รถยนต์ไร้คนขับ
- นายมานะ
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1116
- ผู้ติดตาม: 0
รถยนต์ไร้คนขับ
โพสต์ที่ 1
ผมมีเขียนบทความเกี่ยวกับรถยนต์ไร้คนขับ คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ ขออนุญาตเอามาลงนะครับ
รถยนต์ไร้คนขับ นวัตกรรมระดับพลิกโลก
รถยนต์ไร้คนขับไม่ได้เป็นเพียงส่วนประกอบของนิยายไซไฟอีกต่อไปแล้ว แต่รถยนต์ไร้คนขับกำลังเกิดขึ้นจริงๆ บนโลก Google ได้พัฒนารถยนต์ไร้คนขับมาตั้งแต่ปี 2009 โดยในขณะนี้รถยนต์ไร้คนขับของ Google วิ่งไปแล้วมากกว่า 1.7 ล้านไมล์ (2.7 ล้านกม.). โดยรถยนต์ไร้คนขับได้รับอนุญาตให้วิ่งได้แล้ว 4 รัฐในสหรัฐอเมริกา ในขณะที่อังกฤษ ฝรั่งเศส สวิซเซอร์แลนด์ได้อนุญาตให้รถยนต์ไร้คนขับทดลองวิ่งแล้ว โดยสิงคโปร์เตรียมที่จะทดลองให้วิ่งภายในปี 2016 นี้ ในขณะที่ Google มีแผนที่จะผลิตเพื่อจัดจำหน่ายในปี 2017
รถยนต์เป็นหนึ่งนวัตกรรมของมนุษย์ที่ช่วยให้การขนส่งมีประสิทธิภาพขึ้นอย่างมหาศาล นอกจากนี้ยังสร้าง Ecosystem ที่ประกอบไปด้วยหลากหลายธุรกิจ อาทิ ผู้ผลิตรถยนต์ ผู้ผลิตชิ้นส่วน บริษัทดีลเลอร์ บริษัทประกัน บริษัทไฟแนนซ์ ตลอดจนบริษัทปิโตรเลียม ถนน และสาธารณูปโภคอื่นๆ ทั้งหมดนี้ทำให้ระบบเศรษฐกิจเติบโต เป็นเม็ดเงินมหาศาล อย่างไรก็ดีการเกิดขึ้นของรถยนต์เองก็มีผลเสียอยู่บ้าง อุบัติเหตุจากบนท้องถนนทำให้มีผู้เสียชีวิตถึงวันละ 1.2 ล้านราย นอกจากนี้รถยนต์ยังใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งเป็นสาเหตุของปัญหาโลกร้อน และมลภาวะทางสิ่งแวดล้อม
รถยนต์ไร้คนขับสามารถที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ทั้งหมด Research ของ Google บอกว่ารถยนต์ไร้คนขับสามารถที่จะ
- ลดอุบัติเหตุได้ถึง 90%
- ลดปริมาณรถยนต์ในระบบได้ถึง 90%
- ลดพลังงานที่ใช้และเวลาที่สูญเปล่าได้ถึง 90%
อย่างที่ทราบกันดีว่าอุบัติเหตุท้องถนนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยปกติ แต่ก็เหมือนกับในกระบวนการผลิตของโรงงาน สาเหตุของอุบัติเหตุส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากจักรกล แต่เกิดจากความผิดพลาดของคนเรานี้เอง
ย้อนกลับไปเมื่อปี 1996 Garry Kasparov ซึ่งเป็นแชมป์หมากรุกของโลก ได้พ่ายแพ้ครั้งแรกให้กับ Blue deep ซึ่งเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์เกม นั่นเป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนของศักยภาพที่ AI สามารถจะพัฒนาได้ AI สามารถที่จะคิดคำนวณได้ซับซ้อนกว่า เร็วกว่า และผิดพลาดน้อยกว่ามนุษย์ ในปัจจุบันนี้เทคโนโลยีช่วยขับขี่ (driver assistance) สามารถช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุได้ประมาณครึ่งหนึ่ง ในขณะที่รถยนต์ไร้คนขับจะสามารถทำได้ดีกว่า จนถึงเดือนกรกฎาคมปี 2015 รถยนต์ไร้คนขับของ Google เกิดอุบัติเหตุเล็กน้อยทั้งหมด 14 ครั้ง โดยมีมากกว่าครึ่งที่เป็นฝ่ายถูกชน และอีกหลายครั้งเกิดจากการที่ผู้โดยสารปรับให้รถยนต์มาเป็นการขับขี่ด้วยตัวเอง (manual) โดยยังไม่มีครั้งไหนเลยที่อุบัติเหตุเกิดจากความผิดพลาดของการขับขี่โดย AI
ข้อได้เปรียบอีกประการหนึ่งของ AI คือ AI สามารถถ่ายทอดทักษะให้แก่กันและกันได้ในทันที ในขณะที่นายก. อาจใช้เวลาถึง 3 เดือนที่จะเรียนรู้วิธีการขับรถ แต่ AI ใช้เวลาในการ download ข้อมูลเหล่านั้นไม่กี่นาที สิ่งที่ AI แต่ละคันได้เรียนรู้ในการขับรถวันนี้ จะทำให้ AI ทุกคันฉลาดขึ้นในวันถัดไป
ปัจจุบันนี้ utilization rate ของการใช้รถยนต์อยู่ที่ประมาณ 3-5% หรือคิดเป็นประมาณวันละ 1 ชม. หรือก็คือรถยนต์แต่ละคันจะถูกจอดอยู่กับที่เป็นส่วนใหญ่ Uber เป็นหนึ่งในบริษัทที่เห็นช่องว่างตรงนี้ และเลือกทำธุรกิจ taxi platform โดยสร้าง efficiency จากเวลาของรถยนต์ที่ไม่ได้ถูกใช้ประโยชน์
Travis Kalanick ซีอีโอของบริษัท Uber ให้สัมภาษณ์ว่าราคาของ Uber จะถูกลงกว่านี้อีกมาก หากรถยนต์ของ Uber ไม่มีคนขับ หาก Uber หรือ Taxi platform สามารถให้บริการรถยนต์ไร้คนขับได้จริง ศักยภาพในการให้บริการของ Uber จะสูงขึ้นอีกมาก บทวิจัยจาก Google ยังบอกอีกว่า ต้นทุนของต่อการเดินทางต่อครั้ง จะถูกลงได้ถึง 80% การเกิดขึ้นของรถยนต์ไร้คนขับจะสร้างผลกระทบที่มากกว่ารถไฟฟ้า ซึ่งจะทำให้ความจำเป็นในการเป็นเจ้าของรถยนต์ลดลง
เมื่อปริมาณรถยนต์ในระบบลดลง ถนนก็จะโล่งมากขึ้น พลังงานและเวลาที่เราสูญเสียไปจากการจราจรติดขัดจะลดลง ประสิทธิภาพของการขับขี่ที่ดีขึ้นก็จะทำให้ประหยัดพลังงานได้มากขึ้น รถยนต์ไร้คนขับไม่มีการขับหลงทางและไม่ต้องวนหาที่จอดรถ และเมื่อปริมาณของอุบัติเหตุจะลดลง ความจำเป็นในการสร้างรถยนต์ให้แข็งแรงทนทาน ก็จะมีความจำเป็นลดลง รถยนต์จะเบาขึ้น และทำให้ปริมาณการใช้พลังงานลดลงไปอีก
การเกิดขึ้นของรถยนต์ไร้คนขับจะทำให้การใช้ทรัพยากรของโลกลดลงไปอย่างมหาศาล อุบัติเหตุที่ลดลงจะลดการใช้ทรัพยากรในการรักษาพยาบาล ปริมาณรถยนต์ที่ลดลงจะลดการใช้ทรัพยากรในการผลิตรถยนต์ จราจรที่ไม่ติดขัดก็จะทำให้ปริมาณการใช้พลังงานลดลง ทรัพยากรที่เหลือในระบบจะมากขึ้น
ในเชิงธุรกิจนั้น ผู้ที่ต้องปรับตัวจากปริมาณรถยนต์ที่ลดลงคือผู้ผลิตรถยนต์ ผู้ผลิตชิ้นส่วน ดีลเลอร์ และบริษัทไฟแนนซ์ อุบัติเหตุที่ลดลงจะทำให้งานของโรงพยาบาล ทนาย และบริษัทประกันลดลง การใช้พลังงานที่ลดลงจะกระทบกับบริษัทปิโตรเลียม
เมื่อรถยนต์ไร้คนขับวิ่งกันเต็มท้องถนน ถนนจะแคบลง เพราะไม่ต้องเว้นช่องไฟระหว่างรถแต่ละคันมากเท่ากับคน ความจำเป็นของไฟถนน ทางด่วนและป้ายจราจรจะลดลง ในขณะที่การจราจรที่ไม่ติดขัดจะทำให้วิถีชีวิตของคนเปลี่ยนไป การกระจุกตัวในเมืองใหญ่จะลดดีกรีลง บริษัทก่อสร้าง บริษัทอสังหาริมทรัพย์ บริษัทขนส่งมวลชน รวมไปถึงรัฐบาลจะเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบตามมา
และเมื่อกลุ่มอุตสาหกรรมทั้งหมดที่กล่าวได้รับผลกระทบตามมาแล้ว การเกิดดับของบริษัทเหล่านี้ก็จะกระทบอุตสาหกรรมอีกมากมาย กลายเป็นผลกระทบลูกโซ่ (Ripple effect) สู่วงกว้าง
นวัตกรรมรถยนต์ไร้คนขับจึงถือเป็นนวัตกรรมที่น่าจับตามมอง โดยส่วนตัวผมเชื่อว่ารถยนต์ไร้คนขับจะนวัตกรรมที่ disrupt ธุรกิจอื่นๆ ได้มากที่สุดอย่างหนึ่งในโลกยุคปัจจุบัน
เนื้อหาหลักของบทความฉบับนี้มาจากบทความของคุณ Chunka Mui จาก Forbes ขอขอบคุณมา ณ ทีนี้ด้วยครับ
http://www.forbes.com/…/fasten-your-sea ... gles-drive…
แหล่งที่มาอื่นๆ
http://www.forbes.com/…/google-is-milli ... les-ahead-…/
https://www.washingtonpost.com/…/will-s ... ng-cars-so…/
http://www.theverge.com/…/uber-will-eve ... place-all-…
https://en.wikipedia.org/wiki/Google_driverless_car
https://en.wikipedia.org/wiki/Autonomous_car
https://en.wikipedia.org/wiki/Computer_chess
https://www.youtube.com/watch?v=4H36uvNCsnA
https://www.youtube.com/watch?v=tiwVMrTLUWg
รถยนต์ไร้คนขับ นวัตกรรมระดับพลิกโลก
รถยนต์ไร้คนขับไม่ได้เป็นเพียงส่วนประกอบของนิยายไซไฟอีกต่อไปแล้ว แต่รถยนต์ไร้คนขับกำลังเกิดขึ้นจริงๆ บนโลก Google ได้พัฒนารถยนต์ไร้คนขับมาตั้งแต่ปี 2009 โดยในขณะนี้รถยนต์ไร้คนขับของ Google วิ่งไปแล้วมากกว่า 1.7 ล้านไมล์ (2.7 ล้านกม.). โดยรถยนต์ไร้คนขับได้รับอนุญาตให้วิ่งได้แล้ว 4 รัฐในสหรัฐอเมริกา ในขณะที่อังกฤษ ฝรั่งเศส สวิซเซอร์แลนด์ได้อนุญาตให้รถยนต์ไร้คนขับทดลองวิ่งแล้ว โดยสิงคโปร์เตรียมที่จะทดลองให้วิ่งภายในปี 2016 นี้ ในขณะที่ Google มีแผนที่จะผลิตเพื่อจัดจำหน่ายในปี 2017
รถยนต์เป็นหนึ่งนวัตกรรมของมนุษย์ที่ช่วยให้การขนส่งมีประสิทธิภาพขึ้นอย่างมหาศาล นอกจากนี้ยังสร้าง Ecosystem ที่ประกอบไปด้วยหลากหลายธุรกิจ อาทิ ผู้ผลิตรถยนต์ ผู้ผลิตชิ้นส่วน บริษัทดีลเลอร์ บริษัทประกัน บริษัทไฟแนนซ์ ตลอดจนบริษัทปิโตรเลียม ถนน และสาธารณูปโภคอื่นๆ ทั้งหมดนี้ทำให้ระบบเศรษฐกิจเติบโต เป็นเม็ดเงินมหาศาล อย่างไรก็ดีการเกิดขึ้นของรถยนต์เองก็มีผลเสียอยู่บ้าง อุบัติเหตุจากบนท้องถนนทำให้มีผู้เสียชีวิตถึงวันละ 1.2 ล้านราย นอกจากนี้รถยนต์ยังใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งเป็นสาเหตุของปัญหาโลกร้อน และมลภาวะทางสิ่งแวดล้อม
รถยนต์ไร้คนขับสามารถที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ทั้งหมด Research ของ Google บอกว่ารถยนต์ไร้คนขับสามารถที่จะ
- ลดอุบัติเหตุได้ถึง 90%
- ลดปริมาณรถยนต์ในระบบได้ถึง 90%
- ลดพลังงานที่ใช้และเวลาที่สูญเปล่าได้ถึง 90%
อย่างที่ทราบกันดีว่าอุบัติเหตุท้องถนนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยปกติ แต่ก็เหมือนกับในกระบวนการผลิตของโรงงาน สาเหตุของอุบัติเหตุส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากจักรกล แต่เกิดจากความผิดพลาดของคนเรานี้เอง
ย้อนกลับไปเมื่อปี 1996 Garry Kasparov ซึ่งเป็นแชมป์หมากรุกของโลก ได้พ่ายแพ้ครั้งแรกให้กับ Blue deep ซึ่งเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์เกม นั่นเป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนของศักยภาพที่ AI สามารถจะพัฒนาได้ AI สามารถที่จะคิดคำนวณได้ซับซ้อนกว่า เร็วกว่า และผิดพลาดน้อยกว่ามนุษย์ ในปัจจุบันนี้เทคโนโลยีช่วยขับขี่ (driver assistance) สามารถช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุได้ประมาณครึ่งหนึ่ง ในขณะที่รถยนต์ไร้คนขับจะสามารถทำได้ดีกว่า จนถึงเดือนกรกฎาคมปี 2015 รถยนต์ไร้คนขับของ Google เกิดอุบัติเหตุเล็กน้อยทั้งหมด 14 ครั้ง โดยมีมากกว่าครึ่งที่เป็นฝ่ายถูกชน และอีกหลายครั้งเกิดจากการที่ผู้โดยสารปรับให้รถยนต์มาเป็นการขับขี่ด้วยตัวเอง (manual) โดยยังไม่มีครั้งไหนเลยที่อุบัติเหตุเกิดจากความผิดพลาดของการขับขี่โดย AI
ข้อได้เปรียบอีกประการหนึ่งของ AI คือ AI สามารถถ่ายทอดทักษะให้แก่กันและกันได้ในทันที ในขณะที่นายก. อาจใช้เวลาถึง 3 เดือนที่จะเรียนรู้วิธีการขับรถ แต่ AI ใช้เวลาในการ download ข้อมูลเหล่านั้นไม่กี่นาที สิ่งที่ AI แต่ละคันได้เรียนรู้ในการขับรถวันนี้ จะทำให้ AI ทุกคันฉลาดขึ้นในวันถัดไป
ปัจจุบันนี้ utilization rate ของการใช้รถยนต์อยู่ที่ประมาณ 3-5% หรือคิดเป็นประมาณวันละ 1 ชม. หรือก็คือรถยนต์แต่ละคันจะถูกจอดอยู่กับที่เป็นส่วนใหญ่ Uber เป็นหนึ่งในบริษัทที่เห็นช่องว่างตรงนี้ และเลือกทำธุรกิจ taxi platform โดยสร้าง efficiency จากเวลาของรถยนต์ที่ไม่ได้ถูกใช้ประโยชน์
Travis Kalanick ซีอีโอของบริษัท Uber ให้สัมภาษณ์ว่าราคาของ Uber จะถูกลงกว่านี้อีกมาก หากรถยนต์ของ Uber ไม่มีคนขับ หาก Uber หรือ Taxi platform สามารถให้บริการรถยนต์ไร้คนขับได้จริง ศักยภาพในการให้บริการของ Uber จะสูงขึ้นอีกมาก บทวิจัยจาก Google ยังบอกอีกว่า ต้นทุนของต่อการเดินทางต่อครั้ง จะถูกลงได้ถึง 80% การเกิดขึ้นของรถยนต์ไร้คนขับจะสร้างผลกระทบที่มากกว่ารถไฟฟ้า ซึ่งจะทำให้ความจำเป็นในการเป็นเจ้าของรถยนต์ลดลง
เมื่อปริมาณรถยนต์ในระบบลดลง ถนนก็จะโล่งมากขึ้น พลังงานและเวลาที่เราสูญเสียไปจากการจราจรติดขัดจะลดลง ประสิทธิภาพของการขับขี่ที่ดีขึ้นก็จะทำให้ประหยัดพลังงานได้มากขึ้น รถยนต์ไร้คนขับไม่มีการขับหลงทางและไม่ต้องวนหาที่จอดรถ และเมื่อปริมาณของอุบัติเหตุจะลดลง ความจำเป็นในการสร้างรถยนต์ให้แข็งแรงทนทาน ก็จะมีความจำเป็นลดลง รถยนต์จะเบาขึ้น และทำให้ปริมาณการใช้พลังงานลดลงไปอีก
การเกิดขึ้นของรถยนต์ไร้คนขับจะทำให้การใช้ทรัพยากรของโลกลดลงไปอย่างมหาศาล อุบัติเหตุที่ลดลงจะลดการใช้ทรัพยากรในการรักษาพยาบาล ปริมาณรถยนต์ที่ลดลงจะลดการใช้ทรัพยากรในการผลิตรถยนต์ จราจรที่ไม่ติดขัดก็จะทำให้ปริมาณการใช้พลังงานลดลง ทรัพยากรที่เหลือในระบบจะมากขึ้น
ในเชิงธุรกิจนั้น ผู้ที่ต้องปรับตัวจากปริมาณรถยนต์ที่ลดลงคือผู้ผลิตรถยนต์ ผู้ผลิตชิ้นส่วน ดีลเลอร์ และบริษัทไฟแนนซ์ อุบัติเหตุที่ลดลงจะทำให้งานของโรงพยาบาล ทนาย และบริษัทประกันลดลง การใช้พลังงานที่ลดลงจะกระทบกับบริษัทปิโตรเลียม
เมื่อรถยนต์ไร้คนขับวิ่งกันเต็มท้องถนน ถนนจะแคบลง เพราะไม่ต้องเว้นช่องไฟระหว่างรถแต่ละคันมากเท่ากับคน ความจำเป็นของไฟถนน ทางด่วนและป้ายจราจรจะลดลง ในขณะที่การจราจรที่ไม่ติดขัดจะทำให้วิถีชีวิตของคนเปลี่ยนไป การกระจุกตัวในเมืองใหญ่จะลดดีกรีลง บริษัทก่อสร้าง บริษัทอสังหาริมทรัพย์ บริษัทขนส่งมวลชน รวมไปถึงรัฐบาลจะเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบตามมา
และเมื่อกลุ่มอุตสาหกรรมทั้งหมดที่กล่าวได้รับผลกระทบตามมาแล้ว การเกิดดับของบริษัทเหล่านี้ก็จะกระทบอุตสาหกรรมอีกมากมาย กลายเป็นผลกระทบลูกโซ่ (Ripple effect) สู่วงกว้าง
นวัตกรรมรถยนต์ไร้คนขับจึงถือเป็นนวัตกรรมที่น่าจับตามมอง โดยส่วนตัวผมเชื่อว่ารถยนต์ไร้คนขับจะนวัตกรรมที่ disrupt ธุรกิจอื่นๆ ได้มากที่สุดอย่างหนึ่งในโลกยุคปัจจุบัน
เนื้อหาหลักของบทความฉบับนี้มาจากบทความของคุณ Chunka Mui จาก Forbes ขอขอบคุณมา ณ ทีนี้ด้วยครับ
http://www.forbes.com/…/fasten-your-sea ... gles-drive…
แหล่งที่มาอื่นๆ
http://www.forbes.com/…/google-is-milli ... les-ahead-…/
https://www.washingtonpost.com/…/will-s ... ng-cars-so…/
http://www.theverge.com/…/uber-will-eve ... place-all-…
https://en.wikipedia.org/wiki/Google_driverless_car
https://en.wikipedia.org/wiki/Autonomous_car
https://en.wikipedia.org/wiki/Computer_chess
https://www.youtube.com/watch?v=4H36uvNCsnA
https://www.youtube.com/watch?v=tiwVMrTLUWg
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3227
- ผู้ติดตาม: 4
Re: รถยนต์ไร้คนขับ
โพสต์ที่ 3
ที่จุดหนึ่ง รถไร้คนขับจะกลายเป็น service ที่บริษัทให้บริการ ตัวคนนั่งไม่ได้เป็นเจ้าของเอง เป็นหน้าที่ของบริษัทเหล่านั้นที่จะเป็นคนจ่ายค่าประกัน ใบสั่ง ตลอดจนค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องyoko เขียน:ขอบคุณครับ
ผมสงสัยว่า
จำนวนรถจะลดลงจริงหรือ
เวลาเกิดอุบัติเหตุ ตำรวจจะออกใบสั่งใครหรือหาคู่กรณีอย่างไร
ส่วนในโมเดลที่เราเป็นเจ้าของเอง ค่าใช้จ่ายจะสูงกว่าใช้บริการมากๆ จนมีเพียงแค่คนกลุ่มหนึ่งที่เลือกที่จะเป็นเจ้าของ ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายบางอย่างที่บริษัทรถรับผิดชอบ บางส่วนเรารับผิดชอบ
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
-
- Verified User
- โพสต์: 381
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รถยนต์ไร้คนขับ
โพสต์ที่ 4
ในความเห็นผม ผมว่ารถไร้คนขับ ยังอยู่ห่างไกลจากความเป็นจริงอีกมาก
ผมขอยกตัวอย่างดังนี้
ถ้าสมมติมีเด็กเล็ก คนชรา เต่า สุนัข วิ่งตัดหน้ารถ
ถ้ามีคนขับ เราจะรูัว่าสิ่งนั้นคือะไร ตอบสนองอย่างไรจึงจะถูกต้อง
รถไร้คนขับ มันจะรู้ไหมว่าอะไรตัดหน้า และจะตอบสนองแต่ละกรณีเหมาะสมหรือไม่
ถ้ามีคนขับเราเห็นนํ้าบนถนนเราอาจไม่หลบ
แต่ถ้าเป็นคราบนํ้ามันเราอาจขับหลบ
รถไร้คนขับมันจะแยกคราบนํ้ากับนํ้ามันได้ไหม
ฯลฯ
ถ้ายังไม่ปลอดภัยในทุกกรณี ใครจะกล้าอนุญาตให้นํามาใช้
ผมขอยกตัวอย่างดังนี้
ถ้าสมมติมีเด็กเล็ก คนชรา เต่า สุนัข วิ่งตัดหน้ารถ
ถ้ามีคนขับ เราจะรูัว่าสิ่งนั้นคือะไร ตอบสนองอย่างไรจึงจะถูกต้อง
รถไร้คนขับ มันจะรู้ไหมว่าอะไรตัดหน้า และจะตอบสนองแต่ละกรณีเหมาะสมหรือไม่
ถ้ามีคนขับเราเห็นนํ้าบนถนนเราอาจไม่หลบ
แต่ถ้าเป็นคราบนํ้ามันเราอาจขับหลบ
รถไร้คนขับมันจะแยกคราบนํ้ากับนํ้ามันได้ไหม
ฯลฯ
ถ้ายังไม่ปลอดภัยในทุกกรณี ใครจะกล้าอนุญาตให้นํามาใช้
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3227
- ผู้ติดตาม: 4
Re: รถยนต์ไร้คนขับ
โพสต์ที่ 5
https://www.ted.com/talks/chris_urmson_ ... anguage=endrsp เขียน:ในความเห็นผม ผมว่ารถไร้คนขับ ยังอยู่ห่างไกลจากความเป็นจริงอีกมาก
ผมขอยกตัวอย่างดังนี้
ถ้าสมมติมีเด็กเล็ก คนชรา เต่า สุนัข วิ่งตัดหน้ารถ
ถ้ามีคนขับ เราจะรูัว่าสิ่งนั้นคือะไร ตอบสนองอย่างไรจึงจะถูกต้อง
รถไร้คนขับ มันจะรู้ไหมว่าอะไรตัดหน้า และจะตอบสนองแต่ละกรณีเหมาะสมหรือไม่
ถ้ามีคนขับเราเห็นนํ้าบนถนนเราอาจไม่หลบ
แต่ถ้าเป็นคราบนํ้ามันเราอาจขับหลบ
รถไร้คนขับมันจะแยกคราบนํ้ากับนํ้ามันได้ไหม
ฯลฯ
ถ้ายังไม่ปลอดภัยในทุกกรณี ใครจะกล้าอนุญาตให้นํามาใช้
ดู ted talk อันนี้แล้วกันครับ อธิบายเค้าๆ ว่า รถมองอย่างไร และตัดสินใจอย่างไร
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
-
- Verified User
- โพสต์: 740
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รถยนต์ไร้คนขับ
โพสต์ที่ 7
ธุระกิจโรงพยาบาลจะกระทบมากมั้ยครับ หรือเราต้องมาดูสัดส่วนรายได้ของโรงพยาบาลที่มาจากcaseอุบัติเหตุจากรถยนต์ว่าแต่ล่ะโรงพยาบาลมีมากน้อยแค่ใหนรึเปล่าครับนายมานะ เขียน:ผมมีเขียนบทความเกี่ยวกับรถยนต์ไร้คนขับ คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ ขออนุญาตเอามาลงนะครับ
รถยนต์ไร้คนขับ นวัตกรรมระดับพลิกโลก
รถยนต์ไร้คนขับไม่ได้เป็นเพียงส่วนประกอบของนิยายไซไฟอีกต่อไปแล้ว แต่รถยนต์ไร้คนขับกำลังเกิดขึ้นจริงๆ บนโลก Google ได้พัฒนารถยนต์ไร้คนขับมาตั้งแต่ปี 2009 โดยในขณะนี้รถยนต์ไร้คนขับของ Google วิ่งไปแล้วมากกว่า 1.7 ล้านไมล์ (2.7 ล้านกม.). โดยรถยนต์ไร้คนขับได้รับอนุญาตให้วิ่งได้แล้ว 4 รัฐในสหรัฐอเมริกา ในขณะที่อังกฤษ ฝรั่งเศส สวิซเซอร์แลนด์ได้อนุญาตให้รถยนต์ไร้คนขับทดลองวิ่งแล้ว โดยสิงคโปร์เตรียมที่จะทดลองให้วิ่งภายในปี 2016 นี้ ในขณะที่ Google มีแผนที่จะผลิตเพื่อจัดจำหน่ายในปี 2017
รถยนต์เป็นหนึ่งนวัตกรรมของมนุษย์ที่ช่วยให้การขนส่งมีประสิทธิภาพขึ้นอย่างมหาศาล นอกจากนี้ยังสร้าง Ecosystem ที่ประกอบไปด้วยหลากหลายธุรกิจ อาทิ ผู้ผลิตรถยนต์ ผู้ผลิตชิ้นส่วน บริษัทดีลเลอร์ บริษัทประกัน บริษัทไฟแนนซ์ ตลอดจนบริษัทปิโตรเลียม ถนน และสาธารณูปโภคอื่นๆ ทั้งหมดนี้ทำให้ระบบเศรษฐกิจเติบโต เป็นเม็ดเงินมหาศาล อย่างไรก็ดีการเกิดขึ้นของรถยนต์เองก็มีผลเสียอยู่บ้าง อุบัติเหตุจากบนท้องถนนทำให้มีผู้เสียชีวิตถึงวันละ 1.2 ล้านราย นอกจากนี้รถยนต์ยังใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งเป็นสาเหตุของปัญหาโลกร้อน และมลภาวะทางสิ่งแวดล้อม
รถยนต์ไร้คนขับสามารถที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ทั้งหมด Research ของ Google บอกว่ารถยนต์ไร้คนขับสามารถที่จะ
- ลดอุบัติเหตุได้ถึง 90%
- ลดปริมาณรถยนต์ในระบบได้ถึง 90%
- ลดพลังงานที่ใช้และเวลาที่สูญเปล่าได้ถึง 90%
อย่างที่ทราบกันดีว่าอุบัติเหตุท้องถนนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยปกติ แต่ก็เหมือนกับในกระบวนการผลิตของโรงงาน สาเหตุของอุบัติเหตุส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากจักรกล แต่เกิดจากความผิดพลาดของคนเรานี้เอง
ย้อนกลับไปเมื่อปี 1996 Garry Kasparov ซึ่งเป็นแชมป์หมากรุกของโลก ได้พ่ายแพ้ครั้งแรกให้กับ Blue deep ซึ่งเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์เกม นั่นเป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนของศักยภาพที่ AI สามารถจะพัฒนาได้ AI สามารถที่จะคิดคำนวณได้ซับซ้อนกว่า เร็วกว่า และผิดพลาดน้อยกว่ามนุษย์ ในปัจจุบันนี้เทคโนโลยีช่วยขับขี่ (driver assistance) สามารถช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุได้ประมาณครึ่งหนึ่ง ในขณะที่รถยนต์ไร้คนขับจะสามารถทำได้ดีกว่า จนถึงเดือนกรกฎาคมปี 2015 รถยนต์ไร้คนขับของ Google เกิดอุบัติเหตุเล็กน้อยทั้งหมด 14 ครั้ง โดยมีมากกว่าครึ่งที่เป็นฝ่ายถูกชน และอีกหลายครั้งเกิดจากการที่ผู้โดยสารปรับให้รถยนต์มาเป็นการขับขี่ด้วยตัวเอง (manual) โดยยังไม่มีครั้งไหนเลยที่อุบัติเหตุเกิดจากความผิดพลาดของการขับขี่โดย AI
ข้อได้เปรียบอีกประการหนึ่งของ AI คือ AI สามารถถ่ายทอดทักษะให้แก่กันและกันได้ในทันที ในขณะที่นายก. อาจใช้เวลาถึง 3 เดือนที่จะเรียนรู้วิธีการขับรถ แต่ AI ใช้เวลาในการ download ข้อมูลเหล่านั้นไม่กี่นาที สิ่งที่ AI แต่ละคันได้เรียนรู้ในการขับรถวันนี้ จะทำให้ AI ทุกคันฉลาดขึ้นในวันถัดไป
ปัจจุบันนี้ utilization rate ของการใช้รถยนต์อยู่ที่ประมาณ 3-5% หรือคิดเป็นประมาณวันละ 1 ชม. หรือก็คือรถยนต์แต่ละคันจะถูกจอดอยู่กับที่เป็นส่วนใหญ่ Uber เป็นหนึ่งในบริษัทที่เห็นช่องว่างตรงนี้ และเลือกทำธุรกิจ taxi platform โดยสร้าง efficiency จากเวลาของรถยนต์ที่ไม่ได้ถูกใช้ประโยชน์
Travis Kalanick ซีอีโอของบริษัท Uber ให้สัมภาษณ์ว่าราคาของ Uber จะถูกลงกว่านี้อีกมาก หากรถยนต์ของ Uber ไม่มีคนขับ หาก Uber หรือ Taxi platform สามารถให้บริการรถยนต์ไร้คนขับได้จริง ศักยภาพในการให้บริการของ Uber จะสูงขึ้นอีกมาก บทวิจัยจาก Google ยังบอกอีกว่า ต้นทุนของต่อการเดินทางต่อครั้ง จะถูกลงได้ถึง 80% การเกิดขึ้นของรถยนต์ไร้คนขับจะสร้างผลกระทบที่มากกว่ารถไฟฟ้า ซึ่งจะทำให้ความจำเป็นในการเป็นเจ้าของรถยนต์ลดลง
เมื่อปริมาณรถยนต์ในระบบลดลง ถนนก็จะโล่งมากขึ้น พลังงานและเวลาที่เราสูญเสียไปจากการจราจรติดขัดจะลดลง ประสิทธิภาพของการขับขี่ที่ดีขึ้นก็จะทำให้ประหยัดพลังงานได้มากขึ้น รถยนต์ไร้คนขับไม่มีการขับหลงทางและไม่ต้องวนหาที่จอดรถ และเมื่อปริมาณของอุบัติเหตุจะลดลง ความจำเป็นในการสร้างรถยนต์ให้แข็งแรงทนทาน ก็จะมีความจำเป็นลดลง รถยนต์จะเบาขึ้น และทำให้ปริมาณการใช้พลังงานลดลงไปอีก
การเกิดขึ้นของรถยนต์ไร้คนขับจะทำให้การใช้ทรัพยากรของโลกลดลงไปอย่างมหาศาล อุบัติเหตุที่ลดลงจะลดการใช้ทรัพยากรในการรักษาพยาบาล ปริมาณรถยนต์ที่ลดลงจะลดการใช้ทรัพยากรในการผลิตรถยนต์ จราจรที่ไม่ติดขัดก็จะทำให้ปริมาณการใช้พลังงานลดลง ทรัพยากรที่เหลือในระบบจะมากขึ้น
ในเชิงธุรกิจนั้น ผู้ที่ต้องปรับตัวจากปริมาณรถยนต์ที่ลดลงคือผู้ผลิตรถยนต์ ผู้ผลิตชิ้นส่วน ดีลเลอร์ และบริษัทไฟแนนซ์ อุบัติเหตุที่ลดลงจะทำให้งานของโรงพยาบาล ทนาย และบริษัทประกันลดลง การใช้พลังงานที่ลดลงจะกระทบกับบริษัทปิโตรเลียม
เมื่อรถยนต์ไร้คนขับวิ่งกันเต็มท้องถนน ถนนจะแคบลง เพราะไม่ต้องเว้นช่องไฟระหว่างรถแต่ละคันมากเท่ากับคน ความจำเป็นของไฟถนน ทางด่วนและป้ายจราจรจะลดลง ในขณะที่การจราจรที่ไม่ติดขัดจะทำให้วิถีชีวิตของคนเปลี่ยนไป การกระจุกตัวในเมืองใหญ่จะลดดีกรีลง บริษัทก่อสร้าง บริษัทอสังหาริมทรัพย์ บริษัทขนส่งมวลชน รวมไปถึงรัฐบาลจะเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบตามมา
และเมื่อกลุ่มอุตสาหกรรมทั้งหมดที่กล่าวได้รับผลกระทบตามมาแล้ว การเกิดดับของบริษัทเหล่านี้ก็จะกระทบอุตสาหกรรมอีกมากมาย กลายเป็นผลกระทบลูกโซ่ (Ripple effect) สู่วงกว้าง
นวัตกรรมรถยนต์ไร้คนขับจึงถือเป็นนวัตกรรมที่น่าจับตามมอง โดยส่วนตัวผมเชื่อว่ารถยนต์ไร้คนขับจะนวัตกรรมที่ disrupt ธุรกิจอื่นๆ ได้มากที่สุดอย่างหนึ่งในโลกยุคปัจจุบัน
เนื้อหาหลักของบทความฉบับนี้มาจากบทความของคุณ Chunka Mui จาก Forbes ขอขอบคุณมา ณ ทีนี้ด้วยครับ
http://www.forbes.com/…/fasten-your-sea ... gles-drive…
แหล่งที่มาอื่นๆ
http://www.forbes.com/…/google-is-milli ... les-ahead-…/
https://www.washingtonpost.com/…/will-s ... ng-cars-so…/
http://www.theverge.com/…/uber-will-eve ... place-all-…
https://en.wikipedia.org/wiki/Google_driverless_car
https://en.wikipedia.org/wiki/Autonomous_car
https://en.wikipedia.org/wiki/Computer_chess
https://www.youtube.com/watch?v=4H36uvNCsnA
https://www.youtube.com/watch?v=tiwVMrTLUWg
-
- Verified User
- โพสต์: 1475
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รถยนต์ไร้คนขับ
โพสต์ที่ 8
ก่อนหน้านี้มีข่าวเกี่ยวกับ เรื่องที่ว่า รถยนต์ไร้คนขับ จะตัดสินใจอย่างไรเมื่อไม่สามารถหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุได้ จะเสียสละชีวิตคนที่อยู่ในรถเพื่อปกป้องคนจำนวนมากกว่าหรือไม่ (ถึงแม้ว่าคนที่อยู่ในรถจะไม่เป็นฝ่ายที่ผิด) ทางผู้พัฒนารถยนต์ไร้คนขับจะต้องตัดสินใจตรงนี้ให้ได้ก่อนที่จะเอาระบบไปใช้ในวงกว้างครับ
http://www.iflscience.com/technology/sh ... d-scenario
http://www.iflscience.com/technology/sh ... d-scenario
- peacedev
- Verified User
- โพสต์: 668
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รถยนต์ไร้คนขับ
โพสต์ที่ 9
แค่ระบบไรคนเปลี่ยนเกียร์ ยังมีคันเร่งค้าง เกียร์เปลี่ยนไม่ถูก
ผมว่าระบบไร้คนขับ
ยังต้องผ่านการทดสอบอีกมาก
ผมว่าระบบไร้คนขับ
ยังต้องผ่านการทดสอบอีกมาก
http://peacedev.wordpress.com
"The Quant"
"The Quant"
- vim
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2748
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รถยนต์ไร้คนขับ
โพสต์ที่ 10
ระบบ"อัตโนมัติ"นี่มีปัญหาใหญ่ตรงที่หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา จะหาคนรับผิดชอบไม่ได้ การตัดสินใจของระบบอัตโนมัติไม่สามารถทำได้แม้เทคโนโลยีจะสูงแค่ไหน เพราะเป็นปัญหาเชิงปรัชญา
สมัยช่วง 90s มีเทคโนโลยีแบบเดียวกันออกมาจากฝั่งยุโรป มีการถกเถียง ปรับปรุง และทดสอบกับรถรุ่นต่างๆรวมไปถึงรถแข่ง F1
ระบบเหล่านี้มีตั้งแต่ระบบเกียร์อัตโนมัติ (AT) ระบบเบรคอัตโนมัติ (ABS) ระบบควบคุมความเสถียรอัตโนมัติ (ESC) ระบบไฟรถอัตโนมัติ (Automatic Headlight) และอื่นๆ จนสุดท้ายพัฒนามาเป็นระบบที่เรียกกันว่า Driving Assistant หรือระบบ "ช่วยขับ" ซึ่งคอยควบคุมการเร่ง การเบรค และควบคุมการควบคุมของการขับรถบนถนน ซึ่งระบบต่างๆก็มีจุดดีจุดเสียที่แตกต่างกันไป
แต่อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจก็ยังต้องเป็นของมนุษย์ควบคุม ซึ่งหากเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมามนุษย์จะต้องตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร ในรถแข่งบางประเภทระบบช่วยเหลือบางประเภทถูกห้ามใช้งาน เพราะมีจุดอ่อนที่คนขับไม่สามารถควบคุมรถได้เต็มที่ และเป็นเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ เช่นระบบเกียร์อัตโนมัติ และระบบควบคุมความเสถียร
ระบบที่ Google หรือ Tesla กำลังทำนั้น โดยส่วนตัวผมมองว่าแนวคิดค่อนข้างล้าสมัยเกินไป และมีช่องโหว่ที่สำคัญเชิงปรัชญา
แต่ในเชิงการตลาดแล้วผมคิดว่า Tesla ทำได้ดีมาก มีทีมกฏหมายที่เก่ง สามารถขายรถไฟฟ้าในราคาที่ขาดทุนโดยไม่ถูกฟ้องร้องด้านการแข่งขันไม่เป็นธรรม และโฆษณาเกินจริงได้โดยที่ผู้บริโภคยังคงพอใจ
สมัยช่วง 90s มีเทคโนโลยีแบบเดียวกันออกมาจากฝั่งยุโรป มีการถกเถียง ปรับปรุง และทดสอบกับรถรุ่นต่างๆรวมไปถึงรถแข่ง F1
ระบบเหล่านี้มีตั้งแต่ระบบเกียร์อัตโนมัติ (AT) ระบบเบรคอัตโนมัติ (ABS) ระบบควบคุมความเสถียรอัตโนมัติ (ESC) ระบบไฟรถอัตโนมัติ (Automatic Headlight) และอื่นๆ จนสุดท้ายพัฒนามาเป็นระบบที่เรียกกันว่า Driving Assistant หรือระบบ "ช่วยขับ" ซึ่งคอยควบคุมการเร่ง การเบรค และควบคุมการควบคุมของการขับรถบนถนน ซึ่งระบบต่างๆก็มีจุดดีจุดเสียที่แตกต่างกันไป
แต่อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจก็ยังต้องเป็นของมนุษย์ควบคุม ซึ่งหากเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมามนุษย์จะต้องตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร ในรถแข่งบางประเภทระบบช่วยเหลือบางประเภทถูกห้ามใช้งาน เพราะมีจุดอ่อนที่คนขับไม่สามารถควบคุมรถได้เต็มที่ และเป็นเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ เช่นระบบเกียร์อัตโนมัติ และระบบควบคุมความเสถียร
ระบบที่ Google หรือ Tesla กำลังทำนั้น โดยส่วนตัวผมมองว่าแนวคิดค่อนข้างล้าสมัยเกินไป และมีช่องโหว่ที่สำคัญเชิงปรัชญา
แต่ในเชิงการตลาดแล้วผมคิดว่า Tesla ทำได้ดีมาก มีทีมกฏหมายที่เก่ง สามารถขายรถไฟฟ้าในราคาที่ขาดทุนโดยไม่ถูกฟ้องร้องด้านการแข่งขันไม่เป็นธรรม และโฆษณาเกินจริงได้โดยที่ผู้บริโภคยังคงพอใจ
Vi IMrovised
-
- Verified User
- โพสต์: 187
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รถยนต์ไร้คนขับ
โพสต์ที่ 11
ยังไงผมว่ามาแน่ครับ แค่รอว่าเมื่อไหร่เท่านั้น เอาจริงๆคนขับรถที่เหมือนขับไม่เป็นมีมากกว่าครึ่งจริงๆ น่าสนใจมากถ้าไม่มีคนขับ ค่าแท็กซี่จะลดลงไปเลยกว่าครึ่ง ราคานี้น่าสนใจเพียงพอให้ผมเปลี่ยนไปใช้แท็กซี่แทน จริงๆถ้าระบบแท็กซี่เป็นศูนย์กลางสามารถจัดสรรให้ทางเดียวกันไปด้วยกันหารค่าแท็กซี่กันจะถูกลงไปอีก
- Highway_Star
- Verified User
- โพสต์: 440
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รถยนต์ไร้คนขับ
โพสต์ที่ 13
ผมว่าอีกไม่นานเกินรอครับ
ระบบพวกนี้ไม่ได้ยากขนาดนั้น และการเกิดปัญหาทางปรัชญาส่วนตัวผมก็คิดว่าแก้ไม่ยาก
หากเอามาเปรียบเทียบกับสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
จากการทดสอบของ google พบว่าเกิดความผิดพลาดน้อยกว่าคนขับจริงๆ เยอะ
ถ้ามันดีกว่า เกิดอุบัติเหตุน้อยกว่า ทำไมจะไม่ใช้ล่ะครับ
----เดี๋ยวนะ พิมพ์ๆไป ผมชักนึกสนุก ขอมโนแจ่มแปร๊บ----
ผมเชื่อว่าในอนาคตการมาถึงของ internet of things จะเชื่อมรถแต่ละคันเข้าด้วยกัน + ในรัศมี +- ประมาณนึง
ข้อมูลของรถแต่ละคันไม่ได้มีเยอะเลยเมื่อเทียบกับความเร็วของ internet ในปัจจุบันนี้
ข้อมูลรถแต่ละคันที่ต้องการจะส่งหากัน คงไม่มีอะไรมากไปกว่านี้เท่าไหร่
1.เส้นทางการเดินรถ start, end point ที่คนนั่งเลือก
2.รถคันอื่นๆ โดยรอบ (ignore สิ่งมีชีวิต เพราะอาจมีสิ่งมีชีวิตไม่ข้ามสะพานลอย สิ่งมีชีวิตกระโดดลงจากเกาะกลางถนน - มันติดตามไม่ได้ เอาเฉพาะสิ่งที่ คิดง่ายๆ ไปก่อน)
3.ความเร็วของรถตัวเอง ความเร็วของรถคันใกล้ๆ ระยะ 200-300 เมตร
4.ข้อมูลถนนที่อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ เช่น ถนนวิ่งได้จากไหนไปไหน เส้นไหนในระยะ 200-300 ในข้อ 3 ที่ไม่มีทางเกิดอุบัติเหตุต่อกัน
(พวกนี้ใช้ google map มาผสม ทำได้แหงๆ) ถ้าเส้นทางไม่สามารถทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ ให้ตัดข้อมูลนั้นทิ้ง ไม่ต้องส่ง
5.ทิศทางของรถที่กำลังวิ่งไป
ผมคิดแค่นี้ก่อนละกันเนอะ ข้อมูลพวกนี้เดาว่าไม่เกินแสนยานุภาพของ 4G 5G แน่นอน เพราะไฟล์ที่ส่งอย่างมากก็เป็นข้อมูลตัวเลข/text
เรื่องอุบัติเหตุ ผมมองว่าแบบนี้ครับ
จากสถิติที่ได้พบว่าเกิดอุบัติเหตุน้อยกว่า ผมขอเดาเอาเองเลยว่าสถิติคนตายจากการโดนรถ auto ชน น่าจะน้อยไปด้วย (เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ความตายกลายเป็นสถิติซะงั้น)
ถ้ามีสิ่งมีชีวิตเคลื่อนที่ตัดหน้ารถ ผมเชื่อมั่นมากๆ ว่ามันเบรคเร็วกว่าพวกเราแน่นอนครับ แล้วเบรคแล้วจะหันหัวไปทางไหนเพื่อให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงน้อยที่สุด ผมก็เชื่ออีกว่า กล้องสามารถจับได้ว่าควรจะหักรถไปทางไหน
แล้วถ้ามันจะต้องชนคนที่กำลังข้ามถนน เพื่อให้คนที่อยู่ในรถปลอดภัยล่ะ
....ถ้าเราสมมติเหตุการณ์แบบเดียวกันนี้ กับกรณีที่ใช้คนขับจริงๆ ขับล่ะครับ ?
choices มีไม่มากเลย ซึ่งทั้งรถ auto และไม่ auto มี choices พวกนี้เหมือนกันคือ
1. ชนคนข้ามถนน คนในรถรอด
2. ไม่ชนคนข้ามถนน คนในรถตาย/บาดเจ็บ
3. ชนคนข้ามถนน คนในรถตาย/บาดเจ็บด้วย
4. ไม่ชนคนข้ามถนน คนในรถไม่เจ็บไม่ตาย
คิดว่าอะไรประมวลผลเร็วกว่า และ act เร็วกว่ากันครับ (แน่นอนครับ ระบบ auto มันต้องพัฒนาต่อไปเพื่อให้รถตัดสินใจได้ฉลาดขึ้นแม่นยำขึ้นรวดเร็วขึ้น -- แต่เดี๋ยวก่อน แล้วพฤติกรรมการขับรถของคนล่ะมันพัฒนาขึ้นมาบ้างมั้ยในรอบหลายสิบปีมานี้ ? ....อันที่จริง...มันพัฒนาได้หรือเปล่า...ถามแบบนี้น่าเกลียดเกินไปไหมนะ)
แล้วถ้าชนขึ้นมาจริงๆ ใครรับผิดชอบเฟ้ย ?
เจ้าของรถรับผิดชอบครับ ถ้าบริษัทเปิดให้เช่ารถ auto แล้วดันไปชนอะไรเข้า - นั่น software/hardware เค้าไม่ดี เค้าต้องจ่าย
ถ้าคุณเป็นเจ้าของรถ และรถคุณอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์เช่นตัวกล้อง, sensor ต่างๆ อยู่ในสภาพที่ดี ผมก็ว่าเจ้าของ software ก็ผิดอยู่ดี ยกเว้นว่าคุณไม่ update software ให้เป็นเวอร์ชั่นล่าสุดอันนี้คงเถียงกันยาว
แล้วถ้ามันทำได้จริงๆ ทำไมบริษัทรถยนต์ไม่ทำมันซะตั้งนานแล้วล่ะ ?
เพราะพวกเค้ามัวแต่จะลดต้นทุนไงล่ะครับ
Engineer แต่ละคนมัวแต่ เห้ย ทำไงให้มันถูกลง ผลิตได้เร็วขึ้น
ผู้บริหารก็มัวแต่ เห้ย ทำไงเพื่อตอบสนองลูกค้า ทำยังไงให้ quotation ต่ำกว่าคู่แข่ง พลาดลูกค้าเจ้านี้ อีก 5-7 ปีว่ากันใหม่เลยนะ
การพัฒนาต่างๆ เพื่อให้รถกลายเป็นระบบอัตโนมัตินี่ในรอบหลายสิบปีมานี้มีน้อยมากๆ
พอ google เข้ามา ผมนี่โคตรจะดีใจเลย จะได้มี innovation ที่กลายเป็นของจริงได้เสียที
...นี่จากใจคนอยู่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่คลั่งการขับรถเลยนะเนี่ย
ไม่เชื่อเหรอ...ดูชื่อผมเด่ะ
ปล. ผมไม่ได้จะว่าอะไรพี่ๆ ที่เป็นห่วงเรื่องการตัดสินใจของรถแทนคนนะครับ พี่ๆ มีเจตนาดีมากผมเข้าใจเต็มเปี่ยมครับ
ปล2. ศัพท์แสงบางคำอาจจะดูเพี้ยนๆ หรือไม่เหมาะสมไปบ้าง ต้องขออภัยด้วยครับ
ระบบพวกนี้ไม่ได้ยากขนาดนั้น และการเกิดปัญหาทางปรัชญาส่วนตัวผมก็คิดว่าแก้ไม่ยาก
หากเอามาเปรียบเทียบกับสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
จากการทดสอบของ google พบว่าเกิดความผิดพลาดน้อยกว่าคนขับจริงๆ เยอะ
ถ้ามันดีกว่า เกิดอุบัติเหตุน้อยกว่า ทำไมจะไม่ใช้ล่ะครับ
----เดี๋ยวนะ พิมพ์ๆไป ผมชักนึกสนุก ขอมโนแจ่มแปร๊บ----
ผมเชื่อว่าในอนาคตการมาถึงของ internet of things จะเชื่อมรถแต่ละคันเข้าด้วยกัน + ในรัศมี +- ประมาณนึง
ข้อมูลของรถแต่ละคันไม่ได้มีเยอะเลยเมื่อเทียบกับความเร็วของ internet ในปัจจุบันนี้
ข้อมูลรถแต่ละคันที่ต้องการจะส่งหากัน คงไม่มีอะไรมากไปกว่านี้เท่าไหร่
1.เส้นทางการเดินรถ start, end point ที่คนนั่งเลือก
2.รถคันอื่นๆ โดยรอบ (ignore สิ่งมีชีวิต เพราะอาจมีสิ่งมีชีวิตไม่ข้ามสะพานลอย สิ่งมีชีวิตกระโดดลงจากเกาะกลางถนน - มันติดตามไม่ได้ เอาเฉพาะสิ่งที่ คิดง่ายๆ ไปก่อน)
3.ความเร็วของรถตัวเอง ความเร็วของรถคันใกล้ๆ ระยะ 200-300 เมตร
4.ข้อมูลถนนที่อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ เช่น ถนนวิ่งได้จากไหนไปไหน เส้นไหนในระยะ 200-300 ในข้อ 3 ที่ไม่มีทางเกิดอุบัติเหตุต่อกัน
(พวกนี้ใช้ google map มาผสม ทำได้แหงๆ) ถ้าเส้นทางไม่สามารถทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ ให้ตัดข้อมูลนั้นทิ้ง ไม่ต้องส่ง
5.ทิศทางของรถที่กำลังวิ่งไป
ผมคิดแค่นี้ก่อนละกันเนอะ ข้อมูลพวกนี้เดาว่าไม่เกินแสนยานุภาพของ 4G 5G แน่นอน เพราะไฟล์ที่ส่งอย่างมากก็เป็นข้อมูลตัวเลข/text
เรื่องอุบัติเหตุ ผมมองว่าแบบนี้ครับ
จากสถิติที่ได้พบว่าเกิดอุบัติเหตุน้อยกว่า ผมขอเดาเอาเองเลยว่าสถิติคนตายจากการโดนรถ auto ชน น่าจะน้อยไปด้วย (เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ความตายกลายเป็นสถิติซะงั้น)
ถ้ามีสิ่งมีชีวิตเคลื่อนที่ตัดหน้ารถ ผมเชื่อมั่นมากๆ ว่ามันเบรคเร็วกว่าพวกเราแน่นอนครับ แล้วเบรคแล้วจะหันหัวไปทางไหนเพื่อให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงน้อยที่สุด ผมก็เชื่ออีกว่า กล้องสามารถจับได้ว่าควรจะหักรถไปทางไหน
แล้วถ้ามันจะต้องชนคนที่กำลังข้ามถนน เพื่อให้คนที่อยู่ในรถปลอดภัยล่ะ
....ถ้าเราสมมติเหตุการณ์แบบเดียวกันนี้ กับกรณีที่ใช้คนขับจริงๆ ขับล่ะครับ ?
choices มีไม่มากเลย ซึ่งทั้งรถ auto และไม่ auto มี choices พวกนี้เหมือนกันคือ
1. ชนคนข้ามถนน คนในรถรอด
2. ไม่ชนคนข้ามถนน คนในรถตาย/บาดเจ็บ
3. ชนคนข้ามถนน คนในรถตาย/บาดเจ็บด้วย
4. ไม่ชนคนข้ามถนน คนในรถไม่เจ็บไม่ตาย
คิดว่าอะไรประมวลผลเร็วกว่า และ act เร็วกว่ากันครับ (แน่นอนครับ ระบบ auto มันต้องพัฒนาต่อไปเพื่อให้รถตัดสินใจได้ฉลาดขึ้นแม่นยำขึ้นรวดเร็วขึ้น -- แต่เดี๋ยวก่อน แล้วพฤติกรรมการขับรถของคนล่ะมันพัฒนาขึ้นมาบ้างมั้ยในรอบหลายสิบปีมานี้ ? ....อันที่จริง...มันพัฒนาได้หรือเปล่า...ถามแบบนี้น่าเกลียดเกินไปไหมนะ)
แล้วถ้าชนขึ้นมาจริงๆ ใครรับผิดชอบเฟ้ย ?
เจ้าของรถรับผิดชอบครับ ถ้าบริษัทเปิดให้เช่ารถ auto แล้วดันไปชนอะไรเข้า - นั่น software/hardware เค้าไม่ดี เค้าต้องจ่าย
ถ้าคุณเป็นเจ้าของรถ และรถคุณอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์เช่นตัวกล้อง, sensor ต่างๆ อยู่ในสภาพที่ดี ผมก็ว่าเจ้าของ software ก็ผิดอยู่ดี ยกเว้นว่าคุณไม่ update software ให้เป็นเวอร์ชั่นล่าสุดอันนี้คงเถียงกันยาว
แล้วถ้ามันทำได้จริงๆ ทำไมบริษัทรถยนต์ไม่ทำมันซะตั้งนานแล้วล่ะ ?
เพราะพวกเค้ามัวแต่จะลดต้นทุนไงล่ะครับ
Engineer แต่ละคนมัวแต่ เห้ย ทำไงให้มันถูกลง ผลิตได้เร็วขึ้น
ผู้บริหารก็มัวแต่ เห้ย ทำไงเพื่อตอบสนองลูกค้า ทำยังไงให้ quotation ต่ำกว่าคู่แข่ง พลาดลูกค้าเจ้านี้ อีก 5-7 ปีว่ากันใหม่เลยนะ
การพัฒนาต่างๆ เพื่อให้รถกลายเป็นระบบอัตโนมัตินี่ในรอบหลายสิบปีมานี้มีน้อยมากๆ
พอ google เข้ามา ผมนี่โคตรจะดีใจเลย จะได้มี innovation ที่กลายเป็นของจริงได้เสียที
...นี่จากใจคนอยู่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่คลั่งการขับรถเลยนะเนี่ย
ไม่เชื่อเหรอ...ดูชื่อผมเด่ะ
ปล. ผมไม่ได้จะว่าอะไรพี่ๆ ที่เป็นห่วงเรื่องการตัดสินใจของรถแทนคนนะครับ พี่ๆ มีเจตนาดีมากผมเข้าใจเต็มเปี่ยมครับ
ปล2. ศัพท์แสงบางคำอาจจะดูเพี้ยนๆ หรือไม่เหมาะสมไปบ้าง ต้องขออภัยด้วยครับ
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3227
- ผู้ติดตาม: 4
Re: รถยนต์ไร้คนขับ
โพสต์ที่ 14
ปัญหาทางปรัชญามันเกิดขึ้นได้ยากมาก ใน ted talk คุณ Chris เค้าอธิบายเอาไว้ชัดเจนอยู่แล้วว่าในหนึ่งวินาที self drive จะ feed ข้อมูลเข้ามาตัดสินใจเป็นพันๆ ครั้ง และระบบ Machine Learning ก็จดจำ Pattern ลักษณะ การเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิต และไม่มีชีวิตต่างๆ มากมาย
เข้าใจว่าหนึ่งในนั้น คือ พฤติกรรมของคนที่ตั้งใจกระโดดให้รถยนต์ชน ซึ่งถ้ามัน match กับฐานข้อมูล มันจะระวังป้องกัน ชะลอรถ เบี่ยงเส้นทาง และถึงแม้จะเป็นนักกระโดดให้รถชนขั้นเทพ ยังไงมันก็ต้องออกอาการเตรียมพร้อม การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อที่ระบบ detect ได้เร็วกว่าคนขับที่เป็นมนุษย์นะครับ
เข้าใจว่าหนึ่งในนั้น คือ พฤติกรรมของคนที่ตั้งใจกระโดดให้รถยนต์ชน ซึ่งถ้ามัน match กับฐานข้อมูล มันจะระวังป้องกัน ชะลอรถ เบี่ยงเส้นทาง และถึงแม้จะเป็นนักกระโดดให้รถชนขั้นเทพ ยังไงมันก็ต้องออกอาการเตรียมพร้อม การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อที่ระบบ detect ได้เร็วกว่าคนขับที่เป็นมนุษย์นะครับ
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
- Highway_Star
- Verified User
- โพสต์: 440
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รถยนต์ไร้คนขับ
โพสต์ที่ 15
#เดี๋ยวนะ 55555picatos เขียน:ปัญหาทางปรัชญามันเกิดขึ้นได้ยากมาก ใน ted talk คุณ Chris เค้าอธิบายเอาไว้ชัดเจนอยู่แล้วว่าในหนึ่งวินาที self drive จะ feed ข้อมูลเข้ามาตัดสินใจเป็นพันๆ ครั้ง และระบบ Machine Learning ก็จดจำ Pattern ลักษณะ การเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิต และไม่มีชีวิตต่างๆ มากมาย
เข้าใจว่าหนึ่งในนั้น คือ พฤติกรรมของคนที่ตั้งใจกระโดดให้รถยนต์ชน ซึ่งถ้ามัน match กับฐานข้อมูล มันจะระวังป้องกัน ชะลอรถ เบี่ยงเส้นทาง และถึงแม้จะเป็นนักกระโดดให้รถชนขั้นเทพ ยังไงมันก็ต้องออกอาการเตรียมพร้อม การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อที่ระบบ detect ได้เร็วกว่าคนขับที่เป็นมนุษย์นะครับ
- peacedev
- Verified User
- โพสต์: 668
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รถยนต์ไร้คนขับ
โพสต์ที่ 16
เงินมางานเดินครับ
ผมว่าบริษัทที่เงินหนาแบบนั้น ไม่นานก็คลอดออกมาแล้วล่ะครับ อย่างไม่ต้องสงสัย
แต่การตั้งคำถาม และข้อสงสัยเป็นสิ่งที่ดี
ถ้าใครที่อยู่วงการวิศวะกรรมและเทคโนโลยี น่าจะคุ้นเคยกันดี ว่าของที่มนุษย์สร้างขึ้นมักมีสิ่งผิดพลาดเจอปนอยู่ด้วยเสมอ แล้วก็เป็นเรื่องปกติเสียด้วย
ถ้าเป็นเครื่องมือทั่ว ๆ ไป ผิดพลาดไปบ้าง ก็อาจะไม่ได้มีอะไรเสียหายมากนัก
ถ้าเป็นการเงิน ผิดพลาดหน่อย ก็เป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นมาได้ แต่จากประวัติศาสตร์ เราก็เห็นผิดพลาดกันอยู่บ่อย ๆ
แล้วนี่มันเป็นเรื่องความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สิน คงต้องเฝ้าระวังกันเป็นพิเศษ
นี้ยังไม่รวมถึง Security อื่น ๆ เช่นเรื่องการ Hijack, Hack และการโจรกรรมประเภทต่าง ๆ
ผมว่าบริษัทที่เงินหนาแบบนั้น ไม่นานก็คลอดออกมาแล้วล่ะครับ อย่างไม่ต้องสงสัย
แต่การตั้งคำถาม และข้อสงสัยเป็นสิ่งที่ดี
ถ้าใครที่อยู่วงการวิศวะกรรมและเทคโนโลยี น่าจะคุ้นเคยกันดี ว่าของที่มนุษย์สร้างขึ้นมักมีสิ่งผิดพลาดเจอปนอยู่ด้วยเสมอ แล้วก็เป็นเรื่องปกติเสียด้วย
ถ้าเป็นเครื่องมือทั่ว ๆ ไป ผิดพลาดไปบ้าง ก็อาจะไม่ได้มีอะไรเสียหายมากนัก
ถ้าเป็นการเงิน ผิดพลาดหน่อย ก็เป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นมาได้ แต่จากประวัติศาสตร์ เราก็เห็นผิดพลาดกันอยู่บ่อย ๆ
แล้วนี่มันเป็นเรื่องความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สิน คงต้องเฝ้าระวังกันเป็นพิเศษ
นี้ยังไม่รวมถึง Security อื่น ๆ เช่นเรื่องการ Hijack, Hack และการโจรกรรมประเภทต่าง ๆ
http://peacedev.wordpress.com
"The Quant"
"The Quant"
-
- Verified User
- โพสต์: 1217
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รถยนต์ไร้คนขับ
โพสต์ที่ 17
เพราะมันเกี่ยวกับชีวิตไงครับ ผมถึงมองว่าอีกประมาณ 20 ปี แต่ถ้าเป็นสมาร์ทโฟนละก็ ปีหน้าก็เห็นเต็มไปหมดแล้วนะครับ นวัตกรรมใหม่ที่จะมาใช้แทนปัจจุบัน นักลงทุนคงต้องมองให้รอบด้านนะครับ ไม่งั้นอาจจะประเมินผิดพลาดได้ เห็นคนซื้อหุ้นพลังงานแสงอาทิตย์สมัยหลายสิบปีก่อนที่เริ่มคิดค้นได้ ไม่รู้ขาดทุนไปหนักแค่ไหนนะครับ หมายเหตุ ผมอาจจะผิดก็ได้นะครับ
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3227
- ผู้ติดตาม: 4
Re: รถยนต์ไร้คนขับ
โพสต์ที่ 18
เคยดูคลิปชาวจีนที่ทำอาชีพกระโดดให้รถชนเพื่อเรียกค่าเสียหายไหมครับ?Highway_Star เขียน:#เดี๋ยวนะ 55555picatos เขียน:ปัญหาทางปรัชญามันเกิดขึ้นได้ยากมาก ใน ted talk คุณ Chris เค้าอธิบายเอาไว้ชัดเจนอยู่แล้วว่าในหนึ่งวินาที self drive จะ feed ข้อมูลเข้ามาตัดสินใจเป็นพันๆ ครั้ง และระบบ Machine Learning ก็จดจำ Pattern ลักษณะ การเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิต และไม่มีชีวิตต่างๆ มากมาย
เข้าใจว่าหนึ่งในนั้น คือ พฤติกรรมของคนที่ตั้งใจกระโดดให้รถยนต์ชน ซึ่งถ้ามัน match กับฐานข้อมูล มันจะระวังป้องกัน ชะลอรถ เบี่ยงเส้นทาง และถึงแม้จะเป็นนักกระโดดให้รถชนขั้นเทพ ยังไงมันก็ต้องออกอาการเตรียมพร้อม การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อที่ระบบ detect ได้เร็วกว่าคนขับที่เป็นมนุษย์นะครับ
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
- นายมานะ
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1116
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รถยนต์ไร้คนขับ
โพสต์ที่ 19
เข้ามาดูช้าไปหลายวัน พี่ picatos และ Highway_Star ตอบให้แทบจะหมดแล้ว ผมตอบประเด็นที่ยังน่าจะเสริมได้ละกันนะครับ ^^"
ประเด็นที่น่าจะเป็น concern ของรถไร้คนขับนี่ ผมเห็นตรงกับหลายท่านว่าน่าจะเป็นเรื่อง regulation มากกว่า ส่วนเรื่อง technology นี่ถือว่าพร้อมพอสมควรแล้ว
เรื่อง regulation ผมก็เชื่อว่าคำถามคือ when มากกว่า if เพราะกฎหมายถูกเขียนขึ้นโดยนักกฎหมายที่ทำนายอนาคตจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตเป็นหลัก นักกฎหมายไม่ได้มีทักษะการมองอนาคตหรือเชี่ยวชาญเทคโนโลยีมากพอ ทำให้กฎหมายมักจะออกมาย้อนหลังเพื่อ cover ปัญหาที่ได้เกิดขึ้นแล้วเสมอๆ อย่างเมื่อรถยนต์คันแรกเริ่มวิ่งบนท้องถนนเอง กฎหมายเกี่ยวกับการขับขี่ก็ยังไม่น่าจะเกิดขึ้น
ประเด็นเรื่องว่ามันมีโอกาสจะทำให้คนเสียชีวิต อันนี้ผมกลับมองว่าเทคโนโลยี driver assistance ช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุได้ และ self-driving ก็จะยิ่งช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุได้มากกว่าอีกมาก ซึ่งถ้า self-drive ของ google พิสูจน์ให้เห็นในการ launch แบบ commercial แล้ว "ความเชื่อ" ที่ว่ารถยนต์ไร้คนขับอันตราย อาจจะลดลงไปอีกมาก ซึ่งถ้าความเชื่อเปลี่ยน กฎหมายก็จะยิ่งเปลี่ยนง่ายขึ้นไปอีก
ส่วนประเด็นของพี่ vim ที่มองว่า Google และ Tesla กำลังสิ่งที่ล้าสมัยนี่ผมไม่ค่อยเห็นด้วยนะครับ พี่ picatos ช่วยตอบเรื่องช่องโหว่สำคัญเชิงปรัชญาไปแล้ว ซึ่งสาเหตุที่ผมคิดว่ามันไม่ล้าสมัยนั้น ผมไม่ได้มองเรื่องความเก่าใหม่ของการเกิดขึ้นของเทคโนโลยี แต่ผมมองถึงเหตุและผลของการพัฒนาเทคโนโลยี และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นเทคโนโลยี ซึ่งจากการที่ผมศึกษาเหตุและผลข้างหลังของทั้ง Google และ Tesla ส่วนตัวผมเชื่อว่าองค์กรเหล่านี้ไม่ได้กำลังจะสร้างเทคโนโลยีเพียงเพราะเหตุผลด้าน commercial แต่มีเหตุผลเบื้องหลังคือต้องการจะ make the world a better place จริงๆ ซึ่งผลลัพธ์ของ disruption จากทั้งรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ไร้คนขับนี่จะทำให้ การโดยสารรถยนต์ สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยขึ้นอีกมาก ในขณะที่ efficiency ของการใช้ทรัพยากรของโลกก็จะดีขึ้น และทำให้โลกเราน่าอยู่ยิ่งขึ้น ขึ้นมาจริงๆ ครับ
ประเด็นที่น่าจะเป็น concern ของรถไร้คนขับนี่ ผมเห็นตรงกับหลายท่านว่าน่าจะเป็นเรื่อง regulation มากกว่า ส่วนเรื่อง technology นี่ถือว่าพร้อมพอสมควรแล้ว
เรื่อง regulation ผมก็เชื่อว่าคำถามคือ when มากกว่า if เพราะกฎหมายถูกเขียนขึ้นโดยนักกฎหมายที่ทำนายอนาคตจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตเป็นหลัก นักกฎหมายไม่ได้มีทักษะการมองอนาคตหรือเชี่ยวชาญเทคโนโลยีมากพอ ทำให้กฎหมายมักจะออกมาย้อนหลังเพื่อ cover ปัญหาที่ได้เกิดขึ้นแล้วเสมอๆ อย่างเมื่อรถยนต์คันแรกเริ่มวิ่งบนท้องถนนเอง กฎหมายเกี่ยวกับการขับขี่ก็ยังไม่น่าจะเกิดขึ้น
ประเด็นเรื่องว่ามันมีโอกาสจะทำให้คนเสียชีวิต อันนี้ผมกลับมองว่าเทคโนโลยี driver assistance ช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุได้ และ self-driving ก็จะยิ่งช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุได้มากกว่าอีกมาก ซึ่งถ้า self-drive ของ google พิสูจน์ให้เห็นในการ launch แบบ commercial แล้ว "ความเชื่อ" ที่ว่ารถยนต์ไร้คนขับอันตราย อาจจะลดลงไปอีกมาก ซึ่งถ้าความเชื่อเปลี่ยน กฎหมายก็จะยิ่งเปลี่ยนง่ายขึ้นไปอีก
ส่วนประเด็นของพี่ vim ที่มองว่า Google และ Tesla กำลังสิ่งที่ล้าสมัยนี่ผมไม่ค่อยเห็นด้วยนะครับ พี่ picatos ช่วยตอบเรื่องช่องโหว่สำคัญเชิงปรัชญาไปแล้ว ซึ่งสาเหตุที่ผมคิดว่ามันไม่ล้าสมัยนั้น ผมไม่ได้มองเรื่องความเก่าใหม่ของการเกิดขึ้นของเทคโนโลยี แต่ผมมองถึงเหตุและผลของการพัฒนาเทคโนโลยี และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นเทคโนโลยี ซึ่งจากการที่ผมศึกษาเหตุและผลข้างหลังของทั้ง Google และ Tesla ส่วนตัวผมเชื่อว่าองค์กรเหล่านี้ไม่ได้กำลังจะสร้างเทคโนโลยีเพียงเพราะเหตุผลด้าน commercial แต่มีเหตุผลเบื้องหลังคือต้องการจะ make the world a better place จริงๆ ซึ่งผลลัพธ์ของ disruption จากทั้งรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ไร้คนขับนี่จะทำให้ การโดยสารรถยนต์ สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยขึ้นอีกมาก ในขณะที่ efficiency ของการใช้ทรัพยากรของโลกก็จะดีขึ้น และทำให้โลกเราน่าอยู่ยิ่งขึ้น ขึ้นมาจริงๆ ครับ
- vim
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2748
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รถยนต์ไร้คนขับ
โพสต์ที่ 20
ไม่เห็นด้วยกับผมไม่เป็นไรครับ จริงๆในหัวผมก็คิดวนไปวนมา ไม่ได้มั่นใจอะไรร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว แต่อย่างน้อยการที่ได้พูดคุยกันก็ทำให้ได้เรียบเรียงความคิดตัวเอง และได้ฟังความเห็นของคนอื่นที่เขาพยายามเรียบเรียงเช่นกัน
โดยส่วนตัวผมเคยทำวิจัยด้านพวกนี้มา ในสมัยผมมีความเชื่อกันว่าการนำเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มาพัฒนาอัลกอริทึม ผ่านวิธีต่างๆเช่น Neuron Network, Machine Learning, AI, etc. แล้วถึงจุดหนึ่งคอมพิวเตอร์จะฉลาดกว่าคน (หรืออย่างน้อยก็พอๆกัน) มีการทำวิจัยในการสร้าง AI มาทำงานหลายๆอย่างแทนที่คน
ผ่านมาประมาณสิบปี ผมมองว่าความเชื่อนั้นมันล้าสมัยไปแล้ว เพราะที่ผ่านๆมาเทคโนโลยีหลายประเภทเกือบจะถึง "ทางตัน" ของยุคนี้ โดยที่คนเริ่มค้นพบว่าในหลายๆงาน มนุษย์หรือสิ่งมีชีวิต นั้นมีความสามารถสูงกว่าคอมพิวเตอร์ ยกตัวอย่างได้แก่
1. การจำแนกแยกแยะ (Recognition) มนุษย์สามารถบอกได้อย่างเร็วว่าคนนี้ผู้หญิงหรือผู้ชาย หรือการแปลงภาพให้เป็นตัวหนังสือ การค้นพบข้อจำกัดนี้นี้ทำให้เกิดเทคโนโลยีขึ้นมาอีกชุดหนึ่ง อาจจะเรียกกันได้ว่าเป็น Human-Machine-Interface ยุคใหม่้ก็ได้ ได้แก่
1.1 Re-Captcha การให้มนุยษ์แยกภาพเป็นตัวเลข แล้วป้อนข้อมูลกลับไปยังคอมพิวเตอร์ เกิดจากความล้มเหลวของการที่จะพยายามให้คอมพิวเตอร์แยกแยะภาพให้กลายเป็นข้อมูลเองทั้งหมด
1.2 Google Ads นำข้อมูลอินพุทของมนุษย์ ไปวิเคราะห์มนุษย์ด้วยกันเอง
1.3 และมีหลายๆเทคโนโลยีที่สร้างมาได้ จากการที่เรารู้ข้อจำกัดของเทคโนโลยี และทำอะไรที่พอเป็นไปได้ภายใต้ข้อจำกัด
2. ความปลอดภัย (Security & Reliability) ตรงนี้จะเห็นได้ชัดการทางอากาศยาน ที่ระบบ Auto-Pilot นั้นสามารถทดแทนนักบินได้ 100% แล้ว และมีข้อดีหลายๆด้านเสียด้วย แต่ความจำเป็นที่จะมีกัปตันยังต้องมีในการรองรับกับเหตุฉุกเฉินที่ไม่อยู่ในโปรแกรม และจำเป็นที่จะต้องมีคนรับผิดชอบและแก้ไขในกรณีที่มีปัญหา
การจัดการโรงไฟฟ้าก็เช่นกัน ทุกวันนี้ระบบสามารถดูแลตัวเองได้สมบูรณ์โดยไม่ต้องมีคนควบคุม แต่การควบคุมของคนก็ยังคงเป็นสิ่งที่สำคัญ โดยเฉพาะการระเบิดของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Fukushima Dai-Ichi ที่ญี่ปุ่น ซึ่งข้อผิดพลาดส่วนสำคัญคือความผิดพลาดของ "การวางระบบ"
โดยในการออกแบบ ระบบควบคุมหลักถูกออกแบบมาให้รองรับการทำงานแม้ว่าเกิดแผ่นดินไหวหรือคลื่นยักษ์ และมีอุปกรณ์ควบคุมความร้อนสำรองถูกติดตั้งไว้ในกรณีที่อุปกรณ์ควบคุมหลักทำงานไม่ได้
ซึ่งในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอุปกรณ์หลักเสียหายจากคลื่นซึนามิ ระบบหลักถูกทำลาย ระบบสำรองจึงถูกนำมาใช้งาน แต่เกิดความล้มเหลวเพราะระบบสำรองไม่ได้ออกแบบมารองรับในกรณีที่เกิดคลื่นยักษ์ซึ่งไปกัดกร่อนชิ้นส่วนบางส่วนที่สำคัญ
หลังจากเกิดเหตุครั้งนั้น นานาชาติจึงเร่งให้เกิดมาตรฐานความปลอดภัยเพิ่มขึ้นมา โดยให้ความสำคัญกับการจัดการมนุษย์มากยิ่งขึ้น
จากข้างบน การจำแนกแยกแยะ และความปลอดภัย สองเหตุผลนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เทคโนโลยีในช่วงหลังๆพัฒนาไปในทางที่ก่อให้เกิด "เครื่องมือ" ใหม่ๆให้กับมนุษย์ที่จะทำอะไรได้ดีขึ้น แต่การที่เทคโนโลยีมีข้อจำกัดในหลายๆเรื่อง ในบางเรื่องนั้นไม่เหมาะสมที่จะมาใช้แทนคนเสียเลย
ยกตัวอย่าง จากกรณีป้องกันการที่รถชนคน ผมคิดว่า Daimler เขาทำระบบที่น่าจะใช้งานได้ค่อนข้างตรงเป้าหมาย คือเมื่อรถตรวจจับได้ว่าจะมีอันตรายเกิดขึ้น จะทำการเตือนคนขับให้ระวังตัวได้ เช่นมีคนเดินตัดหน้ารถตอนกลางคืนจะมีสัญญาณเตือนที่คอนโซล หรือถ้ามีรถสวนมาในมุมอับจะมีสัญญาณสีแดงเตือนขึ้นมาที่กระจกข้าง เป็นต้น ระบบนี้เป็นการให้คอมพิวเตอร์ช่วยเหลือคน แต่ไม่ได้ทำการตัดสินใจให้คนทันที เพราะว่าคอมพิวเตอร์อาจผิดก็ได้
ทั้งหมดนี้ผมเลยเชื่อว่า "รถยนต์ไร้คนขับ" เป็นเทคโนโลยีที่ล้าสมัย และเป็นเพียงแค่การตลาดของบริษัทบางแห่งครับ เพราะผมคิดว่าเทคโนโลยีจะพัฒนามาเป็นเครื่องมือให้คนขับ แทนที่จะมาแทนคนขับเสียเอง
แต่นี่เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆในตอนนี้ครับ
โดยส่วนตัวผมเคยทำวิจัยด้านพวกนี้มา ในสมัยผมมีความเชื่อกันว่าการนำเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มาพัฒนาอัลกอริทึม ผ่านวิธีต่างๆเช่น Neuron Network, Machine Learning, AI, etc. แล้วถึงจุดหนึ่งคอมพิวเตอร์จะฉลาดกว่าคน (หรืออย่างน้อยก็พอๆกัน) มีการทำวิจัยในการสร้าง AI มาทำงานหลายๆอย่างแทนที่คน
ผ่านมาประมาณสิบปี ผมมองว่าความเชื่อนั้นมันล้าสมัยไปแล้ว เพราะที่ผ่านๆมาเทคโนโลยีหลายประเภทเกือบจะถึง "ทางตัน" ของยุคนี้ โดยที่คนเริ่มค้นพบว่าในหลายๆงาน มนุษย์หรือสิ่งมีชีวิต นั้นมีความสามารถสูงกว่าคอมพิวเตอร์ ยกตัวอย่างได้แก่
1. การจำแนกแยกแยะ (Recognition) มนุษย์สามารถบอกได้อย่างเร็วว่าคนนี้ผู้หญิงหรือผู้ชาย หรือการแปลงภาพให้เป็นตัวหนังสือ การค้นพบข้อจำกัดนี้นี้ทำให้เกิดเทคโนโลยีขึ้นมาอีกชุดหนึ่ง อาจจะเรียกกันได้ว่าเป็น Human-Machine-Interface ยุคใหม่้ก็ได้ ได้แก่
1.1 Re-Captcha การให้มนุยษ์แยกภาพเป็นตัวเลข แล้วป้อนข้อมูลกลับไปยังคอมพิวเตอร์ เกิดจากความล้มเหลวของการที่จะพยายามให้คอมพิวเตอร์แยกแยะภาพให้กลายเป็นข้อมูลเองทั้งหมด
1.2 Google Ads นำข้อมูลอินพุทของมนุษย์ ไปวิเคราะห์มนุษย์ด้วยกันเอง
1.3 และมีหลายๆเทคโนโลยีที่สร้างมาได้ จากการที่เรารู้ข้อจำกัดของเทคโนโลยี และทำอะไรที่พอเป็นไปได้ภายใต้ข้อจำกัด
2. ความปลอดภัย (Security & Reliability) ตรงนี้จะเห็นได้ชัดการทางอากาศยาน ที่ระบบ Auto-Pilot นั้นสามารถทดแทนนักบินได้ 100% แล้ว และมีข้อดีหลายๆด้านเสียด้วย แต่ความจำเป็นที่จะมีกัปตันยังต้องมีในการรองรับกับเหตุฉุกเฉินที่ไม่อยู่ในโปรแกรม และจำเป็นที่จะต้องมีคนรับผิดชอบและแก้ไขในกรณีที่มีปัญหา
การจัดการโรงไฟฟ้าก็เช่นกัน ทุกวันนี้ระบบสามารถดูแลตัวเองได้สมบูรณ์โดยไม่ต้องมีคนควบคุม แต่การควบคุมของคนก็ยังคงเป็นสิ่งที่สำคัญ โดยเฉพาะการระเบิดของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Fukushima Dai-Ichi ที่ญี่ปุ่น ซึ่งข้อผิดพลาดส่วนสำคัญคือความผิดพลาดของ "การวางระบบ"
โดยในการออกแบบ ระบบควบคุมหลักถูกออกแบบมาให้รองรับการทำงานแม้ว่าเกิดแผ่นดินไหวหรือคลื่นยักษ์ และมีอุปกรณ์ควบคุมความร้อนสำรองถูกติดตั้งไว้ในกรณีที่อุปกรณ์ควบคุมหลักทำงานไม่ได้
ซึ่งในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอุปกรณ์หลักเสียหายจากคลื่นซึนามิ ระบบหลักถูกทำลาย ระบบสำรองจึงถูกนำมาใช้งาน แต่เกิดความล้มเหลวเพราะระบบสำรองไม่ได้ออกแบบมารองรับในกรณีที่เกิดคลื่นยักษ์ซึ่งไปกัดกร่อนชิ้นส่วนบางส่วนที่สำคัญ
หลังจากเกิดเหตุครั้งนั้น นานาชาติจึงเร่งให้เกิดมาตรฐานความปลอดภัยเพิ่มขึ้นมา โดยให้ความสำคัญกับการจัดการมนุษย์มากยิ่งขึ้น
จากข้างบน การจำแนกแยกแยะ และความปลอดภัย สองเหตุผลนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เทคโนโลยีในช่วงหลังๆพัฒนาไปในทางที่ก่อให้เกิด "เครื่องมือ" ใหม่ๆให้กับมนุษย์ที่จะทำอะไรได้ดีขึ้น แต่การที่เทคโนโลยีมีข้อจำกัดในหลายๆเรื่อง ในบางเรื่องนั้นไม่เหมาะสมที่จะมาใช้แทนคนเสียเลย
ยกตัวอย่าง จากกรณีป้องกันการที่รถชนคน ผมคิดว่า Daimler เขาทำระบบที่น่าจะใช้งานได้ค่อนข้างตรงเป้าหมาย คือเมื่อรถตรวจจับได้ว่าจะมีอันตรายเกิดขึ้น จะทำการเตือนคนขับให้ระวังตัวได้ เช่นมีคนเดินตัดหน้ารถตอนกลางคืนจะมีสัญญาณเตือนที่คอนโซล หรือถ้ามีรถสวนมาในมุมอับจะมีสัญญาณสีแดงเตือนขึ้นมาที่กระจกข้าง เป็นต้น ระบบนี้เป็นการให้คอมพิวเตอร์ช่วยเหลือคน แต่ไม่ได้ทำการตัดสินใจให้คนทันที เพราะว่าคอมพิวเตอร์อาจผิดก็ได้
ทั้งหมดนี้ผมเลยเชื่อว่า "รถยนต์ไร้คนขับ" เป็นเทคโนโลยีที่ล้าสมัย และเป็นเพียงแค่การตลาดของบริษัทบางแห่งครับ เพราะผมคิดว่าเทคโนโลยีจะพัฒนามาเป็นเครื่องมือให้คนขับ แทนที่จะมาแทนคนขับเสียเอง
แต่นี่เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆในตอนนี้ครับ
Vi IMrovised
-
- Verified User
- โพสต์: 423
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รถยนต์ไร้คนขับ
โพสต์ที่ 22
อ่านจากสิ่งที่ คุณ VIM เขียน ทำให้ผมรู้มากขึ้น เข้าใจอะไรๆมากขึ้น ผมชอบมาก
และทุกครั้งที่คุณ VIM เขียนอะไร ผมจะตั้งใจอ่านมาก และคุ้มค่ากับความตั้งใจ
กรณีของ รถยนต์ไร้คนขับ ผมว่าเป็นไปได้มาก และไม่ยาก อย่างที่บางคนกลัว
ที่มันดูยากเพราะ เราตั้งข้อสมมติฐานแบบเดิมๆ เรื่องความเร็ว ความแรง น้ำหนักรถ ขนาดรถ วัสดุที่มาทำรถ
1. รถยนต์ไร้คนขับ จะวิ่งด้วยความเร็วที่จำกัด เช่น 50-60 ก.ม. / ช.ม.ถนนในเมือง
เมื่ออะไรมาตัดหน้าอย่างรวดเร็ว ในเสี้ยววินาที ไม่ว่าจะเป็นคน หรือ คอมพิวเตอร์ก็ เบรคไม่ทัน
แต่ ก็จะมีการเบรคขึ้น แรงปะทะจริงๆ ความเร็วสุดท้าย ก็อาจจะแค่ 4-5ก.ม./ช.ม. ทุกอย่างน่าจะปลอดภัย
คงไม่ทำให้ใครเจ็บหนัก ส่วนวิ่งในถนนซอยที่มีคนเดินด้วยความเร็ว อาจจะเหลือ แค่ 10-20ก.ม./ช.ม.
2.น้ำหนักรถเปล่า อาจจะลดลงมาเหลือ 300-500ก.ก.(หรือต่ำกว่านั้น) เพื่อลดแรงปะทะน้ำหนักกดทับ
เมื่อเกิดอุบัติเหตุ
3.วัสดุที่ใช้ทำรถส่วนกันชนหน้าหลัง และ ตัวรถ จะมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
4.การประเมินของคอมพิวเตอร์ ต่อสิ่งที่จะเป็น อันตราย มันสนใจแค่ ขนาด น้ำหนัก ความเร็ว ความแข็ง
ทิศทาง มันไม่สนใจว่า เป็นตัวอะไร ผู้หญิง ผู้ชาย เด็กหรือคนแก่ การประเมินแบบนี้ คอม ทำได้ดีกว่าคนแน่ๆ
5.ถ้าระดับความเสียหายต่ำมากๆเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ไม่เหมือนกับความเสียหายที่เกิดจากเครื่องบินโดยสาร
โรงงานไฟฟ้านิวเคลีย ผมคิดว่าสังคมยอมรับได้
และทุกครั้งที่คุณ VIM เขียนอะไร ผมจะตั้งใจอ่านมาก และคุ้มค่ากับความตั้งใจ
กรณีของ รถยนต์ไร้คนขับ ผมว่าเป็นไปได้มาก และไม่ยาก อย่างที่บางคนกลัว
ที่มันดูยากเพราะ เราตั้งข้อสมมติฐานแบบเดิมๆ เรื่องความเร็ว ความแรง น้ำหนักรถ ขนาดรถ วัสดุที่มาทำรถ
1. รถยนต์ไร้คนขับ จะวิ่งด้วยความเร็วที่จำกัด เช่น 50-60 ก.ม. / ช.ม.ถนนในเมือง
เมื่ออะไรมาตัดหน้าอย่างรวดเร็ว ในเสี้ยววินาที ไม่ว่าจะเป็นคน หรือ คอมพิวเตอร์ก็ เบรคไม่ทัน
แต่ ก็จะมีการเบรคขึ้น แรงปะทะจริงๆ ความเร็วสุดท้าย ก็อาจจะแค่ 4-5ก.ม./ช.ม. ทุกอย่างน่าจะปลอดภัย
คงไม่ทำให้ใครเจ็บหนัก ส่วนวิ่งในถนนซอยที่มีคนเดินด้วยความเร็ว อาจจะเหลือ แค่ 10-20ก.ม./ช.ม.
2.น้ำหนักรถเปล่า อาจจะลดลงมาเหลือ 300-500ก.ก.(หรือต่ำกว่านั้น) เพื่อลดแรงปะทะน้ำหนักกดทับ
เมื่อเกิดอุบัติเหตุ
3.วัสดุที่ใช้ทำรถส่วนกันชนหน้าหลัง และ ตัวรถ จะมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
4.การประเมินของคอมพิวเตอร์ ต่อสิ่งที่จะเป็น อันตราย มันสนใจแค่ ขนาด น้ำหนัก ความเร็ว ความแข็ง
ทิศทาง มันไม่สนใจว่า เป็นตัวอะไร ผู้หญิง ผู้ชาย เด็กหรือคนแก่ การประเมินแบบนี้ คอม ทำได้ดีกว่าคนแน่ๆ
5.ถ้าระดับความเสียหายต่ำมากๆเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ไม่เหมือนกับความเสียหายที่เกิดจากเครื่องบินโดยสาร
โรงงานไฟฟ้านิวเคลีย ผมคิดว่าสังคมยอมรับได้
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3227
- ผู้ติดตาม: 4
Re: รถยนต์ไร้คนขับ
โพสต์ที่ 23
ผมกลับคิดว่าการ cross over กันระหว่างเทคโนโลยีกันระหว่างศาสตร์แต่ละศาสตร์ที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่ปีนี้ ตลอดจนที่กำลังเกิดอยู่ ทำให้เกิดการก้าวกระโดดทางเทคโนโลยี และน่าจะทำให้ AI ขึ้นไปฉลาดกว่ามนุษย์ได้นะครับ เท่าที่คิดออกคร่าวๆ เลยก็อย่าง
- การเอา neuro science มาใช้กับ AI เกิดเป็น deep learning ที่ AI สามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้ด้วยตัวเอง และสามารถเอา Feed Back จาก user มาทำให้ผลลัพธ์ดีขึ้น
- การที่ IBM ทำ CPU ที่จำลองการทำงานของสมองมนุษย์
- ความสำเร็จของการคิดค้น Quantum CPU ที่ทำให้ CPU เร็วขึ้น 100 ล้านเท่า และระบบจะเหมาะสมกับการจำลองสถานการณ์ที่มีความซับซ้อน และหาผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็ว
- ผลที่เกิดขึ้น คือ เมื่อเอา Quantum CPU มาใช้กับ deep learning ที่วิเคราะห์ Big Data การพัฒนา AI จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและก้าวกระโดดขึ้นมาก
- ตอนนี้มีความพยายามพัฒนา ร่วมมือ การเผยแพร่แบบเป็น Open Source ในเทคโนโลยีพวก AI เป็นจำนวนมาก หลักๆ ที่นำทีมก็มี Google กับ FB และล่าสุด Elon Musk กับเพื่อนๆ ก็เพื่อจะประกาศลงทุนใน OpenAI เป็นเงิน 1 พันล้านเหรียญ
ผมเชื่อครับว่าทุกอย่างมีขีดจำกัด และก็เพราะมันมีขีดจำกัดนี่แหละ ความสนุกของชีวิตมันก็อยู่ตรงที่การก้าวข้ามขีดจำกัดต่างๆ ผมสนุกกับการเห็นโลก เห็นคนที่พยายามเอาชนะข้อจำกัด ขีดจำกัดต่างๆ ที่ทำให้โลกนี้ดีขึ้น สนุกที่จะเห็นคนบ้าๆ พยายามคิดที่จะหาทางที่จะอพยพมนุษย์ไปอยู่ดาวเคราะห์ดาวอื่น เพราะ วันใดวันหนึ่งโลกก็จะอยู่ไม่ได้ สนุกกับการเห็นความพยายามของคนที่จะพยายามหาทางแก้ไข รักษาโรคร้าย ให้มีราคาถูกลง ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ สนุกการความคิดที่ยิ่งใหญ่ของคนบางกลุ่มที่ไม่คิดแค่จะทำให้ดีขึ้นแค่เล็กๆ น้อยๆ อย่าง 10-20% แต่พยายามคิดที่จะทำให้สิ่งต่างๆ ดีขึ้น 10-100 เท่า
รถยนต์ไร้คนขับอาจจะมีข้อจำกัดหลายๆ อย่างในวันนี้ แต่ถ้าวันใดวันหนึ่งเราสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดต่างๆ จนนำมาใช้ได้จริง โลกใบนี้จะน่าอยู่ขึ้นขนาดไหนกันแน่ แต่ที่แน่ๆ ผมคงจะเอาเวลาที่ต้องอยู่บนรถที่ต้องขับรถเอง ไปทำประโยชน์อย่างอื่นแน่ๆ
- การเอา neuro science มาใช้กับ AI เกิดเป็น deep learning ที่ AI สามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้ด้วยตัวเอง และสามารถเอา Feed Back จาก user มาทำให้ผลลัพธ์ดีขึ้น
- การที่ IBM ทำ CPU ที่จำลองการทำงานของสมองมนุษย์
- ความสำเร็จของการคิดค้น Quantum CPU ที่ทำให้ CPU เร็วขึ้น 100 ล้านเท่า และระบบจะเหมาะสมกับการจำลองสถานการณ์ที่มีความซับซ้อน และหาผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็ว
- ผลที่เกิดขึ้น คือ เมื่อเอา Quantum CPU มาใช้กับ deep learning ที่วิเคราะห์ Big Data การพัฒนา AI จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและก้าวกระโดดขึ้นมาก
- ตอนนี้มีความพยายามพัฒนา ร่วมมือ การเผยแพร่แบบเป็น Open Source ในเทคโนโลยีพวก AI เป็นจำนวนมาก หลักๆ ที่นำทีมก็มี Google กับ FB และล่าสุด Elon Musk กับเพื่อนๆ ก็เพื่อจะประกาศลงทุนใน OpenAI เป็นเงิน 1 พันล้านเหรียญ
ผมเชื่อครับว่าทุกอย่างมีขีดจำกัด และก็เพราะมันมีขีดจำกัดนี่แหละ ความสนุกของชีวิตมันก็อยู่ตรงที่การก้าวข้ามขีดจำกัดต่างๆ ผมสนุกกับการเห็นโลก เห็นคนที่พยายามเอาชนะข้อจำกัด ขีดจำกัดต่างๆ ที่ทำให้โลกนี้ดีขึ้น สนุกที่จะเห็นคนบ้าๆ พยายามคิดที่จะหาทางที่จะอพยพมนุษย์ไปอยู่ดาวเคราะห์ดาวอื่น เพราะ วันใดวันหนึ่งโลกก็จะอยู่ไม่ได้ สนุกกับการเห็นความพยายามของคนที่จะพยายามหาทางแก้ไข รักษาโรคร้าย ให้มีราคาถูกลง ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ สนุกการความคิดที่ยิ่งใหญ่ของคนบางกลุ่มที่ไม่คิดแค่จะทำให้ดีขึ้นแค่เล็กๆ น้อยๆ อย่าง 10-20% แต่พยายามคิดที่จะทำให้สิ่งต่างๆ ดีขึ้น 10-100 เท่า
รถยนต์ไร้คนขับอาจจะมีข้อจำกัดหลายๆ อย่างในวันนี้ แต่ถ้าวันใดวันหนึ่งเราสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดต่างๆ จนนำมาใช้ได้จริง โลกใบนี้จะน่าอยู่ขึ้นขนาดไหนกันแน่ แต่ที่แน่ๆ ผมคงจะเอาเวลาที่ต้องอยู่บนรถที่ต้องขับรถเอง ไปทำประโยชน์อย่างอื่นแน่ๆ
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
- Highway_Star
- Verified User
- โพสต์: 440
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รถยนต์ไร้คนขับ
โพสต์ที่ 24
จริงๆ ผมเห็นด้วยกับพี่ vim หลายข้อเลยนะครับ
อย่าง re-captcha เนี่ย โปรแกรมที่ว่าแน่ๆ เท่าที่เคยใช้มาความถูกต้องก็อยู่ที่แค่ราวๆ 60-70% เท่านั้นเทียบกับมนุษย์ไม่ติดเลย
ส่วนนึงลึกๆ ในใจผมเชียร์รถออโต้นี่มากๆ จนเกิด bias ด้วยแหละ เพราะทุกวันนี้ผมนั่งหนวดงอกวันละ 3 ชม.ในรถ
ทำไมคนเราถึงต้องใช้เวลา 12.5% (3/24 ชม) ของแต่ละวันไปบนถนนซึ่งไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรด้วยนะ
เมื่อก่อนผมเคยโหลด oppday มาใส่มือถือเพื่อฟังตอนรถติด แต่พอลองทำแล้ว มันอันตราย
คือพอผบห. พูดอะไรสำคัญๆ ออกมาแล้วเราต้องคิดตาม มันทำให้ความสามารถในการขับขี่ลดลงมากๆ
ผมเลยเลิกทำไปแระ
ยิ่งคิดยิ่งเจ็บใจ สรุปคือทุกวันนี้ยังคงนั่งเผาเวลาไปวันละ 3 ชม.อยู่ดี
สาเหตุที่ผมคิดว่ามันจะเกิดขึ้นเร็ว ส่วนนึง bias อีกส่วนคือเรื่องที่มันเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกที่พลิกโลก (และ/หรือมีความ critical อยู่ในตัวแบบที่คนสัมผัสได้ เช่นเรื่องสิ่งแวดล้อมที่คนเราสัมผัสได้ดีขึ้นทุกวัน---ว่าง่ายๆ คือเรื่อง critical คือเรื่องที่ต้องรีบทำ)
โดยส่วนตัวผมเชื่อว่าอะไรก็ตามที่มันสะดวกแบบพลิกโลก เงินมันจะไหลไปทางนั้น
บริษัทน้ำมันอาจจะเกลียดรถไฟฟ้า แต่มันจะต้านไม่อยู่
รถยนต์ auto อาจจะมีแรงต้านด้าน security เยอะ แต่ด้วยความขี้เกียจของมนุษย์เป็นทุนเดิม ก็น่าจะไปรุ่ง
อยากให้สามารถใช้รถนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพได้เร็วๆ ครับ
อย่าง re-captcha เนี่ย โปรแกรมที่ว่าแน่ๆ เท่าที่เคยใช้มาความถูกต้องก็อยู่ที่แค่ราวๆ 60-70% เท่านั้นเทียบกับมนุษย์ไม่ติดเลย
ส่วนนึงลึกๆ ในใจผมเชียร์รถออโต้นี่มากๆ จนเกิด bias ด้วยแหละ เพราะทุกวันนี้ผมนั่งหนวดงอกวันละ 3 ชม.ในรถ
ทำไมคนเราถึงต้องใช้เวลา 12.5% (3/24 ชม) ของแต่ละวันไปบนถนนซึ่งไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรด้วยนะ
เมื่อก่อนผมเคยโหลด oppday มาใส่มือถือเพื่อฟังตอนรถติด แต่พอลองทำแล้ว มันอันตราย
คือพอผบห. พูดอะไรสำคัญๆ ออกมาแล้วเราต้องคิดตาม มันทำให้ความสามารถในการขับขี่ลดลงมากๆ
ผมเลยเลิกทำไปแระ
ยิ่งคิดยิ่งเจ็บใจ สรุปคือทุกวันนี้ยังคงนั่งเผาเวลาไปวันละ 3 ชม.อยู่ดี
สาเหตุที่ผมคิดว่ามันจะเกิดขึ้นเร็ว ส่วนนึง bias อีกส่วนคือเรื่องที่มันเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกที่พลิกโลก (และ/หรือมีความ critical อยู่ในตัวแบบที่คนสัมผัสได้ เช่นเรื่องสิ่งแวดล้อมที่คนเราสัมผัสได้ดีขึ้นทุกวัน---ว่าง่ายๆ คือเรื่อง critical คือเรื่องที่ต้องรีบทำ)
โดยส่วนตัวผมเชื่อว่าอะไรก็ตามที่มันสะดวกแบบพลิกโลก เงินมันจะไหลไปทางนั้น
บริษัทน้ำมันอาจจะเกลียดรถไฟฟ้า แต่มันจะต้านไม่อยู่
รถยนต์ auto อาจจะมีแรงต้านด้าน security เยอะ แต่ด้วยความขี้เกียจของมนุษย์เป็นทุนเดิม ก็น่าจะไปรุ่ง
อยากให้สามารถใช้รถนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพได้เร็วๆ ครับ
- peacedev
- Verified User
- โพสต์: 668
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รถยนต์ไร้คนขับ
โพสต์ที่ 25
เรื่อง AI ผมไม่ค่อยสงสัยเท่าไหร่ว่าจะทำไม่ได้ครับ
AI ของ Google ตอนนี้ Advance มาก
เขาปล่อย Service ฟรี มากมาย รวมถึงซื้อ บริษัทที่มีฐานลูกค้าเยอะ ๆ
เพื่อนำ บริการเหล่านั้น ไป Feed AI ของเขา
ส่วนเรื่อง Re-Capcha ก็จะเห็นว่าเทคโนโลป้อน ตัวอักษรเข้าไป นั้นใช้กันมานานมากแล้ว
พยายาม ใส่ noise ลงไป บิดภาพไปมา มีการผสม Font มีความหลากหลายมากมายเพื่อหลอก AI
แต่ถ้าเป็นเดี๋ยวนี้ เจอ AI เทพ ๆ เข้าไปผมว่าก็จอด เหมือนกัน
จะเห็นว่ามีการให้ input แบบอื่น ๆ เพิ่มเข้ามาแล้ว
เช่น ให้ classify รูปภาพบ้าง ให้บวกเลข ผสมคำ บ้าง เป็นต้น
แต่อย่างไรถึง AI เทพระดับนั้น ถ้าเอามาใช้กับ รถยนต์ไรคนขับอย่างแพร่หลายเมื่อไหร่ ผมว่าภายในไม่กี่เดือนต้องมีข่าวหน้า 1 แน่นอน
ส่วนเรื่อง Quantum CPU เรายังไม่ค่อยเห็นการนำมาใช้เป็นรูปธรรม ชัดเจน
ส่วนมากยังเป็น Document และ Prototype กันอยู่
และดูจาก ตัว Document แล้ว ก็ยังไม่สามารถทำมาแทน Computer แบบเดิม ๆ ได้
แต่อย่างไรก็ดี ผมก็เห็นด้วยว่าน่าจะช่วยในเรื่องของ AI ได้เป็นอย่างมาก จากที่ Quantum CPU มีลักษณะเด่นในเรื่องของการค้นหาทางเลือก
ใจจริงผมอยากให้มีเทคโนโลยีพวกนี้ออกมาเร็ว ๆ
ผมจะได้มีของเล่นเยอะขึ้น
เพียงแต่ผมไม่คิดว่าจะทันใช้ใน ระบบรถยนต์ที่จะปล่อยออกมาใน gen ต้น ๆ
Computer ที่ขับเคลื่อน AI รถยนต์ไรคนขับ ในยุคแรกน่าจะเป็น cpu แบบดั้งเดิม
ส่วนตัว เทคโนโลยีพวกนี้ ถ้าคลอด ออกมาจริง มีแต่จะเป็นผลดีกับผมครับ
น่าจะมีอะไรสนุก ให้พวกผมได้ทำอีกมาก
ดูจาก Business model ของ Google แล้วต้องเปิดให้นักพัฒนาเข้าไป Modify เล่นได้แน่นอน
AI ของ Google ตอนนี้ Advance มาก
เขาปล่อย Service ฟรี มากมาย รวมถึงซื้อ บริษัทที่มีฐานลูกค้าเยอะ ๆ
เพื่อนำ บริการเหล่านั้น ไป Feed AI ของเขา
ส่วนเรื่อง Re-Capcha ก็จะเห็นว่าเทคโนโลป้อน ตัวอักษรเข้าไป นั้นใช้กันมานานมากแล้ว
พยายาม ใส่ noise ลงไป บิดภาพไปมา มีการผสม Font มีความหลากหลายมากมายเพื่อหลอก AI
แต่ถ้าเป็นเดี๋ยวนี้ เจอ AI เทพ ๆ เข้าไปผมว่าก็จอด เหมือนกัน
จะเห็นว่ามีการให้ input แบบอื่น ๆ เพิ่มเข้ามาแล้ว
เช่น ให้ classify รูปภาพบ้าง ให้บวกเลข ผสมคำ บ้าง เป็นต้น
แต่อย่างไรถึง AI เทพระดับนั้น ถ้าเอามาใช้กับ รถยนต์ไรคนขับอย่างแพร่หลายเมื่อไหร่ ผมว่าภายในไม่กี่เดือนต้องมีข่าวหน้า 1 แน่นอน
ส่วนเรื่อง Quantum CPU เรายังไม่ค่อยเห็นการนำมาใช้เป็นรูปธรรม ชัดเจน
ส่วนมากยังเป็น Document และ Prototype กันอยู่
และดูจาก ตัว Document แล้ว ก็ยังไม่สามารถทำมาแทน Computer แบบเดิม ๆ ได้
แต่อย่างไรก็ดี ผมก็เห็นด้วยว่าน่าจะช่วยในเรื่องของ AI ได้เป็นอย่างมาก จากที่ Quantum CPU มีลักษณะเด่นในเรื่องของการค้นหาทางเลือก
ใจจริงผมอยากให้มีเทคโนโลยีพวกนี้ออกมาเร็ว ๆ
ผมจะได้มีของเล่นเยอะขึ้น
เพียงแต่ผมไม่คิดว่าจะทันใช้ใน ระบบรถยนต์ที่จะปล่อยออกมาใน gen ต้น ๆ
Computer ที่ขับเคลื่อน AI รถยนต์ไรคนขับ ในยุคแรกน่าจะเป็น cpu แบบดั้งเดิม
ส่วนตัว เทคโนโลยีพวกนี้ ถ้าคลอด ออกมาจริง มีแต่จะเป็นผลดีกับผมครับ
น่าจะมีอะไรสนุก ให้พวกผมได้ทำอีกมาก
ดูจาก Business model ของ Google แล้วต้องเปิดให้นักพัฒนาเข้าไป Modify เล่นได้แน่นอน
http://peacedev.wordpress.com
"The Quant"
"The Quant"
- peacedev
- Verified User
- โพสต์: 668
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รถยนต์ไร้คนขับ
โพสต์ที่ 26
Google จะเริ่ม ปล่อย รถไร้คนขับแล้วครับ
โดยจะเริ่มใช้ใน มหาวิทยาลัยก่อน
นับเป็นก้าว ที่ฉลาดทีเดียว
มันคือ Beta test ดี ๆ นี่เอง
เพื่อ วิเคราะห์แก้ไข ก่อนออกไปใช้ในวงกว้างยิ่งขึ้น
http://www.bloomberg.com/news/articles/ ... ny-in-2016
โดยจะเริ่มใช้ใน มหาวิทยาลัยก่อน
นับเป็นก้าว ที่ฉลาดทีเดียว
มันคือ Beta test ดี ๆ นี่เอง
เพื่อ วิเคราะห์แก้ไข ก่อนออกไปใช้ในวงกว้างยิ่งขึ้น
http://www.bloomberg.com/news/articles/ ... ny-in-2016
http://peacedev.wordpress.com
"The Quant"
"The Quant"
-
- Verified User
- โพสต์: 1475
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รถยนต์ไร้คนขับ
โพสต์ที่ 27
ร่างกฎหมายใหม่ในแคลิฟอร์เนียที่จะออก จะต้องมีคนที่มีใบขับขี่อยู่บนรถไร้คนขับด้วย
http://www.usatoday.com/story/tech/news ... /77447672/
http://www.usatoday.com/story/tech/news ... /77447672/