สถานการณ์รถยนต์
- leaderinshadow
- Verified User
- โพสต์: 1765
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สถานการณ์รถยนต์
โพสต์ที่ 181
ตลาดรถมือ2 ส่งสัญญาณบวก ราคาขยับ 3-5 หมื่นบาท/คาดสิ้นปีเติบโต 20%
อาทิตย์ ที่ 4 ตุลาคม 2558 ฐานเศรษฐกิจ Auto, Business
ตลาดรถมือสองเริ่มฟื้นตัว นายกส.รถใช้แล้วชี้ราคาปรับตัวดีขึ้น เฉลี่ย 3 – 5 หมื่นบาท พร้อมยกมือสนับสนุนภาครัฐฯผลักดันนโยบายคืนภาษีสำหรับการส่งออกรถไปยังเพื่อนบ้าน มั่นใจสิ้นปี 58 ตลาดโตอย่างน้อย 20% ด้านสหการประมูลกางแผนรับมือ เตรียมเพิ่มความถี่ประมูลสัญจรและรีแบรนดิ้ง-พัฒนาระบบไอที
นายธนบูลย์ จิระไตรลักษณ์ นายกสมาคมผู้ประกอบการรถยนต์ใช้แล้ว เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดรถมือสองในช่วงไตรมาส 3 เข้าสู่ไตรมาส 4 สถานการณ์เริ่มดีขึ้น โดยราคารถยนต์มีการปรับตัวสูงขึ้น อาทิ รถในกลุ่มอีโคคาร์ บี-คาร์ ขนาดเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ที่ราคาปรับขึ้นมาเฉลี่ย 3- 5 หมื่นบาท หรือจากราคาเริ่มต้นปลาย 2แสน ตอนนี้ก็ขยับขึ้นมาเป็น 3 แสนบาทแล้ว โดยปัจจัยที่ทำให้ราคามีการปรับขึ้นเป็นผลมาจากการปลดล็อกเรื่องโครงการรถคันแรกของรัฐบาล รวมไปถึงนโยบายของภาครัฐที่จะมีการสนับสนุนเรื่องคืนภาษีสำหรับผู้ส่งออกรถยนต์มือสองไปยังต่างประเทศ
“จากการสังเกตตลาดในช่วงที่ผ่านมา ทั้งในตลาดประมูล และตลาดทั่วไป พบว่าราคารถเล็ก 1.5 ลิตรเริ่มดีขึ้น ตรงจุดนี้เองส่งผลดีสำหรับผู้ที่มีรถกลุ่มนี้อยู่ในสต๊อก ก็จะขายได้กำไรมากขึ้น อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยเรื่องไฟแนนซ์ที่มีความเข้มงวด เพราะห่วงเรื่องหนี้เสีย ทำให้ต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ”
นายธนบูลย์ กล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคืบหน้าของนโยบายการคืนภาษีสำหรับผู้ส่งออกรถยนต์มือสองในตอนนี้ว่าทางกระทรวงการคลัง และกรมสรรพสามิตได้มีการพูดคุยกับทางสมาคมเพื่อศึกษาถึงทิศทางและแนวโน้มต่างๆเพื่อนำไปประกอบการพิจารณาว่าจะลดหย่อนภาษีตรงจุดไหนยังไง และส่งออกไปยังประเทศใด แต่เบื้องต้นที่สมาคมได้มองไว้คือ เมียนมา ลาว เวียดนาม และกัมพูชา ซึ่งรัฐก็ต้องไปดูว่าเงื่อนไขการส่งไปขายยังประเทศเหล่านี้เป็นอย่างไร มีกำแพงภาษีแบบไหน และต้องการรถประเภทใด
“ภาครัฐมีการตอบรับที่ดี มีการฟังความคิดเห็นจากภาคเอกชนที่ได้นำเสนอไป และเราก็มองว่าแนวทางการส่งออกเป็นเรื่องที่ดี เพราะทุกวันนี้เรามีแต่เข้าไม่มีออก หากรัฐช่วยหาทางออกด้วยการส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านได้ก็จะเป็นเรื่องที่ดี ถือเป็นการขยายตลาด ช่วยลดมลพิษ ช่วยเรื่องราคารถมือสองในประเทศให้เสถียร”
นายธนบูลย์ กล่าวว่า แม้ข้อสรุปจากภาครัฐเกี่ยวกับนโยบายจะยังไม่ได้ข้อสรุป แต่ก็ถือเป็นการส่งสัญญาณที่ดีให้กับตลาดรถมือสอง โดยประเมินว่าจนถึงสิ้นปีนี้ตลาดจะมีอัตราการเติบโตประมาณ 10-20% เป็นอย่างต่ำ โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯและจังหวัดใกล้เคียงตลาดจะมีเสถียรภาพมากกว่าต่างจังหวัด ที่อาจจะได้รับผลกระทบเรื่องราคาพืชผลทางการเกษตร
ด้านนางสาวฐารดา คูประสิทธิ์ นักลงทุนสัมพันธ์ บริษัทสหการประมูล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าภาพรวมตลาดรถมือสองตอนนี้ถือว่าราคาเริ่มนิ่ง ไม่ผันผวนเหมือนช่วงที่ผ่านมา ขณะที่รถยนต์ และรถจักรยานยนต์ที่ไหลเข้ามาสู่ตลาดประมูลนั้นมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง คาดว่าในปีนี้จะมีรถที่เข้ามาสู่กระบวนการประมูลมากกว่า 1 แสนคัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าเล็กน้อย
“เราได้รถที่จะนำมาประมูลจากพันธมิตรที่เป็นสถาบันการเงินเข้ามาเป็นจำนวนมาก ทั้งรถยนต์ รถจักรยานยนต์ บิ๊กไบค์ รวมไปถึงรถประเภทอื่นๆ อาทิ รถพ่วงบรรทุก รถเพื่อการเกษตร ทำให้เราได้เปรียบผู้เล่นรายอื่นๆในตลาดในแง่ของความหลากหลายของตัวสินค้า และปัจจุบันราคาต้นทุนบวกกับกำไรต่างๆก็มีการขยับเพิ่มขึ้น ยกตัวอย่างปีที่ผ่านมาได้ 7 พันบาท ปีนี้ก็ขยับมาเป็น 8 พันบาท”
นางสาวฐารดา กล่าวเพิ่มเติมว่า แผนงานในปีนี้ของบริษัทคือการขยายฐานไปสู่ลูกค้าทั่วไปมากขึ้น จากเดิมสัดส่วนลูกค้าทั่วไปมีประมาณ 10% ก็จะขยับมาเป็น 20% และลูกค้าที่เป็นผู้ประกอบการรถมือสองหรือเต็นท์ที่มาประมูลเพื่อนำไปขายต่ออีกทอดหนึ่ง คิดเป็น 90% ก็จะปรับเป็น 80% ภายในสิ้นปีนี้ โดยการทำตลาดในกลุ่มนี้จะเน้นการสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดีย นอกจากนั้นแล้วจะมีการเพิ่มความถี่ในการประมูลเพิ่มมากขึ้น
“แนวโน้มรถที่จะเข้ามายังบริษัทประมูลเพิ่มมากขึ้น ทำให้มีการวางแผนรับมือด้วยการเพิ่มความถี่การจัดประมูล และมุ่งเข้าหาลูกค้าทั่วไปมากขึ้น นอกจากนั้นแล้วเราจะจัดประมูลโดยเน้นไปที่ภาคอีสานอย่าง อุบลราชธานี และอุดรธานี ที่บริษัทตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นฮับการประมูลเพื่อรองรับการเปิดเออีซีในอนาคต”
ขณะเดียวกันบริษัทได้มีการรีแบรนดิ้ง และพัฒนาระบบไอทีใหม่ อาทิ เว็บไซต์ เพื่อรองรับกับการเติบโตในอนาคต คาดว่าในเดือนตุลาคมนี้จะพร้อมเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ส่วนการขยายเครือข่ายจะมีการเปิดสาขาเพิ่มอีก 4 – 5 แห่ง จากปัจจุบัน 26 แห่งก็จะเพิ่มเป็น 30 แห่งภายในสิ้นปีนี้ โดยบริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ในปีนี้ ด้วยอัตราการเติบโตมากกว่า 10%
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 35 ฉบับที่ 3093 วันที่ 4 – 7 ตุลาคม พ.ศ. 2558
http://www.thansettakij.com/2015/10/04/12703
อาทิตย์ ที่ 4 ตุลาคม 2558 ฐานเศรษฐกิจ Auto, Business
ตลาดรถมือสองเริ่มฟื้นตัว นายกส.รถใช้แล้วชี้ราคาปรับตัวดีขึ้น เฉลี่ย 3 – 5 หมื่นบาท พร้อมยกมือสนับสนุนภาครัฐฯผลักดันนโยบายคืนภาษีสำหรับการส่งออกรถไปยังเพื่อนบ้าน มั่นใจสิ้นปี 58 ตลาดโตอย่างน้อย 20% ด้านสหการประมูลกางแผนรับมือ เตรียมเพิ่มความถี่ประมูลสัญจรและรีแบรนดิ้ง-พัฒนาระบบไอที
นายธนบูลย์ จิระไตรลักษณ์ นายกสมาคมผู้ประกอบการรถยนต์ใช้แล้ว เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดรถมือสองในช่วงไตรมาส 3 เข้าสู่ไตรมาส 4 สถานการณ์เริ่มดีขึ้น โดยราคารถยนต์มีการปรับตัวสูงขึ้น อาทิ รถในกลุ่มอีโคคาร์ บี-คาร์ ขนาดเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ที่ราคาปรับขึ้นมาเฉลี่ย 3- 5 หมื่นบาท หรือจากราคาเริ่มต้นปลาย 2แสน ตอนนี้ก็ขยับขึ้นมาเป็น 3 แสนบาทแล้ว โดยปัจจัยที่ทำให้ราคามีการปรับขึ้นเป็นผลมาจากการปลดล็อกเรื่องโครงการรถคันแรกของรัฐบาล รวมไปถึงนโยบายของภาครัฐที่จะมีการสนับสนุนเรื่องคืนภาษีสำหรับผู้ส่งออกรถยนต์มือสองไปยังต่างประเทศ
“จากการสังเกตตลาดในช่วงที่ผ่านมา ทั้งในตลาดประมูล และตลาดทั่วไป พบว่าราคารถเล็ก 1.5 ลิตรเริ่มดีขึ้น ตรงจุดนี้เองส่งผลดีสำหรับผู้ที่มีรถกลุ่มนี้อยู่ในสต๊อก ก็จะขายได้กำไรมากขึ้น อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยเรื่องไฟแนนซ์ที่มีความเข้มงวด เพราะห่วงเรื่องหนี้เสีย ทำให้ต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ”
นายธนบูลย์ กล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคืบหน้าของนโยบายการคืนภาษีสำหรับผู้ส่งออกรถยนต์มือสองในตอนนี้ว่าทางกระทรวงการคลัง และกรมสรรพสามิตได้มีการพูดคุยกับทางสมาคมเพื่อศึกษาถึงทิศทางและแนวโน้มต่างๆเพื่อนำไปประกอบการพิจารณาว่าจะลดหย่อนภาษีตรงจุดไหนยังไง และส่งออกไปยังประเทศใด แต่เบื้องต้นที่สมาคมได้มองไว้คือ เมียนมา ลาว เวียดนาม และกัมพูชา ซึ่งรัฐก็ต้องไปดูว่าเงื่อนไขการส่งไปขายยังประเทศเหล่านี้เป็นอย่างไร มีกำแพงภาษีแบบไหน และต้องการรถประเภทใด
“ภาครัฐมีการตอบรับที่ดี มีการฟังความคิดเห็นจากภาคเอกชนที่ได้นำเสนอไป และเราก็มองว่าแนวทางการส่งออกเป็นเรื่องที่ดี เพราะทุกวันนี้เรามีแต่เข้าไม่มีออก หากรัฐช่วยหาทางออกด้วยการส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านได้ก็จะเป็นเรื่องที่ดี ถือเป็นการขยายตลาด ช่วยลดมลพิษ ช่วยเรื่องราคารถมือสองในประเทศให้เสถียร”
นายธนบูลย์ กล่าวว่า แม้ข้อสรุปจากภาครัฐเกี่ยวกับนโยบายจะยังไม่ได้ข้อสรุป แต่ก็ถือเป็นการส่งสัญญาณที่ดีให้กับตลาดรถมือสอง โดยประเมินว่าจนถึงสิ้นปีนี้ตลาดจะมีอัตราการเติบโตประมาณ 10-20% เป็นอย่างต่ำ โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯและจังหวัดใกล้เคียงตลาดจะมีเสถียรภาพมากกว่าต่างจังหวัด ที่อาจจะได้รับผลกระทบเรื่องราคาพืชผลทางการเกษตร
ด้านนางสาวฐารดา คูประสิทธิ์ นักลงทุนสัมพันธ์ บริษัทสหการประมูล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าภาพรวมตลาดรถมือสองตอนนี้ถือว่าราคาเริ่มนิ่ง ไม่ผันผวนเหมือนช่วงที่ผ่านมา ขณะที่รถยนต์ และรถจักรยานยนต์ที่ไหลเข้ามาสู่ตลาดประมูลนั้นมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง คาดว่าในปีนี้จะมีรถที่เข้ามาสู่กระบวนการประมูลมากกว่า 1 แสนคัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าเล็กน้อย
“เราได้รถที่จะนำมาประมูลจากพันธมิตรที่เป็นสถาบันการเงินเข้ามาเป็นจำนวนมาก ทั้งรถยนต์ รถจักรยานยนต์ บิ๊กไบค์ รวมไปถึงรถประเภทอื่นๆ อาทิ รถพ่วงบรรทุก รถเพื่อการเกษตร ทำให้เราได้เปรียบผู้เล่นรายอื่นๆในตลาดในแง่ของความหลากหลายของตัวสินค้า และปัจจุบันราคาต้นทุนบวกกับกำไรต่างๆก็มีการขยับเพิ่มขึ้น ยกตัวอย่างปีที่ผ่านมาได้ 7 พันบาท ปีนี้ก็ขยับมาเป็น 8 พันบาท”
นางสาวฐารดา กล่าวเพิ่มเติมว่า แผนงานในปีนี้ของบริษัทคือการขยายฐานไปสู่ลูกค้าทั่วไปมากขึ้น จากเดิมสัดส่วนลูกค้าทั่วไปมีประมาณ 10% ก็จะขยับมาเป็น 20% และลูกค้าที่เป็นผู้ประกอบการรถมือสองหรือเต็นท์ที่มาประมูลเพื่อนำไปขายต่ออีกทอดหนึ่ง คิดเป็น 90% ก็จะปรับเป็น 80% ภายในสิ้นปีนี้ โดยการทำตลาดในกลุ่มนี้จะเน้นการสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดีย นอกจากนั้นแล้วจะมีการเพิ่มความถี่ในการประมูลเพิ่มมากขึ้น
“แนวโน้มรถที่จะเข้ามายังบริษัทประมูลเพิ่มมากขึ้น ทำให้มีการวางแผนรับมือด้วยการเพิ่มความถี่การจัดประมูล และมุ่งเข้าหาลูกค้าทั่วไปมากขึ้น นอกจากนั้นแล้วเราจะจัดประมูลโดยเน้นไปที่ภาคอีสานอย่าง อุบลราชธานี และอุดรธานี ที่บริษัทตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นฮับการประมูลเพื่อรองรับการเปิดเออีซีในอนาคต”
ขณะเดียวกันบริษัทได้มีการรีแบรนดิ้ง และพัฒนาระบบไอทีใหม่ อาทิ เว็บไซต์ เพื่อรองรับกับการเติบโตในอนาคต คาดว่าในเดือนตุลาคมนี้จะพร้อมเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ส่วนการขยายเครือข่ายจะมีการเปิดสาขาเพิ่มอีก 4 – 5 แห่ง จากปัจจุบัน 26 แห่งก็จะเพิ่มเป็น 30 แห่งภายในสิ้นปีนี้ โดยบริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ในปีนี้ ด้วยอัตราการเติบโตมากกว่า 10%
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 35 ฉบับที่ 3093 วันที่ 4 – 7 ตุลาคม พ.ศ. 2558
http://www.thansettakij.com/2015/10/04/12703
- leaderinshadow
- Verified User
- โพสต์: 1765
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สถานการณ์รถยนต์
โพสต์ที่ 182
ค่ายรถตุนสต๊อกรับภาษีใหม่ ปีหน้า"PPV-SUV" พุ่งคันละแสน
29 ก.ย. 2558 เวลา 20:06:17 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ค่ายรถชิงธงแห่เพิ่มกำลังผลิต เก็บตุนรถเข้าสต๊อกไว้ขายปีหน้าก่อนภาษีใหม่ทำราคาแพงขึ้นบี้ซัพพลายเออร์รับออร์เดอร์เพิ่ม ปิกอัพ-เอสยูวี-พีพีวีทะลัก ผลิตเพิ่มเดือนละเฉียดหมื่นคัน เก๋งขนาดกลางไม่น้อยหน้า โตโยต้า-มิตซูบิชิออกแรงเต็มที่ กลุ่มฮอนด้ายันยังไม่มีนโยบาย ค่ายมาสด้าปืนไวขายราคาใหม่ล่วงหน้า
ผลกระทบจากโครงสร้างสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ที่เริ่มใช้วันที่1 มกราคม 2559 ซึ่งปรับเปลี่ยนอัตราภาษีจากเดิมที่จัดเก็บตามปริมาตรกระบอกสูบและประเภทของรถยนต์มาเป็นคิดอัตราตามปริมาณการปล่อยCO2 โดยรถที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์น้อย จะเสียภาษีต่ำกว่ารถที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์มาก เพื่อให้สอดรับกับการบังคับใช้ระบบป้ายข้อมูลรถยนต์ "ECO STICKER" ซึ่งแสดงข้อมูลอัตราสิ้นเปลือง และระดับการปล่อยไอเสีย ทำให้ขณะนี้ค่ายรถยนต์เกือบทุกยี่ห้อพยายามดิ้นเพื่อสต๊อกการผลิตของตัวเองไว้ระดับหนึ่งก่อน โดยเฉพาะกลุ่มรถยนต์ที่จะมีต้นทุนภาษีสูงขึ้นมาก อาทิ กลุ่มรถเอสยูวี, พีพีวี (รถยนต์ดัดแปลง), รถเก๋งขนาดกลางและขนาดใหญ่
ออร์เดอร์ชิ้นส่วนทะลัก 10-15%
นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ รองประธานกรรมการ กลุ่มบริษัทไทยซัมมิท ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์รายใหญ่ กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า กรณีการปรับโครงสร้างภาษีใหม่ในปีหน้า มีผลทำให้ค่ายรถยนต์มีการเพิ่มออร์เดอร์การผลิตรถยนต์เพิ่มขึ้นประมาณ 10-15% เพื่อตุนรถไว้ขายช่วงต้นปีหน้า แต่ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มรถยนต์นั่งอเนกประสงค์ และรถปิกอัพดัดแปลงที่มีผลกระทบต่อราคา เช่น โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์, อีซูซุ มิวเอ็กซ์ และมิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต แต่กรณีรถปิกอัพไม่ได้มีผลกระทบด้านราคาอย่างมีนัยสำคัญ
เช่นเดียวกับแหล่งข่าวซัพพลายเออร์ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์รายกลาง กล่าวยอมรับว่า ช่วงนี้มีคำสั่งซื้อจากผู้ผลิตรถยนต์เข้ามามากขึ้น โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนสุดท้ายก่อนสิ้นปี 2557 แต่ละยี่ห้อจะเพิ่มกำลังการผลิตกันค่อนข้างมาก ซึ่งนอกจากจะเป็นการขยายตลาดในประเทศและตลาดส่งออกแล้ว เชื่อว่าน่าจะเป็นการผลิตเพิ่มเติมเพื่อเก็บสต๊อกไว้ในขณะที่ยังมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าเอาไว้ขายปีหน้า
การเพิ่มกำลังการผลิตของค่ายรถยนต์แต่ละยี่ห้อสอดรับกับนายสุรพงษ์ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวยอมรับกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า โครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่จะทำให้ยอดผลิตจากเดิมที่มีต่อเดือนราว ๆ 60,000 คัน เชื่อว่าจนถึงสิ้นปียอดผลิตเพื่อรองรับตลาดในประเทศจะเพิ่มขึ้นเป็น 67,000-68,000 คันต่อเดือน
"แน่นอนว่า ทุกค่ายต้องเร่งผลิตในปีนี้ให้ได้จำนวนมากขึ้นเพื่อลดต้นทุน เพราะรถที่ผลิตในปีนี้ยังใช้ภาษีเดิมได้อยู่ แม้ว่าลูกค้าจะสั่งจองและได้รถในปีหน้าก็ตาม" นายสุรพงษ์กล่าว
แหล่งข่าวจากผู้ผลิตรถยนต์โตโยต้ากล่าวเพิ่มเติมว่า ประเด็นโครงสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่ที่มีผลต่อราคารถยนต์โตโยต้าได้มีการพูดคุยกันมาตั้งแต่กลางปี แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน เพราะการผลิตรถยนต์ 1 คัน มีกระบวนการขั้นตอนค่อนข้างมาก ทั้งในส่วนของโรงงานผลิต ซัพพลายเออร์ผู้ผลิตชิ้นส่วน หลังจากคลอดเป็นรถออกมาแล้วยังจะต้องมาพิจารณาเพิ่มเติมกันอีกว่าจะเก็บสต๊อกที่ไหน หรือจะผลักดันไปไว้กับดีลเลอร์ ซึ่งจุดนั้นจะต้องมีการช่วยเหลือดีลเลอร์ เช่น ดอกเบี้ย ให้อินเซนทีฟเพิ่มมาร์จิ้นเพิ่มหรือยืดเครดิตเทอม รวมถึงการสนับสนุนด้านแคมเปญ ทุกอย่างคงต้องรอความชัดเจนอีกที แต่ยอมรับว่าโตโยต้ามีรถเข้าข่ายค่อนข้างเยอะ ทั้งพีพีวี เก๋งขนาดกลางและใหญ่ ซึ่งแต่ละรุ่นมียอดขายเป็นจำนวนมากซึ่งมีโอกาสทำได้ทั้งนั้น
"ตรงนี้ไม่ได้ข้อห้ามใด ๆ ทุกค่ายสามารถทำได้และไม่ผิดกติกาและเงื่อนไขที่รัฐบาลกำหนด เพียงแต่ขณะนี้ตลาดอยู่ในช่วงภาวะซบเซา แล้วการที่สต๊อกรถจะคุ้มหรือไม่คงจะต้องพิจารณากันให้ดี"
มิตซูบิชิตุนปาเจโรเพิ่ม
นายโมะริคาซุชกคิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตอนนี้มิตซูบิชิได้เพิ่มกำลังการผลิตรถปิกอัพดัดแปลงอีกประมาณเดือนละ 1,000 คัน เนื่องจากตลาดมีความต้องการสูงมาก หลังจากที่มิตซูบิชิได้เปิดตัวไปเมื่อวันที่ 1 ส.ค.ที่ผ่านมา และลูกค้าให้การตอบรับดีมาก ยอดจองเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยขณะนี้มียอดจองไปแล้วถึง 5,000 คัน
"เรากำลังคุยกับซัพพลายเออร์เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตไว้รองรับโครงสร้างภาษีใหม่ด้วย" นายชกคิกล่าว
ขณะที่ประพัฒน์ เชยชม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโสการตลาดและการขาย บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวยอมรับว่า ประเด็นค่ายรถยนต์เร่งเพิ่มกำลังการผลิตรองรับโครงสร้างภาษีใหม่ปีหน้า รวมถึงตุนเป็นสต๊อกไว้ขายปีหน้า มีความเป็นไปได้มาก โดยเฉพาะกลุ่มรถยนต์ที่ราคาเปลี่ยนแปลงค่อนข้างสูง แต่ในส่วนของนิสสัน แม้จะมีรถบางรุ่นที่ใช้โครงสร้างภาษีใหม่แล้วราคาแพงขึ้น แต่เป็นกลุ่มรถที่ขายไม่เยอะ คิดว่าไม่มีความจำเป็น แต่กำลังการผลิตของนิสสันที่เพิ่มขึ้นนั้นเป็นเพราะนิสสันได้ขยายตลาดส่งออกจนมีออร์เดอร์เพิ่มขึ้นค่อนข้างเยอะ
ฮอนด้าเน้นบริหารสต๊อก
เช่นเดียวกับนายพิทักษ์ พฤทธิสาริกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารปฏิบัติการ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ฮอนด้าไม่มีนโยบายผลิตรถยนต์เพื่อเตรียมสต๊อกไว้ขายปีหน้าเพื่อรับกับราคาขายที่ปรับสูงขึ้น
"เรามองเรื่องความสมเหตุสมผล แต่ละค่ายรถควรจะหันมาบริหารจัดการรถยนต์ในสต๊อกของตัวเองน่าจะเป็นเรื่องที่เหมาะสมกว่า" นายพิทักษ์กล่าว
สอดคล้องกับนายวัลลภ ตรีฤกษ์งาม ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัทซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) ก็ยืนยันว่า ซูซูกิไม่มีนโยบายในการผลักดันหรืออัดสต๊อกไปที่ตัวแทนจำหน่าย เพื่อเตรียมรับกับโครงสร้างภาษีใหม่ เพราะรถธงของซูซูกิ คือกลุ่มอีโคคาร์ ซึ่งไม่ได้มีการปรับขึ้นราคาจำหน่าย หรืออาจจะมีการปรับขึ้นก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รวบรวมกลุ่มรถยนต์ที่จะมีการปรับราคาขายเพิ่มขึ้นจากโครงสร้างภาษีใหม่ ส่วนใหญ่ยังคงเป็นกลุ่มเอสยูวี กลุ่มรถยนต์ดัดแปลง (พีพีวี) รถปิกอัพประเภทดับเบิลแค็บ และรถยนต์นั่งขนาดกลางและใหญ่ ซึ่งกลุ่มนี้ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีน่าจะมีความต้องการซื้อมากขึ้น รวมถึงค่ายรถยนต์จะเพิ่มน้ำหนักการกระตุ้นตลาดด้วยแคมเปญหลากหลาย เพื่อให้เป็นเจ้าของรถได้ง่ายขึ้น ทั้งลด-แลก-แจก-แถม รวมถึงแคมเปญด้านสินเชื่อ
อัดมาร์จิ้นดีลเลอร์เพิ่ม
แหล่งข่าวตัวแทนจำหน่ายรถยนต์รายใหญ่กล่าวเพิ่มเติมกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้ได้มีนโยบายจากบริษัทแจ้งมาให้ตัวแทนจำหน่ายเตรียมสั่งซื้อรถ โดยเฉพาะรุ่นที่จะมีการปรับขึ้นราคามาก ๆ เพื่อเก็บไว้ในสต๊อก และยังแจ้งเพิ่มเติมว่า ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2559 บริษัทแม่จะชะลอการผลิต เพื่อรอดูความต้องการของตลาดหลังจากปรับราคาขายใหม่ โดยบริษัทแม่ยังสร้างแรงจูงใจให้กับตัวแทนจำหน่ายที่ยอมแบกสต๊อกรถไว้ด้วยการเพิ่มอินเซนทีฟให้อีกคันละ 20,000 บาท นอกเหนือจากส่วนต่างมูลค่า 30,000-40,000 บาทสำหรับการทำตลาด
"แน่นอนการทำแบบนี้ดีลเลอร์ใหญ่ได้เปรียบมากกว่า ส่วนรายเล็กลำบากในการหาเงินจำนวนมากมาตุนรถไว้ในสต๊อก"
แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า ตอนนี้ปัญหาในตลาดรถยนต์ คือดีลเลอร์ไม่สามารถให้ข้อมูลกับลูกค้าได้ชัดเจนว่า ราคารถยนต์หลังการใช้อัตราภาษีใหม่จะปรับเปลี่ยนไปอย่างไร ทำให้ลูกค้าไม่กล้าตัดสินใจ เนื่องจากยังไม่มีใครกล้าเปิดราคาขาย คงต้องรอค่ายใหญ่ ๆ เปิดราคาก่อนว่าจะมีการให้ความช่วยเหลือด้านการเงินจากราคาที่เพิ่มขึ้น เพราะภาษีใหม่ให้ลูกค้ามากน้อยแค่ไหน เพราะเกรงว่าถ้าเปิดก่อนแล้วค่ายใหญ่ดัมพ์ราคาออกมาจะขายไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ยังมองว่าสถานการณ์ตลาดรถยนต์ปีหน้ายังไม่ดี เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจยังไม่มีข่าวดี
แหล่งข่าวกล่าวเพิ่มเติมว่า จริง ๆ แล้วการตุนรถไว้ก่อนเพื่อขายต้นปีหน้า หากไม่ห่วงเรื่องเงินทุนจำนวนที่จะต้องเอามาใช้จ่ายก่อน น่าจะทำให้ตลาดปีหน้าสนุกขึ้น เพราะมีหลายรูปแบบในการทำตลาด โดยบางยี่ห้อที่กล้าให้ความช่วยเหลือด้านการเงิน อาจจะขายราคาเดิมทั้ง ๆ มีการปรับราคาขายไปแล้วก็ตาม
มาสด้าชิงธงขายราคาปีหน้า
นายฮิเดสึเกะ ทาเกสึเอะ ประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า มาสด้าจะขายรถยนต์ราคาใหม่ตามโครงสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่ ในเร็ว ๆ นี้ เพื่อเป็นการตอบแทนลูกค้าและกระตุ้นตลาดช่วงไตรมาสสุดท้ายปีนี้ โดยเฉพาะมาสด้า 2 ซึ่งได้รับสิทธิประโยชน์จากบีโอไอ จะขายในราคาต่ำลงประมาณ 12,000 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ตามโชว์รูมต่าง ๆ ของมาสด้ามีการทำแคมเปญเปรียบเทียบราคาให้ลูกค้าได้เห็นว่า ราคาใหม่กับราคาเก่าแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน ทำไมต้องซื้อรถปีหน้า โดยระบุว่า
มาสด้า 2 ซื้อตอนนี้จะได้ราคาต่ำลง 12,575 บาท, มาสด้า 2 เครื่องยนต์ 1,400 ซีซี ซื้อปีหน้าต้องจ่ายเพิ่มขึ้น 29,854 บาท มาสด้า 2 เครื่องยนต์ 1,500 ซีซี ซื้อปีหน้าต้องจ่ายเพิ่มขึ้น 84,552 บาท, มาสด้า 3 เครื่องยนต์ 1,600 ซีซี ซื้อปีหน้าต้องจ่ายเพิ่มขึ้น 94,401 บาท, มาสด้า 3 เครื่อง 1,800 ซีซี ซื้อปีหน้าต้องจ่ายเพิ่มขึ้น 110,947 บาท, มาสด้า ซีเอ็กซ์ 5 เครื่องยนต์ 2,000 ซีซี ซื้อปีหน้าต้องจ่ายเพิ่มขึ้น 159,546 บาท, มาสด้า ซีเอ็กซ์ 5 เครื่องยนต์ 2,001-2,500 ซีซี ซื้อปีหน้าต้องจ่ายเพิ่มขึ้น 223,640 บาท, บีที 50 ซิงเกิลแค็บ ซื้อปีหน้าต้องจ่ายเพิ่มขึ้น 10,037 บาท และบีที 50 ดับเบิลแค็บ ซื้อปีหน้าต้องจ่ายเพิ่มขึ้น 21,270 บาท
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... 1443532026
29 ก.ย. 2558 เวลา 20:06:17 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ค่ายรถชิงธงแห่เพิ่มกำลังผลิต เก็บตุนรถเข้าสต๊อกไว้ขายปีหน้าก่อนภาษีใหม่ทำราคาแพงขึ้นบี้ซัพพลายเออร์รับออร์เดอร์เพิ่ม ปิกอัพ-เอสยูวี-พีพีวีทะลัก ผลิตเพิ่มเดือนละเฉียดหมื่นคัน เก๋งขนาดกลางไม่น้อยหน้า โตโยต้า-มิตซูบิชิออกแรงเต็มที่ กลุ่มฮอนด้ายันยังไม่มีนโยบาย ค่ายมาสด้าปืนไวขายราคาใหม่ล่วงหน้า
ผลกระทบจากโครงสร้างสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ที่เริ่มใช้วันที่1 มกราคม 2559 ซึ่งปรับเปลี่ยนอัตราภาษีจากเดิมที่จัดเก็บตามปริมาตรกระบอกสูบและประเภทของรถยนต์มาเป็นคิดอัตราตามปริมาณการปล่อยCO2 โดยรถที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์น้อย จะเสียภาษีต่ำกว่ารถที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์มาก เพื่อให้สอดรับกับการบังคับใช้ระบบป้ายข้อมูลรถยนต์ "ECO STICKER" ซึ่งแสดงข้อมูลอัตราสิ้นเปลือง และระดับการปล่อยไอเสีย ทำให้ขณะนี้ค่ายรถยนต์เกือบทุกยี่ห้อพยายามดิ้นเพื่อสต๊อกการผลิตของตัวเองไว้ระดับหนึ่งก่อน โดยเฉพาะกลุ่มรถยนต์ที่จะมีต้นทุนภาษีสูงขึ้นมาก อาทิ กลุ่มรถเอสยูวี, พีพีวี (รถยนต์ดัดแปลง), รถเก๋งขนาดกลางและขนาดใหญ่
ออร์เดอร์ชิ้นส่วนทะลัก 10-15%
นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ รองประธานกรรมการ กลุ่มบริษัทไทยซัมมิท ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์รายใหญ่ กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า กรณีการปรับโครงสร้างภาษีใหม่ในปีหน้า มีผลทำให้ค่ายรถยนต์มีการเพิ่มออร์เดอร์การผลิตรถยนต์เพิ่มขึ้นประมาณ 10-15% เพื่อตุนรถไว้ขายช่วงต้นปีหน้า แต่ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มรถยนต์นั่งอเนกประสงค์ และรถปิกอัพดัดแปลงที่มีผลกระทบต่อราคา เช่น โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์, อีซูซุ มิวเอ็กซ์ และมิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต แต่กรณีรถปิกอัพไม่ได้มีผลกระทบด้านราคาอย่างมีนัยสำคัญ
เช่นเดียวกับแหล่งข่าวซัพพลายเออร์ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์รายกลาง กล่าวยอมรับว่า ช่วงนี้มีคำสั่งซื้อจากผู้ผลิตรถยนต์เข้ามามากขึ้น โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนสุดท้ายก่อนสิ้นปี 2557 แต่ละยี่ห้อจะเพิ่มกำลังการผลิตกันค่อนข้างมาก ซึ่งนอกจากจะเป็นการขยายตลาดในประเทศและตลาดส่งออกแล้ว เชื่อว่าน่าจะเป็นการผลิตเพิ่มเติมเพื่อเก็บสต๊อกไว้ในขณะที่ยังมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าเอาไว้ขายปีหน้า
การเพิ่มกำลังการผลิตของค่ายรถยนต์แต่ละยี่ห้อสอดรับกับนายสุรพงษ์ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวยอมรับกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า โครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่จะทำให้ยอดผลิตจากเดิมที่มีต่อเดือนราว ๆ 60,000 คัน เชื่อว่าจนถึงสิ้นปียอดผลิตเพื่อรองรับตลาดในประเทศจะเพิ่มขึ้นเป็น 67,000-68,000 คันต่อเดือน
"แน่นอนว่า ทุกค่ายต้องเร่งผลิตในปีนี้ให้ได้จำนวนมากขึ้นเพื่อลดต้นทุน เพราะรถที่ผลิตในปีนี้ยังใช้ภาษีเดิมได้อยู่ แม้ว่าลูกค้าจะสั่งจองและได้รถในปีหน้าก็ตาม" นายสุรพงษ์กล่าว
แหล่งข่าวจากผู้ผลิตรถยนต์โตโยต้ากล่าวเพิ่มเติมว่า ประเด็นโครงสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่ที่มีผลต่อราคารถยนต์โตโยต้าได้มีการพูดคุยกันมาตั้งแต่กลางปี แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน เพราะการผลิตรถยนต์ 1 คัน มีกระบวนการขั้นตอนค่อนข้างมาก ทั้งในส่วนของโรงงานผลิต ซัพพลายเออร์ผู้ผลิตชิ้นส่วน หลังจากคลอดเป็นรถออกมาแล้วยังจะต้องมาพิจารณาเพิ่มเติมกันอีกว่าจะเก็บสต๊อกที่ไหน หรือจะผลักดันไปไว้กับดีลเลอร์ ซึ่งจุดนั้นจะต้องมีการช่วยเหลือดีลเลอร์ เช่น ดอกเบี้ย ให้อินเซนทีฟเพิ่มมาร์จิ้นเพิ่มหรือยืดเครดิตเทอม รวมถึงการสนับสนุนด้านแคมเปญ ทุกอย่างคงต้องรอความชัดเจนอีกที แต่ยอมรับว่าโตโยต้ามีรถเข้าข่ายค่อนข้างเยอะ ทั้งพีพีวี เก๋งขนาดกลางและใหญ่ ซึ่งแต่ละรุ่นมียอดขายเป็นจำนวนมากซึ่งมีโอกาสทำได้ทั้งนั้น
"ตรงนี้ไม่ได้ข้อห้ามใด ๆ ทุกค่ายสามารถทำได้และไม่ผิดกติกาและเงื่อนไขที่รัฐบาลกำหนด เพียงแต่ขณะนี้ตลาดอยู่ในช่วงภาวะซบเซา แล้วการที่สต๊อกรถจะคุ้มหรือไม่คงจะต้องพิจารณากันให้ดี"
มิตซูบิชิตุนปาเจโรเพิ่ม
นายโมะริคาซุชกคิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตอนนี้มิตซูบิชิได้เพิ่มกำลังการผลิตรถปิกอัพดัดแปลงอีกประมาณเดือนละ 1,000 คัน เนื่องจากตลาดมีความต้องการสูงมาก หลังจากที่มิตซูบิชิได้เปิดตัวไปเมื่อวันที่ 1 ส.ค.ที่ผ่านมา และลูกค้าให้การตอบรับดีมาก ยอดจองเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยขณะนี้มียอดจองไปแล้วถึง 5,000 คัน
"เรากำลังคุยกับซัพพลายเออร์เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตไว้รองรับโครงสร้างภาษีใหม่ด้วย" นายชกคิกล่าว
ขณะที่ประพัฒน์ เชยชม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโสการตลาดและการขาย บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวยอมรับว่า ประเด็นค่ายรถยนต์เร่งเพิ่มกำลังการผลิตรองรับโครงสร้างภาษีใหม่ปีหน้า รวมถึงตุนเป็นสต๊อกไว้ขายปีหน้า มีความเป็นไปได้มาก โดยเฉพาะกลุ่มรถยนต์ที่ราคาเปลี่ยนแปลงค่อนข้างสูง แต่ในส่วนของนิสสัน แม้จะมีรถบางรุ่นที่ใช้โครงสร้างภาษีใหม่แล้วราคาแพงขึ้น แต่เป็นกลุ่มรถที่ขายไม่เยอะ คิดว่าไม่มีความจำเป็น แต่กำลังการผลิตของนิสสันที่เพิ่มขึ้นนั้นเป็นเพราะนิสสันได้ขยายตลาดส่งออกจนมีออร์เดอร์เพิ่มขึ้นค่อนข้างเยอะ
ฮอนด้าเน้นบริหารสต๊อก
เช่นเดียวกับนายพิทักษ์ พฤทธิสาริกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารปฏิบัติการ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ฮอนด้าไม่มีนโยบายผลิตรถยนต์เพื่อเตรียมสต๊อกไว้ขายปีหน้าเพื่อรับกับราคาขายที่ปรับสูงขึ้น
"เรามองเรื่องความสมเหตุสมผล แต่ละค่ายรถควรจะหันมาบริหารจัดการรถยนต์ในสต๊อกของตัวเองน่าจะเป็นเรื่องที่เหมาะสมกว่า" นายพิทักษ์กล่าว
สอดคล้องกับนายวัลลภ ตรีฤกษ์งาม ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัทซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) ก็ยืนยันว่า ซูซูกิไม่มีนโยบายในการผลักดันหรืออัดสต๊อกไปที่ตัวแทนจำหน่าย เพื่อเตรียมรับกับโครงสร้างภาษีใหม่ เพราะรถธงของซูซูกิ คือกลุ่มอีโคคาร์ ซึ่งไม่ได้มีการปรับขึ้นราคาจำหน่าย หรืออาจจะมีการปรับขึ้นก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รวบรวมกลุ่มรถยนต์ที่จะมีการปรับราคาขายเพิ่มขึ้นจากโครงสร้างภาษีใหม่ ส่วนใหญ่ยังคงเป็นกลุ่มเอสยูวี กลุ่มรถยนต์ดัดแปลง (พีพีวี) รถปิกอัพประเภทดับเบิลแค็บ และรถยนต์นั่งขนาดกลางและใหญ่ ซึ่งกลุ่มนี้ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีน่าจะมีความต้องการซื้อมากขึ้น รวมถึงค่ายรถยนต์จะเพิ่มน้ำหนักการกระตุ้นตลาดด้วยแคมเปญหลากหลาย เพื่อให้เป็นเจ้าของรถได้ง่ายขึ้น ทั้งลด-แลก-แจก-แถม รวมถึงแคมเปญด้านสินเชื่อ
อัดมาร์จิ้นดีลเลอร์เพิ่ม
แหล่งข่าวตัวแทนจำหน่ายรถยนต์รายใหญ่กล่าวเพิ่มเติมกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้ได้มีนโยบายจากบริษัทแจ้งมาให้ตัวแทนจำหน่ายเตรียมสั่งซื้อรถ โดยเฉพาะรุ่นที่จะมีการปรับขึ้นราคามาก ๆ เพื่อเก็บไว้ในสต๊อก และยังแจ้งเพิ่มเติมว่า ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2559 บริษัทแม่จะชะลอการผลิต เพื่อรอดูความต้องการของตลาดหลังจากปรับราคาขายใหม่ โดยบริษัทแม่ยังสร้างแรงจูงใจให้กับตัวแทนจำหน่ายที่ยอมแบกสต๊อกรถไว้ด้วยการเพิ่มอินเซนทีฟให้อีกคันละ 20,000 บาท นอกเหนือจากส่วนต่างมูลค่า 30,000-40,000 บาทสำหรับการทำตลาด
"แน่นอนการทำแบบนี้ดีลเลอร์ใหญ่ได้เปรียบมากกว่า ส่วนรายเล็กลำบากในการหาเงินจำนวนมากมาตุนรถไว้ในสต๊อก"
แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า ตอนนี้ปัญหาในตลาดรถยนต์ คือดีลเลอร์ไม่สามารถให้ข้อมูลกับลูกค้าได้ชัดเจนว่า ราคารถยนต์หลังการใช้อัตราภาษีใหม่จะปรับเปลี่ยนไปอย่างไร ทำให้ลูกค้าไม่กล้าตัดสินใจ เนื่องจากยังไม่มีใครกล้าเปิดราคาขาย คงต้องรอค่ายใหญ่ ๆ เปิดราคาก่อนว่าจะมีการให้ความช่วยเหลือด้านการเงินจากราคาที่เพิ่มขึ้น เพราะภาษีใหม่ให้ลูกค้ามากน้อยแค่ไหน เพราะเกรงว่าถ้าเปิดก่อนแล้วค่ายใหญ่ดัมพ์ราคาออกมาจะขายไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ยังมองว่าสถานการณ์ตลาดรถยนต์ปีหน้ายังไม่ดี เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจยังไม่มีข่าวดี
แหล่งข่าวกล่าวเพิ่มเติมว่า จริง ๆ แล้วการตุนรถไว้ก่อนเพื่อขายต้นปีหน้า หากไม่ห่วงเรื่องเงินทุนจำนวนที่จะต้องเอามาใช้จ่ายก่อน น่าจะทำให้ตลาดปีหน้าสนุกขึ้น เพราะมีหลายรูปแบบในการทำตลาด โดยบางยี่ห้อที่กล้าให้ความช่วยเหลือด้านการเงิน อาจจะขายราคาเดิมทั้ง ๆ มีการปรับราคาขายไปแล้วก็ตาม
มาสด้าชิงธงขายราคาปีหน้า
นายฮิเดสึเกะ ทาเกสึเอะ ประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า มาสด้าจะขายรถยนต์ราคาใหม่ตามโครงสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่ ในเร็ว ๆ นี้ เพื่อเป็นการตอบแทนลูกค้าและกระตุ้นตลาดช่วงไตรมาสสุดท้ายปีนี้ โดยเฉพาะมาสด้า 2 ซึ่งได้รับสิทธิประโยชน์จากบีโอไอ จะขายในราคาต่ำลงประมาณ 12,000 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ตามโชว์รูมต่าง ๆ ของมาสด้ามีการทำแคมเปญเปรียบเทียบราคาให้ลูกค้าได้เห็นว่า ราคาใหม่กับราคาเก่าแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน ทำไมต้องซื้อรถปีหน้า โดยระบุว่า
มาสด้า 2 ซื้อตอนนี้จะได้ราคาต่ำลง 12,575 บาท, มาสด้า 2 เครื่องยนต์ 1,400 ซีซี ซื้อปีหน้าต้องจ่ายเพิ่มขึ้น 29,854 บาท มาสด้า 2 เครื่องยนต์ 1,500 ซีซี ซื้อปีหน้าต้องจ่ายเพิ่มขึ้น 84,552 บาท, มาสด้า 3 เครื่องยนต์ 1,600 ซีซี ซื้อปีหน้าต้องจ่ายเพิ่มขึ้น 94,401 บาท, มาสด้า 3 เครื่อง 1,800 ซีซี ซื้อปีหน้าต้องจ่ายเพิ่มขึ้น 110,947 บาท, มาสด้า ซีเอ็กซ์ 5 เครื่องยนต์ 2,000 ซีซี ซื้อปีหน้าต้องจ่ายเพิ่มขึ้น 159,546 บาท, มาสด้า ซีเอ็กซ์ 5 เครื่องยนต์ 2,001-2,500 ซีซี ซื้อปีหน้าต้องจ่ายเพิ่มขึ้น 223,640 บาท, บีที 50 ซิงเกิลแค็บ ซื้อปีหน้าต้องจ่ายเพิ่มขึ้น 10,037 บาท และบีที 50 ดับเบิลแค็บ ซื้อปีหน้าต้องจ่ายเพิ่มขึ้น 21,270 บาท
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... 1443532026
- leaderinshadow
- Verified User
- โพสต์: 1765
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สถานการณ์รถยนต์
โพสต์ที่ 183
สรรพสามิตไฟเขียวปั๊มรถตุนสต๊อก ดีลเลอร์ใหญ่ออร์เดอร์เพิ่ม 40% รับภาษีใหม่ปีหน้า
updated: 12 ต.ค. 2558 เวลา 13:05:00 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
สรรพสามิตไฟเขียวค่ายรถผลิตตุนเป็นสต๊อกไว้ขายปีหน้า ย้ำชัดภาษีใหม่บังคับใช้ 1 ม.ค. 59 แน่นอน ชี้ตั้งราคาขายเพิ่มกำไรมากขึ้น ก็ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงตาม
นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ตามที่โครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ที่ปรับปรุงใหม่จะใช้บังคับในวันที่ 1 ม.ค. 2559 เป็นต้นไปนั้น กรณีที่มีผู้ผลิตรถยนต์บางรายมีแนวคิดจะเสียภาษีตั้งแต่ปีนี้ เพื่อไปขายรถยนต์ปีหน้า ในราคาที่ปรับขึ้นตามโครงสร้างภาษีใหม่ ก็สามารถทำได้ ไม่ได้มีข้อห้ามไว้ เพียงแต่จะต้องเสียภาษีในปีนี้อย่างครบถ้วน
"ภาระภาษีสรรพสามิตรถยนต์จะเกิดขึ้น ณ หน้าโรงงานอุตสาหกรรมอยู่แล้ว ฉะนั้นก็ได้ ถ้าคุณจะเสียภาษีไว้ตามอัตราเดิม แล้วก็แบกต้นทุนไปเอง" นายสมชายกล่าว
ทั้งนี้ กรณีที่ผู้ประกอบการคิดจะดำเนินการเช่นนั้น อธิบดีกรมสรรพสามิตเชื่อว่า ผู้ประกอบการรายดังกล่าว น่าจะทราบดีว่าปีหน้าจะเสียภาษีสูงขึ้นกว่าเดิมแน่ ซึ่งสามารถคำนวณได้ โดยขณะนี้ผู้ผลิตรถยนต์รุ่นต่าง ๆ กว่า 90% มีการส่งให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) พิจารณาตรวจวัดค่าการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Co2) แล้ว
"เขาส่ง สมอ.แล้ว สามารถคำนวณได้ว่า ของเขาจะต้องเสียเท่าไหร่ แน่นอนว่าบางรุ่นต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้น ถ้าเป็นอย่างนั้น เขาก็เลยจะรีบเสียภาษีก่อน อย่างเช่น รถกระบะบางตัวที่เดิมเสียภาษี 3% ก็จะเพิ่มเป็น 5% เพราะลด Co2 ไม่ได้ตามเกณฑ์ ก็ต้องชำระเพิ่ม" นายสมชายกล่าว
อธิบดีกรมสรรพสามิตกล่าวด้วยว่า สถานการณ์จัดเก็บรายได้ภาษีรถยนต์ขณะนี้ยังคงชะลอตัว ขณะที่มาตรการที่นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง ให้มาศึกษาเรื่องการส่งออกรถยนต์มือสอง ไปยังประเทศเพื่อนบ้านนั้น ยังอยู่ระหว่างประชุมหารือ โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เป็นเจ้าภาพ และ รมว.คลังจะนัดประชุมร่วมกันอีกครั้งในวันที่ 9 ต.ค.นี้
นางสาววิไล ตันตินันท์ธนา ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์ภาษีสรรพสามิต กรมสรรพสามิต กล่าวว่า กรณีที่มีผู้ผลิตรถยนต์บางส่วนจะใช้วิธีเสียภาษีตามโครงสร้างภาษีเก่าไว้ตั้งแต่ปีนี้ แล้วไปตั้งราคาขายรถยนต์ตามโครงสร้างภาษีใหม่ในปีหน้านั้น ในด้านข้อกฎหมายไม่ได้มีข้อห้ามไว้
อย่างไรก็ดี การที่ผู้ประกอบการชำระภาษีแล้วจะตุนรถยนต์ไว้ ก็ย่อมมีต้นทุน ซึ่งจะสะท้อนอยู่ในผลประกอบการอยู่แล้ว และหากนำรถยนต์ไปจำหน่ายในราคาที่สูงขึ้น ก็จะมีรายได้มากขึ้น ดังนั้น ผู้ประกอบการก็ต้องเสียภาษีอื่น ๆ เพิ่มขึ้น คือ ภาษีเงินได้นิติบุคคล
แหล่งข่าวจากกรมสรรพสามิตกล่าวเสริมว่า รถยนต์ที่มีขนาดเครื่องยนต์ 2,000 ซีซีขึ้นไป ส่วนใหญ่จะต้องปรับราคาขึ้นตามอัตราภาษีที่เสียเพิ่ม โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 50,000-100,000 บาทต่อคัน รวมถึงรถยนต์ไฮบริดที่จะมีราคาเพิ่มประมาณ 100,000 บาทต่อคัน เนื่องจากยังปล่อย Co2 เกินกว่า 100 กรัม/กิโลเมตร
ก่อนหน้านี้ "ประชาชาติธุรกิจ" เคยรายงานเรื่องค่ายรถชิงธงแห่เพิ่มกำลังผลิต เก็บตุนรถเข้าสต๊อกไว้ขายปีหน้าก่อนภาษีใหม่ทำราคาแพงขึ้น มีการบี้ซัพพลายเออร์ให้รับออร์เดอร์เพิ่ม เพราะมีกลุ่มรถหลายประเภท อาทิ ปิกอัพ-เอสยูวี-พีพีวี ที่จะต้องมีต้นทุนทางด้านภาษีที่เพิ่มขึ้น โดยผู้บริหารกลุ่มบริษัทไทยซัมมิท ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์รายใหญ่ ยืนยันว่าปัจจุบันมีออร์เดอร์การผลิตรถยนต์เพิ่มขึ้นประมาณ 10-15% และนายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ระบุว่าจนถึงสิ้นปียอดผลิตรถเพื่อรองรับตลาดในประเทศจะเพิ่มขึ้นอีกเฉียดหมื่นคันต่อเดือน
ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" สำรวจไปยังตัวแทนจำหน่ายรถยนต์รายใหญ่ กล่าวยอมรับว่า ขณะนี้บริษัทเริ่มพิจารณาถึงความพร้อมของบริษัท และจำนวนรถยนต์ในสต๊อกเพื่อเตรียมรับกับราคารถยนต์ที่จะปรับขึ้น โดยในช่วงเวลา 2 เดือนที่เหลือนี้เพิ่มขึ้นอีก 30-40% หรือจากเดิมมีสต๊อกอยู่ที่ 400 คัน ก็อาจจะเพิ่มเป็น 500-600 คัน
"รถที่เราต้องเตรียมไว้ในสต๊อกนั้นมีหลากหลาย ตั้งแต่รถยนต์นั่งขนาดกลาง รถพีพีวี เอสยูวี จะยกเว้นก็พวกอีโคคาร์"
แหล่งข่าวยังกล่าวต่อไปว่า รถยนต์ที่เตรียมไว้รองรับความต้องการของลูกค้าที่บริษัทตัดสินใจสต๊อกไว้ในปีนี้นั้น แล้วไปจำหน่ายในปีหน้า ไม่ได้ถือว่าผิดกติกาแต่อย่างใด เพราะไม่มีข้อกำหนดห้ามไว้ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับนโยบายของบริษัทว่าจะจำหน่ายตามราคาเดิม หรือโครงสร้างภาษีใหม่ หรืออาจจะนำส่วนต่างของราคามาสนับสนุนส่งเสริมการขายในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อคืนให้กับผู้บริโภคก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน
"ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์โตโยต้ารายใหญ่กล่าวว่า การปรับขึ้นราคาไม่เฉพาะปิกอัพและพีพีวีเท่านั้น อย่างโตโยต้า อัลฟาร์ดเองเท่าที่ทราบอาจจะมีการปรับขึ้นสูงถึง 8 แสนบาท ตรงนี้ก็ทำให้ดีลเลอร์และลูกค้าบางกลุ่มเริ่มมองหาและตัดสินใจซื้อรถประเภทนี้ไว้เร็วขึ้น และในเร็ว ๆ นี้บริษัทแม่เตรียมทำแคมเปญเพื่อกระตุ้นตลาดครั้งใหญ่ก่อนปรับภาษีด้วย"
เช่นเดียวกับดีลเลอร์รถยนต์นิสสันกล่าวเสริมว่า ช่วงเดือนที่ผ่านมาบริษัทแม่ได้มีนโยบายมายังตัวแทนจำหน่ายรถยนต์นิสสันทั่วประเทศ ให้เตรียมความพร้อมเพื่อรับกับสถานการณ์ของราคาจำหน่ายรถยนต์ที่จะเพิ่มขึ้น ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2559 โดยบริษัทแม่มีแผนจะเพิ่มสัดส่วนการผลิตรถยนต์บางกลุ่มที่ได้รับผลกระทบด้านราคาค่อนข้างมากอย่างนิสสัน นาวาร่า และนิสสัน เอ็กซ์-เทรล โดยจะขยับเพิ่มสัดส่วนการผลิตเล็กน้อยสำหรับรถทั้ง 2 รุ่น และให้ดีลเลอร์ทั่วประเทศเตรียมสั่งและสต๊อกรถ
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... 1444629919
updated: 12 ต.ค. 2558 เวลา 13:05:00 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
สรรพสามิตไฟเขียวค่ายรถผลิตตุนเป็นสต๊อกไว้ขายปีหน้า ย้ำชัดภาษีใหม่บังคับใช้ 1 ม.ค. 59 แน่นอน ชี้ตั้งราคาขายเพิ่มกำไรมากขึ้น ก็ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงตาม
นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ตามที่โครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ที่ปรับปรุงใหม่จะใช้บังคับในวันที่ 1 ม.ค. 2559 เป็นต้นไปนั้น กรณีที่มีผู้ผลิตรถยนต์บางรายมีแนวคิดจะเสียภาษีตั้งแต่ปีนี้ เพื่อไปขายรถยนต์ปีหน้า ในราคาที่ปรับขึ้นตามโครงสร้างภาษีใหม่ ก็สามารถทำได้ ไม่ได้มีข้อห้ามไว้ เพียงแต่จะต้องเสียภาษีในปีนี้อย่างครบถ้วน
"ภาระภาษีสรรพสามิตรถยนต์จะเกิดขึ้น ณ หน้าโรงงานอุตสาหกรรมอยู่แล้ว ฉะนั้นก็ได้ ถ้าคุณจะเสียภาษีไว้ตามอัตราเดิม แล้วก็แบกต้นทุนไปเอง" นายสมชายกล่าว
ทั้งนี้ กรณีที่ผู้ประกอบการคิดจะดำเนินการเช่นนั้น อธิบดีกรมสรรพสามิตเชื่อว่า ผู้ประกอบการรายดังกล่าว น่าจะทราบดีว่าปีหน้าจะเสียภาษีสูงขึ้นกว่าเดิมแน่ ซึ่งสามารถคำนวณได้ โดยขณะนี้ผู้ผลิตรถยนต์รุ่นต่าง ๆ กว่า 90% มีการส่งให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) พิจารณาตรวจวัดค่าการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Co2) แล้ว
"เขาส่ง สมอ.แล้ว สามารถคำนวณได้ว่า ของเขาจะต้องเสียเท่าไหร่ แน่นอนว่าบางรุ่นต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้น ถ้าเป็นอย่างนั้น เขาก็เลยจะรีบเสียภาษีก่อน อย่างเช่น รถกระบะบางตัวที่เดิมเสียภาษี 3% ก็จะเพิ่มเป็น 5% เพราะลด Co2 ไม่ได้ตามเกณฑ์ ก็ต้องชำระเพิ่ม" นายสมชายกล่าว
อธิบดีกรมสรรพสามิตกล่าวด้วยว่า สถานการณ์จัดเก็บรายได้ภาษีรถยนต์ขณะนี้ยังคงชะลอตัว ขณะที่มาตรการที่นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง ให้มาศึกษาเรื่องการส่งออกรถยนต์มือสอง ไปยังประเทศเพื่อนบ้านนั้น ยังอยู่ระหว่างประชุมหารือ โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เป็นเจ้าภาพ และ รมว.คลังจะนัดประชุมร่วมกันอีกครั้งในวันที่ 9 ต.ค.นี้
นางสาววิไล ตันตินันท์ธนา ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์ภาษีสรรพสามิต กรมสรรพสามิต กล่าวว่า กรณีที่มีผู้ผลิตรถยนต์บางส่วนจะใช้วิธีเสียภาษีตามโครงสร้างภาษีเก่าไว้ตั้งแต่ปีนี้ แล้วไปตั้งราคาขายรถยนต์ตามโครงสร้างภาษีใหม่ในปีหน้านั้น ในด้านข้อกฎหมายไม่ได้มีข้อห้ามไว้
อย่างไรก็ดี การที่ผู้ประกอบการชำระภาษีแล้วจะตุนรถยนต์ไว้ ก็ย่อมมีต้นทุน ซึ่งจะสะท้อนอยู่ในผลประกอบการอยู่แล้ว และหากนำรถยนต์ไปจำหน่ายในราคาที่สูงขึ้น ก็จะมีรายได้มากขึ้น ดังนั้น ผู้ประกอบการก็ต้องเสียภาษีอื่น ๆ เพิ่มขึ้น คือ ภาษีเงินได้นิติบุคคล
แหล่งข่าวจากกรมสรรพสามิตกล่าวเสริมว่า รถยนต์ที่มีขนาดเครื่องยนต์ 2,000 ซีซีขึ้นไป ส่วนใหญ่จะต้องปรับราคาขึ้นตามอัตราภาษีที่เสียเพิ่ม โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 50,000-100,000 บาทต่อคัน รวมถึงรถยนต์ไฮบริดที่จะมีราคาเพิ่มประมาณ 100,000 บาทต่อคัน เนื่องจากยังปล่อย Co2 เกินกว่า 100 กรัม/กิโลเมตร
ก่อนหน้านี้ "ประชาชาติธุรกิจ" เคยรายงานเรื่องค่ายรถชิงธงแห่เพิ่มกำลังผลิต เก็บตุนรถเข้าสต๊อกไว้ขายปีหน้าก่อนภาษีใหม่ทำราคาแพงขึ้น มีการบี้ซัพพลายเออร์ให้รับออร์เดอร์เพิ่ม เพราะมีกลุ่มรถหลายประเภท อาทิ ปิกอัพ-เอสยูวี-พีพีวี ที่จะต้องมีต้นทุนทางด้านภาษีที่เพิ่มขึ้น โดยผู้บริหารกลุ่มบริษัทไทยซัมมิท ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์รายใหญ่ ยืนยันว่าปัจจุบันมีออร์เดอร์การผลิตรถยนต์เพิ่มขึ้นประมาณ 10-15% และนายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ระบุว่าจนถึงสิ้นปียอดผลิตรถเพื่อรองรับตลาดในประเทศจะเพิ่มขึ้นอีกเฉียดหมื่นคันต่อเดือน
ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" สำรวจไปยังตัวแทนจำหน่ายรถยนต์รายใหญ่ กล่าวยอมรับว่า ขณะนี้บริษัทเริ่มพิจารณาถึงความพร้อมของบริษัท และจำนวนรถยนต์ในสต๊อกเพื่อเตรียมรับกับราคารถยนต์ที่จะปรับขึ้น โดยในช่วงเวลา 2 เดือนที่เหลือนี้เพิ่มขึ้นอีก 30-40% หรือจากเดิมมีสต๊อกอยู่ที่ 400 คัน ก็อาจจะเพิ่มเป็น 500-600 คัน
"รถที่เราต้องเตรียมไว้ในสต๊อกนั้นมีหลากหลาย ตั้งแต่รถยนต์นั่งขนาดกลาง รถพีพีวี เอสยูวี จะยกเว้นก็พวกอีโคคาร์"
แหล่งข่าวยังกล่าวต่อไปว่า รถยนต์ที่เตรียมไว้รองรับความต้องการของลูกค้าที่บริษัทตัดสินใจสต๊อกไว้ในปีนี้นั้น แล้วไปจำหน่ายในปีหน้า ไม่ได้ถือว่าผิดกติกาแต่อย่างใด เพราะไม่มีข้อกำหนดห้ามไว้ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับนโยบายของบริษัทว่าจะจำหน่ายตามราคาเดิม หรือโครงสร้างภาษีใหม่ หรืออาจจะนำส่วนต่างของราคามาสนับสนุนส่งเสริมการขายในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อคืนให้กับผู้บริโภคก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน
"ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์โตโยต้ารายใหญ่กล่าวว่า การปรับขึ้นราคาไม่เฉพาะปิกอัพและพีพีวีเท่านั้น อย่างโตโยต้า อัลฟาร์ดเองเท่าที่ทราบอาจจะมีการปรับขึ้นสูงถึง 8 แสนบาท ตรงนี้ก็ทำให้ดีลเลอร์และลูกค้าบางกลุ่มเริ่มมองหาและตัดสินใจซื้อรถประเภทนี้ไว้เร็วขึ้น และในเร็ว ๆ นี้บริษัทแม่เตรียมทำแคมเปญเพื่อกระตุ้นตลาดครั้งใหญ่ก่อนปรับภาษีด้วย"
เช่นเดียวกับดีลเลอร์รถยนต์นิสสันกล่าวเสริมว่า ช่วงเดือนที่ผ่านมาบริษัทแม่ได้มีนโยบายมายังตัวแทนจำหน่ายรถยนต์นิสสันทั่วประเทศ ให้เตรียมความพร้อมเพื่อรับกับสถานการณ์ของราคาจำหน่ายรถยนต์ที่จะเพิ่มขึ้น ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2559 โดยบริษัทแม่มีแผนจะเพิ่มสัดส่วนการผลิตรถยนต์บางกลุ่มที่ได้รับผลกระทบด้านราคาค่อนข้างมากอย่างนิสสัน นาวาร่า และนิสสัน เอ็กซ์-เทรล โดยจะขยับเพิ่มสัดส่วนการผลิตเล็กน้อยสำหรับรถทั้ง 2 รุ่น และให้ดีลเลอร์ทั่วประเทศเตรียมสั่งและสต๊อกรถ
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... 1444629919
- leaderinshadow
- Verified User
- โพสต์: 1765
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สถานการณ์รถยนต์
โพสต์ที่ 184
มกราคม ยอดขายรถวูบกว่า 13% ค่ายรถ ชูรุ่นใหม่กระตุ้นตลาด
ยอดขายรถ ม.ค.วูบ กว่า 13% เหลือแค่ 5.1 หมื่นคัน เหตุคนรีบซื้อก่อนสิ้นปี กลัวภาษีใหม่ ฮอนด้าไม่หวั่น เร่งกระตุ้นตลาดเปิดตัว แอคคอร์ดใหม่ ไมเนอร์เชนจ์ เคาะราคาเริ่มต้นที่ 1.385 ล้านบาท
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือนมกราคม 2559 มีจำนวนทั้งสิ้น 51,715 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว 13.4 % และลดลงจากเดือนธันวาคม 49.03 % ยอดขายภายในประเทศลดลงเนื่องจากเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจภายในประเทศยังไม่ฟื้นตัว ราคาสินค้าเกษตรยังคงทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ การลงทุนของภาคเอกชนชะลอตัว ประกอบกับลูกค้าบางส่วนได้ตัดสินใจซื้อรถยนต์ในช่วงปลายปีที่แล้วก่อนปรับราคาขึ้นตามโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ ส่วนรถจักรยานยนต์ มียอดขาย 161,070 คัน เพิ่มขึ้น 12.7 %
ในด้านการผลิต จำนวนรถยนต์ทั้งหมด ที่ผลิตได้ในเดือนมกราคม 2559 มีทั้งสิ้น 147,651 คัน ลดลง 11.67% แบ่งออกเป็นรถยนต์นั่ง เดือนมกราคม 2559 ผลิตได้ 57,376 คัน ลดลง 13.92% รถยนต์โดยสารขนาดต่ำกว่า 10 ตัน และมากกว่า 10 ตันขึ้นไป ผลิตได้ 13 คัน ลดลง 60.61% รถกระบะขนาด 1 ตันผลิตได้ทั้งหมด 88,621 คัน ลดลง 9.48 %โดยแบ่งเป็น รถกระบะบรรทุก 30,754 คัน ลดลง 5.11% รถกระบะดับเบิลแค็บ 40,931 คัน ลดลง 28.07% รถกระบะ PPV 16,936 คันเพิ่มขึ้น 97.23% รถบรรทุกขนาดต่ำกว่า 5 ตัน – มากกว่า 10 ตัน ผลิตได้ 1,641 คัน ลดลง 36.32%
เดือนมกราคม 2559 ผลิตรถจักรยานยนต์ได้ทั้งสิ้น 206,843 คัน ลดลง 5.53% แยกเป็นรถจักรยานยนต์สำเร็จรูป (CBU) 159,434 คัน ลดลง 8.3% และชิ้นส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ (CKD) 47,409 คัน เพิ่มขึ้น 5.18%
นายสมภพ ปฏิภานธาดา ผู้จัดการทั่วไปส่วนการตลาด บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ผู้จัดจำหน่ายรถยนต์ฮอนด้าเปิดเผยว่า ตลาดรถยนต์รวมในเดือนมกราคมที่ผ่านมามีตัวเลขการขายอยู่ที่ 5.1 หมื่นคัน ลดลง 15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยเซกเมนต์รถยนต์นั่งมียอดขาย 1.83 หมื่นคัน หดตัวลงกว่า 33% ขณะที่ตัวเลขการขายของฮอนด้าทำได้ 5,613 คัน โดยตัวเลขการขายที่ลดลงเป็นผลมาจากกำลังซื้อส่วนใหญ่ถูกดึงไปตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา ประกอบกับเดือนแรกของปีส่วนมากมักจะมียอดขายไม่สูงอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม บริษัทมั่นใจว่า การมีรถรุ่นใหม่จะมีส่วนผลักดันให้ยอดขายเติบโต และการเปิดตัวรุ่นใหม่จะมีผลทำให้ตลาดรวมมีความคึกคัก โดยในช่วงต้นปีบริษัทมีการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ ตั้งแต่ ฮอนด้า บีอาร์-วี ฮอนด้า แอคคอร์ด และฮอนด้า ซีวิค ใหม่
นายสมภพ กล่าวเพิ่มเติมว่า รุ่นใหม่ที่ได้เปิดตัวสู่ตลาดล่าสุดคือ ฮอนด้า แอคคอร์ด ที่มาพร้อมกระจังหน้าดีไซน์ใหม่ ไฟดีไซน์ใหม่แบบ LED ทั้งไฟหน้าและ Daytime Running Lights,ไฟตัดหมอกคู่หน้าและไฟท้าย, ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์พร้อมเครื่องปรับอากาศกุญแจรีโมท, ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสใหม่ รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlayTM หรือเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน ผ่านระบบ MirrorLink สามารถเชื่อมโยงเครือข่าย WIFI หรือ Hotspot เพื่อใช้งานเบราว์เซอร์
ฮอนด้า แอคคอร์ดใหม่ มีเครื่องยนต์เบนซินให้เลือก 2 ขนาด ได้แก่ 2.4 ลิตร DOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว ให้กำลังสูงสุด 174 แรงม้าที่ 6,200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดที่ 225 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที พัฒนาภายใต้เทคโนโลยีเอิร์ธดรีม, เครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร SOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว ให้กำลังสูงสุด 155 แรงม้าที่ 6,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดที่ 190 นิวตัน-เมตร ที่ 4,300 รอบต่อนาที โดยเครื่องยนต์ทั้ง 2 รุ่น มาพร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด และรองรับพลังงานทางเลือก E85 สนนราคาฮอนด้า แอคคอร์ด ในรุ่นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร ที่มี 2 รุ่นย่อยได้แก่ รุ่น 2.0 E ราคา 1.385 ล้านบาท รุ่น 2.0 EL ราคา 1.445 ล้านบาท และเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร ได้แก่ รุ่น 2.4 EL ราคา 1.635 ล้านบาท
นายสมภพ กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันฮอนด้า แอคคอร์ด มีส่วนแบ่งทางการตลาดรถในกลุ่มดี-เซกเมนต์ที่ 40% หรือเป็นอันดับ 2 ของรถในกลุ่มนี้ การมีรุ่นใหม่ออกมาก็คาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า โดยบริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายฮอนด้า แอคคอร์ด ใหม่ไว้ที่ 8 พันคันต่อเดือน ขณะที่แผนงานของแอคคอร์ด ไฮบริดนั้นคาดว่า จะได้เห็นในช่วงกลางปี
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,133 วันที่ 21 – 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
http://www.thansettakij.com/2016/02/22/32233
ยอดขายรถ ม.ค.วูบ กว่า 13% เหลือแค่ 5.1 หมื่นคัน เหตุคนรีบซื้อก่อนสิ้นปี กลัวภาษีใหม่ ฮอนด้าไม่หวั่น เร่งกระตุ้นตลาดเปิดตัว แอคคอร์ดใหม่ ไมเนอร์เชนจ์ เคาะราคาเริ่มต้นที่ 1.385 ล้านบาท
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือนมกราคม 2559 มีจำนวนทั้งสิ้น 51,715 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว 13.4 % และลดลงจากเดือนธันวาคม 49.03 % ยอดขายภายในประเทศลดลงเนื่องจากเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจภายในประเทศยังไม่ฟื้นตัว ราคาสินค้าเกษตรยังคงทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ การลงทุนของภาคเอกชนชะลอตัว ประกอบกับลูกค้าบางส่วนได้ตัดสินใจซื้อรถยนต์ในช่วงปลายปีที่แล้วก่อนปรับราคาขึ้นตามโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ ส่วนรถจักรยานยนต์ มียอดขาย 161,070 คัน เพิ่มขึ้น 12.7 %
ในด้านการผลิต จำนวนรถยนต์ทั้งหมด ที่ผลิตได้ในเดือนมกราคม 2559 มีทั้งสิ้น 147,651 คัน ลดลง 11.67% แบ่งออกเป็นรถยนต์นั่ง เดือนมกราคม 2559 ผลิตได้ 57,376 คัน ลดลง 13.92% รถยนต์โดยสารขนาดต่ำกว่า 10 ตัน และมากกว่า 10 ตันขึ้นไป ผลิตได้ 13 คัน ลดลง 60.61% รถกระบะขนาด 1 ตันผลิตได้ทั้งหมด 88,621 คัน ลดลง 9.48 %โดยแบ่งเป็น รถกระบะบรรทุก 30,754 คัน ลดลง 5.11% รถกระบะดับเบิลแค็บ 40,931 คัน ลดลง 28.07% รถกระบะ PPV 16,936 คันเพิ่มขึ้น 97.23% รถบรรทุกขนาดต่ำกว่า 5 ตัน – มากกว่า 10 ตัน ผลิตได้ 1,641 คัน ลดลง 36.32%
เดือนมกราคม 2559 ผลิตรถจักรยานยนต์ได้ทั้งสิ้น 206,843 คัน ลดลง 5.53% แยกเป็นรถจักรยานยนต์สำเร็จรูป (CBU) 159,434 คัน ลดลง 8.3% และชิ้นส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ (CKD) 47,409 คัน เพิ่มขึ้น 5.18%
นายสมภพ ปฏิภานธาดา ผู้จัดการทั่วไปส่วนการตลาด บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ผู้จัดจำหน่ายรถยนต์ฮอนด้าเปิดเผยว่า ตลาดรถยนต์รวมในเดือนมกราคมที่ผ่านมามีตัวเลขการขายอยู่ที่ 5.1 หมื่นคัน ลดลง 15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยเซกเมนต์รถยนต์นั่งมียอดขาย 1.83 หมื่นคัน หดตัวลงกว่า 33% ขณะที่ตัวเลขการขายของฮอนด้าทำได้ 5,613 คัน โดยตัวเลขการขายที่ลดลงเป็นผลมาจากกำลังซื้อส่วนใหญ่ถูกดึงไปตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา ประกอบกับเดือนแรกของปีส่วนมากมักจะมียอดขายไม่สูงอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม บริษัทมั่นใจว่า การมีรถรุ่นใหม่จะมีส่วนผลักดันให้ยอดขายเติบโต และการเปิดตัวรุ่นใหม่จะมีผลทำให้ตลาดรวมมีความคึกคัก โดยในช่วงต้นปีบริษัทมีการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ ตั้งแต่ ฮอนด้า บีอาร์-วี ฮอนด้า แอคคอร์ด และฮอนด้า ซีวิค ใหม่
นายสมภพ กล่าวเพิ่มเติมว่า รุ่นใหม่ที่ได้เปิดตัวสู่ตลาดล่าสุดคือ ฮอนด้า แอคคอร์ด ที่มาพร้อมกระจังหน้าดีไซน์ใหม่ ไฟดีไซน์ใหม่แบบ LED ทั้งไฟหน้าและ Daytime Running Lights,ไฟตัดหมอกคู่หน้าและไฟท้าย, ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์พร้อมเครื่องปรับอากาศกุญแจรีโมท, ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสใหม่ รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlayTM หรือเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน ผ่านระบบ MirrorLink สามารถเชื่อมโยงเครือข่าย WIFI หรือ Hotspot เพื่อใช้งานเบราว์เซอร์
ฮอนด้า แอคคอร์ดใหม่ มีเครื่องยนต์เบนซินให้เลือก 2 ขนาด ได้แก่ 2.4 ลิตร DOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว ให้กำลังสูงสุด 174 แรงม้าที่ 6,200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดที่ 225 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที พัฒนาภายใต้เทคโนโลยีเอิร์ธดรีม, เครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร SOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว ให้กำลังสูงสุด 155 แรงม้าที่ 6,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดที่ 190 นิวตัน-เมตร ที่ 4,300 รอบต่อนาที โดยเครื่องยนต์ทั้ง 2 รุ่น มาพร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด และรองรับพลังงานทางเลือก E85 สนนราคาฮอนด้า แอคคอร์ด ในรุ่นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร ที่มี 2 รุ่นย่อยได้แก่ รุ่น 2.0 E ราคา 1.385 ล้านบาท รุ่น 2.0 EL ราคา 1.445 ล้านบาท และเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร ได้แก่ รุ่น 2.4 EL ราคา 1.635 ล้านบาท
นายสมภพ กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันฮอนด้า แอคคอร์ด มีส่วนแบ่งทางการตลาดรถในกลุ่มดี-เซกเมนต์ที่ 40% หรือเป็นอันดับ 2 ของรถในกลุ่มนี้ การมีรุ่นใหม่ออกมาก็คาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า โดยบริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายฮอนด้า แอคคอร์ด ใหม่ไว้ที่ 8 พันคันต่อเดือน ขณะที่แผนงานของแอคคอร์ด ไฮบริดนั้นคาดว่า จะได้เห็นในช่วงกลางปี
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,133 วันที่ 21 – 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
http://www.thansettakij.com/2016/02/22/32233
- leaderinshadow
- Verified User
- โพสต์: 1765
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สถานการณ์รถยนต์
โพสต์ที่ 185
ผู้ผลิตรถยนต์ไทยรวยทันที 9,000 ล้าน 4 เดือนเวียดนำเข้ากว่า 10,000 คัน ปิกอัพนำหน้าครองแชมป์
MGRออนไลน์ - ในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ เวียดนามนำเข้ารถยนต์ที่ผลิตในประเทศไทย รวมจำนวนกว่า 10,000 คัน และยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เม.ย.เดือนเดียวทะลุ 2,300 คัน ทิ้งห่างแชมป์เก่าคือ รถยนต์จากจีน และเกาหลี แบบเท่าตัว ทั้งนี้ เนื่องจากสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่เวียดนามจัดเก็บต่ำลงตามความตกลงประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน แต่ในขณะเดียวกัน ก็ทำให้การขาดดุลการค้าของเวียดนามต่อไทยห่างออกไปอีก
ตามตัวเลขของกรมใหญ่ศุลกากร (General Department of Customs) เดือน เม.ย.ที่ผ่านมา มีการนำเข้ารถยนต์อีกกว่า 9,300 คัน ซึ่งในนั้นรถจากไทยคิดเป็นประมาณ 25% และได้ทำให้จำนวนรถที่นำเข้าในช่วง 4 เดือนแรกเพิ่มขึ้นเป็นทั้งหมด 29,054 คัน รวมมูลค่า 732.7 ล้านดอลลาร์ ในนั้นเป็นรถยนต์จากไทย 10,155 คัน
กรมใหญ่ศุลกากร ระบุว่า การนำเข้ารถยนต์เพิ่มขึ้นอย่างมาก ทั้งจำนวน และมูลค่าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว เดือน เม.ย.เดือนเดียวอัตราการขยายตัวสูงถึง 130%
เมื่อคำนวณจากตัวเลขข้างต้นก็จะพบว่า รถยนต์ที่เวียดนามนำเข้าจากไทยในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2559 คิดเป็นประมาณ 34.95% ของทั้งหมดในด้านจำนวน และมีมูลค่าราว 256.07 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 8,834 ล้านบาท
ตามมาเป็นอันดับ 2 แบบห่างๆ ในช่วง 4 เดือน เป็นรถยนต์นำเข้าจากเกาหลี จำนวน 5,369 คัน จีน 4,261 คัน ญี่ปุ่น 2,528 คัน รถยนต์จากอินเดียอีก 2,363 คัน หนังสือพิมพ์แถ่งเนียนในนครโฮจิมินห์ รายงานตัวเลขในเว็บไซต์ข่าวภาษาเวียดนาม
สถิติยังระบุว่า รถยนต์ที่นำเข้าจากไทยมากที่สุดเป็นรถบรรทุกเล็กขนาด 1 ตัน หรือปิกอัพ ซึ่งได้รับสิทธิประโยชน์จากพิกัดภาษีศุลกากรอัตราพิเศษตามพันธกรณีที่เวียดนามให้แก่ความตกลงประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน รวมทั้งภาษีสรรพสามิต ภาษีผู้บริโภคพิเศษ ซึ่งเก็บในอัตราที่ต่ำกว่ารถยนต์นั่ง 4-7 คน แถ่งเนียน กล่าว
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้เป็นพันธกรณีของประเทศสมาชิกประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนทุกชาติ ซึ่งรวมทั้งประเทศไทยด้วย
เมื่อมองดูตัวเลขการนำเข้า และส่งออก ระหว่างไทยกับเวียดนาม ก็จะพบว่า ในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ เวียดนาม ขาดดุลเพิ่มขึ้น โดยช่วงดังกล่าวเวียดนามส่งออกสินค้าชนิดต่างๆ เข้าสู่ตลาดไทยมีมูลค่าเพียง 836 ล้านดอลลาร์ แต่นำเข้าเป็นมูลค่าถึง 1,800 ล้านดอลลาร์ ทำให้เวียดนามขาดดุลเกือบ 1,000 ล้านดอลลาร์ นับเป็นการขาดดุลมากที่สุดระหว่างเวียดนามกับสมาชิกอาเซียนชาติหนึ่ง
ไม่เพียงแต่จะนำเข้ารถยนต์จากไทยเพิ่มขึ้นเท่านั้น หากเป็นที่น่าสังเกตว่า สินค้าอุปโภคบริโภค ที่นำเข้าจากไทยก็เพิ่มขึ้นด้วย รวมทั้งอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน เครื่องจักรเครื่องกล ชิ้นส่วน และเครื่องมือต่างๆ ด้วย.
http://www.manager.co.th/IndoChina/View ... 0000051802
MGRออนไลน์ - ในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ เวียดนามนำเข้ารถยนต์ที่ผลิตในประเทศไทย รวมจำนวนกว่า 10,000 คัน และยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เม.ย.เดือนเดียวทะลุ 2,300 คัน ทิ้งห่างแชมป์เก่าคือ รถยนต์จากจีน และเกาหลี แบบเท่าตัว ทั้งนี้ เนื่องจากสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่เวียดนามจัดเก็บต่ำลงตามความตกลงประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน แต่ในขณะเดียวกัน ก็ทำให้การขาดดุลการค้าของเวียดนามต่อไทยห่างออกไปอีก
ตามตัวเลขของกรมใหญ่ศุลกากร (General Department of Customs) เดือน เม.ย.ที่ผ่านมา มีการนำเข้ารถยนต์อีกกว่า 9,300 คัน ซึ่งในนั้นรถจากไทยคิดเป็นประมาณ 25% และได้ทำให้จำนวนรถที่นำเข้าในช่วง 4 เดือนแรกเพิ่มขึ้นเป็นทั้งหมด 29,054 คัน รวมมูลค่า 732.7 ล้านดอลลาร์ ในนั้นเป็นรถยนต์จากไทย 10,155 คัน
กรมใหญ่ศุลกากร ระบุว่า การนำเข้ารถยนต์เพิ่มขึ้นอย่างมาก ทั้งจำนวน และมูลค่าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว เดือน เม.ย.เดือนเดียวอัตราการขยายตัวสูงถึง 130%
เมื่อคำนวณจากตัวเลขข้างต้นก็จะพบว่า รถยนต์ที่เวียดนามนำเข้าจากไทยในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2559 คิดเป็นประมาณ 34.95% ของทั้งหมดในด้านจำนวน และมีมูลค่าราว 256.07 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 8,834 ล้านบาท
ตามมาเป็นอันดับ 2 แบบห่างๆ ในช่วง 4 เดือน เป็นรถยนต์นำเข้าจากเกาหลี จำนวน 5,369 คัน จีน 4,261 คัน ญี่ปุ่น 2,528 คัน รถยนต์จากอินเดียอีก 2,363 คัน หนังสือพิมพ์แถ่งเนียนในนครโฮจิมินห์ รายงานตัวเลขในเว็บไซต์ข่าวภาษาเวียดนาม
สถิติยังระบุว่า รถยนต์ที่นำเข้าจากไทยมากที่สุดเป็นรถบรรทุกเล็กขนาด 1 ตัน หรือปิกอัพ ซึ่งได้รับสิทธิประโยชน์จากพิกัดภาษีศุลกากรอัตราพิเศษตามพันธกรณีที่เวียดนามให้แก่ความตกลงประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน รวมทั้งภาษีสรรพสามิต ภาษีผู้บริโภคพิเศษ ซึ่งเก็บในอัตราที่ต่ำกว่ารถยนต์นั่ง 4-7 คน แถ่งเนียน กล่าว
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้เป็นพันธกรณีของประเทศสมาชิกประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนทุกชาติ ซึ่งรวมทั้งประเทศไทยด้วย
เมื่อมองดูตัวเลขการนำเข้า และส่งออก ระหว่างไทยกับเวียดนาม ก็จะพบว่า ในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ เวียดนาม ขาดดุลเพิ่มขึ้น โดยช่วงดังกล่าวเวียดนามส่งออกสินค้าชนิดต่างๆ เข้าสู่ตลาดไทยมีมูลค่าเพียง 836 ล้านดอลลาร์ แต่นำเข้าเป็นมูลค่าถึง 1,800 ล้านดอลลาร์ ทำให้เวียดนามขาดดุลเกือบ 1,000 ล้านดอลลาร์ นับเป็นการขาดดุลมากที่สุดระหว่างเวียดนามกับสมาชิกอาเซียนชาติหนึ่ง
ไม่เพียงแต่จะนำเข้ารถยนต์จากไทยเพิ่มขึ้นเท่านั้น หากเป็นที่น่าสังเกตว่า สินค้าอุปโภคบริโภค ที่นำเข้าจากไทยก็เพิ่มขึ้นด้วย รวมทั้งอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน เครื่องจักรเครื่องกล ชิ้นส่วน และเครื่องมือต่างๆ ด้วย.
http://www.manager.co.th/IndoChina/View ... 0000051802
- leaderinshadow
- Verified User
- โพสต์: 1765
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สถานการณ์รถยนต์
โพสต์ที่ 186
อุตุฯส่งซิกไทยพ้นวิกฤติแล้ง พายุฝนจ่อเข้าปลายพ.ค./ใต้ระวังหนักเท่าไต้ฝุ่นเกย์
http://www.thansettakij.com/2016/05/10/50987
http://www.thansettakij.com/2016/05/10/50987
- leaderinshadow
- Verified User
- โพสต์: 1765
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สถานการณ์รถยนต์
โพสต์ที่ 187
เม.ย.ยอดผลิตรถยนต์พุ่ง11.51%
เดือนเมษายน 2559 ผลิตรถยนต์ จำนวน 138,237 เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว ร้อยละ 11.51 ขายในประเทศ เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 มูลค่าการส่งออก เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.18
http://www.thansettakij.com/2016/05/26/56742
ยอดขายรถยนต์เดือนเมษายน 2559
วุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย รายงานสถิติการขายรถยนต์ประจำเดือนเมษายน 2559 มีปริมาณการขายทั้งสิ้น 54,986 คัน เพิ่มขึ้น 1.7% ประกอบด้วย รถยนต์นั่ง 20,687 คัน ลดลง 11.9% รถเพื่อการพาณิชย์ 34,299 คัน เพิ่มขึ้น 12.1% รวมทั้ง รถกระบะขนาด 1 ตัน ในเซกเมนต์นี้ จำนวน 27,628 คัน เพิ่มขึ้น 22.2%
http://www.thairath.co.th/content/630336
เดือนเมษายน 2559 ผลิตรถยนต์ จำนวน 138,237 เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว ร้อยละ 11.51 ขายในประเทศ เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 มูลค่าการส่งออก เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.18
http://www.thansettakij.com/2016/05/26/56742
ยอดขายรถยนต์เดือนเมษายน 2559
วุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย รายงานสถิติการขายรถยนต์ประจำเดือนเมษายน 2559 มีปริมาณการขายทั้งสิ้น 54,986 คัน เพิ่มขึ้น 1.7% ประกอบด้วย รถยนต์นั่ง 20,687 คัน ลดลง 11.9% รถเพื่อการพาณิชย์ 34,299 คัน เพิ่มขึ้น 12.1% รวมทั้ง รถกระบะขนาด 1 ตัน ในเซกเมนต์นี้ จำนวน 27,628 คัน เพิ่มขึ้น 22.2%
http://www.thairath.co.th/content/630336
- leaderinshadow
- Verified User
- โพสต์: 1765
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สถานการณ์รถยนต์
โพสต์ที่ 188
ตลาดรถมือสองแนวโน้มดีขึ้น ผู้ประกอบการ อัดโปรโมชั่นหลังฟื้นตัว
ก็นับว่าเป็นสัณญานที่ดีครับสำสำหรับธุรกิจรถยนต์มือสองของพวกเราที่ในขณะนี้ก็มีสัณญานที่ดี ก็เรียกว่าเกือบจะดีขึ้นแล้ว หลังจากวิกฤติโครงการรถคันแรก ก็เรียกได้ว่าหนักที่สุดในหลายรอบปีเลยทีเดียว ในช่วงนี้ก็มีงานมหกรรมรถยนต์มือสอง ครั้งที่ 8 ฟังเสียงจากทางผู้จัดงานและผู้ประกอบการรถมือสองกันครับว่ามีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับตลาดรถมือสองในขณะนี้
มหกรรมรถยนต์มือสอง ครั้งที่ 8
จาตุรนต์ โกมลมิศร์ กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล ในฐานะประธานมหกรรมรถยนต์มือสอง ครั้งที่ 8 กล่าวว่า ภาพรวมตลาดรถยนต์มือสองปีนี้ คาดว่าจะมีปริมาณการซื้อขายหมุนเวียนในตลาดเพิ่มขึ้นเป็น โดยจากเมือปีที่แล้วนั้น 1 ล้านคันต่อปี แต่ในปีนี้คาดว่าจะมีการซื้อขายรถหมุนเวียนในตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 1.5 ล้นคันต่อปี จากแนวโน้มราคารถมือสองที่มีการฟื้นตัวกลับสู่สภาวะปกติ และนอกจากนี้ผู้ประกอบการรถมือสองก็อาศัยจะจังหวะนี้จัดโปรโมชั่นและมอบข้อเสนอพิเศษต่างๆ เพื่อทำการกระตุ้นตลาด ซึ่งก็ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีของผู้บริโภคในช่วงนี้ด้วย
ทั้งนี้ บริษัทได้จัดงานมหกรรมรถยนต์มือสอง ครั้งที่ 8 ขึ้นระหว่างวันที่ 28 มี.ค.-3 เม.ย. 2559 ที่ศูนย์แสดงสินค้าฯ ฮอลล์ 1-4 อิมแพ็ค เมืองทองธานี บนพื้นที่ 2 หมื่นตารางเมตร เพื่อกระตุ้นตลาดในช่วงฟื้นตัว โดยคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมชมงานมากกว่า 1 แสนคน ซึ่งคาดว่ายอดขายในงานจะอยู่ในระดับเดียวกับปีที่ผ่านมาที่ 6,000 คัน และก็ยังกล่าวต่ออีกว่า ในปีนี้คาดว่าตลาดรถยนต์มือสองในปีนี้จะมีอัตราเติบโตราว 5-10% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากปัจจัยบวกที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหลายปัจจัย ทั้งเรื่องของการแข่งของผู้ประกอบและราคาที่เริ่มฟื้นตัว”
ด้าน ไพโรจน์ ชื่นครุฑ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านธุรกิจสินเชื่อยานยนต์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า ทิศทางราคาเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายปี 2558 จากผู้ประกอบการเริ่มซื้อขายอีกครั้ง พร้อมทั้งบริษัทได้ปรับรูปแบบการอนุมัติสินเชื่อให้เหมาะสมกับสถานะลูกค้าใน ปัจจุบันเพื่อให้สามารถเป็นเจ้าของรถยนต์ได้ตามเหมาะสม
ขณะที่ภาพรวมสินเชื่อรถยนต์ในตลาดมีมูลค่าอยู่ที่ 5-6 แสนล้านบาท/ปี แบ่งเป็น สินเชื่อรถยนต์ใหม่ 60% สินเชื่อรถยนต์มือสอง 35% และสินเชื่อรถจักรยานยนต์ 5% โดยในช่วง 2 เดือนแรก (ม.ค.-ก.พ.) ของปี 2559 สินเชื่อรถยนต์ใหม่มีความผันผวนสูงจากสถานการณ์ชะลอตัวของตลาด ซึ่งหลายฝ่ายคาดการณ์ว่าปีนี้ตลาดรถยนต์ในประเทศจะอยู่ที่ 7.2 แสนคัน จากปีก่อน 8 แสนคัน จึงต้องติดตามใกล้ชิด
อย่างไรก็ตาม ปี 2558 ธนาคารมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 20% หรือมีมูลค่าอยู่ที่ 1-1.2 แสนล้านบาท แบ่งเป็น สินเชื่อรถยนต์ใหม่ 50% สินเชื่อรถยนต์มือสอง 45% และสินเชื่อรถจักรยานยนต์ 5% โดยปี 2559 ตั้งเป้าส่วนแบ่งตลาดเติบโตโตขึ้น 1-4% จากปัจจุบัน ซึ่งในช่วงแรกของปีการปล่อยสินเชื่อยังเป็นไปตามเป้าหมาย
“ธนาคารอยู่อับดับหนึ่งในตลาดสินเชื่อรถยนต์ โดยในปีที่ผ่านมามีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 20% จากปีก่อนหน้าอยู่ที่ 17% ล่าสุดได้เข้าร่วมงานมหกรรมรถยนต์มือสอง โดยได้จัดรายการส่งเสริมการขาย (โปรโมชั่น) อาทิ ดอกเบี้ย 0% ทราบผลอนุมัติเร็วภายใน 15 นาที และโปรแกรมขยายการรับประกันอะไหล่ 1 ปี หรือ 2.5 หมื่น กม.” ไพโรจน์ กล่าว
สมชาย ตระกูลภิรมย์ ผู้จัดการทั่วไป มาสเตอร์ เซอร์ทิฟายด์ ยูสคาร์ ในเครือบริษัท มาสเตอร์ กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) หรือเอ็มจีซี กล่าวว่า ตลาดรถยนต์มือสองปีนี้คาดว่าจะเติบโต 10% หรืออยู่ที่ 1.5 ล้านคันซึ่งมองว่าระดับราคาขายจะสู่สภาวะปกติและจะยังคงทรงตัว แม้ว่าการคาดการณ์ตลาดรถยนต์มือสองในช่วงไตรมาส 2 จะขาดตลาดจากผลกระทบของรถยนต์ใหม่ปรับลดกำลังการผลิตและใช้ระยะเวลารอรถนาน ผู้บริโภคจึงต้องใช้รถคันเดิมไปก่อนจึงยังไม่เข้าสู่ตลาดรถยนต์มือสอง
ขณะที่สถานการณ์การแข่งขันของตลาดรถยนต์มือสอง ปัจจุบันผู้ประกอบการรายเล็กมีการรวมตัวกันสร้างมาตรฐาน พร้อมการรับประกันคุณภาพสินค้าเพื่อสร้างความเชื่อถือต่อผู้บริโภค พร้อมทั้งไฟแนนซ์มีการเพิ่มวงเงินจัดสินเชื่อขึ้นราว 10% ส่งผลกระตุ้นความต้องการได้ “ไฟแนนซ์มีผลต่อตลาดรถยนต์มือสองอย่างมาก ซึ่งความผ่อนคลายการเพิ่มวงเงินสินเชื่อในบางรุ่นส่งผลดีต่อตลาด จึงคาดว่าในปีนี้จะเติบโตได้ โดยปีนี้ปริมาณหมุนเวียนของรถยนต์มือสองจะอยู่ที่ 1.5 ล้านคัน/ปี หรือ 1.5 เท่าของรถยนต์ใหม่” สมชาย กล่าว พร้อมกันนี้ ปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายอยู่ที่ 1,600 คัน สูงขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ที่ 1,400 คัน จากปัจจัยดังกล่าวข้างตนจึงคาดว่าจะบรรลุเป้าหมายได้ พร้อมกันนี้ ปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายอยู่ที่ 1,600 คัน สูงขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ที่ 1,400 คัน จากปัจจัยดังกล่าวข้างตนจึงคาดว่าจะบรรลุเป้าหมายได้
จะเห็นได้ว่า ขณะนี้การแข่งขันของตลาดรถยนต์มือสองในและสถาบันการเงินได้ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันนี้เพื่อผู้บริโภค
http://news.unseencar.com/tag/%E0%B9%81 ... 8%E0%B8%B2
ก็นับว่าเป็นสัณญานที่ดีครับสำสำหรับธุรกิจรถยนต์มือสองของพวกเราที่ในขณะนี้ก็มีสัณญานที่ดี ก็เรียกว่าเกือบจะดีขึ้นแล้ว หลังจากวิกฤติโครงการรถคันแรก ก็เรียกได้ว่าหนักที่สุดในหลายรอบปีเลยทีเดียว ในช่วงนี้ก็มีงานมหกรรมรถยนต์มือสอง ครั้งที่ 8 ฟังเสียงจากทางผู้จัดงานและผู้ประกอบการรถมือสองกันครับว่ามีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับตลาดรถมือสองในขณะนี้
มหกรรมรถยนต์มือสอง ครั้งที่ 8
จาตุรนต์ โกมลมิศร์ กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล ในฐานะประธานมหกรรมรถยนต์มือสอง ครั้งที่ 8 กล่าวว่า ภาพรวมตลาดรถยนต์มือสองปีนี้ คาดว่าจะมีปริมาณการซื้อขายหมุนเวียนในตลาดเพิ่มขึ้นเป็น โดยจากเมือปีที่แล้วนั้น 1 ล้านคันต่อปี แต่ในปีนี้คาดว่าจะมีการซื้อขายรถหมุนเวียนในตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 1.5 ล้นคันต่อปี จากแนวโน้มราคารถมือสองที่มีการฟื้นตัวกลับสู่สภาวะปกติ และนอกจากนี้ผู้ประกอบการรถมือสองก็อาศัยจะจังหวะนี้จัดโปรโมชั่นและมอบข้อเสนอพิเศษต่างๆ เพื่อทำการกระตุ้นตลาด ซึ่งก็ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีของผู้บริโภคในช่วงนี้ด้วย
ทั้งนี้ บริษัทได้จัดงานมหกรรมรถยนต์มือสอง ครั้งที่ 8 ขึ้นระหว่างวันที่ 28 มี.ค.-3 เม.ย. 2559 ที่ศูนย์แสดงสินค้าฯ ฮอลล์ 1-4 อิมแพ็ค เมืองทองธานี บนพื้นที่ 2 หมื่นตารางเมตร เพื่อกระตุ้นตลาดในช่วงฟื้นตัว โดยคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมชมงานมากกว่า 1 แสนคน ซึ่งคาดว่ายอดขายในงานจะอยู่ในระดับเดียวกับปีที่ผ่านมาที่ 6,000 คัน และก็ยังกล่าวต่ออีกว่า ในปีนี้คาดว่าตลาดรถยนต์มือสองในปีนี้จะมีอัตราเติบโตราว 5-10% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากปัจจัยบวกที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหลายปัจจัย ทั้งเรื่องของการแข่งของผู้ประกอบและราคาที่เริ่มฟื้นตัว”
ด้าน ไพโรจน์ ชื่นครุฑ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านธุรกิจสินเชื่อยานยนต์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า ทิศทางราคาเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายปี 2558 จากผู้ประกอบการเริ่มซื้อขายอีกครั้ง พร้อมทั้งบริษัทได้ปรับรูปแบบการอนุมัติสินเชื่อให้เหมาะสมกับสถานะลูกค้าใน ปัจจุบันเพื่อให้สามารถเป็นเจ้าของรถยนต์ได้ตามเหมาะสม
ขณะที่ภาพรวมสินเชื่อรถยนต์ในตลาดมีมูลค่าอยู่ที่ 5-6 แสนล้านบาท/ปี แบ่งเป็น สินเชื่อรถยนต์ใหม่ 60% สินเชื่อรถยนต์มือสอง 35% และสินเชื่อรถจักรยานยนต์ 5% โดยในช่วง 2 เดือนแรก (ม.ค.-ก.พ.) ของปี 2559 สินเชื่อรถยนต์ใหม่มีความผันผวนสูงจากสถานการณ์ชะลอตัวของตลาด ซึ่งหลายฝ่ายคาดการณ์ว่าปีนี้ตลาดรถยนต์ในประเทศจะอยู่ที่ 7.2 แสนคัน จากปีก่อน 8 แสนคัน จึงต้องติดตามใกล้ชิด
อย่างไรก็ตาม ปี 2558 ธนาคารมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 20% หรือมีมูลค่าอยู่ที่ 1-1.2 แสนล้านบาท แบ่งเป็น สินเชื่อรถยนต์ใหม่ 50% สินเชื่อรถยนต์มือสอง 45% และสินเชื่อรถจักรยานยนต์ 5% โดยปี 2559 ตั้งเป้าส่วนแบ่งตลาดเติบโตโตขึ้น 1-4% จากปัจจุบัน ซึ่งในช่วงแรกของปีการปล่อยสินเชื่อยังเป็นไปตามเป้าหมาย
“ธนาคารอยู่อับดับหนึ่งในตลาดสินเชื่อรถยนต์ โดยในปีที่ผ่านมามีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 20% จากปีก่อนหน้าอยู่ที่ 17% ล่าสุดได้เข้าร่วมงานมหกรรมรถยนต์มือสอง โดยได้จัดรายการส่งเสริมการขาย (โปรโมชั่น) อาทิ ดอกเบี้ย 0% ทราบผลอนุมัติเร็วภายใน 15 นาที และโปรแกรมขยายการรับประกันอะไหล่ 1 ปี หรือ 2.5 หมื่น กม.” ไพโรจน์ กล่าว
สมชาย ตระกูลภิรมย์ ผู้จัดการทั่วไป มาสเตอร์ เซอร์ทิฟายด์ ยูสคาร์ ในเครือบริษัท มาสเตอร์ กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) หรือเอ็มจีซี กล่าวว่า ตลาดรถยนต์มือสองปีนี้คาดว่าจะเติบโต 10% หรืออยู่ที่ 1.5 ล้านคันซึ่งมองว่าระดับราคาขายจะสู่สภาวะปกติและจะยังคงทรงตัว แม้ว่าการคาดการณ์ตลาดรถยนต์มือสองในช่วงไตรมาส 2 จะขาดตลาดจากผลกระทบของรถยนต์ใหม่ปรับลดกำลังการผลิตและใช้ระยะเวลารอรถนาน ผู้บริโภคจึงต้องใช้รถคันเดิมไปก่อนจึงยังไม่เข้าสู่ตลาดรถยนต์มือสอง
ขณะที่สถานการณ์การแข่งขันของตลาดรถยนต์มือสอง ปัจจุบันผู้ประกอบการรายเล็กมีการรวมตัวกันสร้างมาตรฐาน พร้อมการรับประกันคุณภาพสินค้าเพื่อสร้างความเชื่อถือต่อผู้บริโภค พร้อมทั้งไฟแนนซ์มีการเพิ่มวงเงินจัดสินเชื่อขึ้นราว 10% ส่งผลกระตุ้นความต้องการได้ “ไฟแนนซ์มีผลต่อตลาดรถยนต์มือสองอย่างมาก ซึ่งความผ่อนคลายการเพิ่มวงเงินสินเชื่อในบางรุ่นส่งผลดีต่อตลาด จึงคาดว่าในปีนี้จะเติบโตได้ โดยปีนี้ปริมาณหมุนเวียนของรถยนต์มือสองจะอยู่ที่ 1.5 ล้านคัน/ปี หรือ 1.5 เท่าของรถยนต์ใหม่” สมชาย กล่าว พร้อมกันนี้ ปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายอยู่ที่ 1,600 คัน สูงขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ที่ 1,400 คัน จากปัจจัยดังกล่าวข้างตนจึงคาดว่าจะบรรลุเป้าหมายได้ พร้อมกันนี้ ปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายอยู่ที่ 1,600 คัน สูงขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ที่ 1,400 คัน จากปัจจัยดังกล่าวข้างตนจึงคาดว่าจะบรรลุเป้าหมายได้
จะเห็นได้ว่า ขณะนี้การแข่งขันของตลาดรถยนต์มือสองในและสถาบันการเงินได้ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันนี้เพื่อผู้บริโภค
http://news.unseencar.com/tag/%E0%B9%81 ... 8%E0%B8%B2
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สถานการณ์รถยนต์
โพสต์ที่ 190
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ เปิดเผยว่า ในเดือน พ.ค.59 รถยนต์สำเร็จรูปส่งออกได้ 99,547 คัน เพิ่มขึ้น 11.93% จากเดือน พ.ค.58 คิดเป็นมูลค่าการส่งออกรถยนต์ 54,990.82 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.27% จาก พ.ค.58 เนื่องจากสามารถส่งออกรถพีพีวีที่มีราคาสูงกว่ารถอีดคคาร์เพิ่มขึ้นถึง 110.2%
ทั้งนี้ส่งผลให้ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-พ.ค.59) มียอดส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป 487,798 คัน ลดลง 2.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยคิดเป็นมูลค่าการส่งออก 261,628.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.98% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่มียอดขายรถยนต์ภายในประเทศเดือน พ.ค.59 อยู่ที่ 66,019 คัน เพิ่มขึ้น 15.9% จากเดือน พ.ค.58 หลังภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศค่อยๆ ฟื้นตัวจากการลงทุนและการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ
ส่วนการผลิตรถยนต์ในเดือน พ.ค.59 มีทั้งสิ้น 168,394 คัน เพิ่มขึ้น 24.69% จากเดือน พ.ค.58 โดยเป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศที่มีสัดส่วน 41.68% และผลิตรถกระบะเพื่อจำหน่ายในประเทศเพิ่มขึ้น 33.82% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปีที่แล้วหลายบริษัทมีการปรับเปลี่ยนรุ่นรถกระบะจึงผลิตได้น้อย
ทั้งนี้ส่งผลให้ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-พ.ค.59) มียอดส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป 487,798 คัน ลดลง 2.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยคิดเป็นมูลค่าการส่งออก 261,628.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.98% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่มียอดขายรถยนต์ภายในประเทศเดือน พ.ค.59 อยู่ที่ 66,019 คัน เพิ่มขึ้น 15.9% จากเดือน พ.ค.58 หลังภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศค่อยๆ ฟื้นตัวจากการลงทุนและการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ
ส่วนการผลิตรถยนต์ในเดือน พ.ค.59 มีทั้งสิ้น 168,394 คัน เพิ่มขึ้น 24.69% จากเดือน พ.ค.58 โดยเป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศที่มีสัดส่วน 41.68% และผลิตรถกระบะเพื่อจำหน่ายในประเทศเพิ่มขึ้น 33.82% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปีที่แล้วหลายบริษัทมีการปรับเปลี่ยนรุ่นรถกระบะจึงผลิตได้น้อย
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สถานการณ์รถยนต์
โพสต์ที่ 191
ตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลในโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ก ถึงโครงการสมัครใจลาออกสำหรับพนักงานรับเหมาช่วงของบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ทางบริษัทฯ ใคร่ขอชี้แจงรายละเอียด ดังต่อไปนี้
จากสภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศที่ยังคงชะลอตัว ประกอบกับความผันผวนของสภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีผลต่อการส่งออก ส่งผลกระทบต่อตลาดรถยนต์ทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ทำให้ บริษัทฯ ต้องปรับลดกำลังการผลิตลง และมีพนักงานเกินความจำเป็นในการผลิต รวมทั้งต้องปรับลดจำนวนชั่วโมงการทำงานล่วงเวลา ทำให้รายได้รวมต่อเดือนของพนักงานลดลง
ดังนั้นเพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้พนักงานได้มีทางเลือก บริษัทฯ จึงเปิด โครงการ “จากด้วยใจ” ให้แก่พนักงานรับเหมาช่วงเข้าร่วมโครงการสมัครใจลาออก ซึ่งพนักงานที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับเงินชดเชยครบถ้วนตามกฎหมายแรงงาน และบริษัทฯ ยังพิจารณาจ่ายเงินเพิ่มเติมพิเศษ ให้กับพนักงานที่เข้าร่วมโครงการฯ อีกด้วย
อย่างไรก็ตามหากสถานการณ์ของตลาดรถยนต์ดีขึ้น ทางบริษัทฯ ยินดีที่จะรับพนักงานที่สมัครใจร่วมโครงการนี้ กลับเข้าทำงานเป็นลำดับแรก โดยคงอัตราค่าจ้างพร้อมสวัสดิการตามเดิม รวมทั้งจะนับอายุงานต่อเนื่อง บริษัทฯ ขอยืนยันว่า ตลอดระยะเวลากว่า 50 ปีที่ผ่านมาในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย บริษัทฯ ไม่มีนโยบายปลดพนักงานออกแต่อย่างใด รวมทั้งโตโยต้า ยังมีความมั่นใจว่าประเทศไทยยังคงมีศักยภาพที่จะเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ในภูมิภาคนี้ต่อไป
จากสภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศที่ยังคงชะลอตัว ประกอบกับความผันผวนของสภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีผลต่อการส่งออก ส่งผลกระทบต่อตลาดรถยนต์ทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ทำให้ บริษัทฯ ต้องปรับลดกำลังการผลิตลง และมีพนักงานเกินความจำเป็นในการผลิต รวมทั้งต้องปรับลดจำนวนชั่วโมงการทำงานล่วงเวลา ทำให้รายได้รวมต่อเดือนของพนักงานลดลง
ดังนั้นเพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้พนักงานได้มีทางเลือก บริษัทฯ จึงเปิด โครงการ “จากด้วยใจ” ให้แก่พนักงานรับเหมาช่วงเข้าร่วมโครงการสมัครใจลาออก ซึ่งพนักงานที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับเงินชดเชยครบถ้วนตามกฎหมายแรงงาน และบริษัทฯ ยังพิจารณาจ่ายเงินเพิ่มเติมพิเศษ ให้กับพนักงานที่เข้าร่วมโครงการฯ อีกด้วย
อย่างไรก็ตามหากสถานการณ์ของตลาดรถยนต์ดีขึ้น ทางบริษัทฯ ยินดีที่จะรับพนักงานที่สมัครใจร่วมโครงการนี้ กลับเข้าทำงานเป็นลำดับแรก โดยคงอัตราค่าจ้างพร้อมสวัสดิการตามเดิม รวมทั้งจะนับอายุงานต่อเนื่อง บริษัทฯ ขอยืนยันว่า ตลอดระยะเวลากว่า 50 ปีที่ผ่านมาในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย บริษัทฯ ไม่มีนโยบายปลดพนักงานออกแต่อย่างใด รวมทั้งโตโยต้า ยังมีความมั่นใจว่าประเทศไทยยังคงมีศักยภาพที่จะเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ในภูมิภาคนี้ต่อไป
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
- leaderinshadow
- Verified User
- โพสต์: 1765
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สถานการณ์รถยนต์
โพสต์ที่ 192
ค่ายรถญี่ปุ่นเฮ! เวียดนามคลายกฎนำเข้า
https://www.prachachat.net/motoring/news-138225
https://www.prachachat.net/motoring/news-138225
ค่ายรถโล่ง “เวียดนาม” ผ่อนคลายมาตรการนำเข้ารถยนต์สำเร็จรูปจากไทย หลัง ม.ค.-ก.พ.ยอดส่งออกยานยนต์และส่วนประกอบไปตลาดเวียดนามวูบหนัก 30% “ฮอนด้า” ส่งลอตแรก 2,000 คัน “มาสด้า-โตโยต้า” จ่อคิวไม่เกินไตรมาส 2 ส่งทั้งรถยนต์นั่งและปิกอัพ “อีซูซุ” เล็งส่งรถบรรทุกทำตลาดปีหน้า
ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า หลังรัฐบาลเวียดนามออกกฎระเบียบเงื่อนไขเกี่ยวกับการผลิต การค้า และการนำเข้ารถยนต์ (Decree 116) มีผลบังคับใช้ 1 ม.ค. 2561 ส่งผลให้รถยนต์ที่นำเข้าทุกการขนส่ง (shipment) ต้องตรวจไอเสีย และความปลอดภัย รวมถึงมีเอกสารรับรองจากหน่วยงานของประเทศผู้ส่งออก โดยให้เหตุผลว่าเป็นระเบียบที่กำหนดเพื่อควบคุมความปลอดภัยของรถยนต์จากทุกประเทศสร้างความกังวลใจผู้ประกอบการไทย และทำให้การส่งออกยานยนต์และส่วนประกอบของไทยไปยังตลาดเวียดนามในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-กุมภาพันธ์) ปรับตัวลดลง จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 30% ทำให้รัฐบาลไทยและเวียดนามผลักดันการแก้ไขอุปสรรคดังกล่าวนี้มากว่า 3 เดือน
ล่าสุด กลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ฮอนด้าได้ทดลองส่งออกรถยนต์ลอตแรกไปเวียดนามแล้ว 2,000 คัน อยู่ระหว่างติดตามผลการดำเนินการตรวจสอบ
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญในการติดตามแก้ไขปัญหาการบังคับใช้กฎระเบียบ Decree 116 ตามที่ได้รับการประสานจากเอกชนไทย โดยผลักดันประเด็นนี้ในทุกเวทีการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการหารือในคณะกรรมการด้านอุปสรรคทางเทคนิค (TBT) ภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) ซึ่งฝ่ายไทยได้หยิบยกประเด็นความกังวลนี้ขึ้นมาสอบถามรัฐบาลเวียดนาม และได้รับคำตอบว่า จะดูแลการบังคับใช้ระเบียบนี้ เพื่อไม่ให้กลายเป็นอุปสรรคทางการค้าในการประชุมระดับรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (AEM)
ซึ่งนางสาวชุติมา บุณยประภัศร รมช.พาณิชย์ ที่ผ่านมา ได้หยิบประเด็นนี้ไปหารือด้วย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์) ยังมีหนังสือถึงเวียดนาม หลังหารือระดับนายกรัฐมนตรีทั้งสองฝ่ายในการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปก ที่เวียดนาม เมื่อ พ.ย. 2560
“เท่าที่ทราบทางเวียดนามยอมรับมาตรฐานการตรวจสอบของไทย และการรับรองของหน่วยงานราชการไทย มีแนวโน้มผ่อนคลายการตรวจสอบ ช่วงแรกเอกชนกังวลไม่กล้าส่งออก แต่ตอนนี้ไม่กังวลแล้ว”
รายงานข่าวระบุว่า การส่งออกยานพาหนะอุปกรณ์และส่วนประกอบในช่วง 2 เดือนแรก ปี 2561 มีมูลค่า 6,581 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 29.2% เป็นการส่งออกไปตลาดเวียดนาม ซึ่งมีสัดส่วน 1.98% ของการตลาดส่งออกทั้งหมด ที่มีมูลค่า 126.96 ล้านเหรียญสหรัฐ ติดลบ 30.12%
ด้านนายพิทักษ์ พฤทธิสาริกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารปฏิบัติการ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ฮอนด้าเริ่มส่งรถยนต์ลอตแรกไปยังเวียดนามได้แล้ว 2,000 คัน หลังจากปลายปีที่ผ่านมามีปัญหาจนต้องชะลอการส่งออกรถยนต์ และชิ้นส่วนยานยนต์ไปยังเวียดนาม ซึ่งรถยนต์ที่ผลิตจากไทยหรือที่จะส่งเข้าไปยังเวียดนามต้องได้รับการตรวจสอบจากภาครัฐของเวียดนาม โดยสุ่มตรวจสอบ 1 รุ่น 1 คัน ใน 1 ลอต เชื่อว่าจากนี้ค่ายรถยนต์อื่นก็จะเริ่มส่งไปขายที่เวียดนามได้
นายชาญชัย ตระการอุดมสุข ประธานบริหาร มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า การส่งออกรถยนต์มาสด้าไปจำหน่ายในเวียดนามเริ่มคลี่คลายแล้ว ส่วนของมาสด้าคาดว่าจะกลับมาส่งออกได้ภายในไตรมาส 2 ปีนี้ ปัจจุบัน มาสด้าส่งออกรถยนต์นั่งมาสด้า 2 และปิกอัพ บีที-50 ไปจำหน่ายทั้งคันหรือซีบียู 5,000 คันต่อปี
แหล่งข่าวระดับบริหารจากบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า โตโยต้าส่งออกรถยนต์ไปเวียดนาม 10,000 คันต่อปี โดยไตรมาสแรกไม่สามารถส่งออกได้ คาดว่าในไตรมาส 2 จะกลับมาส่งออกรถไปยังเวียดนามได้ทั้งรถยนต์นั่งโตโยต้า ยาริส และไฮลักซ์ รีโว่
นายโทชิอากิ มาเอคาวะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด เปิดเผยว่า อีซูซุมีการส่งออกรถปิกอัพอีซูซุดีแมคซ์ไปเวียดนามไม่มาก และปีหน้าจะส่งรถบรรทุกอีซูซุคิงส์ ออฟ ทรัคส์ เข้าไปจำหน่าย สำหรับบริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาดังกล่าว แต่ค่ายรถที่ส่งออกรถยนต์นั่งจะได้รับผลกระทบมากกว่า
- leaderinshadow
- Verified User
- โพสต์: 1765
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สถานการณ์รถยนต์
โพสต์ที่ 193
ดัชนี อุตฯ มี.ค. ยังพุ่ง แตะระดับ 90.7 ยอดขายรถ 2.37 แสนคันโตถึง 12.6%
https://www.prachachat.net/economy/news-148176
https://www.prachachat.net/economy/news-148176
ดัชนี อุตฯ มี.ค. ยังพุ่ง แตะระดับ 90.7 ยอดขายรถ 2.37 แสนคันโตถึง 12.6%
ดัชนี อุตฯ มี.ค.ยังพุ่ง แตะระดับ 90.7 ยอดขายรถ 2.37 แสนคันโตถึง 12.6% “สุพันธ์” ยังห่วงสงครามการค้าสหรัฐฯ-ค่าบาท-ค่าแรงฉุด
นายสุพันธ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวถึงดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม จากการสำรวจผู้ประกอบการเดือน มี.ค.2561 ทั้ง 45 กลุ่มอุตสาหกรรม พบว่า ความเขื่อมั่นอยู่ที่ระดับ 90.7 ปรับตัวเพิ่มขึ้น จากระดับ 89.9 จากเดือน ก.พ. เป็นผลมาจากการเร่งผลิตสินค้าเพื่อชดเชยในข่วงเทศกาลสงกรานต์เดือน เม.ย. ที่มีวันหยุดมาก และยังเป็นผลมาจากการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายจากอุตสาหกรรมยานยนต์ ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องปรับอากาศ อาหาร ร้องเท้า และการพิมพ์
จึงคาดการณ์ว่าดัชนีความเชื่อมั่นในอีก 3 เดือนข้างหน้า จะอยู่ที่ระดับ 100.9 ปรับตัวลดลงจากระดับ 102.2 ในเดือน ก.พ. ด้วยความกังวลของผู้ประกอบการส่งออกต่อมาตรการการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อการส่งออกของไทยในระยะต่อไป
อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการยังมีความกังวลถึงการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ปัญหาสภาพคล่องของ SMEs รวมถึงปัญหาค่าเงินบาทที่ส่งผลกระทบต่อการบริหารต้นทุนของผู้ประกอบการส่งออก
“ภาพรวมในเดือน มี.ค.ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี ความเชื่อดัชนี อุตฯ เป็นบวก ทั้งผู้ประกอบการรายเล็ก กลาง ใหญ่ รวมถึงระดับภูมิภาคทั้งหมด มีเพียงภาคใต้ที่ได้รับผลกระทบเรื่องราคายางพารา และอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ไม้อัดที่มียอดสั่งซื้อลดลง เราจึงประเมินว่าความเชื่อมั่นในอีก3 เดือนจะลดด้วยวันหยุดช่วงสงกรานต์ และใกล้เปิดเทอม บวกกับราคาน้ำมันที่ผันผวน ขณะที่การค้ากับต่างประเทศต้องหาตลาดใหม่สำรองตลาดเดิม”
สำหรับข้อเสนอแนะต่อภาครัฐทาง ส.อ.ท. ต้องการให้ 1. แก้ไขปัญหาการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ให้กับผู้ประกอบการ SMEsเพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องในการดำเนินกิจการ
2.สนับสนุนการหาตลาดส่งออกใหม่ๆ เพื่อขยายการค้าการลงทุน และป้องกันความเสี่ยงจากสงครามการค้า ที่อาจส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทย
3.ส่งเสริมการฝึกอบรมแบบไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อพัฒนาศักยภาพแรงงาน และลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการ
4.สนับสนุนการให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ในการดำเนินธุรกิจผ่าน E-Commerce เพื่อเพิ่มช่องทางการค้า
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า สำหรับยอดผลิตรถยนต์ปี 2561 ทั้งหมด 2,000,000 คัน ขายในประเทศตั้งเป้าไว้ที่ 900,000 คัน ส่งออก 1,100,000 คัน คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งชิ้นส่วน รถจักรยานยนต์กว่า 1 ล้านล้านบาท
และยังพบว่ายอดขายรถกระบะเพิ่มขึ้นมีอัตราการเติบโตถึง 11% บวกกับจากงานมอเตอร์โชว์ที่ทำให้รถนั่งส่วนบุคคล (เก๋ง) ยอดขายจำนวนมาก และโครงการขนาดใหญ่จากทางภาครัฐที่หากสามารถเดินหน้าการก่อสร้างได้โอกาสที่รถยนต์ขนาดใหญ่จะโตตามไปด้วย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่จะดันให้ยอดขายรถยนต์ปีนี้ถึงเป้า
สำหรับยอดการผลิต 3 เดือน (ม.ค.-มี.ค.) จำนวน 539,690 คัน เทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้วเพิ่มขึ้น 11.15%
ผลิตเพื่อส่งออก 300,717 คัน เพิ่มขึ้น 4.31%
ผลิตเพื่อขายในประเทศ 238,973 คัน เพิ่มขึ้น 21.15%
รถจักรยานยนต์ 695,618 คัน เพิ่มขึ้น 5%
เป็นยอดขายรถยนต์ในประเทศ 237,093 คัน เพิ่มขึ้น 12.6%
รถจักรยานยนต์ยอดขาย 465,093 คัน เพิ่มขึ้น 0.7%
การส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป 295,230 คัน เพิ่มขึ้น 3.84% มีมูลค่าการส่งออก 153,214 ล้านบาท
รถจักรยานยนต์ส่งออก 252,986 คัน ลดลง 0.06% มีมูลค่า 16,402 ล้านบาท
- leaderinshadow
- Verified User
- โพสต์: 1765
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สถานการณ์รถยนต์
โพสต์ที่ 194
ยอดขายรถยนต์เวียดนามประจำเดือน ตุลาคม 61
เพิ่มขึ้น 79.3% เมื่อเทียบเเดือนตุลาคมปีที่แล้ว
แบ่งเป็นยอดขายรถประกอบใน จำนวน 17,599 คัน เพิ่มขึ้น 2%
ส่วนยอดขายรถนำเข้า มีจำนวน 11,300 คัน เพิ่มขึ้นถึง 46%
เมื่อเทียบกับเดือนกันยายนที่ผ่านมา
ค่ายรถยอดนิยมยังคงเป็น Toyota ที่มียอดขาย 8,426 คัน
เพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบกับเดือนที่แล้ว
ตามมาด้วย กลุ่ม Thaco ที่เป็นผู้ประกอบและจัดจำหน่าย Mazda, Kia, Hyundai Peugeot และรถเพื่อการพานิชย์
ทำยอดขายไป 8175 คัน เพิ่มขึ้น 29.2% เมื่อเทียบกับเดือนที่แล้ว
-
ทางด้าน Ford ยอดขาย 2574 คัน เพิ่มขึ้น 9.2%
Honda ยอดขาย 3475 คัน เพิ่มขึ้น 12.4% เมื่อเทียบกับเดือนที่แล้วเช่นกัน
รวมทั้งสิ้น 10 เดือนที่ผ่านของปี 2018 นี้
ยอดขายรถยนต์ที่เวียดนามมีจำนวน 223,326 คัน เพิ่มขึ้นเพียง 1%
เมื่อเทียบ10เดือนแรกของปีที่แล้ว
จากสาเหตุการตั้งกำแพงนำเข้ารถยนต์เมื่อต้นปี ซึ่งส่งผลให้แทบไม่มีการนำเข้ารถยนต์ในไตรมาสแรก
ก่อนกฏดังกล่าวจะผ่อนคลายลงในเวลาไม่กี่เดือนต่อมา
ที่มา : https://www.retailnews.asia/vietnams-20 ... n-october/
https://www.facebook.com/34419401599829 ... 769599220/
เพิ่มขึ้น 79.3% เมื่อเทียบเเดือนตุลาคมปีที่แล้ว
แบ่งเป็นยอดขายรถประกอบใน จำนวน 17,599 คัน เพิ่มขึ้น 2%
ส่วนยอดขายรถนำเข้า มีจำนวน 11,300 คัน เพิ่มขึ้นถึง 46%
เมื่อเทียบกับเดือนกันยายนที่ผ่านมา
ค่ายรถยอดนิยมยังคงเป็น Toyota ที่มียอดขาย 8,426 คัน
เพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบกับเดือนที่แล้ว
ตามมาด้วย กลุ่ม Thaco ที่เป็นผู้ประกอบและจัดจำหน่าย Mazda, Kia, Hyundai Peugeot และรถเพื่อการพานิชย์
ทำยอดขายไป 8175 คัน เพิ่มขึ้น 29.2% เมื่อเทียบกับเดือนที่แล้ว
-
ทางด้าน Ford ยอดขาย 2574 คัน เพิ่มขึ้น 9.2%
Honda ยอดขาย 3475 คัน เพิ่มขึ้น 12.4% เมื่อเทียบกับเดือนที่แล้วเช่นกัน
รวมทั้งสิ้น 10 เดือนที่ผ่านของปี 2018 นี้
ยอดขายรถยนต์ที่เวียดนามมีจำนวน 223,326 คัน เพิ่มขึ้นเพียง 1%
เมื่อเทียบ10เดือนแรกของปีที่แล้ว
จากสาเหตุการตั้งกำแพงนำเข้ารถยนต์เมื่อต้นปี ซึ่งส่งผลให้แทบไม่มีการนำเข้ารถยนต์ในไตรมาสแรก
ก่อนกฏดังกล่าวจะผ่อนคลายลงในเวลาไม่กี่เดือนต่อมา
ที่มา : https://www.retailnews.asia/vietnams-20 ... n-october/
https://www.facebook.com/34419401599829 ... 769599220/
- leaderinshadow
- Verified User
- โพสต์: 1765
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สถานการณ์รถยนต์
โพสต์ที่ 195
อุตสาหกรรมยานยนต์ ไทยยิ้มรับ ยอดผลิตโต 20.62% ยอดขายในประเทศโต 26.8% ด้านส่งออกโต 2.75% ปิกอัพนำทัพโต 30.15% หากเทียบกับปีก่อน
สรุปประเด็นแถลงข่าวยอดผลิตรถยนต์ ต.ค.61 วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 เดือนตุลาคม 2561 ผลิตรถยนต์ 197,203 คัน สูงสุดรอบ 63 เดือน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 20.62 ขายในประเทศ 86,931 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.8 ส่งออก 93,338 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.75
https://www.autostation.com/news/indust ... 20-percent
สรุปประเด็นแถลงข่าวยอดผลิตรถยนต์ ต.ค.61 วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 เดือนตุลาคม 2561 ผลิตรถยนต์ 197,203 คัน สูงสุดรอบ 63 เดือน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 20.62 ขายในประเทศ 86,931 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.8 ส่งออก 93,338 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.75
https://www.autostation.com/news/indust ... 20-percent