สรุปความรู้งาน meeting VI ชลบุรีครั้งที่ 10 (29 พ.ค.59)
-
- Verified User
- โพสต์: 332
- ผู้ติดตาม: 0
สรุปความรู้งาน meeting VI ชลบุรีครั้งที่ 10 (29 พ.ค.59)
โพสต์ที่ 1
เนื่องด้วยมีโอกาสได้ไปร่วมงาน VI Chonburi Meeting#10 ในวันที่ 29 พฤษภาคม 2559 ที่ผ่านมา จึงอยากจะสรุปความรู้ที่ได้จากงานครั้งนี้บางส่วนเผื่อเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนนักลงทุนท่านอื่นๆที่ไม่ได้มาร่วมงานนี้ครับ
VI Chonburi Meeting#10 Agenda
Meeting Date : Sunday 29 May 2016
11:15-12:00 สัมมนา#1 ธุรกิจโรงพยาบาลและโรงแรม P’Chaiyut (warlord)
13:00-14:15 สัมมนา #2 การวางแผนและชีวิตนักลงทุนเต็มเวลา P’Ake Thamrong
14:15-15:15 สัมมนา #3 ภาพการลงทุน ในยุคดอกเบี้ยต่ำระยะยาว P’ทิวา(Sai)
15:30-16:15 Q&A และ Share ประสบการณ์ส่วนตัว P’เชาว์ (Investment Biker)
16:15-17:00 สัมมนา #4 เมพชมพูสอนคุ้ยหุ้น P’Champ (Champ_ST)
สัมมนา 1 ธุรกิจโรงพยาบาลและโรงแรม P’Chaiyut (warlord)
1.ธุรกิจโรงพยาบาล
ลงทุนครั้งแรกเยอะ ถ้าหาลูกค้าได้ก็จะไปตลอด
ข้อดี 1.)Growth ต่อเนื่อง 2.)ค่ารักษาพยาบาลยังไม่แพงเมื่อเทียบกับที่อื่นๆ 3.)Local Monopoly 4.)Switching cost สูง 5.)Aging Society สังคมผู้สูงอายุ
ความเสี่ยง ขาดแคลนบุคลากรที่เชี่ยวชาญ, การฟ้องร้อง, การควบคุมจากรัฐ
การควบรวมกิจการ – ทำให้เพิ่มอํานาจการต่อรองกับ suppliers - เกิด EOS: Economy of Scale ใช้ทรัพยากรในการบริหารงาน ร่วมกัน – การส่งต่อคนไข้เพื่อการวินิจฉัยโรคที่ซับซ้อนมากขึ้น
2.ธุรกิจโรงแรม
ข้อดี – เติบโตต่อเนื่องตามการท่องเที่ยว และการเดินทางของประชากรในโลก - ธุรกิจมีลักษณะเป็น Location Based, Brand Recognition - อาศัยประสบการณ์, ความเชี่ยวชาญ และใบอนุญาต - ราคาห้องพักของโรงแรมไทย และค่าครองชีพยังถูก - ภูมิศาสตร์เป็น hub ในการคมนาคมไปยังประเทศเพื่อนบ้าน - ไมตรี และนิสัยการบริการของคนไทยดีเยี่ยม – สถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามในประเทศไทย
ความเสี่ยง สถานการณ์การเมือง, การก่อการร้าย, ภาวะเศรษฐกิจโลก
คำศัพท์ที่น่าสนใจ
OCC (Occupancy Rate): อัตราการเข้าพัก เช่น 80%
ARR (Average Room Rate): อัตราค่าห้องพักเฉลี'ยต่อคืน
REVPAR (Revenue per Available Room): อัตราค่าห้องพัก เฉลี่ยต่อห้องพักที่มีทั้งหมดในโรงแรม
REVPAR ย่อมาจาก Revenue per available room เกิดจากการนําเอารายได้จากห้องพัก หลังหักส่วนลดอะไรต่อมิอะไรหมดแล้ว มาหารด้วย จํานวนห้องทั้งหมดที่พร้อมขายให้ลูกค้าในช่วงเวลา นั้น สมมติโรงแรมมีห้องพร้อมขายได้ทั้งหมด 500 ห้องต่อวัน (บางทีอาจมี 550 ห้อง แต่ปิดปรับปรุงอยู่ 50 ห้อง ทําให้ห้องพร้อมขายมีเพียง 500 ห้อง) คิดเป็นรายไตรมาส เช่นไตรมาส 2 ก็มีจํานวนวันทั้งหมด 91 วัน จํานวนห้องพร้อมขายในไตรมาส 2 ก็จะเป็น 500*91 =45500 ห้อง กําหนดให้รายได้จากการขายห้องพักตลอดไตรมาส 2 เป็น 90 ล้านบาท เมื่อหารออกมาจะได้เป็นค่า REVPAR ประมาณ 2000 บาท
หากเรามีการปรับสูตรไปเรื่อยๆ เราจะได้สูตรการคํานวณ REVPAR แบบง่ายขึ้นก็คือ REVPAR เท่ากับ อัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อคืน × อัตราการเข้าพักเฉลี่ยในช่วงเวลานั้น จากสูตรหลัง เราจะเห็นว่า REVPAR คือค่าที่รวมเอาผลกระทบของ "ราคาห้องพัก" และ "อัตราการเข้า พัก" เข้าไว้หมดแล้ว ดังนั้น การอ่านบทวิเคราะห์หุ้นโรงแรม เราจึงให้ความสําคัญกับค่า REVPAR นี้เพียงอย่างเดียว เพราะ มันบอกทุกอย่างเกี่ยวกับโรงแรมเอาไว้ในนี้แล้ว การที' REVPAR ปรับตัวสูงขึ้น จึงหมายความว่ารายได้ของโรงแรมก็ควรจะสูงขึ้นตามไปด้วย REVPAR จะดีขึ้นหรือแย่ลงขึ้นอยู่กับว่าโรงแรมจะใช้กลยุทธเช่นไร ในบางช่วง อัตราการเข้าพักอาจจะ ต่ำ ซึ่งอาจทําให้ค่า REVPAR ลดลง แต่โรงแรมอาจขายห้องในราคาเฉลี่ยสูงขึ้น (นักท่องเที่ยวหลักอาจ เป็นยุโรปที่เลือกห้องที่มีราคาแพง) ท้ายที่สุด REVPAR อาจปรับตัวขึ้นแทนที่จะลงก็เป็นได้ โดยส่วนใหญ่การลดค่าห้องเพื่อหวังกระตุ้นอัตราการเข้าพักนั้น โรงแรมมักไม่เลือกใช้ เช่นในไตรมาส 2 ปีที่ แล้ว แม้จะมีเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง อัตราการเข้าพักต่ำลง โรงแรมระดับหรูกลับไม่ยอมลด ราคาลงมา เพราะถึงลดก็ไม่แน่ว่าจะทําให้อัตราเข้าพักสูงขึ้นได้ ท้ายสุดอาจไปทําให้ REVPAR แย่ลง หนักกว่าเดิมก็เป็นได้
ที่มา: facebook Wattana Stockpage
สัมมนา 2 การวางแผนและชีวิต นักลงทุนเต็มเวลา P’Ake Thamrong
1.เพื่อ cover รายจ่ายในการใช้ชีวิตสำหรับนักลงทุนเต็มเวลา จำเป็นที่เราจะต้องหา Passive Income
นอกจากนั้นเราควรที่จะเขียน,วางแผน ข้อมูลเกี่ยวกับ รายได้รายจ่าย โดยแบ่งข้อมูลเป็นรายได้ประจำ,ไม่ประจำ ค่าใช้จ่ายประจำ,ไม่ประจำ
โดยพื้นฐานเราควรที่จะมีเงินสำรองไว้สำหรับ cover ค่าใช้จ่ายอย่างน้อย 6 เดือน
2.ในสมัยที่ยังทำงานบริษัทอยู่นั้น ทัศนคติในการทำงานนั้น เราควรจะทำงานให้เต็มที่โดยต้องพยายามทำงานให้เกินเงินเดือน (อย่าทำงานแค่ให้ผ่านไปวันๆ) ซึ่งจะส่งผลทำให้เราเต็มที่กับเรื่องอื่นๆอย่างเช่นการลงทุน แล้วทำให้ผลของการลงทุนดีขึ้นตามไปด้วย คุณจะมีเงินหรือประสบความสำเร็จมากขนาดไหน อยู่ที่ว่าความสามารถของคุณถึงรึเปล่า
3.เรื่องการบริหารเวลานั้นเป็นเรื่องสำคัญมากของคนเรา เราควรจึงหาวิธีการบริหารเวลาให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ฟัง CD ความรู้ระหว่างขับรถ, อ่านหนังสือพิมพ์ธุรกิจในช่วงที่รอทานข้าวเป็นต้น
4.ความรู้ในการลงทุนเป็นสิ่งสำคัญ เราจึงควรตั้งเป้าในการอ่านหนังสือ, ศึกษาข้อมูลหุ้น ไว้ โดยแหล่งข้อมูลเบื้องต้นเช่นอ่านหนังสือพิมพ์ทางธุรกิจ,Annual Report , ศึกษาห้องร้อยคน ร้อยหุ้น ใน web thaivi เป็นต้น
5.รักใคร เทิดทูนใคร ต้องยึดหลักกาลามสูตร
(ผมขออนุญาติขยายความเพิ่มเติมจาก web http://www.easyinsurance4u.com/buddha4u/kalamasutta.htm)
กาลามสูตรกังขานิยฐาน 10 หมายถึง วิธีปฎิบัติในเรื่องที่ควรสงสัย หรือหลักความเชื่อ ที่ตรัสไว้ในกาลามสูตร
1. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา (มา อนุสฺสเวน)
2. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสีบๆกันมา (มา ปรมฺปราย)
3. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ (มา อิติกิราย)
4. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำรา หรือคัมภีร์ (มา ปิฏกสมฺปทาเนน)
5. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก (มา ตกฺกเหตุ)
6. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะอนุมาน (มา นยเหตุ)
7. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล (มา อาการปริวิตกฺเกน)
8. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว (มา ทิฏฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา)
9. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ (มา ภพฺพรูปตาย)
10. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา (มา สมโณ โน ครูติ)
ตัวอย่าง
1. อย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา ประเภท "เขาว่า" "ได้ยินมาว่า" ทั้งหลาย
2. อย่าได้ยึดถือถ้อยคำสืบๆกันมา ประเภท "ใครๆว่า" "โบราณว่า" ตามกระแส
3. อย่าได้ยึดถือโดยความตื่นข่าวว่า เข่าว่าอย่างนี้ ประเภทข่าวลือ ข่าวโคมลอย ทั้งหลาย
4. อย่าได้ยึดถือโดยอ้างตำรา อย่าไปตามตำรามากนัก ตำราว่าอย่างนั้น ต้องออกมาเป็นอย่างนั้น เท่านั้น เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เด็ดขาด เพราะอย่าลืมว่า ตำราบางเล่ม คนแต่งก็มั่วมาบ้าง เขียนไม่ครบบ้าง ใส่ไข่เอาเองบ้าง คนมีกิเลสไปแก้ไขตำรา คนมีผลประโยขน์ ไม่แก้ไขตำราเท่ากับเราโดนหลอก
5. อย่าได้ยึดถือโดยนึกเดาเอาเอง เช่น เข้าใจเอาเอง หรือข้อมูลไม่พอ ใจร้อนเดาสุ่มเอา มั่วๆ เอา
6. อย่าได้ยึดถือโดยการคาดคะเน การคาดการณ์ตามประวัติศาสตร์ ตามสถิติ ความน่าจะเป็น ซึ่งอาจจะผิดก็ได้ เพราะเห็นแค่ร้อย อย่าเหมาว่าที่ร้อยเอ็ดจะเป็นไปด้วย
7. อย่าได้ยึดถือตรึงตามอาการ อย่าเห็นว่าอาการแบบนี้ น่าจะเป็นแบบนี้ ให้คิดเผื่อๆไว้ด้วย เช่น เห็นคนไข้เป็นแบบที่เคยรักษาคนอื่นๆมาก่อน อย่าไปตรึกเอาเองว่าเป็นแบบนั้น เห็นเงาก็จ่ายยาได้ เพราะเหนือฟ้ายังมีฟ้า อย่าเข้าข้างตนเอง นั่งสมาธิเห็นโน่น เห็นนี้ อย่านึกว่าเป็นจริง เพราะอาจจะเป็นจิตหลอกจิต
8. อย่าได้ยึดถือโดยชอบใจว่า ต้องกันกับทิฐิของตัว อย่าเอาความเห็นของตนเป็นใหญ่ อะไรที่ตรงกับที่ตนคิดไว้เท่านั้นที่เชื่อได้ คนคิดแบบนี้ ดื้อตายชัก
9. อย่าได้ยึดถือโดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้ ระวังจะโดนหลอก อย่าลืมว่า สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง
10. อย่าได้ยึดถือโดยความนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา การยึดอาจารย์ของตนเองมากไป ก็ไม่ดี ควรทำตาม ทดสอบดู ถ้าผิดพลาดก็ไม่ต้องเชื่อ ถ้าทำแล้วดีขึ้นก็แสดงว่าเชื่อได้
สัมมนา 3 ภาพการลงทุนในยุคดอกเบี้ยต่ำระยะยาว (P’ทิวา Sai)
1.ภาพปัจจุบันนั้น หลังจากเกิดปัญหา Subprime ที่ America นั้นหลังจากนั้นแต่ละประเทศนำโดย America ก็อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ ผ่าน QE1,2,3 ซึ่งหลังจากนั้นก็ทำให้ Europe และ Japan ก็หันมาใช้วิธีเดียวกัน ซึ่งส่งผลทำให้ดอกเบี้ยในบางประเทศเช่น Germany และ Japan ในปัจจุบันเองก็ถึงขั้นติดลบ
2.Demand ของโลกเริ่มค่อยๆลดลง ทำให้เศรษฐกิจเริ่มโตช้า ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการที่หลายๆประเทศในโลกเริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ Aging Society ซึ่งจะทำให้ต่อไปการที่จะหาหุ้น Growth นั้นจะเริ่มหายากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากแรงขับด้าน Demand ที่ค่อยๆต่ำลงเรื่อยๆ
3.Trend ใหญ่ของโลกในอนาคต คือแต่ละประเทศจะเริ่มไม่ใช้เงินสดหรือเงินกระดาษ รวมไปถึงดอกเบี้ยจะเริ่มติดลบ ซึ่งปัจจุบันประเทศ Sweden เองก็เริ่มเป็นเช่นนั้นแล้ว โดยนอกจากจะเริ่มไม่ใช้เงินสดและดอกเบี้ยติดลบแล้วยังใช้วิธีการแจกเงิน เช่นคนละ 30000 บาทเพื่อให้ประชาชนมีทางเลือกในการทำงานมากขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งใช้วิธีลดเงินงบประมาณจากส่วนอื่นๆเช่นลดเงินที่จ่ายให้ข้าราชการ
4.E-Commerce เองอาจจะเป็นปัจจัยที่ทำให้การเติบโต GDP ของโลกลดลง เพราะทุกคนจะสามารถซื้อสินค้าได้ในราคาที่ต่ำลง
5.เวลาลงทุนไปได้สักระยะเวลาหนึ่ง แล้วไม่เกิดอะไรขึ้น อาจจะทำให้เราประมาท ซึ่งมีโอกาสทำให้เกิดอันตรายขึ้นได้
6.เพราะอะไรนักลงทุนส่วนใหญ่ถึงไม่ประสบความสำเร็จ
ส่วนใหญ่ทุกคนรู้ว่าต้องทำอะไร ยังไงถึงจะประสบความสำเร็จ เพียงแต่ส่วนใหญ่นั้นไม่อยากทำตามนั้น มีเพียงส่วนน้อยที่ตั้งใจทำตามนั้นจึงเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ
ซึ่งวิธีการที่จะลงทุนให้ประสบความสำเร็จนั้นก็มีขั้นตอนดังนี้ คือ 1.)หา Idea ในการลงทุน 2.)ทำการบ้านเพิ่มเติม เพื่อดูว่า Idea อย่างนี้ work ไหม 3.)หาวิธีลด error ในการตัดสินใจ
แต่วิธีที่คนหลายคนที่ไม่ประสบความสำเร็จใช้ก็คือ 1.)ฟังคนอื่น 2.)ฟังคนที่ 2 แล้วดูว่าข้อมูลตรงกับคนที่ 1 ไหม 3.)ถ้าราคาหุ้นเริ่มขึ้น จะเริ่มซื้อหุ้น หลังจากนั้นถ้าราคาหุ้นเริ่มลง ถึงจะเริ่มอ่านบทวิเคราะห์และหรืออ่าน 56-1
(ซื้อด้วยความโลภ ขายด้วยความกลัว หรือซื้อเมื่ออ่อนตัว ขายเมื่ออ่อนใจ)
7.การลงทุนหรือการทำธุรกิจนั้นหลายๆกรณีที่ประสบความสำเร็จนั้นอาจจะไม่ใช่เรื่องของคนเพียงคนเดียว ยกตัวอย่างเช่น Alibaba ของ Jack Ma นั้นก็เกิดจากการรวมตัวของคนธรรมดา 18 คน
8.เรียนรู้ไม่หยุด อย่าหยุดที่จะเรียนรู้และอย่าคิดที่จะท้อแท้
Chalie Munger คนที่จะประสบความสำเร็จนั้น ขอเพียงแค่ให้ตื่นมาวันพรุ่งนี้ นั้นเราฉลาดขึ้นกว่าวันนี้ (อย่าหยุดที่จะเรียนรู้)
9.คนเราทุกคนมีศักยภาพพอๆกัน แต่สิ่งที่แตกต่างก็คือทัศนคติซึ่งจะเป็นตัวตัดสินระดับของความสำเร็จ
10.แนวทางที่จะประสบความสำเร็จนั้นมีหลายแนวทาง ซึ่งคุณอาจจะเลือกแนวทางไหนก็ได้เพียงแต่คุณต้องรู้จริง
Q&A Session และshare ประสบการณ์ส่วนตัว by P’เชาว์ (Investment Biker)
1.ลงทุนยังไงให้ปลอดภัยและได้กำไร
พยายามดูว่า 10 ปีข้างหน้าบริษัทหรืออุตสาหกรรมไหนยังมีกำไรโตต่อเนื่องสม่ำเสมอ ซึ่งจากการกรองบริษัทจาก 600 บริษัทอาจจะเหลือสัก 30 บริษัท แล้วไปดูว่าราคาหุ้นเมื่อเทียบกับมูลค่ากิจการเป็นอย่างไร
และพยายามดู Growth ของกำไรเทียบกับ P/E หลักการคล้ายๆ PEG
มั่นใจในหุ้นจริงๆถึงซื้อ ถ้าไม่มั่นใจก็ผ่าน
2.ช่วงแรกๆของการลงทุนของพี่เชาว์นั้น พยายามอ่านหนังสือของ Buffet, Peter Lynch, อาจารย์นิเวศน์ รวมไปถึงการอ่านหนังสือพวก Wall Street Journal แล้วพยายามนำมา apply ใช้กับกิจการในประเทศไทยอีกที
3.การลงทุนในปัจจุบันนั้นไม่ง่ายเหมือนสมัยก่อน
ช่วงก่อนๆ หุ้นที่มี P/E 7-10 เท่า และมี Growth ของกำไร 15-20% มีมากมายแต่ปัจจุบันนั้นหุ้นส่วนใหญ่มี P/E 10 กว่าเท่าเป็นอย่างต่ำ ในขณะที่กิจการดีๆหลายบริษัทนั้นอาจจะมี P/E 30-40 เท่า
4.หุ้นนอกสายตา ถ้าคนอื่นมองผิดแต่ถ้าเรามองถูก ก็มีโอกาสได้กำไรเยอะๆ
5.กับดักของนักลงทุนแนว VI
1.)ซื้อหุ้นที่กำไรเติบโต 2-3 ปีแล้วคิดว่ากำไรจะโตต่อเนื่อง ซึ่งจริงๆแล้วพื้นฐานกิจการไม่ได้แข็งแรงพอเวลาผ่านไปกำไรของบริษัทก็ลดลงเรื่อยๆ
2.)ซื้อหุ้นที่กำไรโตแค่ระยะสั้น อย่างหุ้นวัฏจักร อย่างบางบริษัทกำไรต่อหุ้นโตมาตลอดหลายๆปี เพราะราคา commodity ดีขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ดูเหมือน P/E ต่ำและเงินปันผลสูง ซึ่งถ้าไปซื้อหุ้นแล้วเป็นช่วงวัฏจักรขาลงก็อาจจะขาดทุนได้
6.วิธีลงทุนที่ดีและปลอดภัย คือซื้อหุ้นก่อนที่จะราคาหุ้นจะขึ้น อย่างเราเจอบางบริษัทราคาหุ้นที่ P/E ประมาณ 20 เท่า ในขณะที่ Growth ของบริษัทมองว่าน่าจะมากกว่า 40 % ต่อปีใน 2-3 ปีข้างหน้า ถ้าไปซื้อหุ้นหลังจากนั้นอีกสักระยะที่ราคาหุ้นเทียบกับ P/E 40-50 เท่า ซึ่งในตอนนั้นราคาหุ้นขึ้นไปแล้ว 100-200% (ความเสี่ยงที่จะมีโอกาสลงทุนผิดพลาดก็จะสูงขึ้น)
7.วิธีหนึ่งที่น่าสนใจคือการศึกษาหาข้อมูลหุ้นต่างประเทศ คือการทดลองเดินทางไปที่ต่างประเทศเช่น AEC, Europe, Japan,Asia เพื่อขยายขอบข่ายความรู้ของเรา
โดย Theme การลงทุนต่างประเทศที่น่าสนใจก็เช่น
1.)บริษัทที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ เช่นยารักษาโรคบางอย่าง , สมองกล โดยคนที่อยู่ในอุตสาหกรรมเหล่านี้มีโอกาสที่จะมองเห็นโอกาสได้ไวกว่าคนอื่นๆ
2.)ประเทศที่ตอนนี้เหมือนประเทศไทยเมื่อสัก 20-30 ปีก่อน ซึ่ง Trend ของอุตสาหกรรมในประเทศนั้นๆอาจจะเหมือนประเทศไทยในอดีตเช่น Modern Trade ได้ โดยเราอาจจะเลือกดูบริษัทที่ใหญ่ 20 บริษัทแรกของประเทศนั้นๆ เพราะสภาพคล่องของหุ้นอาจจะมากพอให้ลงทุนได้
3.)บริษัทที่จะได้รับประโยชน์จาก China Consumer Spending (การจับจ่ายใช้สอยของประชากรเมืองจีน) โดยปัจจุบันคนจีนมีเงินเยอะขึ้นเรื่อยๆ ทำให้บริษัทที่มีสินค้าที่คนจีนให้ความสนใจหรือนิยมในสินค้าก็จะมียอดขายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และส่งผลให้กิจการมีกำไรสูงขึ้นเรื่อยๆ ยกตัวอย่างเช่นกิจการขนม, เครื่องสำอาง,ถุงยางอนามัยของบริษัทในญี่ปุ่น
วิธีการหนึ่งในการดูว่าสินค้าไหนเป็นที่นิยมของคนจีนก็คืออาจจะไปตรวจสอบจาก web Taobao ของ Alibaba เป็นต้น
8.Dhando Investment
ลองดูบริษัทที่อาจจะ P/E ไม่สูงนัก เช่น 20 เท่า มีปันผลนิดหน่อย แต่มีศักยภาพที่ยอดขายอาจจะโตเป็น 10-50 เท่าในอนาคตและกำไรของบริษัทก็โต 10-50 เท่าตาม ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นซื้อแล้วถือหุ้นไปเรื่อยๆอาจจะได้กำไรเกิน 10 เด้ง แต่ถ้ากำไรไม่โตอย่างที่คาดก็อาจจะขาดทุนนิดหน่อยเช่น 20-30%
(ทุกอย่างในโลกนี้ไม่แน่นอน ถ้าคิดถูกก็เป็นหุ้นเปลี่ยนชีวิต แต่ถ้าผิดทางก็ขาดทุนไม่เยอะ) ซึ่งหุ้นลักษณะนี้อาจจะโผล่มาไม่บ่อยนักเช่น 2 ปีถึงอาจจะเจอสักตัวหนึ่ง)
9.Portfolio Management เลือกถือหุ้นสัก 5 บริษัท โดยที่ monitor หุ้นสัก 30 บริษัท
10.รูปแบบการลงทุนหนึ่งที่ใช้คือ บริษัทที่สินค้าหรือผลิตภัณฑ์เข้าใจง่าย เป็นของที่ผู้บริโภคใช้อยู่เรื่อยๆ, หนี้ของบริษัทไม่ค่อยมี , มี Cash flow ของกิจการที่ดีขึ้นเรื่อยๆ
สัมมนา #4 เมพชมพูสอนคุ้ยหุ้น
1. คบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพา ไปหาผล
1 ปี ที่ลองผิดลองถูก
4 ปี ที่เรียนฟันดาบ
5 ปี ในสนามรบ
และถ้าเราอยู่รอดเราคือ ” ยอดขุนพล ”
2.หุ้นหรือบริษัทที่มีโอกาสที่ราคาหุ้นจะขึ้นนั้นอาจจำเป็นต้องมี Story หรือ Catalyst
ยกตัวอย่างเช่น ตั้งกองทุน XXX , ปันผลพิเศษ , มีพันธมิตรใหม่ , มีคนจะ Take Over กิจการ , ขยายกำลังการผลิต, งบดี เป็นต้น
3.ตัวอย่างระบบการลงทุนหรือวิธีการลงทุนที่เลือกใช้
1.)Canslim (สามารถอ่านรายละเอียดได้จากหนังสือ How to make money in stocks Canslim คัดหุ้นชั้นยอดด้วยระบบชั้นเยี่ยม)
2.)Phillip A Fisher (สามารถอ่านรายละเอียดได้จากหนังสือหุ้นสามัญกับกำไรที่ไม่สามัญ Common Stocks and Uncommon Profits)
โดยจะ List หัวข้อเพื่อดูคุณภาพของกิจการ เช่น สินค้า/บริการที่มีศักยภาพ, พัฒนาสินค้า/กระบวนการผลิตต่อเนื่อง,ประสิทธิภาพของงานวิจัยและพัฒนา,ฝ่ายจัดการพูดกับนักลงทุนอย่างเปิดเผย แล้วพยายามที่จะให้คะแนนออกมาเป็นตัวเลขในแต่ละหัวข้อเพื่อที่จะเลือกกิจการที่มีคุณภาพสูง
4.ข้อคิดที่ฝากไว้
1.) อย่าเชื่อเพียงเพราะเขาพูดจาดี น่าเชื่อถือ มีหลักการ หรือตรงกับความคิดเห็นของ เรา แต่ให้รับฟังสิ่งทีเขาพูด เอาไปคิดวิเคราะห์ แยกแยะ และตรวจสอบ เพื่อใช้ใน การพัฒนา และแบ่งแยกคนที่เป็นเพชร ออกจากคนที่เป็นกากเพชร
คนที่เป็นเพชรสิ่งที่เขาพูด แสดงความคิดเห็น วิเคราะห์ให้เราฟัง เมื่อเวลาผ่านไป มันก็เป็นไปตามที่เขาพูด (ไม่ได้เกี่ยวกับว่าราคาของหุ้น) อยากรู้ก็ไปเปิดอ่านย้อนๆประวัติดูไม่น่าจะยาก
2.)มีเพื่อนๆ ได้แลกเปลี่ยน มุมมอง ได้ฟังแนวคิด มันทําให้เราพัฒนา เพียงแต่เราต้องหาให้เจอว่าเป็นใครที่ลงทุนหุ้นสไตล์เดียวกับเรา สนใจอะไร แบบเดียวกัน หรือถ้าต่างสไตล์กันเราก็จะได้เรียนรู้แต่ต้องเป็นคนที่พร้อมเปิดรับ
3.)อย่าหลอกตัวเอง ซื้อด้วยเหตุผลใด ก็จงขายด้วยเหตุผลแบบเดียวกัน
4.)คนเราผิดพลาดได้ คิดผิดขาดทุนได้ แต่อย่าท้อถอย และอย่าทําผิดอะไรที่มันซ้ำซาก ถ้าลงทุนแล้วไม่ประสบความสำเร็จ ก็อาจจะพิจารณาเปลี่ยนแนวทางลงทุน โดยพยายามปรับอารมณ์ก่อน และที่สำคัญคือหาความรู้ก่อนลงทุน และหาแนวทางที่เหมาะสมกับตัวเอง
ผมขออนุญาตเรียบเรียงเนื้อหาใหม่ตามที่ผมเข้าใจครับ รวมไปถึงอาจจะอธิบายเพิ่มเติมในบางจุดเพื่อให้เพื่อนๆท่านอื่นๆเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้นครับ ซึ่งลำดับของเนื้อหาอาจจะไม่ตรงกับที่ทางวิทยากรได้พูด ในกรณีที่อาจจะไม่ตรงกับเนื้อหาที่วิทยากรต้องการสื่อสาร ผมขอความกรุณาเพื่อนๆท่านอื่นที่ไปฟังในวันดังกล่าวหรือท่านวิทยากรช่วยแนะนำเพิ่มเติมหรือแก้ไขให้ด้วยครับ
ขอขอบคุณพี่ Chaiyut เจ้าภาพจัดงานในครั้งนี้ที่ช่วยจัดงานดีๆที่ให้ความรู้กับผมและเพื่อนๆนักลงทุนท่านอื่นๆ
ขอขอบคุณวิทยากรทุกๆท่าน (พี่ Chaiyut, พี่ Ake Thamrong, พี่ Sai, พี่เชาว์, พี่แชมป์) ที่กรุณาให้ความรู้คำแนะนำในด้านการลงทุนแก่ผมและนักลงทุนท่านอื่นๆมาโดยตลอด
ขอขอบคุณมิตรภาพดีๆสำหรับเพื่อนๆนักลงทุน VI Chonburi ทุกท่าน
รวมไปถึงขอใช้โอกาสนี้ในการขอขอบคุณพี่ๆเพื่อนๆท่านอื่นๆ เช่นท่านอาจารย์นิเวศน์,ท่านอาจารย์ไพบูลย์, พี่โจลูกอีสาน, พี่ Web,พี่ Chatchai,พี่ IH,พี่คนขายของ,ลุงขวด,พี่วิบูลย์,พี่มนตรี, N’Hongvalue, พี่ Suwits, พี่หมอ Pongsak, พี่หมอ crazyrisk, พี่สุมาอี้, พี่ chinn, พี่ Notelio, พี่ Linzhi,พี่ Mario,พี่ yoyo, พี่ตี่ picatos, พี่ reiter, พี่ miracle, พี่ takky, พี่ vichit, พี่ worapong, พี่ Paul VI, พี่หมอบำรุง, พี่ ronnapum, พี่ picklife ,พี่ theenuch ,พี่ supparoj, พี่พีรนาถ, พี่ kabu, พี่แชน 1154 รวมไปถึงพี่ๆเพื่อนๆอีกหลายๆท่านที่ผมอาจจะกล่าวนามได้ไม่หมดที่ช่วยแนะนำการลงทุนให้ผมและเพื่อนๆมาโดยตลอด
ที่ผมมีความรู้ในด้านการลงทุนมาจนถึงทุกวันนี้ เป็นเพราะทุกท่านที่เมตตาให้คำแนะนำและช่วยชี้แนะผมมาโดยตลอด ขอขอบคุณทุกๆท่านจากใจจริงครับ และขอให้พี่ๆเพื่อนๆรวมไปถึงครอบครัวของทุกๆท่านมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงครับ
สุดท้ายนี้ ขอรำลึกถึงน้องเจ jayrelax 1 ในสมาชิกกิตติมศักดิ์ของ VI Chonburi ที่เสียชีวิตในช่วงต้นปีที่ผ่านมา เจ ยังอยู่ในใจพี่และเพื่อนๆสมาชิก VI Chonburi เสมอมาครับ
earthcu /4 Jun 16
VI Chonburi Meeting#10 Agenda
Meeting Date : Sunday 29 May 2016
11:15-12:00 สัมมนา#1 ธุรกิจโรงพยาบาลและโรงแรม P’Chaiyut (warlord)
13:00-14:15 สัมมนา #2 การวางแผนและชีวิตนักลงทุนเต็มเวลา P’Ake Thamrong
14:15-15:15 สัมมนา #3 ภาพการลงทุน ในยุคดอกเบี้ยต่ำระยะยาว P’ทิวา(Sai)
15:30-16:15 Q&A และ Share ประสบการณ์ส่วนตัว P’เชาว์ (Investment Biker)
16:15-17:00 สัมมนา #4 เมพชมพูสอนคุ้ยหุ้น P’Champ (Champ_ST)
สัมมนา 1 ธุรกิจโรงพยาบาลและโรงแรม P’Chaiyut (warlord)
1.ธุรกิจโรงพยาบาล
ลงทุนครั้งแรกเยอะ ถ้าหาลูกค้าได้ก็จะไปตลอด
ข้อดี 1.)Growth ต่อเนื่อง 2.)ค่ารักษาพยาบาลยังไม่แพงเมื่อเทียบกับที่อื่นๆ 3.)Local Monopoly 4.)Switching cost สูง 5.)Aging Society สังคมผู้สูงอายุ
ความเสี่ยง ขาดแคลนบุคลากรที่เชี่ยวชาญ, การฟ้องร้อง, การควบคุมจากรัฐ
การควบรวมกิจการ – ทำให้เพิ่มอํานาจการต่อรองกับ suppliers - เกิด EOS: Economy of Scale ใช้ทรัพยากรในการบริหารงาน ร่วมกัน – การส่งต่อคนไข้เพื่อการวินิจฉัยโรคที่ซับซ้อนมากขึ้น
2.ธุรกิจโรงแรม
ข้อดี – เติบโตต่อเนื่องตามการท่องเที่ยว และการเดินทางของประชากรในโลก - ธุรกิจมีลักษณะเป็น Location Based, Brand Recognition - อาศัยประสบการณ์, ความเชี่ยวชาญ และใบอนุญาต - ราคาห้องพักของโรงแรมไทย และค่าครองชีพยังถูก - ภูมิศาสตร์เป็น hub ในการคมนาคมไปยังประเทศเพื่อนบ้าน - ไมตรี และนิสัยการบริการของคนไทยดีเยี่ยม – สถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามในประเทศไทย
ความเสี่ยง สถานการณ์การเมือง, การก่อการร้าย, ภาวะเศรษฐกิจโลก
คำศัพท์ที่น่าสนใจ
OCC (Occupancy Rate): อัตราการเข้าพัก เช่น 80%
ARR (Average Room Rate): อัตราค่าห้องพักเฉลี'ยต่อคืน
REVPAR (Revenue per Available Room): อัตราค่าห้องพัก เฉลี่ยต่อห้องพักที่มีทั้งหมดในโรงแรม
REVPAR ย่อมาจาก Revenue per available room เกิดจากการนําเอารายได้จากห้องพัก หลังหักส่วนลดอะไรต่อมิอะไรหมดแล้ว มาหารด้วย จํานวนห้องทั้งหมดที่พร้อมขายให้ลูกค้าในช่วงเวลา นั้น สมมติโรงแรมมีห้องพร้อมขายได้ทั้งหมด 500 ห้องต่อวัน (บางทีอาจมี 550 ห้อง แต่ปิดปรับปรุงอยู่ 50 ห้อง ทําให้ห้องพร้อมขายมีเพียง 500 ห้อง) คิดเป็นรายไตรมาส เช่นไตรมาส 2 ก็มีจํานวนวันทั้งหมด 91 วัน จํานวนห้องพร้อมขายในไตรมาส 2 ก็จะเป็น 500*91 =45500 ห้อง กําหนดให้รายได้จากการขายห้องพักตลอดไตรมาส 2 เป็น 90 ล้านบาท เมื่อหารออกมาจะได้เป็นค่า REVPAR ประมาณ 2000 บาท
หากเรามีการปรับสูตรไปเรื่อยๆ เราจะได้สูตรการคํานวณ REVPAR แบบง่ายขึ้นก็คือ REVPAR เท่ากับ อัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อคืน × อัตราการเข้าพักเฉลี่ยในช่วงเวลานั้น จากสูตรหลัง เราจะเห็นว่า REVPAR คือค่าที่รวมเอาผลกระทบของ "ราคาห้องพัก" และ "อัตราการเข้า พัก" เข้าไว้หมดแล้ว ดังนั้น การอ่านบทวิเคราะห์หุ้นโรงแรม เราจึงให้ความสําคัญกับค่า REVPAR นี้เพียงอย่างเดียว เพราะ มันบอกทุกอย่างเกี่ยวกับโรงแรมเอาไว้ในนี้แล้ว การที' REVPAR ปรับตัวสูงขึ้น จึงหมายความว่ารายได้ของโรงแรมก็ควรจะสูงขึ้นตามไปด้วย REVPAR จะดีขึ้นหรือแย่ลงขึ้นอยู่กับว่าโรงแรมจะใช้กลยุทธเช่นไร ในบางช่วง อัตราการเข้าพักอาจจะ ต่ำ ซึ่งอาจทําให้ค่า REVPAR ลดลง แต่โรงแรมอาจขายห้องในราคาเฉลี่ยสูงขึ้น (นักท่องเที่ยวหลักอาจ เป็นยุโรปที่เลือกห้องที่มีราคาแพง) ท้ายที่สุด REVPAR อาจปรับตัวขึ้นแทนที่จะลงก็เป็นได้ โดยส่วนใหญ่การลดค่าห้องเพื่อหวังกระตุ้นอัตราการเข้าพักนั้น โรงแรมมักไม่เลือกใช้ เช่นในไตรมาส 2 ปีที่ แล้ว แม้จะมีเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง อัตราการเข้าพักต่ำลง โรงแรมระดับหรูกลับไม่ยอมลด ราคาลงมา เพราะถึงลดก็ไม่แน่ว่าจะทําให้อัตราเข้าพักสูงขึ้นได้ ท้ายสุดอาจไปทําให้ REVPAR แย่ลง หนักกว่าเดิมก็เป็นได้
ที่มา: facebook Wattana Stockpage
สัมมนา 2 การวางแผนและชีวิต นักลงทุนเต็มเวลา P’Ake Thamrong
1.เพื่อ cover รายจ่ายในการใช้ชีวิตสำหรับนักลงทุนเต็มเวลา จำเป็นที่เราจะต้องหา Passive Income
นอกจากนั้นเราควรที่จะเขียน,วางแผน ข้อมูลเกี่ยวกับ รายได้รายจ่าย โดยแบ่งข้อมูลเป็นรายได้ประจำ,ไม่ประจำ ค่าใช้จ่ายประจำ,ไม่ประจำ
โดยพื้นฐานเราควรที่จะมีเงินสำรองไว้สำหรับ cover ค่าใช้จ่ายอย่างน้อย 6 เดือน
2.ในสมัยที่ยังทำงานบริษัทอยู่นั้น ทัศนคติในการทำงานนั้น เราควรจะทำงานให้เต็มที่โดยต้องพยายามทำงานให้เกินเงินเดือน (อย่าทำงานแค่ให้ผ่านไปวันๆ) ซึ่งจะส่งผลทำให้เราเต็มที่กับเรื่องอื่นๆอย่างเช่นการลงทุน แล้วทำให้ผลของการลงทุนดีขึ้นตามไปด้วย คุณจะมีเงินหรือประสบความสำเร็จมากขนาดไหน อยู่ที่ว่าความสามารถของคุณถึงรึเปล่า
3.เรื่องการบริหารเวลานั้นเป็นเรื่องสำคัญมากของคนเรา เราควรจึงหาวิธีการบริหารเวลาให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ฟัง CD ความรู้ระหว่างขับรถ, อ่านหนังสือพิมพ์ธุรกิจในช่วงที่รอทานข้าวเป็นต้น
4.ความรู้ในการลงทุนเป็นสิ่งสำคัญ เราจึงควรตั้งเป้าในการอ่านหนังสือ, ศึกษาข้อมูลหุ้น ไว้ โดยแหล่งข้อมูลเบื้องต้นเช่นอ่านหนังสือพิมพ์ทางธุรกิจ,Annual Report , ศึกษาห้องร้อยคน ร้อยหุ้น ใน web thaivi เป็นต้น
5.รักใคร เทิดทูนใคร ต้องยึดหลักกาลามสูตร
(ผมขออนุญาติขยายความเพิ่มเติมจาก web http://www.easyinsurance4u.com/buddha4u/kalamasutta.htm)
กาลามสูตรกังขานิยฐาน 10 หมายถึง วิธีปฎิบัติในเรื่องที่ควรสงสัย หรือหลักความเชื่อ ที่ตรัสไว้ในกาลามสูตร
1. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา (มา อนุสฺสเวน)
2. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสีบๆกันมา (มา ปรมฺปราย)
3. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ (มา อิติกิราย)
4. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำรา หรือคัมภีร์ (มา ปิฏกสมฺปทาเนน)
5. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก (มา ตกฺกเหตุ)
6. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะอนุมาน (มา นยเหตุ)
7. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล (มา อาการปริวิตกฺเกน)
8. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว (มา ทิฏฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา)
9. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ (มา ภพฺพรูปตาย)
10. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา (มา สมโณ โน ครูติ)
ตัวอย่าง
1. อย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา ประเภท "เขาว่า" "ได้ยินมาว่า" ทั้งหลาย
2. อย่าได้ยึดถือถ้อยคำสืบๆกันมา ประเภท "ใครๆว่า" "โบราณว่า" ตามกระแส
3. อย่าได้ยึดถือโดยความตื่นข่าวว่า เข่าว่าอย่างนี้ ประเภทข่าวลือ ข่าวโคมลอย ทั้งหลาย
4. อย่าได้ยึดถือโดยอ้างตำรา อย่าไปตามตำรามากนัก ตำราว่าอย่างนั้น ต้องออกมาเป็นอย่างนั้น เท่านั้น เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เด็ดขาด เพราะอย่าลืมว่า ตำราบางเล่ม คนแต่งก็มั่วมาบ้าง เขียนไม่ครบบ้าง ใส่ไข่เอาเองบ้าง คนมีกิเลสไปแก้ไขตำรา คนมีผลประโยขน์ ไม่แก้ไขตำราเท่ากับเราโดนหลอก
5. อย่าได้ยึดถือโดยนึกเดาเอาเอง เช่น เข้าใจเอาเอง หรือข้อมูลไม่พอ ใจร้อนเดาสุ่มเอา มั่วๆ เอา
6. อย่าได้ยึดถือโดยการคาดคะเน การคาดการณ์ตามประวัติศาสตร์ ตามสถิติ ความน่าจะเป็น ซึ่งอาจจะผิดก็ได้ เพราะเห็นแค่ร้อย อย่าเหมาว่าที่ร้อยเอ็ดจะเป็นไปด้วย
7. อย่าได้ยึดถือตรึงตามอาการ อย่าเห็นว่าอาการแบบนี้ น่าจะเป็นแบบนี้ ให้คิดเผื่อๆไว้ด้วย เช่น เห็นคนไข้เป็นแบบที่เคยรักษาคนอื่นๆมาก่อน อย่าไปตรึกเอาเองว่าเป็นแบบนั้น เห็นเงาก็จ่ายยาได้ เพราะเหนือฟ้ายังมีฟ้า อย่าเข้าข้างตนเอง นั่งสมาธิเห็นโน่น เห็นนี้ อย่านึกว่าเป็นจริง เพราะอาจจะเป็นจิตหลอกจิต
8. อย่าได้ยึดถือโดยชอบใจว่า ต้องกันกับทิฐิของตัว อย่าเอาความเห็นของตนเป็นใหญ่ อะไรที่ตรงกับที่ตนคิดไว้เท่านั้นที่เชื่อได้ คนคิดแบบนี้ ดื้อตายชัก
9. อย่าได้ยึดถือโดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้ ระวังจะโดนหลอก อย่าลืมว่า สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง
10. อย่าได้ยึดถือโดยความนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา การยึดอาจารย์ของตนเองมากไป ก็ไม่ดี ควรทำตาม ทดสอบดู ถ้าผิดพลาดก็ไม่ต้องเชื่อ ถ้าทำแล้วดีขึ้นก็แสดงว่าเชื่อได้
สัมมนา 3 ภาพการลงทุนในยุคดอกเบี้ยต่ำระยะยาว (P’ทิวา Sai)
1.ภาพปัจจุบันนั้น หลังจากเกิดปัญหา Subprime ที่ America นั้นหลังจากนั้นแต่ละประเทศนำโดย America ก็อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ ผ่าน QE1,2,3 ซึ่งหลังจากนั้นก็ทำให้ Europe และ Japan ก็หันมาใช้วิธีเดียวกัน ซึ่งส่งผลทำให้ดอกเบี้ยในบางประเทศเช่น Germany และ Japan ในปัจจุบันเองก็ถึงขั้นติดลบ
2.Demand ของโลกเริ่มค่อยๆลดลง ทำให้เศรษฐกิจเริ่มโตช้า ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการที่หลายๆประเทศในโลกเริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ Aging Society ซึ่งจะทำให้ต่อไปการที่จะหาหุ้น Growth นั้นจะเริ่มหายากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากแรงขับด้าน Demand ที่ค่อยๆต่ำลงเรื่อยๆ
3.Trend ใหญ่ของโลกในอนาคต คือแต่ละประเทศจะเริ่มไม่ใช้เงินสดหรือเงินกระดาษ รวมไปถึงดอกเบี้ยจะเริ่มติดลบ ซึ่งปัจจุบันประเทศ Sweden เองก็เริ่มเป็นเช่นนั้นแล้ว โดยนอกจากจะเริ่มไม่ใช้เงินสดและดอกเบี้ยติดลบแล้วยังใช้วิธีการแจกเงิน เช่นคนละ 30000 บาทเพื่อให้ประชาชนมีทางเลือกในการทำงานมากขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งใช้วิธีลดเงินงบประมาณจากส่วนอื่นๆเช่นลดเงินที่จ่ายให้ข้าราชการ
4.E-Commerce เองอาจจะเป็นปัจจัยที่ทำให้การเติบโต GDP ของโลกลดลง เพราะทุกคนจะสามารถซื้อสินค้าได้ในราคาที่ต่ำลง
5.เวลาลงทุนไปได้สักระยะเวลาหนึ่ง แล้วไม่เกิดอะไรขึ้น อาจจะทำให้เราประมาท ซึ่งมีโอกาสทำให้เกิดอันตรายขึ้นได้
6.เพราะอะไรนักลงทุนส่วนใหญ่ถึงไม่ประสบความสำเร็จ
ส่วนใหญ่ทุกคนรู้ว่าต้องทำอะไร ยังไงถึงจะประสบความสำเร็จ เพียงแต่ส่วนใหญ่นั้นไม่อยากทำตามนั้น มีเพียงส่วนน้อยที่ตั้งใจทำตามนั้นจึงเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ
ซึ่งวิธีการที่จะลงทุนให้ประสบความสำเร็จนั้นก็มีขั้นตอนดังนี้ คือ 1.)หา Idea ในการลงทุน 2.)ทำการบ้านเพิ่มเติม เพื่อดูว่า Idea อย่างนี้ work ไหม 3.)หาวิธีลด error ในการตัดสินใจ
แต่วิธีที่คนหลายคนที่ไม่ประสบความสำเร็จใช้ก็คือ 1.)ฟังคนอื่น 2.)ฟังคนที่ 2 แล้วดูว่าข้อมูลตรงกับคนที่ 1 ไหม 3.)ถ้าราคาหุ้นเริ่มขึ้น จะเริ่มซื้อหุ้น หลังจากนั้นถ้าราคาหุ้นเริ่มลง ถึงจะเริ่มอ่านบทวิเคราะห์และหรืออ่าน 56-1
(ซื้อด้วยความโลภ ขายด้วยความกลัว หรือซื้อเมื่ออ่อนตัว ขายเมื่ออ่อนใจ)
7.การลงทุนหรือการทำธุรกิจนั้นหลายๆกรณีที่ประสบความสำเร็จนั้นอาจจะไม่ใช่เรื่องของคนเพียงคนเดียว ยกตัวอย่างเช่น Alibaba ของ Jack Ma นั้นก็เกิดจากการรวมตัวของคนธรรมดา 18 คน
8.เรียนรู้ไม่หยุด อย่าหยุดที่จะเรียนรู้และอย่าคิดที่จะท้อแท้
Chalie Munger คนที่จะประสบความสำเร็จนั้น ขอเพียงแค่ให้ตื่นมาวันพรุ่งนี้ นั้นเราฉลาดขึ้นกว่าวันนี้ (อย่าหยุดที่จะเรียนรู้)
9.คนเราทุกคนมีศักยภาพพอๆกัน แต่สิ่งที่แตกต่างก็คือทัศนคติซึ่งจะเป็นตัวตัดสินระดับของความสำเร็จ
10.แนวทางที่จะประสบความสำเร็จนั้นมีหลายแนวทาง ซึ่งคุณอาจจะเลือกแนวทางไหนก็ได้เพียงแต่คุณต้องรู้จริง
Q&A Session และshare ประสบการณ์ส่วนตัว by P’เชาว์ (Investment Biker)
1.ลงทุนยังไงให้ปลอดภัยและได้กำไร
พยายามดูว่า 10 ปีข้างหน้าบริษัทหรืออุตสาหกรรมไหนยังมีกำไรโตต่อเนื่องสม่ำเสมอ ซึ่งจากการกรองบริษัทจาก 600 บริษัทอาจจะเหลือสัก 30 บริษัท แล้วไปดูว่าราคาหุ้นเมื่อเทียบกับมูลค่ากิจการเป็นอย่างไร
และพยายามดู Growth ของกำไรเทียบกับ P/E หลักการคล้ายๆ PEG
มั่นใจในหุ้นจริงๆถึงซื้อ ถ้าไม่มั่นใจก็ผ่าน
2.ช่วงแรกๆของการลงทุนของพี่เชาว์นั้น พยายามอ่านหนังสือของ Buffet, Peter Lynch, อาจารย์นิเวศน์ รวมไปถึงการอ่านหนังสือพวก Wall Street Journal แล้วพยายามนำมา apply ใช้กับกิจการในประเทศไทยอีกที
3.การลงทุนในปัจจุบันนั้นไม่ง่ายเหมือนสมัยก่อน
ช่วงก่อนๆ หุ้นที่มี P/E 7-10 เท่า และมี Growth ของกำไร 15-20% มีมากมายแต่ปัจจุบันนั้นหุ้นส่วนใหญ่มี P/E 10 กว่าเท่าเป็นอย่างต่ำ ในขณะที่กิจการดีๆหลายบริษัทนั้นอาจจะมี P/E 30-40 เท่า
4.หุ้นนอกสายตา ถ้าคนอื่นมองผิดแต่ถ้าเรามองถูก ก็มีโอกาสได้กำไรเยอะๆ
5.กับดักของนักลงทุนแนว VI
1.)ซื้อหุ้นที่กำไรเติบโต 2-3 ปีแล้วคิดว่ากำไรจะโตต่อเนื่อง ซึ่งจริงๆแล้วพื้นฐานกิจการไม่ได้แข็งแรงพอเวลาผ่านไปกำไรของบริษัทก็ลดลงเรื่อยๆ
2.)ซื้อหุ้นที่กำไรโตแค่ระยะสั้น อย่างหุ้นวัฏจักร อย่างบางบริษัทกำไรต่อหุ้นโตมาตลอดหลายๆปี เพราะราคา commodity ดีขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ดูเหมือน P/E ต่ำและเงินปันผลสูง ซึ่งถ้าไปซื้อหุ้นแล้วเป็นช่วงวัฏจักรขาลงก็อาจจะขาดทุนได้
6.วิธีลงทุนที่ดีและปลอดภัย คือซื้อหุ้นก่อนที่จะราคาหุ้นจะขึ้น อย่างเราเจอบางบริษัทราคาหุ้นที่ P/E ประมาณ 20 เท่า ในขณะที่ Growth ของบริษัทมองว่าน่าจะมากกว่า 40 % ต่อปีใน 2-3 ปีข้างหน้า ถ้าไปซื้อหุ้นหลังจากนั้นอีกสักระยะที่ราคาหุ้นเทียบกับ P/E 40-50 เท่า ซึ่งในตอนนั้นราคาหุ้นขึ้นไปแล้ว 100-200% (ความเสี่ยงที่จะมีโอกาสลงทุนผิดพลาดก็จะสูงขึ้น)
7.วิธีหนึ่งที่น่าสนใจคือการศึกษาหาข้อมูลหุ้นต่างประเทศ คือการทดลองเดินทางไปที่ต่างประเทศเช่น AEC, Europe, Japan,Asia เพื่อขยายขอบข่ายความรู้ของเรา
โดย Theme การลงทุนต่างประเทศที่น่าสนใจก็เช่น
1.)บริษัทที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ เช่นยารักษาโรคบางอย่าง , สมองกล โดยคนที่อยู่ในอุตสาหกรรมเหล่านี้มีโอกาสที่จะมองเห็นโอกาสได้ไวกว่าคนอื่นๆ
2.)ประเทศที่ตอนนี้เหมือนประเทศไทยเมื่อสัก 20-30 ปีก่อน ซึ่ง Trend ของอุตสาหกรรมในประเทศนั้นๆอาจจะเหมือนประเทศไทยในอดีตเช่น Modern Trade ได้ โดยเราอาจจะเลือกดูบริษัทที่ใหญ่ 20 บริษัทแรกของประเทศนั้นๆ เพราะสภาพคล่องของหุ้นอาจจะมากพอให้ลงทุนได้
3.)บริษัทที่จะได้รับประโยชน์จาก China Consumer Spending (การจับจ่ายใช้สอยของประชากรเมืองจีน) โดยปัจจุบันคนจีนมีเงินเยอะขึ้นเรื่อยๆ ทำให้บริษัทที่มีสินค้าที่คนจีนให้ความสนใจหรือนิยมในสินค้าก็จะมียอดขายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และส่งผลให้กิจการมีกำไรสูงขึ้นเรื่อยๆ ยกตัวอย่างเช่นกิจการขนม, เครื่องสำอาง,ถุงยางอนามัยของบริษัทในญี่ปุ่น
วิธีการหนึ่งในการดูว่าสินค้าไหนเป็นที่นิยมของคนจีนก็คืออาจจะไปตรวจสอบจาก web Taobao ของ Alibaba เป็นต้น
8.Dhando Investment
ลองดูบริษัทที่อาจจะ P/E ไม่สูงนัก เช่น 20 เท่า มีปันผลนิดหน่อย แต่มีศักยภาพที่ยอดขายอาจจะโตเป็น 10-50 เท่าในอนาคตและกำไรของบริษัทก็โต 10-50 เท่าตาม ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นซื้อแล้วถือหุ้นไปเรื่อยๆอาจจะได้กำไรเกิน 10 เด้ง แต่ถ้ากำไรไม่โตอย่างที่คาดก็อาจจะขาดทุนนิดหน่อยเช่น 20-30%
(ทุกอย่างในโลกนี้ไม่แน่นอน ถ้าคิดถูกก็เป็นหุ้นเปลี่ยนชีวิต แต่ถ้าผิดทางก็ขาดทุนไม่เยอะ) ซึ่งหุ้นลักษณะนี้อาจจะโผล่มาไม่บ่อยนักเช่น 2 ปีถึงอาจจะเจอสักตัวหนึ่ง)
9.Portfolio Management เลือกถือหุ้นสัก 5 บริษัท โดยที่ monitor หุ้นสัก 30 บริษัท
10.รูปแบบการลงทุนหนึ่งที่ใช้คือ บริษัทที่สินค้าหรือผลิตภัณฑ์เข้าใจง่าย เป็นของที่ผู้บริโภคใช้อยู่เรื่อยๆ, หนี้ของบริษัทไม่ค่อยมี , มี Cash flow ของกิจการที่ดีขึ้นเรื่อยๆ
สัมมนา #4 เมพชมพูสอนคุ้ยหุ้น
1. คบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพา ไปหาผล
1 ปี ที่ลองผิดลองถูก
4 ปี ที่เรียนฟันดาบ
5 ปี ในสนามรบ
และถ้าเราอยู่รอดเราคือ ” ยอดขุนพล ”
2.หุ้นหรือบริษัทที่มีโอกาสที่ราคาหุ้นจะขึ้นนั้นอาจจำเป็นต้องมี Story หรือ Catalyst
ยกตัวอย่างเช่น ตั้งกองทุน XXX , ปันผลพิเศษ , มีพันธมิตรใหม่ , มีคนจะ Take Over กิจการ , ขยายกำลังการผลิต, งบดี เป็นต้น
3.ตัวอย่างระบบการลงทุนหรือวิธีการลงทุนที่เลือกใช้
1.)Canslim (สามารถอ่านรายละเอียดได้จากหนังสือ How to make money in stocks Canslim คัดหุ้นชั้นยอดด้วยระบบชั้นเยี่ยม)
2.)Phillip A Fisher (สามารถอ่านรายละเอียดได้จากหนังสือหุ้นสามัญกับกำไรที่ไม่สามัญ Common Stocks and Uncommon Profits)
โดยจะ List หัวข้อเพื่อดูคุณภาพของกิจการ เช่น สินค้า/บริการที่มีศักยภาพ, พัฒนาสินค้า/กระบวนการผลิตต่อเนื่อง,ประสิทธิภาพของงานวิจัยและพัฒนา,ฝ่ายจัดการพูดกับนักลงทุนอย่างเปิดเผย แล้วพยายามที่จะให้คะแนนออกมาเป็นตัวเลขในแต่ละหัวข้อเพื่อที่จะเลือกกิจการที่มีคุณภาพสูง
4.ข้อคิดที่ฝากไว้
1.) อย่าเชื่อเพียงเพราะเขาพูดจาดี น่าเชื่อถือ มีหลักการ หรือตรงกับความคิดเห็นของ เรา แต่ให้รับฟังสิ่งทีเขาพูด เอาไปคิดวิเคราะห์ แยกแยะ และตรวจสอบ เพื่อใช้ใน การพัฒนา และแบ่งแยกคนที่เป็นเพชร ออกจากคนที่เป็นกากเพชร
คนที่เป็นเพชรสิ่งที่เขาพูด แสดงความคิดเห็น วิเคราะห์ให้เราฟัง เมื่อเวลาผ่านไป มันก็เป็นไปตามที่เขาพูด (ไม่ได้เกี่ยวกับว่าราคาของหุ้น) อยากรู้ก็ไปเปิดอ่านย้อนๆประวัติดูไม่น่าจะยาก
2.)มีเพื่อนๆ ได้แลกเปลี่ยน มุมมอง ได้ฟังแนวคิด มันทําให้เราพัฒนา เพียงแต่เราต้องหาให้เจอว่าเป็นใครที่ลงทุนหุ้นสไตล์เดียวกับเรา สนใจอะไร แบบเดียวกัน หรือถ้าต่างสไตล์กันเราก็จะได้เรียนรู้แต่ต้องเป็นคนที่พร้อมเปิดรับ
3.)อย่าหลอกตัวเอง ซื้อด้วยเหตุผลใด ก็จงขายด้วยเหตุผลแบบเดียวกัน
4.)คนเราผิดพลาดได้ คิดผิดขาดทุนได้ แต่อย่าท้อถอย และอย่าทําผิดอะไรที่มันซ้ำซาก ถ้าลงทุนแล้วไม่ประสบความสำเร็จ ก็อาจจะพิจารณาเปลี่ยนแนวทางลงทุน โดยพยายามปรับอารมณ์ก่อน และที่สำคัญคือหาความรู้ก่อนลงทุน และหาแนวทางที่เหมาะสมกับตัวเอง
ผมขออนุญาตเรียบเรียงเนื้อหาใหม่ตามที่ผมเข้าใจครับ รวมไปถึงอาจจะอธิบายเพิ่มเติมในบางจุดเพื่อให้เพื่อนๆท่านอื่นๆเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้นครับ ซึ่งลำดับของเนื้อหาอาจจะไม่ตรงกับที่ทางวิทยากรได้พูด ในกรณีที่อาจจะไม่ตรงกับเนื้อหาที่วิทยากรต้องการสื่อสาร ผมขอความกรุณาเพื่อนๆท่านอื่นที่ไปฟังในวันดังกล่าวหรือท่านวิทยากรช่วยแนะนำเพิ่มเติมหรือแก้ไขให้ด้วยครับ
ขอขอบคุณพี่ Chaiyut เจ้าภาพจัดงานในครั้งนี้ที่ช่วยจัดงานดีๆที่ให้ความรู้กับผมและเพื่อนๆนักลงทุนท่านอื่นๆ
ขอขอบคุณวิทยากรทุกๆท่าน (พี่ Chaiyut, พี่ Ake Thamrong, พี่ Sai, พี่เชาว์, พี่แชมป์) ที่กรุณาให้ความรู้คำแนะนำในด้านการลงทุนแก่ผมและนักลงทุนท่านอื่นๆมาโดยตลอด
ขอขอบคุณมิตรภาพดีๆสำหรับเพื่อนๆนักลงทุน VI Chonburi ทุกท่าน
รวมไปถึงขอใช้โอกาสนี้ในการขอขอบคุณพี่ๆเพื่อนๆท่านอื่นๆ เช่นท่านอาจารย์นิเวศน์,ท่านอาจารย์ไพบูลย์, พี่โจลูกอีสาน, พี่ Web,พี่ Chatchai,พี่ IH,พี่คนขายของ,ลุงขวด,พี่วิบูลย์,พี่มนตรี, N’Hongvalue, พี่ Suwits, พี่หมอ Pongsak, พี่หมอ crazyrisk, พี่สุมาอี้, พี่ chinn, พี่ Notelio, พี่ Linzhi,พี่ Mario,พี่ yoyo, พี่ตี่ picatos, พี่ reiter, พี่ miracle, พี่ takky, พี่ vichit, พี่ worapong, พี่ Paul VI, พี่หมอบำรุง, พี่ ronnapum, พี่ picklife ,พี่ theenuch ,พี่ supparoj, พี่พีรนาถ, พี่ kabu, พี่แชน 1154 รวมไปถึงพี่ๆเพื่อนๆอีกหลายๆท่านที่ผมอาจจะกล่าวนามได้ไม่หมดที่ช่วยแนะนำการลงทุนให้ผมและเพื่อนๆมาโดยตลอด
ที่ผมมีความรู้ในด้านการลงทุนมาจนถึงทุกวันนี้ เป็นเพราะทุกท่านที่เมตตาให้คำแนะนำและช่วยชี้แนะผมมาโดยตลอด ขอขอบคุณทุกๆท่านจากใจจริงครับ และขอให้พี่ๆเพื่อนๆรวมไปถึงครอบครัวของทุกๆท่านมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงครับ
สุดท้ายนี้ ขอรำลึกถึงน้องเจ jayrelax 1 ในสมาชิกกิตติมศักดิ์ของ VI Chonburi ที่เสียชีวิตในช่วงต้นปีที่ผ่านมา เจ ยังอยู่ในใจพี่และเพื่อนๆสมาชิก VI Chonburi เสมอมาครับ
earthcu /4 Jun 16
Life is beautiful + Financial freedom within 2015 by investment stock & real estate
- dome@perth
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4740
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปความรู้งาน meeting VI ชลบุรีครั้งที่ 10 (29 พ.ค.59)
โพสต์ที่ 5
ขอบคุณครับ
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1284
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปความรู้งาน meeting VI ชลบุรีครั้งที่ 10 (29 พ.ค.59)
โพสต์ที่ 8
ขอบคุณมากครับ รู้สึกว่าจะสรุปได้ดีกว่าที่ผมพูดเสียอีก
เรื่องกับดัก vi ที่มีน้องคนนึงถาม ตอนตอบผมคงพูดไม่ค่อยครบ ขอสรุปกับดักที่มักทำให้วีไอขาดทุนมากๆ ดังนี้
1 หุ้นที่เติบโตระยะสั้นอาจจะ 2-3 ปี แต่บริษัทไม่ได้มี DCA/Moats ทั้งนี้อาจเกิดจากการได้ประโยชน์จากปัจจัยภายนอกบางอย่างที่ทำให้รายได้และกำไรดูดีแค่ชั่วคราว คนที่ซื้อตอนหุ้นขึ้นไปมากแล้วเพราะคิดว่าจะโดต่อเนื่อง อาจจะเจ็บหนัก
2 หุ้น cyclical ที่ทำเนียนเป็นหุ้น growth รายได้ กำไร อาจโตติดต่อกันหลายปีจากขาขึ้นของวัฏจักร ทำให้เข้าใจผิดคิดว่าเป็นหุ้น growth หากซื้อเข้าไปตรงยอดวัฏจักร อาจขาดทุนเกิน 50% ได้อย่างรวดเร็ว
3 หุ้นที่วาดฝันสวยหรู เปลียนธุรกิจ มีนวัตกรรม มีความสามารถพิเศษ มี backlogs อยู่ใน megatrends ตอนนี้ยังขาดทุน แต่อนาคตจะกำไรมหาศาล ส่วนใหญ่เป็นแค่แมงโม้ หลอกแดกตังค์นักลงทุน เขียนแผนธุรกิจมันง่าย ทำให้เกิดได้จริงๆ เป็นแค่ส่วนน้อย ธุรกิจแบบ Uber ที่เป็น Unicorn จริงๆ มีไม่มาก ส่วนใหญ่ที่เห็นมักเป็นฝูงลาที่แสร้งทำตัวเป็น Unicorn
4 ธุรกิจที่เราไม่เข้าใจอย่างแท้จริง บางทีกิจการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตัวเลขรายได้ กำไร ดูดีมาตลอด ราคาไม่แพง PE ต่ำแต่ growth สูง เห็นแล้วต้องตีแตก แต่แล้วราคาหุ้นกลับลดลง สวนทางกับผลประกอบการที่ดีขึ้น เราอาจจะถัวซื้อเพิ่ม แต่แล้วถูกแล้ว กลับมีถูกกว่า นี่คืออัลไล
เฉลยมาตอนหลังครับ หลังจากราคาลงมาจนขายไม่ลง ถึงทราบว่างบการเงินโดนแต่งมาตลอดทาง ตัวเลขทั้งหมดไม่ใช่เรื่องจริง ถ้าไม่กล้า cut loss ก็เหลือศูนย์ เพราะบริษัทพวกนี้จะโดนออกจากตลาด นักลงทุนได้แค่กระดาษไว้ดูต่างหน้า
การลงทุนมีความเสี่ยง ลงทุนแบบง่ายๆ ดีที่สุดครับ เล่นท่ายาก มักจะเจ็บตัว
เรื่องกับดัก vi ที่มีน้องคนนึงถาม ตอนตอบผมคงพูดไม่ค่อยครบ ขอสรุปกับดักที่มักทำให้วีไอขาดทุนมากๆ ดังนี้
1 หุ้นที่เติบโตระยะสั้นอาจจะ 2-3 ปี แต่บริษัทไม่ได้มี DCA/Moats ทั้งนี้อาจเกิดจากการได้ประโยชน์จากปัจจัยภายนอกบางอย่างที่ทำให้รายได้และกำไรดูดีแค่ชั่วคราว คนที่ซื้อตอนหุ้นขึ้นไปมากแล้วเพราะคิดว่าจะโดต่อเนื่อง อาจจะเจ็บหนัก
2 หุ้น cyclical ที่ทำเนียนเป็นหุ้น growth รายได้ กำไร อาจโตติดต่อกันหลายปีจากขาขึ้นของวัฏจักร ทำให้เข้าใจผิดคิดว่าเป็นหุ้น growth หากซื้อเข้าไปตรงยอดวัฏจักร อาจขาดทุนเกิน 50% ได้อย่างรวดเร็ว
3 หุ้นที่วาดฝันสวยหรู เปลียนธุรกิจ มีนวัตกรรม มีความสามารถพิเศษ มี backlogs อยู่ใน megatrends ตอนนี้ยังขาดทุน แต่อนาคตจะกำไรมหาศาล ส่วนใหญ่เป็นแค่แมงโม้ หลอกแดกตังค์นักลงทุน เขียนแผนธุรกิจมันง่าย ทำให้เกิดได้จริงๆ เป็นแค่ส่วนน้อย ธุรกิจแบบ Uber ที่เป็น Unicorn จริงๆ มีไม่มาก ส่วนใหญ่ที่เห็นมักเป็นฝูงลาที่แสร้งทำตัวเป็น Unicorn
4 ธุรกิจที่เราไม่เข้าใจอย่างแท้จริง บางทีกิจการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตัวเลขรายได้ กำไร ดูดีมาตลอด ราคาไม่แพง PE ต่ำแต่ growth สูง เห็นแล้วต้องตีแตก แต่แล้วราคาหุ้นกลับลดลง สวนทางกับผลประกอบการที่ดีขึ้น เราอาจจะถัวซื้อเพิ่ม แต่แล้วถูกแล้ว กลับมีถูกกว่า นี่คืออัลไล
เฉลยมาตอนหลังครับ หลังจากราคาลงมาจนขายไม่ลง ถึงทราบว่างบการเงินโดนแต่งมาตลอดทาง ตัวเลขทั้งหมดไม่ใช่เรื่องจริง ถ้าไม่กล้า cut loss ก็เหลือศูนย์ เพราะบริษัทพวกนี้จะโดนออกจากตลาด นักลงทุนได้แค่กระดาษไว้ดูต่างหน้า
การลงทุนมีความเสี่ยง ลงทุนแบบง่ายๆ ดีที่สุดครับ เล่นท่ายาก มักจะเจ็บตัว
In search of super stocks
- Linzhi
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1464
- ผู้ติดตาม: 1
Re: สรุปความรู้งาน meeting VI ชลบุรีครั้งที่ 10 (29 พ.ค.59)
โพสต์ที่ 9
ขอบคุณมากที่สรุปมาให้ครับพี่เอก แจ๋วมากเลย vi ชลบุรีนี่เข้มแข็งจริง ๆ
ขอบคุณวิทยากรด้วยนะครับ กับดัก vi 4 ข้อนี่ครบถ้วนตกผลึก
ขอบคุณวิทยากรด้วยนะครับ กับดัก vi 4 ข้อนี่ครบถ้วนตกผลึก
ก้าวช้า ๆ และเชื่อในปาฎิหารย์ของหุ้นเปลี่ยนชีวิต
There is no secret ingredient. It's just you.
There is no secret ingredient. It's just you.