตั้ง ตลาดหุ้นผันผวน อัตราดอกเบี้ยต่ำ Search for yield มองหาผลตอบแทน
หลังการเลือกตั้ง เศรษฐกิจดูเติบโตขึ้น การลงทุนในหุ้นน่าสนใจ
ค่าเงินสหรัฐแข็งค่า หลังการเลือกตั้ง และ ทรัมป์ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี
ซึ่งมองว่ามีสองsector ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีเป็น2หลัก คือ Energy & Finance
ถึงแม้คาดการณ์ผิดจากเหตุการณ์ Brexit และ การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐ
แต่ผลตอบแทนยังเป็นบวก เพราะทางCitibank ได้มีการ diversify กระจายความเสี่ยงของport
เศรษฐกิจโลกปีนี้ 2.8% ตัวขับเคลื่อนมาจากการเติบโตของ Emerging Market และ การกระตุ้น
เศรษฐกิจของสหรัฐและญี่ปุ่น ส่วนจีนชะลอตัวแต่ยังโตได้ 6.5%
เรื่องเงินเฟ้อ ธนาคารกลางทั่วโลกอยากเห็นเงินเฟ้อโตระดับปานกลาง จะได้ไม่ขึ้นดอกเบี้ย
นโยบายระหว่างประเทศ ถ้าสหรัฐยังยืนยันนโยบายของทรัมป์ ส่งผลกระทบต่อจีน และ เกาหลี
ข้อดีของนโยบายทรัมป์
มีการย้ายฐานการผลิตมาไทยมากขึ้น เราได้รับผลกระทบปานกลาง ส่วนอินเดียกระทบน้อยสุด
เศรษฐกิจไทยคาดว่า โตจากการขับเคลื่อนจากภาครัฐ และ การบริโภคในประเทศเป็นหลัก
GDP คาดว่าโต 3.3% และ เงินเฟ้อโต2.2% ซึ่งรวมราคาน้ำมันและอาหาร ถ้าตัดออกจะไม่สูง
ธนาคารแห่งประเทศไทยไม่น่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้
ระดับราคาหุ้นที่ดัชนี 1650 valuation แพง Upside/downside จำกัดมาจากการบริโภคใน
ประเทศที่ดีขึ้น
Themeปีนี้ EU มีการเลือกตั้งใหม่ ของ ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ และ เยอรมัน มองว่าเป็น
Theme ที่2 เงินเฟ้อและ อัตราดอกเบี้นสูงขึ้น มีผลต่อตราสารหนี้ ลงทุน Bond ที่มี durationสั้น คุณภาพสูง
Investment grade เช่น ของ สหรัฐ หรือ บางประเทศของ EU
หุ้น กลุ่มสถาบันการเงิน ( Finance ) น่าจะทำผลตอบแทนได้ดีกว่ากลุ่มอื่น ในช่วงอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น
คุณภาพสินทรัพย์กลุ่ม financeดีขึ้น หนี้สูญลดลง
การแข็งค่าของดอลลาร์ ส่งผลเสียต่อการส่งออกของสหรัฐ (30%of GDP) รายได้ที่หายไปชดเชยจาก
การลดภาษีคาดว่า Q4 17
US แนะกลุ่มสถาบันการเงิน และ พลังงาน
EU ลดการลงทุนลง มีความเสี่ยงด้านการเลือกตั้ง ซึ่งมีความผันผวนสูง
JP ให้น้ำหนักปานกลาง เศรษฐกิจโลกเติบโต ส่งผลให้ ญี่ปุ่นโตได้ดี ค่าเงินเยน ที่ 114 เหมาะสม
ที่ทำให้ Earning เติบโตได้ดีถ้าอ่อนกว่านี้ จะไม่ดี
ส่วนลาตินอเมริกา ให้น้ำหนักเพิ่มจาก commodityดีในปีนี้ และ ตราสารหนี้ในสหรัฐ
IT VR,AR น่าจะมีแนวโน้มใช้เทคโนโลยีมากขึ้น ทั้งส่วนของ Mobile payment , Cloud system
อยากให้ใช้ portfolio ที่ Citibank แนะนำ ซึ่งปีที่แล้วได้ผลตอบแทน 7%
สุดท้ายขอขอบคุณ Citibank ที่จัดสัมมนาประจำปีให้กับ ลูกค้าCitigold ครับ
Annual outlook – Investing in a new era : Reflation , Rotation and Risks
By Seminar Knowledge page
เริ่มจากมองเหตุการณ์เมื่อปีที่แล้ว มีประเด็นที่น่าสนใจคือ
ความไม่แน่นอนจากปัจจัยภายนอกประเทศเช่น Brexit, การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐ แต่ตลาด
กลับปิดบวกได้
ก่อนการเลือกตั้ง ตลาดหุ้นผันผวน อัตราดอกเบี้ยต่ำ Search for yield มองหาผลตอบแทน
หลังการเลือกตั้ง เศรษฐกิจดูเติบโตขึ้น การลงทุนในหุ้นน่าสนใจ
ค่าเงินสหรัฐแข็งค่า หลังการเลือกตั้ง และ ทรัมป์ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี
ซึ่งมองว่ามีสองsector ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีเป็น2หลัก คือ Energy & Finance
ถึงแม้คาดการณ์ผิดจากเหตุการณ์ Brexit และ การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐ
แต่ผลตอบแทนยังเป็นบวก เพราะทางCitibank ได้มีการ diversify กระจายความเสี่ยงของport
เศรษฐกิจโลกปีนี้ 2.8% ตัวขับเคลื่อนมาจากการเติบโตของ Emerging Market และ การกระตุ้น
เศรษฐกิจของสหรัฐและญี่ปุ่น ส่วนจีนชะลอตัวแต่ยังโตได้ 6.5%
เรื่องเงินเฟ้อ ธนาคารกลางทั่วโลกอยากเห็นเงินเฟ้อโตระดับปานกลาง จะได้ไม่ขึ้นดอกเบี้ย
นโยบายระหว่างประเทศ ถ้าสหรัฐยังยืนยันนโยบายของทรัมป์ ส่งผลกระทบต่อจีน และ เกาหลี
ข้อดีของนโยบายทรัมป์
มีการย้ายฐานการผลิตมาไทยมากขึ้น เราได้รับผลกระทบปานกลาง ส่วนอินเดียกระทบน้อยสุด
เศรษฐกิจไทยคาดว่า โตจากการขับเคลื่อนจากภาครัฐ และ การบริโภคในประเทศเป็นหลัก
GDP คาดว่าโต 3.3% และ เงินเฟ้อโต2.2% ซึ่งรวมราคาน้ำมันและอาหาร ถ้าตัดออกจะไม่สูง
ธนาคารแห่งประเทศไทยไม่น่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้
ระดับราคาหุ้นที่ดัชนี 1650 valuation แพง Upside/downside จำกัดมาจากการบริโภคใน
ประเทศที่ดีขึ้น
Themeปีนี้ EU มีการเลือกตั้งใหม่ ของ ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ และ เยอรมัน มองว่าเป็น
Theme ที่2 เงินเฟ้อและ อัตราดอกเบี้นสูงขึ้น มีผลต่อตราสารหนี้ ลงทุน Bond ที่มี durationสั้น คุณภาพสูง
Investment grade เช่น ของ สหรัฐ หรือ บางประเทศของ EU
หุ้น กลุ่มสถาบันการเงิน ( Finance ) น่าจะทำผลตอบแทนได้ดีกว่ากลุ่มอื่น ในช่วงอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น
คุณภาพสินทรัพย์กลุ่ม financeดีขึ้น หนี้สูญลดลง
การแข็งค่าของดอลลาร์ ส่งผลเสียต่อการส่งออกของสหรัฐ (30%of GDP) รายได้ที่หายไปชดเชยจาก
การลดภาษีคาดว่า Q4 17
US แนะกลุ่มสถาบันการเงิน และ พลังงาน
EU ลดการลงทุนลง มีความเสี่ยงด้านการเลือกตั้ง ซึ่งมีความผันผวนสูง
JP ให้น้ำหนักปานกลาง เศรษฐกิจโลกเติบโต ส่งผลให้ ญี่ปุ่นโตได้ดี ค่าเงินเยน ที่ 114 เหมาะสม
ที่ทำให้ Earning เติบโตได้ดีถ้าอ่อนกว่านี้ จะไม่ดี
ส่วนลาตินอเมริกา ให้น้ำหนักเพิ่มจาก commodityดีในปีนี้ และ ตราสารหนี้ในสหรัฐ
IT VR,AR น่าจะมีแนวโน้มใช้เทคโนโลยีมากขึ้น ทั้งส่วนของ Mobile payment , Cloud system
อยากให้ใช้ portfolio ที่ Citibank แนะนำ ซึ่งปีที่แล้วได้ผลตอบแทน 7%
สุดท้ายขอขอบคุณ Citibank ที่จัดสัมมนาประจำปีให้กับ ลูกค้าCitigold ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 3
สัมมนา ส่องการเมืองเศรษฐกิจพิชิตการลงทุนปี60
10 กพ 2017โดย บลจ วรรณ
วิทยากร
ศ ดร สุรชาติ บำรุงสุข คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
คุณ โจ ฮอร์น พัธโนทัย กรรมการอำนวยการ บริษัท Strategy 613 จำกัด
ดร ยรรยง ไทยเจริญ ผู้อำนวยการ ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเมือง ธนาคารแห่งประเทศไทย
คุณ พจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ วรรณ
คุณทีน่า พิธีกร
คุณทีน่า ได้ยิงคำถามแรก ทรัมป์มารับตำแหน่ง นโยบายดุเดือดร้อนแรง
สั่นสะเทือนทั่วโลก landscape เปลี่ยนแปลงอย่างไร
คนแรกที่ตอบคือ ศ ดร สุรชาติ บำรุงสุข คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ปี 60 เป็นจุดเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงชุดใหญ่
ภายใต้สโลแกน 3 คำ ได้แก่ เปลี่ยนแปลง ผันผวน ท้าทาย
ก่อน Brexit มีความผันผวนมาก่อน วันนี้ค่อนข้างชัด เป็นประชานิยมปีกขวา
ชุดความคิดทางการเงินชุดใหญ่ วันที่ทรัมป์ประกาศเปิดตัวลงเลือกตั้ง
แต่ข่าวจัดอยู่ในEntertainment เป็นม้านอกสนาม
กรณี Brexit นายกอังกฤษ ก็เป็นชุดเดียวกัน
แนวโน้ม ผู้นำฝรั่งเศส น่าจะเป็นผู้หญิงด้วย
หลังทรัมป์ชนะ ผู้นำฝั่งขวาไปรวมกันที่เบอร์ลินเพื่อประชุม
ถ้าปีกขวาชนะ จะเห็นการเปลี่ยนแปลงชุดใหญ่
ส่วนเยอรมัน ผู้นำเดิมชนะ 3 สมัย แต่ถ้าปีกขวาชนะจะได้ผู้นำเป็นผู้หญิง
จะเป็นกระแสปีกขวาชุดใหญ่ ซึ่งกระแสมากับอะไรที่ไม่คุ้น
ย้อนไปช่วงหลังสงครามคอมมิวนิสต์สิ้นสุด เราอยู่ในกระแสยุคโลกาภิวัฒน์ คนUS เห็น ฮิลลารี่เป็นตัวแทน
แต่USไม่ยอมรับกระแสโลกาภิวัตน์ ประชานิยมปีกขวาจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงชุดใหญ่
การขึ้นสู่อำนาจของคนๆหนึ่ง เหมือนช่วงฮิตเลอร์เข้ามามีอำนาจ เป็นปรากฏการณ์ชุดเดียวกันแต่ไม่ใช่
เกิดสงคราม เราไม่รู้จนกระทั่งถึงทรัมป์พูดถึงนโยบายออกมา
โลกาภิวัตน์ที่เราคุ้นจะถึงจุดจบหรือไม่ หลังปี 1990 จะสิ้นสุดหรือไม่
แล้วระบบเศรษฐกิจในอนาคต กระแสทรัมป์เป็นกระแสใหญ่ เป็นลัทธิกีดกันทางค้า ยุโรปก็เอาด้วย
หลายเรื่องด้านเศรษฐกิจจะยากขึ้นเรื่อยๆ
คุณทีน่ายิงคำถามต่อมา เมื่อก่อนใช้สงครามมาโจมตีกัน แต่ปัจจุบันใช้วิธีการกีดกันทางการค้า
เป็นการทำสงครามอีกรูปแบบ น่าอันตรายขนาดไหน
ดร สุรชาติ ตอบว่า เราอยู่ในยุคหลังของโลกาภิวัตน์ ลัทธิกีดกัน จะกลับไปสู่ลัทธิชาตินิยม ในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2
เครื่องมือที่มาต่อสู้ TPPจบแล้ว NAPTA จะเริ่มเจรจากันใหม่
สิ่งที่เราคุ้นเคยคือเศรษฐกิจเสรี ทรัมป์ พูดว่าไม่ใช่ Freetrade เป็น Failtrade
เราอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง ทรัมป์มีคำสั่งมาหลังเข้ารับตำแหน่ง
หลังTPPจบ ไทยต้องตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไร
การประชุมที่ดาวอส ผู้นำจีนกลับเรียกร้องระบบการค้าเสรีต่อไป ทั้งๆที่จีนเป็นคอมมิวนิสต์
ในส่วนมหภาค จะออกประมาณไหน ถ้าจีนต้องขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
รวมถึงบทบาทของญี่ปุ่น และ เกาหลี ทรัมป์บอกว่าทั้งสองประเทศต้องออกค่าใช้จ่ายการทหารด้วย
ไม่เช่นนั้นจะถอนทหารออกจากพื้นที่ ต้องจับตาดู เมื่อเห็นอะไรชัดเจนกว่านี้ ค่อยตัดสินใจ
คุณทีน่า ถามคุณ โจ ฮอนด์ ว่าจีนเจอแบบนี้ ภาพการคานอำนาจจะเปลี่ยนแปลง หรือไม่
คุณ โจ ตอบว่า น่าจะเปลี่ยนแปลง วงในของทรัมป์เป็นม้านอกสนาม กลไกต่างๆจีนที่เคยเจรจาจะใช้ได้กับทรัมป์ไหม
ทรัมป์ พูดในแต่ละสื่อไม่เหมือนกัน แต่จีนเห็นความไม่แน่นอน และ มี liquidity สูง Volatility สูงด้วย
เรื่องที่1 New normal สำหรับจีน เศรษฐกิจชะลอตัวลง แรงงานลดลง 4 ล้านคน การ Decapacity เช่น เหล็ก เหมืองถ่านหิน ลดลง 10% นอกจากเรื่องสิ่งแวดล้อม แล้วเป็นเรื่อง over capacity เป็นจุดเริ่มต้น
จีนเปลี่ยนแปลงจากส่งออก เป็นภาคบริการ คนตกงานเป็นล้านคน นี่คือ new normal ของจีน
เรื่องที่สอง คือหนี้เสีย ของจีนปัญหามาจากภาคธนาคาร โดยเฉพาะธนาคารเล็กๆ asset อยู่ในเมืองนึง
ดังนั้น ธนาคารล้มในเมืองหนึ่ง ธนาคารชาติจะไม่รู้ จะก่อให้เกิดผลเสียต่อส่วนรวม
ตอนนี้จีนกำลังดึงเวลาในการแก้ NPL
เรื่องที่สาม จีนมีการเลือกตั้งเหมือนกัน และ พ้องกับสหรัฐมีการเลือกตั้งด้วย
การด่าสหรัฐเป็นการหาเสียงที่ง่ายมาก
คุณทีน่า ถามต่อว่า นอกจากการเมือง และ ทรัมป์ได้โจมตีจีนด้วย
แต่ ประธานาธิบดีของจีน ออกมาพูดว่าพร้อมสู้ในการค้า
คูณโจ บอกว่า จีนไม่น่ามีปัญหา อาจไปซื้อแอร์บัส แทน ซื้อโบอิ้งซึ่งเป็นบริษัทของ US
ในปีเลือกตั้ง จีนไม่อยากให้มีอะไรตื่นเต้น อาจรอดูมากกว่า ไม่น่าจะเป็นคนเริ่มต้นก่อน
คุณทีน่า ถามคุณพจน์ว่า ประเมินภาพที่เกิดขึ้น ความผันผวนเป็นอย่างไรในตลาดเงินและตลาดทุน
คุณพจน์ บอกว่าเขาจะอยู่ถึงปีไหม
เรื่อง fund flowปีที่แล้ว shiftไปตลาดเงิน หุ้นมีความเสี่ยงขนาดไหน เราอยู่ภาวะดอกเบี้ยต่ำมา10 ปี
คนสามารถระดมเงิน เงินจากQEไปลงในตลาดหุ้น ปีที่แล้วตลาดหุ้นขึ้นเกือบทุกตลาด
Fund flow จะเข้าประเทศที่ PE ไม่สูง ต้นปีที่แล้วราคาน้ำมัน 20$ ต้นๆ ปีนี้ ราคาน้ำมัน 50$
เราเห็นเหตุการณ์ Brexit เหตุการณ์เมื่อเดือนตุลาคม และ เลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ปรากฏว่าหุ้นขึ้น
ทีน่า ถามคุณ ยรรยง รอบนี้ทรัมป์มากระตุ้นด้วยนโยบายการคลังแทน สิ่งที่ทรัมป์พูด ใช้เงินมาก จะเอาจากที่ไหนมาsupport และดอกเบี้ยเป็นอย่างไร
อจ ยรรยง บอกว่าปีนี้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง คุณพจน์พูดถึงเงินเฟ้อ ปีที่แล้วเงินเฟ้อต่ำมาก บางช่วงติดลบ
แต่ไม่ใช่เงินฝืด มาจากราคาน้ำมันลดลง แต่ปีนี้เป็นปี reflation หมายถึงเงินเฟ้อเริ่มสูงขึ้น
ปี 2008 เกือบทุกประเทศ ใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำ ไทยก็ลงไปถึง 1.5%
เราใช้นโยบายการคลังช่วงแรก และ ต่อมาหลีกเลี่ยง เพราะ
หนี้สาธารณะสูง และ เกิดปัญหาหนี้สูงในยุโรป เลยไปใช้นโยบายการเงินแทน
ตอนนี้เริ่มเชื่อว่า ควรใช้นโยบายการคลังร่วมด้วย เพราะ Growth ต่ำ ก็เก็บภาษีได้น้อย
2-3 ปีก่อน FED พยายามบอกโอบาม่า ให้ใช้นโยบายการคลังประกอบด้วย แต่เหตุไม่เอื้ออำนวย
การให้สัมภาษณ์ของคุณเยเลน การขึ้นอัตราดอกเบี้ยช้า และ อัตราการว่างงาน 4.6-4.7% เป็นระดับธรรมชาติ
ถ้าต่ำกว่านี้จะเป็นการเร่งเงินเฟ้อให้สูงขึ้น ตอนนี้ อัตราการว่างงาน และ เงินเฟ้อเป็นบวกตามเป้าหมาย
ส่วนคำถามว่า เม็ดเงินมาจากไหน จากความเห็นส่วนตัว อาจไม่มากนักเหมือนกับช่วงหาเสียง เพราะมีข้อจำกัด
FED อาจขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่เคยแถลง ต้องดูว่า เม็ดเงินมามากเกินจริง ต้องมาดูอีกที
แต่มองว่าเม็ดเงินไม่น่าจะมาก
สิ่งที่ทรัมป์สั่งได้ ไม่ใช่เรื่องการเงิน ได้แก่ immigration สร้างไปป์ไลน์ โดยท่อที่สร้างจากเหล็กเป็นของสหรัฐ
ถ้าเป็นเรื่องการเงินต้องเข้าสภา เช่น จะยกเลิกโอบาม่าแคร์ ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเงิน
ต้องได้รับการยอมรับจากสภา ซึ่งเสียงมีแค่51% และฝ่ายเดียวกันก็มีคนไม่เห็นด้วย
เพราะกลัวคะแนนเสียงตกในคราวหน้า
ส่วนภาษีที่บอกช่วงหาเสียงจะลดลงเหลือ 15% และ Bracketของฐานรายได้
โดยรายได้มากเสียภาษีเยอะ จะยุบจาก 7 เหลือ 3 Bracket
ตัวเลขนี้ไม่น่าจะผ่านสภาได้ง่าย ที่จะผ่านนโยบายภาษีลดลงเหลือ 15%ได้
เป็นเรื่องยากในการทำ มีกรอบการตกลง เรื่องขาดดุลงบประมาณ ภายใน 2027 ต้องbalance
สิ่งที่ตลาดคาดการณ์ เช่น ภาษีลดเหลือ25% ประมาณใช้จ่ายทำให้ขาดดุลเพิ่มอีก 1% ของ GDP
ตอนที่ทรัมป์เริ่มเข้ามา ตลาดหุ้นตกไม่กี่วัน หลังจากนั้นขึ้นตลอด ตอนนี้ราคาน่าจะ price in แล้ว
นโยบายต่างๆ ต้องมาวิเคราะห์ว่าทำได้ขนาดไหน
มีโอกาสเอาเงินของภาคเอกชนมาช่วยทำให้นโยบายเป็นจริง
การลดกฏเกณฑ์จะช่วยบริษัทในสหรัฐให้มีผลประกอบการดีขึ้น
นโยบายการคลัง ที่ยังไม่ price in เช่น นโยบายการกีดกันทางการค้า มีผลต่อผลประกอบการได้ เศรษฐกิจ ชะลอตัวลง
ทรัมป์ push เรื่องการสร้างกำแพงกับเม็กซิโก้ มีการกีดกันทางการค้ากับจีน (currency manipulator)
จีน ปัจจุบันได้ลด reserve จาก 4 เป็น 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
คุณทีน่า ถามต่อว่า นโยบายการเงินเป็นอย่างไร
อจ ยรรยง ตอบว่า คาดว่าจะขึ้น 2 ครั้งและจบที่ 2.0-2.25% การขึ้นดอกเบี้ยเป็นเรื่องดี
เพราะดอกเบี้ยต่ำนานมีการก่อหนี้มากเกินไป
เกิดการเก็งกำไร เพียงแต่ควรขึ้นดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป
ส่วนคุณเยเลนนั้น อายุราชการจะหมดในปลายปีนี้
ผลกระทบต่อไทยไม่มากนัก Yield curveในระยะยาวขึ้นมาแล้ว
เงินทุนจะไหลเข้าประเทศ ที่นักลงทุนดูคือ fundamental ของแต่ละประเทศ
อัตราดอกเบี้ยต่ำๆ ทุกคนคิดว่าทุกคนรอดหมด
แต่ถ้าอัตราดอกเบี้ยสูง ต้องคิดมากขึ้น
คุณ ทีน่า ถาม ดร สุรชาติว่า ทรัมป์อยู่ได้ไหนในปีนี้
เราต้องคิดว่า ทรัมป์จะทำอะไรมากกว่า
ประชานิยมขวา ไม่มีข้อจำกัด นโยบายอะไรก็เกิดได้
บริบททางการเมือง เริ่มจินตนาการแบบ หนังHollywood
ต้องคิดว่า 4 ปีข้างหน้า ทรัมป์อยู่ ถ้าสร้างกำแพงเม็กซิกันทั้งสูงและลึก ค่าใช้จ่ายเป็นพันล้าน
และ เก็บภาษีจากเม็กซิโก
เราไม่สามารถตอบอะไรได้เลย จากเหตุการณ์ในช่วง 2 สัปดาห์ เช่น ทรัมป์ ไปคุยกับ ไต้หวัน
หมายถึง ทรัมป์ล้ำเส้นจีน
กรณี 7 ประเทศห้ามเข้าUSใน 90 วัน หลังจากออกฎหมายจะยุ่ง คนอื่นจะทำด้วย
สโลแกน เปลี่ยนแปลง ผันผวน ท้าทาย
รัฐบาลของประเทศชั้นนำ ดูแล้วไม่สามารถทำอะไรได้
ถ้าทรัมป์ทำกับ ญี่ปุ่น เกาหลี ทั้ง2ประเทศจะติดอาวุธนิวเคลียร เพราะต้องป้องกันเกาหลีเหนือ
โดยเฉพาะในเอเชียตั้งหลักไม่ได้ อาจต้องตีสองหน้ากับสหรัฐ
สหรัฐ มีทรัมป์ ยังหวัง สีเจิ้นผิง ถ้าขวามากกว่านี้
คุณทีน่า ถามคุณ โจ ฮอร์น พัธโนทัย กรรมการอำนวยการ บริษัท Strategy 613 จำกัด
ว่ารัฐบาลของจีนเห็นปัญหา แต่ต้องแก้ปัญหาภายในก่อน
และ ภาคเอกชนเริ่มกังวลมากน้อยขนาดไหน
คุณโจ ตอบว่าเจอปัญหาหนัก ธนาคารไม่ค่อยปล่อยกู้ US, EU ไม่ค่อยซื้อของ
ไม่อยากสู้ แต่เจ็บจนชิน สู้ได้ แต่จะสู้แล้วคุ้มไหม
2-3 ปีผ่านมา ถามชาวนา ดีขึ้นทุกปี จากรัฐบาลทำinfrastructure สร้างถนน สะพาน มากมาย
คนเสียประโยชน์คือ US, EU ถ้าใช้นโยบายขวา (ชาตินิยม)
ตอนนี้ จีนพยายามจัดการเรื่องคอร์รับชั่น แต่ยังปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไม่ค่อยเร็วนัก
ภาคเอกชนยังไม่น่ากังวลมากนัก เอกชนปรับตัวเร็วมาก ใน 10 กว่าปี รัฐจะออกมา แต่ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
เอกชนออกนอกประเทศมหาศาล
จาก one belt one road ตอนนี้เริ่มชะลอ เอาเรื่องค่าเงินอ่อนเป็นตัวหลักมากกว่า
ถาม คุณพจน์ว่า ตลาดหุ้นปีที่แล้ว ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถึงมีเหตุการณ์ผันผวนตลอดปี
การขึ้นดอกเบี้ยของFED ตลาดหุ้นUS จะขึ้น
ทุกครั้งมีเหตุการณ์ shock โลก สามสกุลหลัก เช่น สหรัฐ ญี่ปุ่น เป็นต้น
ถ้าอังกฤษออกมาจาก EU และ แข็งแรงขึ้น ประเทศอื่นจะเอาตามบ้าง
ดังนั้นความผันผวนทาง EU , US สูงมาก
JP พึ่งพาการส่งออก เงินอ่อน ทำให้ตลาดหุ้นนิเคอิ ขยับขึ้นด้วย
GDP โลกอยู่ที่ 2-3 % แต่ จีน กับอินเดีย เป็นตัวขับเคลื่อนของเศรษฐกิจ
การแช่เงินไว้ที่เดียว มีความเสี่ยง ต้องจับจังหวะในการลงทุนสินทรัพย์แต่ละอย่าง
คุณทีน่า ถาม ดร ยรรยง ไทยเจริญ ผู้อำนวยการ ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเมือง ธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่องมุมมองการเมืองและ มีความเสี่ยงของ EU อย่างไร
อจ ยรรยง บอกว่าเงินเฟ้อเป็นบวกแล้ว แต่ ดอกเบี้ยติดลบอยู่ แต่ปริมาณพันธบัตรที่จะซื้อจะเริ่มลดลง นโยบายการเงินเริ่มเห็นผล แต่ไม่สามารถอัดฉีดนโยบายการคลังได้ในEUได้ เพราะเศรษฐกิจในแต่ละประเทศโตไม่เท่ากัน
ตอนนี้การเลือกตั้งในอิตาลี ธนาคารพาณิชย์ NPL สูงมากกว่า 30%
กรีซจะกลายเป็นเรื่องเล็ก เพราะ ขนาดของเศรษฐกิจ ยังเล็กอยู่
เห็นด้วยว่าปัญหามาจากการเมือง
IMF พยายามบอกว่า EU ให้ลดภาระหนี้ให้กับกรีซ ซึ่ง EU ทำได้ยาก เพราะมีการเลือกตั้งรออยู่ข้างหน้า
เรา underestimateทรัมป์ไม่ได้ ในแง่เม็ดเงินลดภาษีอาจไม่มากเท่าที่ตอนหาเสียง
น่าจะมีการเจรจาระหว่างทรัมป์กับFED ได้
อีกเรื่องคือ ค่าเงินแข็งเร็วมากหลังทรัมป์เข้ามา
ทรัมป์ไม่อยากให้ค่าเงินแข็งมากๆ จะกระทบส่งออก และ ขาดดุลการค้ามากขึ้น
ต้องเล่นในบทบาทที่ทำให้ค่าเงินดอลลาร์ไม่แข็งมากนัก
ความเสี่ยงที่1 เรื่องค่าเงิน ถ้าแข็งส่งผลกระทบต่อ US
ความเสี่ยงที่ 2 เรื่อง Fund flow ทำให้เงินไหลไปUS มากขึ้น
ความเสี่ยง และ ความไม่แน่นอน ต้องจับตามอง portfolio investment
นอกจากนี้ ต้องดู การลงทุนทางตรง ปีที่แล้ว FDI EM ลดลง รวมถึงไทยด้วย
ทรัมป์ จะลดภาษีให้กับบริษัทที่ลงทุนต่างประเทศและเอาเงินเข้าประเทศจะลดภาษีให้
ทำให้ FDI ปีนี้จะลดลงต่อเนื่อง
ประเด็นสุดท้าย เรื่องระยะเวลา ของ นโยบายการคลังชุดใหม่ คงเป็นปี 2018
ตลาดการเงิน ทุน ยังผันผวน เพราะที่คาดการณ์กับเกิดขึ้นจริงอาจแตกต่างกัน
คุณทีน่าถามว่า ในเอเชียรวมไทย ได้รับผลกระทบด้วย ที่ส่งผ่านไปเอเชียรวมไทยมีมากน้อยแค่ไหน
คุณโจ มองไทยบวกกับ CLMV จากประเทศที่มีปัญหา Aging society
กลายเป็นกลุ่มประเทศที่มีอายุน้อย ยิ่งถ้ารวม2 มณฑลของจีนไปด้วย
ตัวกระตุ้นเป็นการลงทุนจากจีน ใน 5-10 ปี เราอยู่ในช่วงสว่างของโลกเลย
บริษัทอยากลง CLMV ก็ต้องมาลงในประเทศไทยก่อน ถ้าเราเล่นเกมถูก
เราก็ได้ประโยชน์ ซึ่งเรามี fundamentalดีอยู่
ดร สุรชาติ ในแง่ของการเมือง
แม่โขง เป็น sub region หลายฝ่ายเห็น แต่สภาพการเมือง อ่อนไหวมาก
คลินตันมาพม่า ทำให้พม่าโตมาก พม่าจะย้ายจากจีนไปพม่า
แต่อาเซียนเกิดปัญหา รัฐมหาอำนาจจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น
พื้นที่แถบนี้จะอยู่ภายใต้การปกครองมหาอำนาจ สุดท้ายจะจบกันที่การเมือง
คนเวียดนาม ดูข่าวการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐมาก และ อินมาก
หวังว่า พรรคเดโมแครตชนะ ไม่อยากให้สหรัฐถอนตัวเรื่อง TPP
ปัญหาที่ใหญ่กว่า คือ อยากให้สหรัฐมาตั้งฐานทัพในเวียดนาม
หมายความว่า บริบทเริ่มมีปัญหา พยายามbalance จีน กับสหรัฐ
ส่วนลาวหนีจากอิทธิพลจีนไม่ได้ รวมถึงกัมพูชาด้วย
มันไม่ใช่อนุภูมิภาคแม่น้ำโขงแล้ว
AEC มี 3 เสาหลัก แต่เน้นแต่เสาหลักเดียว ถ้ามาเน้นทั้ง 3 เสาจะดีมาก
ความละเอียดอ่อนต้องสังเกต อเมริกา ทรัมป์จับมือ รัสเซีย ปูติน ต่อต้านจีน
เศรษฐกิจกับอาเซียน ตกลงทรัมป์จะทำอย่างไรกับเรา
คุณทีน่าถาม อจ ยรรยง ธนาคารแห่งประเทศไทยมีการเตรียมพร้อมมากน้อยเพียงไร
โครงสร้างแข็งแรงไหม
อจ ยรรยง ตอบว่า เราต้องยึดหลักวินัยทางการเงิน การคลัง มี policy rule
สามารถต้านทานความผันผวนได้ เรายังมีงบใช้จ่ายด้านเศรษฐกิจได้
มองเรื่องฝั่งขยายตัว เช่น น้ำท่วม การเมือง
ธนาคารแห่งประเทศไทยมองว่าเศรษฐกิจไทยโต 3.2%
สิ่งที่เห็น ภาคส่งออกดีขึ้น แปลว่าปีนี้ มูลค่าส่งออกเป็นบวกได้ หลังจากติดลบมา 4 ปี
การท่องเที่ยว ยังดี ถึงแม้ชะลอในQ4 การคลังยังสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง
Consumption เริ่มดีขึ้น สินค้าเกษตรเริ่มดี ราคาน้ำมันถ้าขึ้นไม่มากนัก แต่มีผลดี
ถ้าราคาน้ำมันลงมาก ส่งผลต่อคู่ค้าที่ผลิตน้ำมัน
ประเด็นคือการลงทุนภาคเอกชน หลังวิกฤตปี 2008 และ กระทบ excess capacity จากจีนด้วย
Thailand 4.0 ทำอย่างไรให้ไทยใช้เทคโนโลยีมากขึ้น
เราต้องเตรียมตัวรับกับความผันผวน ของเราความเสี่ยงจากต่างประเทศน้อย
เราเกินดุล 10% ของ GDP พันธบัตรถือโดยต่างชาติแค่ 10% Yield curve เพื่อนบ้านจะขึ้นมากกว่าเราเพราะ
ต่างชาติ ถือ มากกว่า 30% ของ GDP
กรง เศรษฐกิจไทยดีขึ้น แต่ยังอยู่ช่วงฟื้นตัว มี output gap อยู่ เราค่อยๆปิดgapนี้ลง
เรามีความกังวลเช่น เร็ว1.5% เวลาดอกเบี้ยต่ำ นักลงทุนจะ search for yield
แต่ไม่มองเรื่องความเสี่ยง เช่นตั๋วบีอี
เราต้องช่วยระวังทุกภาคส่วน
Yield curveเริ่มชันขึ้น แสดงว่าภาวะการเงินเริ่มตึงตัวขึ้น
เราต้องจัดการสภาพคล่องให้ดี ค่าเงินจะผันผวน ต้องจัดการให้ดี
คุณพจน์บอกว่า ปีนี้ไทยมีแต่ข่าวดี เทียบกับช่วงต้มยำกุ้ง NPL ต่ำ การลงทุนภาครัฐเริ่มเห็นเป็นรูปธรรม
มีการเบิกจ่ายชัดเจน อัตราการเติบโตนตลาดหุ้นกีดี
GDP 70% มาจากการส่งออก ค่าเงินดอลลาร์แข็งเมื่อดอกเบี้ยขึ้น ค่าเงินเราอ่อน ส่งออกได้เงินมากขึ้น
แต่เราต้องการเสถียรภาพมากกว่า สุดท้ายไม่ว่าทรัมป์จะทำอะไร ตลาดเงินตลาดทุนมาดูที่อัตราดอกเบี้ย
ธนาคารแห่งประเทศไทยดู inflation targeting
น้ำมัน มีส่วนสำคัญต่อเงินเฟ้อ
ถ้าเราขึ้นดอกเบี้ย ตลาดหุ้นก็จะผันผวน
ปีนี้รัฐบาลช่วยได้เยอะ
ดร สุรชาติ อยากฝากว่า โลกข้างหน้าเป็น automation , productionในโรงงานจะใช้คนน้อยลง
เครื่องบินไม่มีคนขับ จะอยู่ในสัดส่วน 50% แปลว่า ของจริงมาแล้ว
ญี่ปุ่นให้ทุนสนับสนุนช่างกลที่เวียดนาม ที่ทำเรื่องหุ่นยนต์ สภาพแบบนี้จะเปลี่ยน
แปลงโลกไปอย่างมาก
ในอนาคต automation โรงงานจะเต็มไปด้วยหุ่นยนต์ สงครามจะใช้หุ่นยนต์
คำถาม การเมืองของไทย ถ้ามองจากโลกข้างนอก ดูการเลือกตั้ง
แต่เป็นดัชนีที่ถูกสร้างจากโลกาภิวัตน์
ในภาวะที่ต่างชาติมองอย่างนี้ รัฐบาลมีการเปลี่ยนแปลงหลายครั้ง
ล่าสุดเป็นปี 2018 สิ่งที่น่าสนใจ นักลงทุนต่างประเทศดูเรื่องการเมืองไทย
เสถียรภาพทางการเมือง เป็นตัวหลักที่ต่างชาติมองอยู่
ญี่ปุ่นเริ่มโยกไปลงทุนอินโดนีเซีย ผลิตรถกระบะแทนไทย
ถามคุณโจ ต่างชาติกังวลมากน้อย
US,EU กังวล แต่ จีนถือเป็นเรื่องปกติ
10 กพ 2017โดย บลจ วรรณ
วิทยากร
ศ ดร สุรชาติ บำรุงสุข คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
คุณ โจ ฮอร์น พัธโนทัย กรรมการอำนวยการ บริษัท Strategy 613 จำกัด
ดร ยรรยง ไทยเจริญ ผู้อำนวยการ ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเมือง ธนาคารแห่งประเทศไทย
คุณ พจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ วรรณ
คุณทีน่า พิธีกร
คุณทีน่า ได้ยิงคำถามแรก ทรัมป์มารับตำแหน่ง นโยบายดุเดือดร้อนแรง
สั่นสะเทือนทั่วโลก landscape เปลี่ยนแปลงอย่างไร
คนแรกที่ตอบคือ ศ ดร สุรชาติ บำรุงสุข คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ปี 60 เป็นจุดเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงชุดใหญ่
ภายใต้สโลแกน 3 คำ ได้แก่ เปลี่ยนแปลง ผันผวน ท้าทาย
ก่อน Brexit มีความผันผวนมาก่อน วันนี้ค่อนข้างชัด เป็นประชานิยมปีกขวา
ชุดความคิดทางการเงินชุดใหญ่ วันที่ทรัมป์ประกาศเปิดตัวลงเลือกตั้ง
แต่ข่าวจัดอยู่ในEntertainment เป็นม้านอกสนาม
กรณี Brexit นายกอังกฤษ ก็เป็นชุดเดียวกัน
แนวโน้ม ผู้นำฝรั่งเศส น่าจะเป็นผู้หญิงด้วย
หลังทรัมป์ชนะ ผู้นำฝั่งขวาไปรวมกันที่เบอร์ลินเพื่อประชุม
ถ้าปีกขวาชนะ จะเห็นการเปลี่ยนแปลงชุดใหญ่
ส่วนเยอรมัน ผู้นำเดิมชนะ 3 สมัย แต่ถ้าปีกขวาชนะจะได้ผู้นำเป็นผู้หญิง
จะเป็นกระแสปีกขวาชุดใหญ่ ซึ่งกระแสมากับอะไรที่ไม่คุ้น
ย้อนไปช่วงหลังสงครามคอมมิวนิสต์สิ้นสุด เราอยู่ในกระแสยุคโลกาภิวัฒน์ คนUS เห็น ฮิลลารี่เป็นตัวแทน
แต่USไม่ยอมรับกระแสโลกาภิวัตน์ ประชานิยมปีกขวาจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงชุดใหญ่
การขึ้นสู่อำนาจของคนๆหนึ่ง เหมือนช่วงฮิตเลอร์เข้ามามีอำนาจ เป็นปรากฏการณ์ชุดเดียวกันแต่ไม่ใช่
เกิดสงคราม เราไม่รู้จนกระทั่งถึงทรัมป์พูดถึงนโยบายออกมา
โลกาภิวัตน์ที่เราคุ้นจะถึงจุดจบหรือไม่ หลังปี 1990 จะสิ้นสุดหรือไม่
แล้วระบบเศรษฐกิจในอนาคต กระแสทรัมป์เป็นกระแสใหญ่ เป็นลัทธิกีดกันทางค้า ยุโรปก็เอาด้วย
หลายเรื่องด้านเศรษฐกิจจะยากขึ้นเรื่อยๆ
คุณทีน่ายิงคำถามต่อมา เมื่อก่อนใช้สงครามมาโจมตีกัน แต่ปัจจุบันใช้วิธีการกีดกันทางการค้า
เป็นการทำสงครามอีกรูปแบบ น่าอันตรายขนาดไหน
ดร สุรชาติ ตอบว่า เราอยู่ในยุคหลังของโลกาภิวัตน์ ลัทธิกีดกัน จะกลับไปสู่ลัทธิชาตินิยม ในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2
เครื่องมือที่มาต่อสู้ TPPจบแล้ว NAPTA จะเริ่มเจรจากันใหม่
สิ่งที่เราคุ้นเคยคือเศรษฐกิจเสรี ทรัมป์ พูดว่าไม่ใช่ Freetrade เป็น Failtrade
เราอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง ทรัมป์มีคำสั่งมาหลังเข้ารับตำแหน่ง
หลังTPPจบ ไทยต้องตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไร
การประชุมที่ดาวอส ผู้นำจีนกลับเรียกร้องระบบการค้าเสรีต่อไป ทั้งๆที่จีนเป็นคอมมิวนิสต์
ในส่วนมหภาค จะออกประมาณไหน ถ้าจีนต้องขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
รวมถึงบทบาทของญี่ปุ่น และ เกาหลี ทรัมป์บอกว่าทั้งสองประเทศต้องออกค่าใช้จ่ายการทหารด้วย
ไม่เช่นนั้นจะถอนทหารออกจากพื้นที่ ต้องจับตาดู เมื่อเห็นอะไรชัดเจนกว่านี้ ค่อยตัดสินใจ
คุณทีน่า ถามคุณ โจ ฮอนด์ ว่าจีนเจอแบบนี้ ภาพการคานอำนาจจะเปลี่ยนแปลง หรือไม่
คุณ โจ ตอบว่า น่าจะเปลี่ยนแปลง วงในของทรัมป์เป็นม้านอกสนาม กลไกต่างๆจีนที่เคยเจรจาจะใช้ได้กับทรัมป์ไหม
ทรัมป์ พูดในแต่ละสื่อไม่เหมือนกัน แต่จีนเห็นความไม่แน่นอน และ มี liquidity สูง Volatility สูงด้วย
เรื่องที่1 New normal สำหรับจีน เศรษฐกิจชะลอตัวลง แรงงานลดลง 4 ล้านคน การ Decapacity เช่น เหล็ก เหมืองถ่านหิน ลดลง 10% นอกจากเรื่องสิ่งแวดล้อม แล้วเป็นเรื่อง over capacity เป็นจุดเริ่มต้น
จีนเปลี่ยนแปลงจากส่งออก เป็นภาคบริการ คนตกงานเป็นล้านคน นี่คือ new normal ของจีน
เรื่องที่สอง คือหนี้เสีย ของจีนปัญหามาจากภาคธนาคาร โดยเฉพาะธนาคารเล็กๆ asset อยู่ในเมืองนึง
ดังนั้น ธนาคารล้มในเมืองหนึ่ง ธนาคารชาติจะไม่รู้ จะก่อให้เกิดผลเสียต่อส่วนรวม
ตอนนี้จีนกำลังดึงเวลาในการแก้ NPL
เรื่องที่สาม จีนมีการเลือกตั้งเหมือนกัน และ พ้องกับสหรัฐมีการเลือกตั้งด้วย
การด่าสหรัฐเป็นการหาเสียงที่ง่ายมาก
คุณทีน่า ถามต่อว่า นอกจากการเมือง และ ทรัมป์ได้โจมตีจีนด้วย
แต่ ประธานาธิบดีของจีน ออกมาพูดว่าพร้อมสู้ในการค้า
คูณโจ บอกว่า จีนไม่น่ามีปัญหา อาจไปซื้อแอร์บัส แทน ซื้อโบอิ้งซึ่งเป็นบริษัทของ US
ในปีเลือกตั้ง จีนไม่อยากให้มีอะไรตื่นเต้น อาจรอดูมากกว่า ไม่น่าจะเป็นคนเริ่มต้นก่อน
คุณทีน่า ถามคุณพจน์ว่า ประเมินภาพที่เกิดขึ้น ความผันผวนเป็นอย่างไรในตลาดเงินและตลาดทุน
คุณพจน์ บอกว่าเขาจะอยู่ถึงปีไหม
เรื่อง fund flowปีที่แล้ว shiftไปตลาดเงิน หุ้นมีความเสี่ยงขนาดไหน เราอยู่ภาวะดอกเบี้ยต่ำมา10 ปี
คนสามารถระดมเงิน เงินจากQEไปลงในตลาดหุ้น ปีที่แล้วตลาดหุ้นขึ้นเกือบทุกตลาด
Fund flow จะเข้าประเทศที่ PE ไม่สูง ต้นปีที่แล้วราคาน้ำมัน 20$ ต้นๆ ปีนี้ ราคาน้ำมัน 50$
เราเห็นเหตุการณ์ Brexit เหตุการณ์เมื่อเดือนตุลาคม และ เลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ปรากฏว่าหุ้นขึ้น
ทีน่า ถามคุณ ยรรยง รอบนี้ทรัมป์มากระตุ้นด้วยนโยบายการคลังแทน สิ่งที่ทรัมป์พูด ใช้เงินมาก จะเอาจากที่ไหนมาsupport และดอกเบี้ยเป็นอย่างไร
อจ ยรรยง บอกว่าปีนี้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง คุณพจน์พูดถึงเงินเฟ้อ ปีที่แล้วเงินเฟ้อต่ำมาก บางช่วงติดลบ
แต่ไม่ใช่เงินฝืด มาจากราคาน้ำมันลดลง แต่ปีนี้เป็นปี reflation หมายถึงเงินเฟ้อเริ่มสูงขึ้น
ปี 2008 เกือบทุกประเทศ ใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำ ไทยก็ลงไปถึง 1.5%
เราใช้นโยบายการคลังช่วงแรก และ ต่อมาหลีกเลี่ยง เพราะ
หนี้สาธารณะสูง และ เกิดปัญหาหนี้สูงในยุโรป เลยไปใช้นโยบายการเงินแทน
ตอนนี้เริ่มเชื่อว่า ควรใช้นโยบายการคลังร่วมด้วย เพราะ Growth ต่ำ ก็เก็บภาษีได้น้อย
2-3 ปีก่อน FED พยายามบอกโอบาม่า ให้ใช้นโยบายการคลังประกอบด้วย แต่เหตุไม่เอื้ออำนวย
การให้สัมภาษณ์ของคุณเยเลน การขึ้นอัตราดอกเบี้ยช้า และ อัตราการว่างงาน 4.6-4.7% เป็นระดับธรรมชาติ
ถ้าต่ำกว่านี้จะเป็นการเร่งเงินเฟ้อให้สูงขึ้น ตอนนี้ อัตราการว่างงาน และ เงินเฟ้อเป็นบวกตามเป้าหมาย
ส่วนคำถามว่า เม็ดเงินมาจากไหน จากความเห็นส่วนตัว อาจไม่มากนักเหมือนกับช่วงหาเสียง เพราะมีข้อจำกัด
FED อาจขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่เคยแถลง ต้องดูว่า เม็ดเงินมามากเกินจริง ต้องมาดูอีกที
แต่มองว่าเม็ดเงินไม่น่าจะมาก
สิ่งที่ทรัมป์สั่งได้ ไม่ใช่เรื่องการเงิน ได้แก่ immigration สร้างไปป์ไลน์ โดยท่อที่สร้างจากเหล็กเป็นของสหรัฐ
ถ้าเป็นเรื่องการเงินต้องเข้าสภา เช่น จะยกเลิกโอบาม่าแคร์ ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเงิน
ต้องได้รับการยอมรับจากสภา ซึ่งเสียงมีแค่51% และฝ่ายเดียวกันก็มีคนไม่เห็นด้วย
เพราะกลัวคะแนนเสียงตกในคราวหน้า
ส่วนภาษีที่บอกช่วงหาเสียงจะลดลงเหลือ 15% และ Bracketของฐานรายได้
โดยรายได้มากเสียภาษีเยอะ จะยุบจาก 7 เหลือ 3 Bracket
ตัวเลขนี้ไม่น่าจะผ่านสภาได้ง่าย ที่จะผ่านนโยบายภาษีลดลงเหลือ 15%ได้
เป็นเรื่องยากในการทำ มีกรอบการตกลง เรื่องขาดดุลงบประมาณ ภายใน 2027 ต้องbalance
สิ่งที่ตลาดคาดการณ์ เช่น ภาษีลดเหลือ25% ประมาณใช้จ่ายทำให้ขาดดุลเพิ่มอีก 1% ของ GDP
ตอนที่ทรัมป์เริ่มเข้ามา ตลาดหุ้นตกไม่กี่วัน หลังจากนั้นขึ้นตลอด ตอนนี้ราคาน่าจะ price in แล้ว
นโยบายต่างๆ ต้องมาวิเคราะห์ว่าทำได้ขนาดไหน
มีโอกาสเอาเงินของภาคเอกชนมาช่วยทำให้นโยบายเป็นจริง
การลดกฏเกณฑ์จะช่วยบริษัทในสหรัฐให้มีผลประกอบการดีขึ้น
นโยบายการคลัง ที่ยังไม่ price in เช่น นโยบายการกีดกันทางการค้า มีผลต่อผลประกอบการได้ เศรษฐกิจ ชะลอตัวลง
ทรัมป์ push เรื่องการสร้างกำแพงกับเม็กซิโก้ มีการกีดกันทางการค้ากับจีน (currency manipulator)
จีน ปัจจุบันได้ลด reserve จาก 4 เป็น 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
คุณทีน่า ถามต่อว่า นโยบายการเงินเป็นอย่างไร
อจ ยรรยง ตอบว่า คาดว่าจะขึ้น 2 ครั้งและจบที่ 2.0-2.25% การขึ้นดอกเบี้ยเป็นเรื่องดี
เพราะดอกเบี้ยต่ำนานมีการก่อหนี้มากเกินไป
เกิดการเก็งกำไร เพียงแต่ควรขึ้นดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป
ส่วนคุณเยเลนนั้น อายุราชการจะหมดในปลายปีนี้
ผลกระทบต่อไทยไม่มากนัก Yield curveในระยะยาวขึ้นมาแล้ว
เงินทุนจะไหลเข้าประเทศ ที่นักลงทุนดูคือ fundamental ของแต่ละประเทศ
อัตราดอกเบี้ยต่ำๆ ทุกคนคิดว่าทุกคนรอดหมด
แต่ถ้าอัตราดอกเบี้ยสูง ต้องคิดมากขึ้น
คุณ ทีน่า ถาม ดร สุรชาติว่า ทรัมป์อยู่ได้ไหนในปีนี้
เราต้องคิดว่า ทรัมป์จะทำอะไรมากกว่า
ประชานิยมขวา ไม่มีข้อจำกัด นโยบายอะไรก็เกิดได้
บริบททางการเมือง เริ่มจินตนาการแบบ หนังHollywood
ต้องคิดว่า 4 ปีข้างหน้า ทรัมป์อยู่ ถ้าสร้างกำแพงเม็กซิกันทั้งสูงและลึก ค่าใช้จ่ายเป็นพันล้าน
และ เก็บภาษีจากเม็กซิโก
เราไม่สามารถตอบอะไรได้เลย จากเหตุการณ์ในช่วง 2 สัปดาห์ เช่น ทรัมป์ ไปคุยกับ ไต้หวัน
หมายถึง ทรัมป์ล้ำเส้นจีน
กรณี 7 ประเทศห้ามเข้าUSใน 90 วัน หลังจากออกฎหมายจะยุ่ง คนอื่นจะทำด้วย
สโลแกน เปลี่ยนแปลง ผันผวน ท้าทาย
รัฐบาลของประเทศชั้นนำ ดูแล้วไม่สามารถทำอะไรได้
ถ้าทรัมป์ทำกับ ญี่ปุ่น เกาหลี ทั้ง2ประเทศจะติดอาวุธนิวเคลียร เพราะต้องป้องกันเกาหลีเหนือ
โดยเฉพาะในเอเชียตั้งหลักไม่ได้ อาจต้องตีสองหน้ากับสหรัฐ
สหรัฐ มีทรัมป์ ยังหวัง สีเจิ้นผิง ถ้าขวามากกว่านี้
คุณทีน่า ถามคุณ โจ ฮอร์น พัธโนทัย กรรมการอำนวยการ บริษัท Strategy 613 จำกัด
ว่ารัฐบาลของจีนเห็นปัญหา แต่ต้องแก้ปัญหาภายในก่อน
และ ภาคเอกชนเริ่มกังวลมากน้อยขนาดไหน
คุณโจ ตอบว่าเจอปัญหาหนัก ธนาคารไม่ค่อยปล่อยกู้ US, EU ไม่ค่อยซื้อของ
ไม่อยากสู้ แต่เจ็บจนชิน สู้ได้ แต่จะสู้แล้วคุ้มไหม
2-3 ปีผ่านมา ถามชาวนา ดีขึ้นทุกปี จากรัฐบาลทำinfrastructure สร้างถนน สะพาน มากมาย
คนเสียประโยชน์คือ US, EU ถ้าใช้นโยบายขวา (ชาตินิยม)
ตอนนี้ จีนพยายามจัดการเรื่องคอร์รับชั่น แต่ยังปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไม่ค่อยเร็วนัก
ภาคเอกชนยังไม่น่ากังวลมากนัก เอกชนปรับตัวเร็วมาก ใน 10 กว่าปี รัฐจะออกมา แต่ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
เอกชนออกนอกประเทศมหาศาล
จาก one belt one road ตอนนี้เริ่มชะลอ เอาเรื่องค่าเงินอ่อนเป็นตัวหลักมากกว่า
ถาม คุณพจน์ว่า ตลาดหุ้นปีที่แล้ว ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถึงมีเหตุการณ์ผันผวนตลอดปี
การขึ้นดอกเบี้ยของFED ตลาดหุ้นUS จะขึ้น
ทุกครั้งมีเหตุการณ์ shock โลก สามสกุลหลัก เช่น สหรัฐ ญี่ปุ่น เป็นต้น
ถ้าอังกฤษออกมาจาก EU และ แข็งแรงขึ้น ประเทศอื่นจะเอาตามบ้าง
ดังนั้นความผันผวนทาง EU , US สูงมาก
JP พึ่งพาการส่งออก เงินอ่อน ทำให้ตลาดหุ้นนิเคอิ ขยับขึ้นด้วย
GDP โลกอยู่ที่ 2-3 % แต่ จีน กับอินเดีย เป็นตัวขับเคลื่อนของเศรษฐกิจ
การแช่เงินไว้ที่เดียว มีความเสี่ยง ต้องจับจังหวะในการลงทุนสินทรัพย์แต่ละอย่าง
คุณทีน่า ถาม ดร ยรรยง ไทยเจริญ ผู้อำนวยการ ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเมือง ธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่องมุมมองการเมืองและ มีความเสี่ยงของ EU อย่างไร
อจ ยรรยง บอกว่าเงินเฟ้อเป็นบวกแล้ว แต่ ดอกเบี้ยติดลบอยู่ แต่ปริมาณพันธบัตรที่จะซื้อจะเริ่มลดลง นโยบายการเงินเริ่มเห็นผล แต่ไม่สามารถอัดฉีดนโยบายการคลังได้ในEUได้ เพราะเศรษฐกิจในแต่ละประเทศโตไม่เท่ากัน
ตอนนี้การเลือกตั้งในอิตาลี ธนาคารพาณิชย์ NPL สูงมากกว่า 30%
กรีซจะกลายเป็นเรื่องเล็ก เพราะ ขนาดของเศรษฐกิจ ยังเล็กอยู่
เห็นด้วยว่าปัญหามาจากการเมือง
IMF พยายามบอกว่า EU ให้ลดภาระหนี้ให้กับกรีซ ซึ่ง EU ทำได้ยาก เพราะมีการเลือกตั้งรออยู่ข้างหน้า
เรา underestimateทรัมป์ไม่ได้ ในแง่เม็ดเงินลดภาษีอาจไม่มากเท่าที่ตอนหาเสียง
น่าจะมีการเจรจาระหว่างทรัมป์กับFED ได้
อีกเรื่องคือ ค่าเงินแข็งเร็วมากหลังทรัมป์เข้ามา
ทรัมป์ไม่อยากให้ค่าเงินแข็งมากๆ จะกระทบส่งออก และ ขาดดุลการค้ามากขึ้น
ต้องเล่นในบทบาทที่ทำให้ค่าเงินดอลลาร์ไม่แข็งมากนัก
ความเสี่ยงที่1 เรื่องค่าเงิน ถ้าแข็งส่งผลกระทบต่อ US
ความเสี่ยงที่ 2 เรื่อง Fund flow ทำให้เงินไหลไปUS มากขึ้น
ความเสี่ยง และ ความไม่แน่นอน ต้องจับตามอง portfolio investment
นอกจากนี้ ต้องดู การลงทุนทางตรง ปีที่แล้ว FDI EM ลดลง รวมถึงไทยด้วย
ทรัมป์ จะลดภาษีให้กับบริษัทที่ลงทุนต่างประเทศและเอาเงินเข้าประเทศจะลดภาษีให้
ทำให้ FDI ปีนี้จะลดลงต่อเนื่อง
ประเด็นสุดท้าย เรื่องระยะเวลา ของ นโยบายการคลังชุดใหม่ คงเป็นปี 2018
ตลาดการเงิน ทุน ยังผันผวน เพราะที่คาดการณ์กับเกิดขึ้นจริงอาจแตกต่างกัน
คุณทีน่าถามว่า ในเอเชียรวมไทย ได้รับผลกระทบด้วย ที่ส่งผ่านไปเอเชียรวมไทยมีมากน้อยแค่ไหน
คุณโจ มองไทยบวกกับ CLMV จากประเทศที่มีปัญหา Aging society
กลายเป็นกลุ่มประเทศที่มีอายุน้อย ยิ่งถ้ารวม2 มณฑลของจีนไปด้วย
ตัวกระตุ้นเป็นการลงทุนจากจีน ใน 5-10 ปี เราอยู่ในช่วงสว่างของโลกเลย
บริษัทอยากลง CLMV ก็ต้องมาลงในประเทศไทยก่อน ถ้าเราเล่นเกมถูก
เราก็ได้ประโยชน์ ซึ่งเรามี fundamentalดีอยู่
ดร สุรชาติ ในแง่ของการเมือง
แม่โขง เป็น sub region หลายฝ่ายเห็น แต่สภาพการเมือง อ่อนไหวมาก
คลินตันมาพม่า ทำให้พม่าโตมาก พม่าจะย้ายจากจีนไปพม่า
แต่อาเซียนเกิดปัญหา รัฐมหาอำนาจจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น
พื้นที่แถบนี้จะอยู่ภายใต้การปกครองมหาอำนาจ สุดท้ายจะจบกันที่การเมือง
คนเวียดนาม ดูข่าวการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐมาก และ อินมาก
หวังว่า พรรคเดโมแครตชนะ ไม่อยากให้สหรัฐถอนตัวเรื่อง TPP
ปัญหาที่ใหญ่กว่า คือ อยากให้สหรัฐมาตั้งฐานทัพในเวียดนาม
หมายความว่า บริบทเริ่มมีปัญหา พยายามbalance จีน กับสหรัฐ
ส่วนลาวหนีจากอิทธิพลจีนไม่ได้ รวมถึงกัมพูชาด้วย
มันไม่ใช่อนุภูมิภาคแม่น้ำโขงแล้ว
AEC มี 3 เสาหลัก แต่เน้นแต่เสาหลักเดียว ถ้ามาเน้นทั้ง 3 เสาจะดีมาก
ความละเอียดอ่อนต้องสังเกต อเมริกา ทรัมป์จับมือ รัสเซีย ปูติน ต่อต้านจีน
เศรษฐกิจกับอาเซียน ตกลงทรัมป์จะทำอย่างไรกับเรา
คุณทีน่าถาม อจ ยรรยง ธนาคารแห่งประเทศไทยมีการเตรียมพร้อมมากน้อยเพียงไร
โครงสร้างแข็งแรงไหม
อจ ยรรยง ตอบว่า เราต้องยึดหลักวินัยทางการเงิน การคลัง มี policy rule
สามารถต้านทานความผันผวนได้ เรายังมีงบใช้จ่ายด้านเศรษฐกิจได้
มองเรื่องฝั่งขยายตัว เช่น น้ำท่วม การเมือง
ธนาคารแห่งประเทศไทยมองว่าเศรษฐกิจไทยโต 3.2%
สิ่งที่เห็น ภาคส่งออกดีขึ้น แปลว่าปีนี้ มูลค่าส่งออกเป็นบวกได้ หลังจากติดลบมา 4 ปี
การท่องเที่ยว ยังดี ถึงแม้ชะลอในQ4 การคลังยังสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง
Consumption เริ่มดีขึ้น สินค้าเกษตรเริ่มดี ราคาน้ำมันถ้าขึ้นไม่มากนัก แต่มีผลดี
ถ้าราคาน้ำมันลงมาก ส่งผลต่อคู่ค้าที่ผลิตน้ำมัน
ประเด็นคือการลงทุนภาคเอกชน หลังวิกฤตปี 2008 และ กระทบ excess capacity จากจีนด้วย
Thailand 4.0 ทำอย่างไรให้ไทยใช้เทคโนโลยีมากขึ้น
เราต้องเตรียมตัวรับกับความผันผวน ของเราความเสี่ยงจากต่างประเทศน้อย
เราเกินดุล 10% ของ GDP พันธบัตรถือโดยต่างชาติแค่ 10% Yield curve เพื่อนบ้านจะขึ้นมากกว่าเราเพราะ
ต่างชาติ ถือ มากกว่า 30% ของ GDP
กรง เศรษฐกิจไทยดีขึ้น แต่ยังอยู่ช่วงฟื้นตัว มี output gap อยู่ เราค่อยๆปิดgapนี้ลง
เรามีความกังวลเช่น เร็ว1.5% เวลาดอกเบี้ยต่ำ นักลงทุนจะ search for yield
แต่ไม่มองเรื่องความเสี่ยง เช่นตั๋วบีอี
เราต้องช่วยระวังทุกภาคส่วน
Yield curveเริ่มชันขึ้น แสดงว่าภาวะการเงินเริ่มตึงตัวขึ้น
เราต้องจัดการสภาพคล่องให้ดี ค่าเงินจะผันผวน ต้องจัดการให้ดี
คุณพจน์บอกว่า ปีนี้ไทยมีแต่ข่าวดี เทียบกับช่วงต้มยำกุ้ง NPL ต่ำ การลงทุนภาครัฐเริ่มเห็นเป็นรูปธรรม
มีการเบิกจ่ายชัดเจน อัตราการเติบโตนตลาดหุ้นกีดี
GDP 70% มาจากการส่งออก ค่าเงินดอลลาร์แข็งเมื่อดอกเบี้ยขึ้น ค่าเงินเราอ่อน ส่งออกได้เงินมากขึ้น
แต่เราต้องการเสถียรภาพมากกว่า สุดท้ายไม่ว่าทรัมป์จะทำอะไร ตลาดเงินตลาดทุนมาดูที่อัตราดอกเบี้ย
ธนาคารแห่งประเทศไทยดู inflation targeting
น้ำมัน มีส่วนสำคัญต่อเงินเฟ้อ
ถ้าเราขึ้นดอกเบี้ย ตลาดหุ้นก็จะผันผวน
ปีนี้รัฐบาลช่วยได้เยอะ
ดร สุรชาติ อยากฝากว่า โลกข้างหน้าเป็น automation , productionในโรงงานจะใช้คนน้อยลง
เครื่องบินไม่มีคนขับ จะอยู่ในสัดส่วน 50% แปลว่า ของจริงมาแล้ว
ญี่ปุ่นให้ทุนสนับสนุนช่างกลที่เวียดนาม ที่ทำเรื่องหุ่นยนต์ สภาพแบบนี้จะเปลี่ยน
แปลงโลกไปอย่างมาก
ในอนาคต automation โรงงานจะเต็มไปด้วยหุ่นยนต์ สงครามจะใช้หุ่นยนต์
คำถาม การเมืองของไทย ถ้ามองจากโลกข้างนอก ดูการเลือกตั้ง
แต่เป็นดัชนีที่ถูกสร้างจากโลกาภิวัตน์
ในภาวะที่ต่างชาติมองอย่างนี้ รัฐบาลมีการเปลี่ยนแปลงหลายครั้ง
ล่าสุดเป็นปี 2018 สิ่งที่น่าสนใจ นักลงทุนต่างประเทศดูเรื่องการเมืองไทย
เสถียรภาพทางการเมือง เป็นตัวหลักที่ต่างชาติมองอยู่
ญี่ปุ่นเริ่มโยกไปลงทุนอินโดนีเซีย ผลิตรถกระบะแทนไทย
ถามคุณโจ ต่างชาติกังวลมากน้อย
US,EU กังวล แต่ จีนถือเป็นเรื่องปกติ
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 4
คุณเกษรา มัญชุศรี ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
มากล่าวในหัวข้อ เศรษฐกิจและการลงทุนตลาดหุ้นไทย
ในแนวโน้มเงินทุนไหลออก
งานสัมมนา บลจ วรรณ 10 กพ 2017
Fund flow ในช่วง 10 ปี มีความไม่แน่นอนการเมือง และ ภัยธรรมชาติ
เทียบระหว่างไทย อินโด ฟิลิปปินส์ ไทยไม่สม่ำเสมอ เจอเหตุการณ์มากมาย
ปี 2008 มีการชุมนุมทางการเมืองและปิดสนามบิน ตัวเลขต่างชาติขายออก 48 Billion USD
ปี 2009-10 ดีขึ้นมาหน่อย พอปี 11 น้ำท่วมใหญ่ เงินต่างชาติไหลออกอีก
ปี 2013-15 เงินทุนไหลออกอย่างต่อเนื่อง 4 แสนล้านเหรียญสหรัฐ รวมถึง มีความคิดแตกแยก
หลังจาก คสชเข้ามา จะเห็นความสงบในประเทศ ภาครัฐจะมีการเลือกตั้งในเร็ววัน ภายในปีหน้า
ภาคการลงทุนเป็น NET 78,000 ล้านบาท ปีนี้ เงินต่างชาติเข้ามาอีก 5,500 ล้านบาท
นักลงทุนแยกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ นักลงทุนต่างชาติ นักลงทุนสถาบัน บริษัทหลักทรัพย์ และ นักลงทุนรายย่อย
นักลงทุนต่างชาติจะดูความไม่แน่นอนทางการเมืองและอุทกภัยเป็นปัจจัยว่าจะเข้ามาลงทุนหรือไม่
2-3 เรื่องยุ่งกับผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ผู้บริหารดี มี จริยธรรม แสดงว่าผลประกอบการ
ที่ประกาศออกมาเชื่อถือได้ เป็นประโยชน์กับองค์กร และ ส่งผลต่อผู้ถือหุ้น
เงินทุนไหลออกจนถึงปีที่แล้ว เงินทุนเป็นบวก Thailand บวกไป 227% มากสุดใน TIP
บริษัทในไทยมีผลประกอบการที่ดี ดัชนีไทยอยู่ในลำดับที่สองของโลก +20% ในปี 2016
เพราะผลประกอบการในตลาดไทย ถึงแม้ผ่านร้อนผ่านหนาว ตลาดหลักทรัพย์เจอไฟไหม้ และ น้ำท่วมด้วย
ระบบคอมพิวเตอร์ ถูกทดสอบด้วยการทำจริง ย้ายsiteจริง มีการทำ Crisis management
ไม่ว่าจะปกครองระบอบใดก็ตาม ผลประกอบการเป็นตัวบอกถึงการเข้าของ fund flow
ปัจจัยภายนอกเป็นปัจจัยในการพิจารณาในการลงทุนในปีนี้
ในภาพmacroไม่เลวร้าย ซ้ายมือวัดว่ามีเงินเพียงพอกับหนี้หรือเปล่า
หนี้แบ่งเป็นระยะสั้น Nov 16 = 53 billion แต่ ระยะยาวรวมด้วย เป็น 133 billion
เงินทุนสำรอง มี 198 billion เทียบกับ 53 billion usd ไทยมีเงินทุนสำรองเกือบ 4 เท่าตัว
ประเทศไทย ฐานะการเงินระหว่างประเทศแข็งแรงมาก
หนี้ภาครัฐ 10.8 Trillion คิดเป็น 42.4 % ของ GDP เทียบกับรายได้ 13.55 ล้านล้านบาท
ขาดดุลงบประมาณแค่ 2.4%
ฐานะการเงินเราดีกว่าหลายที่ ที่บอกเราว่าดีมาก
เงินในกระเป๋ารัฐบาลยังมีเยอะ
ตลาดทุนน่าสนใจอย่างไร ดูจากปริมาณการซื้อขายของตลาดหุ้นไทย
ปริมาณซื้อขายระหว่างไทยกับสิงคโปร์ เมื่อก่อนใกล้เคียงกัน แต่5 ปีที่ผ่านมา
เราแซงสิงคโปร์ไปแล้ว ซื้อขายเฉลี่ย 30,000 กว่าล้านบาท ต่อวัน
แสดงว่าตลาดหลักทรัพย์มีปริมาณซื้อขายสูงสุด และ หุ้นใหม่ IPO ตั้งแต่ปี 2013-16
มีหุ้นใหม่ Market cap 16.4 billion Singapore Market cap 9.7 billion เอง
ไทยมีสภาพคล่องสูง มีหุ้นใหม่ที่ทันสมัยเข้ามาเยอะ เช่น หุ้นพลังงานทางเลือก , Logistic หรือ โรงพยาบาล
Wellness center เริ่มขยายตัว โรงพยาบาลน่าสนใจ
MSCI เป็นมาตรฐานจากต่างประเทศ นักลงทุนสถาบันจะมาดูในlist ของ MSCI
จากปี 2011 มีแค่ 17 หุ้น ปีที่แล้ว เป็น 32 ตัว ดูslide III Thai capital market landscape ประกอบ
ขวามือ เป็นตัววัด ESG สภาพการทำธุรกิจดี มีบรรษัทภิบาลที่ดี
วัดจาก sutstainable index (DJSI Emerging market index) เราได้มา 14 หุ้น ในปี 2015
คนได้ที่2ในเอเชียมีแค่ 2 หุ้น
เรื่องเงินไหลทุนไหลออกเข้า ขึ้นกับหลายปัจจัย
เช่น เงินจะไหลไปที่แหล่งที่ให้ผลตอบแทนสูง
ตลาดหุ้นไทยมีหุ้นที่มีคุณภาพ ผลประกอบการที่ดี ถ้าเรากลับไปดูว่าบริษัทไทยในประเทศไทย มีฐานะดีพอสมควร
แผนการดำเนินงานในอนาต ได้แก่
การลงทุนด้าน infrastructure ประมูลรถไฟฟ้าสายต่างๆ และ การก่อสร้างทางหลวง รถไฟรางคู่
มีข้อมูลที่ดี ตรวจสอบได้ แต่ถ้าเราไม่มีเวลา ก็เลือกผู้จัดการกองทุนบริหารเงินแทนเราได้
มากล่าวในหัวข้อ เศรษฐกิจและการลงทุนตลาดหุ้นไทย
ในแนวโน้มเงินทุนไหลออก
งานสัมมนา บลจ วรรณ 10 กพ 2017
Fund flow ในช่วง 10 ปี มีความไม่แน่นอนการเมือง และ ภัยธรรมชาติ
เทียบระหว่างไทย อินโด ฟิลิปปินส์ ไทยไม่สม่ำเสมอ เจอเหตุการณ์มากมาย
ปี 2008 มีการชุมนุมทางการเมืองและปิดสนามบิน ตัวเลขต่างชาติขายออก 48 Billion USD
ปี 2009-10 ดีขึ้นมาหน่อย พอปี 11 น้ำท่วมใหญ่ เงินต่างชาติไหลออกอีก
ปี 2013-15 เงินทุนไหลออกอย่างต่อเนื่อง 4 แสนล้านเหรียญสหรัฐ รวมถึง มีความคิดแตกแยก
หลังจาก คสชเข้ามา จะเห็นความสงบในประเทศ ภาครัฐจะมีการเลือกตั้งในเร็ววัน ภายในปีหน้า
ภาคการลงทุนเป็น NET 78,000 ล้านบาท ปีนี้ เงินต่างชาติเข้ามาอีก 5,500 ล้านบาท
นักลงทุนแยกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ นักลงทุนต่างชาติ นักลงทุนสถาบัน บริษัทหลักทรัพย์ และ นักลงทุนรายย่อย
นักลงทุนต่างชาติจะดูความไม่แน่นอนทางการเมืองและอุทกภัยเป็นปัจจัยว่าจะเข้ามาลงทุนหรือไม่
2-3 เรื่องยุ่งกับผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ผู้บริหารดี มี จริยธรรม แสดงว่าผลประกอบการ
ที่ประกาศออกมาเชื่อถือได้ เป็นประโยชน์กับองค์กร และ ส่งผลต่อผู้ถือหุ้น
เงินทุนไหลออกจนถึงปีที่แล้ว เงินทุนเป็นบวก Thailand บวกไป 227% มากสุดใน TIP
บริษัทในไทยมีผลประกอบการที่ดี ดัชนีไทยอยู่ในลำดับที่สองของโลก +20% ในปี 2016
เพราะผลประกอบการในตลาดไทย ถึงแม้ผ่านร้อนผ่านหนาว ตลาดหลักทรัพย์เจอไฟไหม้ และ น้ำท่วมด้วย
ระบบคอมพิวเตอร์ ถูกทดสอบด้วยการทำจริง ย้ายsiteจริง มีการทำ Crisis management
ไม่ว่าจะปกครองระบอบใดก็ตาม ผลประกอบการเป็นตัวบอกถึงการเข้าของ fund flow
ปัจจัยภายนอกเป็นปัจจัยในการพิจารณาในการลงทุนในปีนี้
ในภาพmacroไม่เลวร้าย ซ้ายมือวัดว่ามีเงินเพียงพอกับหนี้หรือเปล่า
หนี้แบ่งเป็นระยะสั้น Nov 16 = 53 billion แต่ ระยะยาวรวมด้วย เป็น 133 billion
เงินทุนสำรอง มี 198 billion เทียบกับ 53 billion usd ไทยมีเงินทุนสำรองเกือบ 4 เท่าตัว
ประเทศไทย ฐานะการเงินระหว่างประเทศแข็งแรงมาก
หนี้ภาครัฐ 10.8 Trillion คิดเป็น 42.4 % ของ GDP เทียบกับรายได้ 13.55 ล้านล้านบาท
ขาดดุลงบประมาณแค่ 2.4%
ฐานะการเงินเราดีกว่าหลายที่ ที่บอกเราว่าดีมาก
เงินในกระเป๋ารัฐบาลยังมีเยอะ
ตลาดทุนน่าสนใจอย่างไร ดูจากปริมาณการซื้อขายของตลาดหุ้นไทย
ปริมาณซื้อขายระหว่างไทยกับสิงคโปร์ เมื่อก่อนใกล้เคียงกัน แต่5 ปีที่ผ่านมา
เราแซงสิงคโปร์ไปแล้ว ซื้อขายเฉลี่ย 30,000 กว่าล้านบาท ต่อวัน
แสดงว่าตลาดหลักทรัพย์มีปริมาณซื้อขายสูงสุด และ หุ้นใหม่ IPO ตั้งแต่ปี 2013-16
มีหุ้นใหม่ Market cap 16.4 billion Singapore Market cap 9.7 billion เอง
ไทยมีสภาพคล่องสูง มีหุ้นใหม่ที่ทันสมัยเข้ามาเยอะ เช่น หุ้นพลังงานทางเลือก , Logistic หรือ โรงพยาบาล
Wellness center เริ่มขยายตัว โรงพยาบาลน่าสนใจ
MSCI เป็นมาตรฐานจากต่างประเทศ นักลงทุนสถาบันจะมาดูในlist ของ MSCI
จากปี 2011 มีแค่ 17 หุ้น ปีที่แล้ว เป็น 32 ตัว ดูslide III Thai capital market landscape ประกอบ
ขวามือ เป็นตัววัด ESG สภาพการทำธุรกิจดี มีบรรษัทภิบาลที่ดี
วัดจาก sutstainable index (DJSI Emerging market index) เราได้มา 14 หุ้น ในปี 2015
คนได้ที่2ในเอเชียมีแค่ 2 หุ้น
เรื่องเงินไหลทุนไหลออกเข้า ขึ้นกับหลายปัจจัย
เช่น เงินจะไหลไปที่แหล่งที่ให้ผลตอบแทนสูง
ตลาดหุ้นไทยมีหุ้นที่มีคุณภาพ ผลประกอบการที่ดี ถ้าเรากลับไปดูว่าบริษัทไทยในประเทศไทย มีฐานะดีพอสมควร
แผนการดำเนินงานในอนาต ได้แก่
การลงทุนด้าน infrastructure ประมูลรถไฟฟ้าสายต่างๆ และ การก่อสร้างทางหลวง รถไฟรางคู่
มีข้อมูลที่ดี ตรวจสอบได้ แต่ถ้าเราไม่มีเวลา ก็เลือกผู้จัดการกองทุนบริหารเงินแทนเราได้
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 5
ทิสโก้ เวลธ์ นำทัพกูรูร่วมเปิดมุมมอง "เจาะเทรนด์การลงทุน ปี 60" ยกตลาดหุ้น "สหรัฐฯ - ญี่ปุ่น - อินเดีย" เป็นดาวรุ่ง รับกระแส
ทิสโก้ เวลธ์ จัดสัมมนาใหญ่ TISCO Wealth Investment Forum: "เจาะเทรนด์การลงทุนปี 60 - ใครรุ่ง...ใครร่วง" นำบรรดากูรูชั้นนำของทิสโก้ร่วมเปิดมุมมองและวิเคราะห์การลงทุนในปีนี้ พร้อมยกตลาดหุ้น "สหรัฐฯ - ญี่ปุ่น - อินเดีย" เป็นดาวรุ่ง รับกระแสเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว
“ไพบูลย์ นลินทรางกูร” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้ และนายกสมาคมนักวิเคราะห์ เผยว่า ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน หุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาสูง ทำให้ช่วงนี้อาจมีการพักฐาน แต่ระยะยาวยังมีโอกาสปรับขึ้นได้ EPS ที่คาดว่าจะโตต่อเนื่องระดับ 12-13% เทียบกับปีก่อนหรือทำได้ 107 บาทต่อหุ้น และปี 61 จะทำได้ 119 บาทต่อหุ้น
สิ่งที่ต้องติดตามคือ การเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่รัฐบาลตั้งเป้าสูงถึง 4% ขณะที่นักวิเคราะห์มองว่าจะทำได้เพียง 3.2-3.3% ขณะที่ทิสโก้มองว่าจะขยายตัว 3.4% รวมทั้งเงินเฟ้อที่เป็นบวกกับกำไรบริษัทจดทะเบียน หากทำได้จริงจะสร้างความมั่นใจให้นักลงทุน กรณีที่เศรษฐกิจดีตามคาด จะเห็นนักวิเคราะห์ทยอยปรับขึ้นคาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนทุกไตรมาส โดยมองกรอบหุ้นไทยปลายปีไว้ที่ 1,650 จุด ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตา คือ เลือกตั้งในประเทศต่างๆ ขณะที่การเลือกตั้งในไทย คงไม่เกิดขึ้นปีนี้ ทำให้ไม่รวมอยู่ในปัจจัยเสี่ยงหรือปัจจัยบวก แต่จะกลับมาเป็นประเด็นอีกครั้งช่วงต้นปี 61 ขณะที่มองว่ามีโอกาสสูงที่เงินทุนจะไหลเข้าตลาดหุ้นไทย ส่วนหนึ่งเป็นเงินจากการโยกเงินออกจากตลาดตราสารหนี้เพราะให้ผลตอบแทนน้อยลงตามเทรนดอกเบี้ยขาขึ้น
หุ้นน่าลงทุน ช่วงนี้คือหุ้นที่ปี 59 อยู่ในภาวะไม่ดี เช่น ค้าปลีกที่ได้อานิสงส์จากเศรษฐกิจในประเทศ กลุ่มส่งออก ค้าขายระหว่างประเทศ รวมทั้งกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่ในปี 59 มีการตั้งสำรองสูงมากแล้ว ขณะที่หนี้เอ็นพีแอลน่าจะถึงจุดสูงสุด
นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ ฉายภาพเศรษฐกิจโลกในปี 2560 ว่า จะมีความแตกต่างไปจากปี 2559 เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเงินเฟ้อที่จะกลับมาเร่งตัวขึ้น ตามราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ที่ฟื้นตัว ส่งผลต่อรูปแบบการใช้นโยบายเศรษฐกิจ โดยเปลี่ยนจากการใช้นโยบายการเงิน เช่นการทำ QE และดอกเบี้ยติดลบ ไปสู่การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยนโยบายการคลัง โดยจุดเปลี่ยนสำคัญที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว คือ การชนะการเลือกตั้งของประธานาธิบดี Donald Trump และการครองเสียงข้างมากของพรรค Republican ในสภาคองเกรส ซึ่งจะทำให้เกิดการผลักดันมาตรการลดภาษี และการเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงเศรษฐกิจโลกในปี 2560
ทั้งนี้ ในปี 2559 ที่ผ่านมา เศรษฐกิจโลกขยายตัวที่ 3.0% นับว่าต่ำสุดตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจโลกในปี 2551 (ค.ศ. 2008) เนื่องจากการลงทุนและการค้าโลกที่หดตัวตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ส่วนการบริโภคไม่ได้ฟื้นตัวตามคาด เนื่องจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคอยู่ในระดับต่ำ ส่วนในปี 2560 เราคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวได้ดีขึ้นที่ 3.4% ตามการฟื้นตัวของการลงทุนและการค้าโลกประกอบกับแรงส่งจากนโยบายการคลัง โดยเงินเฟ้อและเศรษฐกิจโลกในปี 2560 จะส่งผลให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนทั่วโลกกลับมาขยายตัวอีกครั้งหลังจากไม่ขยายตัวมาตั้งแต่ปี 2557
ตลาดหุ้นเป็นดาวรุ่งปี 2560 แนะลงทุน "สหรัฐฯ - ญี่ปุ่น - อินเดีย"
"การเร่งตัวของอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจและการกลับมาขยายตัวของกำไรบริษัทจดทะเบียนเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี น่าจะทำให้ปี 2560 เป็นอีกปีที่ดีของตลาดหุ้น โดยเรายังคงแนะนำ Overweight ใน 'ตลาดหุ้นสหรัฐฯ' ที่จะได้รับประโยชน์จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของประธานาธิบดี Trump ส่วน 'ตลาดหุ้นญี่ปุ่น' มีปัจจัยบวกจากค่าเงินเยนอ่อนค่าและการเติบโตอย่างต่อเนื่องของกำไรบริษัทจดทะเบียน ประกอบกับ Valuation ที่ยังถูกจึงเป็นโอกาสลงทุน ส่วน 'ตลาดหุ้นอินเดีย' ที่ปรับฐานจากผลกระทบของการยกเลิกการใช้ธนบัตร 500 และ 1,000 รูปี น่าจะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวเพียงระยะสั้นๆ แต่ในระยะยาวศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจและกำไรของบริษัทจดทะเบียนยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี" นายคมศร กล่าว พร้อมแนะนำให้ขายทำกำไร 'น้ำมัน' ที่ราคาปรับขึ้นมามากและข่าวดีจากความตกลงลดปริมาณการผลิตได้ถูกประกาศออกมาหมดแล้ว และทยอยสะสม 'ทองคำ' ที่ย่อตัวลงมากเพื่อกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน
อย่างไรก็ดี ในปี 2560 ยังมีความเสี่ยงที่ต้องจับตา ได้แก่ 1) ความเสี่ยงทางการเมืองจากการเจรจา Brexit และการเลือกตั้งในยุโรปหลายประเทศ 2) ราคาน้ำมันที่อาจปรับตัวลดลงหากกลุ่ม OPEC ตัดสินใจกลับมาเพิ่มกำลังการผลิตในการประชุมปลายเดือน พ.ค. ที่จะถึงนี้ และ 3) แนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น เช่นการปรับขึ้นดอกเบี้ยและการลดการอัดฉีดสภาพคล่องผ่าน QE ซึ่งเราคาดว่าจะเกิดขึ้นในไตรมาส 4
บลจ. ทิสโก้ ชูกองทุนเด่นปี 60 เผยกองหุ้นยังมาแรง เน้น "สหรัฐฯ - ญี่ปุ่น - อินเดีย - จีน"
นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโสสายการตลาด บลจ. ทิสโก้ กล่าวว่า ในปีนี้ บลจ. ทิสโก้ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในหุ้นต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นปีที่หลายประเทศหันมาผลักดันนโยบายการคลังในการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ "สหรัฐฯ" และ "ญี่ปุ่น" ซึ่งจะส่งผลดีต่อบริษัทในตลาดหุ้นทำให้ผลประกอบการเติบโตต่อเนื่อง โดย บลจ. ทิสโก้แนะนำลงทุนใน กองทุนเปิด ทิสโก้ ยูเอส อิควิตี้ อันเฮดจ์ (TUSEQ-UH) เน้นลงทุนในดัชนี S&P500 และมีโอกาสได้ผลตอบแทนเพิ่มจากแนวโน้มการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากเป็นกองทุนที่ไม่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน และ กองทุนเปิด ทิสโก้ เจแปน อิควิตี้ (TISCOJP) ที่ลงทุนในบริษัทญี่ปุ่นขนาดใหญ่ 225 แห่ง อ้างอิงดัชนี NIKKEI 225
นอกจากนี้ กองทุนเปิด ทิสโก้ อินเดีย อิควิตี้ (TISCOIN) ซึ่งลงทุนในตลาดหุ้นอินเดีย ก็เป็นอีกกองทุนที่มีความน่าสนใจในฝั่งเอเชีย เนื่องจากเศรษฐกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่งและมีเสถียรภาพ โดยตลาดหุ้นยังซื้อขายกันที่ระดับราคายังไม่แพง นอกจากตลาดหุ้นอินเดีย บลจ.ทิสโก้ยังคงแนะนำตลาดหุ้นจีน ที่เศรษฐกิจมีสัญญาณการฟื้นตัว หลังจากรัฐบาลพยายามปฏิรูปเศรษฐกิจในหลายปีที่ผ่านมา ขณะที่การเชื่อมต่อระหว่างตลาดหุ้น Shenzhenกับ Hongkong ในช่วงปลายปีที่ผ่านมาจะส่งผลให้มีเม็ดเงินมาลงทุนในตลาดหุ้นจีนที่ฮ่องกงมากขึ้น บลจ.ทิสโก้จึงแนะนำ กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า H-Share อิควิตี้ (TISCOCH) ที่ลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกงโดยอิงกับดัชนี HSCEI อีกกองหนึ่ง
ขณะที่ตลาดหุ้นไทย แม้จะปรับตัวขึ้นมามากแล้วแต่ยังมีโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการคัดสรรหุ้นรายตัว จึงขอแนะนำ กองทุนเปิด ทิสโก้ Mid/Small Cap อิควิตี้ (TISCOMS) ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นกลุ่มขนาดกลางและเล็กซึ่งเป็นหุ้นกลุ่มที่มีการเติบโตสูง คัดเลือกโดยผู้จัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ และกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นไทยที่มีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลในระดับสูง มีการจ่ายปันผลที่ดีและสม่ำเสมอ และมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง อย่างกองทุน ทิสโก้ ไฮ ดิวิเดนด์ หุ้นทุน (TISCOHD) และกองทุนเปิด ทิสโก้ ดิวิเดนด์ ซีเล็ค อิควิตี้ (TISCODS)
"สำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง และต้องการผลตอบแทนที่ดีกว่าการฝากเงิน สามารถลงทุนในกองทุนเปิด ทิสโก้ อินคัม พลัส (TINCOME) ซึ่งเป็นกองทุนที่จัดสรรการลงทุนลงในหลายสินทรัพย์ ทั้งตราสารหนี้ หุ้น กองทุนอสังหาริมทรัพย์ REITs และ กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อสร้างกระแสเงินสดจากดอกเบี้ยและเงินปันผล โดยบริษัทจัดการจะพิจารณารับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนเป็นรายไตรมาส เมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนเป็นไปตามเงื่อนไขของบริษัทจัดการ" นายสาห์รัช กล่าว
ทั้งนี้ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน และกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศอาจมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน โดยกองทุนมีนโยบายป้องกันอัตราความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ซึ่งปัจจุบันกองทุนมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนในสัดส่วนประมาณร้อยละ 90 ของมูลค่าทรัพย์สินที่ลงทุนในต่างประเทศ
ด้าน นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค บล. ทิสโก้ ให้มุมมองต่อตลาดหุ้นไทยในปีนี้ว่า มี Valuation ที่ค่อนข้างแพง แต่ EPS ยังเติบโตได้ต่อเนื่อง SET Index จึงยังอยู่ในช่วงขาขึ้น แต่มีความผันผวนและมี Upside จำกัด โดยกรอบ SET Index ในปีนี้จะอยู่ที่ 1,500-1,650 จุด และอาจมี Upside จากฟองสบู่ได้ถึง 1,700 จุด โดยในช่วงนี้ - เม.ย. จะเกิดปรากฏการณ์ Dividend Effect นักลงทุนซื้อหุ้นเพื่อเก็งปันผลทำให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น จึงแนะนำให้นักลงทุนทยอยซื้อหุ้นในช่วงที่ดัชนีย่อตัวลงมาและไปขายในช่วง มี.ค. - เม.ย. โดยแนะนำให้เล่นหุ้นที่ยังราคาขึ้นน้อย (Laggard) แต่มีผลประกอบการและปันผลดี ในกลุ่มธนาคารและก่อสร้าง
ทิสโก้ เวลธ์ จัดสัมมนาใหญ่ TISCO Wealth Investment Forum: "เจาะเทรนด์การลงทุนปี 60 - ใครรุ่ง...ใครร่วง" นำบรรดากูรูชั้นนำของทิสโก้ร่วมเปิดมุมมองและวิเคราะห์การลงทุนในปีนี้ พร้อมยกตลาดหุ้น "สหรัฐฯ - ญี่ปุ่น - อินเดีย" เป็นดาวรุ่ง รับกระแสเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว
“ไพบูลย์ นลินทรางกูร” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้ และนายกสมาคมนักวิเคราะห์ เผยว่า ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน หุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาสูง ทำให้ช่วงนี้อาจมีการพักฐาน แต่ระยะยาวยังมีโอกาสปรับขึ้นได้ EPS ที่คาดว่าจะโตต่อเนื่องระดับ 12-13% เทียบกับปีก่อนหรือทำได้ 107 บาทต่อหุ้น และปี 61 จะทำได้ 119 บาทต่อหุ้น
สิ่งที่ต้องติดตามคือ การเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่รัฐบาลตั้งเป้าสูงถึง 4% ขณะที่นักวิเคราะห์มองว่าจะทำได้เพียง 3.2-3.3% ขณะที่ทิสโก้มองว่าจะขยายตัว 3.4% รวมทั้งเงินเฟ้อที่เป็นบวกกับกำไรบริษัทจดทะเบียน หากทำได้จริงจะสร้างความมั่นใจให้นักลงทุน กรณีที่เศรษฐกิจดีตามคาด จะเห็นนักวิเคราะห์ทยอยปรับขึ้นคาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนทุกไตรมาส โดยมองกรอบหุ้นไทยปลายปีไว้ที่ 1,650 จุด ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตา คือ เลือกตั้งในประเทศต่างๆ ขณะที่การเลือกตั้งในไทย คงไม่เกิดขึ้นปีนี้ ทำให้ไม่รวมอยู่ในปัจจัยเสี่ยงหรือปัจจัยบวก แต่จะกลับมาเป็นประเด็นอีกครั้งช่วงต้นปี 61 ขณะที่มองว่ามีโอกาสสูงที่เงินทุนจะไหลเข้าตลาดหุ้นไทย ส่วนหนึ่งเป็นเงินจากการโยกเงินออกจากตลาดตราสารหนี้เพราะให้ผลตอบแทนน้อยลงตามเทรนดอกเบี้ยขาขึ้น
หุ้นน่าลงทุน ช่วงนี้คือหุ้นที่ปี 59 อยู่ในภาวะไม่ดี เช่น ค้าปลีกที่ได้อานิสงส์จากเศรษฐกิจในประเทศ กลุ่มส่งออก ค้าขายระหว่างประเทศ รวมทั้งกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่ในปี 59 มีการตั้งสำรองสูงมากแล้ว ขณะที่หนี้เอ็นพีแอลน่าจะถึงจุดสูงสุด
นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ ฉายภาพเศรษฐกิจโลกในปี 2560 ว่า จะมีความแตกต่างไปจากปี 2559 เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเงินเฟ้อที่จะกลับมาเร่งตัวขึ้น ตามราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ที่ฟื้นตัว ส่งผลต่อรูปแบบการใช้นโยบายเศรษฐกิจ โดยเปลี่ยนจากการใช้นโยบายการเงิน เช่นการทำ QE และดอกเบี้ยติดลบ ไปสู่การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยนโยบายการคลัง โดยจุดเปลี่ยนสำคัญที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว คือ การชนะการเลือกตั้งของประธานาธิบดี Donald Trump และการครองเสียงข้างมากของพรรค Republican ในสภาคองเกรส ซึ่งจะทำให้เกิดการผลักดันมาตรการลดภาษี และการเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงเศรษฐกิจโลกในปี 2560
ทั้งนี้ ในปี 2559 ที่ผ่านมา เศรษฐกิจโลกขยายตัวที่ 3.0% นับว่าต่ำสุดตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจโลกในปี 2551 (ค.ศ. 2008) เนื่องจากการลงทุนและการค้าโลกที่หดตัวตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ส่วนการบริโภคไม่ได้ฟื้นตัวตามคาด เนื่องจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคอยู่ในระดับต่ำ ส่วนในปี 2560 เราคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวได้ดีขึ้นที่ 3.4% ตามการฟื้นตัวของการลงทุนและการค้าโลกประกอบกับแรงส่งจากนโยบายการคลัง โดยเงินเฟ้อและเศรษฐกิจโลกในปี 2560 จะส่งผลให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนทั่วโลกกลับมาขยายตัวอีกครั้งหลังจากไม่ขยายตัวมาตั้งแต่ปี 2557
ตลาดหุ้นเป็นดาวรุ่งปี 2560 แนะลงทุน "สหรัฐฯ - ญี่ปุ่น - อินเดีย"
"การเร่งตัวของอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจและการกลับมาขยายตัวของกำไรบริษัทจดทะเบียนเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี น่าจะทำให้ปี 2560 เป็นอีกปีที่ดีของตลาดหุ้น โดยเรายังคงแนะนำ Overweight ใน 'ตลาดหุ้นสหรัฐฯ' ที่จะได้รับประโยชน์จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของประธานาธิบดี Trump ส่วน 'ตลาดหุ้นญี่ปุ่น' มีปัจจัยบวกจากค่าเงินเยนอ่อนค่าและการเติบโตอย่างต่อเนื่องของกำไรบริษัทจดทะเบียน ประกอบกับ Valuation ที่ยังถูกจึงเป็นโอกาสลงทุน ส่วน 'ตลาดหุ้นอินเดีย' ที่ปรับฐานจากผลกระทบของการยกเลิกการใช้ธนบัตร 500 และ 1,000 รูปี น่าจะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวเพียงระยะสั้นๆ แต่ในระยะยาวศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจและกำไรของบริษัทจดทะเบียนยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี" นายคมศร กล่าว พร้อมแนะนำให้ขายทำกำไร 'น้ำมัน' ที่ราคาปรับขึ้นมามากและข่าวดีจากความตกลงลดปริมาณการผลิตได้ถูกประกาศออกมาหมดแล้ว และทยอยสะสม 'ทองคำ' ที่ย่อตัวลงมากเพื่อกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน
อย่างไรก็ดี ในปี 2560 ยังมีความเสี่ยงที่ต้องจับตา ได้แก่ 1) ความเสี่ยงทางการเมืองจากการเจรจา Brexit และการเลือกตั้งในยุโรปหลายประเทศ 2) ราคาน้ำมันที่อาจปรับตัวลดลงหากกลุ่ม OPEC ตัดสินใจกลับมาเพิ่มกำลังการผลิตในการประชุมปลายเดือน พ.ค. ที่จะถึงนี้ และ 3) แนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น เช่นการปรับขึ้นดอกเบี้ยและการลดการอัดฉีดสภาพคล่องผ่าน QE ซึ่งเราคาดว่าจะเกิดขึ้นในไตรมาส 4
บลจ. ทิสโก้ ชูกองทุนเด่นปี 60 เผยกองหุ้นยังมาแรง เน้น "สหรัฐฯ - ญี่ปุ่น - อินเดีย - จีน"
นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโสสายการตลาด บลจ. ทิสโก้ กล่าวว่า ในปีนี้ บลจ. ทิสโก้ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในหุ้นต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นปีที่หลายประเทศหันมาผลักดันนโยบายการคลังในการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ "สหรัฐฯ" และ "ญี่ปุ่น" ซึ่งจะส่งผลดีต่อบริษัทในตลาดหุ้นทำให้ผลประกอบการเติบโตต่อเนื่อง โดย บลจ. ทิสโก้แนะนำลงทุนใน กองทุนเปิด ทิสโก้ ยูเอส อิควิตี้ อันเฮดจ์ (TUSEQ-UH) เน้นลงทุนในดัชนี S&P500 และมีโอกาสได้ผลตอบแทนเพิ่มจากแนวโน้มการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากเป็นกองทุนที่ไม่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน และ กองทุนเปิด ทิสโก้ เจแปน อิควิตี้ (TISCOJP) ที่ลงทุนในบริษัทญี่ปุ่นขนาดใหญ่ 225 แห่ง อ้างอิงดัชนี NIKKEI 225
นอกจากนี้ กองทุนเปิด ทิสโก้ อินเดีย อิควิตี้ (TISCOIN) ซึ่งลงทุนในตลาดหุ้นอินเดีย ก็เป็นอีกกองทุนที่มีความน่าสนใจในฝั่งเอเชีย เนื่องจากเศรษฐกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่งและมีเสถียรภาพ โดยตลาดหุ้นยังซื้อขายกันที่ระดับราคายังไม่แพง นอกจากตลาดหุ้นอินเดีย บลจ.ทิสโก้ยังคงแนะนำตลาดหุ้นจีน ที่เศรษฐกิจมีสัญญาณการฟื้นตัว หลังจากรัฐบาลพยายามปฏิรูปเศรษฐกิจในหลายปีที่ผ่านมา ขณะที่การเชื่อมต่อระหว่างตลาดหุ้น Shenzhenกับ Hongkong ในช่วงปลายปีที่ผ่านมาจะส่งผลให้มีเม็ดเงินมาลงทุนในตลาดหุ้นจีนที่ฮ่องกงมากขึ้น บลจ.ทิสโก้จึงแนะนำ กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า H-Share อิควิตี้ (TISCOCH) ที่ลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกงโดยอิงกับดัชนี HSCEI อีกกองหนึ่ง
ขณะที่ตลาดหุ้นไทย แม้จะปรับตัวขึ้นมามากแล้วแต่ยังมีโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการคัดสรรหุ้นรายตัว จึงขอแนะนำ กองทุนเปิด ทิสโก้ Mid/Small Cap อิควิตี้ (TISCOMS) ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นกลุ่มขนาดกลางและเล็กซึ่งเป็นหุ้นกลุ่มที่มีการเติบโตสูง คัดเลือกโดยผู้จัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ และกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นไทยที่มีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลในระดับสูง มีการจ่ายปันผลที่ดีและสม่ำเสมอ และมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง อย่างกองทุน ทิสโก้ ไฮ ดิวิเดนด์ หุ้นทุน (TISCOHD) และกองทุนเปิด ทิสโก้ ดิวิเดนด์ ซีเล็ค อิควิตี้ (TISCODS)
"สำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง และต้องการผลตอบแทนที่ดีกว่าการฝากเงิน สามารถลงทุนในกองทุนเปิด ทิสโก้ อินคัม พลัส (TINCOME) ซึ่งเป็นกองทุนที่จัดสรรการลงทุนลงในหลายสินทรัพย์ ทั้งตราสารหนี้ หุ้น กองทุนอสังหาริมทรัพย์ REITs และ กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อสร้างกระแสเงินสดจากดอกเบี้ยและเงินปันผล โดยบริษัทจัดการจะพิจารณารับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนเป็นรายไตรมาส เมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนเป็นไปตามเงื่อนไขของบริษัทจัดการ" นายสาห์รัช กล่าว
ทั้งนี้ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน และกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศอาจมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน โดยกองทุนมีนโยบายป้องกันอัตราความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ซึ่งปัจจุบันกองทุนมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนในสัดส่วนประมาณร้อยละ 90 ของมูลค่าทรัพย์สินที่ลงทุนในต่างประเทศ
ด้าน นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค บล. ทิสโก้ ให้มุมมองต่อตลาดหุ้นไทยในปีนี้ว่า มี Valuation ที่ค่อนข้างแพง แต่ EPS ยังเติบโตได้ต่อเนื่อง SET Index จึงยังอยู่ในช่วงขาขึ้น แต่มีความผันผวนและมี Upside จำกัด โดยกรอบ SET Index ในปีนี้จะอยู่ที่ 1,500-1,650 จุด และอาจมี Upside จากฟองสบู่ได้ถึง 1,700 จุด โดยในช่วงนี้ - เม.ย. จะเกิดปรากฏการณ์ Dividend Effect นักลงทุนซื้อหุ้นเพื่อเก็งปันผลทำให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น จึงแนะนำให้นักลงทุนทยอยซื้อหุ้นในช่วงที่ดัชนีย่อตัวลงมาและไปขายในช่วง มี.ค. - เม.ย. โดยแนะนำให้เล่นหุ้นที่ยังราคาขึ้นน้อย (Laggard) แต่มีผลประกอบการและปันผลดี ในกลุ่มธนาคารและก่อสร้าง
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 10
มุมมองตลาดหุ้นจาก A/B จากงานสัมมนาประจำปี Citibank
การเติบโตของเศรษฐกิจโลกดีขึ้น ทำให้งดการทำQEในUS
ปี2014 1H GDP ของโลกเข้าใกล้0% แต่ปี 2017 Global EPS outlook bullish
คาดการณ์แตกต่างจากเดิม Earning per share
EU เพิ่มขึ้น 14.4% ถ้าเรามองว่าดีเกินไปก็ลดลงบ้างสัก 4-5% ยังมีการเติบโต
ตลาดหุ้นทั่วโลกโต 6-7% รวมเรื่องค่าเงิน $ แข็งค่าขึ้น
การคาดการณ์ Earning per share ที่โตขึ้นทำให้มุมมองการลงทุนในหุ้นเป็นบวก
Volatility ไม่สูง ระยะยาวโต15% 2ปีที่ผ่านมาเติบโตลดลง 12-13% ทรัมป์อาจทำให้สูงขึ้น
จากนโยบายของทรัมป์ ส่งผลดีต่อตลาดหุ้นส่วนใหญ่แบ่งเป็น 4 ข้อ
1. Taxes คาดการณ์การลด Tax เหลือประมาณ 25% ส่งผลดีต่อกลุ่ม small cap กำไรโตขึ้น 13.4%
Large cap โตขึ้น 7.2%
2. Repatriation ย้ายสินทรัพย์$กลับไปที่US สำหรับซื้อหุ้นบริษัทในUSคืน หรือการทำ acquisition
ทำให้S&P500 เป็นบวก ส่งผลต่อกลุ่ม Technology , Industrial , Health care , S&P500 (ex fin)
การย้ายเงินทุนกลับUS ทำให้การลงทุนในUSน่าสนใจมากขึ้น
3. Stimulus การกระตุ้นตอนนี้ ถ้ามีโอกาสเพิ่มมากขึ้นดีต่อกลุ่ม financial
4. Deregulation ปรับลด หรือ ผ่อนคลายกฎระเบียบทำให้การลงทุนดีขึ้น
ราคาบ้านต่ำกว่า10ปีที่ผ่านมาในแง่PE Sectorน่าสนใจ ถูกกว่า เช่น Financial , Health care
Technology ,Energy
ดังนั้นการลงทุนเน้นในหุ้นที่มี low
volatility และ หาผลตอบแทนที่ดีได้ยังน่าสนใจ
กองทุนหุ้นที่มี low volatility ตลาดตก 100% แต่กองทุนหุ้นlow volatility ตกแค่ 70% แต่ตอนตลาดขึ้น
100% กองทุนขึ้น 80-90% ถ้าเช็คผลตอบแทนย้อนหลัง จะได้ประมาณ 8-10% ดีอันดับ 1-5 ของกองทุนของโลก
ผันผวนน้อยกว่ากองทุนประเภทเดียวกัน ลงทุนระยะยาวน่าจะชนะตลาดหุ้นได้
หลักการเลือกหุ้นในปีนี้สำหรับรอบรับความผันผวนของตลาดหุ้นและได้ผลตอบแทนที่ดี
1. เลือกหุ้นที่มี Low beta เช่น หุ้นสาธารณูปโภค ได้แก่หุ้นผลิตน้ำประปา
2. เลือกหุ้นที่มีคุณภาพ ผลตอบแทนไม่ต่ำ มีprofitability สูง อยู่ได้นาน
3. เลือกหุ้นราคาไม่แพง
ด้านเทคนิคทำ tracking ผลตอบแทนพันธบัตร10ปีสูงขึ้น หุ้นกลุ่มsector IT น่าสนใจ
สินทรัพย์แต่ละประเภทในโลก มีช่วงที่ดีและช่วงที่แย่สลับกันไป
การลงทุนใน Global Multi asset เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ
ดอกเบี้ยUSสูงขึ้น ส่งผลเสียต่อตลาดหุ้น ดูจากchart หุ้นตลาดเกิดใหม่ปรับตัวขึ้น ขณะที่ดอกเบี้ยสูงขึ้น
เกิดจากการเติบโตของเศรษฐกิจของตลาดเกิดใหม่ ต่อไปมองว่าตลาดนี้ไม่ได้โตมากนัก
มีโอกาสโตมากกว่าเดิมจากการส่งออก และ ราคาcommodityที่ดีขึ้น
ค่าเงิน$ไม่แข็งค่ามากนัก มีการreverseกลับ ไม่แข็งอย่างที่ตลาดคาดการณ์มากนัก
การลงทุนของกองทุนที่ A/Bเสนอมามีความหลากหลาย ลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท
เพื่อลดความเสี่ยง และ ผลตอบแทนที่ยอมรับได้
สรุปของงานสัมมนา
ถึงแม้จะมีการขึ้นดอกเบี้ยของUS ทำให้ค่าเงิน$แข็งค่าขึ้น แต่ก็มีโอกาสทำผลตอบแทนในการลงทุน
Themeในการลงทุนปีนี้ ควรจัดพอร์ตแบบ Global multi asset ส่วนในหุ้นก็เลือกหุ้นที่มี
Low beta สินทรัพย์ที่เป็น commodity ในตลาดเกิดใหม่ยังน่าสนใจ ต้องจัดสัดส่วนให้ดี
แต่ถ้าเราทำไม่ได้ ก็ใช้บริการซื้อกองทุนผ่านCitibank ให้เขาจัดสัดส่วนให้
ขอบคุณ ทาง Citibank สำหรับแนะนำ A/B มาให้เรารู้จักครับ
การเติบโตของเศรษฐกิจโลกดีขึ้น ทำให้งดการทำQEในUS
ปี2014 1H GDP ของโลกเข้าใกล้0% แต่ปี 2017 Global EPS outlook bullish
คาดการณ์แตกต่างจากเดิม Earning per share
EU เพิ่มขึ้น 14.4% ถ้าเรามองว่าดีเกินไปก็ลดลงบ้างสัก 4-5% ยังมีการเติบโต
ตลาดหุ้นทั่วโลกโต 6-7% รวมเรื่องค่าเงิน $ แข็งค่าขึ้น
การคาดการณ์ Earning per share ที่โตขึ้นทำให้มุมมองการลงทุนในหุ้นเป็นบวก
Volatility ไม่สูง ระยะยาวโต15% 2ปีที่ผ่านมาเติบโตลดลง 12-13% ทรัมป์อาจทำให้สูงขึ้น
จากนโยบายของทรัมป์ ส่งผลดีต่อตลาดหุ้นส่วนใหญ่แบ่งเป็น 4 ข้อ
1. Taxes คาดการณ์การลด Tax เหลือประมาณ 25% ส่งผลดีต่อกลุ่ม small cap กำไรโตขึ้น 13.4%
Large cap โตขึ้น 7.2%
2. Repatriation ย้ายสินทรัพย์$กลับไปที่US สำหรับซื้อหุ้นบริษัทในUSคืน หรือการทำ acquisition
ทำให้S&P500 เป็นบวก ส่งผลต่อกลุ่ม Technology , Industrial , Health care , S&P500 (ex fin)
การย้ายเงินทุนกลับUS ทำให้การลงทุนในUSน่าสนใจมากขึ้น
3. Stimulus การกระตุ้นตอนนี้ ถ้ามีโอกาสเพิ่มมากขึ้นดีต่อกลุ่ม financial
4. Deregulation ปรับลด หรือ ผ่อนคลายกฎระเบียบทำให้การลงทุนดีขึ้น
ราคาบ้านต่ำกว่า10ปีที่ผ่านมาในแง่PE Sectorน่าสนใจ ถูกกว่า เช่น Financial , Health care
Technology ,Energy
ดังนั้นการลงทุนเน้นในหุ้นที่มี low
volatility และ หาผลตอบแทนที่ดีได้ยังน่าสนใจ
กองทุนหุ้นที่มี low volatility ตลาดตก 100% แต่กองทุนหุ้นlow volatility ตกแค่ 70% แต่ตอนตลาดขึ้น
100% กองทุนขึ้น 80-90% ถ้าเช็คผลตอบแทนย้อนหลัง จะได้ประมาณ 8-10% ดีอันดับ 1-5 ของกองทุนของโลก
ผันผวนน้อยกว่ากองทุนประเภทเดียวกัน ลงทุนระยะยาวน่าจะชนะตลาดหุ้นได้
หลักการเลือกหุ้นในปีนี้สำหรับรอบรับความผันผวนของตลาดหุ้นและได้ผลตอบแทนที่ดี
1. เลือกหุ้นที่มี Low beta เช่น หุ้นสาธารณูปโภค ได้แก่หุ้นผลิตน้ำประปา
2. เลือกหุ้นที่มีคุณภาพ ผลตอบแทนไม่ต่ำ มีprofitability สูง อยู่ได้นาน
3. เลือกหุ้นราคาไม่แพง
ด้านเทคนิคทำ tracking ผลตอบแทนพันธบัตร10ปีสูงขึ้น หุ้นกลุ่มsector IT น่าสนใจ
สินทรัพย์แต่ละประเภทในโลก มีช่วงที่ดีและช่วงที่แย่สลับกันไป
การลงทุนใน Global Multi asset เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ
ดอกเบี้ยUSสูงขึ้น ส่งผลเสียต่อตลาดหุ้น ดูจากchart หุ้นตลาดเกิดใหม่ปรับตัวขึ้น ขณะที่ดอกเบี้ยสูงขึ้น
เกิดจากการเติบโตของเศรษฐกิจของตลาดเกิดใหม่ ต่อไปมองว่าตลาดนี้ไม่ได้โตมากนัก
มีโอกาสโตมากกว่าเดิมจากการส่งออก และ ราคาcommodityที่ดีขึ้น
ค่าเงิน$ไม่แข็งค่ามากนัก มีการreverseกลับ ไม่แข็งอย่างที่ตลาดคาดการณ์มากนัก
การลงทุนของกองทุนที่ A/Bเสนอมามีความหลากหลาย ลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท
เพื่อลดความเสี่ยง และ ผลตอบแทนที่ยอมรับได้
สรุปของงานสัมมนา
ถึงแม้จะมีการขึ้นดอกเบี้ยของUS ทำให้ค่าเงิน$แข็งค่าขึ้น แต่ก็มีโอกาสทำผลตอบแทนในการลงทุน
Themeในการลงทุนปีนี้ ควรจัดพอร์ตแบบ Global multi asset ส่วนในหุ้นก็เลือกหุ้นที่มี
Low beta สินทรัพย์ที่เป็น commodity ในตลาดเกิดใหม่ยังน่าสนใจ ต้องจัดสัดส่วนให้ดี
แต่ถ้าเราทำไม่ได้ ก็ใช้บริการซื้อกองทุนผ่านCitibank ให้เขาจัดสัดส่วนให้
ขอบคุณ ทาง Citibank สำหรับแนะนำ A/B มาให้เรารู้จักครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 14
บทความหุ้นเด้ง10เท่า จากนายแว่นธรรมดา Finnomina
เอามาฝากให้ลองอ่านดูนะครับ
จากประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้นไทยนั้น ต้องขอยืนยันว่าหุ้นที่โตเร็ว สิบเท่าในสิบปี มีอยู่มากมาย แต่หุ้นโตเร็วสิบเท่านั้นจะมาจากธุรกิจอะไรได้บ้าง สิ่งนี้คือ “การบ้าน” ข้อสำคัญของนักลงทุนหุ้นโตเร็ว ซึ่งถ้าคุณหามันเจอ มันจะเปลี่ยนชีวิตของคุณไปตลอดกาลเลยทีเดียว
ถ้าหากคุณคิดจะเป็น นักลงทุนหุ้นโตเร็ว หรือ Growth Investor คุณต้องขยันหาหุ้น และลงทุนในหุ้นให้นานพอ อย่างน้อยควรลงทุนให้ครบ Cycle หรือรอบของธุรกิจ เพื่อจะได้เห็นความเป็นไปของกิจการได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะคนที่มีเป้าหมายจะมองหาหุ้นสิบเด้ง หรือโตสิบเท่า แต่หุ้นสิบเด้งจะมาจากกิจการอะไรได้บ้างติดตามกันดีกว่าครับ
กิจการแรก “กิจการเติบโตตามเมกะเทรนด์”
กิจการที่เติบโตได้ตามเมกะเทรนด์มีโอกาสจะเป็นหุ้นสิบเด้ง แต่ทว่า หุ้นที่จะกลายเป็นหุ้นสิบเด้งตัวจริงอาจมีไม่มาก หรือบางกิจการมีเพียงหนึ่งเดียวคือต้องเป็น “ผู้ชนะ” เท่านั้น หุ้นแบบนี้มีตัวอย่างให้เห็นกันในอดีตอันไดแก่ Cpall หรือร้านค้าปลีก 7-11 ใครซื้อหุ้นตัวนี้ไว้ราวสิบปีที่ผ่านมา start ตั้งแต่ 7 บาท จนปัจจุบันกลายเป็น 60 กว่าบาท ไม่นับได้หุ้นเพิ่มจากปันผลเป็นหุ้นอีกด้วย ซื้อไว้ล้านหุ้น 7 ล้านบาท มันจะกลายเป็น 100 กว่าล้านแบบชิวๆ
ตัวอย่างของหุ้นที่โตตามเมกะเทรนด์อีกตัวที่ขอกล่าวถึงก็คือ “หุ้นโรงพยาบาล” หุ้นโรงพยาบาลกรุงเทพฯ เติบโตจาก 6 บาทกว่ากลายเป็น 180 บาท และแตกพาร์จนเหลือ 22 บาทกว่า ใครซื้อหุ้นตัวนี้ไว้ 1 ล้านหุ้นใช้เงิน 6 ล้านกว่าบาท มาปัจจุบันจะมีเงินราว 200 กว่าล้านเท่านั้นเองฮะ!
จะเห็นได้ว่ากิจการที่เติบโตตามเมกะเทรนด์นั้นสามารถทำให้หุ้นขึ้นสิบเด้งได้ไม่ยากเย็น แต่คนที่จะถือ และรออย่างอดทนมีน้อยมากๆ ความสำเร็จบางครั้งก็เลือกเจ้าของเหมือนกัน
กิจการที่สอง “กิจการที่พลิกฟื้นกลับมากำไร หรือ Turn Around”
หุ้นที่มีแววจะกลายเป็นหุ้นสิบเด้ง ในเวลาอันรวดเร็ว คือ หุ้นประเภทกิจการที่พลิกฟื้นกลับมากำไร หรือ Turn Around กลับมาได้อีกครั้ง แต่การลงทุนในหุ้นพวกนี้จะมีความเสี่ยงสูง ต้องคอยติดตามตลอดเวลาจะมานั่งชิวๆ รอจนหุ้นค่อยๆ โตเหมือนกิจการประเภทแรกเพียงอย่างเดียวไม่ได้อย่างแน่นอน
หุ้นพลิกฟื้นนั้นออกหน้าไพ่ได้สองแบบ คือ “เจ๊ง” ไม่ก็ “รุ่ง” ไปเลย ลองนึกภาพนกป่วยที่บาดเจ็บแล้วมีคนเก็บมารักษาเลี้ยงดูป้อนน้ำป้อนข้าว ถ้ามันรอด มันก็จะบินขึ้นสู่ท้องฟ้าอันสดใสได้อีกครั้ง ในทางกลับกันถ้ามันไม่รอด ก็ตายไปเลย และนั่นคือคุณลักษณะของหุ้นพลิกฟื้นเฉกเช่นเดียวกัน
ตัวอย่างหุ้นที่พลิกจากขาดทุนกลับมาเป็นบวกแล้วพุ่งทะยาน กลายเป็นหุ้นหลายเด้ง ผมขอยกตัวอย่างเร็วๆ นี้ (ปลายปี 2559) ก็คือ หุ้น ESSO ที่ทำธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน แต่เดิมที่เคยขาดทุนเนื่องจากค่าการกลั่นลดลงอย่างมากในช่วงราคาน้ำมันตกต่ำ ในปัจจุบันค่าการกลั่นกลับมาเป็นบวก และบวกแรง ทำให้ราคาหุ้นทะยานพลิกฟื้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
กิจการที่สาม “กิจการที่เป็นวัฏจักร”
กิจการที่เป็นวัฏจักรนั้นก็สามารถกลายเป็นหุ้นสิบเด้งได้เหมือนกัน หุ้นโภคภัณฑ์ หรือหุ้นวัฏจักร หลายๆ ตัวเด้งแรกเมื่อวัฏจักรขาขึ้นกลับมา บางตัวเด้งทีเดียว 4-5 เท่าภายในเวลาสั้นๆ บางตัวเด้งกว่า 10 เท่า ภายในเวลา 1-2 ปีก็มีให้เห็นอย่างมากมาย
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของหุ้นวัฏจักรคงหนีไม่พ้น “หุ้นยางพารา” หุ้นตัวนี้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันขึ้นลงตามราคายางพารา ในตอนที่ยางพาราตกต่ำเหลือเพียง 30 บาทต่อกิโลกรัมหุ้นก็ตกเหลือแค่ 9-10 บาทต่อหุ้น และเมื่อราคายางกลับมาจนในปีนี้ (ปลายปี 2559) ราคายางขึ้นมากว่า 70-80 บาทต่อกิโลกรัม ราคาหุ้นยางพาราก็ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว หุ้นโภคภัณฑ์หลายๆ ตัวในช่วงนี้ก็ปรับตัวขึ้นมาเป็นแถว ไม่ว่าจะเป็น หุ้นน้ำมันปาล์ม หุ้นเหล็ก หุ้นน้ำตาล หุ้นส่งออกข้าว เป็นต้น
อย่างไรก็ตามการลงทุนหุ้นโภคภัณฑ์ไม่ได้ให้แต่ประสบการณ์ที่ดีเพียงอย่างเดียว หุ้นประเภทนี้ยังให้ประสบการณ์เจ็บปวด ถ้าเราลงทุนผิดจังหวะ จังหวะที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวสูงสุด ทุกอย่างดูดี บางครั้งก็ต้องหลีกเลี่ยง เพราะเวลามันลง จะลงเร็ว และแรงเหมือนตอนขาขึ้น
หุ้นสิบเด้ง หรือ หุ้นสิบเท่านั้น ที่จริงแล้วมีอยู่อย่างไม่ต้องสงสัย แต่นักลงทุนหุ้นโตเร็ว หาหุ้นสิบเท่า ในสิบปีจะเจอมันหรือไม่ ถ้าเจอแล้วจะกล้าลงทุน และปล่อยให้มันเติบโตสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับพอร์ตเรามากน้อยแค่ไหน ถ้าเราจับถูกตัวเพียงครั้งเดียว และกล้าลงทุนในปริมาณที่มากพอ โอกาสประสบความสำเร็จย่อมเป็นไปได้เสมอครับ
เอามาฝากให้ลองอ่านดูนะครับ
จากประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้นไทยนั้น ต้องขอยืนยันว่าหุ้นที่โตเร็ว สิบเท่าในสิบปี มีอยู่มากมาย แต่หุ้นโตเร็วสิบเท่านั้นจะมาจากธุรกิจอะไรได้บ้าง สิ่งนี้คือ “การบ้าน” ข้อสำคัญของนักลงทุนหุ้นโตเร็ว ซึ่งถ้าคุณหามันเจอ มันจะเปลี่ยนชีวิตของคุณไปตลอดกาลเลยทีเดียว
ถ้าหากคุณคิดจะเป็น นักลงทุนหุ้นโตเร็ว หรือ Growth Investor คุณต้องขยันหาหุ้น และลงทุนในหุ้นให้นานพอ อย่างน้อยควรลงทุนให้ครบ Cycle หรือรอบของธุรกิจ เพื่อจะได้เห็นความเป็นไปของกิจการได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะคนที่มีเป้าหมายจะมองหาหุ้นสิบเด้ง หรือโตสิบเท่า แต่หุ้นสิบเด้งจะมาจากกิจการอะไรได้บ้างติดตามกันดีกว่าครับ
กิจการแรก “กิจการเติบโตตามเมกะเทรนด์”
กิจการที่เติบโตได้ตามเมกะเทรนด์มีโอกาสจะเป็นหุ้นสิบเด้ง แต่ทว่า หุ้นที่จะกลายเป็นหุ้นสิบเด้งตัวจริงอาจมีไม่มาก หรือบางกิจการมีเพียงหนึ่งเดียวคือต้องเป็น “ผู้ชนะ” เท่านั้น หุ้นแบบนี้มีตัวอย่างให้เห็นกันในอดีตอันไดแก่ Cpall หรือร้านค้าปลีก 7-11 ใครซื้อหุ้นตัวนี้ไว้ราวสิบปีที่ผ่านมา start ตั้งแต่ 7 บาท จนปัจจุบันกลายเป็น 60 กว่าบาท ไม่นับได้หุ้นเพิ่มจากปันผลเป็นหุ้นอีกด้วย ซื้อไว้ล้านหุ้น 7 ล้านบาท มันจะกลายเป็น 100 กว่าล้านแบบชิวๆ
ตัวอย่างของหุ้นที่โตตามเมกะเทรนด์อีกตัวที่ขอกล่าวถึงก็คือ “หุ้นโรงพยาบาล” หุ้นโรงพยาบาลกรุงเทพฯ เติบโตจาก 6 บาทกว่ากลายเป็น 180 บาท และแตกพาร์จนเหลือ 22 บาทกว่า ใครซื้อหุ้นตัวนี้ไว้ 1 ล้านหุ้นใช้เงิน 6 ล้านกว่าบาท มาปัจจุบันจะมีเงินราว 200 กว่าล้านเท่านั้นเองฮะ!
จะเห็นได้ว่ากิจการที่เติบโตตามเมกะเทรนด์นั้นสามารถทำให้หุ้นขึ้นสิบเด้งได้ไม่ยากเย็น แต่คนที่จะถือ และรออย่างอดทนมีน้อยมากๆ ความสำเร็จบางครั้งก็เลือกเจ้าของเหมือนกัน
กิจการที่สอง “กิจการที่พลิกฟื้นกลับมากำไร หรือ Turn Around”
หุ้นที่มีแววจะกลายเป็นหุ้นสิบเด้ง ในเวลาอันรวดเร็ว คือ หุ้นประเภทกิจการที่พลิกฟื้นกลับมากำไร หรือ Turn Around กลับมาได้อีกครั้ง แต่การลงทุนในหุ้นพวกนี้จะมีความเสี่ยงสูง ต้องคอยติดตามตลอดเวลาจะมานั่งชิวๆ รอจนหุ้นค่อยๆ โตเหมือนกิจการประเภทแรกเพียงอย่างเดียวไม่ได้อย่างแน่นอน
หุ้นพลิกฟื้นนั้นออกหน้าไพ่ได้สองแบบ คือ “เจ๊ง” ไม่ก็ “รุ่ง” ไปเลย ลองนึกภาพนกป่วยที่บาดเจ็บแล้วมีคนเก็บมารักษาเลี้ยงดูป้อนน้ำป้อนข้าว ถ้ามันรอด มันก็จะบินขึ้นสู่ท้องฟ้าอันสดใสได้อีกครั้ง ในทางกลับกันถ้ามันไม่รอด ก็ตายไปเลย และนั่นคือคุณลักษณะของหุ้นพลิกฟื้นเฉกเช่นเดียวกัน
ตัวอย่างหุ้นที่พลิกจากขาดทุนกลับมาเป็นบวกแล้วพุ่งทะยาน กลายเป็นหุ้นหลายเด้ง ผมขอยกตัวอย่างเร็วๆ นี้ (ปลายปี 2559) ก็คือ หุ้น ESSO ที่ทำธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน แต่เดิมที่เคยขาดทุนเนื่องจากค่าการกลั่นลดลงอย่างมากในช่วงราคาน้ำมันตกต่ำ ในปัจจุบันค่าการกลั่นกลับมาเป็นบวก และบวกแรง ทำให้ราคาหุ้นทะยานพลิกฟื้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
กิจการที่สาม “กิจการที่เป็นวัฏจักร”
กิจการที่เป็นวัฏจักรนั้นก็สามารถกลายเป็นหุ้นสิบเด้งได้เหมือนกัน หุ้นโภคภัณฑ์ หรือหุ้นวัฏจักร หลายๆ ตัวเด้งแรกเมื่อวัฏจักรขาขึ้นกลับมา บางตัวเด้งทีเดียว 4-5 เท่าภายในเวลาสั้นๆ บางตัวเด้งกว่า 10 เท่า ภายในเวลา 1-2 ปีก็มีให้เห็นอย่างมากมาย
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของหุ้นวัฏจักรคงหนีไม่พ้น “หุ้นยางพารา” หุ้นตัวนี้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันขึ้นลงตามราคายางพารา ในตอนที่ยางพาราตกต่ำเหลือเพียง 30 บาทต่อกิโลกรัมหุ้นก็ตกเหลือแค่ 9-10 บาทต่อหุ้น และเมื่อราคายางกลับมาจนในปีนี้ (ปลายปี 2559) ราคายางขึ้นมากว่า 70-80 บาทต่อกิโลกรัม ราคาหุ้นยางพาราก็ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว หุ้นโภคภัณฑ์หลายๆ ตัวในช่วงนี้ก็ปรับตัวขึ้นมาเป็นแถว ไม่ว่าจะเป็น หุ้นน้ำมันปาล์ม หุ้นเหล็ก หุ้นน้ำตาล หุ้นส่งออกข้าว เป็นต้น
อย่างไรก็ตามการลงทุนหุ้นโภคภัณฑ์ไม่ได้ให้แต่ประสบการณ์ที่ดีเพียงอย่างเดียว หุ้นประเภทนี้ยังให้ประสบการณ์เจ็บปวด ถ้าเราลงทุนผิดจังหวะ จังหวะที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวสูงสุด ทุกอย่างดูดี บางครั้งก็ต้องหลีกเลี่ยง เพราะเวลามันลง จะลงเร็ว และแรงเหมือนตอนขาขึ้น
หุ้นสิบเด้ง หรือ หุ้นสิบเท่านั้น ที่จริงแล้วมีอยู่อย่างไม่ต้องสงสัย แต่นักลงทุนหุ้นโตเร็ว หาหุ้นสิบเท่า ในสิบปีจะเจอมันหรือไม่ ถ้าเจอแล้วจะกล้าลงทุน และปล่อยให้มันเติบโตสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับพอร์ตเรามากน้อยแค่ไหน ถ้าเราจับถูกตัวเพียงครั้งเดียว และกล้าลงทุนในปริมาณที่มากพอ โอกาสประสบความสำเร็จย่อมเป็นไปได้เสมอครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 15
บทความโดย ชัชวนันท์ สันธิเดช clubvi
เป็นที่สงสัยกันมานานแล้ว ว่าทำไมวอร์เรน บัฟเฟตต์ ถึงเข้าซื้อหุ้นแอปเปิ้ล ทั้งๆ ที่แกปฎิเสธหุ้นเทคโนโลยีมาตลอดชีวิต บางคนมองว่า “ปู่เปลี่ยนไป” บางคนบอกว่า “ปู่ไม่ได้ซื้อเอง มีคนซื้อให้”
ในที่สุด บัฟเฟตต์ก็มาเฉลยข้อสงสัยนี้ไว้ในการให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ CNBC รายการ Squawk Box (27 ก.พ. 2017 ที่ผ่านมา) ซึ่งปู่จะมานั่งคุยกับพิธีกรของช่องการเงินชื่อดังแบบเจาะลึกสามชั่วโมง ในวันเดียวกับที่มีการออก “จดหมายถึงผู้ถือหุ้น” ของเบิร์คเชียร์ แฮธาเวย์ นับเป็นปีที่สิบแล้วในครั้งนี้ โดยประเด็นการซื้อหุ้นแอปเปิ้ล มีใจความดังนี้ครับ
ปู่เล่าว่า จากที่แกเคยบอกว่าได้ซื้อทุ่มเงินซื้อหุ้นแล้ว 12,000 ล้านเหรียญนับตั้งแต่วันเลือกตั้ง ถึงตอนนี้เงินก้อนนั้นได้เพิ่มเป็น 20,000 ล้านเหรียญแล้ว
เบ็คกี้ ควิก พิธีกรสาวสวยเจ้าเก่าถามว่า ขอทายว่าบริษัทที่ซื้อคือ “แอปเปิ้ล” (AAPL) และกลุ่มสายการบินใช่ไหม ซึ่งปู่ก็บอกว่า “ทายได้แม่นมาก”
ปู่เล่าว่า แกซื้อหุ้นแอปเปิ้ลเยอะมาก นับตั้งแต่เข้าสู่ปี 2017 เป็นต้นมา ก่อนจะหยุดซื้อไปหลังผลประกอบการออก เพราะราคามันพุ่งกระฉูดไปไกล โดยสรุปว่า ตอนนี้เบิร์คเชียร์มี AAPL อยู่ 133 ล้านหุ้นแล้ว
(ปู่ขยายความทีหลังว่า เดิมทีตอนสิ้นปีมีอยู่ 59 ล้านหุ้น และตั้งแต่เข้าปีนี้ แกก็ใช้เวลาเพียง 20 วัน ซื้อเพิ่มอีกประมาณ 70 ล้านหุ้น)
และดังที่ผมเคยเขียนไว้ในเพจว่า คนที่ตัดสินใจซื้อน่าจะเป็นสองคู่หู ท็อดด์ หรือ เท็ด ผจก.กองทุนของเบิร์คเชียร์ คนใดคนหนึ่ง เบ็คกี้ก็ถามคำถามเดียวกันว่า ใช่สองคนนั้นเป็นผู้ซื้อหรือไม่ ซึ่งปู่ก็ยอมรับว่า “ใช่” แต่ไม่ยอมบอกว่าเป็นท็อดด์หรือเท็ดกันแน่
อย่างไรก็ตาม ปู่บอกว่า ท็อดด์กับเท็ดซื้อแค่ 10 ล้านหุ้น และเป็นตัวแกที่ตามเข้าไปซื้ออีก 123 ล้านหุ้น รวมเป็น 133 ล้านหุ้นนั่นเอง
เบ็คกี้ถามว่า ทำไมถึงซื้อล่ะ
ปู่ตอบกวนๆ ว่า “ก็ผมชอบอ่ะ”
เบ็คกี้ถามว่าต่อว่า คุณไม่ชอบลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี แต่กลับซื้อหุ้นแอปเปิ้ลเยอะมากจนกลายเป็นสัดส่วน “อันดับ 5” ในพอร์ตของเบิร์คเชียร์ มากกว่าโคคาโคล่าเสียด้วยซ้ำ มันมีเหตุผลอันใดหรือ?
เท่านั้นล่ะครับ ปู่ก็ร่ายยาวแบบชี้ชัดกันไป ซึ่งเป็นการไขข้อสงสัยของทุกคนในที่สุด ว่าตัวแกเห็นอะไรในหุ้นแอปเปิ้ล จึงยอม “เปลี่ยนแนว” มาทุ่มเงินซื้อซะเยอะขนาดนั้น
ปู่บอกว่า … “ผมคงต้องบอกว่า แม้แอปเปิ้ลจะเป็นหุ้นเทคโนฯ จ๋า แต่มันกลายเป็น `สินค้าอุปโภคบริโภค` ไปแล้ว”
จากนั้น ปู่อ้างถึงหนังสือ “Common Stocks and Uncommon Profits” ของฟิล ฟิชเชอร์ แม่แบบอีกคนของแก โดยบอกว่า แกใช้วิธี “scuttlebutt” (การล้วงลึก) กับหุ้นแอปเปิ้ล โดยลุยสอบถามคนทั่วไปว่ารู้สึกอย่างไรกับสินค้าของแอปเปิ้ล และพบว่ามันมีสิ่งที่เรียกว่า “ความติดหนึบ” (stickiness) คือมีสินค้าที่คนชอบชนิดถอนตัวไม่ขึ้น พอซื้อไอโฟนเครื่องนึงแล้วก็ต้องซื้อรุ่นต่อไปเรื่อยๆ (แต่กลับยอมรับว่าตัวแกเองไม่เคยซื้อเลย จนโดน ทิม คุก แซวอยู่เสมอ) นั่นคือเหตุผลที่แกซื้อหุ้นตัวนี้
อย่างไรก็ตาม เหตุผลสำคัญที่สุดในการลงทุนยังไม่เปลี่ยนแปลง กล่าวคือ ปู่บอกว่า แอปเปิ้ลมีความสามารถในการทำกำไรในอนาคต (future earning power) ที่ดีมาก และกล่าวชม ทิม คุก ว่า ทำงานได้ยอดเยี่ยม ทั้งยังจัดสรรเงินลงทุนได้เก่งมาก
ก่อนจะสรุปปิดท้ายว่า “ผมไม่รู้หรอกนะว่ามีอะไรเกิดขึ้นในห้องแล็บของแอปเปิ้ลบ้าง แต่ผมรู้ว่าผู้บริโภคคิดอย่างไร เพราะผมใช้เวลามากมายไปเพื่อพูดคุยกับพวกเขา”
โดยสรุป จะเห็นได้ว่า แม้ดูเหมือน “เปลี่ยนแนว” แต่แท้จริงแล้ว ปู่ “ไม่เคยเปลี่ยนแปลง” แกยังใช้ “ตำราเล่มเดิม” และ “หลักการเดิมๆ” ที่ใช้เลือกซื้อหุ้นมาแล้วห้าสิบกว่าปี เป็นหลักที่แกสอนพวกเรามานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการ “หาข้อมูล” “ทำงานหนัก” และเลือกสินค้าที่ได้รับ “ความภักดี” จากผู้บริโภค
ดูผิวเผินเหมือน “เปลี่ยนไป” แต่ปู่คนนี้ อย่างไรก็ไม่เคย “เปลี่ยนแปลง” .. ชี้ชัดครับ!
เป็นที่สงสัยกันมานานแล้ว ว่าทำไมวอร์เรน บัฟเฟตต์ ถึงเข้าซื้อหุ้นแอปเปิ้ล ทั้งๆ ที่แกปฎิเสธหุ้นเทคโนโลยีมาตลอดชีวิต บางคนมองว่า “ปู่เปลี่ยนไป” บางคนบอกว่า “ปู่ไม่ได้ซื้อเอง มีคนซื้อให้”
ในที่สุด บัฟเฟตต์ก็มาเฉลยข้อสงสัยนี้ไว้ในการให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ CNBC รายการ Squawk Box (27 ก.พ. 2017 ที่ผ่านมา) ซึ่งปู่จะมานั่งคุยกับพิธีกรของช่องการเงินชื่อดังแบบเจาะลึกสามชั่วโมง ในวันเดียวกับที่มีการออก “จดหมายถึงผู้ถือหุ้น” ของเบิร์คเชียร์ แฮธาเวย์ นับเป็นปีที่สิบแล้วในครั้งนี้ โดยประเด็นการซื้อหุ้นแอปเปิ้ล มีใจความดังนี้ครับ
ปู่เล่าว่า จากที่แกเคยบอกว่าได้ซื้อทุ่มเงินซื้อหุ้นแล้ว 12,000 ล้านเหรียญนับตั้งแต่วันเลือกตั้ง ถึงตอนนี้เงินก้อนนั้นได้เพิ่มเป็น 20,000 ล้านเหรียญแล้ว
เบ็คกี้ ควิก พิธีกรสาวสวยเจ้าเก่าถามว่า ขอทายว่าบริษัทที่ซื้อคือ “แอปเปิ้ล” (AAPL) และกลุ่มสายการบินใช่ไหม ซึ่งปู่ก็บอกว่า “ทายได้แม่นมาก”
ปู่เล่าว่า แกซื้อหุ้นแอปเปิ้ลเยอะมาก นับตั้งแต่เข้าสู่ปี 2017 เป็นต้นมา ก่อนจะหยุดซื้อไปหลังผลประกอบการออก เพราะราคามันพุ่งกระฉูดไปไกล โดยสรุปว่า ตอนนี้เบิร์คเชียร์มี AAPL อยู่ 133 ล้านหุ้นแล้ว
(ปู่ขยายความทีหลังว่า เดิมทีตอนสิ้นปีมีอยู่ 59 ล้านหุ้น และตั้งแต่เข้าปีนี้ แกก็ใช้เวลาเพียง 20 วัน ซื้อเพิ่มอีกประมาณ 70 ล้านหุ้น)
และดังที่ผมเคยเขียนไว้ในเพจว่า คนที่ตัดสินใจซื้อน่าจะเป็นสองคู่หู ท็อดด์ หรือ เท็ด ผจก.กองทุนของเบิร์คเชียร์ คนใดคนหนึ่ง เบ็คกี้ก็ถามคำถามเดียวกันว่า ใช่สองคนนั้นเป็นผู้ซื้อหรือไม่ ซึ่งปู่ก็ยอมรับว่า “ใช่” แต่ไม่ยอมบอกว่าเป็นท็อดด์หรือเท็ดกันแน่
อย่างไรก็ตาม ปู่บอกว่า ท็อดด์กับเท็ดซื้อแค่ 10 ล้านหุ้น และเป็นตัวแกที่ตามเข้าไปซื้ออีก 123 ล้านหุ้น รวมเป็น 133 ล้านหุ้นนั่นเอง
เบ็คกี้ถามว่า ทำไมถึงซื้อล่ะ
ปู่ตอบกวนๆ ว่า “ก็ผมชอบอ่ะ”
เบ็คกี้ถามว่าต่อว่า คุณไม่ชอบลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี แต่กลับซื้อหุ้นแอปเปิ้ลเยอะมากจนกลายเป็นสัดส่วน “อันดับ 5” ในพอร์ตของเบิร์คเชียร์ มากกว่าโคคาโคล่าเสียด้วยซ้ำ มันมีเหตุผลอันใดหรือ?
เท่านั้นล่ะครับ ปู่ก็ร่ายยาวแบบชี้ชัดกันไป ซึ่งเป็นการไขข้อสงสัยของทุกคนในที่สุด ว่าตัวแกเห็นอะไรในหุ้นแอปเปิ้ล จึงยอม “เปลี่ยนแนว” มาทุ่มเงินซื้อซะเยอะขนาดนั้น
ปู่บอกว่า … “ผมคงต้องบอกว่า แม้แอปเปิ้ลจะเป็นหุ้นเทคโนฯ จ๋า แต่มันกลายเป็น `สินค้าอุปโภคบริโภค` ไปแล้ว”
จากนั้น ปู่อ้างถึงหนังสือ “Common Stocks and Uncommon Profits” ของฟิล ฟิชเชอร์ แม่แบบอีกคนของแก โดยบอกว่า แกใช้วิธี “scuttlebutt” (การล้วงลึก) กับหุ้นแอปเปิ้ล โดยลุยสอบถามคนทั่วไปว่ารู้สึกอย่างไรกับสินค้าของแอปเปิ้ล และพบว่ามันมีสิ่งที่เรียกว่า “ความติดหนึบ” (stickiness) คือมีสินค้าที่คนชอบชนิดถอนตัวไม่ขึ้น พอซื้อไอโฟนเครื่องนึงแล้วก็ต้องซื้อรุ่นต่อไปเรื่อยๆ (แต่กลับยอมรับว่าตัวแกเองไม่เคยซื้อเลย จนโดน ทิม คุก แซวอยู่เสมอ) นั่นคือเหตุผลที่แกซื้อหุ้นตัวนี้
อย่างไรก็ตาม เหตุผลสำคัญที่สุดในการลงทุนยังไม่เปลี่ยนแปลง กล่าวคือ ปู่บอกว่า แอปเปิ้ลมีความสามารถในการทำกำไรในอนาคต (future earning power) ที่ดีมาก และกล่าวชม ทิม คุก ว่า ทำงานได้ยอดเยี่ยม ทั้งยังจัดสรรเงินลงทุนได้เก่งมาก
ก่อนจะสรุปปิดท้ายว่า “ผมไม่รู้หรอกนะว่ามีอะไรเกิดขึ้นในห้องแล็บของแอปเปิ้ลบ้าง แต่ผมรู้ว่าผู้บริโภคคิดอย่างไร เพราะผมใช้เวลามากมายไปเพื่อพูดคุยกับพวกเขา”
โดยสรุป จะเห็นได้ว่า แม้ดูเหมือน “เปลี่ยนแนว” แต่แท้จริงแล้ว ปู่ “ไม่เคยเปลี่ยนแปลง” แกยังใช้ “ตำราเล่มเดิม” และ “หลักการเดิมๆ” ที่ใช้เลือกซื้อหุ้นมาแล้วห้าสิบกว่าปี เป็นหลักที่แกสอนพวกเรามานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการ “หาข้อมูล” “ทำงานหนัก” และเลือกสินค้าที่ได้รับ “ความภักดี” จากผู้บริโภค
ดูผิวเผินเหมือน “เปลี่ยนไป” แต่ปู่คนนี้ อย่างไรก็ไม่เคย “เปลี่ยนแปลง” .. ชี้ชัดครับ!
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 16
Outlook & Income Strategy Update by Mr Christian and Mr Todd from Pimco
สรุปโดย Seminar Knowledge page
แนวโน้มของโลก เปลี่ยนภาพรวมจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
เงินเฟ้อของสหรัฐขยับขึ้นไปจาก 2% ขึ้นไปสักนิดนึง ไม่ได้เปลี่ยนแปลงแนวโน้มสักเท่าไร
สหรัฐอเมริการปรับ outlook
ธนาคารกลางของอียู เปลี่ยนแปลงดอกเบี้ยจาก 0% และเป็นการเปลี่ยนพลวัตรของอัตราดอกเบี้ย
การเติบโตของ GDP เป็น 2.25% ของสหรัฐ
ด้านขวา เป็น Right tail ถ้าเติบโตมากกว่า 2.25%
นโยบายการเงินมาใช้ มีการใช้ QE จะเปลี่ยนเป็นนโยบายการคลัง
ปีนี้ ปล่อยมือให้ portfolio สมดุลมากขึ้น
ปฎิรูประบบโครงสร้างภาษี กฎหมายแรงงานอื่นๆ
ดังนั้น GDP น่าจะสูงกว่าที่คาดการณ์
เราสร้าง port จากเหตุการณ์นี้ได้
แต่ถ้าไม่ตามที่ตลาดคาดหวัง นโยบายการเมืองสร้างผลกระทบเชิงลบ
เกิดการล้มเหลวทางการค้า การพาณิชย์
ถ้าเป็นด้านซ้าย Left Tail สร้างport ยืดหยุ่น และ เสนอทางออกที่ดีกว่า เป็นอะไรที่น่าสนใจ
ธนาคารกลางเพิ่มอัตราดอกเบี้ย เส้นสีเหลืองประ เป็นสิ่งคาดหวังก่อนการเลือกตั้ง
ส่วนสีเหลือง ภาพหลังการเลือกตั้ง ตลาดเปลี่ยนการคาดหวัง ขึ้นดอกเบี้ยมากขึ้น2เท่า
มีการผนวกปัจจัยเหล่านี้เข้าแล้ว ตอนนี้อยู่ที่ 2.6%
เราไม่ได้คาดหวังว่ามีการคาดหวังว่าขายทิ้งมากกว่านี้
การเพิ่มอัตราดอกเบี้ยมากกว่านี้ เราใส่สัดส่วนพันธบัตรเพิ่มขึ้น
ภาพรวม อัตราดอกเบี้ยไม่น่าสูงกว่านี้สักเท่าไหร่
เราจะสร้างport โดยซื้อ Bank credit เข้ามา เติบโตพร้อมกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ
สินเชื่อที่เสนอจากบริษัทต่างๆเราก็ซื้อมากขึ้น
เราใช้ประโยชน์จากการฟื้นฟูของอสังหาในสหรัฐ
การเติบโตในจีนที่สูงขึ้น เราก็ยังตั้งคำถามว่าเติบโตในจีนมากแค่ไหน
เรามาดูในตลาดที่พัฒนา เช่น ออสเตรเลีย ถ้าจีนมีปัญหา จะกระทบต่ออัตราดอกเบี้ยในออสเตรเลีย
เป็นอะไรที่ผลต่ออัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา
นโยบายในแต่ละด้านของสามเสาหลัก มีผู้ได้และผู้เสียประโยชน์
บางsector เช่น Obama care อาจมีการเปลี่ยนแปลง แต่เรารู้ว่า ผลประกอบการโรงพยาบาลดีมาก สะท้อนจากการสนับสนุนจากรัฐบาล แต่อาจกระทบจากนโยบายใหม่ได้
โรงงานเหล็ก วัสดุพื้นฐาน ได้ประโยชน์มากทีเดียว
ทรัมป์ จะเห่ามากกว่ากัดหรือเปล่า
Real sector technology , retail มีความท้าทายมากขึ้น ถ้ามาตรการค้ารัดกุมมมากขึ้น
เราต้องใส่ใจรายละเอียด เรามาดูรายละเอียดมากขึ้นใน credit research
เราเป็นหัวหน้าทีม research ทำงานอย่างถี่ถ้วน สร้างรูปแบบmodelการลงทุน ที่เปลี่ยนแปลง มากมาย
การปฏิวัติ เช่น telecom , การขนส่ง มีการเปลี่ยนแปลง พลิกโฉมในอนาคต
ปัญหาก่อนที่จะเกิดขึ้นเข้าไปสู่โอกาส ผนวกรวมหรือไม่
ความสัมพันธ์ของบริษัทต่างๆ มีผลอย่างไร
เช่น รถขับเคลื่อนด้วยตนเอง มีผลต่ออุตสาหกรรมรถอย่างไร
การเข้าถึงเป้าหมาย ก่อนเกิดขึ้น หรือ เข้าหลังจากที่เข้าร่วมแล้ว
บ ประกันภัยมาดูที่ Yield curve
ธนาคาร ต้องมีการทำงานใกล้ชิดกับลูกค้า เช่น TMBAM
แต่ถ้ามีการกู้ยืม มีการ charge
การยืมจะเป็นศูนย์ ถ้า
หลังการเลือกตั้ง YIELD CURVE จะชันขึ้น Bank จะลงทุน และ กู้ยืมแบบ Carry trade
ปี 2016 YIELD CURVE จะ Flat จะเป็นการเปลี่ยนแปลง จากผลกำไรของธนาคาร
ในมุมมองของเรา จะมองว่าเป็นผลบวก สภาพคล่องของตลาดทุน
สิ่งที่ธนาคารต้องการ คือ ต้องการให้ข้อกำหนดโปร่งใส
เช่น EU มีความโปร่งใส่น้อยกว่า
มีค่าปรับอย่างไรที่มาcharge กับเรา
โอบามา มีความโปร่งใส Bank security มุมมองรายได้ มีการใส่เพิ่มเงินทุนใน9 ปีที่ผ่านไป ทำให้capital ratio เพิ่มขึ้น
ช่วยในระบบของธนาคาร
สิ่งที่ทรัมป์ จะเปลี่ยนแปลง ใน 3-4 ปีที่ผ่านมา คาดการณ์ไม่ได้เลย
เราไปทำ Stress test scenario
เราคิดว่าน่าจะกระบวนการ แต่ไม่สามารถคาดหวังได้
ราคาน้ำมันจะกลับมา 35-50 $ ต่อบาร์เรล
เราไม่คิดว่าราคาจะกลับไปราคาที่ต่ำได้
ในเรื่อง Equity ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
น่าจะมีกฎเกณฑ์ที่โปร่งใสมากขึ้น เราเห็น Pipe line จาก อเมริกาเหนือ
เราลงทุนใน yield ได้ High yield bond น่าสนใจyieldมีอัตราที่สูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา แต่ต้องระวังบ้าง
เราเห็นภาพเชิงบวก แต่ท้ายที่สุด ต้องถดถอยจนได้ มีเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ
เราต้องมีความพร้อมรองรับการถดถอยที่เกิดขึ้น
ถ้ามีการ recessionในปี 2019 บริษัทเหล่านี้จะอยู่รอดไหม หลายบริษัทจะคุ้นเคยกับการเติบโตค่อยๆเป็นค่อยไป
ค่อนข้างเฉื่อยๆ ยังไม่รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลง รายได้ลดลง margin ลดลงจะทำอย่างไร
การเข้าไปจัดการ amortize เราจำเป็นต้องปรับปรุง ต้องระวังเป็นพิเศษ
ตลาดทีอยู่อาศัย มี 3 ตัว Key driver of US Housing
1. Lack of single family construction
2. Strength in Household Formation
3. Gradual Expansion in credit Availability
ถึงแม้อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นแต่ก็ยังไม่สามารถกู้ได้
กฎเกณฑ์ผ่อนคลาย และ นำไปใช้ไม่เคร่งครัด
พันธบัตรสินเชื่อที่อยู่อาศัย ราคาบ้านขึ้น ใน 2 ปีข้างหน้าง 3-5%
สิ่งที่รัฐบาลรับประกัน คือ ตลาดที่อยู่อาศัยในสหรัฐ
อุตสาหกรรมใหม่ และ เก่าที่หายไป ก็มีการปรับเปลี่ยนสัดส่วนใน port
Pimco มีนักวิเคราะห์ และ ผู้จัดการกองทุนหลายร้อยคน มาวิเคราะห์
มีความหลากหลายของสินค้าเอาเข้าใน port เช่น MBS
Yield ต่ำ return ต่ำ
ทุกคนกลัวว่า ธนาคารกลางจะทำอย่างไร
การซื้อ mbs เป็นการตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้
เมื่อทุกอย่างเข้าที่เช่น เงินเฟ้อ มีคำถาม รัฐบาลกลางยังสนใจ market baseband หรือไม่
ถ้า MBS เข้ามาจะให้ผลตอบแทนลดลงหรือไม่
ผลตอบแทนของ security เพิ่มขึ้นมากในช่วงที่ผ่านมา ตลาดตกใจเกินไปหรือไม่
เราเพิ่ม market back security เข้าไปในport
ถ้าเราเข้า Global bond เช่น Australian bond
EM bond เช่น Mexico หลังทรัมป์เข้ามา สินค้าที่ไหลจาก mexico จะลดลง
ตลาดอาจตื่นตระหนกเกินไป
เราเริ่มมองดูอีกด้านของนโยบายทรัมป์
Bond Mexico น่าสนใจที่ศึกษา
บราซิลเทียบไม่ได้กับเม็กซิโก้ในที่เป็น
แสดงว่า PIMCO ลงทุนใน Mexico , Russia , Brazil South Africa เป็นสัดส่วนมากกว่า JP Morgan
EMBI Austraria เป็นตัวอย่างของ unemployment rate ที่สูงขึ้น มาจาก จีนชะลอตัวลง ทำให้Australian ชะลอมากขึ้นไปอีก เรามีความจำเป็น จัดในเรืองของ bond ป้องกันการ downside
จีนชะลอ เราต้องป้องกันด้วย เราสามารถป้องกันจากการลงทุนที่หลากหลาย
Global Fixed income ปี 2017 Yield เรายังไม่มี Telwin
บทบาทของ Fix income เป็น ส่วนสำคัญของ port
เราต้องดูในส่วนนี้ และ สุดท้าย อยากแนะนำนักวิเคราะห์ที่ศึกษาในกลุ่มนี้ ในการดู manager
และสภาพของอัตราดอกเบี้ยด้วย เรามี Base case , ดูนโยบาย ของ ทรัมป์
ดูเรื่อง left tail ด้วย ดู return และ บทบาทของ fixed income ใน port ด้วย
1 สร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง
2 สร้างมูลค่าของตลาด เราไม่ต้องการให้เกิดความผันผวน
3 เรามีแนวคิดการกระจายรายได้ โดยการกระจาย portfolio
เรามีการเปลี่ยนพลวัตรอย่างไรบ้าง
เราเสริมทสมูลค่าที่ดี และ ยืดหยุ่นได้
ทำงานกับผู้ทำงาน portfolio managerเพื่อให้รายได้อย่างต่อเนื่อง
Investment process
Adjust exposures dynamically given macroeconomic views
ECB ,JCB มีผลกระทบต่ออเมริกา
Housing , หนี้สินมากเกินไป เป็นเหตุการณ์เหมือนหนัง Big shot
Focus White blue , Dark blue จากปี 07 เป็นต้นมาจะน้อยลงเรื่อยๆ
จะเห็นว่า จะเพิ่มในสัดส่วน High yield bond และ Emerging bond market มากขึ้น
พค 13 ถ้าเราจำได้ เบน ประกาศว่าหยุด QE Treasury ขึ้นจาก 2%กว่าเป็น 3%
เราเห็นว่า Bond market ไปไกลเกินไป
2014 อัตราดอกเบี้ย ลดลง
ใส่อัตราดอกเบี้ยเสี่ยงมากขึ้น เมื่อดอกเบี้ย เริ่มเพิ่มขึ้น
จากกราฟ PIE สีชมพูและแดง เป็น High Yield ส่วน ฟ้าเป็น investment grade
เราจะถือครองหุ้นกู้คุณภาพสูงขึ้น
ตลาดที่อยู่อาศัยถดถอยแต่ ยังลงทุน
Asset back security รัฐบาลคุ้มครองพวกนี้
เราใส่ CMBS มากขึ้น มีคุณภาพสูง ในปี 16เราโฟกัสในบริษัทที่ยังเติบโต
พันธบัตรรัฐบาลในแต่ละประเทศ มีคน 40 คนไปดูตลาดใหม่
ผู้บริหารธนาคารแต่ละประเทศ และนำมาพิจารณาอีกที เราไม่ได้ซื้อ EM Bond ทั้งหมด
เราไม่เคยคาดการณ์ได้ แต่สร้างความสมดุลของport
สรุปโดย Seminar Knowledge page
แนวโน้มของโลก เปลี่ยนภาพรวมจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
เงินเฟ้อของสหรัฐขยับขึ้นไปจาก 2% ขึ้นไปสักนิดนึง ไม่ได้เปลี่ยนแปลงแนวโน้มสักเท่าไร
สหรัฐอเมริการปรับ outlook
ธนาคารกลางของอียู เปลี่ยนแปลงดอกเบี้ยจาก 0% และเป็นการเปลี่ยนพลวัตรของอัตราดอกเบี้ย
การเติบโตของ GDP เป็น 2.25% ของสหรัฐ
ด้านขวา เป็น Right tail ถ้าเติบโตมากกว่า 2.25%
นโยบายการเงินมาใช้ มีการใช้ QE จะเปลี่ยนเป็นนโยบายการคลัง
ปีนี้ ปล่อยมือให้ portfolio สมดุลมากขึ้น
ปฎิรูประบบโครงสร้างภาษี กฎหมายแรงงานอื่นๆ
ดังนั้น GDP น่าจะสูงกว่าที่คาดการณ์
เราสร้าง port จากเหตุการณ์นี้ได้
แต่ถ้าไม่ตามที่ตลาดคาดหวัง นโยบายการเมืองสร้างผลกระทบเชิงลบ
เกิดการล้มเหลวทางการค้า การพาณิชย์
ถ้าเป็นด้านซ้าย Left Tail สร้างport ยืดหยุ่น และ เสนอทางออกที่ดีกว่า เป็นอะไรที่น่าสนใจ
ธนาคารกลางเพิ่มอัตราดอกเบี้ย เส้นสีเหลืองประ เป็นสิ่งคาดหวังก่อนการเลือกตั้ง
ส่วนสีเหลือง ภาพหลังการเลือกตั้ง ตลาดเปลี่ยนการคาดหวัง ขึ้นดอกเบี้ยมากขึ้น2เท่า
มีการผนวกปัจจัยเหล่านี้เข้าแล้ว ตอนนี้อยู่ที่ 2.6%
เราไม่ได้คาดหวังว่ามีการคาดหวังว่าขายทิ้งมากกว่านี้
การเพิ่มอัตราดอกเบี้ยมากกว่านี้ เราใส่สัดส่วนพันธบัตรเพิ่มขึ้น
ภาพรวม อัตราดอกเบี้ยไม่น่าสูงกว่านี้สักเท่าไหร่
เราจะสร้างport โดยซื้อ Bank credit เข้ามา เติบโตพร้อมกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ
สินเชื่อที่เสนอจากบริษัทต่างๆเราก็ซื้อมากขึ้น
เราใช้ประโยชน์จากการฟื้นฟูของอสังหาในสหรัฐ
การเติบโตในจีนที่สูงขึ้น เราก็ยังตั้งคำถามว่าเติบโตในจีนมากแค่ไหน
เรามาดูในตลาดที่พัฒนา เช่น ออสเตรเลีย ถ้าจีนมีปัญหา จะกระทบต่ออัตราดอกเบี้ยในออสเตรเลีย
เป็นอะไรที่ผลต่ออัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา
นโยบายในแต่ละด้านของสามเสาหลัก มีผู้ได้และผู้เสียประโยชน์
บางsector เช่น Obama care อาจมีการเปลี่ยนแปลง แต่เรารู้ว่า ผลประกอบการโรงพยาบาลดีมาก สะท้อนจากการสนับสนุนจากรัฐบาล แต่อาจกระทบจากนโยบายใหม่ได้
โรงงานเหล็ก วัสดุพื้นฐาน ได้ประโยชน์มากทีเดียว
ทรัมป์ จะเห่ามากกว่ากัดหรือเปล่า
Real sector technology , retail มีความท้าทายมากขึ้น ถ้ามาตรการค้ารัดกุมมมากขึ้น
เราต้องใส่ใจรายละเอียด เรามาดูรายละเอียดมากขึ้นใน credit research
เราเป็นหัวหน้าทีม research ทำงานอย่างถี่ถ้วน สร้างรูปแบบmodelการลงทุน ที่เปลี่ยนแปลง มากมาย
การปฏิวัติ เช่น telecom , การขนส่ง มีการเปลี่ยนแปลง พลิกโฉมในอนาคต
ปัญหาก่อนที่จะเกิดขึ้นเข้าไปสู่โอกาส ผนวกรวมหรือไม่
ความสัมพันธ์ของบริษัทต่างๆ มีผลอย่างไร
เช่น รถขับเคลื่อนด้วยตนเอง มีผลต่ออุตสาหกรรมรถอย่างไร
การเข้าถึงเป้าหมาย ก่อนเกิดขึ้น หรือ เข้าหลังจากที่เข้าร่วมแล้ว
บ ประกันภัยมาดูที่ Yield curve
ธนาคาร ต้องมีการทำงานใกล้ชิดกับลูกค้า เช่น TMBAM
แต่ถ้ามีการกู้ยืม มีการ charge
การยืมจะเป็นศูนย์ ถ้า
หลังการเลือกตั้ง YIELD CURVE จะชันขึ้น Bank จะลงทุน และ กู้ยืมแบบ Carry trade
ปี 2016 YIELD CURVE จะ Flat จะเป็นการเปลี่ยนแปลง จากผลกำไรของธนาคาร
ในมุมมองของเรา จะมองว่าเป็นผลบวก สภาพคล่องของตลาดทุน
สิ่งที่ธนาคารต้องการ คือ ต้องการให้ข้อกำหนดโปร่งใส
เช่น EU มีความโปร่งใส่น้อยกว่า
มีค่าปรับอย่างไรที่มาcharge กับเรา
โอบามา มีความโปร่งใส Bank security มุมมองรายได้ มีการใส่เพิ่มเงินทุนใน9 ปีที่ผ่านไป ทำให้capital ratio เพิ่มขึ้น
ช่วยในระบบของธนาคาร
สิ่งที่ทรัมป์ จะเปลี่ยนแปลง ใน 3-4 ปีที่ผ่านมา คาดการณ์ไม่ได้เลย
เราไปทำ Stress test scenario
เราคิดว่าน่าจะกระบวนการ แต่ไม่สามารถคาดหวังได้
ราคาน้ำมันจะกลับมา 35-50 $ ต่อบาร์เรล
เราไม่คิดว่าราคาจะกลับไปราคาที่ต่ำได้
ในเรื่อง Equity ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
น่าจะมีกฎเกณฑ์ที่โปร่งใสมากขึ้น เราเห็น Pipe line จาก อเมริกาเหนือ
เราลงทุนใน yield ได้ High yield bond น่าสนใจyieldมีอัตราที่สูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา แต่ต้องระวังบ้าง
เราเห็นภาพเชิงบวก แต่ท้ายที่สุด ต้องถดถอยจนได้ มีเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ
เราต้องมีความพร้อมรองรับการถดถอยที่เกิดขึ้น
ถ้ามีการ recessionในปี 2019 บริษัทเหล่านี้จะอยู่รอดไหม หลายบริษัทจะคุ้นเคยกับการเติบโตค่อยๆเป็นค่อยไป
ค่อนข้างเฉื่อยๆ ยังไม่รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลง รายได้ลดลง margin ลดลงจะทำอย่างไร
การเข้าไปจัดการ amortize เราจำเป็นต้องปรับปรุง ต้องระวังเป็นพิเศษ
ตลาดทีอยู่อาศัย มี 3 ตัว Key driver of US Housing
1. Lack of single family construction
2. Strength in Household Formation
3. Gradual Expansion in credit Availability
ถึงแม้อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นแต่ก็ยังไม่สามารถกู้ได้
กฎเกณฑ์ผ่อนคลาย และ นำไปใช้ไม่เคร่งครัด
พันธบัตรสินเชื่อที่อยู่อาศัย ราคาบ้านขึ้น ใน 2 ปีข้างหน้าง 3-5%
สิ่งที่รัฐบาลรับประกัน คือ ตลาดที่อยู่อาศัยในสหรัฐ
อุตสาหกรรมใหม่ และ เก่าที่หายไป ก็มีการปรับเปลี่ยนสัดส่วนใน port
Pimco มีนักวิเคราะห์ และ ผู้จัดการกองทุนหลายร้อยคน มาวิเคราะห์
มีความหลากหลายของสินค้าเอาเข้าใน port เช่น MBS
Yield ต่ำ return ต่ำ
ทุกคนกลัวว่า ธนาคารกลางจะทำอย่างไร
การซื้อ mbs เป็นการตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้
เมื่อทุกอย่างเข้าที่เช่น เงินเฟ้อ มีคำถาม รัฐบาลกลางยังสนใจ market baseband หรือไม่
ถ้า MBS เข้ามาจะให้ผลตอบแทนลดลงหรือไม่
ผลตอบแทนของ security เพิ่มขึ้นมากในช่วงที่ผ่านมา ตลาดตกใจเกินไปหรือไม่
เราเพิ่ม market back security เข้าไปในport
ถ้าเราเข้า Global bond เช่น Australian bond
EM bond เช่น Mexico หลังทรัมป์เข้ามา สินค้าที่ไหลจาก mexico จะลดลง
ตลาดอาจตื่นตระหนกเกินไป
เราเริ่มมองดูอีกด้านของนโยบายทรัมป์
Bond Mexico น่าสนใจที่ศึกษา
บราซิลเทียบไม่ได้กับเม็กซิโก้ในที่เป็น
แสดงว่า PIMCO ลงทุนใน Mexico , Russia , Brazil South Africa เป็นสัดส่วนมากกว่า JP Morgan
EMBI Austraria เป็นตัวอย่างของ unemployment rate ที่สูงขึ้น มาจาก จีนชะลอตัวลง ทำให้Australian ชะลอมากขึ้นไปอีก เรามีความจำเป็น จัดในเรืองของ bond ป้องกันการ downside
จีนชะลอ เราต้องป้องกันด้วย เราสามารถป้องกันจากการลงทุนที่หลากหลาย
Global Fixed income ปี 2017 Yield เรายังไม่มี Telwin
บทบาทของ Fix income เป็น ส่วนสำคัญของ port
เราต้องดูในส่วนนี้ และ สุดท้าย อยากแนะนำนักวิเคราะห์ที่ศึกษาในกลุ่มนี้ ในการดู manager
และสภาพของอัตราดอกเบี้ยด้วย เรามี Base case , ดูนโยบาย ของ ทรัมป์
ดูเรื่อง left tail ด้วย ดู return และ บทบาทของ fixed income ใน port ด้วย
1 สร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง
2 สร้างมูลค่าของตลาด เราไม่ต้องการให้เกิดความผันผวน
3 เรามีแนวคิดการกระจายรายได้ โดยการกระจาย portfolio
เรามีการเปลี่ยนพลวัตรอย่างไรบ้าง
เราเสริมทสมูลค่าที่ดี และ ยืดหยุ่นได้
ทำงานกับผู้ทำงาน portfolio managerเพื่อให้รายได้อย่างต่อเนื่อง
Investment process
Adjust exposures dynamically given macroeconomic views
ECB ,JCB มีผลกระทบต่ออเมริกา
Housing , หนี้สินมากเกินไป เป็นเหตุการณ์เหมือนหนัง Big shot
Focus White blue , Dark blue จากปี 07 เป็นต้นมาจะน้อยลงเรื่อยๆ
จะเห็นว่า จะเพิ่มในสัดส่วน High yield bond และ Emerging bond market มากขึ้น
พค 13 ถ้าเราจำได้ เบน ประกาศว่าหยุด QE Treasury ขึ้นจาก 2%กว่าเป็น 3%
เราเห็นว่า Bond market ไปไกลเกินไป
2014 อัตราดอกเบี้ย ลดลง
ใส่อัตราดอกเบี้ยเสี่ยงมากขึ้น เมื่อดอกเบี้ย เริ่มเพิ่มขึ้น
จากกราฟ PIE สีชมพูและแดง เป็น High Yield ส่วน ฟ้าเป็น investment grade
เราจะถือครองหุ้นกู้คุณภาพสูงขึ้น
ตลาดที่อยู่อาศัยถดถอยแต่ ยังลงทุน
Asset back security รัฐบาลคุ้มครองพวกนี้
เราใส่ CMBS มากขึ้น มีคุณภาพสูง ในปี 16เราโฟกัสในบริษัทที่ยังเติบโต
พันธบัตรรัฐบาลในแต่ละประเทศ มีคน 40 คนไปดูตลาดใหม่
ผู้บริหารธนาคารแต่ละประเทศ และนำมาพิจารณาอีกที เราไม่ได้ซื้อ EM Bond ทั้งหมด
เราไม่เคยคาดการณ์ได้ แต่สร้างความสมดุลของport
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 17
จัดทัพการลงทุนปี 2017 โดย ดร สมจินต์ ศรไพศาล บลจ ทหารไทย
สรุปโดย Seminar Knowledge page
ต้นปีเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ในการเริ่มต้นการลงทุน
การมองย้อนปีที่ผ่าน2016 ยินดีกับการลงทุนมากน้อยแค่ไหน
ปีที่ผ่านมาวุ่นวาย มีข่าวทั้งในประเทศและนอกประเทศ คาดเดาได้ยาก
วันนี้ดร สมจินต์ อยากคุยให้ฟัง ความกังวลยังคงอยู่แต่จะทำให้
performance ของ portfolioให้ดีทำอย่างไร
ยังดีอยู่ ที่ทาง Pimco มีความเชี่ยวชาญพิเศษในการจัดการลงทุนภายเหตุการณ์ดังกล่าว
Managing Investment through Volatile Markets and Uncertainty
1 พื้นฐานการตัดสินใจลงทุน
2 กระบวนการจัดการความเสี่ยง การจัดทัพลงทุนสอดคล้องกับระยะเวลาการลงทุน
3 การกระจายความเสี่ยง
4 การบริหารจัดการความเสี่ยง
ปกตินักลงทุนจะได้ยินคำว่า High risk High return รับความเสี่ยงมาก ผลตอบแทนจะได้สูงขึ้น
จริงๆแล้วควรเขียน High risk High Expected Return ถ้ารับความเสี่ยงได้สูง ผลตอบแทนที่คาดหวัง
ก็น่าจะได้สูงขึ้น มากกว่า
Avioid Risk จะนำไปสู่ Avoid Return
ของสองอย่างมาคู่กัน มาข้างเดียวไม่ได้ แต่ ผลตอบแทนน้อยหน่อย ความเสี่ยงน้อยหน่อยเป็นไปได้
Time Horizon ความใกลัไกลของวิสัยทัศน์ เป็นตัวกำหนดพฤติกรรมการซื้อขาย และ ผลลัพธ์ของการลงทุน
เราปกติมองสั้นๆ ดู NAV กองทุนเป็นรายวัน แต่ถ้าเรามีเครื่องมือทำให้เรามองไกลขึ้น ถือได้นานขึ้น
ตัวอย่างคน 3 กลุ่ม
กลุ่มA มองทีปี และ ตัดสินใจทุกปี
กลุ่มB มองกลาง มองทีละสามปี แล้วตัดสินใจ
กลุ่มC มองทุก 6 ปี
ทำให้ความถี่การซื้อขายแตกต่างกัน
กลุ่มA สิ่งที่เกิดขึ้น จาก ปี 1999 -2016 ขาดทุน 6 ครั้ง และ กำไร 12 ครั้ง ขาดทุนมากสุด 44%
ผลตอบแทนเฉลี่ย 12.6% ต่อปี
กลุ่มB ซื้อขายทุก 3 ปี จาก ปี 1999-2016 เคลื่อนทุก 3 ปี สิ่งที่เกิดขึ้น
มีอยู่ 4 ครั้งขาดทุนคิดเป็น 25% แต่ติดลบได้ 10%
ผลตอบแทนเฉลี่ย 12.6% ต่อปี
กลุ่มC ลงทุน ทุก 6 ปี ไม่มีปีไหนขาดทุน
ผลตอบแทนเฉลี่ย 12.6% ต่อปี เท่ากัน
สรุป การลงทุนทุกปีมีโอกาสขาดทุนสูงสุด แต่ถ้าลงทุนทุก 6 ปีไม่มีโอกาสการติดลบเลย
ดังนั้นระยะเวลาในการถือครอง จะมีผลต่อผลตอบแทนการลงทุน
1 วงจรเศรษฐกิจ 7 ปี เดี๋ยวนี้ อาจ 5-7 ปี เอากลางๆ 6 ปี ถ้าเราลงทุนเท่าๆกับวงจรเศรษฐกิจ เราได้ผลตอบแทนที่ดี
ถ้าเราซื้อตั้ง 1998 และ ถือตลอดเราได้ ผลตอบแทนน 845%
แต่ระหว่างทางมีการผันผวน เช่น ลงทุน 6 ปี ได้แค่ 61% ถ้าซื้อตอนต้นปี 2007 และ ถือครอง 7 ปี ได้ 93%
Warren บอกว่า การซื้อขายบ่อย เกิด transaction cost และ โอกาสได้ผลตอบแทนต่ำกว่าการถือยาว
อะไรทีทำให้ซื้อขายบ่อย
คือ ข่าวคราวที่ติดตามได้ทุกที่ทุกเวลา
Brexit โพลบอกว่า ไม่ออก แต่พลิกโผ
Trump Wins ก่อนเลือกตั้งถ้าพรรคเดโมแครตมาน่าจะต่อเนื่องนโยบาย และ คิดว่าทรัมป์มาน่าจะสู้ฮิลลารี่ไม่ได้
คนที่ ในช่วง 6 เดือนแรกไม่ลงทุนปรากฏว่า หุ้นทยอยขึ้น ถ้าไปขายด้วย ผลตอบแทนจะน้อยกว่าตลาด
ข่าวคราวทั้งหลายประกอบความกลัวมีส่วนต่อการตัดสินใจ ส่งผล negative
อยากชวนเราคิดว่า การซื้อขายบ่อย สามารถหลีกเลี่ยงโดย
1 กำหนดเพดานความถี่ในกาซื้อขาย
2 กำหนดเงื่อนไขการซื้อขาย
3 ใช้ระบบการลงทุนอัตโนมัติ
ประเด็นที่สอง Diversification Multi-Asset & Multi-Area
การลงทุนสั้นอดหาพระเอกไม่ได้ แต่วิธีที่ดีกว่า เลือกกองทุนการลงทุนที่ตอบโจทย์เราได้
เมื่อก่อน Domestic Only : หุ้นไทย และ พันธบัตร
ตอนนี้ Add Global Allocation: เพิ่มตราสารต่างประเทศเข้ามา
Keep return , reduce risk
ลำดับวิธีคิด
Asset แรก หุ้นทุน Global quality growth ของ Wellington มาดูวิธีเลือกหุ้นเข้าพอร์ต
บริษัทมีอัตราการเติบโตที่ดี คุณภาพ การเติบโต ผลตอบแทนในการลงทุน ความคุ้มค่า
ดูจาก Cash flow yield ตัด Earning ปีที่เป็นลบออกไป
เหลือแค่ 75 บริษัท ของจากบริษัททั่วโลก เราจะได้เส้นสีแดงในกราป
หมายถึงลดพันธบัตรไทย และ หุ้นไทยลง เพิ่มของต่างประเทศ
มีasset อีกกลุ่ม ที่ volatileกว่าพันธบัตร แต่ได้ return สูงกว่า คือ Property fund , RIET , Infra fund
ผลตอบแทนน้อยกว่าหุ้นหน่อยนึง เช่น กองทุนProperty plus ของ TMBAM ขนาดกองทุน 10,000 ล้านบาท
SD (ความผันผวน) ลดลงกว่ารูปแบบที่สอง
ถือเป็นการกระจายความเสี่ยง
กองทุน Global income ของ บลจ ทหานไทย มีการลงทุนใน
Non agency MDS คือ Mortgage back securities หลักทรัพย์ที่เป็นหนี้ คือ อสังหาริมทรัพย์ ทำเป็นหลักทรัพย์แล้วขาย เช่น Freddie Mac , Fannie mae เป็นสถาบันในสหรัฐ ถ้าเป็น non agency เป็นกลุ่มอื่น ๆ แต่ถ้ามีขนาดใหญ่เจ้าหน้าที่เยอะพอ ไปลงในพื้นที่ ต่างวิเคราะห์ได้ Hamberger crisis ทำให้คนย้ายกลับไปอยู่พ่อแม่ ต่อมาก็มาซื้อบ้านได้ เลยคิดว่าน่าจะได้ผลตอบแทนที่มากในอีก 2 ปี
ผลตอบแทน 8 เดือน ของ Global incomeประมาณ 4.9%
บลจ เลือก partner ดูจากผลตอบแทนที่ดีในอดีต และ ไม่ใช่บังเอิญ แต่เป็นผลงานที่ทำให้เกิดขึ้นได้อีก เช่น Pimco
Portfolio ที่ระมัดระวัง ถึงแม้เบี่ยงเบน ก็พอรับได้ อยากลงทุนกับเขาไปอย่างต่อเนื่อง
สรุป การมีหลาย asset class ใน portfolio จะช่วยทำให้ความผันผวนในเรื่องผลตอบแทนลดลงโดยที่อัตราผลตอบแทนสูงที่พอรับได้
สรุปโดย Seminar Knowledge page
ต้นปีเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ในการเริ่มต้นการลงทุน
การมองย้อนปีที่ผ่าน2016 ยินดีกับการลงทุนมากน้อยแค่ไหน
ปีที่ผ่านมาวุ่นวาย มีข่าวทั้งในประเทศและนอกประเทศ คาดเดาได้ยาก
วันนี้ดร สมจินต์ อยากคุยให้ฟัง ความกังวลยังคงอยู่แต่จะทำให้
performance ของ portfolioให้ดีทำอย่างไร
ยังดีอยู่ ที่ทาง Pimco มีความเชี่ยวชาญพิเศษในการจัดการลงทุนภายเหตุการณ์ดังกล่าว
Managing Investment through Volatile Markets and Uncertainty
1 พื้นฐานการตัดสินใจลงทุน
2 กระบวนการจัดการความเสี่ยง การจัดทัพลงทุนสอดคล้องกับระยะเวลาการลงทุน
3 การกระจายความเสี่ยง
4 การบริหารจัดการความเสี่ยง
ปกตินักลงทุนจะได้ยินคำว่า High risk High return รับความเสี่ยงมาก ผลตอบแทนจะได้สูงขึ้น
จริงๆแล้วควรเขียน High risk High Expected Return ถ้ารับความเสี่ยงได้สูง ผลตอบแทนที่คาดหวัง
ก็น่าจะได้สูงขึ้น มากกว่า
Avioid Risk จะนำไปสู่ Avoid Return
ของสองอย่างมาคู่กัน มาข้างเดียวไม่ได้ แต่ ผลตอบแทนน้อยหน่อย ความเสี่ยงน้อยหน่อยเป็นไปได้
Time Horizon ความใกลัไกลของวิสัยทัศน์ เป็นตัวกำหนดพฤติกรรมการซื้อขาย และ ผลลัพธ์ของการลงทุน
เราปกติมองสั้นๆ ดู NAV กองทุนเป็นรายวัน แต่ถ้าเรามีเครื่องมือทำให้เรามองไกลขึ้น ถือได้นานขึ้น
ตัวอย่างคน 3 กลุ่ม
กลุ่มA มองทีปี และ ตัดสินใจทุกปี
กลุ่มB มองกลาง มองทีละสามปี แล้วตัดสินใจ
กลุ่มC มองทุก 6 ปี
ทำให้ความถี่การซื้อขายแตกต่างกัน
กลุ่มA สิ่งที่เกิดขึ้น จาก ปี 1999 -2016 ขาดทุน 6 ครั้ง และ กำไร 12 ครั้ง ขาดทุนมากสุด 44%
ผลตอบแทนเฉลี่ย 12.6% ต่อปี
กลุ่มB ซื้อขายทุก 3 ปี จาก ปี 1999-2016 เคลื่อนทุก 3 ปี สิ่งที่เกิดขึ้น
มีอยู่ 4 ครั้งขาดทุนคิดเป็น 25% แต่ติดลบได้ 10%
ผลตอบแทนเฉลี่ย 12.6% ต่อปี
กลุ่มC ลงทุน ทุก 6 ปี ไม่มีปีไหนขาดทุน
ผลตอบแทนเฉลี่ย 12.6% ต่อปี เท่ากัน
สรุป การลงทุนทุกปีมีโอกาสขาดทุนสูงสุด แต่ถ้าลงทุนทุก 6 ปีไม่มีโอกาสการติดลบเลย
ดังนั้นระยะเวลาในการถือครอง จะมีผลต่อผลตอบแทนการลงทุน
1 วงจรเศรษฐกิจ 7 ปี เดี๋ยวนี้ อาจ 5-7 ปี เอากลางๆ 6 ปี ถ้าเราลงทุนเท่าๆกับวงจรเศรษฐกิจ เราได้ผลตอบแทนที่ดี
ถ้าเราซื้อตั้ง 1998 และ ถือตลอดเราได้ ผลตอบแทนน 845%
แต่ระหว่างทางมีการผันผวน เช่น ลงทุน 6 ปี ได้แค่ 61% ถ้าซื้อตอนต้นปี 2007 และ ถือครอง 7 ปี ได้ 93%
Warren บอกว่า การซื้อขายบ่อย เกิด transaction cost และ โอกาสได้ผลตอบแทนต่ำกว่าการถือยาว
อะไรทีทำให้ซื้อขายบ่อย
คือ ข่าวคราวที่ติดตามได้ทุกที่ทุกเวลา
Brexit โพลบอกว่า ไม่ออก แต่พลิกโผ
Trump Wins ก่อนเลือกตั้งถ้าพรรคเดโมแครตมาน่าจะต่อเนื่องนโยบาย และ คิดว่าทรัมป์มาน่าจะสู้ฮิลลารี่ไม่ได้
คนที่ ในช่วง 6 เดือนแรกไม่ลงทุนปรากฏว่า หุ้นทยอยขึ้น ถ้าไปขายด้วย ผลตอบแทนจะน้อยกว่าตลาด
ข่าวคราวทั้งหลายประกอบความกลัวมีส่วนต่อการตัดสินใจ ส่งผล negative
อยากชวนเราคิดว่า การซื้อขายบ่อย สามารถหลีกเลี่ยงโดย
1 กำหนดเพดานความถี่ในกาซื้อขาย
2 กำหนดเงื่อนไขการซื้อขาย
3 ใช้ระบบการลงทุนอัตโนมัติ
ประเด็นที่สอง Diversification Multi-Asset & Multi-Area
การลงทุนสั้นอดหาพระเอกไม่ได้ แต่วิธีที่ดีกว่า เลือกกองทุนการลงทุนที่ตอบโจทย์เราได้
เมื่อก่อน Domestic Only : หุ้นไทย และ พันธบัตร
ตอนนี้ Add Global Allocation: เพิ่มตราสารต่างประเทศเข้ามา
Keep return , reduce risk
ลำดับวิธีคิด
Asset แรก หุ้นทุน Global quality growth ของ Wellington มาดูวิธีเลือกหุ้นเข้าพอร์ต
บริษัทมีอัตราการเติบโตที่ดี คุณภาพ การเติบโต ผลตอบแทนในการลงทุน ความคุ้มค่า
ดูจาก Cash flow yield ตัด Earning ปีที่เป็นลบออกไป
เหลือแค่ 75 บริษัท ของจากบริษัททั่วโลก เราจะได้เส้นสีแดงในกราป
หมายถึงลดพันธบัตรไทย และ หุ้นไทยลง เพิ่มของต่างประเทศ
มีasset อีกกลุ่ม ที่ volatileกว่าพันธบัตร แต่ได้ return สูงกว่า คือ Property fund , RIET , Infra fund
ผลตอบแทนน้อยกว่าหุ้นหน่อยนึง เช่น กองทุนProperty plus ของ TMBAM ขนาดกองทุน 10,000 ล้านบาท
SD (ความผันผวน) ลดลงกว่ารูปแบบที่สอง
ถือเป็นการกระจายความเสี่ยง
กองทุน Global income ของ บลจ ทหานไทย มีการลงทุนใน
Non agency MDS คือ Mortgage back securities หลักทรัพย์ที่เป็นหนี้ คือ อสังหาริมทรัพย์ ทำเป็นหลักทรัพย์แล้วขาย เช่น Freddie Mac , Fannie mae เป็นสถาบันในสหรัฐ ถ้าเป็น non agency เป็นกลุ่มอื่น ๆ แต่ถ้ามีขนาดใหญ่เจ้าหน้าที่เยอะพอ ไปลงในพื้นที่ ต่างวิเคราะห์ได้ Hamberger crisis ทำให้คนย้ายกลับไปอยู่พ่อแม่ ต่อมาก็มาซื้อบ้านได้ เลยคิดว่าน่าจะได้ผลตอบแทนที่มากในอีก 2 ปี
ผลตอบแทน 8 เดือน ของ Global incomeประมาณ 4.9%
บลจ เลือก partner ดูจากผลตอบแทนที่ดีในอดีต และ ไม่ใช่บังเอิญ แต่เป็นผลงานที่ทำให้เกิดขึ้นได้อีก เช่น Pimco
Portfolio ที่ระมัดระวัง ถึงแม้เบี่ยงเบน ก็พอรับได้ อยากลงทุนกับเขาไปอย่างต่อเนื่อง
สรุป การมีหลาย asset class ใน portfolio จะช่วยทำให้ความผันผวนในเรื่องผลตอบแทนลดลงโดยที่อัตราผลตอบแทนสูงที่พอรับได้
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 18
ชีวประวัตินักเทรดตัวยง
OSK109 น้องป๋อง วัชระ แก้วสว่าง
น่าสนใจติดตามนะครับ
https://www.facebook.com/amornkowa/post ... 2047308307
เสี่ยป๋องมาเล่าประวัติการลงทุนตั้งแต่แรกมาให้ผู้เข้าสัมมนากว่า1,000คนได้ฟัง
ผมเขียนสรุปไว้ใต้ภาพนะครับ
ประวัติการศึกษาของเสี่ยป๋องอาศัยอยู่อำเภอจันเสนจังหวัดนครวรรค์ เริ่มเรียนที่โรงเรียนจันเสนและมาต่อรร ลาซาลโชตรวีมาอยู่กทเรียนต่อที่รร วัดเบญจมบพิตร และมาต่อ รร สวนกุหลาบ รุ่น109 ยังจำผมซึ่งอยู่รุ่น101ได้. ต่อปตรี ที่อัสสัมชัญ. และจบป โท MBA ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง
เริ่มลงทุนครั้งแรกตอนเรียนอยู่เอแบคปี2-3ซึ่งไม่รู้เรื่องหุ้นเลย. คุณพ่อให้เงินมา500,000บาทแต่ลงทุนได้แค่300,000บาทต้องฝากโบรคไว้200,000บาทเพราะโบรคกลัวจากเหตุการณ์ราชาเงินทุน
ลงทุนช่วงเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ
ราคายังถูกจนไปถึงดัชนี17xxจุด
ตอนที่คุณชวนเป็นนายกหุ้นขึ้น3-4เดือน
ตอนนั้นเล่นไม่ดูกราฟเลย หุ้นขึ้นเลยเป็นอภิชาตบุตร
ที่บ้านส่งเงินมาให้ตลอดเป็นการซื้อขาลง
จริงๆมันหลุดสามเหลี่ยมต้องขายแต่กลับไปซื้อ
ไม่มีใครเขื่อว่าจะลงไปถึง204จุด
ทุกวันนี้ยังเก็บใบหุ้นอยู่ที่บ้านเลย
ตัดสินขายทิ้งตอนเด้งมาที่450จุด หลังจากนั้น
ก็ลงไปที่204จุด คิดว่าจะเลิกไปขายตะปูเพราะขาดทุนไป40ล้านบาท
แต่มาคิดอีกทีต้องเอาคืนจากหุ้น
ตอนนี้รู้วิธีลงทุนกลับเข้าไปใหม่
ตอนเมยปี1999เจอนักลงทุนคนนึงซึ่งใช้กราฟเก่งมาก
บอกว่าศึกษาจากการอ่านหนังสือและเรียนกราฟเอง
กดดูกราฟเลยพึ่งรู้ว่าที่ผ่านมาทำไมจึงขาดทุน
เลยขอเงินพ่อแม่เพื่อกลับมาใหม่ที่ผ่านมาผิด
ที่ไม่ได้ดูกราฟ
ศึกษากราฟทุกรูปแบบแค่3ปีก็ลบรอยแผลได้แล้ว
Portโตจาก10ล้านเป็น2xxล้านบาท
เริ่มแรกโดนค่าวิชา20ล้านเล่นใหม่เจอสามเหลี่ยมเบรคขึ้นโชคเข้าข้างเลยจัดเต็มรวมmargin
ตอนซับไพร์มไม่มีหุ้นเลยเพราะแม่ทักว่าฝันร้ายเห็นป๋องเจออุบัติเหตุทั้งรถไฟหรือเครื่องบินรวม4ครั้งเลยไม่ได้ลงจนดัชนีลงไปต่ำสุดและขึ้นมาที่450จุดจึงเริ่มเข้าซื้อ
ชีวิตเลยเปลี่ยนมาถึงปัจจุบัน
ขอบคุณน้องป๋อง สวน109 ที่มาให้ความรู้มากๆครับ
OSK109 น้องป๋อง วัชระ แก้วสว่าง
น่าสนใจติดตามนะครับ
https://www.facebook.com/amornkowa/post ... 2047308307
เสี่ยป๋องมาเล่าประวัติการลงทุนตั้งแต่แรกมาให้ผู้เข้าสัมมนากว่า1,000คนได้ฟัง
ผมเขียนสรุปไว้ใต้ภาพนะครับ
ประวัติการศึกษาของเสี่ยป๋องอาศัยอยู่อำเภอจันเสนจังหวัดนครวรรค์ เริ่มเรียนที่โรงเรียนจันเสนและมาต่อรร ลาซาลโชตรวีมาอยู่กทเรียนต่อที่รร วัดเบญจมบพิตร และมาต่อ รร สวนกุหลาบ รุ่น109 ยังจำผมซึ่งอยู่รุ่น101ได้. ต่อปตรี ที่อัสสัมชัญ. และจบป โท MBA ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง
เริ่มลงทุนครั้งแรกตอนเรียนอยู่เอแบคปี2-3ซึ่งไม่รู้เรื่องหุ้นเลย. คุณพ่อให้เงินมา500,000บาทแต่ลงทุนได้แค่300,000บาทต้องฝากโบรคไว้200,000บาทเพราะโบรคกลัวจากเหตุการณ์ราชาเงินทุน
ลงทุนช่วงเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ
ราคายังถูกจนไปถึงดัชนี17xxจุด
ตอนที่คุณชวนเป็นนายกหุ้นขึ้น3-4เดือน
ตอนนั้นเล่นไม่ดูกราฟเลย หุ้นขึ้นเลยเป็นอภิชาตบุตร
ที่บ้านส่งเงินมาให้ตลอดเป็นการซื้อขาลง
จริงๆมันหลุดสามเหลี่ยมต้องขายแต่กลับไปซื้อ
ไม่มีใครเขื่อว่าจะลงไปถึง204จุด
ทุกวันนี้ยังเก็บใบหุ้นอยู่ที่บ้านเลย
ตัดสินขายทิ้งตอนเด้งมาที่450จุด หลังจากนั้น
ก็ลงไปที่204จุด คิดว่าจะเลิกไปขายตะปูเพราะขาดทุนไป40ล้านบาท
แต่มาคิดอีกทีต้องเอาคืนจากหุ้น
ตอนนี้รู้วิธีลงทุนกลับเข้าไปใหม่
ตอนเมยปี1999เจอนักลงทุนคนนึงซึ่งใช้กราฟเก่งมาก
บอกว่าศึกษาจากการอ่านหนังสือและเรียนกราฟเอง
กดดูกราฟเลยพึ่งรู้ว่าที่ผ่านมาทำไมจึงขาดทุน
เลยขอเงินพ่อแม่เพื่อกลับมาใหม่ที่ผ่านมาผิด
ที่ไม่ได้ดูกราฟ
ศึกษากราฟทุกรูปแบบแค่3ปีก็ลบรอยแผลได้แล้ว
Portโตจาก10ล้านเป็น2xxล้านบาท
เริ่มแรกโดนค่าวิชา20ล้านเล่นใหม่เจอสามเหลี่ยมเบรคขึ้นโชคเข้าข้างเลยจัดเต็มรวมmargin
ตอนซับไพร์มไม่มีหุ้นเลยเพราะแม่ทักว่าฝันร้ายเห็นป๋องเจออุบัติเหตุทั้งรถไฟหรือเครื่องบินรวม4ครั้งเลยไม่ได้ลงจนดัชนีลงไปต่ำสุดและขึ้นมาที่450จุดจึงเริ่มเข้าซื้อ
ชีวิตเลยเปลี่ยนมาถึงปัจจุบัน
ขอบคุณน้องป๋อง สวน109 ที่มาให้ความรู้มากๆครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 19
StockRadars คุณหยงและแพท มาคุยเรื่อง
เริ่มต้นลงทุนอย่างไร
คำถามว่า เราจะเริ่มลงทุนอย่างไร กำไรเท่าไหร่ เกษียณด้วยเงินกี่ล้าน
เป็นคำถามที่ผิดประเด็น
คำถามที่ดีคือ เงินก้อนนี้ที่นำมาลงทุนใช้ตอนไหนต่างหาก
ถ้ามีเงิน1,2,,10ล้านบาท ถ้าต้องใช้ในระยะสั้นไม่เกิน1ปี ต้องเล่นสั้น
ถ้ามีเงิน1,2,,10ล้านบาท ถ้าต้องใช้ในระยะเกิน1ปี หรือ ไม่ได้ใช้เงินก้อนนี้ต้องออมในหุ้น
หยง เริ่มก่อน พูดถึง หยงสั้น เล่นสั้นดียังไง
คนส่วนใหญ่คิดผิด การเล่นสั้นที่ถูกคือการสร้างกระเเสเงินสด
ถ้าหุ้นที่ดี ราคาอาจไม่ไปไหนในระยะ6เดือนถึง2ปี ไม่ใช่ทุกคนมีเงินเย็น
เงินไม่กี่แสน ไม่สามารถถือยาวได้ ทั้งที่รู้ว่าถือยาวมันดี
เล่นสั้น หวังน้อย เสี่ยงต่ำกว่ามาก
การเล่นสั้นไม่ใช่การวัดดวง หาจังหวะที่เสี่ยงต่ำเอาชัวร์แต่ไม่เยอะ
ข้อดี เล่นสั้น อาจเล่นได้หลายครั้ง และ มีสินค้าที่เล่นหลายอย่างเช่น
Stock, Future, TFex , ยางพารา หรือ Go inter เทรดค่าเงิน
commodity ทองคำ เทรดนิเคอิ DAX หรือเก็งกำไรระยะสั้นได้
Key word คือ ทำกำไรได้ทุกสภาวตลาด
หุ้นขึ้น make money หุ้นลง ก็ make money ได้
เรามาดูแพท ยาว กันบ้าง
คุณแพทเริ่ม ถือยาวดีอย่างไร
สิ่งสำคัญในการลงทุน มีเงินก้อนนึง แบ่งอย่างไร
ถ้าไม่คิดจะทำอย่างไร สุดท้ายคือเสีย โชคดีจะแค่ครั้งแรก หรือ ครั้งที่สอง
สุดท้ายก็เจ็ง คุยกับหยงว่าวิธีการลงทุนอย่างไรจึงสำคัญ
วัตถุประสงค์ คือ ต้องการเงินเมื่อไหร่
Q: คนไทยรวยจากอะไร
A: คนส่วนใหญ่สมัยก่อนรวยจากที่ดน เพราะ ลงทุนระยะยาว
ไม่มีใครซื้อและขายในวันถัดไป สมมติซื้อที่ไร่ละแสนแถวสีลมเมือหลายสิบปี และขายตอนนี้ได้ 400ล้านบาทต่อไร่
คนส่วนใหญ่ที่รวยคิดยาวทั้งน้้น กับดักตลาดหุ้น คนส่วนใหญ่เริ่มแรกซื้อ
หุ้นไปสักพักไม่ขึ้น แต่หุ้นในlineขึ้นมาตลอดสุดท้ายไปเล่นหุ้นปั่น
ก็ติดดอยกันหมด ถ้าเราลงทุนในระยะยาว 10-20ปีขึ้นไป
จะมองหุ้นดีที่มีปันผล 10ปีหุ้นขึ้นหลายเท่า
การลงทุนในหุ้นได้ผลตอบแทนมากที่สุด จากสถิติหุ้นอเมริกา
เจอวิกฤติ13ครั้ง หลังหุ้นตก พอขึ้นจะประมาณ 5-10เด้ง
แต่เราส่วนใหญ่ไม่ให้ความสนใจคือขายไม่เกินแนวต้านระยะสั้น
คนมีเงิน1ล้านบาทแบ่งอย่างไร
ในระยะสั้น คุณหยงหวังผล5-30%เท่านั้น เต็มที่แล้ว เด้งไม่ต้องไปคิด
ส่วนคุณแพทมองเป็นรอบเลย จะต้องลงทุนนานแค่ไหน
หุ้นปั่นสุดท้ายจะกลับมาที่เดิม ธุรกิจจริงๆเวลาซื้อหุ้น
ที่ดิน ซื้อแล้วเก็บไม่มีเงินปันผลระหว่างทาง
ส่วนหุ้น ซื้อแล้วถือ มีเงินปันผลระหว่างทาง บรฺิษัทดีๆ ซื้อในจังหวะที่ถูก
สามารถปันผลได้ถึง 5-10% จะได้กำไรกลับไปแบบไม่มีต้นทุน
คุณหยงเสริม ในตลาด 1000คนจะถือหุ้นได้สัก 2 คนเอง
ทุกคนรู้ทำอย่างไรให้สุขภาพดึ แต่มีกี่คนที่ทำได้บ้าง
แพทกับหยง มีความคิดเห็นด้านการลงทุนเกือบไม่เหมือนกันเลย
เพราะลงทุนต่างกัน
หยง trade เกือบทุกสินค้า ปัญหาคือ เมื่อ trade เป้น จะทำกำไรได้เอง
จะเร่งได้เท่านี้ ปัญหาหนักคือ หยุดtradeไม่ได้ ผมคิดว่าเหมือน
active income จัง คือ ได้เงินต่อเมือ่ลงแรง
เทียบกับ แพท กำไรเหมือนกัน แต่ดูชิวๆกว่ามาก เหมือน passive income ในช่วงแรก ดูและซื้อในตอนวิกฤต ปันผล 6-8% trading
ได้เร็วกว่า แต่ปีท้ายปีที่ 6-8 ปันผล 10% บวกๆ ไม่ต้องทำอะไรเลย
หุ้น100เด้งปกติจะใช้เวลาประมาณ 20ปี
ส่วนเวลา 10 ปี จะได้5-10 เด้ง สำหรับหุ้นเล็ก ส่วนหุ้นใหญ่ 3-5เด้ง
หุ้นจะมีช่วงลง correction รอบต่อไปไม่ทำ new low
จุดซื้อคือจุดที่ไม่มีเหตุผลระยะสั้นให้คุณซื้อ เหมือนคุณพิชัยพูดไว้
ดังนั้นปัจจัยในการประสบความสำเร็จคือ
1. ต้องมีความรู้
2. ต้องเชื่อมั่น
สุดท้ายเส้นชัยก็ไปถึง ถือกำไรเท่าตัว
ถือกำไรให้ปันผล การออมในหุ้น มีส่วนของเงินทำงานให้เรา
มีปันผลมากกว่าค่าใช้จ่ายต่อเดือน
Process 10 ปี เริ่มเห็น และ 20 ปีจะมีอิสระภาพทางการเงิน
เงินที่ทำง่ายมาจากมนุษย์เงินเดือน
ปัญหาคือเงินน้อยไปแต่ถ้าได้ 100 เด้งละ
เราต้องกระจายความเสี่ยง ลงในหุ้น ที่ไม่มีเหตุผลให้ขึ้น
คนส่วนใหญ่ติดหุ้นในตอนหุ้นดีที่สุด
มันขึ้นอยู่ที่ตัวเรา cashflow เป็นตัวเร่งwealth
10 ปีขึ้นเท่านี้ ทำถุกวิธี
หยง บอกว่า โจทย์ต้องชัด อย่าเอาเงินทั้งหมดไปลงระยะสั้น
ต้องลงระยะยาว สุดท้ายมันง่ายกว่า
ถ้าใครไม่เลิกเล่นหุ้น จะรวยทุกคน
คุณแพทเสริม นักลงทุนรายใหญ่ ส่วนใหญ่ จะมีชั่วโมงการบินเยอะ อีก 10-20 ปี คนในห้องนี้ก็ทำได้ ส่วนใหญ่คนรู้แต่ไม่ทำ
สุดท้าย หยงและแพท ให้จำคำไว้ว่า อดทนรวยให้ได้
ขอบคุณ คุณ หยง และ คุณแพท มาให้ข้อคิดสำหรับคนเริ่มลงทุนได้
ลงทุนอย่างถูกวิธี และ ยังต้องเรียนรู้ต่อไปเรื่อยๆ
ผมเห็น ดร นิเวศน์ ยังอ่านหนังสือต่อไปเรื่อยๆ
คุณ เวป ยังไปลงเรียน หลักสูตรในต่างประเทศเหมือนงานอดิเรก
แล้วคุณละ ได้ทำอย่างนี้แล้วหรือยัง เขียนเสร็จ ผมไปฟัง oppday
ต่อดีกว่า
เริ่มต้นลงทุนอย่างไร
คำถามว่า เราจะเริ่มลงทุนอย่างไร กำไรเท่าไหร่ เกษียณด้วยเงินกี่ล้าน
เป็นคำถามที่ผิดประเด็น
คำถามที่ดีคือ เงินก้อนนี้ที่นำมาลงทุนใช้ตอนไหนต่างหาก
ถ้ามีเงิน1,2,,10ล้านบาท ถ้าต้องใช้ในระยะสั้นไม่เกิน1ปี ต้องเล่นสั้น
ถ้ามีเงิน1,2,,10ล้านบาท ถ้าต้องใช้ในระยะเกิน1ปี หรือ ไม่ได้ใช้เงินก้อนนี้ต้องออมในหุ้น
หยง เริ่มก่อน พูดถึง หยงสั้น เล่นสั้นดียังไง
คนส่วนใหญ่คิดผิด การเล่นสั้นที่ถูกคือการสร้างกระเเสเงินสด
ถ้าหุ้นที่ดี ราคาอาจไม่ไปไหนในระยะ6เดือนถึง2ปี ไม่ใช่ทุกคนมีเงินเย็น
เงินไม่กี่แสน ไม่สามารถถือยาวได้ ทั้งที่รู้ว่าถือยาวมันดี
เล่นสั้น หวังน้อย เสี่ยงต่ำกว่ามาก
การเล่นสั้นไม่ใช่การวัดดวง หาจังหวะที่เสี่ยงต่ำเอาชัวร์แต่ไม่เยอะ
ข้อดี เล่นสั้น อาจเล่นได้หลายครั้ง และ มีสินค้าที่เล่นหลายอย่างเช่น
Stock, Future, TFex , ยางพารา หรือ Go inter เทรดค่าเงิน
commodity ทองคำ เทรดนิเคอิ DAX หรือเก็งกำไรระยะสั้นได้
Key word คือ ทำกำไรได้ทุกสภาวตลาด
หุ้นขึ้น make money หุ้นลง ก็ make money ได้
เรามาดูแพท ยาว กันบ้าง
คุณแพทเริ่ม ถือยาวดีอย่างไร
สิ่งสำคัญในการลงทุน มีเงินก้อนนึง แบ่งอย่างไร
ถ้าไม่คิดจะทำอย่างไร สุดท้ายคือเสีย โชคดีจะแค่ครั้งแรก หรือ ครั้งที่สอง
สุดท้ายก็เจ็ง คุยกับหยงว่าวิธีการลงทุนอย่างไรจึงสำคัญ
วัตถุประสงค์ คือ ต้องการเงินเมื่อไหร่
Q: คนไทยรวยจากอะไร
A: คนส่วนใหญ่สมัยก่อนรวยจากที่ดน เพราะ ลงทุนระยะยาว
ไม่มีใครซื้อและขายในวันถัดไป สมมติซื้อที่ไร่ละแสนแถวสีลมเมือหลายสิบปี และขายตอนนี้ได้ 400ล้านบาทต่อไร่
คนส่วนใหญ่ที่รวยคิดยาวทั้งน้้น กับดักตลาดหุ้น คนส่วนใหญ่เริ่มแรกซื้อ
หุ้นไปสักพักไม่ขึ้น แต่หุ้นในlineขึ้นมาตลอดสุดท้ายไปเล่นหุ้นปั่น
ก็ติดดอยกันหมด ถ้าเราลงทุนในระยะยาว 10-20ปีขึ้นไป
จะมองหุ้นดีที่มีปันผล 10ปีหุ้นขึ้นหลายเท่า
การลงทุนในหุ้นได้ผลตอบแทนมากที่สุด จากสถิติหุ้นอเมริกา
เจอวิกฤติ13ครั้ง หลังหุ้นตก พอขึ้นจะประมาณ 5-10เด้ง
แต่เราส่วนใหญ่ไม่ให้ความสนใจคือขายไม่เกินแนวต้านระยะสั้น
คนมีเงิน1ล้านบาทแบ่งอย่างไร
ในระยะสั้น คุณหยงหวังผล5-30%เท่านั้น เต็มที่แล้ว เด้งไม่ต้องไปคิด
ส่วนคุณแพทมองเป็นรอบเลย จะต้องลงทุนนานแค่ไหน
หุ้นปั่นสุดท้ายจะกลับมาที่เดิม ธุรกิจจริงๆเวลาซื้อหุ้น
ที่ดิน ซื้อแล้วเก็บไม่มีเงินปันผลระหว่างทาง
ส่วนหุ้น ซื้อแล้วถือ มีเงินปันผลระหว่างทาง บรฺิษัทดีๆ ซื้อในจังหวะที่ถูก
สามารถปันผลได้ถึง 5-10% จะได้กำไรกลับไปแบบไม่มีต้นทุน
คุณหยงเสริม ในตลาด 1000คนจะถือหุ้นได้สัก 2 คนเอง
ทุกคนรู้ทำอย่างไรให้สุขภาพดึ แต่มีกี่คนที่ทำได้บ้าง
แพทกับหยง มีความคิดเห็นด้านการลงทุนเกือบไม่เหมือนกันเลย
เพราะลงทุนต่างกัน
หยง trade เกือบทุกสินค้า ปัญหาคือ เมื่อ trade เป้น จะทำกำไรได้เอง
จะเร่งได้เท่านี้ ปัญหาหนักคือ หยุดtradeไม่ได้ ผมคิดว่าเหมือน
active income จัง คือ ได้เงินต่อเมือ่ลงแรง
เทียบกับ แพท กำไรเหมือนกัน แต่ดูชิวๆกว่ามาก เหมือน passive income ในช่วงแรก ดูและซื้อในตอนวิกฤต ปันผล 6-8% trading
ได้เร็วกว่า แต่ปีท้ายปีที่ 6-8 ปันผล 10% บวกๆ ไม่ต้องทำอะไรเลย
หุ้น100เด้งปกติจะใช้เวลาประมาณ 20ปี
ส่วนเวลา 10 ปี จะได้5-10 เด้ง สำหรับหุ้นเล็ก ส่วนหุ้นใหญ่ 3-5เด้ง
หุ้นจะมีช่วงลง correction รอบต่อไปไม่ทำ new low
จุดซื้อคือจุดที่ไม่มีเหตุผลระยะสั้นให้คุณซื้อ เหมือนคุณพิชัยพูดไว้
ดังนั้นปัจจัยในการประสบความสำเร็จคือ
1. ต้องมีความรู้
2. ต้องเชื่อมั่น
สุดท้ายเส้นชัยก็ไปถึง ถือกำไรเท่าตัว
ถือกำไรให้ปันผล การออมในหุ้น มีส่วนของเงินทำงานให้เรา
มีปันผลมากกว่าค่าใช้จ่ายต่อเดือน
Process 10 ปี เริ่มเห็น และ 20 ปีจะมีอิสระภาพทางการเงิน
เงินที่ทำง่ายมาจากมนุษย์เงินเดือน
ปัญหาคือเงินน้อยไปแต่ถ้าได้ 100 เด้งละ
เราต้องกระจายความเสี่ยง ลงในหุ้น ที่ไม่มีเหตุผลให้ขึ้น
คนส่วนใหญ่ติดหุ้นในตอนหุ้นดีที่สุด
มันขึ้นอยู่ที่ตัวเรา cashflow เป็นตัวเร่งwealth
10 ปีขึ้นเท่านี้ ทำถุกวิธี
หยง บอกว่า โจทย์ต้องชัด อย่าเอาเงินทั้งหมดไปลงระยะสั้น
ต้องลงระยะยาว สุดท้ายมันง่ายกว่า
ถ้าใครไม่เลิกเล่นหุ้น จะรวยทุกคน
คุณแพทเสริม นักลงทุนรายใหญ่ ส่วนใหญ่ จะมีชั่วโมงการบินเยอะ อีก 10-20 ปี คนในห้องนี้ก็ทำได้ ส่วนใหญ่คนรู้แต่ไม่ทำ
สุดท้าย หยงและแพท ให้จำคำไว้ว่า อดทนรวยให้ได้
ขอบคุณ คุณ หยง และ คุณแพท มาให้ข้อคิดสำหรับคนเริ่มลงทุนได้
ลงทุนอย่างถูกวิธี และ ยังต้องเรียนรู้ต่อไปเรื่อยๆ
ผมเห็น ดร นิเวศน์ ยังอ่านหนังสือต่อไปเรื่อยๆ
คุณ เวป ยังไปลงเรียน หลักสูตรในต่างประเทศเหมือนงานอดิเรก
แล้วคุณละ ได้ทำอย่างนี้แล้วหรือยัง เขียนเสร็จ ผมไปฟัง oppday
ต่อดีกว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 20
THE WISDOM Wealth Avenue จับจังหวะโลก เจาะจังหวะการลงทุน
ไม่ใช่หาฟังกันได้ง่าย ๆ ในการที่ท่านผู้ว่าแบงก์ชาติจะมาอธิบายภาวะเศรษฐกิจโลกให้เข้าใจเป็นฉาก ๆ รวมถึงมีผู้เชี่ยวชาญระดับประเทศมาแนะนำการลงทุนให้อย่างละเอียด
เมื่อเร็วๆ นี้ ธนาคารกสิกรไทยโดยบริการเดอะวิสดอม ได้จัดงานสัมมนาด้านการเงินการลงทุน “THE WISDOM Wealth Avenue จับจังหวะโลก เจาะจังหวะลงทุน” ซึ่งแบ่งเป็น 2 ช่วงคือ 1) ทิศทางเศรษฐกิจบนความท้าทาย ปี 60 และ 2) คว้าโอกาสการลงทุนอย่างเหนือชั้น จึงขอถือโอกาสนำเนื้อหามาสรุปให้เข้าใจง่าย ๆ และใช้เวลาอ่านไม่นาน
ppel9887
ในช่วงแรก “ทิศทางเศรษฐกิจบนความท้าทาย ปี 60” เป็นการบรรยายพิเศษโดย ดร.วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
ปัจจุบันเป็นยุคที่เศรษฐกิจผันผวน ซับซ้อน คาดเดาได้ยาก การเตรียมความพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ควรศึกษาและทำความเข้าใจ เพื่อช่วยให้สามารถวางแผนการดำเนินธุรกิจ และการลงทุนได้อย่างมั่นใจ เริ่มจากการทบทวนสถานการณ์เศรษฐกิจการเงินที่ผ่านมา ที่จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสำคัญของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยในอนาคตข้างหน้า
โดยถ้ามองย้อนกลับไปในช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมา อาจจะนิยามสภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นว่า “3 ต่ำ 2 สูง”
สภาวะ 3 ต่ำ
อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจต่ำ ความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจในประเทศอุตสาหกรรมหลัก ทำให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวช้าและมีความเปราะบางสูง และการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญอย่างการค้าระหว่างประเทศ แต่ในช่วง 3 – 4 ปีที่ผ่านมา การค้าระหว่างประเทศอ่อนแรงลงมาก และน่าจะอ่อนแรงลงอีกในอนาคต ทำให้เกิดผลกระทบกับตลาดของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ และมีลักษณะเศรษฐกิจแบบเปิดอย่างประเทศไทย
อัตราเงินเฟ้อต่ำ เป็นผลจากราคาน้ำมันที่ต่ำกว่าระดับในอดีตค่อนข้างมาก บวกกับภาวะเศรษฐกิจที่ยังขยายตัวต่ำ ทำให้เงินเฟ้อโดยทั่วไปอยู่ในระดับต่ำ แต่กระนั้น อัตราเงินเฟ้อในปีนี้อาจปรับตัวสูงขึ้นได้บ้าง เนื่องจากปัจจุบันราคาน้ำมันเริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติ และอีกหนึ่งปัจจัยคือ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของประธานาธิบดี โดนัล ทรัมป์ ทำให้มีอัตราการจ้างงานเพิ่มมากขึ้น ส่งผลต่อการปรับตัวสูงขึ้นของอัตราเงินเฟ้อในอเมริกา และภาวะเงินเฟ้อของประเทศอื่นค่อย ๆ ปรับสูงขึ้นตาม
อัตราดอกเบี้ยต่ำ อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกอยู่ในระดับต่ำมานานเป็นประวัติการณ์ การลงทุนของภาคเอกชนทั่วโลกอยู่ในระดับต่ำ ทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกอยู่ในระดับต่ำตามไป แต่ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันทยอยปรับเพิ่มขึ้นบ้างแล้ว โดยเฉพาะธนาคารกลางของสหรัฐฯ รวมทั้งนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของทรัมป์ ที่ส่งผลทำให้อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรระยะยาวของอเมริกาและทั่วโลกค่อย ๆ ปรับตัวสูงขึ้น
สภาวะ 2 สูง
ตลาดเงินตลาดทุนมีความผันผวนสูง ตลาดการเงินโลกยังมีสภาพคล่องส่วนเกินในระดับที่สูง ในขณะที่นโยบายเศรษฐกิจการเงินจะมีความไม่แน่นอนมากขึ้น ส่งผลกระทบให้ตลาดเงินและตลาดทุนอ่อนไหวง่าย นักลงทุนไม่กล้าลงทุน
ความเหลื่อมล้ำสูง ผู้ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกกระจุกตัวสูง ฟื้นตัวไม่ทั่วถึง ยกตัวอย่างผลสำรวจจาก Oxfam แสดงให้เห็นว่า คนที่รวยที่สุดในโลก 8 คน มีทรัพย์สินเท่ากับคน 3,600 ล้านคน หรือครึ่งหนึ่งของประชากรโลก เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่คนรวยที่สุดในโลก 62 คน มีทรัพย์สินเท่ากับจำนวนคนครึ่งโลก
นอกจากนั้น ในอนาคตยังมี การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่สำคัญอีก 4 เรื่อง ที่กำลังทวีความสำคัญมากขึ้นได้แก่
ความเกี่ยวเนื่องกันของปัจจัยเศรษฐกิจและการเมือง สาเหตุหลักมาจากความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจที่ไม่ได้รับการแก้ไข ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างพลิกความคาดหมายในหลายประเทศ อย่างเช่น ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และผลโหวต Brexit ของอังกฤษ
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด ข้อมูลในรูปแบบดิจิตอลทั้งหลายจะเป็นประโยชน์มหาศาลในการทำงาน สามารถสร้างอาชีพและแนวทางใหม่ ๆ เป็นการช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต แต่ก็จะส่งผลให้การจ้างงานในอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมลดลง ทำให้เกิดปัญหาความไม่ทั่วถึงของผลประโยชน์ที่เกิดขึ้น
การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของประชากร หลายประเทศกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ จำนวนเด็กเกิดใหม่ลดลงมาก และเทคโนโลยีสมัยใหม่ทำให้ผู้คนมีอายุที่ยืนยาวขึ้น จะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างตลาดแรงงาน มีจำนวนคนวัยทำงานลดลง ส่งผลต่อเรื่องโครงสร้างการบริโภคและการออม รวมถึงภาระด้านการคลังของประเทศจะเพิ่มขึ้นจากรายจ่ายด้านสวัสดิการสังคม
การขยายตัวของชนชั้นกลาง โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย เช่น จีน อินเดีย เวียดนาม ทำให้มีอำนาจในการซื้อและการบริโภคสูง ส่งผลต่อเนื่องให้มีการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภาคของอุตสาหกรรมและบริการมากขึ้น
จากการเปลี่ยนแปลงทั้ง 4 ข้อข้างต้น เราจึงควร เตรียมความพร้อม 3 ด้าน ได้แก่
เพิ่มผลิตภาพ (Productivity) รู้จักปลูกฝังเรื่องการเรียนรู้ และเปิดรับกับสิ่งใหม่ๆ ซึ่งเป็นทักษะและพื้นฐานสำคัญ
การสร้างภูมิคุ้มกัน ตั้งแต่ระดับบุคคล ที่ควรจะรู้จักวางแผนการเงินให้เพียงพอสำหรับอนาคต เข้าใจความเสี่ยงที่มากับการลงทุน ไปจนถึงระดับภาคธุรกิจ ที่ต้องให้ความสำคัญและสามารถจัดการกับเรื่องความเสี่ยงต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจและการลงทุนได้อย่างเหมาะสม และติดตามข่าวสารของตลาดเงินตลาดทุนอย่างเท่าทัน
การปรับตัวอย่างมีพลวัตร (Dynamism) คือการปรับตัวได้อย่างรวดเร็วและเท่าทันการเปลี่ยนแปลง ในระดับบุคคล การรู้จักเรียนรู้และปรับตัวเป็นทักษะที่สำคัญเพื่อการอยู่รอดในอนาคต ส่วนการปรับตัวในระดับธุรกิจ ต้องมีความสามารถในการปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในอนาคตเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็น
และในช่วงที่สอง “คว้าโอกาสการลงทุนอย่างเหนือชั้น” เป็นเสวนาเจาะลึกจากผู้เชี่ยวชาญด้านกองทุน หุ้น และ Asset Allocation เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์สำคัญของโลกที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย พร้อมแนะนำการลงทุนที่น่าสนใจ
wwor0270
ด้านกองทุนรวม คุณนาวิน อินทรสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการและประธานบริหารการลงทุนต่างประเทศ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย (ที่ 2 จากขวาในรูป) สรุปว่า ในปีนี้และปีหน้า เศรษฐกิจเอเซียและเศรษฐกิจเกิดใหม่จะมีความการเติบโตสูงกว่าสหรัฐฯ ยูโรป ลาตินอเมริกาและตะวันออกกลาง
screenshot-460(สามารถคลิกที่รูปหรือพลิกอุปกรณ์เป็นแนวนอนเพื่อดูภาพที่ใหญ่ขึ้น)
อีกทั้งสถานการณ์ต่าง ๆ ก็เอื้อต่อการเน้นลงทุนในเอเซียมากกว่าภูมิภาคอื่น ๆ
screenshot-461
(สามารถคลิกที่รูปหรือพลิกอุปกรณ์เป็นแนวนอนเพื่อดูภาพที่ใหญ่ขึ้น)
ในส่วนของสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ (Asset Class) มองว่า
• Fixed Income: ยังให้ผลตอบแทนต่ำโดยเฉพาะในตราสารภาครัฐ ในขณะที่ตราสารหนี้ภาคเอกชนโดยเฉพาะในเอเซียมีความน่าสนใจในเชิงมูลค่า
• หุ้น: แนวโน้มความสามารถในการทำกำไรค่อย ๆ สูงขึ้น แต่ผลตอบแทนที่คาดหวังยังต่ำ เนื่องจากราคาค่อนข้างสูงและขาดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมารองรับในระยะต่อไป (QE เริ่มลดลง)
• สินค้าโภคภัณฑ์: ราคาน้ำมันเริ่มเข้าสู่ช่วงที่มีความสมดุลของอุปสงค์และอุปทาน ขณะที่ทองคำน่าสนใจลดลง เนื่องจากสินทรัพย์อื่น ๆ เริ่มให้ผลตอบแทนสูงขึ้น (เช่น ตราสารหนี้) และเศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงลดลง
ด้านหุ้น: คุณกวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (ที่ 2 จากซ้าย) มองว่าวัฏจักรน้ำมันกำลังเข้าสู่ขาขึ้น
screenshot-464
และประมาณการณ์ว่า SET Index ในปีนี้ น่าจะไม่เปลี่ยนแปลงจากปีก่อนมากนัก ในกรณีดี น่าจะขึ้นไปสู่ระดับ 1,600 จุดต้น ๆ และในกรณีแย่สุดอาจจะลงไปถึงระดับ 1,250 จุด
และเชื่อว่าหุ้นที่น่าสนใจในช่วงต่อไป คือหุ้นพลังงานตัวใหญ่ ๆ หุ้นธนาคารที่มูลค่ายังไม่สูงมากนัก รวมถึงหุ้นที่เกี่ยวกับการบริโภคภายในประเทศ เช่น ค้าปลีก
ด้าน Asset Allocation: คุณศิริพร สุวรรณการ ผู้บริหารกลุ่มงานที่ปรึกษาทางการเงินไพรเวทแบงก์ ธนาคารกสิกรไทย (ซ้ายสุด) มองว่ากลยุทธ์กระจายสินทรัพย์ (Allocate asset) อย่างเหมาะสม ยังเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในระยะยาว ซึ่งดีกว่าการเน้นจับจังหวะตลาด (Market timing) และการเลือกหุ้น (Stock pick)
screenshot-465
โดยนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงมาก หากเน้นลงทุนในหุ้นทั้งหมด ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาสามารถทำผลตอบแทนได้ 6.41% ต่อปีโดยเฉลี่ย และหากเน้นลงทุนที่มีความแน่นอนสูงคือมีตราสารหนี้เป็นหลัก จะสามารถทำreturn3.58%ได้
สุดท้ายขขอบคุณ The Wisdom Wealth Avenueที่จัดสัมมนาดีๆและมาแบ่งปันครับ
ไม่ใช่หาฟังกันได้ง่าย ๆ ในการที่ท่านผู้ว่าแบงก์ชาติจะมาอธิบายภาวะเศรษฐกิจโลกให้เข้าใจเป็นฉาก ๆ รวมถึงมีผู้เชี่ยวชาญระดับประเทศมาแนะนำการลงทุนให้อย่างละเอียด
เมื่อเร็วๆ นี้ ธนาคารกสิกรไทยโดยบริการเดอะวิสดอม ได้จัดงานสัมมนาด้านการเงินการลงทุน “THE WISDOM Wealth Avenue จับจังหวะโลก เจาะจังหวะลงทุน” ซึ่งแบ่งเป็น 2 ช่วงคือ 1) ทิศทางเศรษฐกิจบนความท้าทาย ปี 60 และ 2) คว้าโอกาสการลงทุนอย่างเหนือชั้น จึงขอถือโอกาสนำเนื้อหามาสรุปให้เข้าใจง่าย ๆ และใช้เวลาอ่านไม่นาน
ppel9887
ในช่วงแรก “ทิศทางเศรษฐกิจบนความท้าทาย ปี 60” เป็นการบรรยายพิเศษโดย ดร.วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
ปัจจุบันเป็นยุคที่เศรษฐกิจผันผวน ซับซ้อน คาดเดาได้ยาก การเตรียมความพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ควรศึกษาและทำความเข้าใจ เพื่อช่วยให้สามารถวางแผนการดำเนินธุรกิจ และการลงทุนได้อย่างมั่นใจ เริ่มจากการทบทวนสถานการณ์เศรษฐกิจการเงินที่ผ่านมา ที่จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสำคัญของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยในอนาคตข้างหน้า
โดยถ้ามองย้อนกลับไปในช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมา อาจจะนิยามสภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นว่า “3 ต่ำ 2 สูง”
สภาวะ 3 ต่ำ
อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจต่ำ ความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจในประเทศอุตสาหกรรมหลัก ทำให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวช้าและมีความเปราะบางสูง และการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญอย่างการค้าระหว่างประเทศ แต่ในช่วง 3 – 4 ปีที่ผ่านมา การค้าระหว่างประเทศอ่อนแรงลงมาก และน่าจะอ่อนแรงลงอีกในอนาคต ทำให้เกิดผลกระทบกับตลาดของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ และมีลักษณะเศรษฐกิจแบบเปิดอย่างประเทศไทย
อัตราเงินเฟ้อต่ำ เป็นผลจากราคาน้ำมันที่ต่ำกว่าระดับในอดีตค่อนข้างมาก บวกกับภาวะเศรษฐกิจที่ยังขยายตัวต่ำ ทำให้เงินเฟ้อโดยทั่วไปอยู่ในระดับต่ำ แต่กระนั้น อัตราเงินเฟ้อในปีนี้อาจปรับตัวสูงขึ้นได้บ้าง เนื่องจากปัจจุบันราคาน้ำมันเริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติ และอีกหนึ่งปัจจัยคือ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของประธานาธิบดี โดนัล ทรัมป์ ทำให้มีอัตราการจ้างงานเพิ่มมากขึ้น ส่งผลต่อการปรับตัวสูงขึ้นของอัตราเงินเฟ้อในอเมริกา และภาวะเงินเฟ้อของประเทศอื่นค่อย ๆ ปรับสูงขึ้นตาม
อัตราดอกเบี้ยต่ำ อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกอยู่ในระดับต่ำมานานเป็นประวัติการณ์ การลงทุนของภาคเอกชนทั่วโลกอยู่ในระดับต่ำ ทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกอยู่ในระดับต่ำตามไป แต่ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันทยอยปรับเพิ่มขึ้นบ้างแล้ว โดยเฉพาะธนาคารกลางของสหรัฐฯ รวมทั้งนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของทรัมป์ ที่ส่งผลทำให้อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรระยะยาวของอเมริกาและทั่วโลกค่อย ๆ ปรับตัวสูงขึ้น
สภาวะ 2 สูง
ตลาดเงินตลาดทุนมีความผันผวนสูง ตลาดการเงินโลกยังมีสภาพคล่องส่วนเกินในระดับที่สูง ในขณะที่นโยบายเศรษฐกิจการเงินจะมีความไม่แน่นอนมากขึ้น ส่งผลกระทบให้ตลาดเงินและตลาดทุนอ่อนไหวง่าย นักลงทุนไม่กล้าลงทุน
ความเหลื่อมล้ำสูง ผู้ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกกระจุกตัวสูง ฟื้นตัวไม่ทั่วถึง ยกตัวอย่างผลสำรวจจาก Oxfam แสดงให้เห็นว่า คนที่รวยที่สุดในโลก 8 คน มีทรัพย์สินเท่ากับคน 3,600 ล้านคน หรือครึ่งหนึ่งของประชากรโลก เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่คนรวยที่สุดในโลก 62 คน มีทรัพย์สินเท่ากับจำนวนคนครึ่งโลก
นอกจากนั้น ในอนาคตยังมี การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่สำคัญอีก 4 เรื่อง ที่กำลังทวีความสำคัญมากขึ้นได้แก่
ความเกี่ยวเนื่องกันของปัจจัยเศรษฐกิจและการเมือง สาเหตุหลักมาจากความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจที่ไม่ได้รับการแก้ไข ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างพลิกความคาดหมายในหลายประเทศ อย่างเช่น ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และผลโหวต Brexit ของอังกฤษ
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด ข้อมูลในรูปแบบดิจิตอลทั้งหลายจะเป็นประโยชน์มหาศาลในการทำงาน สามารถสร้างอาชีพและแนวทางใหม่ ๆ เป็นการช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต แต่ก็จะส่งผลให้การจ้างงานในอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมลดลง ทำให้เกิดปัญหาความไม่ทั่วถึงของผลประโยชน์ที่เกิดขึ้น
การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของประชากร หลายประเทศกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ จำนวนเด็กเกิดใหม่ลดลงมาก และเทคโนโลยีสมัยใหม่ทำให้ผู้คนมีอายุที่ยืนยาวขึ้น จะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างตลาดแรงงาน มีจำนวนคนวัยทำงานลดลง ส่งผลต่อเรื่องโครงสร้างการบริโภคและการออม รวมถึงภาระด้านการคลังของประเทศจะเพิ่มขึ้นจากรายจ่ายด้านสวัสดิการสังคม
การขยายตัวของชนชั้นกลาง โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย เช่น จีน อินเดีย เวียดนาม ทำให้มีอำนาจในการซื้อและการบริโภคสูง ส่งผลต่อเนื่องให้มีการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภาคของอุตสาหกรรมและบริการมากขึ้น
จากการเปลี่ยนแปลงทั้ง 4 ข้อข้างต้น เราจึงควร เตรียมความพร้อม 3 ด้าน ได้แก่
เพิ่มผลิตภาพ (Productivity) รู้จักปลูกฝังเรื่องการเรียนรู้ และเปิดรับกับสิ่งใหม่ๆ ซึ่งเป็นทักษะและพื้นฐานสำคัญ
การสร้างภูมิคุ้มกัน ตั้งแต่ระดับบุคคล ที่ควรจะรู้จักวางแผนการเงินให้เพียงพอสำหรับอนาคต เข้าใจความเสี่ยงที่มากับการลงทุน ไปจนถึงระดับภาคธุรกิจ ที่ต้องให้ความสำคัญและสามารถจัดการกับเรื่องความเสี่ยงต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจและการลงทุนได้อย่างเหมาะสม และติดตามข่าวสารของตลาดเงินตลาดทุนอย่างเท่าทัน
การปรับตัวอย่างมีพลวัตร (Dynamism) คือการปรับตัวได้อย่างรวดเร็วและเท่าทันการเปลี่ยนแปลง ในระดับบุคคล การรู้จักเรียนรู้และปรับตัวเป็นทักษะที่สำคัญเพื่อการอยู่รอดในอนาคต ส่วนการปรับตัวในระดับธุรกิจ ต้องมีความสามารถในการปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในอนาคตเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็น
และในช่วงที่สอง “คว้าโอกาสการลงทุนอย่างเหนือชั้น” เป็นเสวนาเจาะลึกจากผู้เชี่ยวชาญด้านกองทุน หุ้น และ Asset Allocation เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์สำคัญของโลกที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย พร้อมแนะนำการลงทุนที่น่าสนใจ
wwor0270
ด้านกองทุนรวม คุณนาวิน อินทรสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการและประธานบริหารการลงทุนต่างประเทศ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย (ที่ 2 จากขวาในรูป) สรุปว่า ในปีนี้และปีหน้า เศรษฐกิจเอเซียและเศรษฐกิจเกิดใหม่จะมีความการเติบโตสูงกว่าสหรัฐฯ ยูโรป ลาตินอเมริกาและตะวันออกกลาง
screenshot-460(สามารถคลิกที่รูปหรือพลิกอุปกรณ์เป็นแนวนอนเพื่อดูภาพที่ใหญ่ขึ้น)
อีกทั้งสถานการณ์ต่าง ๆ ก็เอื้อต่อการเน้นลงทุนในเอเซียมากกว่าภูมิภาคอื่น ๆ
screenshot-461
(สามารถคลิกที่รูปหรือพลิกอุปกรณ์เป็นแนวนอนเพื่อดูภาพที่ใหญ่ขึ้น)
ในส่วนของสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ (Asset Class) มองว่า
• Fixed Income: ยังให้ผลตอบแทนต่ำโดยเฉพาะในตราสารภาครัฐ ในขณะที่ตราสารหนี้ภาคเอกชนโดยเฉพาะในเอเซียมีความน่าสนใจในเชิงมูลค่า
• หุ้น: แนวโน้มความสามารถในการทำกำไรค่อย ๆ สูงขึ้น แต่ผลตอบแทนที่คาดหวังยังต่ำ เนื่องจากราคาค่อนข้างสูงและขาดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมารองรับในระยะต่อไป (QE เริ่มลดลง)
• สินค้าโภคภัณฑ์: ราคาน้ำมันเริ่มเข้าสู่ช่วงที่มีความสมดุลของอุปสงค์และอุปทาน ขณะที่ทองคำน่าสนใจลดลง เนื่องจากสินทรัพย์อื่น ๆ เริ่มให้ผลตอบแทนสูงขึ้น (เช่น ตราสารหนี้) และเศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงลดลง
ด้านหุ้น: คุณกวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (ที่ 2 จากซ้าย) มองว่าวัฏจักรน้ำมันกำลังเข้าสู่ขาขึ้น
screenshot-464
และประมาณการณ์ว่า SET Index ในปีนี้ น่าจะไม่เปลี่ยนแปลงจากปีก่อนมากนัก ในกรณีดี น่าจะขึ้นไปสู่ระดับ 1,600 จุดต้น ๆ และในกรณีแย่สุดอาจจะลงไปถึงระดับ 1,250 จุด
และเชื่อว่าหุ้นที่น่าสนใจในช่วงต่อไป คือหุ้นพลังงานตัวใหญ่ ๆ หุ้นธนาคารที่มูลค่ายังไม่สูงมากนัก รวมถึงหุ้นที่เกี่ยวกับการบริโภคภายในประเทศ เช่น ค้าปลีก
ด้าน Asset Allocation: คุณศิริพร สุวรรณการ ผู้บริหารกลุ่มงานที่ปรึกษาทางการเงินไพรเวทแบงก์ ธนาคารกสิกรไทย (ซ้ายสุด) มองว่ากลยุทธ์กระจายสินทรัพย์ (Allocate asset) อย่างเหมาะสม ยังเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในระยะยาว ซึ่งดีกว่าการเน้นจับจังหวะตลาด (Market timing) และการเลือกหุ้น (Stock pick)
screenshot-465
โดยนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงมาก หากเน้นลงทุนในหุ้นทั้งหมด ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาสามารถทำผลตอบแทนได้ 6.41% ต่อปีโดยเฉลี่ย และหากเน้นลงทุนที่มีความแน่นอนสูงคือมีตราสารหนี้เป็นหลัก จะสามารถทำreturn3.58%ได้
สุดท้ายขขอบคุณ The Wisdom Wealth Avenueที่จัดสัมมนาดีๆและมาแบ่งปันครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 21
Vietnam Access Day 2017 อลังการงานหุ้นเวียดนาม
Credit น้องเต๋า Admin Page VVI investor
.
แอดพึ่งกลับจากงานสัมมนา Vietnam Access Day 2017 ที่จัดขึ้นโดย Viet Capital Securities (VCSC) เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา
หลังจากเคยพยามติดต่อขอร่วมงานแต่ไม่ได้รับการตอบรับในปีที่แล้ว... ปีนี้ก็โชคดีที่ทาง VCSC โบรคที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของเวียดนาม เชิญแอดไปร่วมงานเอง งานนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2560-3 มีนาคม 2560 ณ. โรงแรม The Reverie Saigon ซึ่งเป็นโรงแรม 5 ดาวในระดับ Top 5 ของโฮจิมินห์
.
ห้องสัมมนาในแต่ละวันมีถึง 2-4 ห้อง โดยได้เชิญบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประมาณ 30 บริษัท มา present ให้ความรู้และผลการดำเนินของบริษัท รวมทั้ง Master class ที่มีนักวิเคราะห์ของ VCSC มาให้ความรู้ในแต่ละอุตสาหกรรม นอกจากนี้ยังมีการจัดไป company visit บริษัทต่างๆ งานนี้มีผู้ร่วมงานจากทั่วโลกรวมชาวเวียดนามประมาณ 350 คน (ประมาณ 200 เป็นชาวต่างชาติ) เท่าที่ได้พูดคุยน่าจะมีนักลงทุนชาวไทยร่มงานประมาณ 20 กว่าคนค่ะ
.
จากการร่วมสัมมนาแอดคิดว่าประเด็นที่มาแรงและน่าจะส่งผลต่อตลาดหุ้นเวียดนามมากๆ ในปีนี้คือ
" Equitization และ M&A "
.
* ประเด็นเรื่อง Equitization หรือแปรรูปรัฐวิสาหกิจนี้ รัฐบาลเวียดนามมีความมุ่งมั่นชัดเจนมากที่จะขายกิจการของรัฐที่มีคุณภาพบางส่วนให้เอกชนถือหุ้นเพื่อดึงดูดเงินทุนและการลงทุนต่างประเทศ (ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากหนี้ภาครัฐของเวียดนามที่มากชนเพดานจากการลงทุนโครงการต่างๆ ทำให้รัฐบาลร้อนเงินด้วย)
.
Aaron Batten นักเศรษฐศาสตร์ Asian Development Bank กล่าวว่าการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจมีความจำเป็นเร่งด่วนในเวียดนาม "ผมรู้สึกประหลาดใจมากที่รู้ว่าผลผลิตของแรงงานต่อหัวของเวียดนามลดลง ตรงกันข้ามกับการเติบโตอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจ ความจริงที่น่าเศร้านี้เป็นเพราะการดำเนินงานในขณะนี้ไม่มีประสิทธิภาพในเวียดนาม "
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า equitization ของรัฐวิสาหกิจจะช่วยให้เวียดนามที่จะใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมุ่งเน้นที่การศึกษาการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ปรับปรุงผลิตภาพแรงงานสำหรับการพัฒนาในระยะยาว
.
นาย Thanh, director of the Fulbright Economics ทำนายว่าปีนี้รัฐบาลจะขายหุ้น Blue chips อย่าง Vinamilk, Sabeco, และ Habeco มากขึ้น รวมถึงหุ้นรัฐวิสาหกิจอื่นๆ ทั้งด้านพลังงาน สื่อสาร โครงสร้างพื้นฐาน เช่น Saigon Trading Group, PV Oil, Vietnam Cement Industry Corporation, PV Power Corporation, and Mobifone ก็จะถูกขาย ตามสถิติ 2001-2016 จำนวนของรัฐวิสาหกิจในเวียดนามได้ลดลงอย่างมากจาก 6,000 ถึงเพียง 718 แห่ง แต่ในความเป็นจริงรัฐยังคงคิดเป็นสัดส่วนการถือหุ้นมากกว่า 90% ดังนั้นจึงคาดหวังการแปรรูปและขายหุ้นมากขึ้นของรัฐบาลในปีนี้
.
.
*ประเด็นเรื่อง M&A (การควบรวมกิจการ)
Ngo Vinh Tuan ผู้อำนวยการธนาคารเพื่อการลงทุน, VCSC กล่าวว่า
ในปี 2016 เป็นที่น่าตื่นเต้นมากที่บริษัทในต่างประเทศเข้ามาถือหุ้นและควบรวมกิจการหลายองค์กรในเวียดนาม ข้อเสนอขนาดใหญ่มาจากนักลงทุนในประเทศญี่ปุ่น, เกาหลี, สิงคโปร์, ไทย โดยเฉพาะบิ๊กซีที่ถูกซื้อโดยกลุ่มเซ็นทรัล, Lafargeholcim ถูกซื้อโดยปูนซีเมนต์นครหลวง (ประเทศไทย), Tan Tien Plastic ถูกซื้อโดย Dongwon (เกาหลี) นอกจากนี้หุ้นบางส่วนใน Vinamilk ยังถูกโอนไปยัง F&N (สิงคโปร์)
.
นาย Tuan กล่าวว่านักลงทุนในปัจจุบันจากญี่ปุ่น, เกาหลี, สิงคโปร์, ไต้หวันและไทยมีความสนใจมากในเวียดนาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2017 ที่จะมีธุรกิจที่จะขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) อย่าง MobiFone, PV oil, Satra, Becamex IDC และสินค้าอื่น ๆ อีกมากมายให้เลือก แต่หนึ่งในอุปสรรคที่นักลงทุนต่างชาติพบคือการขาดความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจและเงินทุน ดังนั้นตอนนี้หากต้องการดึงดูดเงินทุนผ่าน M&A เวียดนามควรจะมุ่งเน้นความโปร่งใสของการดำเนินการ และ บริษัทควรได้รับอนุญาตที่จะยกระดับความเป็นเจ้าของโดยชาวต่างประเทศได้ถึง 100% และพัฒนาการลงทุนให้เป็นตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market)
.
.
สำหรับความเห็นของแอด. VCSC จัดงานได้ดีมาก. หากเทียบกับเมืองไทยแล้วแอดยังไม่เห็นมีโบรกเกอร์ของไทยรายใดที่จัดงานยิ่งใหญ่ได้ขนาดนี้ หากมีก็งานที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจัดงาน SET in the city ขึ้น แต่ก็เป็นคนละแนว เนื่องจากงานที่ตลาดหลักทรัพย์ประเทศไทยจัดนั้นแน้นการออกบูธเสียมากกว่า แอดคิดว่าการที่ VCSC จัดงานได้ยิ่งใหญ่และต้องใช้งบประมาณจำนวนมากขนาดนี้คงเล็งเห็นผลตอบแทนที่ได้กลับมาจากนักลงทุนทั่วโลกที่จะนำเงินมาลงทุนผ่าน VCSC ในอนาคต
จากการที่ได้ฟังเกี่ยวศักยภาพของประเทศเวียดนาม การ Equitization และ M&A ในอนาคต รวมทั้งความตื่นตัวของนักลงทุนต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุน และความพร้อมของโบรกเกอร์ของเวียดนาม แล้วยิ่งแสดงให้เห็นว่า อีกไม่นานนักตลาดหุ้นเวียดนามคงจะก้าวข้ามจาก Frontier Market สู่ Emerging Market เหมือนกับไทยได้
.
นอกจากความรู้และโอกาสที่ได้พบกับนักลงทุนหุ้นเวียดนามจากงานนี้แล้ว อีกสิ่งหนึ่งสำคัญที่แอดได้รับจากการสัมมนาครั้งนี้คือ ความกล้าและความมั่นใจที่จะเพิ่มการลงทุนในเวียดนามเพิ่มมากขึ้นในปีนี้ โดยจะเข้าไปลงทุนรอวันที่ตลาดหุ้นเวียดนามเป็นตลาดหุ้น Emerging Market ที่ทำให้มีเม็ดเงินและกองทุนจำนวนเข้ามาลงทุนในเวียดนามเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นกับเมืองไทยในอดีต
.
Credit:
http://english.vietnamnet.vn/…/soes-see ... capital-fo…
http://tinnhanhchungkhoan.vn/…/go-nut-t ... -cach-ban-…
http://enternews.vn/co-phan-hoa-tiep-tu ... dong-ma-20…
.
.
สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนหุ้นเวียดนาม
สามารถอ่านรายละเอียดสัมมนามือใหม่ลงทุนหุ้นเวียดนาม 2..วันที่ 25 มี.ค. 60 และสมัครสัมมนาได้ที่: https://goo.gl/forms/F0vQlEZ60zdNxDqv1 ค่ะ
Credit น้องเต๋า Admin Page VVI investor
.
แอดพึ่งกลับจากงานสัมมนา Vietnam Access Day 2017 ที่จัดขึ้นโดย Viet Capital Securities (VCSC) เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา
หลังจากเคยพยามติดต่อขอร่วมงานแต่ไม่ได้รับการตอบรับในปีที่แล้ว... ปีนี้ก็โชคดีที่ทาง VCSC โบรคที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของเวียดนาม เชิญแอดไปร่วมงานเอง งานนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2560-3 มีนาคม 2560 ณ. โรงแรม The Reverie Saigon ซึ่งเป็นโรงแรม 5 ดาวในระดับ Top 5 ของโฮจิมินห์
.
ห้องสัมมนาในแต่ละวันมีถึง 2-4 ห้อง โดยได้เชิญบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประมาณ 30 บริษัท มา present ให้ความรู้และผลการดำเนินของบริษัท รวมทั้ง Master class ที่มีนักวิเคราะห์ของ VCSC มาให้ความรู้ในแต่ละอุตสาหกรรม นอกจากนี้ยังมีการจัดไป company visit บริษัทต่างๆ งานนี้มีผู้ร่วมงานจากทั่วโลกรวมชาวเวียดนามประมาณ 350 คน (ประมาณ 200 เป็นชาวต่างชาติ) เท่าที่ได้พูดคุยน่าจะมีนักลงทุนชาวไทยร่มงานประมาณ 20 กว่าคนค่ะ
.
จากการร่วมสัมมนาแอดคิดว่าประเด็นที่มาแรงและน่าจะส่งผลต่อตลาดหุ้นเวียดนามมากๆ ในปีนี้คือ
" Equitization และ M&A "
.
* ประเด็นเรื่อง Equitization หรือแปรรูปรัฐวิสาหกิจนี้ รัฐบาลเวียดนามมีความมุ่งมั่นชัดเจนมากที่จะขายกิจการของรัฐที่มีคุณภาพบางส่วนให้เอกชนถือหุ้นเพื่อดึงดูดเงินทุนและการลงทุนต่างประเทศ (ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากหนี้ภาครัฐของเวียดนามที่มากชนเพดานจากการลงทุนโครงการต่างๆ ทำให้รัฐบาลร้อนเงินด้วย)
.
Aaron Batten นักเศรษฐศาสตร์ Asian Development Bank กล่าวว่าการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจมีความจำเป็นเร่งด่วนในเวียดนาม "ผมรู้สึกประหลาดใจมากที่รู้ว่าผลผลิตของแรงงานต่อหัวของเวียดนามลดลง ตรงกันข้ามกับการเติบโตอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจ ความจริงที่น่าเศร้านี้เป็นเพราะการดำเนินงานในขณะนี้ไม่มีประสิทธิภาพในเวียดนาม "
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า equitization ของรัฐวิสาหกิจจะช่วยให้เวียดนามที่จะใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมุ่งเน้นที่การศึกษาการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ปรับปรุงผลิตภาพแรงงานสำหรับการพัฒนาในระยะยาว
.
นาย Thanh, director of the Fulbright Economics ทำนายว่าปีนี้รัฐบาลจะขายหุ้น Blue chips อย่าง Vinamilk, Sabeco, และ Habeco มากขึ้น รวมถึงหุ้นรัฐวิสาหกิจอื่นๆ ทั้งด้านพลังงาน สื่อสาร โครงสร้างพื้นฐาน เช่น Saigon Trading Group, PV Oil, Vietnam Cement Industry Corporation, PV Power Corporation, and Mobifone ก็จะถูกขาย ตามสถิติ 2001-2016 จำนวนของรัฐวิสาหกิจในเวียดนามได้ลดลงอย่างมากจาก 6,000 ถึงเพียง 718 แห่ง แต่ในความเป็นจริงรัฐยังคงคิดเป็นสัดส่วนการถือหุ้นมากกว่า 90% ดังนั้นจึงคาดหวังการแปรรูปและขายหุ้นมากขึ้นของรัฐบาลในปีนี้
.
.
*ประเด็นเรื่อง M&A (การควบรวมกิจการ)
Ngo Vinh Tuan ผู้อำนวยการธนาคารเพื่อการลงทุน, VCSC กล่าวว่า
ในปี 2016 เป็นที่น่าตื่นเต้นมากที่บริษัทในต่างประเทศเข้ามาถือหุ้นและควบรวมกิจการหลายองค์กรในเวียดนาม ข้อเสนอขนาดใหญ่มาจากนักลงทุนในประเทศญี่ปุ่น, เกาหลี, สิงคโปร์, ไทย โดยเฉพาะบิ๊กซีที่ถูกซื้อโดยกลุ่มเซ็นทรัล, Lafargeholcim ถูกซื้อโดยปูนซีเมนต์นครหลวง (ประเทศไทย), Tan Tien Plastic ถูกซื้อโดย Dongwon (เกาหลี) นอกจากนี้หุ้นบางส่วนใน Vinamilk ยังถูกโอนไปยัง F&N (สิงคโปร์)
.
นาย Tuan กล่าวว่านักลงทุนในปัจจุบันจากญี่ปุ่น, เกาหลี, สิงคโปร์, ไต้หวันและไทยมีความสนใจมากในเวียดนาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2017 ที่จะมีธุรกิจที่จะขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) อย่าง MobiFone, PV oil, Satra, Becamex IDC และสินค้าอื่น ๆ อีกมากมายให้เลือก แต่หนึ่งในอุปสรรคที่นักลงทุนต่างชาติพบคือการขาดความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจและเงินทุน ดังนั้นตอนนี้หากต้องการดึงดูดเงินทุนผ่าน M&A เวียดนามควรจะมุ่งเน้นความโปร่งใสของการดำเนินการ และ บริษัทควรได้รับอนุญาตที่จะยกระดับความเป็นเจ้าของโดยชาวต่างประเทศได้ถึง 100% และพัฒนาการลงทุนให้เป็นตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market)
.
.
สำหรับความเห็นของแอด. VCSC จัดงานได้ดีมาก. หากเทียบกับเมืองไทยแล้วแอดยังไม่เห็นมีโบรกเกอร์ของไทยรายใดที่จัดงานยิ่งใหญ่ได้ขนาดนี้ หากมีก็งานที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจัดงาน SET in the city ขึ้น แต่ก็เป็นคนละแนว เนื่องจากงานที่ตลาดหลักทรัพย์ประเทศไทยจัดนั้นแน้นการออกบูธเสียมากกว่า แอดคิดว่าการที่ VCSC จัดงานได้ยิ่งใหญ่และต้องใช้งบประมาณจำนวนมากขนาดนี้คงเล็งเห็นผลตอบแทนที่ได้กลับมาจากนักลงทุนทั่วโลกที่จะนำเงินมาลงทุนผ่าน VCSC ในอนาคต
จากการที่ได้ฟังเกี่ยวศักยภาพของประเทศเวียดนาม การ Equitization และ M&A ในอนาคต รวมทั้งความตื่นตัวของนักลงทุนต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุน และความพร้อมของโบรกเกอร์ของเวียดนาม แล้วยิ่งแสดงให้เห็นว่า อีกไม่นานนักตลาดหุ้นเวียดนามคงจะก้าวข้ามจาก Frontier Market สู่ Emerging Market เหมือนกับไทยได้
.
นอกจากความรู้และโอกาสที่ได้พบกับนักลงทุนหุ้นเวียดนามจากงานนี้แล้ว อีกสิ่งหนึ่งสำคัญที่แอดได้รับจากการสัมมนาครั้งนี้คือ ความกล้าและความมั่นใจที่จะเพิ่มการลงทุนในเวียดนามเพิ่มมากขึ้นในปีนี้ โดยจะเข้าไปลงทุนรอวันที่ตลาดหุ้นเวียดนามเป็นตลาดหุ้น Emerging Market ที่ทำให้มีเม็ดเงินและกองทุนจำนวนเข้ามาลงทุนในเวียดนามเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นกับเมืองไทยในอดีต
.
Credit:
http://english.vietnamnet.vn/…/soes-see ... capital-fo…
http://tinnhanhchungkhoan.vn/…/go-nut-t ... -cach-ban-…
http://enternews.vn/co-phan-hoa-tiep-tu ... dong-ma-20…
.
.
สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนหุ้นเวียดนาม
สามารถอ่านรายละเอียดสัมมนามือใหม่ลงทุนหุ้นเวียดนาม 2..วันที่ 25 มี.ค. 60 และสมัครสัมมนาได้ที่: https://goo.gl/forms/F0vQlEZ60zdNxDqv1 ค่ะ
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 22
กลยุทธ์การลงทุนช่วงเดือนมีนาคม ก่อนการประกาศนโยบายดอกเบี้ยของFED โดย ฝ่ายกลยุทธ์ บล โนมูระ
ปี 17 การเทรดดิ้งระยะจะสั้นกว่าปีที่แล้ว เพราะ ตั้งแต่ปลายปี16 ดัชนีก็ทำลายสถิติหลายอย่าง
มีแรงซื้อจากต่างชาติเข้ามาในช่วง2weeksแรกของปี17 ทำให้ดัชนีแตะ 1600 จุด ทำให้ภาพตลาด
โดยรวม upside จำกัด ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าอยู่ประมาณ 1,650จุด หลังจากนั้นดัชนีเป็นภาพsideway
& down ลงเรื่อยๆ
ประเด็นมาจาก ตลาดของต่างประเทศ
1. ตลาดUS มาจากความเสี่ยงของนโยบายทรัมป์ ภาพใหญ่ไม่ชัดเจนในเรื่องการปรับลดภาษี และ ประเด็น
กีดกันการค้ายังไม่ออกมาอย่างชัดเจน ตลาดไม่ชอบอะไรที่คลุมเครือ เลยปรับตัวลงไปก่อน
ส่วนอัตราดอกเบี้ยของFED ขึ้นหรือไม่ขึ้น ทำให้ตลาดหุ้นตกลงไปก่อน และ อาจดีดกลับภายหลัง
ส่วนดัชนีของSET แนวรับ 1545-1550 ซึ่งหลุดไปแล้ว แย่กว่าที่คิด แต่ก็ยังมีปัจจัยเอื้อหนุน
ตอนนี้สินทรัพย์เสี่ยงได้ตอบรับกับโพลว่าดอกเบี้ยFED ขึ้นในช่วงกลางเดือนมีคแล้ว
ถ้าผลออกมาไม่ขึ้นดอกเบี้ย ภาพตลาดดีดกลับแรง แต่ถ้าผลคือขึ้นตามที่คาด ตลาดจะมาดูเหตุผลที่ขึ้น
ถ้ามาจากเศรษฐกิจดีขึ้น ทำให้กำไรบริษัทจดทะเบียนดีขึ้น ทำให้ EPSโตขึ้นจะเกิดBuy on Fact
ต้องตั้งสติ หาหุ้นที่น่าสนใจ มากกว่าการขายตามเขาไป
2. ตลาดEU มีKey 2 ตัวหลัก วันที่9 มีค มีประชุม ECB ประเมินว่าจะคงอัตราดอกเบี้ย แต่คีย์หลัก
คือ TPP กับเงินเฟ้อ เศรษฐกิจเริ่มเห็นสัญญาณดีขึ้นอาจมีปรับประมาณการณ์ GDP , เงินเฟ้อสูงขึ้น
ถ้ามีการปรับขึ้น อาจส่งผลต่อนโยบายที่ออกมาก่อนหน้านี้ คือ QE ถ้าเห็นว่าเริ่มดี ก็จะมีการปรับลดQE
อีกคีย์คือ การเลือกตั้งผู้นำของเนเธอร์แลนด์วันที่ 15 และ ที่ฝรั่งเศสในเดือน เมย ถ้าฝั่งที่ต้องการจะออกจาก
EU ชนะจะเป็น Key concern โพลฝั่งไหนมา จะมาชัดตอนใกล้เลือกตั้ง
เงินต้องมีจุดไว้พักความเสี่ยง เงินไหลกลับไปที่ปลอดภัย หรือ เติบโตดีกว่า ทำให้มีโอกาสกลับมาเอเชียได้
ปัจจัยบวกต่อเอเชียและไทย ซึ่งคาดว่า GDP โต3.2%
3. ตลาดหุ้นไทย การส่งออกดีขึ้น การผลิตปรับตัวดีขึ้น ภาพรวมเศรษฐกิจดีขึ้น โต3.2%ไม่แย่
ดัชนี1530 ตอนช่วงบ่ายวันที่8น่าสนใจ เริ่มหาหุ้นที่เหมาะสม ดอกเบี้ยไทยไม่น่าลด และใช้เวลากว่าจะปรับตัวขึ้น ดังนั้นนโยบายภาครัฐ โครงสร้างพื้นฐาน ม44ช่วยแก้ปัญหาของรฟมทิ้ง เพื่อทำทุกอย่างให้ดีขึ้น
Theme การลงทุน
1. Global play : Commodity Hard and soft , ปิโตรเคมี
2. Domestic play : Bank , Construction , Consumption , ค้าปลีกซึ่ง Q4ปีที่แล้วไม่ค่อยดี น่าสนใจ
ขอให้ทุกคนโชคดีกับการลงทุนนะครับ
ปี 17 การเทรดดิ้งระยะจะสั้นกว่าปีที่แล้ว เพราะ ตั้งแต่ปลายปี16 ดัชนีก็ทำลายสถิติหลายอย่าง
มีแรงซื้อจากต่างชาติเข้ามาในช่วง2weeksแรกของปี17 ทำให้ดัชนีแตะ 1600 จุด ทำให้ภาพตลาด
โดยรวม upside จำกัด ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าอยู่ประมาณ 1,650จุด หลังจากนั้นดัชนีเป็นภาพsideway
& down ลงเรื่อยๆ
ประเด็นมาจาก ตลาดของต่างประเทศ
1. ตลาดUS มาจากความเสี่ยงของนโยบายทรัมป์ ภาพใหญ่ไม่ชัดเจนในเรื่องการปรับลดภาษี และ ประเด็น
กีดกันการค้ายังไม่ออกมาอย่างชัดเจน ตลาดไม่ชอบอะไรที่คลุมเครือ เลยปรับตัวลงไปก่อน
ส่วนอัตราดอกเบี้ยของFED ขึ้นหรือไม่ขึ้น ทำให้ตลาดหุ้นตกลงไปก่อน และ อาจดีดกลับภายหลัง
ส่วนดัชนีของSET แนวรับ 1545-1550 ซึ่งหลุดไปแล้ว แย่กว่าที่คิด แต่ก็ยังมีปัจจัยเอื้อหนุน
ตอนนี้สินทรัพย์เสี่ยงได้ตอบรับกับโพลว่าดอกเบี้ยFED ขึ้นในช่วงกลางเดือนมีคแล้ว
ถ้าผลออกมาไม่ขึ้นดอกเบี้ย ภาพตลาดดีดกลับแรง แต่ถ้าผลคือขึ้นตามที่คาด ตลาดจะมาดูเหตุผลที่ขึ้น
ถ้ามาจากเศรษฐกิจดีขึ้น ทำให้กำไรบริษัทจดทะเบียนดีขึ้น ทำให้ EPSโตขึ้นจะเกิดBuy on Fact
ต้องตั้งสติ หาหุ้นที่น่าสนใจ มากกว่าการขายตามเขาไป
2. ตลาดEU มีKey 2 ตัวหลัก วันที่9 มีค มีประชุม ECB ประเมินว่าจะคงอัตราดอกเบี้ย แต่คีย์หลัก
คือ TPP กับเงินเฟ้อ เศรษฐกิจเริ่มเห็นสัญญาณดีขึ้นอาจมีปรับประมาณการณ์ GDP , เงินเฟ้อสูงขึ้น
ถ้ามีการปรับขึ้น อาจส่งผลต่อนโยบายที่ออกมาก่อนหน้านี้ คือ QE ถ้าเห็นว่าเริ่มดี ก็จะมีการปรับลดQE
อีกคีย์คือ การเลือกตั้งผู้นำของเนเธอร์แลนด์วันที่ 15 และ ที่ฝรั่งเศสในเดือน เมย ถ้าฝั่งที่ต้องการจะออกจาก
EU ชนะจะเป็น Key concern โพลฝั่งไหนมา จะมาชัดตอนใกล้เลือกตั้ง
เงินต้องมีจุดไว้พักความเสี่ยง เงินไหลกลับไปที่ปลอดภัย หรือ เติบโตดีกว่า ทำให้มีโอกาสกลับมาเอเชียได้
ปัจจัยบวกต่อเอเชียและไทย ซึ่งคาดว่า GDP โต3.2%
3. ตลาดหุ้นไทย การส่งออกดีขึ้น การผลิตปรับตัวดีขึ้น ภาพรวมเศรษฐกิจดีขึ้น โต3.2%ไม่แย่
ดัชนี1530 ตอนช่วงบ่ายวันที่8น่าสนใจ เริ่มหาหุ้นที่เหมาะสม ดอกเบี้ยไทยไม่น่าลด และใช้เวลากว่าจะปรับตัวขึ้น ดังนั้นนโยบายภาครัฐ โครงสร้างพื้นฐาน ม44ช่วยแก้ปัญหาของรฟมทิ้ง เพื่อทำทุกอย่างให้ดีขึ้น
Theme การลงทุน
1. Global play : Commodity Hard and soft , ปิโตรเคมี
2. Domestic play : Bank , Construction , Consumption , ค้าปลีกซึ่ง Q4ปีที่แล้วไม่ค่อยดี น่าสนใจ
ขอให้ทุกคนโชคดีกับการลงทุนนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 23
ช่วงใกล้การประชุมFEDลุ้นว่าจะขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics มองหากเฟดสามารถขึ้นดอกเบี้ยได้เร็ว จะสร้างแรงกดดันให้ ธปท. อาจจะต้องปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นตาม พร้อมเตือนรับจุดสิ้นสุดของดอกเบี้ยขาลงและค่าเงินผันผวนในปีนี้
หลังจากที่ตลาดเงินและตลาดทุน ได้เผชิญกับความปั่นป่วนเมื่อครั้งที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในตอนนี้ทั้งโลกจะต้องกลับมาเตรียมรับมืออีกครั้งกับ Yellen Shock หลัง ประธานเฟด นางเจนเน็ต เยลเลน ได้ออกมาสนับสนุนการขึ้นดอกเบี้ยได้เร็วของเฟด หลังเศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวแข็งแกร่ง ทำให้มีความเป็นไปได้สูงที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยได้ในเดือนมีนาคม
จากการที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้แถลงต่อสภาคองเกรส เน้นย้ำถึงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิ การปรับลดภาษีบุคคลธรรมดาและภาษีนิติบุคคล การเพิ่มงบการทหารจำนวนมหาศาล และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจำนวน 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในระยะเวลา10 ปี โดยเฉพาะในส่วนการลงทุนภาครัฐในโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งในระยะสั้นจะสามารถดันเศรษฐกิจสหรัฐฯให้โตเพิ่มขึ้นได้0.1%ต่อปี และในระยะยาวจะช่วยให้ศักยภาพการผลิตเพิ่มขึ้นหนุนให้เศรษฐกิจสหรัฐฯเติบโตได้เกิน 1.8% ต่อปี
นอกจากนี้อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ เองจะสามารถปรับตัวขึ้นเกินการประมาณการณ์ของเฟดที่ 2% ได้อย่างรวดเร็ว จากการจ้างงานคนอเมริกันที่มากขึ้นส่งผลให้อัตราว่างงานลดลงสู่ระดับ4.5% และการเพิ่มค่าจ้างที่สูงขึ้น แนวโน้มการปรับตัวขึ้นของอัตราเงินเฟ้อจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าวจะทำให้ เฟด มีโอกาสที่จะปรับดอกเบี้ยได้เร็วและแรงตามการคาดการณ์ของเฟดคือ สามารถขึ้นดอกเบี้ยได้ถึง 3 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ในปีนี้
ศูนย์วิเคราะห์ฯได้ประเมินผลกระทบต่อตลาดการเงินถ้าหากเฟดขึ้นดอกเบี้ยได้เร็วถึง 3 ครั้ง ดังนี้
1. อัตราผลตอบแทน (บอนด์ยีลด์) ของพันธบัตรทั่วโลกมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น และภาพของอัตราดอกเบี้ยที่เป็นขาลงติดต่อกัน 35 ปี จะหมดไปทันที โดยศูนย์วิเคราะห์ฯ ได้ประเมินว่า บอนด์ยีลด์ของพันธบัตร 10ปี ไทยและสหรัฐ สามารถปรับตัวสูงขึ้นถึง 0.6 %ส่งผลให้การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลให้ผลตอบแทนที่ไม่น่าสนใจ
2. อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ จากเดิมที่มีแนวโน้มทรงตัวที่ 1.50% ตลอดทั้งปีเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องเนื่องจากถ้าหากเฟดขึ้นดอกเบี้ยได้ถึง 3 ครั้ง ครั้งละ0.25% จะทำให้อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ มาอยู่ที่1.50% เทียบเท่ากับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการไหลออกของเงินทุนที่รุนแรงได้ถ้าหากอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยยังคงอยู่ในระดับเดิม
อย่างไรก็ดีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของไทย ยังคงต้องพิจารณาถึงผลกระทบต่อการฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชนที่ยังอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากดอกเบี้ยขาขึ้นดังกล่าวจะส่งผลให้ ต้นทุนการกู้เงินเพิ่มสู้ขึ้น (ดอกเบี้ย MLR เฉลี่ย 4 ธนาคารใหญ่จะปรับตัวสูงขึ้น0.15%) ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ผู้ประกอบการก็ต้องเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มสูงขึ้น โดยในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับต่ำ จึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการพิจารณา เปลี่ยน การกู้แบบ Floating rate ให้มาเป็น Fixed rate
3. ในส่วนค่าเงิน ทางศูนย์วิเคราะห์ฯมองว่า การขึ้นดอกเบี้ยได้ถึง 3 ครั้งของเฟดจะสามารถส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าได้ถึง 1.5% เป็นอย่างน้อย และมองว่าค่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 35.40-36.20 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงที่เหลือของปีนี้
นอกจากนี้ตลาดเงินมีโอกาสที่จะผันผวนมากขึ้นดังนั้น เพื่อบรรเทาผลกระทบจากค่าเงิน ผู้ประกอบการควรหาโอกาสป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงิน และควรมีการแบ่งขนาดการทำธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน เพื่อรับมือกับความผันผวนที่เพิ่มสูงขึ้น
นอกจากนี้แนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้นในอนาคต จะส่งผลกระทบต่อภาระผ่อนของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินเชื่อบ้าน โดยทางศูนย์วิเคราะห์ฯมองว่า ถ้ามีความจำเป็นที่จะต้องลดภาระการผ่อนในปีนี้จึงเป็นโอกาสที่ดี ที่จะเริ่มมองหาช่องทางในการรีไฟแนนซ์ และถ้าหากประชาชนต้องการกู้เงินเพื่อซื้อบ้านหรือคอนโด และมีความพร้อมที่จะผ่อนชำระ ปีนี้ก็เป็นโอกาสที่ดี ก่อนที่ดอกเบี้ยจะเป็นขาขึ้นเต็มตัว
ทั้งนี้ผลกระทบของ Yellen Shock ที่มีโอกาสจะเกิดขึ้นนั้นชี้ให้เห็นว่า ตลาดการเงินนั้นยากที่จะคาดเดา สิ่งหนึ่งที่จะเห็นได้ชัดแน่นอนในปีนี้ก็คือ ความผันผวนที่จะมีมากขึ้นในตลาดจากแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก นโยบายการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ความไม่แน่นอนในขนาดของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ประธานาธิบดีทรัมป์อาจจะไม่ได้ตามที่ขอ ความเสี่ยงทางการเมืองในยุโรป และปัญหาหนี้เสียในจีน ดังนั้นผู้ประกอบการและนักลงทุนไทย จึงควรตั้งอยู่ในความไม่ประมาท และเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนที่จะเกิดขึ้น
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics มองหากเฟดสามารถขึ้นดอกเบี้ยได้เร็ว จะสร้างแรงกดดันให้ ธปท. อาจจะต้องปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นตาม พร้อมเตือนรับจุดสิ้นสุดของดอกเบี้ยขาลงและค่าเงินผันผวนในปีนี้
หลังจากที่ตลาดเงินและตลาดทุน ได้เผชิญกับความปั่นป่วนเมื่อครั้งที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในตอนนี้ทั้งโลกจะต้องกลับมาเตรียมรับมืออีกครั้งกับ Yellen Shock หลัง ประธานเฟด นางเจนเน็ต เยลเลน ได้ออกมาสนับสนุนการขึ้นดอกเบี้ยได้เร็วของเฟด หลังเศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวแข็งแกร่ง ทำให้มีความเป็นไปได้สูงที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยได้ในเดือนมีนาคม
จากการที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้แถลงต่อสภาคองเกรส เน้นย้ำถึงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิ การปรับลดภาษีบุคคลธรรมดาและภาษีนิติบุคคล การเพิ่มงบการทหารจำนวนมหาศาล และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจำนวน 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในระยะเวลา10 ปี โดยเฉพาะในส่วนการลงทุนภาครัฐในโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งในระยะสั้นจะสามารถดันเศรษฐกิจสหรัฐฯให้โตเพิ่มขึ้นได้0.1%ต่อปี และในระยะยาวจะช่วยให้ศักยภาพการผลิตเพิ่มขึ้นหนุนให้เศรษฐกิจสหรัฐฯเติบโตได้เกิน 1.8% ต่อปี
นอกจากนี้อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ เองจะสามารถปรับตัวขึ้นเกินการประมาณการณ์ของเฟดที่ 2% ได้อย่างรวดเร็ว จากการจ้างงานคนอเมริกันที่มากขึ้นส่งผลให้อัตราว่างงานลดลงสู่ระดับ4.5% และการเพิ่มค่าจ้างที่สูงขึ้น แนวโน้มการปรับตัวขึ้นของอัตราเงินเฟ้อจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าวจะทำให้ เฟด มีโอกาสที่จะปรับดอกเบี้ยได้เร็วและแรงตามการคาดการณ์ของเฟดคือ สามารถขึ้นดอกเบี้ยได้ถึง 3 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ในปีนี้
ศูนย์วิเคราะห์ฯได้ประเมินผลกระทบต่อตลาดการเงินถ้าหากเฟดขึ้นดอกเบี้ยได้เร็วถึง 3 ครั้ง ดังนี้
1. อัตราผลตอบแทน (บอนด์ยีลด์) ของพันธบัตรทั่วโลกมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น และภาพของอัตราดอกเบี้ยที่เป็นขาลงติดต่อกัน 35 ปี จะหมดไปทันที โดยศูนย์วิเคราะห์ฯ ได้ประเมินว่า บอนด์ยีลด์ของพันธบัตร 10ปี ไทยและสหรัฐ สามารถปรับตัวสูงขึ้นถึง 0.6 %ส่งผลให้การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลให้ผลตอบแทนที่ไม่น่าสนใจ
2. อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ จากเดิมที่มีแนวโน้มทรงตัวที่ 1.50% ตลอดทั้งปีเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องเนื่องจากถ้าหากเฟดขึ้นดอกเบี้ยได้ถึง 3 ครั้ง ครั้งละ0.25% จะทำให้อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ มาอยู่ที่1.50% เทียบเท่ากับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการไหลออกของเงินทุนที่รุนแรงได้ถ้าหากอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยยังคงอยู่ในระดับเดิม
อย่างไรก็ดีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของไทย ยังคงต้องพิจารณาถึงผลกระทบต่อการฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชนที่ยังอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากดอกเบี้ยขาขึ้นดังกล่าวจะส่งผลให้ ต้นทุนการกู้เงินเพิ่มสู้ขึ้น (ดอกเบี้ย MLR เฉลี่ย 4 ธนาคารใหญ่จะปรับตัวสูงขึ้น0.15%) ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ผู้ประกอบการก็ต้องเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มสูงขึ้น โดยในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับต่ำ จึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการพิจารณา เปลี่ยน การกู้แบบ Floating rate ให้มาเป็น Fixed rate
3. ในส่วนค่าเงิน ทางศูนย์วิเคราะห์ฯมองว่า การขึ้นดอกเบี้ยได้ถึง 3 ครั้งของเฟดจะสามารถส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าได้ถึง 1.5% เป็นอย่างน้อย และมองว่าค่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 35.40-36.20 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงที่เหลือของปีนี้
นอกจากนี้ตลาดเงินมีโอกาสที่จะผันผวนมากขึ้นดังนั้น เพื่อบรรเทาผลกระทบจากค่าเงิน ผู้ประกอบการควรหาโอกาสป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงิน และควรมีการแบ่งขนาดการทำธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน เพื่อรับมือกับความผันผวนที่เพิ่มสูงขึ้น
นอกจากนี้แนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้นในอนาคต จะส่งผลกระทบต่อภาระผ่อนของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินเชื่อบ้าน โดยทางศูนย์วิเคราะห์ฯมองว่า ถ้ามีความจำเป็นที่จะต้องลดภาระการผ่อนในปีนี้จึงเป็นโอกาสที่ดี ที่จะเริ่มมองหาช่องทางในการรีไฟแนนซ์ และถ้าหากประชาชนต้องการกู้เงินเพื่อซื้อบ้านหรือคอนโด และมีความพร้อมที่จะผ่อนชำระ ปีนี้ก็เป็นโอกาสที่ดี ก่อนที่ดอกเบี้ยจะเป็นขาขึ้นเต็มตัว
ทั้งนี้ผลกระทบของ Yellen Shock ที่มีโอกาสจะเกิดขึ้นนั้นชี้ให้เห็นว่า ตลาดการเงินนั้นยากที่จะคาดเดา สิ่งหนึ่งที่จะเห็นได้ชัดแน่นอนในปีนี้ก็คือ ความผันผวนที่จะมีมากขึ้นในตลาดจากแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก นโยบายการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ความไม่แน่นอนในขนาดของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ประธานาธิบดีทรัมป์อาจจะไม่ได้ตามที่ขอ ความเสี่ยงทางการเมืองในยุโรป และปัญหาหนี้เสียในจีน ดังนั้นผู้ประกอบการและนักลงทุนไทย จึงควรตั้งอยู่ในความไม่ประมาท และเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนที่จะเกิดขึ้น
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 24
เกร็ดความรู้สำหรับภาษี กับคนใกล้เกษียณ
ช่วงนี้ยังอยู่ในช่วงยื่นภาษี ถ้าใครยังไม่ยื่น ก็เร่งหน่อยครับ ยื่นเอกสารที่สรรพากรสามารถยื่นได้ถึงสิ้นเดือนมีค
แต่ถ้ายื่นผ่านinternet สามารถยื่นเพิ่มอีกหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งสะดวกรวดเร็ว เพราะโปรแกรมได้ปรับปรุงให้ใช้งานง่ายขึ้น
ผู้ที่ไม่ต้องเสียภาษี คือมีรายได้ไม่เกิน 180,000 บาท ซึ่งรวมค่าลดหย่อนส่วนตัว 30,000 บาทแล้ว
แต่ถ้าปีภาษี2560 จะเพิ่มค่าลดหย่อนเป็น 60,000 บาท
ปีที่แล้ว ยังมีค่าลดหย่อนเพิ่มเติม เฉพาะปี2559 คือ
ท่องเที่ยวในประเทศตลอดปี59 15,000 บาท
กินเที่ยวช่วงสงกรานต์ 9-17 เมย 59 15,000 บาท
ซื้อสินค้า OTOP 1-31 สค 59 15,000 บาท
ท่องเที่ยวภายในประเทศช่วงเดือนธค 59 15,000 บาท
ช๊อปช่วยชาติ ช่วง 14-31 ธค 59 15,000 บาท
ถ้าใครวางแผนดีๆ เที่ยวช่วง ธค และ ช๊อปช่วยชาติ ด้วย
สามารถลดหย่อนได้ 15,000+15,0000+15,000=45,000 บาท
ถ้าใครไปทัวร์ในประเทศที่รวมค่าเครื่องบิน ก็คุ้มหน่อยเพราะเอาลดหย่อนได้มาก
แต่ต้องจัดใบเสร็จให้ดีแบ่งให้ลงตัวสำหรับ ท่องเที่ยวในประเทศทั้ง2โครงการ
ขอวกไปที่คนที่เกษียณออกจากงานก่อนกำหนด (early retire) ถ้าเป็นคนที่มีสุขภาพดี ไม่เจ็บป่วย
ไม่ได้ไปโรงพยาบาลบ่อยๆ และใกล้อายุ 55 ปี อยู่ในระบบประกันสังคมมาเกิน 180 เดือน
แนะนำว่าควรหยุดจ่ายเงินเข้าประกัน เพราะจะได้คงอัตราเงินเดือน 15,000 บาทไว้
สำหรับคิดเงินบำนาญที่ได้ต่อเดือน เป็น 20% ของ 15,000 บาท บวก โบนัสสำหรับอยู่ใน
ระบบประกันสังคมเกิน 180 เดือน แต่ถ้าออกจากงาน เขาจะคิดเงินเดือนจากฐาน 4,800 บาท
แต่ถ้าสุขภาพไม่ดี ต้องการใช้บริการรพ ก็แล้วแต่ว่าอันไหนสำคัญกว่ากัน
ส่วนเรื่อง RMF สำหรับคนที่อายุใกล้ 55 ปี แนะนำว่า หลังจากครบอายุ 55 ปี และซื้อมา 5 ปีแล้ว
ให้ยื่นเรื่องภาษีในปีถัดไปให้เรียบร้อย จึงถอนRMFออกทั้งหมดในปีหลังจากครบ55ปี
เพื่อจะเลี่ยงปัญหาการคำนวณว่ายอดที่ขายอยู่ปีไหน เพราะมีซื้อหลายปี
แต่ถ้ายังชอบกองทุนอยู่สามารถไปซื้อกองทุนธรรมดาของบลจนั้นได้
ถึงแม้บางกองทุนยังขาดทุนเช่น ซื้อกองทุนRMF ทองคำตอนราคา 26,000 บาท
ก็สามารถขายและไปซื้อกองทองคำธรรมดาได้ ถ้ายังยึดว่าขาดทุนไม่ขาย
และช่วงใกล้อายุ55ปี ถ้าเรามีจำกัดจะเลือกว่าซื้อ RMF or LTF ดี คนส่วนใหญ่จะเลือก
ซื้อ LTF จริงๆ ควรซื้อ RMF เพราะ
1. สามารถซื้อกองทุนได้หลากหลายนโยบาย
2. หลังอายุ 55 ปี สามารถขายได้เลย แต่ ถ้าซื้อ LTF จะขายอีก 7 ปี
ขอขอบคุณ คุณ ณัฐวุฒ ผู้จัดการ K expert ที่ผมมีโอกาสไปคุยและได้ความรู้มาถ่ายทอดครับ
ช่วงนี้ยังอยู่ในช่วงยื่นภาษี ถ้าใครยังไม่ยื่น ก็เร่งหน่อยครับ ยื่นเอกสารที่สรรพากรสามารถยื่นได้ถึงสิ้นเดือนมีค
แต่ถ้ายื่นผ่านinternet สามารถยื่นเพิ่มอีกหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งสะดวกรวดเร็ว เพราะโปรแกรมได้ปรับปรุงให้ใช้งานง่ายขึ้น
ผู้ที่ไม่ต้องเสียภาษี คือมีรายได้ไม่เกิน 180,000 บาท ซึ่งรวมค่าลดหย่อนส่วนตัว 30,000 บาทแล้ว
แต่ถ้าปีภาษี2560 จะเพิ่มค่าลดหย่อนเป็น 60,000 บาท
ปีที่แล้ว ยังมีค่าลดหย่อนเพิ่มเติม เฉพาะปี2559 คือ
ท่องเที่ยวในประเทศตลอดปี59 15,000 บาท
กินเที่ยวช่วงสงกรานต์ 9-17 เมย 59 15,000 บาท
ซื้อสินค้า OTOP 1-31 สค 59 15,000 บาท
ท่องเที่ยวภายในประเทศช่วงเดือนธค 59 15,000 บาท
ช๊อปช่วยชาติ ช่วง 14-31 ธค 59 15,000 บาท
ถ้าใครวางแผนดีๆ เที่ยวช่วง ธค และ ช๊อปช่วยชาติ ด้วย
สามารถลดหย่อนได้ 15,000+15,0000+15,000=45,000 บาท
ถ้าใครไปทัวร์ในประเทศที่รวมค่าเครื่องบิน ก็คุ้มหน่อยเพราะเอาลดหย่อนได้มาก
แต่ต้องจัดใบเสร็จให้ดีแบ่งให้ลงตัวสำหรับ ท่องเที่ยวในประเทศทั้ง2โครงการ
ขอวกไปที่คนที่เกษียณออกจากงานก่อนกำหนด (early retire) ถ้าเป็นคนที่มีสุขภาพดี ไม่เจ็บป่วย
ไม่ได้ไปโรงพยาบาลบ่อยๆ และใกล้อายุ 55 ปี อยู่ในระบบประกันสังคมมาเกิน 180 เดือน
แนะนำว่าควรหยุดจ่ายเงินเข้าประกัน เพราะจะได้คงอัตราเงินเดือน 15,000 บาทไว้
สำหรับคิดเงินบำนาญที่ได้ต่อเดือน เป็น 20% ของ 15,000 บาท บวก โบนัสสำหรับอยู่ใน
ระบบประกันสังคมเกิน 180 เดือน แต่ถ้าออกจากงาน เขาจะคิดเงินเดือนจากฐาน 4,800 บาท
แต่ถ้าสุขภาพไม่ดี ต้องการใช้บริการรพ ก็แล้วแต่ว่าอันไหนสำคัญกว่ากัน
ส่วนเรื่อง RMF สำหรับคนที่อายุใกล้ 55 ปี แนะนำว่า หลังจากครบอายุ 55 ปี และซื้อมา 5 ปีแล้ว
ให้ยื่นเรื่องภาษีในปีถัดไปให้เรียบร้อย จึงถอนRMFออกทั้งหมดในปีหลังจากครบ55ปี
เพื่อจะเลี่ยงปัญหาการคำนวณว่ายอดที่ขายอยู่ปีไหน เพราะมีซื้อหลายปี
แต่ถ้ายังชอบกองทุนอยู่สามารถไปซื้อกองทุนธรรมดาของบลจนั้นได้
ถึงแม้บางกองทุนยังขาดทุนเช่น ซื้อกองทุนRMF ทองคำตอนราคา 26,000 บาท
ก็สามารถขายและไปซื้อกองทองคำธรรมดาได้ ถ้ายังยึดว่าขาดทุนไม่ขาย
และช่วงใกล้อายุ55ปี ถ้าเรามีจำกัดจะเลือกว่าซื้อ RMF or LTF ดี คนส่วนใหญ่จะเลือก
ซื้อ LTF จริงๆ ควรซื้อ RMF เพราะ
1. สามารถซื้อกองทุนได้หลากหลายนโยบาย
2. หลังอายุ 55 ปี สามารถขายได้เลย แต่ ถ้าซื้อ LTF จะขายอีก 7 ปี
ขอขอบคุณ คุณ ณัฐวุฒ ผู้จัดการ K expert ที่ผมมีโอกาสไปคุยและได้ความรู้มาถ่ายทอดครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 25
MoneyTalk@SET 12 Mar 2017
สัมมนาช่วงแรกหัวข้อ“ทำไอบีบริหารพอร์ตลงทุนหุ้นแบบมืออาชีพการเงิน”
1) ผศ. ดร.ณัฐวุฒิ เจนวิทยาโรจน์
ผอ. FIRM NIDA BUSINESS SCHOOL
2) คุณ พิชญา ซุ่นทรัพย์ (คุณพิช )
นักวางแผนการเงินอิสระ เคยทำงานที่บลจ บัวหลวง
3)คุณ ปฐมวงศ์ เกิดโภคา หรือ คุณปอม
Senior Investment Manager
4)ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ผู้เชี่ยวชาญการลงทุน
ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ.เสน่ห์ ศรีสุวรรณ ดำเนินรายการ
Money Talkครั้งหน้า วันอาทิตย์ที่ 23 เม.ย. จองวันเสาร์ที่ 15 เมย เวลา 7.00 น.
หัวข้อที่ 1 กลต กับการดูแลนักลงทุน
ท่านเลขาฯกลต คุณรพี สุจริตกุลเปิดใจให้สัมภาษณ์
ผู้สัมภาษณ์ คือ ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร กับ ดร ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา
หัวข้อที่ 2 หุ้นเด่นไตรมาส2 บริษัท 3 บริษัท ได้แก่
Interlink communication (ILINK) , บริษัท ศรีสวัสดิ์ เพาเวอร์ 1979 (SAWAD) คุณธิดา
และ บริษัท ช การช่าง (CK) คุณประเสริฐ
หัวข้อ 3 ฝรั่งมองหุ้นไทยอย่างไร และมองหุ้นไหน
ดร แอนดรูว์ สตอทซ์ เป็นนายกสมาคม CFA ประเทศไทย และตั้งกองทุนใหญ่ที่ลงทุนในหุ้นไทย/เวียดนาม,
คุณปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บล ซีแอลเอสเอ (ประเทศไทย)
คุณภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย และประธานกรรมการ บล ดีบีเอส วิคเคอร์ส
เกริ่นนำ
ดร นิเวศน์เคยสอนที่นิด้า และแนะนำนักศึกษาหญิงว่าเวลาแต่งงานให้แต่งกับคนรวย
สอนโครงการFLEX ที่นิด้า
อจ เสน่ห์ ถาม เรียนเพื่ออะไร
ดร นิเวศน์ ตอบ เรียนเพราะว่าไม่รู้ แต่อจ เสน่ห์ บอกว่า เรียนมาเพื่อทราบ เป็นการประกาศทุกที่เลย 555
หัวข้อสัมมนา ทำไอบีบริหารพอร์ตลงทุนหุ้นแบบมืออาชีพการเงิน
หนทางสู่ IB ( investment banking )
เรียนกับเงินทอง ได้ค่าปรึกษาเป็นหลัก เช่น ให้คำปรึกษาเข้าตลาดหุ้น หรือ ซื้อบริษัทอื่น
โบรกเกอร์ ก็เป็น IB รายได้มาจากเชียร์ให้ซื้อขายวันละรอบ นักลงทุนยิ่งหมุนยิ่งขาดทุน
แต่Brokerได้ค่าธรรมเนียม นอกจากนี้ยังรวมถึงการบริหารกองทุน เทรดหุ้นเพื่อหากำไร
คุณพีค เคยเป็น product manager มาก่อน
คุณปอม ตอนนี้เป็น senior manager ลงทุนในหุ้น และ ปล่อยกู้ โดยมีผู้ถือหุ้นของบริษัทเป็นประเทศเยอรมัน
ประวัติของวิทยากร
ดร ณัฐวุฒิ รับผิดชอบที่หลักสูตร FIRM ที่นิด้า
ประวัติการศึกษา เรียนวิศวะจุฬา สาขาโยธา
ทำงานได้ 2-3 ปี ผลงานเช่นโครงการที่สาทร ตรงข้ามกับรพ เซนต์หลุยส์
ผันตัวเองมาเรียนการเงินที่จุฬา จบมาก็ทำงานด้านวิเคราะห์หลักทรัพย์
และ บริหารความเสี่ยงที่ธนาคารกสิกรไทย
สอบCFA สมัยตอนเรียนปริญญาโท เรียนต่อปริญญาเอกที่ นันยางเทคโนโลยีที่ประเทศสิงคโปร์
ได้ทุนจากที่นั่น ค่าเรียนไม่เสีย แต่ไปช่วยตรวจข้อสอบ และได้เป็นเงินเดือน
กลับมาเป็นอาจารย์ที่ภาคการเงินมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อยู่หลายปี
จน อจ ไพบูลย์ชวนมาดูแลหลักสูตรFIRM ที่นิด้าได้2ปี
วงการเงินยอมรับประกาศนียบัตรได้แก่
1.CFA (Chartered financial analysts) ทำงานมา2ปี จึงสามารถสอบ levelแรกได้
มีทั้งหมด 3 ระดับ ผลการสอบ ผ่านไม่เกิน50% แต่ปีที่แล้ว นิด้าสอบ4 คนได้4คน
คุณแอนดรูว์ที่มาคราวหน้าเป็นประธาน CFA ในไทย มีการแข่งขันในต่างประเทศด้วย
2. FRM (Financial risk manager) ประกาศนียบัตรบริหารความเสี่ยง
มีการสอบ 2 ระดับ โดยต้องมีประสบการณ์มาก่อน
3. CFP (Certified financial Planner)
ถือเป็น license นานาชาติ เนื้อหาค่อนข้างกว้างกว่า 2 ตัวแรก เป็นการบริหารการเงินส่วนบุคคล
เช่น ประกันชีวิต ประกันภัย จัดพอร์ตการลงทุน ภาษี จัดการมรดก ภาพค่อนข้างกว้าง
มีทั้งหมด 6 Module เริ่มจากพื้นฐานการเงิน ตลาดทุน การเกษียณ สอบทั้งหมด 5 paper
ดร มารับผิดชอบFIRMที่นิด้า ตอนนี้กำลังเปิดรับสมัครรอบสุดท้าย ช่วง เมย – พค (รับ4รอบ/ปี)
เปิดเรียนเดือนสค จุดแข็งคือเอาความรู้ทางด้านวิชาการรวมกับภาคปฏิบัติ
เนื้อหาตรงกับหลักสูตร CFA, FRM ซึ่งเป็นองค์การนานาชาติ จะรู้ว่าทฤษฎีอะไรใช้ได้ หรือ ใช้งานอยู่
เป็นจุดแข็งของหลักสูตร ตอนนี้มีเฉพาะที่นิด้าที่เดียว
วุฒิการศึกษาในการสมัคร จบปริญญาตรีสาขาอะไรก็ได้
คุณปอมจบการตลาด ป ตรี ที่นิวซีแลนด์ ตอบว่าเรื่องจิตวิทยาการตลาดเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้คนซื้อสินค้า
ภาษาอังกฤษมีส่วนช่วยในการฟัง เขียน อ่าน เพราะ textbook เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดจาก CFA
ถ้าเรียนจบได้ปริญญาโท และเตรียมพร้อมสอบ ระหว่างเรียนก็สอบ CFA level 1
พอจบก็ได้อย่างน้อย CFA level1
ค่าเรียน ประมาณ 4 แสนนิดๆ รวมการเรียนที่ USA 1 สัปดาห์ (Indiana U)
หลักสูตรนี้ให้ทุนการศึกษา ถ้าเป็นคนมีศักยภาพ และ เป็นประโยชน์ต่อสังคม
มีทุนอยู่ 3-6 ทุน จาก นักศึกษาที่เรียนในชั้นทั้งหมด 30 คน ไม่ห้ามกีดกันเพศ หรือ ชนชาติ
มีคนจบป เอก ด้านวิศวกรรมจากญี่ปุ่นมาเรียนด้วย
อจ ไพบูลย์ เสริม นักศึกษาMBAทุกหลักสูตร ถ้าสอบ CFA, FRM ได้สามารถเบิกค่าสอบได้
มีหลักสูตรภาคภาษาไทย แต่ยังไม่อนุมัติ จะเปิดได้ในปีหน้า ตลาดCFPเปิดกว้าง designให้กับคนต้องการ
เรียนด้านการเงิน แต่ต้องมีความรู้พื้นฐานด้านนี้ก่อน แล้วค่อยแยกเป็นแต่ละสาย
เช่น ชอบการวางแผนทางการเงิน ก็ไปทาง CFP
อจ ไพบูลย์ เตือนว่าอย่าประมาท ความตายจะช่วยให้เราระมัดระวังเรื่องกิเลส
ดร นิเวศน์ ไม่ได้เรียนหลักสูตรเหล่านี้ แต่มีประสบการณ์เอาตัวรอดจากความเสี่ยงได้
ดร ผ่านการเลี้ยงกุ้ง ขายหมากฝรั่ง อยู่โรงงานน้ำตาล ทำโรงเรียนสอนคอมพิวเตอร์
เคยทำบริหารความเสี่ยงที่ธนาคารมาด้วย ทุกรายมีการเปลี่ยนแปลงตัวเอง
จนเรารู้เรื่องความเสี่ยง โดยไม่ได้เรียนมาก่อน การเรียนCFAมีความเสี่ยงมากในการเรียน
เป็นการทำแบบไม่มีประกาศนียบัตร
คุณพีช จบป ตรี จบ เศรษฐศาสตร์ ที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในปี 2551 ซึ่งอยู่ในช่วงวิกฤตSubprime
คนจำนวนครึ่งคณะไปเรียนต่อ แค่ 25%ได้งานทำ
คุณพีชเป็น TA Finance เพราะอยากเป็นคนเก่งที่นิด้า คุมสอบ และ ได้ทำงานวิจัย สอบ CFA,CISA ระหว่างนั้น
ทำresearchเกี่ยวกับกองทุนรวมของตลาดหลักทรัพย์ หลังจากนั้นก็ไปร่วมงานกับคุณตู่ วรวรรณ ที่บลจ บัวหลวง
เห็นภาพรวมของบริษัทและธุรกิจกองทุนรวม และ ทำ Sourcingรายชื่อกองทุนเอามาขายด้วย
เป็นนักการเงินอิสระ สอนin-houseกับการเงินต่างๆสำหรับคนอยากสอบ CFA ด้วย
จบภาคregular MBA เป็นนักเรียนทุนของรัฐบาล เรียนภาคปกติช่วงวันจ-ศ เรียนเป็นภาษาไทย
หลักสูตรนี้ไม่ยากถ้าเราตั้งใจ แต่มีงานกลุ่มค่อนข้างมาก ได้เรื่องการทำงานเป็นทีม ได้ฝึกskillมากมาย
อจ ไพบูลย์ บอกว่าถ้าทำด้วยใจ จะได้อะไรมากมาย
ดร บอกว่า ตอนนี้ต้องการคนที่มี certified เพื่อไปวิเคราะห์หลักทรัพย์ และ
คนที่สอบต้องผ่านEthic(จรรยาบรรณ) ในการทำงานด้วย
ถามคุณปอม ว่าทำไมมาถึงที่นี่ได้
คุณปอม ตอบว่า ตอนนี้สอบ CFA ,FRM และได้งานที่ธนาคาร Standard charter
ทำงาน4 แผนก ใน2ปี
ตอนนั้นมีการแข่งขันตอนสมัครสูง การมี CFA level1 ,FRM อยู่แล้วทำให้ได้เปรียบคนอื่น
ที่ไทยรับแค่ 1 คน คนอื่นที่ได้งานต้องจบ TOP University ที่ต่างประเทศ
และมีข้อกำหนดสำหรับคนที่ได้งาน ต้องผ่าน CFA level1 ไม่งั้นทำงานต่อไม่ได้
ตอนนั้น ทำงาน Corporate Banking ของ Standard chartered
พยายามหาความท้าทายใหม่ๆ โดยย้ายมาทำงานที่บริษัท DEG ( German investment )
ลงทุนในภูมิภาคเอเชีย มีงานด้านนั้นพอดี เลยไปทำงานที่นั่น
รายได้เงินเดือน คุณปอม ตอบ รายได้ต้องขึ้น Demand/Supply เรามี Certified CFA,FRM
supply น้อย ทำให้มีโอกาสได้เงินเดือนสูง
ดร ณัฐวุฒิ เสริมว่าตอนนี้ CFA ในไทยมีแค่ 600-700 คนเท่านั้น supplyน้อยมาก
อจ ไพบูลย์ มีคำถามว่าคนประสบความสำเร็จ เช่น มาร์ค (Facebook) สตีป จอบป์ (Apple)
หรือ บิลเกลต์ (Microsoft) ไม่ได้เรียนมา คิดอย่างไร
ดร นิเวศน์ ตอบว่า คนส่วนใหญ่ที่พูดมา คือ เรียนได้แต่ไม่อยากเรียน สมองGenius
แต่คนที่เก่งขนาดนี้มีอยู่จำนวนหนึ่งเท่านั้น
ถามมุมมองนักการเงินในมุมมองของ ดร.นิเวศน์ ต้องคุณสมบัติอย่างไร
ดร นิเวศน์ ตอบว่า
1.ดูจากวิทยากร ต้องเป็นผู้ชาย ซึ่งเป็นคนหาเงินเข้าบ้าน ผู้หญิงเก็บเงิน แต่ก็ทำได้
2.ต้องรู้ว่าตัวเองไม่ชอบเสี่ยง จะแนะนำคนอื่นไม่ให้เสี่ยง และจะไปจัดการความเสี่ยงให้
โครงการของนิด้า มีหลายหลักสูตร เช่น Regular MBA, Young executive MBA ,
Executive MBA, FIRM , International MBA
ดร ณัฐวุฒิ เสริมว่า ต้องมี
1. มีจริยธรรมและจรรยาบรรณทางการเงิน
เช่น ผู้จัดการกองทุนต้องมีเพราะเงินที่ลงทุนเป็นเงินของคนอื่นที่ให้ บลจ ดูแล
2. มีความรู้ทันสมัย เช่นความรู้ที่ได้มาจาก CFA,FRM ซึ่งเอาเหตุการณ์ปัจจุบันเข้าไปด้วย
อจ เสน่ห์ ถามว่า Fintech มีผลต่อ FIRM หรือไม่
ดร ณัฐวุฒิตอบว่า ทฤษฎียังคงเดิม แต่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น ทำให้จรรยาบรรณมีความสำคัญมากขึ้น
อจ ไพบูลย์ ถามปอม ในฐานะที่ประสบความสำเร็จระดับนึงแนะนำน้องๆอย่างไร ต้องมีอะไร
คุณปอมตอบว่า ถ้าสนใจ โครงการFIRM ดีมาก CFA ครอบคลุมความรู้ที่ทันสมัยมาก
ตอนเรียนเยอะมากเกี่ยวกับfinance เช่น เกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยง สุดท้ายใช้ลึกมากในฐานะ
นักลงทุน วิเคราะห์สถาบันการเงินมีการบริหารดีไหม
นอกจากนี้ CFA เป็นที่ยอมรับทั่วโลก โดยสรุปถ้าสนใจทำงานด้านการเงิน ควรเรียน
คุณพีท แนะนำน้องๆ โดยผมทำงานสายวางแผนการเงิน
ซึ่งในต่างประเทศนิยมมาก มีถึง 3-4แสนคน ปัจจุบัน ธนาคารในประเทศไทยเห็นว่าCFPมีความสำคัญมากขึ้น
นักวางแผนการเงินเป็นคนกลางที่บอกว่าสินค้านั้นดีอย่างไร ชอบงานแบบนี้ ต้องมาเริ่มสอบ
แต่ไม่ได้เก่งทุกเรื่อง สุดท้ายต้องเจาะอีกทีนึง โดยไปเรียนแต่ละหลักสูตร
สุดท้ายขึ้นอยู่กับชอบสายไหน เช่น นักวางแผนทางการเงิน เหมาะสำหรับคนชอบคุยหรือ นักวิเคราะห์
เหมาะสำหรับคนที่ชอบวิเคราะห์
อจ ไพบูลย์ บอกว่า ความรู้เป็นเรื่องเดิม แต่ Fintechเป็นTechnologyที่ช่วยทำให้เร็วขึ้น
ทำให้เรื่องจรรยาบรรณเป็นเรื่องสำคัญมากขึ้น
ช่วงก่อนเหตุการณ์Subprime ตัวอย่างเช่นหนังเรื่อง Bigshot คนที่มองไม่เหมือนคนอื่น
ซึ่งจบหมอทำผลตอบแทนได้ 400% ในช่วงนั้น
สรุป เรียนมากดีกว่าเรียนน้อยเสมอ คนที่ประสบความสำเร็จโดยไม่ได้เรียนเพราะเขาเป็นคนเก่งอยู่แล้ว
การที่จะทำอะไร ต้องมีCertificateในแต่ละด้านจึงสามารถทำได้
AASCB เป็นมาตรฐานรับรองโรงเรียนสอนธุรกิจ นิด้าได้เป็นที่แรกในทุกหลักสูตร
หลักสูตร FIRM รับรองโดย FRM
ถ้าต้องการเรียนในเมืองไทย สามารถเลือก จุฬา ธรรมศาสตร์ และ นิด้า
แต่ถ้าต้องการเรียนในต่างประเทศ และ มีเงินทุนก็ไปเรียนได้
อจ เสน่ห์ เสริมว่าคุณอานันท์ ปันยารชุนเคยบอกว่าการเรียนทำให้คนเก่ง
แต่ไม่มีประโยชน์ถ้าเป็นคนนิสัยไม่ดี ถ้าเป็นคนไม่ดี ไม่ควรเรียน
สิ่งที่ต้องคู่กันคือ มีEthic มีจรรยาบรรณ
เก่งแล้วทำงานอยู่ในแวดวงการเงิน
แต่นิด้าจะสอนให้มีจริยธรรมและจรรยาบรรณด้วย
วันนี้เราเรียนอะไรก็แล้วแต่ สำคัญต้องเลือกให้ถูกด้วย
กรอบที่สำคัญ ให้เรียนเป็นคนเก่งและนิสัยดี ไปช่วยประเทศชาติ
โดยทำงานในทุกภาคส่วน
ใครสนใจ เข้า website http://nidabusinessschool.com เพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมครับ
สัมมนาช่วงที่2หัวข้อ“ยุทธวิธีลงทุนของ 3 นายกและหนึ่งกูรูวีไอ”
1) คุณ ธันวา เลาหศิริวงศ์
อดีตนายก สมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย)
2) คุณ อนุรักษ์ บุญแสวง
อดีตนายก สมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย)
3) คุณ ชาย มโนภาส
นายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย)
4)ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ผู้เชี่ยวชาญการลงทุนแบบวีไอ
ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ.เสน่ห์ ศรีสุวรรณ ดำเนินรายการ
อจ เสน่ห์ เริ่มต้นรายการ ชักชวนให้มาที่นี่ดีกว่าดูFB Liveที่บ้าน
เพราะเจอวิทยากรตัวจริงๆ มีเครื่องดื่ม ซาลาเปา ขนมเปาให้ทาน
รายการไม่ได้จัดบ่อย จัดเดือนละครั้งเอง มานั่งสูดแอร์ ถ้าหลับก็ดูย้อนหลังได้
บางครั้งเอาการลงทะเบียนมาเป็นข้ออ้างในการออกนอกบ้าน อาจนั่งรถเลยตลาดหลักทรัพย์ก็ได้ 555
FB Live เสมือนจริง แต่ไม่เหมือนจริง
ดร นิเวศน์ให้หลานเรียก Daddy , ป่าป้า ดูดีกว่าเรียกปู่
อจ ไพบูลย์ บอกว่า เป็นแค่บัญญัติ (ความจริงระดับสมมติจากภาษาเช่น ความเป็นเจ้าของสิ่งเหล่านั้นโดยใช้ชื่อ
เช่น Daddy ) ไม่ใช่ ปรมัตถ์ซึ่งจะไม่เปลี่ยนแปลงไปตามชื่อหรือกลุ่มชน
อจ เสน่ห์ บอกว่า ดร สอนให้เรียกอะไรก็ได้ ให้เรียก….ก็ได้ เป็นชื่อที่ อจ ไพบูลย์เรียกดร นิเวศน์ตั้งแต่สมัยเรียน
ส่วน คุณโจ วันนี้มาขึ้นเครื่องบินผิดเวลา เลยตกเครื่อง แต่โชคดีมีFightอื่นขึ้นได้ เลยมาทันสัมมนา
ส่วนแฟนคุณโจ ยังทำงานเป็นอาจารย์อยู่ที่หาดใหญ่
คราวที่แล้วคุณโจติดผ่าตัดเนื้องอกที่ไทรอย เลยไม่สามารถร่วมงานใหญ่เดือนมกราคมที่ผ่านมาได้
ส่วนนายกคนปัจจุบัน คุณชายมีระดับทางธรรมสูงมาก ไม่กล้าแซวนักลงทุนที่เดินทางธรรม
นายกคนต่อไป คือ คุณ ณัฐชาติ คำสิริตระกูล หรือ คุณกานต์
อจ เสน่ห์ แซว คุณกานต์ว่าต่อไปต้องคิดในใจ ห้ามคิดนอกใจ
ส่วนอีก 1 กูรู อจ เสน่ห์ เปลี่ยนหัวข้อ เป็น 3 นายก กับ 1 นกรู้
เปิดความหมายนกรู้จาก Google
นกรู้คือผู้ที่มีไหวพริบเท่าทันเหตุการณ์
หรือภัยที่จะมาถึงตน แล้วหาผลประโยชน์หรือหนทางเอาตัวรอดไปก่อน
ดร นิเวศน์ เหมาะสมกับคำ”นกรู้”มากสุด
กลอน 3 นายก กับ 1 นกรู้
สามนายกวีไอเปิดไต๋หุ้น
หลักลงทุนตามวิถีที่เหมาะสม
จะเลือกหุ้นอย่างไรไม่ติดจม
หุ้นนิยมหุ้นเสี่ยงเลี่ยงอย่างไร
คุณธันวา นายกเก่าเขาคนเก่ง
หุ้นบานเบ่งเพิ่มค่าพาสดใส
คุณอนุรักษ์หรือคุณโจโก้กว่าใคร
นายกเก่าวีไอใจสู้จริง
นายกชาย มโนภาสมาดเขาหล่อ
คิดสานต่อวีไอทั้งชายหญิง
ดอนิเวศน์ นกรู้กูรูลิง
ตอบทุกสิ่งการลงทุนหุ้นวีไอ
อจ เสน่ห์ บอกว่า ดร นิเวศน์ไม่ใช่รอบรู้แค่การลงทุน ทุกอย่างคิดแบบวีไอ
ทุกอย่างมีวัตถุประสงค์หมด เช่น ดูจากภาพแรก
การออกกำลังซักผ้า ซึ่งทำให้กล้ามเนื้อสะโพกแข็งแรง
การตากผ้า ทำให้กล้ามเนื้อหลังส่วนกลางแข็งแรง
การรีดผ้า ทำให้กล้ามเนื้อหน้าอกแข็งแรง
การปัดกวาด ทำให้กล้ามเนื้อหน้าท้องส่วนนอกแข็งแรง
การล้างชักโครก ทำให้กล้ามเนื้อขาด้านหลังแข็งแรง
การก้มกราบ ทำให้กล้ามเนื้อหลังส่วนล่างแข็งแรง โดยมือไม่ต้องแบถ้ากราบภรรยา
อจ ไพบูลย์ บอกว่า ดู Money talk จะได้เนื้อหาสาระ และ ความบันเทิงแทรกอยู่
อจ เสน่ห์ แซว อจ ชายว่าอาจไม่ได้ไปทุกที่ เช่น โรงพัก ต้องไม่เคยไปแน่ๆ
เริ่มเข้าสู่ช่วงสัมมนา
1.ประวัติของสามนายก
เริ่มที่คุณธันวาเป็นคนแรก อจ เสน่ห์ ถามว่าทำไมชื่อนี้
คุณธันวา บอกว่า เกิดจากคุณแม่ตั้งให้ เป็นคนที่อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ ใกล้เขาพนมรุ้ง
อจ ไพบูลย์ เสริมว่าครอบครัวคุณธันวาบริจาคทรัพย์บ่อยมาก
คุณธันวาจบป7 และเรียนต่อที่ โรงเรียน ราชสีมาวิทยาลัย ซึ่งเป็นโรงเรียนผู้ชายประจำจังหวัด
อจ เสน่ห์เสริมว่า อำเภอในโคราชมีลักษณะเป็นผู้หญิง เช่น สูงเนิน
คุณธันวา จบม ปลาย ที่เตรียมอุดม เรียนต่อป ตรี ที่ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ลาดกระบัง(KMITL)
จบมาทำงานที่ บริษัทโตโยไทย ในตำแหน่ง System Engineer และ on the job training ที่ญี่ปุ่น
และ เคยไปดูงานที่ IBM เลยไปสมัครงานที่นั่น
ตอนนี้ IBM ขายธุรกิจ margin ต่ำออกไป เช่น PC , Server เน้นธุรกิจที่มีmarginสูง
ทำงานที่ IBM 21 ปี ส่วนเรื่องการลงทุน คุณธันวาชอบการออมเงินตั้งแต่เด็ก
ตอนเรียน ป ตรี ตั้งแต่ ปี 2 ทำงาน part time เขียนโปรแกรมจนถึงเรียนจบป ตรี
สนใจการเก็บเงิน และ ช่วงที่อยู่ญี่ปุ่น มีเงินก้อน และ เพื่อนที่ญี่ปุ่นชวนลงทุน
แต่เจอวิกฤตซัดดัม หมดไปหลายตังค์ ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจลงทุน แต่เอาเงิน
ที่จะสร้างบ้านมาลงทุน สุดท้ายกลายเป็นกู้เงินมาสร้างบ้านแทน
ตอนอยู่สิงค์โปร์ ลงทุนอีกครั้ง และเจอวิกฤตปี40 อีกรอบ
รู้สึกผิดหวัง แต่ก็พยายามศึกษาเพิ่มเติม ช่วงนั้นเจอดร นิเวศน์
และ อ่านหนังสือตีแตก ซึ่งด้านท้ายของหนังสือมีใบสมัคร เป็นสมาชิกสมาคมนักลงทุนหุ้นคุณค่า
แสดงว่าดร นิเวศน์มีวิสัยทัศน์ในการลงทุนมาก
ปกติเป็นคนอนุรักษ์นิยม เลยเห็นว่าแนวทางวีไอเป็นแนวทางที่มีเหตุผล
ช่วงนั้นวิกฤตต้มยำกุ้ง ราคาหุ้นถูก เป็นโอกาสในการซื้อหุ้นราคาถูก
คุณโจ ตอนนี้อาศัยอยู่ที่หาดใหญ่ เกิดที่ จังหวัด พังงา และเรียนที่อำเภอ ตะกั่วป่า
สนใจหุ้นตั้งแต่ ม4-5 ช่วงที่อยู่กรุงเทพกับน้า โดยเห็นน้าจะออกจากงานมาเล่นหุ้นเพราะได้กำไรดี
หลังจากจบ ป ตรี Food Science ที่ มอ (มหาวิทยาลัย สงขลานครินทร์) อำเภอ หาดใหญ่
ทำงานที่กรุงเทพ ขายกล้องที่บริษัท แคนนอน เป็นเสมียนทำคลังสินค้า
และเรียนป ตรี ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ด้านการเงิน สนใจเรื่องการเงิน
เรียนอยู่ 2 ปี ก็แต่งงาน และ ย้ายตามแฟนที่เรียนต่อที่US คุณโจทำงานทุกอย่างอีก 1 ปีกว่าๆที่US
เหตุผลที่ทำงานเมืองนอก คือต้องการเก็บเงินมาซื้อหุ้น
ช่วงเวลาในการซื้อหุ้นมา 20 ปี และ ลงทุนแนววีไอมา 18 ปี หลัง ดร นิเวศน์ 2-3 ปี
ช่วงนั้น แฟนไปทำงาน คุณโจก็ป้อนข้าวลูก และ ดูหุ้นไปด้วย ตอนนี้ยังอยู่บ้านของหลวง
เคยตัดสินใจผิดซื้อรถยนต์ แต่ถ้าไม่ซื้อและเอาไปลงทุนแทน จะได้รถแลมโบกีนีในปัจจุบันได้หลายคัน
เตือนคนที่จบใหม่ ปีแรกการตัดสินใจซื้อมีผลต่อการเงินในอนาคต หรือ เอาเงินไปเที่ยวเพราะกลัวแก่ตัวไม่มีแรงเดินทาง
เงินทบต้นถ้าเก็บตั้งแต่ทำงานใหม่ๆ จะได้ผลตอบแทนมากมาย
นายก ชาย เกิดกรุงเทพ เรียนที่โรงเรียนเซนต์คาเบรียล
เคยถามคุณพ่อว่าทำไมตั้งชื่อ ชาย ครั้งแรกให้พระเป็นคนตั้ง ชื่อสิทธิเดช
แต่คุณพ่อไม่ชอบ เลยตั้งง่ายๆว่า ชาย
เรียนจบม 6 ต่อ วิศวเกษตร และ สมัครงานขายเครื่องปรับอากาศยี่ห้อนึง
เป็น Sales Engineer เรียนรู้เกี่ยวกับธุรกิจมากมาย
ปกติบริษัทดูแล dealer ทั่วประเทศ
เจ้าของdealerสอนคุณชายว่า ขายของยังไม่เก่ง ต้องเก็บเงินได้ด้วย
ดังนั้นหุ้นที่สร้างกำไรคือหุ้นค้าปลีก
กิจการที่ไม่เบี้ยว เก็บเงินได้ ก็คือธุรกิจค้าปลีก
สมัยนั้น คนจบวิศวไม่ชอบขายของ จริงๆรายได้ดีกว่างานfieldอื่น
เริ่มติดใจงานขาย และ ยังทำงานอีกหลายแผนก
ช่วงก่อนปี 40 เก็บเงินไปเรียนต่อโท ที่ต่างประเทศ
ตอนนั้นได้ซื้อหุ้นธนาคารรวงข้าว หลังวิกฤตต้มยำกุ้ง
คุณบัญฑูร ทำ re-engineering เลยซื้อหุ้นก่อนแก้ปัญหาเพิ่มทุน
เหมือนได้ทุนจากธนาคารรวงข้าว ไปเรียนต่อที่เมืองนอก
ซื้อหุ้นธนาคารรวงข้าว ตอนราคาต่ำกว่า 20 บาท
ดร นิเวศน์ เคยทำงานที่ธนาคารของคุณอุเทน ซึ่งอยู่ตรงสวนมะลิ (ซึ่งไปควบกับธนาคาร
ที่ดร นิเวศน์ไปทำงานหลังสุดก่อนเกษียณหลังช่วงต้มยำกุ้ง)
ดร บอกว่า ตัวดรเอง สามารถออกมาก่อนวิกฤตได้
ตอนเรียนค่าเงิน 23บาท/$ เรียนจบกลับมาทำบริษัทเดิม
จุดเปลี่ยนคือ เรียนโทต่างประเทศที่เมลเบิร์น ออสเตรเลีย
ได้ศึกษาcase study มาก และหลังกลับมาเมืองไทย
ก็อ่านหนังสือมากมาย รวมถึง หนังสือ ตีแตกด้วย
พอกลับมาย้ายไปหลายแผนก ได้ความรู้เกี่ยวกับธุรกิจ เลยลงทุนแบบวีไอในปี2002
เงิน 3 แสนบาท ลงทุนมาถึงตอนนี้
ฝากนักลงทุนFull time ว่าการทำงานบริษัทก็มีประโยชน์ มองภาพออกว่าบริษัทเป็นอย่างไร
เช่น การตั้งยอดขายโต 20%ยากมาก ดังนั้น เราเป็นนักลงทุน การโต50% ค่อนข้างยาก
ดังนั้นหลังจบมาให้ไปทำงานก่อน จะได้ประสบการณ์ในการวิเคราะห์บริษัท
อจ เสน่ห์ เสริม ให้ลูกหลานมาดูรายการ จะได้รู้ว่าควรทำงานก่อนการลงทุน
อจ เสน่ห์บอกว่า หลังจากขาดทุนจากหุ้น ไม่ได้คิดเรื่องเงินอย่างเดียว จัดสัมมนาฟรีบ้าง
อจ ไพบูลย์ เสริมว่า ประเทศที่พัฒนาไม่ค่อยเน้นเรื่องการลงทุน
จะเน้นการสร้างผลิตภัณฑ์ ผลผลิตมากกว่า
การเน้นลงทุน จะไม่ได้ผลผลิต ถ้าคนส่วนใหญ่คิด ประเทศนี้น่าเป็นห่วงมาก
ดร นิเวศน์ เป็นตัวอย่าง ในเรื่องไม่ประสบความสำเร็จในการลงทุนสมัยก่อน เป็นข้อเตือนใจให้กับนักลงทุน
ดร บอกว่า ประวัติการลงทุนต่อจากการทำงาน เป็นการหาทางออกของชีวิต
ตอนวิกฤต ถูกออกจากงาน ต้องหางานใหม่ทำ แต่สถาบันการเงินช่วงนั้นปลดคนออกมาก
โชคชะตาบีบเรา เงินก้อนสุดท้ายอาจไม่พอ ลูกยังเล็ก เคยคิดซื้อคอนโดมาให้คนเช่า
เมื่อก่อนแค่ 10 กว่าล้านบาท สำหรับห้อง 50 ห้อง แต่ต้องเลือกว่าให้ชีวิตเหมือนเดิม
เช่น เดินทางต่างประเทศปีละครั้ง ลูกเรียน โรงเรียนinterได้ ใช้ชีวิตเหมือนเดิม
ราคาทรัพย์สินลงหมด รวมทั้ง apartment
เรามองว่าซื้อ property ดูแลยาก ไม่กระจายความเสี่ยง
แต่หุ้น Dividend yield 10% กำไรดี รายได้ดี เราก็ไปซื้อ ให้เป็น asset เลี้ยงเรา
ปันผลเกือบล้านบาทต่อปี ซื้อแล้วอยู่เฉย เป็นจุดเริ่มในการลงทุน
คิดว่าตัวเองโชคดีด้วยนอกจากฝีมือในการลงทุน
ทฤษฏีตีแตก มาจาก การไปเที่ยว และ เล่นตีแตกในช่วงนั้น
มีครั้งนึงถือไพ่ในมือ A 4ตัว มันยากมาก ถ้าเราได้ มีโอกาสแพ้น้อยมาก
วันที่เขียนหนังสือตีแตก มีข้อมูลแค่ปีกว่าเอง หนังสือโตมาพร้อมกับการลงทุน
เขียนหนังสือก่อนประสบความสำเร็จ
โชคดีมหาศาลเพราะว่าถ้าใครปีนี้เริ่มลงทุนในหุ้น จะกำไรเหมือนสมัยก่อนยากขึ้นเยอะ
ศึกษามาทั่วโลก ก็ไม่เจอรวยกันแบบง่ายๆ อยากเตือนคนที่ลงทุนในช่วงนี้
ผมพยายามมองการลงทุนโดยมองล่วงหน้า 5-10 ปี เป็นอย่างไร
สมัยก่อน ก็มองล่วงหน้าเหมือนกัน และ ตัดสินใจลงทุน
ปกติคิดและทำไปเรื่อยๆ มีการขาดทุน แต่โชคดีถูกรางวัลที่1ได้
การไปลงทุนที่เวียดนาม คิดแบบเดียวกันว่า อีก 10ปีที่นั่นจะเป็นอย่างไร พยายามองล่วงหน้า
และซื้อกระจายไป หวังว่าอีก 10 ปีเจอกัน ไม่ได้คิดอะไรมาก
(ดังนั้นจุดที่น่าเอาอย่างดร คือ ต้องคิดอะไรล่วงหน้าตลอด และ วางแผนทำทันที)
เมื่อก่อน ดร นิเวศน์ถือเป็นคนกลุ่มแรกที่ไปเรียน MBA โดย อจ ไพบูลย์ เป็นคนชักชวน
ใช้เวลาตัดสินใจครู่เดียว มีอะไรมาจุดประกายทำให้ความคิดแบบสร้างศักยภาพ ให้รู้จักโลกมากขึ้น
ตอนนั้น ทำงานโรงงานน้ำตาล มองอนาคตไม่ออก เมื่ออจ ไพบูลย์ชวนเลยตัดสินใจไปเรียนต่อ
2.กลยุทธ์การลงทุน
คุณธันวา
ปกติชอบวางแผนในชีวิต ออกแบบชีวิตเป็น 3 ช่วง
คือช่วงเรียน ช่วงทำงาน และ ช่วงใช้ชีวิตอย่างที่ชอบ
หลังจากทำงานพอแล้ว ก็เกษียณออกมาทำสิ่งที่ตัวเองชอบ
แต่อยากแนะนำ อยากให้คนรุ่นใหม่ทำงานก่อน เพื่อพัฒนาประเทศ
ตอนนี้คุณธันวาอยากใช้เวลากับการลงทุนน้อยลง และ มีส่วนในการช่วยเหลือหน่วยงานราชการมากกว่า
3ปีที่ผ่านมาไม่ได้ปรับportเลย ผลตอบแทนไม่สูง แต่ก็ไม่เพิ่มความเสี่ยงของตัวเอง
ปีที่แล้ว หุ้นตัวที่อยู่ในport 80%ขึ้นมามาก ทำให้ผลตอบแทน 3 ปี ยอมรับได้
หุ้นที่เลือก คือ หุ้นแบบ Super stock เป็นหุ้นที่ชนะในการแข่งขัน มี EOS เป็นผู้นำ มีส่วนแบ่งตลาดสูงสุด
คาดการณ์ผลประกอบการได้ สามารถเยี่ยมชมกิจการได้ง่าย
หุ้นที่ไม่เข้าใจ ก็ตัดออกไปไม่ลงทุน
รวมถึง หุ้นในเวียดนาม ก็ถามนักลงทุนดู ปรากฏว่า หุ้นมีตำหนิจึงไม่ได้ลงทุน เพราะไม่เข้าเงื่อนไข
Super stock
ถือเป็นนักลงทุนที่ปล่อยวางระดับนึง กระจายลงทุนหลายตัว ลงทุนอย่างสบายใจ ทำงานอื่นที่สนใจได้
อจ เสน่ห์ บอกว่า สามารถดูจากชื่อพื้นที่ของเวียดนาม ก็รู้ได้ เช่น ทางใต้ ฮานอย ก็สนุก ฮา
ทางเหนือ โฮจิมิน ก็โฮ เศร้า ส่วนตรงกลาง ดานัง ก็มีความสุข ดา ดา ดา
คุณโจ ลูกอีสาน
จบมาเกรดไม่เกิน 3 ไม่ฉลาดแน่นอน แต่โชคดีว่ารู้จักตัวเองค่อนข้างเร็ว
ตอน ม 4 รู้ว่าชอบการลงทุน ก็เตรียมตัวตั้งแต่ตอนนั้น
เจอหลักการการลงทุนเน้นคุณค่า ของ ดร นิเวศน์ ทำให้ประสบความสำเร็จ
ถ้าไม่เจอ ดร อาจไม่ประสบความสำเร็จ
สไตด์แตกต่างกับพี่ธันวา ผมสนว่า หุ้นดี ไม่ว่าอยู่ในกลุ่มไหน
หุ้นที่ดีมีองค์ประกอบแบบไหน
หุ้นราคาถูก ลงต่อน้อยมาก หุ้นราคาแพง เวลาหุ้นลงจะดิ่งมหาศาล
วิธีการดูว่าหุ้นถูกหรือแพง ดูจาก PE , PB ratio สำหรับหุ้นราคาถูก จะมีค่าน้อย
รังเกียจหุ้นราคาแพง
PE ของหุ้นในพอร์ต ตั้งแต่ PE ตั้งแต่ 5-30 หุ้นแพงสุดเป็น Growth stock
ไม่เคยไล่หุ้นร้อนแรง แต่เก็บหุ้นที่ไม่มีใครสนใจ ซื้อทุกวัน วันละ แสน หรือ 3-4 แสนหุ้น
บางทีเก็บเป็นเดือน ตอนนี้ถือหุ้นน้อยลงจาก 60 เป็น 40กว่าตัว
ปีแรกที่ลงทุนมีเงินทุน 8 แสนบาท ซื้อหุ้นแค่2ตัว หลังจากนั้นไม่เคยถือหุ้นแค่ 2 ตัวเลย
การเข้าใจในบริษัทที่ลงทุน แม้แต่ผู้บริหารก็ยังไม่รู้เรื่องบริษัทหมด นับประสาอะไรกับเรา
ไม่ต้องการรวยเร็วเหมือนดร นิเวศน์ ขอผลตอบแทนสม่ำเสมอดีกว่า
การต้องการรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ทำให้ขาดทุนได้
การไปเรื่อยๆ ความเสี่ยงต่ำ จะดีกว่า
คุณโจอยู่ต่างจังหวัด แต่ลงทุนในหุ้นจำนวนเยอะตัว
คุณโจ รู้จักหุ้นมากมาย โดยอ่าน 56-1
อจ ไพบูลย์ ให้ผู้สรุปถามคุณโจว่ารู้ข้อมูลทุกบริษัทหรือไม่
ผมเลยถามคุณโจว่ารู้จักบริษัท MINT หรือไม่
คุณโจบอกว่า หุ้น MINT สมัยก่อนเป็น RGR ตอนหลัง merge กับ Minor international
จนเป็น MINT คุณโจประกาศ ไม่ไป company visit บริษัททุกที่
คุณเวปเคยบอกว่า คนรวยแค่หยิบมือ แต่ไปทำอะไรเทาๆ มันหมิ่นเหม่
อาจโดยกล่าวหา อยากให้ประเทศเราเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว
ปัญหา ประเทศที่พัฒนามีน้อย ดังนั้นมองเรื่องการลงทุน
อยากแก้ไขปัญหาในเรื่องที่ไม่แน่ใจ ดังนั้นเลยประกาศว่าไม่ไป company visit
เคยไป cv 5 บริษัท พบว่า 2 บริษัท ให้ข้อมูลที่ยังไม่น่าประกาศ ดูไม่เหมาะสม
คุณโจเลยตัดเรื่องcompany visit เพื่อไม่ให้โดนครหา
แต่มีวิธีหาข้อมูล คือ ข้อมูล Public เช่น Opp day ,
ประกาศในสิ่งที่ทำใจยาก เพราะคนอื่นได้ 100%
แต่เราก็พอใจในผลตอบแทนที่ผ่านมา
การไป CV ขึ้นกับผู้บริหาร ถ้าผู้บริหารให้ข้อมูลที่ประกาศแล้ว ผมยอมรับได้
แต่ถ้าได้ยินว่ามีข้อมูลที่ยังไม่ประกาศ เราจะทนซื้อได้ไหม เลยประกาศไม่ไป CV
อจ ไพบูลย์ บอกว่า กฎหมายใหม่ ห้ามให้ข้อมูลที่ยังไม่เปิดเผย
คุณโจ พูดต่อ เรารู้ตัวเองตอน อายุ 14 ปีตอนฟังน้าบอกว่าลาออกมาลงทุน
แต่อจ เสน่ห์ รู้ตัวตอน 40 ว่าเป็นเบาหวาน
คุณชาย บอกว่า คุณแม่บอกให้ดูรายการ Money talk ซึ่งออกที่ช่อง 11
คุณชายใช้ทั้ง Top down และ Bottom up ซึ่งเหมาะกับตัวเอง แต่อาจไม่เหมาะกับบางคน
สิ่งที่อยากแชร์ คือ การบริหารความเสี่ยง ค่อนข้างมาก
ไม่สนใจว่าชนะหรือแพ้ตลาด
ถ้าต้องการชนะตลาดมาก อาจเพิ่มความเสี่ยง โดยกำไรในระยะสั้น
จำกัดในหุ้นที่เราเข้าใจในระยะยาว
นักลงทุนตอนนี้สนใจกำไรในระยะสั้น
ยกตัวอย่าง สายการบินแพนแอม ก่อตั้งในปี 1927 เป็นสายการบินใหญ่สุดในโลก
รับผู้โดยสาร 8 ล้านคน ต่อปี แต่ ล้มละลาย ปี 198x
บริษัท ตะขาบห้าตัว ผงวิเศษตราร่มชูชีพ ว่านชักมดลูก หมอเส็ง ยังอยู่ได้ในระยะยาว
ยาดม พระสังค์ชนช้าง อยู่มา 60 ปี
บางทีการลงทุนในหุ้น ไม่ต้องกำไรทุกปี แต่อยู่ให้รอด
การลงทุนสมัยก่อน สนพ หุ้นไทย สัมภาษณ์นักลงทุนดังๆ ตอนนี้หายไปแล้ว
โนเกีย โดย Microsoft ซื้อไป เพราะ โดน iphone, Samsung แย่งตลาดไป
บางทีไม่ต้องเน้นกำไรให้รวดเร็ว ต้องอยู่ให้ได้ หมั่นหาความรู้ตลอด
หลายคนportใหญ่กว่า และลงทุนนานกว่า ตอนนี้ไม่อยู่แล้ว
สิ่งสำคัญ อยู่ให้รอด และ หมั่นความรู้สม่ำเสมอ
ประคองตัวให้รอด บางบริษัทกำไรเล็กน้อย แต่อยู่ได้ในระยะยาว เพื่อรอสักวันโอกาสเป็นของเรา
ดร นิเวศน์
กลยุทธ์การลงทุน มองไปข้างหน้า ผมไม่ไป Company visit ผู้บริหารคิดคนละทางกับเรา
เรามองบริษัท สุดท้ายเป็นอย่างไร ผมรู้ดีกว่าผู้บริหารในระยะยาว ส่วนระยะสั้นผู้บริหารอาจตอบถูก
หลายครั้งผู้บริหารขายหุ้น แต่สุดท้ายเขาผิด เพราะดูแค่ระยะสั้น
การมองระยะยาวกับระยะสั้นไม่เหมือนกัน
ถ้าผมเห็นบริษัทที่คาดการณ์ในระยะยาวได้ ราคาหุ้นถูก ก็น่าสนใจ นี่คือสิ่งที่เรารู้
แต่ที่เวียดนาม ผมไม่รู้ว่าหุ้นแต่ละตัวทำอะไร ก็เลยซื้อเป็น ร้อยตัว
แต่มั่นใจว่า อีก 10 ปีเวียดนามเป็นอย่างไร ซื้อกวาดเป็น 100 คัว เศรษฐกิจเติบโต
บริษัท โตปีละ 10% ก็พอใจแล้ว ถึงแม้บางบริษัทลดลงก็ยังถือ
ต้องทำให้น้อย แต่ทำถูก
ชีวิตผ่านมาผิดตลอด แต่ภรรยาเราถูกตลอดอยู่กับเราในตอนที่เรายังไม่มีอะไร
จริงๆเขาเก่งกว่าเราเยอะ ไม่ต้องทำอะไร
อจ เสน่ห์ บอกว่า 3 นายก 1 นกรู้ กับ 1 ผู้เฒ่า
อจ ไพบูลย์สรุปแนวทางการลงทุนของนายกแต่ละคนดังนี้
กลยุทธ์ในการลงทุนของ อจ นิเวศน์ กับ คุณธันวา ใกล้เคียงกัน
คุณโจ บอกว่าต้องหาความรู้เรื่องหุ้นตลอดเวลา
คุณชายลงทุนแบบแนวธรรมะ
อจ ไพบูลย์ ลงทุนแนวผสมผสาน
การลงทุนต้องเป็นโลกธรรม8
มีทรัพย์เสื่อมทรัพย์
มียศเสื่อมยศ
มีสรรเสริญมีนินทา
มีสุขมีทุกข์
ข้อแรกตรงกับหุ้น ดังนั้นต้องรู้จักกระจายการลงทุนในหุ้น
มันช่วยลดความร้อนแรงของจิตใจด้วย เหมาะสำหรับผู้อาวุโส
มีทรัพย์เสื่อมทรัพย์ หุ้นบางตัวในช่วง 3 วันราคาหายไป 70% แล้ว
มียศเสื่อมยศได้ อาจารย์มีตำแหน่งแต่เสื่อมได้
มีสรรเสริญ แต่มีคนนินทา เป็นเรื่องปกติของโลก
ไม่ว่าเราประสบความสำเร็จอย่างไร เมื่อเราตายก็หายหมด
เกิดใหม่ ก็เริ่มสร้างใหม่เลย
อจเสน่ห์ เสริมว่า การลงทุนต้องรู้เท่าทันตัวเอง
ต้องคุมตัวเองได้ แต่เราต้องรู้ตัวเองตลอดเวลา
สุดท้ายขอขอบคุณ วิทยากรทุกท่าน อจ เสน่ห์ , อจ ไพบูลย์ ดร นิเวศน์ น้องแป๋ม น้องเมย์ คุณ ตรีนุช และ ทีมงาน Money talk ทุกท่าน ที่ทำให้เราได้มีโอกาสเรียนรู้การลงทุนผ่านงานสัมมนา Money talk
สัมมนาช่วงแรกหัวข้อ“ทำไอบีบริหารพอร์ตลงทุนหุ้นแบบมืออาชีพการเงิน”
1) ผศ. ดร.ณัฐวุฒิ เจนวิทยาโรจน์
ผอ. FIRM NIDA BUSINESS SCHOOL
2) คุณ พิชญา ซุ่นทรัพย์ (คุณพิช )
นักวางแผนการเงินอิสระ เคยทำงานที่บลจ บัวหลวง
3)คุณ ปฐมวงศ์ เกิดโภคา หรือ คุณปอม
Senior Investment Manager
4)ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ผู้เชี่ยวชาญการลงทุน
ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ.เสน่ห์ ศรีสุวรรณ ดำเนินรายการ
Money Talkครั้งหน้า วันอาทิตย์ที่ 23 เม.ย. จองวันเสาร์ที่ 15 เมย เวลา 7.00 น.
หัวข้อที่ 1 กลต กับการดูแลนักลงทุน
ท่านเลขาฯกลต คุณรพี สุจริตกุลเปิดใจให้สัมภาษณ์
ผู้สัมภาษณ์ คือ ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร กับ ดร ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา
หัวข้อที่ 2 หุ้นเด่นไตรมาส2 บริษัท 3 บริษัท ได้แก่
Interlink communication (ILINK) , บริษัท ศรีสวัสดิ์ เพาเวอร์ 1979 (SAWAD) คุณธิดา
และ บริษัท ช การช่าง (CK) คุณประเสริฐ
หัวข้อ 3 ฝรั่งมองหุ้นไทยอย่างไร และมองหุ้นไหน
ดร แอนดรูว์ สตอทซ์ เป็นนายกสมาคม CFA ประเทศไทย และตั้งกองทุนใหญ่ที่ลงทุนในหุ้นไทย/เวียดนาม,
คุณปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บล ซีแอลเอสเอ (ประเทศไทย)
คุณภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย และประธานกรรมการ บล ดีบีเอส วิคเคอร์ส
เกริ่นนำ
ดร นิเวศน์เคยสอนที่นิด้า และแนะนำนักศึกษาหญิงว่าเวลาแต่งงานให้แต่งกับคนรวย
สอนโครงการFLEX ที่นิด้า
อจ เสน่ห์ ถาม เรียนเพื่ออะไร
ดร นิเวศน์ ตอบ เรียนเพราะว่าไม่รู้ แต่อจ เสน่ห์ บอกว่า เรียนมาเพื่อทราบ เป็นการประกาศทุกที่เลย 555
หัวข้อสัมมนา ทำไอบีบริหารพอร์ตลงทุนหุ้นแบบมืออาชีพการเงิน
หนทางสู่ IB ( investment banking )
เรียนกับเงินทอง ได้ค่าปรึกษาเป็นหลัก เช่น ให้คำปรึกษาเข้าตลาดหุ้น หรือ ซื้อบริษัทอื่น
โบรกเกอร์ ก็เป็น IB รายได้มาจากเชียร์ให้ซื้อขายวันละรอบ นักลงทุนยิ่งหมุนยิ่งขาดทุน
แต่Brokerได้ค่าธรรมเนียม นอกจากนี้ยังรวมถึงการบริหารกองทุน เทรดหุ้นเพื่อหากำไร
คุณพีค เคยเป็น product manager มาก่อน
คุณปอม ตอนนี้เป็น senior manager ลงทุนในหุ้น และ ปล่อยกู้ โดยมีผู้ถือหุ้นของบริษัทเป็นประเทศเยอรมัน
ประวัติของวิทยากร
ดร ณัฐวุฒิ รับผิดชอบที่หลักสูตร FIRM ที่นิด้า
ประวัติการศึกษา เรียนวิศวะจุฬา สาขาโยธา
ทำงานได้ 2-3 ปี ผลงานเช่นโครงการที่สาทร ตรงข้ามกับรพ เซนต์หลุยส์
ผันตัวเองมาเรียนการเงินที่จุฬา จบมาก็ทำงานด้านวิเคราะห์หลักทรัพย์
และ บริหารความเสี่ยงที่ธนาคารกสิกรไทย
สอบCFA สมัยตอนเรียนปริญญาโท เรียนต่อปริญญาเอกที่ นันยางเทคโนโลยีที่ประเทศสิงคโปร์
ได้ทุนจากที่นั่น ค่าเรียนไม่เสีย แต่ไปช่วยตรวจข้อสอบ และได้เป็นเงินเดือน
กลับมาเป็นอาจารย์ที่ภาคการเงินมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อยู่หลายปี
จน อจ ไพบูลย์ชวนมาดูแลหลักสูตรFIRM ที่นิด้าได้2ปี
วงการเงินยอมรับประกาศนียบัตรได้แก่
1.CFA (Chartered financial analysts) ทำงานมา2ปี จึงสามารถสอบ levelแรกได้
มีทั้งหมด 3 ระดับ ผลการสอบ ผ่านไม่เกิน50% แต่ปีที่แล้ว นิด้าสอบ4 คนได้4คน
คุณแอนดรูว์ที่มาคราวหน้าเป็นประธาน CFA ในไทย มีการแข่งขันในต่างประเทศด้วย
2. FRM (Financial risk manager) ประกาศนียบัตรบริหารความเสี่ยง
มีการสอบ 2 ระดับ โดยต้องมีประสบการณ์มาก่อน
3. CFP (Certified financial Planner)
ถือเป็น license นานาชาติ เนื้อหาค่อนข้างกว้างกว่า 2 ตัวแรก เป็นการบริหารการเงินส่วนบุคคล
เช่น ประกันชีวิต ประกันภัย จัดพอร์ตการลงทุน ภาษี จัดการมรดก ภาพค่อนข้างกว้าง
มีทั้งหมด 6 Module เริ่มจากพื้นฐานการเงิน ตลาดทุน การเกษียณ สอบทั้งหมด 5 paper
ดร มารับผิดชอบFIRMที่นิด้า ตอนนี้กำลังเปิดรับสมัครรอบสุดท้าย ช่วง เมย – พค (รับ4รอบ/ปี)
เปิดเรียนเดือนสค จุดแข็งคือเอาความรู้ทางด้านวิชาการรวมกับภาคปฏิบัติ
เนื้อหาตรงกับหลักสูตร CFA, FRM ซึ่งเป็นองค์การนานาชาติ จะรู้ว่าทฤษฎีอะไรใช้ได้ หรือ ใช้งานอยู่
เป็นจุดแข็งของหลักสูตร ตอนนี้มีเฉพาะที่นิด้าที่เดียว
วุฒิการศึกษาในการสมัคร จบปริญญาตรีสาขาอะไรก็ได้
คุณปอมจบการตลาด ป ตรี ที่นิวซีแลนด์ ตอบว่าเรื่องจิตวิทยาการตลาดเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้คนซื้อสินค้า
ภาษาอังกฤษมีส่วนช่วยในการฟัง เขียน อ่าน เพราะ textbook เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดจาก CFA
ถ้าเรียนจบได้ปริญญาโท และเตรียมพร้อมสอบ ระหว่างเรียนก็สอบ CFA level 1
พอจบก็ได้อย่างน้อย CFA level1
ค่าเรียน ประมาณ 4 แสนนิดๆ รวมการเรียนที่ USA 1 สัปดาห์ (Indiana U)
หลักสูตรนี้ให้ทุนการศึกษา ถ้าเป็นคนมีศักยภาพ และ เป็นประโยชน์ต่อสังคม
มีทุนอยู่ 3-6 ทุน จาก นักศึกษาที่เรียนในชั้นทั้งหมด 30 คน ไม่ห้ามกีดกันเพศ หรือ ชนชาติ
มีคนจบป เอก ด้านวิศวกรรมจากญี่ปุ่นมาเรียนด้วย
อจ ไพบูลย์ เสริม นักศึกษาMBAทุกหลักสูตร ถ้าสอบ CFA, FRM ได้สามารถเบิกค่าสอบได้
มีหลักสูตรภาคภาษาไทย แต่ยังไม่อนุมัติ จะเปิดได้ในปีหน้า ตลาดCFPเปิดกว้าง designให้กับคนต้องการ
เรียนด้านการเงิน แต่ต้องมีความรู้พื้นฐานด้านนี้ก่อน แล้วค่อยแยกเป็นแต่ละสาย
เช่น ชอบการวางแผนทางการเงิน ก็ไปทาง CFP
อจ ไพบูลย์ เตือนว่าอย่าประมาท ความตายจะช่วยให้เราระมัดระวังเรื่องกิเลส
ดร นิเวศน์ ไม่ได้เรียนหลักสูตรเหล่านี้ แต่มีประสบการณ์เอาตัวรอดจากความเสี่ยงได้
ดร ผ่านการเลี้ยงกุ้ง ขายหมากฝรั่ง อยู่โรงงานน้ำตาล ทำโรงเรียนสอนคอมพิวเตอร์
เคยทำบริหารความเสี่ยงที่ธนาคารมาด้วย ทุกรายมีการเปลี่ยนแปลงตัวเอง
จนเรารู้เรื่องความเสี่ยง โดยไม่ได้เรียนมาก่อน การเรียนCFAมีความเสี่ยงมากในการเรียน
เป็นการทำแบบไม่มีประกาศนียบัตร
คุณพีช จบป ตรี จบ เศรษฐศาสตร์ ที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในปี 2551 ซึ่งอยู่ในช่วงวิกฤตSubprime
คนจำนวนครึ่งคณะไปเรียนต่อ แค่ 25%ได้งานทำ
คุณพีชเป็น TA Finance เพราะอยากเป็นคนเก่งที่นิด้า คุมสอบ และ ได้ทำงานวิจัย สอบ CFA,CISA ระหว่างนั้น
ทำresearchเกี่ยวกับกองทุนรวมของตลาดหลักทรัพย์ หลังจากนั้นก็ไปร่วมงานกับคุณตู่ วรวรรณ ที่บลจ บัวหลวง
เห็นภาพรวมของบริษัทและธุรกิจกองทุนรวม และ ทำ Sourcingรายชื่อกองทุนเอามาขายด้วย
เป็นนักการเงินอิสระ สอนin-houseกับการเงินต่างๆสำหรับคนอยากสอบ CFA ด้วย
จบภาคregular MBA เป็นนักเรียนทุนของรัฐบาล เรียนภาคปกติช่วงวันจ-ศ เรียนเป็นภาษาไทย
หลักสูตรนี้ไม่ยากถ้าเราตั้งใจ แต่มีงานกลุ่มค่อนข้างมาก ได้เรื่องการทำงานเป็นทีม ได้ฝึกskillมากมาย
อจ ไพบูลย์ บอกว่าถ้าทำด้วยใจ จะได้อะไรมากมาย
ดร บอกว่า ตอนนี้ต้องการคนที่มี certified เพื่อไปวิเคราะห์หลักทรัพย์ และ
คนที่สอบต้องผ่านEthic(จรรยาบรรณ) ในการทำงานด้วย
ถามคุณปอม ว่าทำไมมาถึงที่นี่ได้
คุณปอม ตอบว่า ตอนนี้สอบ CFA ,FRM และได้งานที่ธนาคาร Standard charter
ทำงาน4 แผนก ใน2ปี
ตอนนั้นมีการแข่งขันตอนสมัครสูง การมี CFA level1 ,FRM อยู่แล้วทำให้ได้เปรียบคนอื่น
ที่ไทยรับแค่ 1 คน คนอื่นที่ได้งานต้องจบ TOP University ที่ต่างประเทศ
และมีข้อกำหนดสำหรับคนที่ได้งาน ต้องผ่าน CFA level1 ไม่งั้นทำงานต่อไม่ได้
ตอนนั้น ทำงาน Corporate Banking ของ Standard chartered
พยายามหาความท้าทายใหม่ๆ โดยย้ายมาทำงานที่บริษัท DEG ( German investment )
ลงทุนในภูมิภาคเอเชีย มีงานด้านนั้นพอดี เลยไปทำงานที่นั่น
รายได้เงินเดือน คุณปอม ตอบ รายได้ต้องขึ้น Demand/Supply เรามี Certified CFA,FRM
supply น้อย ทำให้มีโอกาสได้เงินเดือนสูง
ดร ณัฐวุฒิ เสริมว่าตอนนี้ CFA ในไทยมีแค่ 600-700 คนเท่านั้น supplyน้อยมาก
อจ ไพบูลย์ มีคำถามว่าคนประสบความสำเร็จ เช่น มาร์ค (Facebook) สตีป จอบป์ (Apple)
หรือ บิลเกลต์ (Microsoft) ไม่ได้เรียนมา คิดอย่างไร
ดร นิเวศน์ ตอบว่า คนส่วนใหญ่ที่พูดมา คือ เรียนได้แต่ไม่อยากเรียน สมองGenius
แต่คนที่เก่งขนาดนี้มีอยู่จำนวนหนึ่งเท่านั้น
ถามมุมมองนักการเงินในมุมมองของ ดร.นิเวศน์ ต้องคุณสมบัติอย่างไร
ดร นิเวศน์ ตอบว่า
1.ดูจากวิทยากร ต้องเป็นผู้ชาย ซึ่งเป็นคนหาเงินเข้าบ้าน ผู้หญิงเก็บเงิน แต่ก็ทำได้
2.ต้องรู้ว่าตัวเองไม่ชอบเสี่ยง จะแนะนำคนอื่นไม่ให้เสี่ยง และจะไปจัดการความเสี่ยงให้
โครงการของนิด้า มีหลายหลักสูตร เช่น Regular MBA, Young executive MBA ,
Executive MBA, FIRM , International MBA
ดร ณัฐวุฒิ เสริมว่า ต้องมี
1. มีจริยธรรมและจรรยาบรรณทางการเงิน
เช่น ผู้จัดการกองทุนต้องมีเพราะเงินที่ลงทุนเป็นเงินของคนอื่นที่ให้ บลจ ดูแล
2. มีความรู้ทันสมัย เช่นความรู้ที่ได้มาจาก CFA,FRM ซึ่งเอาเหตุการณ์ปัจจุบันเข้าไปด้วย
อจ เสน่ห์ ถามว่า Fintech มีผลต่อ FIRM หรือไม่
ดร ณัฐวุฒิตอบว่า ทฤษฎียังคงเดิม แต่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น ทำให้จรรยาบรรณมีความสำคัญมากขึ้น
อจ ไพบูลย์ ถามปอม ในฐานะที่ประสบความสำเร็จระดับนึงแนะนำน้องๆอย่างไร ต้องมีอะไร
คุณปอมตอบว่า ถ้าสนใจ โครงการFIRM ดีมาก CFA ครอบคลุมความรู้ที่ทันสมัยมาก
ตอนเรียนเยอะมากเกี่ยวกับfinance เช่น เกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยง สุดท้ายใช้ลึกมากในฐานะ
นักลงทุน วิเคราะห์สถาบันการเงินมีการบริหารดีไหม
นอกจากนี้ CFA เป็นที่ยอมรับทั่วโลก โดยสรุปถ้าสนใจทำงานด้านการเงิน ควรเรียน
คุณพีท แนะนำน้องๆ โดยผมทำงานสายวางแผนการเงิน
ซึ่งในต่างประเทศนิยมมาก มีถึง 3-4แสนคน ปัจจุบัน ธนาคารในประเทศไทยเห็นว่าCFPมีความสำคัญมากขึ้น
นักวางแผนการเงินเป็นคนกลางที่บอกว่าสินค้านั้นดีอย่างไร ชอบงานแบบนี้ ต้องมาเริ่มสอบ
แต่ไม่ได้เก่งทุกเรื่อง สุดท้ายต้องเจาะอีกทีนึง โดยไปเรียนแต่ละหลักสูตร
สุดท้ายขึ้นอยู่กับชอบสายไหน เช่น นักวางแผนทางการเงิน เหมาะสำหรับคนชอบคุยหรือ นักวิเคราะห์
เหมาะสำหรับคนที่ชอบวิเคราะห์
อจ ไพบูลย์ บอกว่า ความรู้เป็นเรื่องเดิม แต่ Fintechเป็นTechnologyที่ช่วยทำให้เร็วขึ้น
ทำให้เรื่องจรรยาบรรณเป็นเรื่องสำคัญมากขึ้น
ช่วงก่อนเหตุการณ์Subprime ตัวอย่างเช่นหนังเรื่อง Bigshot คนที่มองไม่เหมือนคนอื่น
ซึ่งจบหมอทำผลตอบแทนได้ 400% ในช่วงนั้น
สรุป เรียนมากดีกว่าเรียนน้อยเสมอ คนที่ประสบความสำเร็จโดยไม่ได้เรียนเพราะเขาเป็นคนเก่งอยู่แล้ว
การที่จะทำอะไร ต้องมีCertificateในแต่ละด้านจึงสามารถทำได้
AASCB เป็นมาตรฐานรับรองโรงเรียนสอนธุรกิจ นิด้าได้เป็นที่แรกในทุกหลักสูตร
หลักสูตร FIRM รับรองโดย FRM
ถ้าต้องการเรียนในเมืองไทย สามารถเลือก จุฬา ธรรมศาสตร์ และ นิด้า
แต่ถ้าต้องการเรียนในต่างประเทศ และ มีเงินทุนก็ไปเรียนได้
อจ เสน่ห์ เสริมว่าคุณอานันท์ ปันยารชุนเคยบอกว่าการเรียนทำให้คนเก่ง
แต่ไม่มีประโยชน์ถ้าเป็นคนนิสัยไม่ดี ถ้าเป็นคนไม่ดี ไม่ควรเรียน
สิ่งที่ต้องคู่กันคือ มีEthic มีจรรยาบรรณ
เก่งแล้วทำงานอยู่ในแวดวงการเงิน
แต่นิด้าจะสอนให้มีจริยธรรมและจรรยาบรรณด้วย
วันนี้เราเรียนอะไรก็แล้วแต่ สำคัญต้องเลือกให้ถูกด้วย
กรอบที่สำคัญ ให้เรียนเป็นคนเก่งและนิสัยดี ไปช่วยประเทศชาติ
โดยทำงานในทุกภาคส่วน
ใครสนใจ เข้า website http://nidabusinessschool.com เพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมครับ
สัมมนาช่วงที่2หัวข้อ“ยุทธวิธีลงทุนของ 3 นายกและหนึ่งกูรูวีไอ”
1) คุณ ธันวา เลาหศิริวงศ์
อดีตนายก สมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย)
2) คุณ อนุรักษ์ บุญแสวง
อดีตนายก สมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย)
3) คุณ ชาย มโนภาส
นายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย)
4)ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ผู้เชี่ยวชาญการลงทุนแบบวีไอ
ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ.เสน่ห์ ศรีสุวรรณ ดำเนินรายการ
อจ เสน่ห์ เริ่มต้นรายการ ชักชวนให้มาที่นี่ดีกว่าดูFB Liveที่บ้าน
เพราะเจอวิทยากรตัวจริงๆ มีเครื่องดื่ม ซาลาเปา ขนมเปาให้ทาน
รายการไม่ได้จัดบ่อย จัดเดือนละครั้งเอง มานั่งสูดแอร์ ถ้าหลับก็ดูย้อนหลังได้
บางครั้งเอาการลงทะเบียนมาเป็นข้ออ้างในการออกนอกบ้าน อาจนั่งรถเลยตลาดหลักทรัพย์ก็ได้ 555
FB Live เสมือนจริง แต่ไม่เหมือนจริง
ดร นิเวศน์ให้หลานเรียก Daddy , ป่าป้า ดูดีกว่าเรียกปู่
อจ ไพบูลย์ บอกว่า เป็นแค่บัญญัติ (ความจริงระดับสมมติจากภาษาเช่น ความเป็นเจ้าของสิ่งเหล่านั้นโดยใช้ชื่อ
เช่น Daddy ) ไม่ใช่ ปรมัตถ์ซึ่งจะไม่เปลี่ยนแปลงไปตามชื่อหรือกลุ่มชน
อจ เสน่ห์ บอกว่า ดร สอนให้เรียกอะไรก็ได้ ให้เรียก….ก็ได้ เป็นชื่อที่ อจ ไพบูลย์เรียกดร นิเวศน์ตั้งแต่สมัยเรียน
ส่วน คุณโจ วันนี้มาขึ้นเครื่องบินผิดเวลา เลยตกเครื่อง แต่โชคดีมีFightอื่นขึ้นได้ เลยมาทันสัมมนา
ส่วนแฟนคุณโจ ยังทำงานเป็นอาจารย์อยู่ที่หาดใหญ่
คราวที่แล้วคุณโจติดผ่าตัดเนื้องอกที่ไทรอย เลยไม่สามารถร่วมงานใหญ่เดือนมกราคมที่ผ่านมาได้
ส่วนนายกคนปัจจุบัน คุณชายมีระดับทางธรรมสูงมาก ไม่กล้าแซวนักลงทุนที่เดินทางธรรม
นายกคนต่อไป คือ คุณ ณัฐชาติ คำสิริตระกูล หรือ คุณกานต์
อจ เสน่ห์ แซว คุณกานต์ว่าต่อไปต้องคิดในใจ ห้ามคิดนอกใจ
ส่วนอีก 1 กูรู อจ เสน่ห์ เปลี่ยนหัวข้อ เป็น 3 นายก กับ 1 นกรู้
เปิดความหมายนกรู้จาก Google
นกรู้คือผู้ที่มีไหวพริบเท่าทันเหตุการณ์
หรือภัยที่จะมาถึงตน แล้วหาผลประโยชน์หรือหนทางเอาตัวรอดไปก่อน
ดร นิเวศน์ เหมาะสมกับคำ”นกรู้”มากสุด
กลอน 3 นายก กับ 1 นกรู้
สามนายกวีไอเปิดไต๋หุ้น
หลักลงทุนตามวิถีที่เหมาะสม
จะเลือกหุ้นอย่างไรไม่ติดจม
หุ้นนิยมหุ้นเสี่ยงเลี่ยงอย่างไร
คุณธันวา นายกเก่าเขาคนเก่ง
หุ้นบานเบ่งเพิ่มค่าพาสดใส
คุณอนุรักษ์หรือคุณโจโก้กว่าใคร
นายกเก่าวีไอใจสู้จริง
นายกชาย มโนภาสมาดเขาหล่อ
คิดสานต่อวีไอทั้งชายหญิง
ดอนิเวศน์ นกรู้กูรูลิง
ตอบทุกสิ่งการลงทุนหุ้นวีไอ
อจ เสน่ห์ บอกว่า ดร นิเวศน์ไม่ใช่รอบรู้แค่การลงทุน ทุกอย่างคิดแบบวีไอ
ทุกอย่างมีวัตถุประสงค์หมด เช่น ดูจากภาพแรก
การออกกำลังซักผ้า ซึ่งทำให้กล้ามเนื้อสะโพกแข็งแรง
การตากผ้า ทำให้กล้ามเนื้อหลังส่วนกลางแข็งแรง
การรีดผ้า ทำให้กล้ามเนื้อหน้าอกแข็งแรง
การปัดกวาด ทำให้กล้ามเนื้อหน้าท้องส่วนนอกแข็งแรง
การล้างชักโครก ทำให้กล้ามเนื้อขาด้านหลังแข็งแรง
การก้มกราบ ทำให้กล้ามเนื้อหลังส่วนล่างแข็งแรง โดยมือไม่ต้องแบถ้ากราบภรรยา
อจ ไพบูลย์ บอกว่า ดู Money talk จะได้เนื้อหาสาระ และ ความบันเทิงแทรกอยู่
อจ เสน่ห์ แซว อจ ชายว่าอาจไม่ได้ไปทุกที่ เช่น โรงพัก ต้องไม่เคยไปแน่ๆ
เริ่มเข้าสู่ช่วงสัมมนา
1.ประวัติของสามนายก
เริ่มที่คุณธันวาเป็นคนแรก อจ เสน่ห์ ถามว่าทำไมชื่อนี้
คุณธันวา บอกว่า เกิดจากคุณแม่ตั้งให้ เป็นคนที่อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ ใกล้เขาพนมรุ้ง
อจ ไพบูลย์ เสริมว่าครอบครัวคุณธันวาบริจาคทรัพย์บ่อยมาก
คุณธันวาจบป7 และเรียนต่อที่ โรงเรียน ราชสีมาวิทยาลัย ซึ่งเป็นโรงเรียนผู้ชายประจำจังหวัด
อจ เสน่ห์เสริมว่า อำเภอในโคราชมีลักษณะเป็นผู้หญิง เช่น สูงเนิน
คุณธันวา จบม ปลาย ที่เตรียมอุดม เรียนต่อป ตรี ที่ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ลาดกระบัง(KMITL)
จบมาทำงานที่ บริษัทโตโยไทย ในตำแหน่ง System Engineer และ on the job training ที่ญี่ปุ่น
และ เคยไปดูงานที่ IBM เลยไปสมัครงานที่นั่น
ตอนนี้ IBM ขายธุรกิจ margin ต่ำออกไป เช่น PC , Server เน้นธุรกิจที่มีmarginสูง
ทำงานที่ IBM 21 ปี ส่วนเรื่องการลงทุน คุณธันวาชอบการออมเงินตั้งแต่เด็ก
ตอนเรียน ป ตรี ตั้งแต่ ปี 2 ทำงาน part time เขียนโปรแกรมจนถึงเรียนจบป ตรี
สนใจการเก็บเงิน และ ช่วงที่อยู่ญี่ปุ่น มีเงินก้อน และ เพื่อนที่ญี่ปุ่นชวนลงทุน
แต่เจอวิกฤตซัดดัม หมดไปหลายตังค์ ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจลงทุน แต่เอาเงิน
ที่จะสร้างบ้านมาลงทุน สุดท้ายกลายเป็นกู้เงินมาสร้างบ้านแทน
ตอนอยู่สิงค์โปร์ ลงทุนอีกครั้ง และเจอวิกฤตปี40 อีกรอบ
รู้สึกผิดหวัง แต่ก็พยายามศึกษาเพิ่มเติม ช่วงนั้นเจอดร นิเวศน์
และ อ่านหนังสือตีแตก ซึ่งด้านท้ายของหนังสือมีใบสมัคร เป็นสมาชิกสมาคมนักลงทุนหุ้นคุณค่า
แสดงว่าดร นิเวศน์มีวิสัยทัศน์ในการลงทุนมาก
ปกติเป็นคนอนุรักษ์นิยม เลยเห็นว่าแนวทางวีไอเป็นแนวทางที่มีเหตุผล
ช่วงนั้นวิกฤตต้มยำกุ้ง ราคาหุ้นถูก เป็นโอกาสในการซื้อหุ้นราคาถูก
คุณโจ ตอนนี้อาศัยอยู่ที่หาดใหญ่ เกิดที่ จังหวัด พังงา และเรียนที่อำเภอ ตะกั่วป่า
สนใจหุ้นตั้งแต่ ม4-5 ช่วงที่อยู่กรุงเทพกับน้า โดยเห็นน้าจะออกจากงานมาเล่นหุ้นเพราะได้กำไรดี
หลังจากจบ ป ตรี Food Science ที่ มอ (มหาวิทยาลัย สงขลานครินทร์) อำเภอ หาดใหญ่
ทำงานที่กรุงเทพ ขายกล้องที่บริษัท แคนนอน เป็นเสมียนทำคลังสินค้า
และเรียนป ตรี ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ด้านการเงิน สนใจเรื่องการเงิน
เรียนอยู่ 2 ปี ก็แต่งงาน และ ย้ายตามแฟนที่เรียนต่อที่US คุณโจทำงานทุกอย่างอีก 1 ปีกว่าๆที่US
เหตุผลที่ทำงานเมืองนอก คือต้องการเก็บเงินมาซื้อหุ้น
ช่วงเวลาในการซื้อหุ้นมา 20 ปี และ ลงทุนแนววีไอมา 18 ปี หลัง ดร นิเวศน์ 2-3 ปี
ช่วงนั้น แฟนไปทำงาน คุณโจก็ป้อนข้าวลูก และ ดูหุ้นไปด้วย ตอนนี้ยังอยู่บ้านของหลวง
เคยตัดสินใจผิดซื้อรถยนต์ แต่ถ้าไม่ซื้อและเอาไปลงทุนแทน จะได้รถแลมโบกีนีในปัจจุบันได้หลายคัน
เตือนคนที่จบใหม่ ปีแรกการตัดสินใจซื้อมีผลต่อการเงินในอนาคต หรือ เอาเงินไปเที่ยวเพราะกลัวแก่ตัวไม่มีแรงเดินทาง
เงินทบต้นถ้าเก็บตั้งแต่ทำงานใหม่ๆ จะได้ผลตอบแทนมากมาย
นายก ชาย เกิดกรุงเทพ เรียนที่โรงเรียนเซนต์คาเบรียล
เคยถามคุณพ่อว่าทำไมตั้งชื่อ ชาย ครั้งแรกให้พระเป็นคนตั้ง ชื่อสิทธิเดช
แต่คุณพ่อไม่ชอบ เลยตั้งง่ายๆว่า ชาย
เรียนจบม 6 ต่อ วิศวเกษตร และ สมัครงานขายเครื่องปรับอากาศยี่ห้อนึง
เป็น Sales Engineer เรียนรู้เกี่ยวกับธุรกิจมากมาย
ปกติบริษัทดูแล dealer ทั่วประเทศ
เจ้าของdealerสอนคุณชายว่า ขายของยังไม่เก่ง ต้องเก็บเงินได้ด้วย
ดังนั้นหุ้นที่สร้างกำไรคือหุ้นค้าปลีก
กิจการที่ไม่เบี้ยว เก็บเงินได้ ก็คือธุรกิจค้าปลีก
สมัยนั้น คนจบวิศวไม่ชอบขายของ จริงๆรายได้ดีกว่างานfieldอื่น
เริ่มติดใจงานขาย และ ยังทำงานอีกหลายแผนก
ช่วงก่อนปี 40 เก็บเงินไปเรียนต่อโท ที่ต่างประเทศ
ตอนนั้นได้ซื้อหุ้นธนาคารรวงข้าว หลังวิกฤตต้มยำกุ้ง
คุณบัญฑูร ทำ re-engineering เลยซื้อหุ้นก่อนแก้ปัญหาเพิ่มทุน
เหมือนได้ทุนจากธนาคารรวงข้าว ไปเรียนต่อที่เมืองนอก
ซื้อหุ้นธนาคารรวงข้าว ตอนราคาต่ำกว่า 20 บาท
ดร นิเวศน์ เคยทำงานที่ธนาคารของคุณอุเทน ซึ่งอยู่ตรงสวนมะลิ (ซึ่งไปควบกับธนาคาร
ที่ดร นิเวศน์ไปทำงานหลังสุดก่อนเกษียณหลังช่วงต้มยำกุ้ง)
ดร บอกว่า ตัวดรเอง สามารถออกมาก่อนวิกฤตได้
ตอนเรียนค่าเงิน 23บาท/$ เรียนจบกลับมาทำบริษัทเดิม
จุดเปลี่ยนคือ เรียนโทต่างประเทศที่เมลเบิร์น ออสเตรเลีย
ได้ศึกษาcase study มาก และหลังกลับมาเมืองไทย
ก็อ่านหนังสือมากมาย รวมถึง หนังสือ ตีแตกด้วย
พอกลับมาย้ายไปหลายแผนก ได้ความรู้เกี่ยวกับธุรกิจ เลยลงทุนแบบวีไอในปี2002
เงิน 3 แสนบาท ลงทุนมาถึงตอนนี้
ฝากนักลงทุนFull time ว่าการทำงานบริษัทก็มีประโยชน์ มองภาพออกว่าบริษัทเป็นอย่างไร
เช่น การตั้งยอดขายโต 20%ยากมาก ดังนั้น เราเป็นนักลงทุน การโต50% ค่อนข้างยาก
ดังนั้นหลังจบมาให้ไปทำงานก่อน จะได้ประสบการณ์ในการวิเคราะห์บริษัท
อจ เสน่ห์ เสริม ให้ลูกหลานมาดูรายการ จะได้รู้ว่าควรทำงานก่อนการลงทุน
อจ เสน่ห์บอกว่า หลังจากขาดทุนจากหุ้น ไม่ได้คิดเรื่องเงินอย่างเดียว จัดสัมมนาฟรีบ้าง
อจ ไพบูลย์ เสริมว่า ประเทศที่พัฒนาไม่ค่อยเน้นเรื่องการลงทุน
จะเน้นการสร้างผลิตภัณฑ์ ผลผลิตมากกว่า
การเน้นลงทุน จะไม่ได้ผลผลิต ถ้าคนส่วนใหญ่คิด ประเทศนี้น่าเป็นห่วงมาก
ดร นิเวศน์ เป็นตัวอย่าง ในเรื่องไม่ประสบความสำเร็จในการลงทุนสมัยก่อน เป็นข้อเตือนใจให้กับนักลงทุน
ดร บอกว่า ประวัติการลงทุนต่อจากการทำงาน เป็นการหาทางออกของชีวิต
ตอนวิกฤต ถูกออกจากงาน ต้องหางานใหม่ทำ แต่สถาบันการเงินช่วงนั้นปลดคนออกมาก
โชคชะตาบีบเรา เงินก้อนสุดท้ายอาจไม่พอ ลูกยังเล็ก เคยคิดซื้อคอนโดมาให้คนเช่า
เมื่อก่อนแค่ 10 กว่าล้านบาท สำหรับห้อง 50 ห้อง แต่ต้องเลือกว่าให้ชีวิตเหมือนเดิม
เช่น เดินทางต่างประเทศปีละครั้ง ลูกเรียน โรงเรียนinterได้ ใช้ชีวิตเหมือนเดิม
ราคาทรัพย์สินลงหมด รวมทั้ง apartment
เรามองว่าซื้อ property ดูแลยาก ไม่กระจายความเสี่ยง
แต่หุ้น Dividend yield 10% กำไรดี รายได้ดี เราก็ไปซื้อ ให้เป็น asset เลี้ยงเรา
ปันผลเกือบล้านบาทต่อปี ซื้อแล้วอยู่เฉย เป็นจุดเริ่มในการลงทุน
คิดว่าตัวเองโชคดีด้วยนอกจากฝีมือในการลงทุน
ทฤษฏีตีแตก มาจาก การไปเที่ยว และ เล่นตีแตกในช่วงนั้น
มีครั้งนึงถือไพ่ในมือ A 4ตัว มันยากมาก ถ้าเราได้ มีโอกาสแพ้น้อยมาก
วันที่เขียนหนังสือตีแตก มีข้อมูลแค่ปีกว่าเอง หนังสือโตมาพร้อมกับการลงทุน
เขียนหนังสือก่อนประสบความสำเร็จ
โชคดีมหาศาลเพราะว่าถ้าใครปีนี้เริ่มลงทุนในหุ้น จะกำไรเหมือนสมัยก่อนยากขึ้นเยอะ
ศึกษามาทั่วโลก ก็ไม่เจอรวยกันแบบง่ายๆ อยากเตือนคนที่ลงทุนในช่วงนี้
ผมพยายามมองการลงทุนโดยมองล่วงหน้า 5-10 ปี เป็นอย่างไร
สมัยก่อน ก็มองล่วงหน้าเหมือนกัน และ ตัดสินใจลงทุน
ปกติคิดและทำไปเรื่อยๆ มีการขาดทุน แต่โชคดีถูกรางวัลที่1ได้
การไปลงทุนที่เวียดนาม คิดแบบเดียวกันว่า อีก 10ปีที่นั่นจะเป็นอย่างไร พยายามองล่วงหน้า
และซื้อกระจายไป หวังว่าอีก 10 ปีเจอกัน ไม่ได้คิดอะไรมาก
(ดังนั้นจุดที่น่าเอาอย่างดร คือ ต้องคิดอะไรล่วงหน้าตลอด และ วางแผนทำทันที)
เมื่อก่อน ดร นิเวศน์ถือเป็นคนกลุ่มแรกที่ไปเรียน MBA โดย อจ ไพบูลย์ เป็นคนชักชวน
ใช้เวลาตัดสินใจครู่เดียว มีอะไรมาจุดประกายทำให้ความคิดแบบสร้างศักยภาพ ให้รู้จักโลกมากขึ้น
ตอนนั้น ทำงานโรงงานน้ำตาล มองอนาคตไม่ออก เมื่ออจ ไพบูลย์ชวนเลยตัดสินใจไปเรียนต่อ
2.กลยุทธ์การลงทุน
คุณธันวา
ปกติชอบวางแผนในชีวิต ออกแบบชีวิตเป็น 3 ช่วง
คือช่วงเรียน ช่วงทำงาน และ ช่วงใช้ชีวิตอย่างที่ชอบ
หลังจากทำงานพอแล้ว ก็เกษียณออกมาทำสิ่งที่ตัวเองชอบ
แต่อยากแนะนำ อยากให้คนรุ่นใหม่ทำงานก่อน เพื่อพัฒนาประเทศ
ตอนนี้คุณธันวาอยากใช้เวลากับการลงทุนน้อยลง และ มีส่วนในการช่วยเหลือหน่วยงานราชการมากกว่า
3ปีที่ผ่านมาไม่ได้ปรับportเลย ผลตอบแทนไม่สูง แต่ก็ไม่เพิ่มความเสี่ยงของตัวเอง
ปีที่แล้ว หุ้นตัวที่อยู่ในport 80%ขึ้นมามาก ทำให้ผลตอบแทน 3 ปี ยอมรับได้
หุ้นที่เลือก คือ หุ้นแบบ Super stock เป็นหุ้นที่ชนะในการแข่งขัน มี EOS เป็นผู้นำ มีส่วนแบ่งตลาดสูงสุด
คาดการณ์ผลประกอบการได้ สามารถเยี่ยมชมกิจการได้ง่าย
หุ้นที่ไม่เข้าใจ ก็ตัดออกไปไม่ลงทุน
รวมถึง หุ้นในเวียดนาม ก็ถามนักลงทุนดู ปรากฏว่า หุ้นมีตำหนิจึงไม่ได้ลงทุน เพราะไม่เข้าเงื่อนไข
Super stock
ถือเป็นนักลงทุนที่ปล่อยวางระดับนึง กระจายลงทุนหลายตัว ลงทุนอย่างสบายใจ ทำงานอื่นที่สนใจได้
อจ เสน่ห์ บอกว่า สามารถดูจากชื่อพื้นที่ของเวียดนาม ก็รู้ได้ เช่น ทางใต้ ฮานอย ก็สนุก ฮา
ทางเหนือ โฮจิมิน ก็โฮ เศร้า ส่วนตรงกลาง ดานัง ก็มีความสุข ดา ดา ดา
คุณโจ ลูกอีสาน
จบมาเกรดไม่เกิน 3 ไม่ฉลาดแน่นอน แต่โชคดีว่ารู้จักตัวเองค่อนข้างเร็ว
ตอน ม 4 รู้ว่าชอบการลงทุน ก็เตรียมตัวตั้งแต่ตอนนั้น
เจอหลักการการลงทุนเน้นคุณค่า ของ ดร นิเวศน์ ทำให้ประสบความสำเร็จ
ถ้าไม่เจอ ดร อาจไม่ประสบความสำเร็จ
สไตด์แตกต่างกับพี่ธันวา ผมสนว่า หุ้นดี ไม่ว่าอยู่ในกลุ่มไหน
หุ้นที่ดีมีองค์ประกอบแบบไหน
หุ้นราคาถูก ลงต่อน้อยมาก หุ้นราคาแพง เวลาหุ้นลงจะดิ่งมหาศาล
วิธีการดูว่าหุ้นถูกหรือแพง ดูจาก PE , PB ratio สำหรับหุ้นราคาถูก จะมีค่าน้อย
รังเกียจหุ้นราคาแพง
PE ของหุ้นในพอร์ต ตั้งแต่ PE ตั้งแต่ 5-30 หุ้นแพงสุดเป็น Growth stock
ไม่เคยไล่หุ้นร้อนแรง แต่เก็บหุ้นที่ไม่มีใครสนใจ ซื้อทุกวัน วันละ แสน หรือ 3-4 แสนหุ้น
บางทีเก็บเป็นเดือน ตอนนี้ถือหุ้นน้อยลงจาก 60 เป็น 40กว่าตัว
ปีแรกที่ลงทุนมีเงินทุน 8 แสนบาท ซื้อหุ้นแค่2ตัว หลังจากนั้นไม่เคยถือหุ้นแค่ 2 ตัวเลย
การเข้าใจในบริษัทที่ลงทุน แม้แต่ผู้บริหารก็ยังไม่รู้เรื่องบริษัทหมด นับประสาอะไรกับเรา
ไม่ต้องการรวยเร็วเหมือนดร นิเวศน์ ขอผลตอบแทนสม่ำเสมอดีกว่า
การต้องการรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ทำให้ขาดทุนได้
การไปเรื่อยๆ ความเสี่ยงต่ำ จะดีกว่า
คุณโจอยู่ต่างจังหวัด แต่ลงทุนในหุ้นจำนวนเยอะตัว
คุณโจ รู้จักหุ้นมากมาย โดยอ่าน 56-1
อจ ไพบูลย์ ให้ผู้สรุปถามคุณโจว่ารู้ข้อมูลทุกบริษัทหรือไม่
ผมเลยถามคุณโจว่ารู้จักบริษัท MINT หรือไม่
คุณโจบอกว่า หุ้น MINT สมัยก่อนเป็น RGR ตอนหลัง merge กับ Minor international
จนเป็น MINT คุณโจประกาศ ไม่ไป company visit บริษัททุกที่
คุณเวปเคยบอกว่า คนรวยแค่หยิบมือ แต่ไปทำอะไรเทาๆ มันหมิ่นเหม่
อาจโดยกล่าวหา อยากให้ประเทศเราเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว
ปัญหา ประเทศที่พัฒนามีน้อย ดังนั้นมองเรื่องการลงทุน
อยากแก้ไขปัญหาในเรื่องที่ไม่แน่ใจ ดังนั้นเลยประกาศว่าไม่ไป company visit
เคยไป cv 5 บริษัท พบว่า 2 บริษัท ให้ข้อมูลที่ยังไม่น่าประกาศ ดูไม่เหมาะสม
คุณโจเลยตัดเรื่องcompany visit เพื่อไม่ให้โดนครหา
แต่มีวิธีหาข้อมูล คือ ข้อมูล Public เช่น Opp day ,
ประกาศในสิ่งที่ทำใจยาก เพราะคนอื่นได้ 100%
แต่เราก็พอใจในผลตอบแทนที่ผ่านมา
การไป CV ขึ้นกับผู้บริหาร ถ้าผู้บริหารให้ข้อมูลที่ประกาศแล้ว ผมยอมรับได้
แต่ถ้าได้ยินว่ามีข้อมูลที่ยังไม่ประกาศ เราจะทนซื้อได้ไหม เลยประกาศไม่ไป CV
อจ ไพบูลย์ บอกว่า กฎหมายใหม่ ห้ามให้ข้อมูลที่ยังไม่เปิดเผย
คุณโจ พูดต่อ เรารู้ตัวเองตอน อายุ 14 ปีตอนฟังน้าบอกว่าลาออกมาลงทุน
แต่อจ เสน่ห์ รู้ตัวตอน 40 ว่าเป็นเบาหวาน
คุณชาย บอกว่า คุณแม่บอกให้ดูรายการ Money talk ซึ่งออกที่ช่อง 11
คุณชายใช้ทั้ง Top down และ Bottom up ซึ่งเหมาะกับตัวเอง แต่อาจไม่เหมาะกับบางคน
สิ่งที่อยากแชร์ คือ การบริหารความเสี่ยง ค่อนข้างมาก
ไม่สนใจว่าชนะหรือแพ้ตลาด
ถ้าต้องการชนะตลาดมาก อาจเพิ่มความเสี่ยง โดยกำไรในระยะสั้น
จำกัดในหุ้นที่เราเข้าใจในระยะยาว
นักลงทุนตอนนี้สนใจกำไรในระยะสั้น
ยกตัวอย่าง สายการบินแพนแอม ก่อตั้งในปี 1927 เป็นสายการบินใหญ่สุดในโลก
รับผู้โดยสาร 8 ล้านคน ต่อปี แต่ ล้มละลาย ปี 198x
บริษัท ตะขาบห้าตัว ผงวิเศษตราร่มชูชีพ ว่านชักมดลูก หมอเส็ง ยังอยู่ได้ในระยะยาว
ยาดม พระสังค์ชนช้าง อยู่มา 60 ปี
บางทีการลงทุนในหุ้น ไม่ต้องกำไรทุกปี แต่อยู่ให้รอด
การลงทุนสมัยก่อน สนพ หุ้นไทย สัมภาษณ์นักลงทุนดังๆ ตอนนี้หายไปแล้ว
โนเกีย โดย Microsoft ซื้อไป เพราะ โดน iphone, Samsung แย่งตลาดไป
บางทีไม่ต้องเน้นกำไรให้รวดเร็ว ต้องอยู่ให้ได้ หมั่นหาความรู้ตลอด
หลายคนportใหญ่กว่า และลงทุนนานกว่า ตอนนี้ไม่อยู่แล้ว
สิ่งสำคัญ อยู่ให้รอด และ หมั่นความรู้สม่ำเสมอ
ประคองตัวให้รอด บางบริษัทกำไรเล็กน้อย แต่อยู่ได้ในระยะยาว เพื่อรอสักวันโอกาสเป็นของเรา
ดร นิเวศน์
กลยุทธ์การลงทุน มองไปข้างหน้า ผมไม่ไป Company visit ผู้บริหารคิดคนละทางกับเรา
เรามองบริษัท สุดท้ายเป็นอย่างไร ผมรู้ดีกว่าผู้บริหารในระยะยาว ส่วนระยะสั้นผู้บริหารอาจตอบถูก
หลายครั้งผู้บริหารขายหุ้น แต่สุดท้ายเขาผิด เพราะดูแค่ระยะสั้น
การมองระยะยาวกับระยะสั้นไม่เหมือนกัน
ถ้าผมเห็นบริษัทที่คาดการณ์ในระยะยาวได้ ราคาหุ้นถูก ก็น่าสนใจ นี่คือสิ่งที่เรารู้
แต่ที่เวียดนาม ผมไม่รู้ว่าหุ้นแต่ละตัวทำอะไร ก็เลยซื้อเป็น ร้อยตัว
แต่มั่นใจว่า อีก 10 ปีเวียดนามเป็นอย่างไร ซื้อกวาดเป็น 100 คัว เศรษฐกิจเติบโต
บริษัท โตปีละ 10% ก็พอใจแล้ว ถึงแม้บางบริษัทลดลงก็ยังถือ
ต้องทำให้น้อย แต่ทำถูก
ชีวิตผ่านมาผิดตลอด แต่ภรรยาเราถูกตลอดอยู่กับเราในตอนที่เรายังไม่มีอะไร
จริงๆเขาเก่งกว่าเราเยอะ ไม่ต้องทำอะไร
อจ เสน่ห์ บอกว่า 3 นายก 1 นกรู้ กับ 1 ผู้เฒ่า
อจ ไพบูลย์สรุปแนวทางการลงทุนของนายกแต่ละคนดังนี้
กลยุทธ์ในการลงทุนของ อจ นิเวศน์ กับ คุณธันวา ใกล้เคียงกัน
คุณโจ บอกว่าต้องหาความรู้เรื่องหุ้นตลอดเวลา
คุณชายลงทุนแบบแนวธรรมะ
อจ ไพบูลย์ ลงทุนแนวผสมผสาน
การลงทุนต้องเป็นโลกธรรม8
มีทรัพย์เสื่อมทรัพย์
มียศเสื่อมยศ
มีสรรเสริญมีนินทา
มีสุขมีทุกข์
ข้อแรกตรงกับหุ้น ดังนั้นต้องรู้จักกระจายการลงทุนในหุ้น
มันช่วยลดความร้อนแรงของจิตใจด้วย เหมาะสำหรับผู้อาวุโส
มีทรัพย์เสื่อมทรัพย์ หุ้นบางตัวในช่วง 3 วันราคาหายไป 70% แล้ว
มียศเสื่อมยศได้ อาจารย์มีตำแหน่งแต่เสื่อมได้
มีสรรเสริญ แต่มีคนนินทา เป็นเรื่องปกติของโลก
ไม่ว่าเราประสบความสำเร็จอย่างไร เมื่อเราตายก็หายหมด
เกิดใหม่ ก็เริ่มสร้างใหม่เลย
อจเสน่ห์ เสริมว่า การลงทุนต้องรู้เท่าทันตัวเอง
ต้องคุมตัวเองได้ แต่เราต้องรู้ตัวเองตลอดเวลา
สุดท้ายขอขอบคุณ วิทยากรทุกท่าน อจ เสน่ห์ , อจ ไพบูลย์ ดร นิเวศน์ น้องแป๋ม น้องเมย์ คุณ ตรีนุช และ ทีมงาน Money talk ทุกท่าน ที่ทำให้เราได้มีโอกาสเรียนรู้การลงทุนผ่านงานสัมมนา Money talk
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 26
หลักการลงทุนของคุณ โจ ลูกอีสาน
จากที่ได้ฟังรุมหลังงาน Money talk กับคุณโจ แล้วค่อยเรียบเรียงคำพูดของคุณโจ
ว่าคุณโจ มีหลักคิดที่ใช้ในการลงทุนอย่างไรมาแชร์ให้พี่ๆน้องๆและเพื่อนได้รู้ครับ
สามารถเรียนรู้และไปประยุกต์ใช้กับตัวเองได้ ผมจะแทรกในส่วนที่เพิ่มเติมอยู่ในวงเล็บครับ
1. ต้องอยู่คนเดียวเวลาลงทุน แบบเงียบๆเหงาๆ แบบนี้แหละจะได้ตังค์
2. ใครอยู่ในกลุ่มLineหุ้นต่างๆ ให้ออกจากกลุ่มให้หมด เพราะปกติกลุ่มLine จะชวนเราเชื่อข่าวลือ
และให้ซื้อตาม
3. อ่านรายงานประจำปี , 56-1 และ ตามข่าวในตลาดหลักทรัพย์ รวมถึง อ่านนิตยสารทางการเงินต่างๆ
(ที่ผมได้ยินก็มี Money&Wealth , Forb ภาษาไทย เป็นต้น)
4. เวลาหุ้นลง ต้องดูว่าเป็นหุ้นที่ดีหรือไม่ แล้วค่อยตัดสินใจซื้อ (ถ้าเป็นหุ้นที่ไม่ดี หรือ หุ้นปั่น ก็ไม่ต้องเข้าไปยุ่ง
ถ้าหุ้นขึ้นโดยไม่มีเหตุผล เวลาลงจะลงแบบมีเหตุผล)
5. นักลงทุนจะดูเฉพาะBottom line หมายถึงกำไรสุทธิ ถ้ากระแสเงินสดไม่แย่มากๆ
เช่น บริษัทที่เป็น Distributor ถึงแม้กระแสเงินสดไม่ดี เพราะต้องให้เครดิตร้านค้า แต่ PE ไม่แพง และ กำไรเติบโตตลอด ก็น่าสนใจ
6. หุ้นดีราคาถูก ดูจาก PE ไม่เกิน 12 เท่า น่าลงทุน
ยกเว้น หุ้นวัฐจักร หรือ commodity ,PE ถูก หมายถึง ราคาถึงจุดพีคไม่ควรเข้าไปลงทุน
7. ถ้ามีเวลาแนะนำให้ไปฟัง Opp day ที่ตลาดหลักทรัพย์ และ หาโอกาสไปประชุมประจำปีของบริษัทที่เราลงทุน
เพราะเราโอกาสได้เห็นหน้าตาของผู้บริหารของบริษัท ดูบ่อยๆจะมองออกว่าเขามีนิสัยอย่างไร
( ถ้าใครทำงาน ก็อาจขอลาสัก1วันประชุมได้ 2 บริษัท เช้า- บ่าย )
8. ระมัดระวังบริษัทที่ขาดทุน แล้วบอกว่าจะ turnaround เพราะโอกาสที่สำเร็จมีน้อย
หวังว่าคงมีประโยชน์กับเพื่อนๆนักลงทุนนะครับ
จากที่ได้ฟังรุมหลังงาน Money talk กับคุณโจ แล้วค่อยเรียบเรียงคำพูดของคุณโจ
ว่าคุณโจ มีหลักคิดที่ใช้ในการลงทุนอย่างไรมาแชร์ให้พี่ๆน้องๆและเพื่อนได้รู้ครับ
สามารถเรียนรู้และไปประยุกต์ใช้กับตัวเองได้ ผมจะแทรกในส่วนที่เพิ่มเติมอยู่ในวงเล็บครับ
1. ต้องอยู่คนเดียวเวลาลงทุน แบบเงียบๆเหงาๆ แบบนี้แหละจะได้ตังค์
2. ใครอยู่ในกลุ่มLineหุ้นต่างๆ ให้ออกจากกลุ่มให้หมด เพราะปกติกลุ่มLine จะชวนเราเชื่อข่าวลือ
และให้ซื้อตาม
3. อ่านรายงานประจำปี , 56-1 และ ตามข่าวในตลาดหลักทรัพย์ รวมถึง อ่านนิตยสารทางการเงินต่างๆ
(ที่ผมได้ยินก็มี Money&Wealth , Forb ภาษาไทย เป็นต้น)
4. เวลาหุ้นลง ต้องดูว่าเป็นหุ้นที่ดีหรือไม่ แล้วค่อยตัดสินใจซื้อ (ถ้าเป็นหุ้นที่ไม่ดี หรือ หุ้นปั่น ก็ไม่ต้องเข้าไปยุ่ง
ถ้าหุ้นขึ้นโดยไม่มีเหตุผล เวลาลงจะลงแบบมีเหตุผล)
5. นักลงทุนจะดูเฉพาะBottom line หมายถึงกำไรสุทธิ ถ้ากระแสเงินสดไม่แย่มากๆ
เช่น บริษัทที่เป็น Distributor ถึงแม้กระแสเงินสดไม่ดี เพราะต้องให้เครดิตร้านค้า แต่ PE ไม่แพง และ กำไรเติบโตตลอด ก็น่าสนใจ
6. หุ้นดีราคาถูก ดูจาก PE ไม่เกิน 12 เท่า น่าลงทุน
ยกเว้น หุ้นวัฐจักร หรือ commodity ,PE ถูก หมายถึง ราคาถึงจุดพีคไม่ควรเข้าไปลงทุน
7. ถ้ามีเวลาแนะนำให้ไปฟัง Opp day ที่ตลาดหลักทรัพย์ และ หาโอกาสไปประชุมประจำปีของบริษัทที่เราลงทุน
เพราะเราโอกาสได้เห็นหน้าตาของผู้บริหารของบริษัท ดูบ่อยๆจะมองออกว่าเขามีนิสัยอย่างไร
( ถ้าใครทำงาน ก็อาจขอลาสัก1วันประชุมได้ 2 บริษัท เช้า- บ่าย )
8. ระมัดระวังบริษัทที่ขาดทุน แล้วบอกว่าจะ turnaround เพราะโอกาสที่สำเร็จมีน้อย
หวังว่าคงมีประโยชน์กับเพื่อนๆนักลงทุนนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 27
หลักการลงทุนในหุ้นหรือกองทุนรวมสำหรับผู้ที่ทำงานประจำ
สำหรับผู้ที่ไม่ได้ลงทุนแบบเต็มตัว ไม่มีเวลามากในการลงทุน
ขอแนะนำการลงทุนแบบ DCA ( Dollar Cost Average )
หมายถึงการลงทุนแบบสม่ำเสมอด้วยจำนวนเงินที่เท่ากันในเวลาทุกเดือนหรือทุกไตรมาส
ข้อดีของการลงทุนแบบนี้
สามารถใช้ลงทุนในหุ้นหรือกองทุนรวมหุ้นได้
ตอนที่หุ้นหรือกองทุนช่วงราคาแพง ก็จะได้จำนวนหุ้นหรือจำนวนหน่วยลงทุนน้อย แต่ถ้าซื้อในช่วงที่ราคาหุ้นตก สามารถซื้อได้ในจำนวนหุ้นหรือจำนวนหน่วยลงทุนที่มากขึ้น จะไม่จับจังหวะตลาด ซึ่งถาลงทุนแบบจับจังหวะตลาดจะไม่ค่อยกล้าซื้อตอนช่วงตลาดหุ้นไม่ดี ซึ่งตรงกับหลักการลงทุนเน้นคุณค่า ที่ซื้อหุ้นที่ดีในราคาที่สมเหตุผล. ถ้ามีแต้มต่อหรือซื้อในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่เหมาะสม ยิ่งดีใหญ่
ดังนั้นจึงขอสรุปหลักในการลงทุนแบบนี้
หนึ่ง เลือกลงทุนสำหรับกลุ่มที่มีอนาคต และสามารถอยู่ได้ในอีกสิบหรือยี่สิบปีข้างหน้า เช่น โรงพยาบาล ค้าปลีก
แต่ถ้าเป็นกองทุนรวม ให้เลือกลงทุนในกองทุนดัชนี เพราะตลาดหุ้นไทยมีขนาดเล็กมาก ดังนั้นหุ้นที่กองทุนรวมเลือกทั้งกองแบบ active fund & passive fund
จะคล้ายกันมาก จึงแนะนำให้เลือกลงทุนกองทุนรวมดัชนีเพราะค่าธรรมเนียมในการบริหารถูกกว่า
สอง เลือกบริษัทที่มีกำไรอย่างสม่ำเสมอเป็นระยะเวลายาว. อย่ามองแค่กำไรรายไตรมาส ควรดูกำไรที่โตอย่างสม่ำเสมอ
สำหรับกองทุนรวม บางครั้ง กองทุนรวมดัชนีเหมือนกันแต่ผลประกอบการของแต่ละบลจไม่เท่ากัน ต้องดูผลประกอบการของที่ไหนดีอย่างสม่ำเสมอ
สาม เลือกผู้บริหารที่เก่ง ทั้งในหุ้นหรือผู้จัดการกองทุนรวมที่เก่ง และมีธรรมมาภิบาล
สี่ การลงทุนแบบนี้เหมาะสำหรับลงทุนในช่วงตลาดไซด์เวย์ หรือ ช่วงตลาดขาลง แต่ถ้ามั่นใจว่าตลาดเป็นขาขึ้นแน่นอน
จะมีข้อเสียคือ ผลตอบแทนจะสู้การลงทุนแบบ Lumpsum หรือ ลงทุนครั้งเดียวไม่ได้.
ขอให้ประสบความสำเร็จในการลงทุนนะครับ
สำหรับผู้ที่ไม่ได้ลงทุนแบบเต็มตัว ไม่มีเวลามากในการลงทุน
ขอแนะนำการลงทุนแบบ DCA ( Dollar Cost Average )
หมายถึงการลงทุนแบบสม่ำเสมอด้วยจำนวนเงินที่เท่ากันในเวลาทุกเดือนหรือทุกไตรมาส
ข้อดีของการลงทุนแบบนี้
สามารถใช้ลงทุนในหุ้นหรือกองทุนรวมหุ้นได้
ตอนที่หุ้นหรือกองทุนช่วงราคาแพง ก็จะได้จำนวนหุ้นหรือจำนวนหน่วยลงทุนน้อย แต่ถ้าซื้อในช่วงที่ราคาหุ้นตก สามารถซื้อได้ในจำนวนหุ้นหรือจำนวนหน่วยลงทุนที่มากขึ้น จะไม่จับจังหวะตลาด ซึ่งถาลงทุนแบบจับจังหวะตลาดจะไม่ค่อยกล้าซื้อตอนช่วงตลาดหุ้นไม่ดี ซึ่งตรงกับหลักการลงทุนเน้นคุณค่า ที่ซื้อหุ้นที่ดีในราคาที่สมเหตุผล. ถ้ามีแต้มต่อหรือซื้อในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่เหมาะสม ยิ่งดีใหญ่
ดังนั้นจึงขอสรุปหลักในการลงทุนแบบนี้
หนึ่ง เลือกลงทุนสำหรับกลุ่มที่มีอนาคต และสามารถอยู่ได้ในอีกสิบหรือยี่สิบปีข้างหน้า เช่น โรงพยาบาล ค้าปลีก
แต่ถ้าเป็นกองทุนรวม ให้เลือกลงทุนในกองทุนดัชนี เพราะตลาดหุ้นไทยมีขนาดเล็กมาก ดังนั้นหุ้นที่กองทุนรวมเลือกทั้งกองแบบ active fund & passive fund
จะคล้ายกันมาก จึงแนะนำให้เลือกลงทุนกองทุนรวมดัชนีเพราะค่าธรรมเนียมในการบริหารถูกกว่า
สอง เลือกบริษัทที่มีกำไรอย่างสม่ำเสมอเป็นระยะเวลายาว. อย่ามองแค่กำไรรายไตรมาส ควรดูกำไรที่โตอย่างสม่ำเสมอ
สำหรับกองทุนรวม บางครั้ง กองทุนรวมดัชนีเหมือนกันแต่ผลประกอบการของแต่ละบลจไม่เท่ากัน ต้องดูผลประกอบการของที่ไหนดีอย่างสม่ำเสมอ
สาม เลือกผู้บริหารที่เก่ง ทั้งในหุ้นหรือผู้จัดการกองทุนรวมที่เก่ง และมีธรรมมาภิบาล
สี่ การลงทุนแบบนี้เหมาะสำหรับลงทุนในช่วงตลาดไซด์เวย์ หรือ ช่วงตลาดขาลง แต่ถ้ามั่นใจว่าตลาดเป็นขาขึ้นแน่นอน
จะมีข้อเสียคือ ผลตอบแทนจะสู้การลงทุนแบบ Lumpsum หรือ ลงทุนครั้งเดียวไม่ได้.
ขอให้ประสบความสำเร็จในการลงทุนนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 28
สัมมนา สกัดงบการเงินเด่น เฟ้นหาหุ้นดี โดย ผศ ดร ณัฐชานนท์
ภาควิชาการบัญชี คณะพาณิชย์ศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์
งบการเงินของปี2559 เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้น อจ ณัฐชานนท์
มาปูพื้นงบการเงิน และ พูดถึงส่วนที่เพิ่มในงบการเงินปีที่ผ่านมาให้เราฟัง
งบดุล จะบอกทรัพย์สิน หนี้สิน และ ส่วนผู้ถือหุ้นของบริษัท
งบกำไรขาดทุน แสดงถึง บริษัทค้าขายมีกำไรเท่าไหร่
งบเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น ถ้าทรัพย์สินเพิ่มขึ้น เรามาดูที่งบนี้ว่ามีการเพิ่มทุนหรือเปล่าในช่วงที่ผ่านมา
งบกระแสเงินสด จะบอกถึงสุขภาพของบริษัทว่าดีหรือไม่
กำไรที่โชว์ในงบกำไรขาดทุน อาจไม่ใช่เงินสด
การให้ของ แสดงว่าขายแล้วแต่จะได้เงินสดหรือไม่ดูจากหนี้ ถ้าเขาเป็นลูกหนี้
แสดงว่ากำไรไม่ใช่เงินสด จริงๆ แล้วขายได้แต่ไม่ได้เงิน
งบกระแสเงินสด กระทบเงินต้นปีกับปลายปี ที่เพิ่มหรือลดลงมาจากไหน
เราอยากลงทุนในบริษัทที่มีกระแสเงินสดเข้าออกสม่ำเสมอ
กระบวนการของการทำธุรกิจ เช่นการเปิดร้านกาแฟ
ขั้นตอนแรก คือการหาสถานที่
ต่อมาคือการหาแหล่งทุนคือ มี2 แหล่ง คือ เงินตัวเอง และ เงินกู้
ซื้อของเข้าร้าน เช่าที่ จ้างพนักงานมาดำเนินงาน
หลักของงบกระแสเงินสด คือ จัดหาเงิน ลงทุน แล้วได้เงินจากการทำงานเท่าไหร่
ถือเป็นสามส่วนที่สำคัญของงบกระแสเงินสด
ถ้ารวยแสดงว่ามีทรัพย์สินเยอะ
งบกำไรขาดทุน บอกถึงความสำเร็จของการทำธุรกิจ
งบกระแสเงินสด จะบอกว่าบริษัทสุขภาพการเงินเป็นอย่างไร
เปรียบเทียบกับคนรวยแต่ไม่มีเงิน เราไม่อยากคบ
ขับเบนซ์ แต่จ่ายประกันชั้น3 ต้องคิดแล้วว่ารวยจริงหรือเปล่า
หมายเหตุประกอบงบ เป็นสิ่งสำคัญต้องดู
เช่น ทำสัญญาซื้อเครื่องจักร แต่ยังไม่ซื้อ แต่เตรียมใจซื้อ ในอีก 6 เดือน ลงบัญชีไม่ได้
แต่ต้องลงในหมายเหตุประกอบงบ เพราะเป็นภาระผูกพันที่ต้องชำระในอนาคต
รายงานผู้สอบบัญชี
ถ้าเป็นการตรวจสอบในช่วงปลายปี จะเข้มข้นมากกว่าการสอบทานในงบรายไตรมาส
ทำให้เวลาในการปิดงบปี ใช้เวลา 2 เดือน ซึ่งเป็นการตรวจสอบที่ละเอียดขึ้น
การแสดงความเห็นของผู้ตรวจสอบบัญชี
รายงานผู้ตรวจสอบบัญชี จะหยิบเอาวรรคความเห็นขึ้นมาก่อน ในงบการเงินเริ่มตั้งแต่ปี2559
งบรวมต่างจากงบเฉพาะ ซึ่งรวมเอางบย่อยมารวมกัน งบรวมจะใหญ่กว่างบเฉพาะ
ซึ่ง แบบแรก ไม่มีเงื่อนไข ส่วนแบบต่อมาจะมีเงื่อนไขแบบต่างๆ
ตัวอย่าง บริษัท CPALL เวลาดูจะดูงบรวม เพราะจะไปดูบริษัทย่อยที่ไปลงทุนด้วย
หรือ บริษัท GMM ก็ไปดูบริษัทลูก เช่น A time media , บริษัท เอ๊กแซก
ผู้สอบตรวจสอบทั้ง4งบ และ ลงความคิดเห็นว่าถูกต้องตามมาตรฐาน
แต่ถูกในสาระสำคัญเท่านั้น ตัวเลขที่สำคัญเชื่อถือได้
และเราต้องอ่านเรื่องสำคัญในการตรวจสอบ ผู้สอบจะบอกว่า
มีอะไรบ้างที่สำคัญต่อกิจการและตรวจอย่างไร
บริษัท Cpall จุดสำคัญของธุรกิจคือเรื่องรายได้ และช่วงที่ซื้อmakrow มีเรื่องค่าความนิยม
ที่จ่ายแพงไปแสนกว่าล้าน ณ วันที่ซื้อ กับวันนี้ผ่านไป 2 -3 ปี มูลค่าเพิ่มหรือลดลงอย่างไร
มีมูลค่าที่เหมาะสมหรือไม่ ถ้าน้อยลงแสดงว่ามูลค่ากิจการลดลง เป็นการด้อยค่าของค่าความนิยม
นักบัญชี จะบอกเรา รวมถึง สินค้าคงคลังที่เปลี่ยนแปลงในช่วง1ปีที่ผ่านมา
หลักการอ่านงบ ให้ดูที่
1 ความเห็นของผู้สอบบัญชี
2 ผู้สอบบัญชีบอกว่าอะไรที่สำคัญ
นักลงทุนต้องให้ความสำคัญเพราะเขาเขียนรายงานผู้ถือหุ้น
ที่เจอบ่อยๆ คือ วรรคเน้น ว่ามีอะไรบ้างที่ควรไปดู
สมมติ เช่น สินค้าตอน 31 ธค มีมูลค่า แต่ ไฟไหม้ไปหลังปีใหม่
แต่อย่างไรก็ตามต้องโชว์ว่ามีสินค้าอยู่ตอนสิ้นปี แต่มีบอกไว้ว่า สินค้าถูกไฟไหม้หมดแล้ว
ในงบการเงินประจำปี ดังนั้นไม่ควรดูเฉพาะกำไรสุทธิเท่านั้น
ค่าเสื่อมราคา เป็นการปันส่วนต้นทุนอย่างเป็นระบบ เช่น ตัดค่าเสื่อมคอมพิวเตอร์ 5 ปี
แต่เปลี่ยนใจเป็นตัดค่าเสื่อม 10 ปี ทำให้กำไรเพิ่มขึ้นมาโดยไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม
ผู้บริหารสามารถทบทวนอายุการใช้ทรัพย์สินได้ เราต้องให้ความสำคัญจุดนี้ด้วย
ตัวอย่างการดูงบ จากรูป
กำไรคิดเป็นจำนวนเงิน 2 แสนบาท ถ้าเป็นธุรกิจก่อสร้าง ยังไม่ได้ตอม่อเลย
ต่อมาหนี้สินลดลง เจ้าของรวยขึ้น กำไรสะสมเพิ่มขึ้น แสดงว่า 1 ปี ผ่านไปรวยขึ้น
เราชอบ หนี้น้อยลง D/E Ratio ลดลง แต่ค่าที่เหมาะสมต้องดู industry ที่เราลงทุน
ใช้แหล่งทุนจากหนี้หรือเจ้าของเยอะ
ฐานะดีขึ้น ดูว่าเก่งจากงบกำไรขาดทุน 1 ปี กำไร 4 แสนบาท ต้องดูว่าเป็นธุรกิจอะไร
ถ้ารับเหมาไม่แน่รอด แต่ถ้าขายกล้วยทอด ก็ ok
ต่อมาดูที่ งบกระแสเงินสด เงินสดไม่เยอะ ไม่น่าจะชอบใจเท่าไหร่
องค์ประกอบของกำไร ต้องดูด้วย รายได้มาจากไหน ค่าใช้จ่ายมีอะไรบ้าง
เช่น ตอนน้ำท่วมปี 54 เกิดค่าใช้จ่ายแก้ไขน้ำท่วมของบริษัทที่อยู่อยุธยา แสดงว่า
ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายประจำ เบาใจได้
ส่วนงบที่3 งบการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น
กำไรที่เกิดขึ้น จะไปเพิ่มที่ส่วนผู้ถือหุ้น หลังหักเงินปันผลแล้ว
แต่ปรากฏว่า มีการเพิ่มทุนระหว่างปี แล้วมาจ่ายปันผล
เราดูหมายเหตุประกอบงบว่า จ่ายปันผลก่อนเพิ่มทุนหรือเปล่า
การ link ตัวเลขในแต่ละงบ จะ synchronize
งบที่ 4 งบกระแสเงินสด ดูว่ากำไรแต่เงินหายไปไหน
หาเงินจากไหน เอาเงินไปทำอะไร
มีกำไร และ มีเงินไหลเข้า แต่เอาไปลงทุนมากกว่าเลยหาเงินเพิ่มจากเจ้าของ
โดยออกหุ้นเพิ่มทุน
ถ้าเอาเงินไปซื้อที่ดิน ต้องดูเหตุผลที่ซื้อที่ดิน เช่น เอาไปเก็งกำไร หรือ บริหารค่าเช่า เราสามารถดู
วัตถุประสงค์ของผู้บริหาร ถูกตามวัตถุประสงค์ของบริษัทหรือเปล่า แต่ถ้าเอาเงินไปซื้อหุ้นบริษัทอื่นต้องระวัง
ไปดูใส่ในของงบการเงิน
สินทรัพย์แบ่งเป็น2อย่าง
สินทรัพย์หมุนเวียน
สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน
หนี้สิน เป็นภาระผูกพันที่ชดใช้ในอนาคต
จ่ายเร็ว คือ หนี้สินหมุนเวียน จ่ายช้า คือ หนี้สินไม่หมุนเวียน
งบแสดงฐานะการเงิน
ส่วนของเจ้าของ ทุนจดทะเบียนอาจไม่เท่ากับทุนที่เรียกชำระแล้ว
กำไรสะสม
จัดสรรแล้ว คือ สำรองตามกฎหมาย
บริษัทอาจมีสำรองสำหรับการขยายกิจการหรือไถ่ถอนหุ้นกู้
ที่เหลือจึงเป็นของผู้ถือหุ้น
รายได้ หัก ต้นทุนสินค้า คือกำไรขั้นต้น หรือ Gross margin
กำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น
มาตรฐานฉบับที่ 16 ที่ดินสามารถตีราคาที่ดินเป็นราคาปัจจุบันได้ แต่ต้องบันทึกลงในหมายเหตุประกอบงบด้วย
การตีราคาทรัพย์สิน เช่น เงินลงทุนเผื่อขาย
หรือ ลงทุนบริษัท ในต่างประเทศ เวลารวมในงบ มีการแปลงค่าเงิน เกิดกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน
ต้องมาใส่ในงบการเงินด้วย
สุดท้ายขอขอบคุณ อจ ณัฐชานนท์ที่มาให้ความรู้ครับ
ภาควิชาการบัญชี คณะพาณิชย์ศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์
งบการเงินของปี2559 เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้น อจ ณัฐชานนท์
มาปูพื้นงบการเงิน และ พูดถึงส่วนที่เพิ่มในงบการเงินปีที่ผ่านมาให้เราฟัง
งบดุล จะบอกทรัพย์สิน หนี้สิน และ ส่วนผู้ถือหุ้นของบริษัท
งบกำไรขาดทุน แสดงถึง บริษัทค้าขายมีกำไรเท่าไหร่
งบเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น ถ้าทรัพย์สินเพิ่มขึ้น เรามาดูที่งบนี้ว่ามีการเพิ่มทุนหรือเปล่าในช่วงที่ผ่านมา
งบกระแสเงินสด จะบอกถึงสุขภาพของบริษัทว่าดีหรือไม่
กำไรที่โชว์ในงบกำไรขาดทุน อาจไม่ใช่เงินสด
การให้ของ แสดงว่าขายแล้วแต่จะได้เงินสดหรือไม่ดูจากหนี้ ถ้าเขาเป็นลูกหนี้
แสดงว่ากำไรไม่ใช่เงินสด จริงๆ แล้วขายได้แต่ไม่ได้เงิน
งบกระแสเงินสด กระทบเงินต้นปีกับปลายปี ที่เพิ่มหรือลดลงมาจากไหน
เราอยากลงทุนในบริษัทที่มีกระแสเงินสดเข้าออกสม่ำเสมอ
กระบวนการของการทำธุรกิจ เช่นการเปิดร้านกาแฟ
ขั้นตอนแรก คือการหาสถานที่
ต่อมาคือการหาแหล่งทุนคือ มี2 แหล่ง คือ เงินตัวเอง และ เงินกู้
ซื้อของเข้าร้าน เช่าที่ จ้างพนักงานมาดำเนินงาน
หลักของงบกระแสเงินสด คือ จัดหาเงิน ลงทุน แล้วได้เงินจากการทำงานเท่าไหร่
ถือเป็นสามส่วนที่สำคัญของงบกระแสเงินสด
ถ้ารวยแสดงว่ามีทรัพย์สินเยอะ
งบกำไรขาดทุน บอกถึงความสำเร็จของการทำธุรกิจ
งบกระแสเงินสด จะบอกว่าบริษัทสุขภาพการเงินเป็นอย่างไร
เปรียบเทียบกับคนรวยแต่ไม่มีเงิน เราไม่อยากคบ
ขับเบนซ์ แต่จ่ายประกันชั้น3 ต้องคิดแล้วว่ารวยจริงหรือเปล่า
หมายเหตุประกอบงบ เป็นสิ่งสำคัญต้องดู
เช่น ทำสัญญาซื้อเครื่องจักร แต่ยังไม่ซื้อ แต่เตรียมใจซื้อ ในอีก 6 เดือน ลงบัญชีไม่ได้
แต่ต้องลงในหมายเหตุประกอบงบ เพราะเป็นภาระผูกพันที่ต้องชำระในอนาคต
รายงานผู้สอบบัญชี
ถ้าเป็นการตรวจสอบในช่วงปลายปี จะเข้มข้นมากกว่าการสอบทานในงบรายไตรมาส
ทำให้เวลาในการปิดงบปี ใช้เวลา 2 เดือน ซึ่งเป็นการตรวจสอบที่ละเอียดขึ้น
การแสดงความเห็นของผู้ตรวจสอบบัญชี
รายงานผู้ตรวจสอบบัญชี จะหยิบเอาวรรคความเห็นขึ้นมาก่อน ในงบการเงินเริ่มตั้งแต่ปี2559
งบรวมต่างจากงบเฉพาะ ซึ่งรวมเอางบย่อยมารวมกัน งบรวมจะใหญ่กว่างบเฉพาะ
ซึ่ง แบบแรก ไม่มีเงื่อนไข ส่วนแบบต่อมาจะมีเงื่อนไขแบบต่างๆ
ตัวอย่าง บริษัท CPALL เวลาดูจะดูงบรวม เพราะจะไปดูบริษัทย่อยที่ไปลงทุนด้วย
หรือ บริษัท GMM ก็ไปดูบริษัทลูก เช่น A time media , บริษัท เอ๊กแซก
ผู้สอบตรวจสอบทั้ง4งบ และ ลงความคิดเห็นว่าถูกต้องตามมาตรฐาน
แต่ถูกในสาระสำคัญเท่านั้น ตัวเลขที่สำคัญเชื่อถือได้
และเราต้องอ่านเรื่องสำคัญในการตรวจสอบ ผู้สอบจะบอกว่า
มีอะไรบ้างที่สำคัญต่อกิจการและตรวจอย่างไร
บริษัท Cpall จุดสำคัญของธุรกิจคือเรื่องรายได้ และช่วงที่ซื้อmakrow มีเรื่องค่าความนิยม
ที่จ่ายแพงไปแสนกว่าล้าน ณ วันที่ซื้อ กับวันนี้ผ่านไป 2 -3 ปี มูลค่าเพิ่มหรือลดลงอย่างไร
มีมูลค่าที่เหมาะสมหรือไม่ ถ้าน้อยลงแสดงว่ามูลค่ากิจการลดลง เป็นการด้อยค่าของค่าความนิยม
นักบัญชี จะบอกเรา รวมถึง สินค้าคงคลังที่เปลี่ยนแปลงในช่วง1ปีที่ผ่านมา
หลักการอ่านงบ ให้ดูที่
1 ความเห็นของผู้สอบบัญชี
2 ผู้สอบบัญชีบอกว่าอะไรที่สำคัญ
นักลงทุนต้องให้ความสำคัญเพราะเขาเขียนรายงานผู้ถือหุ้น
ที่เจอบ่อยๆ คือ วรรคเน้น ว่ามีอะไรบ้างที่ควรไปดู
สมมติ เช่น สินค้าตอน 31 ธค มีมูลค่า แต่ ไฟไหม้ไปหลังปีใหม่
แต่อย่างไรก็ตามต้องโชว์ว่ามีสินค้าอยู่ตอนสิ้นปี แต่มีบอกไว้ว่า สินค้าถูกไฟไหม้หมดแล้ว
ในงบการเงินประจำปี ดังนั้นไม่ควรดูเฉพาะกำไรสุทธิเท่านั้น
ค่าเสื่อมราคา เป็นการปันส่วนต้นทุนอย่างเป็นระบบ เช่น ตัดค่าเสื่อมคอมพิวเตอร์ 5 ปี
แต่เปลี่ยนใจเป็นตัดค่าเสื่อม 10 ปี ทำให้กำไรเพิ่มขึ้นมาโดยไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม
ผู้บริหารสามารถทบทวนอายุการใช้ทรัพย์สินได้ เราต้องให้ความสำคัญจุดนี้ด้วย
ตัวอย่างการดูงบ จากรูป
กำไรคิดเป็นจำนวนเงิน 2 แสนบาท ถ้าเป็นธุรกิจก่อสร้าง ยังไม่ได้ตอม่อเลย
ต่อมาหนี้สินลดลง เจ้าของรวยขึ้น กำไรสะสมเพิ่มขึ้น แสดงว่า 1 ปี ผ่านไปรวยขึ้น
เราชอบ หนี้น้อยลง D/E Ratio ลดลง แต่ค่าที่เหมาะสมต้องดู industry ที่เราลงทุน
ใช้แหล่งทุนจากหนี้หรือเจ้าของเยอะ
ฐานะดีขึ้น ดูว่าเก่งจากงบกำไรขาดทุน 1 ปี กำไร 4 แสนบาท ต้องดูว่าเป็นธุรกิจอะไร
ถ้ารับเหมาไม่แน่รอด แต่ถ้าขายกล้วยทอด ก็ ok
ต่อมาดูที่ งบกระแสเงินสด เงินสดไม่เยอะ ไม่น่าจะชอบใจเท่าไหร่
องค์ประกอบของกำไร ต้องดูด้วย รายได้มาจากไหน ค่าใช้จ่ายมีอะไรบ้าง
เช่น ตอนน้ำท่วมปี 54 เกิดค่าใช้จ่ายแก้ไขน้ำท่วมของบริษัทที่อยู่อยุธยา แสดงว่า
ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายประจำ เบาใจได้
ส่วนงบที่3 งบการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น
กำไรที่เกิดขึ้น จะไปเพิ่มที่ส่วนผู้ถือหุ้น หลังหักเงินปันผลแล้ว
แต่ปรากฏว่า มีการเพิ่มทุนระหว่างปี แล้วมาจ่ายปันผล
เราดูหมายเหตุประกอบงบว่า จ่ายปันผลก่อนเพิ่มทุนหรือเปล่า
การ link ตัวเลขในแต่ละงบ จะ synchronize
งบที่ 4 งบกระแสเงินสด ดูว่ากำไรแต่เงินหายไปไหน
หาเงินจากไหน เอาเงินไปทำอะไร
มีกำไร และ มีเงินไหลเข้า แต่เอาไปลงทุนมากกว่าเลยหาเงินเพิ่มจากเจ้าของ
โดยออกหุ้นเพิ่มทุน
ถ้าเอาเงินไปซื้อที่ดิน ต้องดูเหตุผลที่ซื้อที่ดิน เช่น เอาไปเก็งกำไร หรือ บริหารค่าเช่า เราสามารถดู
วัตถุประสงค์ของผู้บริหาร ถูกตามวัตถุประสงค์ของบริษัทหรือเปล่า แต่ถ้าเอาเงินไปซื้อหุ้นบริษัทอื่นต้องระวัง
ไปดูใส่ในของงบการเงิน
สินทรัพย์แบ่งเป็น2อย่าง
สินทรัพย์หมุนเวียน
สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน
หนี้สิน เป็นภาระผูกพันที่ชดใช้ในอนาคต
จ่ายเร็ว คือ หนี้สินหมุนเวียน จ่ายช้า คือ หนี้สินไม่หมุนเวียน
งบแสดงฐานะการเงิน
ส่วนของเจ้าของ ทุนจดทะเบียนอาจไม่เท่ากับทุนที่เรียกชำระแล้ว
กำไรสะสม
จัดสรรแล้ว คือ สำรองตามกฎหมาย
บริษัทอาจมีสำรองสำหรับการขยายกิจการหรือไถ่ถอนหุ้นกู้
ที่เหลือจึงเป็นของผู้ถือหุ้น
รายได้ หัก ต้นทุนสินค้า คือกำไรขั้นต้น หรือ Gross margin
กำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น
มาตรฐานฉบับที่ 16 ที่ดินสามารถตีราคาที่ดินเป็นราคาปัจจุบันได้ แต่ต้องบันทึกลงในหมายเหตุประกอบงบด้วย
การตีราคาทรัพย์สิน เช่น เงินลงทุนเผื่อขาย
หรือ ลงทุนบริษัท ในต่างประเทศ เวลารวมในงบ มีการแปลงค่าเงิน เกิดกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน
ต้องมาใส่ในงบการเงินด้วย
สุดท้ายขอขอบคุณ อจ ณัฐชานนท์ที่มาให้ความรู้ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 29
ปีนี้ภาคการผลิตและภาคการบริการของโลกเริ่มดีขึ้น
เศรษฐกิจแบบพื้นฐานดีหมด
เงินเฟ้อ เดาใจผู้ว่า FED ปกติผู้ว่าสนับสนุนเศรษฐกิจ โดยไม่มีอัตราเร่งของเงินเฟ้อ ปัจจุบันเงินเฟ้อต่างจากอดีต
เดาเงินเฟ้อได้ก่อนประกาศ เพราะตัวแปรหลักคือพลังงาน
Core inflation ไม่รวมพลังงาน แต่ Headline inflation เหลือ 0%
ปีนี้ ราคาน้ำมันขึ้น 20-30% เป็นตัวช่วยผลักเงินเฟ้อ
จะเห็นอัตราเร่งเงินเฟ้อขึ้นทั่วโลก
เงินเฟ้อเทียบปีต่อปี ปัจจุบันอยู่ที่ 1.7%
ดังนั้น Head line inflation ขึ้นต่อแน่ๆ
แต่ถ้าราคาน้ำมันตกเหลือ 38$
เยเลนอาจไม่ขึ้นดอกเบี้ยต่อ แต่ถ้าขึ้นไป 60$ มีโอกาสขึ้นดอกเบี้ย
เป็นวิธีที่ดุว่า FED จะขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่ ตอนนี้อยู่ที่Fed fund rate 1%
เงินเฟ้อ 2%กว่า ดังนั้น ดอกเบี้ยที่แท้จริงติดลบ มีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยได้
ส่วนเมืองไทย ดอกเบี้ยนโยบาย 1.5% เงินเฟ้อเกือบ 0%
ดังนั้นจึงมีไม่มีความจำเป็นต้องรีบขึ้นอัตราดอกเบี้ยสอดคล้องกับข่าวจาก
TMBคาดการณ์
เนื้อหาข่าวจาก สำนักข่าวอินโฟเควสท์เมื่อคืน
TMB คาดธปท.ยังคงอัตราดอกเบี้ยที่ 1.50% ตลอดปี 60 แม้ Fed จะขยับขึ้นต่ออีก 2 ครั้ง
Source: IQ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ | Mar 24, 2017 17:47
สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 มี.ค. 60)--ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics คาดธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.50% ตลอดปี 2560 แม้ Fed มีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ยได้อีก 2 ครั้งก็ตาม เนื่องจากพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังแข็งแกร่งทำให้ประเด็นเงินทุนไหลออกยังไม่น่ากังวลมากนัก อีกทั้ง อัตราเงินเฟ้อก็คาดว่าจะยังอยู่ในกรอบเป้าหมายเปิดช่องให้ธปท.ยังสามารถใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำ เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง หลังธนาคารกลางสหรัฐฯหรือ เฟด(Fed) ประกาศขึ้นดอกเบี้ย 0.25% เมื่อวันที่ 16 มีนาคมที่ผ่านมา ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ขึ้นไปอยู่ที่ 0.75-1.0% และจากเครื่องชี้เศรษฐกิจที่มีแนวโน้มดีต่อเนื่อง ทำให้มีโอกาสสูงที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยได้อีก 2 ครั้งในปีนี้ ในขณะที่หากธปท. คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.5% จะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยและสหรัฐฯ อยู่ในระดับเดียวกัน ซึ่งอาจเป็นแรงกดดันให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยต้องขยับขึ้นตาม
ศูนย์วิเคราะห์ฯ คาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เท่ากันนี้จะไม่ทำให้เกิดเงินทุนไหลออกรุนแรงเนื่องจากพื้นฐานเศรษฐกิจยังคงมีกันชนที่ดีโดยเฉพาะสถานะทางการเงินระหว่างประเทศของไทยที่แข็งแกร่งเมื่อมองจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในระดับสูงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2557 จนแตะระดับ 11.4% ของ GDP ในปี 2559 ซึ่งเป็นผลจากทั้งการส่งออกสุทธิที่เป็นบวกและภาคการท่องเที่ยวต่างประเทศที่ขยายตัวดี ส่งผลให้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยเพิ่มขึ้นจากที่อยู่ในระดับ 8.3 เดือนของการนำเข้าในปี 2557 เป็น 10.3 เดือน ในปี 2559 ใกล้กับจุดสูงสุดที่อยู่ในระดับ 11 เดือนเมื่อปี 2552
นอกจากนี้ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจไปกระตุ้นกระแสเงินทุนไหลเข้าเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นไปอีก โดย ณ ตอนนี้เงินบาทเคลื่อนไหวที่ 34.55-35.00 บาทต่อดอลลาร์ หรือแข็งค่าไป 3% จากต้นปี ซึ่งอาจส่งผลกระทบภาคการส่งออกได้ หากมองสถิติที่ผ่านมามีช่วงที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงของไทยก็เคยต่ำกว่าของสหรัฐฯ มาแล้วในช่วงปี 2548-2550 ในขณะนั้นทั้ง ธปท. และ เฟดมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องถึง 300 Bps ในการประชุม 16 ครั้ง เพื่อลดแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่เร่งตัวแรง โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานของไทยขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 6.3% และ 2.9% ในขณะที่ GDP ไทยยังขยายตัวได้เกือบ 5% ทำให้ ธปท.สามารถขึ้นดอกเบี้ยได้ แสดงให้เห็นว่าการพิจารณาปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท. ให้น้ำหนักไปที่สภาพเศรษฐกิจในประเทศเป็นสำคัญ ถึงแม้อัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯจะสูงกว่าบ้างก็ตาม
อีกทั้ง อัตราเงินเฟ้อของไทยในปัจจุบันก็ไม่ได้เร่งตัวสูงขึ้นรวดเร็ว เป็นการทยอยปรับขึ้นตามราคาน้ำมันในตลาดโลกที่คาดการณ์เฉลี่ยที่ 55-60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยศูนย์วิเคราะห์ฯ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อปี 2560 จะเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 2% ยังอยู่ในกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อของธปท.อีกทั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยก็ยังค่อนข้างเปราะบาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนภาคเอกชนที่คาดว่าจะขยายตัวได้เพียง 1.7% จากที่หดตัวต่อเนื่องถึง 3 ปี และเริ่มกลับมาขยายตัวเล็กน้อยในปีที่แล้ว ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ จึงยังจำเป็นต่อการสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทยอยู่
อย่างไรก็ดี แม้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะอยู่ในระดับทรงตัวในปีนี้แต่การดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจ การเงินของประเทศอุตสาหกรรมหลัก รวมทั้งการปรับขึ้นของราคาน้ำมัน ทำให้โลกเข้าสู่ดอกเบี้ยขาขึ้นจังหวะการปรับขึ้นดอกเบี้ยทำให้เกิดความผันผวนของการเงินทุนเคลื่อนย้าย ซึ่งจะกระทบต่อทั้งอัตราดอกเบี้ยในตลาด (Bond yield) และอัตราแลกเปลี่ยน ในที่สุดแล้ว อัตราดอกเบี้ยของไทยก็คงต้องขยับขึ้นตามในปีหน้า ดังนั้น ทั้งนักลงทุนและผู้ประกอบการควรเตรียมรับมือกับต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นและบริหารจัดการเพื่อให้ไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจ
เศรษฐกิจแบบพื้นฐานดีหมด
เงินเฟ้อ เดาใจผู้ว่า FED ปกติผู้ว่าสนับสนุนเศรษฐกิจ โดยไม่มีอัตราเร่งของเงินเฟ้อ ปัจจุบันเงินเฟ้อต่างจากอดีต
เดาเงินเฟ้อได้ก่อนประกาศ เพราะตัวแปรหลักคือพลังงาน
Core inflation ไม่รวมพลังงาน แต่ Headline inflation เหลือ 0%
ปีนี้ ราคาน้ำมันขึ้น 20-30% เป็นตัวช่วยผลักเงินเฟ้อ
จะเห็นอัตราเร่งเงินเฟ้อขึ้นทั่วโลก
เงินเฟ้อเทียบปีต่อปี ปัจจุบันอยู่ที่ 1.7%
ดังนั้น Head line inflation ขึ้นต่อแน่ๆ
แต่ถ้าราคาน้ำมันตกเหลือ 38$
เยเลนอาจไม่ขึ้นดอกเบี้ยต่อ แต่ถ้าขึ้นไป 60$ มีโอกาสขึ้นดอกเบี้ย
เป็นวิธีที่ดุว่า FED จะขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่ ตอนนี้อยู่ที่Fed fund rate 1%
เงินเฟ้อ 2%กว่า ดังนั้น ดอกเบี้ยที่แท้จริงติดลบ มีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยได้
ส่วนเมืองไทย ดอกเบี้ยนโยบาย 1.5% เงินเฟ้อเกือบ 0%
ดังนั้นจึงมีไม่มีความจำเป็นต้องรีบขึ้นอัตราดอกเบี้ยสอดคล้องกับข่าวจาก
TMBคาดการณ์
เนื้อหาข่าวจาก สำนักข่าวอินโฟเควสท์เมื่อคืน
TMB คาดธปท.ยังคงอัตราดอกเบี้ยที่ 1.50% ตลอดปี 60 แม้ Fed จะขยับขึ้นต่ออีก 2 ครั้ง
Source: IQ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ | Mar 24, 2017 17:47
สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 มี.ค. 60)--ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics คาดธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.50% ตลอดปี 2560 แม้ Fed มีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ยได้อีก 2 ครั้งก็ตาม เนื่องจากพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังแข็งแกร่งทำให้ประเด็นเงินทุนไหลออกยังไม่น่ากังวลมากนัก อีกทั้ง อัตราเงินเฟ้อก็คาดว่าจะยังอยู่ในกรอบเป้าหมายเปิดช่องให้ธปท.ยังสามารถใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำ เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง หลังธนาคารกลางสหรัฐฯหรือ เฟด(Fed) ประกาศขึ้นดอกเบี้ย 0.25% เมื่อวันที่ 16 มีนาคมที่ผ่านมา ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ขึ้นไปอยู่ที่ 0.75-1.0% และจากเครื่องชี้เศรษฐกิจที่มีแนวโน้มดีต่อเนื่อง ทำให้มีโอกาสสูงที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยได้อีก 2 ครั้งในปีนี้ ในขณะที่หากธปท. คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.5% จะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยและสหรัฐฯ อยู่ในระดับเดียวกัน ซึ่งอาจเป็นแรงกดดันให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยต้องขยับขึ้นตาม
ศูนย์วิเคราะห์ฯ คาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เท่ากันนี้จะไม่ทำให้เกิดเงินทุนไหลออกรุนแรงเนื่องจากพื้นฐานเศรษฐกิจยังคงมีกันชนที่ดีโดยเฉพาะสถานะทางการเงินระหว่างประเทศของไทยที่แข็งแกร่งเมื่อมองจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในระดับสูงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2557 จนแตะระดับ 11.4% ของ GDP ในปี 2559 ซึ่งเป็นผลจากทั้งการส่งออกสุทธิที่เป็นบวกและภาคการท่องเที่ยวต่างประเทศที่ขยายตัวดี ส่งผลให้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยเพิ่มขึ้นจากที่อยู่ในระดับ 8.3 เดือนของการนำเข้าในปี 2557 เป็น 10.3 เดือน ในปี 2559 ใกล้กับจุดสูงสุดที่อยู่ในระดับ 11 เดือนเมื่อปี 2552
นอกจากนี้ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจไปกระตุ้นกระแสเงินทุนไหลเข้าเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นไปอีก โดย ณ ตอนนี้เงินบาทเคลื่อนไหวที่ 34.55-35.00 บาทต่อดอลลาร์ หรือแข็งค่าไป 3% จากต้นปี ซึ่งอาจส่งผลกระทบภาคการส่งออกได้ หากมองสถิติที่ผ่านมามีช่วงที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงของไทยก็เคยต่ำกว่าของสหรัฐฯ มาแล้วในช่วงปี 2548-2550 ในขณะนั้นทั้ง ธปท. และ เฟดมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องถึง 300 Bps ในการประชุม 16 ครั้ง เพื่อลดแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่เร่งตัวแรง โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานของไทยขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 6.3% และ 2.9% ในขณะที่ GDP ไทยยังขยายตัวได้เกือบ 5% ทำให้ ธปท.สามารถขึ้นดอกเบี้ยได้ แสดงให้เห็นว่าการพิจารณาปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท. ให้น้ำหนักไปที่สภาพเศรษฐกิจในประเทศเป็นสำคัญ ถึงแม้อัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯจะสูงกว่าบ้างก็ตาม
อีกทั้ง อัตราเงินเฟ้อของไทยในปัจจุบันก็ไม่ได้เร่งตัวสูงขึ้นรวดเร็ว เป็นการทยอยปรับขึ้นตามราคาน้ำมันในตลาดโลกที่คาดการณ์เฉลี่ยที่ 55-60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยศูนย์วิเคราะห์ฯ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อปี 2560 จะเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 2% ยังอยู่ในกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อของธปท.อีกทั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยก็ยังค่อนข้างเปราะบาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนภาคเอกชนที่คาดว่าจะขยายตัวได้เพียง 1.7% จากที่หดตัวต่อเนื่องถึง 3 ปี และเริ่มกลับมาขยายตัวเล็กน้อยในปีที่แล้ว ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ จึงยังจำเป็นต่อการสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทยอยู่
อย่างไรก็ดี แม้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะอยู่ในระดับทรงตัวในปีนี้แต่การดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจ การเงินของประเทศอุตสาหกรรมหลัก รวมทั้งการปรับขึ้นของราคาน้ำมัน ทำให้โลกเข้าสู่ดอกเบี้ยขาขึ้นจังหวะการปรับขึ้นดอกเบี้ยทำให้เกิดความผันผวนของการเงินทุนเคลื่อนย้าย ซึ่งจะกระทบต่อทั้งอัตราดอกเบี้ยในตลาด (Bond yield) และอัตราแลกเปลี่ยน ในที่สุดแล้ว อัตราดอกเบี้ยของไทยก็คงต้องขยับขึ้นตามในปีหน้า ดังนั้น ทั้งนักลงทุนและผู้ประกอบการควรเตรียมรับมือกับต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นและบริหารจัดการเพื่อให้ไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจ
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 30
ทำไมต้องลงทุนต่างประเทศผ่านบลจ
คุณสมิทธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ ไทยพาณิชย์
มาพูดเปรียบเทียบการลงทุนเองกับให้บลจบริหารให้ สำหรับการลงทุน
ในต่างประเทศ
มีกองทุนต่างประเทศให้เลือกมากมาย หลัง ธปท อนุญาตให้ลงทุนในต่างประเทศได้
ทางบลจ ได้อธิบายในส่วนของนักลงทุนถ้าไปลงทุนในตราสารต่างๆของต่างประเทศ
1. รายย่อยก่อนไปลงทุนในต่างประเทศ ต้องแลกเงินก่อน แต่ก็เจอค่าธรรมเนียม Money changer
ถึงแม้จะคิดrate ถูก แต่ก็เป็นอัตรารายย่อย แต่ถ้าเป็นสถาบัน จะคิดค่าธรรมเนียมถูกมาก
2. ตอนเปิดบัญชีในต่างประเทศ ธนาคารในต่างประเทศมีค่าธรรมเนียมต่างๆมากมาย
2.1 ค่าธรรมเนียมนับธนบัตรถ้าเกินจำนวนที่กำหนด
2.2 ค่าโอนเงิน 1200 บาท
2.3 ค่า service fee
2.4 ถ้านักลงทุนอยู่นอกประเทศที่ลงทุนเช่น ฮ่องกง คิดค่าจดหมาย 400 $HKต่อเดือน
ถึงแม้ระยะหลังจะส่งเป็นเมล ยังเก็บอัตรานี้
2.5 ค่าใช้บริการที่counter ครั้งละ 20$HK
3. ค่าธรรมเนียมการบริหารกองทุนแพงมาก มีกองที่ใช้หุ่นยนต์ซื้อแทน
ค่าธรรมเนียมแค่ ¼ ของปกติ เป็น ETF Fund
4. Trade แล้วต้องเสียค่า Broker
5. ตอนรับปันผล ถ้าเป็นสถาบัน ไม่เสียค่าธรรมเนียม แต่ถ้าลงทุนเองเป็นรายย่อย ต้องจ่าย withholding tax อีก
เช่น กอง Global income ถ้าไปซื้อเอง เสีย ค่าแรกเข้า 4% แต่ ผ่านกองทุนเสียค่าซื้อหน่วยแค่ 1.5%
6. ต้องเจอเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวน บางครั้งได้ผลตอบแทนมาแต่เจอขาดทุน exchange ทำให้กำไรสุทธิเหลืออยู่ไม่มาก แต่ถ้าลงทุนกับบลจ
ประโยชน์จากการให้บลจ บริหารการลงทุนในต่างประเทศ
1. ผู้จัดการกองทุน จะปรับเรื่องสัดส่วนในการป้องกันความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินเอง
ปีที่แล้ว scbam เอาชนะกองแม่ เพราะบริหารอัตราแลกเปลี่ยนได้ดี ซึ่งปกติผันผวน 10% หรือ 3.5 บาท
ขอให้เราถูกแค่55% ก็ได้ผลตอบแทนเพิ่ม 1% แล้ว
2. Fund selection เราดูผลประกอบการย้อนหลังของกองทุนทั้งหมด เลือกมา 5 กองทุน
ทำไมเราเลือก Deutsche Multi Opportunities FC ซึ่งผลตอบแทนสูงเป็นอันดับสอง
เวลาเราเลือกกองทุน ต้องดูความสม่ำเสมอของผลงานกองทุนด้วย
อลิอันน์ สู้ Deutsche ไม่ได้ ซึ่งปีที่ไม่ดี ยังไม่ติดลบ ผลงานสม่ำเสมอกว่า
ค่าความผันผวนเทียบกับผลตอบแทน ต่ำกว่า แต่ผลตอบแทนดีกว่า
ดูการปรับportการลงทุน ว่า มีการปรับตัวในช่วงวิกฤตหรือไม่
3. กองแม่ในต่างประเทศยังดีอยู่หรือเปล่า เรา review ทุก 3 เดือน
4. ค่าธรรมเนียมที่เสียไปถ้าลงทุนเอง คิดเป็น % มากกว่าที่จ่ายให้บลจ
5. สำหรับคนที่ไม่ได้ลงทุนเต็มเวลา หรือไม่ค่อยมีเวลา ให้บลจ บริหารให้น่าจะดีกว่า
คุณสมิทธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ ไทยพาณิชย์
มาพูดเปรียบเทียบการลงทุนเองกับให้บลจบริหารให้ สำหรับการลงทุน
ในต่างประเทศ
มีกองทุนต่างประเทศให้เลือกมากมาย หลัง ธปท อนุญาตให้ลงทุนในต่างประเทศได้
ทางบลจ ได้อธิบายในส่วนของนักลงทุนถ้าไปลงทุนในตราสารต่างๆของต่างประเทศ
1. รายย่อยก่อนไปลงทุนในต่างประเทศ ต้องแลกเงินก่อน แต่ก็เจอค่าธรรมเนียม Money changer
ถึงแม้จะคิดrate ถูก แต่ก็เป็นอัตรารายย่อย แต่ถ้าเป็นสถาบัน จะคิดค่าธรรมเนียมถูกมาก
2. ตอนเปิดบัญชีในต่างประเทศ ธนาคารในต่างประเทศมีค่าธรรมเนียมต่างๆมากมาย
2.1 ค่าธรรมเนียมนับธนบัตรถ้าเกินจำนวนที่กำหนด
2.2 ค่าโอนเงิน 1200 บาท
2.3 ค่า service fee
2.4 ถ้านักลงทุนอยู่นอกประเทศที่ลงทุนเช่น ฮ่องกง คิดค่าจดหมาย 400 $HKต่อเดือน
ถึงแม้ระยะหลังจะส่งเป็นเมล ยังเก็บอัตรานี้
2.5 ค่าใช้บริการที่counter ครั้งละ 20$HK
3. ค่าธรรมเนียมการบริหารกองทุนแพงมาก มีกองที่ใช้หุ่นยนต์ซื้อแทน
ค่าธรรมเนียมแค่ ¼ ของปกติ เป็น ETF Fund
4. Trade แล้วต้องเสียค่า Broker
5. ตอนรับปันผล ถ้าเป็นสถาบัน ไม่เสียค่าธรรมเนียม แต่ถ้าลงทุนเองเป็นรายย่อย ต้องจ่าย withholding tax อีก
เช่น กอง Global income ถ้าไปซื้อเอง เสีย ค่าแรกเข้า 4% แต่ ผ่านกองทุนเสียค่าซื้อหน่วยแค่ 1.5%
6. ต้องเจอเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวน บางครั้งได้ผลตอบแทนมาแต่เจอขาดทุน exchange ทำให้กำไรสุทธิเหลืออยู่ไม่มาก แต่ถ้าลงทุนกับบลจ
ประโยชน์จากการให้บลจ บริหารการลงทุนในต่างประเทศ
1. ผู้จัดการกองทุน จะปรับเรื่องสัดส่วนในการป้องกันความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินเอง
ปีที่แล้ว scbam เอาชนะกองแม่ เพราะบริหารอัตราแลกเปลี่ยนได้ดี ซึ่งปกติผันผวน 10% หรือ 3.5 บาท
ขอให้เราถูกแค่55% ก็ได้ผลตอบแทนเพิ่ม 1% แล้ว
2. Fund selection เราดูผลประกอบการย้อนหลังของกองทุนทั้งหมด เลือกมา 5 กองทุน
ทำไมเราเลือก Deutsche Multi Opportunities FC ซึ่งผลตอบแทนสูงเป็นอันดับสอง
เวลาเราเลือกกองทุน ต้องดูความสม่ำเสมอของผลงานกองทุนด้วย
อลิอันน์ สู้ Deutsche ไม่ได้ ซึ่งปีที่ไม่ดี ยังไม่ติดลบ ผลงานสม่ำเสมอกว่า
ค่าความผันผวนเทียบกับผลตอบแทน ต่ำกว่า แต่ผลตอบแทนดีกว่า
ดูการปรับportการลงทุน ว่า มีการปรับตัวในช่วงวิกฤตหรือไม่
3. กองแม่ในต่างประเทศยังดีอยู่หรือเปล่า เรา review ทุก 3 เดือน
4. ค่าธรรมเนียมที่เสียไปถ้าลงทุนเอง คิดเป็น % มากกว่าที่จ่ายให้บลจ
5. สำหรับคนที่ไม่ได้ลงทุนเต็มเวลา หรือไม่ค่อยมีเวลา ให้บลจ บริหารให้น่าจะดีกว่า