เหตุที่ราคาน้ำมันลดลงเร็วและแรง

[CARPENTER]

ส่วนมากให้เหตุผลว่าเนื่องจากShale gas กับ Shale oil
ที่ผลิตโดยสหรัฐอเมริกา และซาอุไม่ลดการผลิตน้ำมัน
เพื่อให้ราคาน้ำมันต่ำกว่า 70us$ ซึ่งเป็นต้นทุนของ
Shale oil จะทำให้อุตสาหกรรม shale oil ไม่คุ้มที่จะทำต่อ
ฟังดูมีเหตุผล แต่อาจจะมีเหตุผลอื่นๆอยู่อีก
ตอนนี้ดูเหมือนว่าทั้งโลกทีมีทรัพยาพลังงานต่างเร่ง
ขุดเอาทรัพยากรเหล่านั้นมาใช้ให้เร็วและมากที่สุด
จนดูเหมือนกับว่าอนาคตของทรัพยากรพลังงานจะตกต่ำ
ลงอีกมาก ผมลองเดาเล่นๆ อะไรละที่น่าจะมีผลกระทบอย่าง
แรงต่ออุตสาหกรรมน้ำมัน คิดได้คือ รถยนต์ไฟฟ้า
ที่จะมาแน่ๆ และมาเร็วกว่าที่ทุกคนประเมินไว้ อีกอย่างคือ
LED ทั้งสองสิ่งนี้จะเปลี่ยนรูปแบบการใช้พลังงาน และลดการ
ใช้พลังงานลงอย่างมหาศาล

[sakkaphan]

รถยนต์ไฟฟ้า BMW i3 ออก commercial แล้ว เห็นด้วยว่าในอนาคตมาแน่ แต่ไม่รู้อีกนานเท่าไร ไม่ทราบว่ามียี่ห้ออื่นอีกมั้ยครับใครพอทราบบ้าง

[dr1]

เพิ่งเห็นผ่านๆในหนังสือรถฝรั่ง
รู้สึกจะมีเกาหลี(น่าจะเป็นฮุนได) ถูกกว่าบีเอ็มครึ่งนึง ไปได้ไกลกว่าด้วยครับ
ยุคของรถยนต์ไฟฟ้า น่าจะมาถึงแล้วมั้งครับ (ถ้าน้ำมันยังแพงอยู่อีก แต่ถ้าน้ำมันถูกยังงี้ คงลืมๆกันไปพักนึง)

[otakung]

โอเปคเพิ่มผลิตฉุดน้ำมันดิ่งหนัก
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... B8%81.html

ราคาน้ำมันดิบโลก ดิ่งลงอีกระลอก หลังโอเปค ผลิตน้ำมันเดือนธ.ค.สูงเกินเพดานกำหนด พร้อมหั่นความต้องการในปีนี้ลงมา

ราคาน้ำมันดิบเวสต์ เท็กซัส อินเตอร์มีเดียท ส่งมอบเดือนกุมภาพันธ์ ที่ตลาดไนเม็กซ์ ของสหรัฐ ร่วงลง 2.23 ดอลลาร์ หรือราว 4.6% มาอยู่ที่ 46.25 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ทะเลเหนือ ที่ตลาดลอนดอน อังกฤษ ส่งมอบเดือนเดียวกัน ปรับลดลง 1.02 ดอลลาร์ หรือ 2.1% ปิดซื้อขายที่ 47.67 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

เทรดเดอร์ ระบุว่า การประกาศของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน หรือโอเปค ที่สวนทางกับความหวังของนักลงทุนว่าจะมีการลดการผลิตลงมานั้น เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ราคาน้ำมันร่วงลงมา

โอเปคระบุในรายงานรายเดือนว่า ในเดือนที่แล้ว ทางกลุ่มมีการผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 30.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน สูงกว่าเพดานการผลิตที่กำหนดไว้ที่ 30 ล้านบาร์เรลต่อวัน

พร้อมกันนี้ ยังคาดการณ์ว่า ความต้องการน้ำมันโลกในปีนี้ จะร่วงลงมาอยู่ที่วันละ 28.8 ล้านบาร์เรล จากจำนวน 29.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน เมื่อปีที่แล้ว

[Vunny]

รถยนต์ไฟฟ้ามาแน่ครับ ลองเข้าไปดูที่ http://www.teslamotors.com จะเห็นรถไฟฟ้าสวยๆ เยอะเลยครับ อย่างไรก็ตามถ้าน้ำมันถูกนาน ผมว่ารถพวกนี้คงอีกมากกว่า 15 ถึงจะมีใช้กันทั่วไป เพราะว่าตัวรถยนต์มันแพง และแบตเตอรี่มันยังไม่พร้อมสำหรับการวิ่งไปชานเมือง และอีกอย่างที่สำคัญคือประเทศเราจะเอาไฟฟ้าจากไหนมาให้รถยนต์ใช้. นิวเคลีย? ถ่านหิน? ซื้อจากลาว?

แต่เป็นไปได้ยากที่น้ำมันจะลงนาน เพราะเวลาน้ำมันถูกลง supply ก็จะลดลง แถมด้วยคนใช้เยอะขึ้น และสุดท้าย demand ที่เพิ่มขึ้นตลอดเวลากับแรงผลักดันของตลาดการเงิน ก็จะทำให้ราคากลับมาสูงขึ้น

[yoko]

น้ำมันโลกลดลงจาก115$/bเหสือ50$/b เร็วจริง
ผมคิดว่าจะลงทุนกองทุนน้ำมัน

[otakung]

ชี้น้ำมันราคาถูก!ไม่เพียงพอดันเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว

http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... C3%87.html

[CARPENTER]

เมื่อ รถยนต์ไฟฟ้า แบบใช้แบบตเตอรี่ และแบบใช้ Fuel cell
มีการพัฒนาไปมาก เป็นไปได้สูงที่จะใช้ได้ในชีวิตจริง ในเร็วๆนี้
ธุรกิจน้ำมัน จึงต้องทำการชลอรถยนต์ไฟฟ้าทั้งสองประเภท คงทำมาหลายวิธีแล้ว
ประกอบกับความไม่พร้อมของอุตสาหกรรมรถยนต์ เพราะถ้าตลาดรถยนต์ไฟฟ้าโตขึ้นมาจริงๆ
อุตสหกรรมผลิตรถยนต์ก็จะเสียผลประโยชน์ไปมหาศาล
โรงงาน และ เทคโนโลยี่ต่างๆ ที่ใช้ในการ ผลิตเครื่องยนต์ ก็จะแทบไม่มีค่าอะไร
ดังนั้นผู้ผลิตรายเดิม เช่น toyota honda gm volk bm demler จึงมีแต่งานวิจัยสะสมความรู้
และพร้อมเสมอที่จะผลิตจริง เมื่อตลาดต้องการรถยนต์ไฟฟ้า
แต่ผู้เล่นรายใหม่ที่ไม่ได้อยู่ในอุตสาหกรรมรถยนต์มาก่อน กระตือรือร้นที่จะผลิตทำตลาดมากกว่า
เจ้าของบ่อน้ำมัน เมื่อวิเคราะห์แล้วเห็นว่า การขายน้ำมันตอนนี้ ดีกว่าเก็บไว้ขายในอนาคต
usa ก็เปลี่ยนความคิด ที่ซื้อน้ำมันคนอื่นเอามาใช้ มาใช้น้ำมันตัวเองดีกว่า เก็บไปก็ไม่มีประโยชน์
ผลพลอยได้ของราคาน้ำมันที่ลดลงมากๆ คือ การชลอุตลาดรถยนต์ไฟฟ้าลงไป
ความกระตือรือร้นในการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ของคนทั่วไป ก็จะลดลง
ถ้าราคาน้ำมันดิบ ยืนพื้น ที่ประมาณ 40us$ ก็น่าจะช่วยให้อุตสาหกรรมน้ำมันอยู่ได้อีกนาน
ถ้าราคาน้ำมันต่ำมากๆ รถยนต์ไฟฟ้า ก็เกิดยากเหมือนกัน
เพราะจุดอ่อนของรถยนต์ไฟฟ้า เรื่องความไม่สดวก และ ความไม่ปลอดภัย

[yoko]

ผมได้ยินนวคพูดในmoney channelว่า
ซาอุไม่ลดกำลังการผลิตและเขาทำกำไรชดเชยจากตลาดฟิวเจอร์
และผมคิดว่ารัสเซียก็น่าจะทำด้วย
ถ้าเป็นจริงผมคิดว่าราคาน้ำมันจะผันผวนมากในเร็ววัน

[nut776]

รถยนต์ ขับเคลื่อนมอเตอร์ ไฟฟ้า ตอนนี้ บลอคที่วางแบต สามรถ ใส่ hydrogen แทนได้คับ

[miracle]

U.S. Crude Oil Export Policy:
Background and Considerations

http://www.fas.org/sgp/crs/misc/R43442.pdf

[miracle]

Keystone XL Pipeline:
Overview and Recent Developments

http://www.fas.org/sgp/crs/misc/R43787.pdf

[CARPENTER]

แนวโน้มราคาน้ำมันปี 2558 | เดลินิวส์
ดังนั้นผมจึงใคร่สรุปว่าแนวโน้มราคาน้ำมันในปีหน้าน่าจะทรงตัวในระดับต่ำ (50-60 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อบาร์เรล)ในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้าและอาจปรับราคาสูงขึ้นได้ในช่วงครึ่งปีหลังสู่ระดับ 70-80 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อบาร์เรลถ้าโอเปกและกลุ่มนอกโอเปกสามารถทำความตกลงกันได้เกี่ยวกับตัวเลขการผลิตในระดับหนึ่งครับ
อ่านต่อที่ : http://www.dailynews.co.th/economic/289532
คาดการณ์นี้ออกเมื่อ 25/12/2557 โดย คุณมนูญ ศิริวรรณ
หรือว่า อนาคตน้ำมันดิบ จะอยู่ต่ำกว่า 50us$ ตลอดไป

[ดำ]

เพราะจุดอ่อนของรถยนต์ไฟฟ้า เรื่องความไม่สดวก และ ความไม่ปลอดภัย

ยังไงครับ?

[anubist]

ถ้าพูดถึงรถยนต์ไฟฟ้า จะไม่พูดถึงnissan leafไม่ได้
รถยนต์ไฟฟ้า100% ด้วยระยะทำการกว่า200km เป็นสิ่งที่น่าทึ่งมาก
http://longtailpipe.com/2015/06/30/niss ... -relavent/
http://www.electric-vehiclenews.com/201 ... ttery.html

แต่สุดท้าย ไฟฟ้าที่ใช้ขับเคลื่อนมาจากไหน ก๊าซ ถ่านหิน น้ำมัน renewable นิวเคลียร์
เรายังไม่มีทางเลือกพลังงานสะอาดมากพอกับความต้องการใช้ในปัจจุบัน

[KriangL]

แนวโน้มราคาน้ำมันปี 2558 | เดลินิวส์
ดังนั้นผมจึงใคร่สรุปว่าแนวโน้มราคาน้ำมันในปีหน้าน่าจะทรงตัวในระดับต่ำ (50-60 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อบาร์เรล)ในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้าและอาจปรับราคาสูงขึ้นได้ในช่วงครึ่งปีหลังสู่ระดับ 70-80 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อบาร์เรลถ้าโอเปกและกลุ่มนอกโอเปกสามารถทำความตกลงกันได้เกี่ยวกับตัวเลขการผลิตในระดับหนึ่งครับ
อ่านต่อที่ : http://www.dailynews.co.th/economic/289532
คาดการณ์นี้ออกเมื่อ 25/12/2557 โดย คุณมนูญ ศิริวรรณ
หรือว่า อนาคตน้ำมันดิบ จะอยู่ต่ำกว่า 50us$ ตลอดไป

ช้าเร็วเดี๋ยวมันก็ขึ้นครับ ตอนนี้ supply อเมริกาลดลงไปแล้วราว 5 แสนบาร์เรลต่อวัน มันอาจจะขึ้นตอน supply ลง 1 ล้านบาร์เรลหรือ 2 ล้านบาร์เรลก็ได้ แล้วแต่ตลาดมันจะตอบสนองเมื่อไหร่ ซึ่งก่อนหน้านี้ตัวเลข supply ลดทำให้ราคานัำมันดีดขึ้นไปหลายเหรียญมาหลายครั้งแล้วแต่สุดท้ายค่อยๆไหลลงมาทุกที

[ดำ]

ช้าเร็วเดี๋ยวมันก็ขึ้นครับ ตอนนี้ supply อเมริกาลดลงไปแล้วราว 5 แสนบาร์เรลต่อวัน มันอาจจะขึ้นตอน supply ลง 1 ล้านบาร์เรลหรือ 2 ล้านบาร์เรลก็ได้ แล้วแต่ตลาดมันจะตอบสนองเมื่อไหร่ ซึ่งก่อนหน้านี้ตัวเลข supply ลดทำให้ราคานัำมันดีดขึ้นไปหลายเหรียญมาหลายครั้งแล้วแต่สุดท้ายค่อยๆไหลลงมาทุกที

ขอเสริมประเด็นนี้ครับ โอกาสที่ราคาน้ำมันจะกลับขึ้นไปสูงๆ คงยากครับ เพราะที่ตอนนี้ supply อเมริกาลดลงเนื่องจากราคาตอนนี้ไม่คุ้ม แต่เมื่อไหร่ที่ราคาสูงขึ้นจนคุ้ม supply ที่ลดลงก็จะกลับมาใหม่อีกครับ ไม่ใช่หายไปแล้วไปลับ
เท่าที่เข้าใจ Shale มีต้นทุนคงที่ค่อนข้างต่ำเทียบกับต้นทุนผันแปรครับ

[KriangL]

ช้าเร็วเดี๋ยวมันก็ขึ้นครับ ตอนนี้ supply อเมริกาลดลงไปแล้วราว 5 แสนบาร์เรลต่อวัน มันอาจจะขึ้นตอน supply ลง 1 ล้านบาร์เรลหรือ 2 ล้านบาร์เรลก็ได้ แล้วแต่ตลาดมันจะตอบสนองเมื่อไหร่ ซึ่งก่อนหน้านี้ตัวเลข supply ลดทำให้ราคานัำมันดีดขึ้นไปหลายเหรียญมาหลายครั้งแล้วแต่สุดท้ายค่อยๆไหลลงมาทุกที

ขอเสริมประเด็นนี้ครับ โอกาสที่ราคาน้ำมันจะกลับขึ้นไปสูงๆ คงยากครับ เพราะที่ตอนนี้ supply อเมริกาลดลงเนื่องจากราคาตอนนี้ไม่คุ้ม แต่เมื่อไหร่ที่ราคาสูงขึ้นจนคุ้ม supply ที่ลดลงก็จะกลับมาใหม่อีกครับ ไม่ใช่หายไปแล้วไปลับ
เท่าที่เข้าใจ Shale มีต้นทุนคงที่ค่อนข้างต่ำเทียบกับต้นทุนผันแปรครับ

ถ้าน้ำมันอยู่แถว $50 supply จะลดลงเรื่อยๆครับ จึงสุดท้ายราคาต้องอยู่ที่จุดใหม่ซึ่ง demand กับ supply สัมพันธ์กันซึ่งจะอยู่แถว $70-$80 พอเจาะ shale oil แถวที่เป็น low cost หมด ราคาจะขยับขึ้นไปอีก

[ดำ]

ถ้าน้ำมันอยู่แถว $50 supply จะลดลงเรื่อยๆครับ จึงสุดท้ายราคาต้องอยู่ที่จุดใหม่ซึ่ง demand กับ supply สัมพันธ์กันซึ่งจะอยู่แถว $70-$80 พอเจาะ shale oil แถวที่เป็น low cost หมด ราคาจะขยับขึ้นไปอีก

ต้องไม่ลืมด้วยครับว่า ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ต้นทุน Shale ในอนาคตก็มีโิกาสที่จะลดลงเรื่อยๆ เช่นกันครับ

[หมูน้อย]

ความเห็นส่วนตัวนะครับ 1 ปีหลังจากที่เกิดวิกฤตที่อเมริกานนั้นน้ำมันก็ทรงตัวเฉลี่ยอยู่ที่ 100$+ ตลอด

ซึ่งจากนั้น shale gas ก็เริ่มเป็นที่รู้จักในหมู่นักลงทุน เพราะเจ้าตัวนี้เป็นต้นตอที่หลายๆคน คิดว่าทำให้

ราคาถ่านหิน มีราคาต่ำลง และตอนนี้เจ้าตัวนี้ก็ถูกมองว่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ราคาน้ำมันตกต่ำลงอีก

แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่งว่า.. ไม่ว่าคุณจะผลิต น้ำมัน หรือ shale gas คุณก็ขายได้ 100$+ แต่ต้นทุนของคุณนั้น

ไม่เท่ากัน กำไรที่คุณจะได้ก็ไม่เท่ากันไปด้วย ซึ่ง ณ จุดนี้ผมคิดว่าทุกคน win-win แต่มีอยู่มาวันหนึ่ง โอเปก ก็

หาเรื่องยอมลดกำไรตัวเอง เพื่อจะกำจัดคู่แข่งแต่ตัวเองลำบาก เพราะถึงอย่างไรซะ shale gas ก็คงไม่หาเรื่อง

ลดกำไรตัวเองลงแน่เพราะทุนสูง เพราะเมื่อไหร่ที่คู่แข่งพ่ายแพ้ไปด้วยเรื่องต้นทุน และเมืื่อราคากลับถึงจุดเดิม

คู่แข่งก็จะกลับมาอีก เป็นวัฎจักรเดิมแล้วจะทำไปเพื่อ?? เรื่องนี้ทำให้นึกถึงเรื่องราขาขายไข่ไก่ในบ้านเราเลยครับ

คล้ายๆ กัน และสุดท้ายทุกคนก็ win-win เหมือนเดิม... ถ้าผมเข้าใจผิด หรือ ไม่ถูกต้อง ต้องขออภัยด้วยครับ

[miracle]

สิ่งที่กดดันในระยะหลังนี้คือ
โตโยต้า แจกสิทธิบัตรรถพลังงานไฟฟ้า ให้ใครที่พัฒนาใช้งานได้ฟรี
เหมือนครั้งหนึ่งที่ บริษัทญี่ปุ่นก็เคยแจกสิทธิบัตรให้ใช้ฟรีแบบนี้ ทำให้สินค้านั้นขยายตัวในช่วงต่อมาได้อย่างรวดเร็ว

ต่อมาคือ ศก ที่ย่ำแย่ทำให้ปริมาณการใช้น้ำมันลดลง ประกอบกับการกำลังการผลิตใหม่เข้ามาด้วย
ดังนั้นจึงเกิดภาพแบบนี้

[anubist]

ความเห็นส่วนตัวนะครับ 1 ปีหลังจากที่เกิดวิกฤตที่อเมริกานนั้นน้ำมันก็ทรงตัวเฉลี่ยอยู่ที่ 100$+ ตลอด

ซึ่งจากนั้น shale gas ก็เริ่มเป็นที่รู้จักในหมู่นักลงทุน เพราะเจ้าตัวนี้เป็นต้นตอที่หลายๆคน คิดว่าทำให้

ราคาถ่านหิน มีราคาต่ำลง และตอนนี้เจ้าตัวนี้ก็ถูกมองว่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ราคาน้ำมันตกต่ำลงอีก

แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่งว่า.. ไม่ว่าคุณจะผลิต น้ำมัน หรือ shale gas คุณก็ขายได้ 100$+ แต่ต้นทุนของคุณนั้น

ไม่เท่ากัน กำไรที่คุณจะได้ก็ไม่เท่ากันไปด้วย ซึ่ง ณ จุดนี้ผมคิดว่าทุกคน win-win แต่มีอยู่มาวันหนึ่ง โอเปก ก็

หาเรื่องยอมลดกำไรตัวเอง เพื่อจะกำจัดคู่แข่งแต่ตัวเองลำบาก เพราะถึงอย่างไรซะ shale gas ก็คงไม่หาเรื่อง

ลดกำไรตัวเองลงแน่เพราะทุนสูง เพราะเมื่อไหร่ที่คู่แข่งพ่ายแพ้ไปด้วยเรื่องต้นทุน และเมืื่อราคากลับถึงจุดเดิม

คู่แข่งก็จะกลับมาอีก เป็นวัฎจักรเดิมแล้วจะทำไปเพื่อ?? เรื่องนี้ทำให้นึกถึงเรื่องราขาขายไข่ไก่ในบ้านเราเลยครับ

คล้ายๆ กัน และสุดท้ายทุกคนก็ win-win เหมือนเดิม... ถ้าผมเข้าใจผิด หรือ ไม่ถูกต้อง ต้องขออภัยด้วยครับ

สถานะการณ์นี้จะเกิดเมื่อผลิตน้ำมันเท่าไหร่ก็ขายหมด
แต่ความเป็นจริงกลับไม่ใช่ เพราะความต้องการน้ำมันนั้นยืดหยุนน้อย
ราคาน้ำมันที่ลดลง ไม่ได้กระตุ้นให้เกิดการใช้อย่างมหาศาลจนสามารถดูดซับsupplyได้หมด

[นายมานะ]

ส่วนตัว ผมมองว่าถ้าพูดถึงรถยนต์ไฟฟ้าต้อง Tesla ครับ โดยรุ่นที่ launch เมื่อปี 2013 คือ Model S มี Spec ประมาณนี้ครับ

- ทำความเร็วได้สูงสุด 220 km./h.
- รุ่นท็อปทำความเร็ว 0-95 km./h. ภายใน 3.2 วินาที >>> ทำให้เป็นรถ Sedan ที่ความเร่งดีที่สุดในโลกในปัจจุบัน
- ชาร์ตแบต 1 ครั้งวิ่งได้ไกลกว่า 420 km./h.
- สามารถเติมไฟได้ที่สถานี Tesla Supercharger ฟรี โดยเติมไฟครั้งละ 30 นาทีวิ่งได้ ราว 250 km./h.
- ถ้ารีบกว่านั้นสามารถเปลี่ยนแบตเตอร์ที่ Supercharger โดยใช้เวลาเปลี่ยนแค่ 90 วินาที
- มีสถานี Supercharger แล้ว 534 แห่งทั่วโลก โดยส่วนใหญ่อยู่ใน USA
- มี Firmware เหมือน smart phone ล่าสุดเมื่อเดือนที่แล้วเพิ่งอัพ Autopilot ไป
- เป็นรถที่ได้รับการโหวตจาก Consumer report 103 คะแนน ซึ่งสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ (เดิมมันเต็ม 100 คะแนน)
- เป็นรถที่ได้คะแนนด้าน Safety สูงสุดในประวัติศาสตร์ (เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีไฟฟ้านั่นเอง)
- ได้คะแนนด้านสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์พลังงานดีที่สุดเช่นกัน
- มีข้อเสียอยู่บ้างเนื่องจากเป็นรถโมเดลใหม่จึงยังมีปัญหาเรื่อง Reliable อยู่บ้าง แต่ Tesla ก็แก้ปัญหานี้ด้วยการไม่ขายผ่าน Dealer และมีประกันอายุการใช้งาน 8 ปี ไม่จำกัดจำนวนระยะทาง

ปีที่แล้ว Tesla model S ขายไป 57,000 คันทั่วโลก ถ้านับเฉพาะใน USA ในกลุ่มรถ Luxury มียอดขายเป็นรองแค่ Benz S class (ราคา 70,000-120,000$ พอๆ กันกับ Benz แต่ประหยัดค่าน้ำมันไปแทน)

รุ่นต่อไปที่กำลังจะออกคือ Tesla model X ซึ่งเป็น SUV มีจุดขายเก๋ๆ คือเปิดประตูหลังขึ้นไปบนหลังคา เรียกว่า Falcon wings

ภายในอีก 3 ปี Tesla ตั้งเป้าจะผลิตรถใช้ไฟฟ้าราคาถูก (ประมาณ $35,000) ชื่อว่ารุ่น Model 3 ให้ได้จำนวน 500,000 คันต่อปี ในขณะที่เป้าของค่ายอื่นๆ ไม่เกิน 50,000 คัน

[นายมานะ]

แก้ไขนิดนึงครับ spec ดังกล่าวเป็นของรุ่นในปี 2015 นะครับ แต่ model S launch รุ่นแรกในปี 2013 ครับ

[นายมานะ]

Tesla ถูกก่อตั้งโดย Elon Musk ซึ่งเป็นต้นแบบของ Tony Starks ใน Iron Man โดย Musk เคยให้สัมภาษณ์ว่า Tesla มีอัตราการจ้างอดีตพนักงานของ Apple สูงกว่าที่ Apple ดึงตัวพนักงานของ Tesla กลับไปสูงถึง 5 เท่า

Tesla มีอะไรดีที่ทำให้คนหันมาร่วมงานกับบริษัทรถเกิดใหม่แทนที่จะเป็นเป็นบริษัตนวตกรรมที่มี Mkt. cap. ใหญ่ที่สุดในโลก?

[นายมานะ]

- ชาร์ตแบต 1 ครั้งวิ่งได้ไกลกว่า 420 km./h.
- สามารถเติมไฟได้ที่สถานี Tesla Supercharger ฟรี โดยเติมไฟครั้งละ 30 นาทีวิ่งได้ ราว 250 km./h.
- ถ้ารีบกว่านั้นสามารถเปลี่ยนแบตเตอร์ที่ Supercharger โดยใช้เวลาเปลี่ยนแค่ 90 วินาที

แก้คำผิด และเพิ่มเติมรายละเอียดนะครับ
- ชาร์ตแบต 1 ครั้งวิ่งได้ไกลกว่า 420 km.
- สามารถเติมไฟได้ที่สถานี Tesla Supercharger ฟรี โดยเติมไฟครั้งละ 30 นาทีวิ่งได้ ราว 250 km.
- ถ้ารีบกว่านั้นสามารถเปลี่ยนแบตเตอร์ที่ Supercharger โดยใช้เวลาเปลี่ยนแค่ 90 วินาที โดยมีค่าใช้จ่ายที่ราว $60-80 <<< เข้าใจว่า program นี้ไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าไหร่ เพราะแค่การชาร์ตปกติของ Supercharger ก็รวดเร็วพออยู่แล้ว

[หมูน้อย]

ขอออกตัวก่อนนะครับว่าก่อนหน้านี้ไม่รู้จัก tesla เลย เห็นแบบผ่านๆ ตาใน thaivi แต่ไม่รู้มันคืออะไร พอมา

เห็นโพสต์ของคุณ นายมานะ ก็เลยนึกสนใจ อยากรู้ว่ามันคืออะไร ก็เลยไปหาข้อมูลทั้งไทย และ อังกฤษ ซึ่งใน

เบื้องต้นนั้นก็เหมือนกับที่คุณนายมานะ ว่าไว้เลยครับ แต่ในประเทศไทย ก็ยังไม่มีการ review เจ้ารถรุ่นนี้เลย

ทำไมไม่มีรายการทีวี หรือ คอลัมน์นิสต์ สนใจมันเลย น่าแปลกจัง มีอยู่หนึ่งกระทู้ในพันทิพย์ ที่เหมือนว่าจะรีวิว

แต่ จขกท. ก็เงียบไป (http://m.pantip.com/topic/33445323) สรุปก็คือยังไม่มีการรีวิวจากคนไทย

ประสิทธิภาพ สมรรถนะ ก็ยังไม่ชัดเจน ต้องรอการพิสูจน์ อีกสักพักใหญ่ๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมนึกถึง รถใช้น้ำแทน

น้ำมัน หรือ เครื่องยนต์ที่ใช้ไฮโดรเจน รวมถึง ร้านขายของเกี่ยวกับรถยนต์ (ตามห้างโมเดริน์เทรด) ที่มีสินค้า

ประสิทธิภาพขั้นเทพขายในราคาไม่แพง ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนั้นก็ยังไม่เป็นที่แพร่หลาย เพราะอะไร? หรือยังมี

ข้อด้อยอะไรบางอย่างที่คนขาย ยังไม่ได้บอกหรือเปล่า ? โดยส่วนตัวแล้วเชื่อครึ่ง ไม่เชื่อครึ่งครับ จนกว่าจะ

ได้เห็นได้สัมผัส แต่ตอนนี้ผมว่า รถยนต์จากพลังงานฟอสซิล ก็ยังใช้ได้อีกสักพักใหญ่ๆ แหละครับ

[นายมานะ]

ขอออกตัวก่อนนะครับว่าก่อนหน้านี้ไม่รู้จัก tesla เลย เห็นแบบผ่านๆ ตาใน thaivi แต่ไม่รู้มันคืออะไร พอมา

เห็นโพสต์ของคุณ นายมานะ ก็เลยนึกสนใจ อยากรู้ว่ามันคืออะไร ก็เลยไปหาข้อมูลทั้งไทย และ อังกฤษ ซึ่งใน

เบื้องต้นนั้นก็เหมือนกับที่คุณนายมานะ ว่าไว้เลยครับ แต่ในประเทศไทย ก็ยังไม่มีการ review เจ้ารถรุ่นนี้เลย

ทำไมไม่มีรายการทีวี หรือ คอลัมน์นิสต์ สนใจมันเลย น่าแปลกจัง มีอยู่หนึ่งกระทู้ในพันทิพย์ ที่เหมือนว่าจะรีวิว

แต่ จขกท. ก็เงียบไป (http://m.pantip.com/topic/33445323) สรุปก็คือยังไม่มีการรีวิวจากคนไทย

ประสิทธิภาพ สมรรถนะ ก็ยังไม่ชัดเจน ต้องรอการพิสูจน์ อีกสักพักใหญ่ๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมนึกถึง รถใช้น้ำแทน

น้ำมัน หรือ เครื่องยนต์ที่ใช้ไฮโดรเจน รวมถึง ร้านขายของเกี่ยวกับรถยนต์ (ตามห้างโมเดริน์เทรด) ที่มีสินค้า

ประสิทธิภาพขั้นเทพขายในราคาไม่แพง ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนั้นก็ยังไม่เป็นที่แพร่หลาย เพราะอะไร? หรือยังมี

ข้อด้อยอะไรบางอย่างที่คนขาย ยังไม่ได้บอกหรือเปล่า ? โดยส่วนตัวแล้วเชื่อครึ่ง ไม่เชื่อครึ่งครับ จนกว่าจะ

ได้เห็นได้สัมผัส แต่ตอนนี้ผมว่า รถยนต์จากพลังงานฟอสซิล ก็ยังใช้ได้อีกสักพักใหญ่ๆ แหละครับ

ถ้าอยากลองหา review รถลองดูได้จากลิงค์เหล่านี้ครับ
https://www.youtube.com/watch?v=SEKEE4fNMM4
https://www.youtube.com/watch?v=0Kweacmo0fE
https://www.youtube.com/watch?v=s5hkgV6fuNE

แต่ถ้าสนใจประเด็นที่ว่าทำไม gas car จึงไม่อยากให้ รถไฟ้ฟ้า (EV) เกิด และระหว่าง EV กับ hydrogen car อันไหนดีกว่าลองดูในลิงค์นี้ครับ http://waitbutwhy.com/2015/05/elon-musk ... t-man.html

จริงๆ สาเหตุที่ gas car ไม่อยากให้ EV เกิดคร่าวๆ ก็คือมันจะ cannibalize ธุรกิจของตัวเอง เหมือนกับกรณีที่ Kodak ไม่ยอมปล่อยให้ digital camera เกิดขึ้น ทั้งที่เป็นผู้ที่พัฒนามันได้คนแรกครับ ลองนึกภาพว่าถ้า EV เกิด บริษัทรถยนต์จะต้องปรับระบบ supply chain ใหม่ทั้งหมด ไหนจะเรื่องของ station ที่ไม่มีใครคิดจะลงทุน (ก็ในเมื่อมีบริษัท gas ทั้งหลายรถทุนอยู่แล้ว ทำไมบริษัทรถจะต้องไปลงทุนเองด้วย?) กลุ่ม gas car ที่สนใจกำไรในระยะสั้นมากกว่า ประโยชน์ของผู้บริโภคในระยะยาว จึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีแบตเตอร์รี่ ซึ่งเป็นหัวใจของ EV ครับ

ส่วนเทียบระหว่าง hydrogen car กับ EV แล้ว EV ปลอดภัยกว่า สะดวกกว่า และมีประสิทธิภาพการเผาผลาญพลังงานที่ดีกว่า hydrogen car ครับ

[นายมานะ]

ผมแปลบทความเกี่ยวกับ Elon Musk ลงในเพจการลงทุนส่วนตัว หากใครสนใจลองแวะเข้าไปดูนะครับ

https://www.facebook.com/snowball.inves ... tif_t=like

ปล. ผมไม่ได้ทำในเชิงพาณิชย์หรือหารายได้ก็จริง แต่หากมองว่าเป็นการโฆษณาสามารถกดลบหรือลบคอมเม้นได้นะครับ

[miracle]

On October 9, the House of Representatives passed H.R. 702, a bill that would repeal longstanding tight restrictions on exports of domestically produced crude oil, by a vote of 261-159. The bill would repeal Section 103 of the Energy Policy and Conservation Act of 1975 (EPCA), which directed the President to promulgate a rule prohibiting export of crude oil from the United States (with certain exemptions). The bill would also bar federal officials from imposing or enforcing any restriction on crude oil exports. The bill includes a savings clause intended to protect the President’s authority to limit crude oil exports during emergencies or in the context of trade sanctions.