A Golden Decade of Thai Value Investors
-
- Verified User
- โพสต์: 41
- ผู้ติดตาม: 0
A Golden Decade of Thai Value Investors
โพสต์ที่ 1
ดร นิเวศน์ได้รับเชิญไปบรรยายเรื่องvalue investing ให้กับ นักลงทุนVI สิงค์โปร์ฟังเมื่อวันที่ 24มกราคม2558 อาจารย์ได้รับคำเชิญจาก บริษัท 8i ที่เป็นบริษัทที่จัดสัมมนาการลงทุนแบบ VI ในสิงค์โปร์ ให้ไปพูดในหัวข้อเรื่อง Value investing in Thailand ในการสัมมนาประจำปีที่จัดมาแล้วเป็นปีที่สี่ที่สิงค์โปร์ ชื่อว่า Value Investor summit 2014 มีคนเข้าร่วมฟังประมาณ1500 คนและช่วงที่อาจารย์บรรยายถือเป็นhighlight ของงานเลยที่เดียว โดยในโบร์ชัวร์เขียนว่าผู้เข้าร่วมสัมมนาจะได้พบกับ the warren buffet of Thailand โดยเนื้อหาที่อาจารย์บรรยายน่าสนใจเลยนำมาสรุปให้ฟัง สำหรับคนที่พลาดโอกาสครับ
เริ่มต้นด้วยพิธีกรกล่าวนำเกี่ยวกับประวัติการลงทุนที่เริ่มต้นจากการทำงานเป็นวิศวกร เป็นผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์และลาออกช่วงวิกฤตการการณ์ต้มยำกุ้ง มาลงทุนเป็นระยะเวลา 18ปี จากเงิน 300000 เหรียญสหรัฐ เป็น 100ล้านเหรียญ ช่วงนี้มีเสียงฮือฮาในห้องประชุมอาจารย์เริ่มต้นพูดโดยออกตัวว่าครั้งนี้เป็นการพูดครั้งแรกในpublicที่เป็นภาษาอังกฤษในต่างประเทศ ด้วยความไม่ชำนาญ เลยอาจจะพูดตลกเป็นภาษาอังกฤษได้ไม่เก่ง no joke in my presentation เรียกเสียงหัวเราะได้ตั้งแต่เริ่มงาน
ช่วงแรกอาจารย์ เริ่มต้นว่าจะพูดในหัวข้อเรื่อง a golden decade of thai value investor โดยอาจารย์แบ่งการบรรยายทั้งหมดออกเป็นห้าส่วน โดยส่วนแรกอาจารย์พูดถึงสภาวะเศรษฐกิจของไทยและตลาดหุ้นไทย โดยบอกว่าช่วงก่อนต้มยำกุ้งไทยมีอัตราาการเจริญเติบโตเศรษฐกิจที่สูงมากโดยเฉลี่ยร้อยละ9 %มาหลายปีจจนหลังจากต้มยำกุ้งเป็นต้นไปอัตราการเจริญเติบโตลดลงมาเหลือประมาณร้อยละ5และช่วงหลังจากhamberger crisisอัตราการขยายตัวลดลงขยายตัวในระดับที่ต่ำประมาณร้อยละ3 เนื่องจากสาเหตูทางด้านการเมืองจนปัจจุบัน ทางด้านอัตราดอกเบี้ยอัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์เคยสูงถึงร้อยละ5ช่วงก่อนต้มยำกุ้งแล้วลงมาเหลือร้อยละ 0.54ในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางภาคเงินของบริษัทจดทะเบียนโดยมีการลงทุนcapital expenditureที่ต่ำลง
ส่วนภาพรวมตลาดหุ้น ไทยผ่านยุคที่เรียกว่าบูมหนักๆมาสองครั้งครั้งแรกช่วงก่อนต้มยำกุ้งดัชนีเพิ่มขึ้น14ปีโดยเฉลี่ยโตปีละ16%และหลังจากต้มยำกุ้งลดลง90%ในเวลาเพียงสามปีช่วงบูมที่สองเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2000จนมาถึงปัจจุบันโดยช่วงนี้ถ้าลงทุนบาทนึงถือจนถึงปจตุบันจะมีมูลค่า8บาท แล้วอาจารย์ก็โชว์หนังสือตีแตกที่เป็นหนังสือที่อาจารย์เริ่มเขียนตั้งแต่ช่วงเริ่มลงทุนใหม่จนปัจจุบันยังขายดีอยู่ในเมืองไทย ถือเป็นการเปิดศักราชการลงทุนแบบเน้นคุณค่าในเมืองไทยเป็นคนแรก
ช่วงที่สองอาจารย์พูดถึงสามปัจจัยทีผลักดันให้การตลาดหุ้นเติบโตอย่างมากในช่วง18ปีทีผ่านมาก
ปัจจัยแรกคือการเติบโตของกำไรของบริษัทจดทะเบียน โดยที่ผ่านมาใน12ปีหลังวิกฤตต้มยำกุ้งกำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโตขึ้น 117%เฉลี่ยเติบโตปีละ6.7% เลยผลักดันให้ดัชนีเพิ่มจาก305ไป1299 เติบโตขึ้น 326%หรือเฉลี่ยร้อยละ12.87%ต่อปี
ปัจจัยที่สองคือการre rated valuation ของตลาดหุ้นในไทยโดยช่วงปี1997-2008ตลาดไทยเทรดอยู่ที่peต่ำกว่า10และตั้งแต่ช่วงหลังhambergercrisisตลาดไทยเทรดอยู่ที่peระหว่าง15-19ใกล้เคียงช่วงสูงในอดีต
ปัจจัยที่สามคือกระแสการลงทุนของชนชั้นกลางในตลาดหุ้นไทย โดยอาจารย์ยกตัวอย่างว่าที่ผ่านมาอัตราการว่างงานอยูในระดับที่ต่ำมาตลอดอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ ชนชั้นทำงานเริ่มอายุมากขึ้นเริ่มแสวงหาการลงทุนที่มีผลตอบแทนสูงมากกว่าการฝากเงิน เลยเอาเงินมาลงทุนในตลาดหุ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ช่วงที่สามอาจารย์บรรยายถึงกลยุทธvalue investing ที่ได้ผลในการที่ผ่านมาที่ใช้กับตลาดหุ้นไทยแบ่งเป็นสามกลยุทธหลักๆ
กลยุทธแรกคือกลยุทธของ ben graham ที่เน้นหุ้นที่ราคาถูก peต่ำหรือpbต่ำ โดยอาจารย์บอก young vi ของไทยได้มีการดัดแปลงกลยุทธของben graham ออกไปยกตัวอย่างเช่น bengraham ไม่เคยใช้มาร์จืน นักลงทุนไทยจะใช้มาร์จิน ben grahanm เน้นการdiversify นักลงทุนไทยถือหุ้นน้อยตัวมากบางคนถือตัวเดียวเลย นอกจากนี้นักลงทุนไทยยังนิยมลงทุนในบริษัทขนาดเล็กที่มีfreefloatไม่มาก มีอัตราการเจริญเติบโตพอควร รวมทั้งถ้ามีข่าวดีหรือการประชาสัมพันธ์บริษัทเก่งๆจะถือเป็นตัวเร่งราคาได้และจะขายต่อเมื่อหุ้นตัวนั้นเริ่มเป็นที่นิยมหรือขึ้นมาแล้วหลายเท่า ซึ่งผลกระทำการลงทุนดังกล่าวทำให้ดัชนีในตลาดmaiเติบโตขึ้นมา4เท่าใน6 มีpeที่80เท่า ทำให้ตอนนี้แทบจะไม่มีcheap stockในตลาดหุ้น
กลยุทธที่สองเป็นกลยุทธที่อาจารย์ใช้ในปัจจุบันคือกลยุทธของwarren buffetที่เรียกว่าsuper stock investment อาจารย์อธิบายการลงทุนในแบบของอาจารย์ว่าเป็นเป็นการลงทุนหุ้นประมาณซัก20ตัวแต่มี5-6ตัวที่มีสัดส่วนประมาณร้อยละ70ของport ลงทุนเต็มportเกือบตลอดโดยถือเงินสดแค่เพียงหนึ่ง%แค่พอค่าใช้จ่ายประจำวัน รถใช้รถบริษัท บ้านอยู่บ้่านแม่ยาย ช่วงนี้เรียกเสียงฮือฮาได้พอสมควร ถือนานตราบที่บริษัทยังคงดีอยู่โดยเฉลี่ยเป็นเวลาหลายปี ขายเมื่อมีโอกาสการลงทุนที่ดีกว่าหรือบริษัทมีปัญหาพื้นฐานที่เปลี่ยนไป ผลตอบแทนการลงทุนหุ้นแต่ละตัวไม่ต่ำกว่า10เด้ง ช่วงนี้vi สิงค์โปร์อึ้งไปเล็กน้อยอาจารย์กล่าวปิดท้ายว่าถ้าไม่เห็นโอกาสหุ้นตัวไหนได้ 10เด้งจะไม่ลงทุน
ช่วงนี้อาจารย์ยกตัวอย่างราคาหุ้นที่ขึ้น10เด้งทั้งที่อาจารย์ถือและไม่ถือมาให้ดู มี mint centel scblifตัวนี้100เด้ง bigc cpall makro hmpro robins bgh jas cpn bh advanc
กลยุทธที่สามคือกลยุทธที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์เลือกมาให้โดยอาจารย์อ้างอิงการใช้สูตรที่ อ ไพบูลย์ทำงานวิจัยเรื้องนี้ไว้ โดยใช้กฎเลือกหุ้นpeต่ำกว่า10pbต่ำกว่า1และปันผลมากว่าร้อยละ3ซื้อต้นปีขายปลายปีจากการย้อนกลับไปทดสอบได้ผลว่าตั้งแต่ปี1996-2010อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี 36.69ดัชนีขึ้นแค่เพียง2.4ต่อปี เงินลงทุนจาก1ล้านเป็น108.7ล้านบาท อีกแบบนึงใช้fomularของ joel greenblattจากหนังสือlittle book that beat the marketเลือกหุ้นเรียงลำดับpe roeแล้วคัดตัวที่คะแนนเข้าเกณมา30ตัวลงทุนปรากฎว่าได้ผลตบแทนสูงมากร้อยละ 66.18เปอรเซนต่อปี ถ้าลงเงิน1บาทจะกลายเป็น2035บาทใน15ปี อาจารย์ใช้เล่าว่าอาจารย์ใช้สูตรนี้ลงในเวียดนามแต่ปัจจุบันยังขาดทุนอยู่
ช่วงที่สี่อาจารย์พูดถึงผลตอบแทนการลงทุน18ปีที่ผ่านมา มีผลตอบแทนติดลบอยู่2ปี แพ้ตลาด สามปี ผลตอบแทนเฉลี่ยการลงทุนต่อปี42.9 ทบต้น 36.1ชนะตลาดที่ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณร้อยละ10 โดยเปรียบเทียบว่าถ้าลงทุน1ล้าน18ปีจะเพิ่มขึ้น256เด้ง ทำเอาviสิงค์โปร์มีอึ้งครั้งที่สองปรบมือกันเกรียวกราว อาจารย์มีtipฝากถึงการลงทุนในช่วงนี้ว่า การอยู่ถูกที่ถูกเวลาเป็นเรืี่องสำคัญ vi ควรเข้าใจเรื่องพฤติกรรมสังคมแนวโน้มพฤติกรรมผู้บริโภค ลงทุนในบริษัทที่มีการเติบโตของกำไรเป็นสำคัญ ทุกคนควรจะลงทุนในหุ้นเพราะผลตอบแทนสูงเมืีอเทียบกับการฝากเงิน
ส่วนสุดท้ายอาจารย์พูดอนาคตต่อจากนี้ อาจารย์คิดว่าเป็นการจบยุคทองของการลงทุนแบบviที่ได้ผลตอบแทนสูงๆอย่างในอดีตเนืีองจากสาเหตุสามประการประการแรกอ้างอิงจาก arthur plewus turing point ที่ว่ายุคขงค่าแรงถูกหมดลงต่อไปการจริญเติบโตกำไรจะเริ่มช้าลง ประการที่สองอัตารดอกเบี้ยมาถึงจุดต่ำสุดและมีแต่แนวโน้มขึ้น ประการที่สามตลาดหุ้นไทยเทรดที่peสูงเกินไป อนาคตน่าจะลงมายู่ในระดับที่ต่ำกว่านี้
ประเทศไหนที่น่าลงทุนต่อจากนี้อาจารย์ยังคิดว่าน่าจะอยู่ในแถบaseanโดยน่าจะเป็นประเทศที่มีศักยภาพในอนาคตน่าเป็นประเทศที่มีระดับคนที่อยู่ในช่วงวัย0-14และวัยทำงานทึ่สูงเช่นฟิลิปินส์ อินโด มาเล โดยยกตัวอย่างไทยกับสิงค์โปร์มีน้อยไป และประเทศที่น่าสนใจในการลงทุนในสายตาอาจารย์มีเวียดนามกับจีนเนื่องจากpeตลาดรวมค่อนข้างต่ำด้วย
พอดีพึ่งเขียนสรุปเป็นครั้งแรกฝีมืออาจไม่เท่า i salamon ต้องขอโทษมาณ ที่นี้ด้วยหากมีข้อผิดพลาดจากการแปล
เริ่มต้นด้วยพิธีกรกล่าวนำเกี่ยวกับประวัติการลงทุนที่เริ่มต้นจากการทำงานเป็นวิศวกร เป็นผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์และลาออกช่วงวิกฤตการการณ์ต้มยำกุ้ง มาลงทุนเป็นระยะเวลา 18ปี จากเงิน 300000 เหรียญสหรัฐ เป็น 100ล้านเหรียญ ช่วงนี้มีเสียงฮือฮาในห้องประชุมอาจารย์เริ่มต้นพูดโดยออกตัวว่าครั้งนี้เป็นการพูดครั้งแรกในpublicที่เป็นภาษาอังกฤษในต่างประเทศ ด้วยความไม่ชำนาญ เลยอาจจะพูดตลกเป็นภาษาอังกฤษได้ไม่เก่ง no joke in my presentation เรียกเสียงหัวเราะได้ตั้งแต่เริ่มงาน
ช่วงแรกอาจารย์ เริ่มต้นว่าจะพูดในหัวข้อเรื่อง a golden decade of thai value investor โดยอาจารย์แบ่งการบรรยายทั้งหมดออกเป็นห้าส่วน โดยส่วนแรกอาจารย์พูดถึงสภาวะเศรษฐกิจของไทยและตลาดหุ้นไทย โดยบอกว่าช่วงก่อนต้มยำกุ้งไทยมีอัตราาการเจริญเติบโตเศรษฐกิจที่สูงมากโดยเฉลี่ยร้อยละ9 %มาหลายปีจจนหลังจากต้มยำกุ้งเป็นต้นไปอัตราการเจริญเติบโตลดลงมาเหลือประมาณร้อยละ5และช่วงหลังจากhamberger crisisอัตราการขยายตัวลดลงขยายตัวในระดับที่ต่ำประมาณร้อยละ3 เนื่องจากสาเหตูทางด้านการเมืองจนปัจจุบัน ทางด้านอัตราดอกเบี้ยอัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์เคยสูงถึงร้อยละ5ช่วงก่อนต้มยำกุ้งแล้วลงมาเหลือร้อยละ 0.54ในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางภาคเงินของบริษัทจดทะเบียนโดยมีการลงทุนcapital expenditureที่ต่ำลง
ส่วนภาพรวมตลาดหุ้น ไทยผ่านยุคที่เรียกว่าบูมหนักๆมาสองครั้งครั้งแรกช่วงก่อนต้มยำกุ้งดัชนีเพิ่มขึ้น14ปีโดยเฉลี่ยโตปีละ16%และหลังจากต้มยำกุ้งลดลง90%ในเวลาเพียงสามปีช่วงบูมที่สองเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2000จนมาถึงปัจจุบันโดยช่วงนี้ถ้าลงทุนบาทนึงถือจนถึงปจตุบันจะมีมูลค่า8บาท แล้วอาจารย์ก็โชว์หนังสือตีแตกที่เป็นหนังสือที่อาจารย์เริ่มเขียนตั้งแต่ช่วงเริ่มลงทุนใหม่จนปัจจุบันยังขายดีอยู่ในเมืองไทย ถือเป็นการเปิดศักราชการลงทุนแบบเน้นคุณค่าในเมืองไทยเป็นคนแรก
ช่วงที่สองอาจารย์พูดถึงสามปัจจัยทีผลักดันให้การตลาดหุ้นเติบโตอย่างมากในช่วง18ปีทีผ่านมาก
ปัจจัยแรกคือการเติบโตของกำไรของบริษัทจดทะเบียน โดยที่ผ่านมาใน12ปีหลังวิกฤตต้มยำกุ้งกำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโตขึ้น 117%เฉลี่ยเติบโตปีละ6.7% เลยผลักดันให้ดัชนีเพิ่มจาก305ไป1299 เติบโตขึ้น 326%หรือเฉลี่ยร้อยละ12.87%ต่อปี
ปัจจัยที่สองคือการre rated valuation ของตลาดหุ้นในไทยโดยช่วงปี1997-2008ตลาดไทยเทรดอยู่ที่peต่ำกว่า10และตั้งแต่ช่วงหลังhambergercrisisตลาดไทยเทรดอยู่ที่peระหว่าง15-19ใกล้เคียงช่วงสูงในอดีต
ปัจจัยที่สามคือกระแสการลงทุนของชนชั้นกลางในตลาดหุ้นไทย โดยอาจารย์ยกตัวอย่างว่าที่ผ่านมาอัตราการว่างงานอยูในระดับที่ต่ำมาตลอดอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ ชนชั้นทำงานเริ่มอายุมากขึ้นเริ่มแสวงหาการลงทุนที่มีผลตอบแทนสูงมากกว่าการฝากเงิน เลยเอาเงินมาลงทุนในตลาดหุ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ช่วงที่สามอาจารย์บรรยายถึงกลยุทธvalue investing ที่ได้ผลในการที่ผ่านมาที่ใช้กับตลาดหุ้นไทยแบ่งเป็นสามกลยุทธหลักๆ
กลยุทธแรกคือกลยุทธของ ben graham ที่เน้นหุ้นที่ราคาถูก peต่ำหรือpbต่ำ โดยอาจารย์บอก young vi ของไทยได้มีการดัดแปลงกลยุทธของben graham ออกไปยกตัวอย่างเช่น bengraham ไม่เคยใช้มาร์จืน นักลงทุนไทยจะใช้มาร์จิน ben grahanm เน้นการdiversify นักลงทุนไทยถือหุ้นน้อยตัวมากบางคนถือตัวเดียวเลย นอกจากนี้นักลงทุนไทยยังนิยมลงทุนในบริษัทขนาดเล็กที่มีfreefloatไม่มาก มีอัตราการเจริญเติบโตพอควร รวมทั้งถ้ามีข่าวดีหรือการประชาสัมพันธ์บริษัทเก่งๆจะถือเป็นตัวเร่งราคาได้และจะขายต่อเมื่อหุ้นตัวนั้นเริ่มเป็นที่นิยมหรือขึ้นมาแล้วหลายเท่า ซึ่งผลกระทำการลงทุนดังกล่าวทำให้ดัชนีในตลาดmaiเติบโตขึ้นมา4เท่าใน6 มีpeที่80เท่า ทำให้ตอนนี้แทบจะไม่มีcheap stockในตลาดหุ้น
กลยุทธที่สองเป็นกลยุทธที่อาจารย์ใช้ในปัจจุบันคือกลยุทธของwarren buffetที่เรียกว่าsuper stock investment อาจารย์อธิบายการลงทุนในแบบของอาจารย์ว่าเป็นเป็นการลงทุนหุ้นประมาณซัก20ตัวแต่มี5-6ตัวที่มีสัดส่วนประมาณร้อยละ70ของport ลงทุนเต็มportเกือบตลอดโดยถือเงินสดแค่เพียงหนึ่ง%แค่พอค่าใช้จ่ายประจำวัน รถใช้รถบริษัท บ้านอยู่บ้่านแม่ยาย ช่วงนี้เรียกเสียงฮือฮาได้พอสมควร ถือนานตราบที่บริษัทยังคงดีอยู่โดยเฉลี่ยเป็นเวลาหลายปี ขายเมื่อมีโอกาสการลงทุนที่ดีกว่าหรือบริษัทมีปัญหาพื้นฐานที่เปลี่ยนไป ผลตอบแทนการลงทุนหุ้นแต่ละตัวไม่ต่ำกว่า10เด้ง ช่วงนี้vi สิงค์โปร์อึ้งไปเล็กน้อยอาจารย์กล่าวปิดท้ายว่าถ้าไม่เห็นโอกาสหุ้นตัวไหนได้ 10เด้งจะไม่ลงทุน
ช่วงนี้อาจารย์ยกตัวอย่างราคาหุ้นที่ขึ้น10เด้งทั้งที่อาจารย์ถือและไม่ถือมาให้ดู มี mint centel scblifตัวนี้100เด้ง bigc cpall makro hmpro robins bgh jas cpn bh advanc
กลยุทธที่สามคือกลยุทธที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์เลือกมาให้โดยอาจารย์อ้างอิงการใช้สูตรที่ อ ไพบูลย์ทำงานวิจัยเรื้องนี้ไว้ โดยใช้กฎเลือกหุ้นpeต่ำกว่า10pbต่ำกว่า1และปันผลมากว่าร้อยละ3ซื้อต้นปีขายปลายปีจากการย้อนกลับไปทดสอบได้ผลว่าตั้งแต่ปี1996-2010อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี 36.69ดัชนีขึ้นแค่เพียง2.4ต่อปี เงินลงทุนจาก1ล้านเป็น108.7ล้านบาท อีกแบบนึงใช้fomularของ joel greenblattจากหนังสือlittle book that beat the marketเลือกหุ้นเรียงลำดับpe roeแล้วคัดตัวที่คะแนนเข้าเกณมา30ตัวลงทุนปรากฎว่าได้ผลตบแทนสูงมากร้อยละ 66.18เปอรเซนต่อปี ถ้าลงเงิน1บาทจะกลายเป็น2035บาทใน15ปี อาจารย์ใช้เล่าว่าอาจารย์ใช้สูตรนี้ลงในเวียดนามแต่ปัจจุบันยังขาดทุนอยู่
ช่วงที่สี่อาจารย์พูดถึงผลตอบแทนการลงทุน18ปีที่ผ่านมา มีผลตอบแทนติดลบอยู่2ปี แพ้ตลาด สามปี ผลตอบแทนเฉลี่ยการลงทุนต่อปี42.9 ทบต้น 36.1ชนะตลาดที่ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณร้อยละ10 โดยเปรียบเทียบว่าถ้าลงทุน1ล้าน18ปีจะเพิ่มขึ้น256เด้ง ทำเอาviสิงค์โปร์มีอึ้งครั้งที่สองปรบมือกันเกรียวกราว อาจารย์มีtipฝากถึงการลงทุนในช่วงนี้ว่า การอยู่ถูกที่ถูกเวลาเป็นเรืี่องสำคัญ vi ควรเข้าใจเรื่องพฤติกรรมสังคมแนวโน้มพฤติกรรมผู้บริโภค ลงทุนในบริษัทที่มีการเติบโตของกำไรเป็นสำคัญ ทุกคนควรจะลงทุนในหุ้นเพราะผลตอบแทนสูงเมืีอเทียบกับการฝากเงิน
ส่วนสุดท้ายอาจารย์พูดอนาคตต่อจากนี้ อาจารย์คิดว่าเป็นการจบยุคทองของการลงทุนแบบviที่ได้ผลตอบแทนสูงๆอย่างในอดีตเนืีองจากสาเหตุสามประการประการแรกอ้างอิงจาก arthur plewus turing point ที่ว่ายุคขงค่าแรงถูกหมดลงต่อไปการจริญเติบโตกำไรจะเริ่มช้าลง ประการที่สองอัตารดอกเบี้ยมาถึงจุดต่ำสุดและมีแต่แนวโน้มขึ้น ประการที่สามตลาดหุ้นไทยเทรดที่peสูงเกินไป อนาคตน่าจะลงมายู่ในระดับที่ต่ำกว่านี้
ประเทศไหนที่น่าลงทุนต่อจากนี้อาจารย์ยังคิดว่าน่าจะอยู่ในแถบaseanโดยน่าจะเป็นประเทศที่มีศักยภาพในอนาคตน่าเป็นประเทศที่มีระดับคนที่อยู่ในช่วงวัย0-14และวัยทำงานทึ่สูงเช่นฟิลิปินส์ อินโด มาเล โดยยกตัวอย่างไทยกับสิงค์โปร์มีน้อยไป และประเทศที่น่าสนใจในการลงทุนในสายตาอาจารย์มีเวียดนามกับจีนเนื่องจากpeตลาดรวมค่อนข้างต่ำด้วย
พอดีพึ่งเขียนสรุปเป็นครั้งแรกฝีมืออาจไม่เท่า i salamon ต้องขอโทษมาณ ที่นี้ด้วยหากมีข้อผิดพลาดจากการแปล
- crazyrisk
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 4549
- ผู้ติดตาม: 0
Re: A Golden Decade of Thai Value Investors
โพสต์ที่ 2
ขอบคุณมากครับ ขนาดสรุปครั้งแรกยังยอดเยี่ยมขนาดนี้ ถ้าสรุปความรู้ที่แอบงำประกายไว้ น่าจะเปิดสำนักสอนได้เลย
"Champions aren't made in gyms. Champions are made from something they have deep inside them: A desire, a dream, a vision.
- kongkiti
- Verified User
- โพสต์: 5830
- ผู้ติดตาม: 2
Re: A Golden Decade of Thai Value Investors
โพสต์ที่ 6
ขอบคุณครับ อาจารย์เยี่ยม คนสรุปก็ยอดไปเลย
“Its like a finger pointing away to the moon. Don't concentrate on the finger
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
-
- Verified User
- โพสต์: 41
- ผู้ติดตาม: 0
Re: A Golden Decade of Thai Value Investors
โพสต์ที่ 11
ในช่วง panel disscuss
เปิดโอกาส ให้ผู้เข้าฟัง ถาม แล้วให้ ผู้บรรยายตอบ
ตลอดเวลา 1 ชั่วโมงกว่า ทุกคน ตั้งคำถามกับ ดร.
โดย คำถามแรก คือ
1. ท่าน ดร. ทำอะไร ตอนเกิดวิกฤต และหากไม่มีเงินลงทุนเพิ่ม ทำอย่างไร
ท่าน ให้คำตอบว่า ก็ไม่ได้ขาย เพราะบ. ที่ลงทุนไว้ ก็ยังให้เงินปันผล
และไม่ทีเงินลงทุน ก็กู้ โกยมาร์จิ้น
และ ถ้าตอนนั้นไม่มีหุ้น ก็เปฌน โอกาสดี ในการซิ้อหุ้น แต่ถ้าหุ้นเต็มพอร์ต ก็เป็นอีกเรื่องนึง
คำถามต่อมา ถามเรื่อง
ทำไมไม่ไปลงทุน ในอินเดีย
ท่านตอบว่า ท่านเป็นคนที่เดินทาง และชอบดูเทรน ความเปลี่ยนแปลง ของที่ต่างๆ เดินทางไปมาแล้วรอบโลก แต่ไม่เคยๆปอินเดีย ไม่รู้ทำไม แล้วที่สำคัญ ก็รู้สึกไม่คุ้นเคยกับคนอินเดีย เลยไม่ลงทุนอินเดีย
คำถามต่อมา ถามเรื่องเกี่ยวกับเวียดนาม เพราะท่านบอกตอนนี้ท่านลงทุนเวียดนาม
ผู้ถาม ถามว่า ไม่มีความกังวล เรื่อง ค่าเงินเฟ้อ อัตราแลกเปลี่ยนetc.
(ตลอดเวลา ที่ตอบคำถามนี้ ท่านเรียกเสียงฮา ได้ตลอดเวลา
ขออภัย ที่ไม่สามารถ เอาลีลา สีหน้า ท่าทาง มาลงเป็นตัวอักษรได้ แต่ที่แน่ๆ มันใช่จริงๆ)
ท่านตอบว่า ท่านเข้าใจว่าความเป็นไปไดในทุกเรื่อง
แต่ถ้าสังเกตุ ทุกเรื่องมีความเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ค่าเงิน การเมือง สงคราม นโยบายประเทศ
แต่สิ่งนึง ที่ไม่เปลี่ยน คือ โครงสร้าง ประชากร และ ความเป็นธรรมชาติ ของมนุษย์
มนุษย์ก็เหมือนๆกัน ไม่ว่า ผิวสี ผิวขาว ทุกคนก็ชอบสบาย ชอบกินอาหารดีๆ ชอบเซ็กส์ เมื่อมีตังค์ มากขึ้น ก็ใช้เงินเพื่อตอบสนองสิ่งนี้ การมีตังค์ ก็เมื่อประชากรเข้าสู่การทำงาน
ท่านให้ดูโครงสร้าง คนทำงาน
เมื่อมีคนทำงานมากเศรษฐกิจ จะเติบโต
ท่านเปรียบเทียบ กับญี่ปุ่น
ท่านชี้ให้เห็นว่า...คนญี่ปุ่น อายุยืน ประเทศมีแต่คนแก่ คนหนุ่มสาวน้อย ไม่ค่อยมีเด็ก เศรษฐกิจไม่เติบโต
และพูดติดขำๆว่า ถ้าคนญี่ปุ่น ตายเร็วกว่านี้หน่อย เศรษฐกิจ น่าจะเติบโต
(อันนี้ ฮา ทั้งห้อง)
แถมท้าย ยังเชิญชวนให้ คนสิงคโปร์ผลิตลูกต่อ
อีกคำถามเป็นเรื่องเกี่ยวกับ หุ้น ที่ท่านมี
ท่านก็เล่า ว่า มีอะไรบ้าง และ ทำไม
และ คำถามสุดท้าย ถามเรื่อง ความผิดพลาดที่สุด ในการลงทุนของท่าน
เท่าเล่าว่า นั่นคือ หุ้นMINT
ท่านขายหุ้นนี้ ไปตอน mint กำลังจะเสียยี่ห้อPizza Hut
ท่านำไม่คิดว่า บ. จะมีความสามารถในการ ทำยอดขายและกำไร ได้อีก
แต่ ท่านคิดผิด
ท่านพบว่า ความสามารถในการเป็นเบอร์1 ไม่เกี่ยวกับแบรนด์(ยี่ห้อ)
แต่เกี่ยวกับ การเกิดกิจการมาเพื่อเป็นผู้นำ ในเทรนนั้น
(ซึ่งตรงนั้น มิได้ขยายความว่า ผู้ชนะ หรือผู้นำ มีคุณสมบัติเช่นไร)
ขอบคุณคุณนกที่ช่วยจดบันทึกมาให้ครับ
เปิดโอกาส ให้ผู้เข้าฟัง ถาม แล้วให้ ผู้บรรยายตอบ
ตลอดเวลา 1 ชั่วโมงกว่า ทุกคน ตั้งคำถามกับ ดร.
โดย คำถามแรก คือ
1. ท่าน ดร. ทำอะไร ตอนเกิดวิกฤต และหากไม่มีเงินลงทุนเพิ่ม ทำอย่างไร
ท่าน ให้คำตอบว่า ก็ไม่ได้ขาย เพราะบ. ที่ลงทุนไว้ ก็ยังให้เงินปันผล
และไม่ทีเงินลงทุน ก็กู้ โกยมาร์จิ้น
และ ถ้าตอนนั้นไม่มีหุ้น ก็เปฌน โอกาสดี ในการซิ้อหุ้น แต่ถ้าหุ้นเต็มพอร์ต ก็เป็นอีกเรื่องนึง
คำถามต่อมา ถามเรื่อง
ทำไมไม่ไปลงทุน ในอินเดีย
ท่านตอบว่า ท่านเป็นคนที่เดินทาง และชอบดูเทรน ความเปลี่ยนแปลง ของที่ต่างๆ เดินทางไปมาแล้วรอบโลก แต่ไม่เคยๆปอินเดีย ไม่รู้ทำไม แล้วที่สำคัญ ก็รู้สึกไม่คุ้นเคยกับคนอินเดีย เลยไม่ลงทุนอินเดีย
คำถามต่อมา ถามเรื่องเกี่ยวกับเวียดนาม เพราะท่านบอกตอนนี้ท่านลงทุนเวียดนาม
ผู้ถาม ถามว่า ไม่มีความกังวล เรื่อง ค่าเงินเฟ้อ อัตราแลกเปลี่ยนetc.
(ตลอดเวลา ที่ตอบคำถามนี้ ท่านเรียกเสียงฮา ได้ตลอดเวลา
ขออภัย ที่ไม่สามารถ เอาลีลา สีหน้า ท่าทาง มาลงเป็นตัวอักษรได้ แต่ที่แน่ๆ มันใช่จริงๆ)
ท่านตอบว่า ท่านเข้าใจว่าความเป็นไปไดในทุกเรื่อง
แต่ถ้าสังเกตุ ทุกเรื่องมีความเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ค่าเงิน การเมือง สงคราม นโยบายประเทศ
แต่สิ่งนึง ที่ไม่เปลี่ยน คือ โครงสร้าง ประชากร และ ความเป็นธรรมชาติ ของมนุษย์
มนุษย์ก็เหมือนๆกัน ไม่ว่า ผิวสี ผิวขาว ทุกคนก็ชอบสบาย ชอบกินอาหารดีๆ ชอบเซ็กส์ เมื่อมีตังค์ มากขึ้น ก็ใช้เงินเพื่อตอบสนองสิ่งนี้ การมีตังค์ ก็เมื่อประชากรเข้าสู่การทำงาน
ท่านให้ดูโครงสร้าง คนทำงาน
เมื่อมีคนทำงานมากเศรษฐกิจ จะเติบโต
ท่านเปรียบเทียบ กับญี่ปุ่น
ท่านชี้ให้เห็นว่า...คนญี่ปุ่น อายุยืน ประเทศมีแต่คนแก่ คนหนุ่มสาวน้อย ไม่ค่อยมีเด็ก เศรษฐกิจไม่เติบโต
และพูดติดขำๆว่า ถ้าคนญี่ปุ่น ตายเร็วกว่านี้หน่อย เศรษฐกิจ น่าจะเติบโต
(อันนี้ ฮา ทั้งห้อง)
แถมท้าย ยังเชิญชวนให้ คนสิงคโปร์ผลิตลูกต่อ
อีกคำถามเป็นเรื่องเกี่ยวกับ หุ้น ที่ท่านมี
ท่านก็เล่า ว่า มีอะไรบ้าง และ ทำไม
และ คำถามสุดท้าย ถามเรื่อง ความผิดพลาดที่สุด ในการลงทุนของท่าน
เท่าเล่าว่า นั่นคือ หุ้นMINT
ท่านขายหุ้นนี้ ไปตอน mint กำลังจะเสียยี่ห้อPizza Hut
ท่านำไม่คิดว่า บ. จะมีความสามารถในการ ทำยอดขายและกำไร ได้อีก
แต่ ท่านคิดผิด
ท่านพบว่า ความสามารถในการเป็นเบอร์1 ไม่เกี่ยวกับแบรนด์(ยี่ห้อ)
แต่เกี่ยวกับ การเกิดกิจการมาเพื่อเป็นผู้นำ ในเทรนนั้น
(ซึ่งตรงนั้น มิได้ขยายความว่า ผู้ชนะ หรือผู้นำ มีคุณสมบัติเช่นไร)
ขอบคุณคุณนกที่ช่วยจดบันทึกมาให้ครับ
- Pyrostrikes
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1000
- ผู้ติดตาม: 0
Re: A Golden Decade of Thai Value Investors
โพสต์ที่ 13
ผมว่า สรุปได้ดี มีสาระครบถ้วน ครับ
Nothing comes for free...
-
- Verified User
- โพสต์: 842
- ผู้ติดตาม: 0
Re: A Golden Decade of Thai Value Investors
โพสต์ที่ 14
ขอบคุณสำหรับเลคเช่อร์ครับ
แล้วทางสิงค์โปร์มีวีไอน่าสนใจที่มาขึ้นเวทีพูดมั่งมั้ยครับ ถ้าได้เนื้อหามาแชร์กันอีกก็แจ่มเลย
ถ้าไม่มี เราน่าจะถือโอกาสชวนเค้ามาจัดVI summitในบ้านเรานะฮะ
เห็นๆกันอยู่ว่าราคารวมตั๋วเครื่องบินกะที่พัก เรา"value"กว่าเค้าแน่นอน
ถ้าเค้าไม่มา สมาคมเราจัดเลยฮะ เริ่มแบบแทรกinternational sectionไว้ในประชุมประจำปีก่อนก็ได้
เชิญเค้าทั้งสิงค์โปร์ มาเลย์ มาพูดมั่ง ทั้งวีไอ ผจก.กองทุนสไตล์วีไอ มานั่งสัมมนาคุยกันให้คนฟังก่อนก็ได้
อาจารย์เรา(โดยเฉพาะอ.นิเวศน์,อ.ไพบูลย์,อ.gen-y เช่นอ.yoyo,อ.linzhi,ๆลๆ)พูดเก่งไม่แพ้เค้าแน่นอนฮะ
อีกหน่อย ไทยจะเป็นศูนย์กลางAEC VI...ไชโย..
แล้วทางสิงค์โปร์มีวีไอน่าสนใจที่มาขึ้นเวทีพูดมั่งมั้ยครับ ถ้าได้เนื้อหามาแชร์กันอีกก็แจ่มเลย
ถ้าไม่มี เราน่าจะถือโอกาสชวนเค้ามาจัดVI summitในบ้านเรานะฮะ
เห็นๆกันอยู่ว่าราคารวมตั๋วเครื่องบินกะที่พัก เรา"value"กว่าเค้าแน่นอน
ถ้าเค้าไม่มา สมาคมเราจัดเลยฮะ เริ่มแบบแทรกinternational sectionไว้ในประชุมประจำปีก่อนก็ได้
เชิญเค้าทั้งสิงค์โปร์ มาเลย์ มาพูดมั่ง ทั้งวีไอ ผจก.กองทุนสไตล์วีไอ มานั่งสัมมนาคุยกันให้คนฟังก่อนก็ได้
อาจารย์เรา(โดยเฉพาะอ.นิเวศน์,อ.ไพบูลย์,อ.gen-y เช่นอ.yoyo,อ.linzhi,ๆลๆ)พูดเก่งไม่แพ้เค้าแน่นอนฮะ
อีกหน่อย ไทยจะเป็นศูนย์กลางAEC VI...ไชโย..
samatah
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: A Golden Decade of Thai Value Investors
โพสต์ที่ 15
ที่อ.ไพบูลย์นำเสนอมีแนว PEG ด้วยeno_khem เขียน:ขอบคุณครับผมwispan เขียน:น่าจะสูตรในหนังสือ little book that beat the market มากกว่านะครับต้องลองถามอาจารย์ดู
[youtube]watch?v=eV-zfS_poxc[/youtube]
แต่ถ้าแนวหนังสือนั้น ลองไปดูที่นี่ครับ
http://www.bizresearchpapers.com/1.%20Paiboon.pdf
แต่ผมหาวิดิโอ money talk ประกอบไม่เจอ
หลังจาก research นี้ อ. ได้เอามาออก money talk ใหม่อีก และทดลองผสมผสานวิธีใหม่ๆ ประยุกต์เพิ่มเชิงคุณค่าไปมากกว่าต้นตำรับอีก
[youtube]emRaSvKB_YM[/youtube]
-
- Verified User
- โพสต์: 41
- ผู้ติดตาม: 0
Re: A Golden Decade of Thai Value Investors
โพสต์ที่ 17
น้องที่ไปด้วยอีกท่าน ฝากมรแร์เพิ่มครับ
"คุณค่า ที่สัมผัสได้ด้วยหัวใจ สื่อสารได้ทุกชาติทุกภาษา" by an investormom
......เมื่่อวานที่ผ่านมา ในสัมมนา VI Summit ที่สิงคโปร์ ท่ามกลางนักลงทุนสิงคโปร์ บรูไน ออสเตรเลีย และมาเลเซียกว่า 1,500 คน ข้าพเจ้าเป็นเพียงคนไทย 1 ใน 5 คน ที่อยู่ในงานนี้ Speaker รับเชิญ จากไทย คือRole Model ผู้เป็นตำนานของนักลงทุนไทย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร...............ผู้เข้าฟัง รอคอยการบรรยายของท่าน ในฐานะ Warren Buffet ประเทศไทย............................ท่านขึ้น บรรยายด้วยอาการ ตื่นเต้นเล็กน้อย โดยออกตัวว่าไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษบรรยายในที่สาธารณะ มากว่า 17ปี แล้ว แถมยังเป็นงานที่มีผู้ฟังมากขนาดเป็นพัน.........แถมหยอดท้ายมุกด้วยว่า ถ้าปล่อยโจ๊กออกไป น่าจะเป็นโจ๊กที่ผู้ฟังอาจจะไม่เก็ต แต่สิ่งนี้กลับเรียกเสียงฮาจากผู้ฟัง .................แค่ 1 นาทีแรก ของการแนะนำตัวแบบไทยๆ ของท่าน ได้เปิดใจผู้ฟังในห้อง ท่านได้ทลายกำแพงความไม่รู้จักกัน ด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน และจาก อวจนะภาษา ที่สื่อถึงความจริงใจ และเป็นคนธรรมดา หาใช่จาก Speker ที่ถือตนว่า อัจฉริยะ ร่ำรวย หรือประสบความสำเร็จกว่าคนอื่น.......................................ท่านเริ่มบรรยายจาก โครงสร้างทางเศรษฐกิจ ตามมาเรื่อง การเติบโตของประเทศ, กลยุทธ์การลงทุนที่ ประสบความสำเร็จ ของVI ในประเทศไทย, โครงสร้างประชากร แนวโน้ม Growth ในอนาคต......และปิดท้ายด้วย การมองลงไปในหุ้นที่ท่านเลือก และในวันที่ท่านเลือก เลือกเพราะอะไรและ ที่สุดผลลัพธ์ ตลอดระยะเวลาที่ถือครองจนปัจจุบัน คืออะไร ซึ่งเป็นเรื่องที่เราคนไทย สามารถ หาฟังได้ตาม Youtube.........................แต่ที่จะเล่า คือ บรรยากาศในวันนั้น.......................ระหว่างที่ท่าน เรารับรู้ได้ถึงความสนใจ ของผู้ฟังในห้อง บรรยายกาศในห้อง มีเสียง ฮือ อือ เฮฮา หัวเราะตอบรับไปกับ ข้อบรรยายตลอดเวลา คนที่ฟังจะสัมผัสได้ถึง ผู้พูดที่จริงใจ ให้ความรู้โดยไม่ปิดบัง และมีความปรารถนาดี เพื่อให้ผู้ฟัง เอาความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ถึงที่สุด...............หนึ่งในช่วงที่เรียกเสียงฮาได้มากที่สุด คือ ท่านบอกว่า ท่านเป็น Majority Share Holder ของ CPALL ซึ่งก็คือ 7-11 และถ้าคนฟังไปประเทศไทย ก็ไปอุดหนุนท่านหน่อย ที่7-11................................เมื่อจบการบรรยาย เสียงปรบมือ ดังกระหึ่ม ผู้ฟังรู้สึกเสียดายที่เวลา 45 นาทีมันน้อยไป....................ช่วงพักกินข้าว ผู้ฟัง VIP ประมาณ 200 คน จะมีโอกาสรับประทานอาหาร กับ Speaker และหากอยากคุยกับ Speker ก็เข้าไปคุย ในมื้อนั้น ข้าพเจ้าก็ได้เห็นสิงคโปร์มุง ผู้ฟังจำนวนมากแออัดยัดเยียด เข้าไปถามคำถามท่าน ...........ท่านตอบคำถามอย่างเป็นกันเอง เล่าประวัติชีวิตส่วนตัว อย่างไม่ปิดบัง เพื่อให้กำลังใจผู้ฟังหลายคน ซึ่งมาจากคนไม่มีฐานะ ท่านเล่าว่า ถึงทุกวันนี้ ท่านรวย (ใช้คำว่า Rich) ก็ยังใช้ชิวิตแบบคนชั้นกลางทั่วไป มีสิ่งเดียวที่เปลี่ยน คือ คนยอมฟังท่าน เพราะท่านรวย............คำนี้ Touch เข้าไปถึงเหล่าสิงคโปร์มุง........................................................
ช่วง ก่อนปิดสัมมนา จะเป็นช่วง Panel Discussion อย่างที่เล่าไปแล้ว...................ในห้องสัมมนา ไม่มีใครถามคำถาม Speker ท่านอื่น ทุกคนรุมถาม ดร.นิเวศน์ท่านเดียว ยังมีหลายคนยกมือ และไม่มีโอกาสได้ถาม เพราะเวลาหมดซะก่อน............ท่านตอบทุกคำถาม อย่างตั้งใจ แม้จะมีเรื่องภาษาเป็นอุปสรรคบ้าง แต่ผู้ฟังในห้อง ต่างจดจ่อกับคำตอบ หลายคำถูก Short Note เป็นเคล็ดลับเด็ด และที่ทุกคนฮือฮา คือสิ่งที่ผู้เข้าฟังส่วนใหญ่ ต่างเห็นพ้อง เรื่องที่ท่านว่าด้วย ไม่ว่าเรื่องใดๆ ก็เปลี่ยนได้ แต่เรื่องโครงสร้างประชากรในประเทศ และ พฤติกรรมธรรมชาติมนุษย์ เป็นเรื่องที่ไม่เปลี่ยน.............ตลอดเวลาตอบคำถาม ท่านสามารถ ยกตัวอย่างให้ผู้ฟังเห็นภาพ และเข้าใจ เรียกเสียงหัวเราะ ได้ตลอดวลา.............................หลังปิด Session เสียงปรบมือดังกระฮึ่มฮอล์ หลายคนยืนขึ้น ปรบมือให้ท่าน..............................ความสำเร็จในครั้งนี้ ไม่ใช่ความสำเร็จของท่านคนเดียว ในฐานะคนไทย ท่านได้สร้างคุณค่า อันยิ่งใหญ่ไว้เป็นสินทรัพย์แก่พวกเรา................เหล่าผู้ฟัง จะสัมผัสได้ถึงมิตรภาพ และความจริงใจ....แม้ผู้ฟังจะเป็นคนต่างชาติ ต่างภาษา แต่ท่านได้มอบความรู้ให้โดยไม่แบ่งแยกชนชาติศาสนา..............ท่านได้สร้างมิตรนักลงทุน ชาวต่างชาติ แก่ประเทศไทย อีกมากกว่า 1,500 คน....................อีกไม่นาน Value นี้ จะผลิดอกออกผล ให้คนไทยได้เก็บเกี่ยว เหมือนกับการลงทุนของท่าน..................คุณค่านี้ ข้าพเจ้า ขอแบ่งปันความทรงจำอันน่าประทับใจแก่ผู้อ่าน ............เป็นเมล็ดพันธ์น้อยๆ ที่เราจะช่วยขยาย การสร้างสังคมคุณค่าให้แก่กัน
"คุณค่า ที่สัมผัสได้ด้วยหัวใจ สื่อสารได้ทุกชาติทุกภาษา" by an investormom
......เมื่่อวานที่ผ่านมา ในสัมมนา VI Summit ที่สิงคโปร์ ท่ามกลางนักลงทุนสิงคโปร์ บรูไน ออสเตรเลีย และมาเลเซียกว่า 1,500 คน ข้าพเจ้าเป็นเพียงคนไทย 1 ใน 5 คน ที่อยู่ในงานนี้ Speaker รับเชิญ จากไทย คือRole Model ผู้เป็นตำนานของนักลงทุนไทย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร...............ผู้เข้าฟัง รอคอยการบรรยายของท่าน ในฐานะ Warren Buffet ประเทศไทย............................ท่านขึ้น บรรยายด้วยอาการ ตื่นเต้นเล็กน้อย โดยออกตัวว่าไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษบรรยายในที่สาธารณะ มากว่า 17ปี แล้ว แถมยังเป็นงานที่มีผู้ฟังมากขนาดเป็นพัน.........แถมหยอดท้ายมุกด้วยว่า ถ้าปล่อยโจ๊กออกไป น่าจะเป็นโจ๊กที่ผู้ฟังอาจจะไม่เก็ต แต่สิ่งนี้กลับเรียกเสียงฮาจากผู้ฟัง .................แค่ 1 นาทีแรก ของการแนะนำตัวแบบไทยๆ ของท่าน ได้เปิดใจผู้ฟังในห้อง ท่านได้ทลายกำแพงความไม่รู้จักกัน ด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน และจาก อวจนะภาษา ที่สื่อถึงความจริงใจ และเป็นคนธรรมดา หาใช่จาก Speker ที่ถือตนว่า อัจฉริยะ ร่ำรวย หรือประสบความสำเร็จกว่าคนอื่น.......................................ท่านเริ่มบรรยายจาก โครงสร้างทางเศรษฐกิจ ตามมาเรื่อง การเติบโตของประเทศ, กลยุทธ์การลงทุนที่ ประสบความสำเร็จ ของVI ในประเทศไทย, โครงสร้างประชากร แนวโน้ม Growth ในอนาคต......และปิดท้ายด้วย การมองลงไปในหุ้นที่ท่านเลือก และในวันที่ท่านเลือก เลือกเพราะอะไรและ ที่สุดผลลัพธ์ ตลอดระยะเวลาที่ถือครองจนปัจจุบัน คืออะไร ซึ่งเป็นเรื่องที่เราคนไทย สามารถ หาฟังได้ตาม Youtube.........................แต่ที่จะเล่า คือ บรรยากาศในวันนั้น.......................ระหว่างที่ท่าน เรารับรู้ได้ถึงความสนใจ ของผู้ฟังในห้อง บรรยายกาศในห้อง มีเสียง ฮือ อือ เฮฮา หัวเราะตอบรับไปกับ ข้อบรรยายตลอดเวลา คนที่ฟังจะสัมผัสได้ถึง ผู้พูดที่จริงใจ ให้ความรู้โดยไม่ปิดบัง และมีความปรารถนาดี เพื่อให้ผู้ฟัง เอาความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ถึงที่สุด...............หนึ่งในช่วงที่เรียกเสียงฮาได้มากที่สุด คือ ท่านบอกว่า ท่านเป็น Majority Share Holder ของ CPALL ซึ่งก็คือ 7-11 และถ้าคนฟังไปประเทศไทย ก็ไปอุดหนุนท่านหน่อย ที่7-11................................เมื่อจบการบรรยาย เสียงปรบมือ ดังกระหึ่ม ผู้ฟังรู้สึกเสียดายที่เวลา 45 นาทีมันน้อยไป....................ช่วงพักกินข้าว ผู้ฟัง VIP ประมาณ 200 คน จะมีโอกาสรับประทานอาหาร กับ Speaker และหากอยากคุยกับ Speker ก็เข้าไปคุย ในมื้อนั้น ข้าพเจ้าก็ได้เห็นสิงคโปร์มุง ผู้ฟังจำนวนมากแออัดยัดเยียด เข้าไปถามคำถามท่าน ...........ท่านตอบคำถามอย่างเป็นกันเอง เล่าประวัติชีวิตส่วนตัว อย่างไม่ปิดบัง เพื่อให้กำลังใจผู้ฟังหลายคน ซึ่งมาจากคนไม่มีฐานะ ท่านเล่าว่า ถึงทุกวันนี้ ท่านรวย (ใช้คำว่า Rich) ก็ยังใช้ชิวิตแบบคนชั้นกลางทั่วไป มีสิ่งเดียวที่เปลี่ยน คือ คนยอมฟังท่าน เพราะท่านรวย............คำนี้ Touch เข้าไปถึงเหล่าสิงคโปร์มุง........................................................
ช่วง ก่อนปิดสัมมนา จะเป็นช่วง Panel Discussion อย่างที่เล่าไปแล้ว...................ในห้องสัมมนา ไม่มีใครถามคำถาม Speker ท่านอื่น ทุกคนรุมถาม ดร.นิเวศน์ท่านเดียว ยังมีหลายคนยกมือ และไม่มีโอกาสได้ถาม เพราะเวลาหมดซะก่อน............ท่านตอบทุกคำถาม อย่างตั้งใจ แม้จะมีเรื่องภาษาเป็นอุปสรรคบ้าง แต่ผู้ฟังในห้อง ต่างจดจ่อกับคำตอบ หลายคำถูก Short Note เป็นเคล็ดลับเด็ด และที่ทุกคนฮือฮา คือสิ่งที่ผู้เข้าฟังส่วนใหญ่ ต่างเห็นพ้อง เรื่องที่ท่านว่าด้วย ไม่ว่าเรื่องใดๆ ก็เปลี่ยนได้ แต่เรื่องโครงสร้างประชากรในประเทศ และ พฤติกรรมธรรมชาติมนุษย์ เป็นเรื่องที่ไม่เปลี่ยน.............ตลอดเวลาตอบคำถาม ท่านสามารถ ยกตัวอย่างให้ผู้ฟังเห็นภาพ และเข้าใจ เรียกเสียงหัวเราะ ได้ตลอดวลา.............................หลังปิด Session เสียงปรบมือดังกระฮึ่มฮอล์ หลายคนยืนขึ้น ปรบมือให้ท่าน..............................ความสำเร็จในครั้งนี้ ไม่ใช่ความสำเร็จของท่านคนเดียว ในฐานะคนไทย ท่านได้สร้างคุณค่า อันยิ่งใหญ่ไว้เป็นสินทรัพย์แก่พวกเรา................เหล่าผู้ฟัง จะสัมผัสได้ถึงมิตรภาพ และความจริงใจ....แม้ผู้ฟังจะเป็นคนต่างชาติ ต่างภาษา แต่ท่านได้มอบความรู้ให้โดยไม่แบ่งแยกชนชาติศาสนา..............ท่านได้สร้างมิตรนักลงทุน ชาวต่างชาติ แก่ประเทศไทย อีกมากกว่า 1,500 คน....................อีกไม่นาน Value นี้ จะผลิดอกออกผล ให้คนไทยได้เก็บเกี่ยว เหมือนกับการลงทุนของท่าน..................คุณค่านี้ ข้าพเจ้า ขอแบ่งปันความทรงจำอันน่าประทับใจแก่ผู้อ่าน ............เป็นเมล็ดพันธ์น้อยๆ ที่เราจะช่วยขยาย การสร้างสังคมคุณค่าให้แก่กัน
- dome@perth
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4740
- ผู้ติดตาม: 0
Re: A Golden Decade of Thai Value Investors
โพสต์ที่ 18
ขอบพระคุณอย่างสูงครับ
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
-
- Verified User
- โพสต์: 343
- ผู้ติดตาม: 0
Re: A Golden Decade of Thai Value Investors
โพสต์ที่ 21
ผมกลับจากสิงคโปร์เมื่อวาน ไปอยู่ 3 วัน ตรงกับกับอาจารย์ไปพอดีเลย
เสียดายจัง ถ้าได้เฉียดๆจะได้ให้แกเซ็น หนังสือ one up ติดตัวไปอ่านพอดี
เจอแต่เจ้าหน้าหลักทรัพย์ไทยพานิชย์ร้านข้าวมันไก่ ถามไกด์ บอกว่ามาดูงานของตลาดหลักทรัพย์ไม่แน่ใจงานเดียวกันมั้ย
เสียดายจัง ถ้าได้เฉียดๆจะได้ให้แกเซ็น หนังสือ one up ติดตัวไปอ่านพอดี
เจอแต่เจ้าหน้าหลักทรัพย์ไทยพานิชย์ร้านข้าวมันไก่ ถามไกด์ บอกว่ามาดูงานของตลาดหลักทรัพย์ไม่แน่ใจงานเดียวกันมั้ย
-
- Verified User
- โพสต์: 50
- ผู้ติดตาม: 0
Re: A Golden Decade of Thai Value Investors
โพสต์ที่ 25
ขอบคุณมากๆเลยคะ
Invest in the good timeS!!!!....
- yoyo
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4833
- ผู้ติดตาม: 0
Re: A Golden Decade of Thai Value Investors
โพสต์ที่ 28
ผมเคยประชุมผู้ถือหุ้นบริษัทไทยแล้วเจอผู้จัดการกองทุนสิงคโปร์ที่ถือหุ้นตัวเดียวกันมาประชุม
เค้ายังชมว่าการประชุมของไทยนี่ดีจริงๆ นักลงทุนถามผู้บริหารตอบกันเป็นเรื่องเป็นราว (แม้ว่าเค้าจะฟังภาษาไทยไม่ออก แต่เค้าว่าสัมผัสได้ถึงความเข้มข้นของการถามตอบ) ที่สิงคโปร์แทบจะไม่มีอะไรแบบนี้ ประชุมเสร็จก็จบแยกย้ายกันกลับ
VI ไทยโชคดีที่มี ท่าน ดร. นิเวศน์เป็นเสาหลัก ผมมีชีวิตที่ดีมากๆทุกวันนี้ต้องขอขอบคุณดร. จริงๆครับ
เค้ายังชมว่าการประชุมของไทยนี่ดีจริงๆ นักลงทุนถามผู้บริหารตอบกันเป็นเรื่องเป็นราว (แม้ว่าเค้าจะฟังภาษาไทยไม่ออก แต่เค้าว่าสัมผัสได้ถึงความเข้มข้นของการถามตอบ) ที่สิงคโปร์แทบจะไม่มีอะไรแบบนี้ ประชุมเสร็จก็จบแยกย้ายกันกลับ
VI ไทยโชคดีที่มี ท่าน ดร. นิเวศน์เป็นเสาหลัก ผมมีชีวิตที่ดีมากๆทุกวันนี้ต้องขอขอบคุณดร. จริงๆครับ
การลงทุนที่มีค่าที่สุด คือการลงทุนในความรู้
http://www.yoyoway.com
http://www.yoyoway.com
-
- Verified User
- โพสต์: 297
- ผู้ติดตาม: 0
Re: A Golden Decade of Thai Value Investors
โพสต์ที่ 29
ขอบคุณมากๆ ครับ
- JobJakraphan
- Verified User
- โพสต์: 749
- ผู้ติดตาม: 0