ผมจะแบ่งกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ ที่อยู่ธุรกิจนี้ออกเป็น 3 กลุ่มคือ ต้นน้ำ กลางน้ำ และ ปลายน้ำ
1.กลุ่มต้นน้ำ มี ตลาดหลักทรัพย์เป็นแกนนำ ที่จะหาสินค้ามาขาย นี่แหละมีแต่ได้และได้ เมื่อได้สินค้ามาแล้ว คนที่อยู่ในกลุ่มนี้ก็คือเจ้าของสินค้า หมายถึงเจ้าของบริษัทฯดั้งเดิมที่เขาก่อตั้งขึ้นมา ก็มีแต่ได้และได้เหมือนกัน...(การลงทุนในหุ้นคนที่เราไม่มีทางชนะเลยคือเจ้าของกิจการ).....กลุ่มต้นน้ำต่อไปคือกลุ่มที่นำเข้าตลาด พวกนี้จะเป็นพวกแต่งตัวให้กับเจ้าของกิจการ มีการคำนวณและคาดการณ์ต่าง ๆ เพื่อให้เจ้าของกิจการได้เงินมากที่สุดและค้ำประกันว่าจะขายหุ้นได้ พวกนี้ก็มีแต่ได้และได้
2.กลุ่มกลางน้ำ ตลาดเงินเป็น money game เกมการเงิน หลักที่สำคัญคือ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก หมายถึง ผู้มีเงินมากกว่าย่อมชนะผู้มีเงินน้อยกว่า ในตลาดนี้มีรายใหญ่อยู่มากทีเดียว ทุกรายก็หวังจะเอากำไรทั้งนั้น ไม่มีใครมาลงทุนเพื่อขาดทุนเป็นแน่....พวกนี้ส่วนใหญ่จะได้กำไร อัตราส่วนการขาดทุนน้อยมาก.
2.1 รายใหญ่ที่เรารู้จักกันส่วนใหญ่ ที่โตจากตลาดทุน เพราะมีความสัมพันธ์กับโบรคเกอร์เป็นพิเศษ มีการจัดห้อง VIP ให้ มีการให้ข้อมูลก่อนพวกเรา เปิดโอกาสให้รายใหญ่ได้ไปสัมผัสกับบริษัทฯต่าง ๆ ได้ไปรู้จักกับเจ้าของ ได้เข้าใจในกิจการเป็นพิเศษ มีการแจก ipo ให้จำนวนมาก ๆ เพราะ ซื้อขายวันละมาก ๆ (แถมจ่ายค่า com ได้ถูกกว่าพวกเราอีก ตลาดต้องการกำหนดค่า com ให้เท่าเทียมกัน แต่คิดว่าเขาคงมีวิธีการลดให้ สมัยก่อนแจกเป็นทองให้แก่รายใหญ่ สมัยนี้ทำอย่างไรมิทราบได้)......ปีนี้ 2557 มีการกระชากหุ้น ipo ให้สูงต่อไปอีก ไม่ใช่เฉพาะสูงเพียงระยะไม่กี่วันแรก เรารู้อยู่แล้วว่าราคา ipo นี่เป็นราคาที่เจ้าของพอใจแล้ว การแจกหุ้นรายใหญ่เป็นพิเศษ ก็ เหมือนกับว่า มาช่วยดูแลหุ้นให้ด้วย ซึ่งหุ้น ipo เหล่านี้มักเป็นหุ้นระดับกลางและเล็ก เขาสามารถคำนวณว่า หุ้นกระจายไปเท่าไหร่อยู่ในตลาดเท่าไหร่....ซื้อเพิ่มอีกเท่าไหร่จะทำให้ราคาขยับขึ้นได้ จะเห็นได้ว่า มีหลายตัวทีเดียว ที่ขยับสูงขึ้น 2-3 เท่า จาก ipo สังเกตุจาก ค่า P/E ที่วิ่งเป็นร้อยเท่า หมายถึง 100 ปีเลยนะที่จะได้ทุนคืน ชีวิตนี้ ไม่ได้คืนแน่.....มันไม่มีเหตุผลเลยครับ ที่จะทำอย่างนั้น แต่ก็ได้เกิดไปแล้ว.........นอกจากเรื่องดันราคาหุ้น ipo แล้ว สังเกตุเห็นหุ้นที่กิจการเล็ก ๆ หลายตัว ธุรกิจเดิมขาดทุน ราคาบุคเหลือไม่เกิน 1 บาท ใกล้จะล้มละลายอยู่แล้ว ถ้าดำเนินงานต่อไป ก็ ต้องเข้าข่ายอยู่ในพวกที่ต้องฟื้นฟูเป็นแน่ เขาก็เอาพวกนี้มาเปลี่ยนธุรกิจ เป้าหมายส่วนใหญ่ก็ไปที่ พลังงานทดแทน ที่รัฐบาลเปิดโอกาสให้ทำและการไฟฟ้าส่งเสริมมีเงินส่วนเพิ่มจากลงทุนให้ ....พวกรายใหญ่และเจ้าของก็คงร่วมมือกัน ประกอบกับนักวิเคราะห์เข้ามาร่วมด้วย วางแผนอนาคตล่วงหน้า 2-3 ปี จะเป็นอย่างไร ฝันหวานกันใหญ่เลย....การลงทุนพวกนี้ก็ต้องใช้เงิน ก็ ไม่พ้นต้องมีการเพิ่มทุน มีการดันราคาหุ้นให้เพิ่มขึ้น บางตัวเพิ่ม 2-3 เท่า เคยซื้อขายกันแค่ระดับ ไม่เต็มบาท...มาซื้อขายกันหลาย ๆ บาท.....ตลาดมีการเตือนแล้วเตือนอีกก็ไม่สนใจ จะเห็นได้ว่า หุ้นที่โดน CASH BALANCE มีจำนวนมากที่สุดในระยะนี้ นั่นหมายถึง มีการเล่นหุ้นปั่นกันมากทีเดียว....ส่วนหุ้น ipo ที่ไม่ได้แจกให้รายใหญ่ พวกเราซื้อกันได้ที่ธนาคาร กระจายการถือหุ้นแก่รายย่อยมาก ๆ มักไม่มีคนมาดูแล ราคาไม่หวือหวาแน่นอน แถมหลัง ๆ นี้ หุ้นสายการบิน ทุกคนที่ซื้อราคา ipo ขาดทุนกันหมด วันแรกก็ซื้อขายกันต่ำกว่าราคา ipo แล้ว (สัจจธรรม สิ่งที่ได้มาง่าย ๆ มักไม่มีกำไร).....มีรายใหญ่อีกพวกหนึ่งที่ได้ซื้อหุ้นถูกกว่า ipo อีก คือพวกที่ลงทุนกับเขาตอนก่อนส่งเรื่องให้ตลาดพิจารณา(บางบริษัทเท่านั้นที่จะจัดสรรให้).
2.2 รายใหญ่บวกเจ้าของ กลุ่มระดับกลางน้ำที่มีกำไรแน่นอน บอกแล้วว่า คนที่เราไม่สามารถจะชนะได้คือ เจ้าของกิจการ....และรองลงมาก็คือรายใหญ่ที่รู้จักกับเจ้าของเป็นอย่างดี อาจจะเป็นญาติสนิท หรือไม่ก็มีการตกลงกับเจ้าของ โดยการขอเข้ามาเป็นหุ้นส่วนด้วย มีนักลงทุนเก่งคนหนึ่ง ที่ออกรายการทีวีและงานการลงทุนต่าง ๆ เขาบอกว่า เขาสนใจกิจการของบริษัทหนึ่ง ก็ เข้าไปคุยกับเจ้าของกิจการนี้ ถามทุกอย่างที่เขาต้องการรู้ และบอกว่า เขาต้องการซื้อหุ้นของเขา โดยค่อย ๆ สะสมหุ้นไปเรื่อย ๆ ในขณะเดียวกันก็ตามความก้าวหน้าของบริษัทฯ นี้ โดยขอร่วมประชุมกับบริษัทฯ นี้ทุกเดือน โดยบริษัทฯ นี้มีการสรุปผลงานทุกเดือน การได้มีโอกาสไปร่วมประชุมกับเขา ก็สร้างความมั่นใจในการถือหุ้นและอนาคตของบริษัท รายใหญ่ที่มีชื่อติดผู้ถือหุ้นใหญ่ ถ้าถือหุ้นแค่ 0.5%ของ หุ้นจดทะเบียนก็มีชื่อแล้ว นี่เขาค่อย ๆ สะสมหุ้นไปเรื่อย ๆ จนหุ้นถึงระดับ 5% ก็ต้องรายงานกับตลาดถึงวัตถุประสงค์ในการถือหุ้น และได้ซื้อต่อไปเรื่อย ๆ ทุก ๆ 5% ก็ต้องรายงาน ที่สุดเขาถือเป็นอันดับที่ 2 ของหุ้นตัวนี้ ตอนนี้เขาถือ 17% เลย...นี่คือความสำเร็จของรายใหญ่รายหนึ่ง.
2.3 รายใหญ่ที่เข้าใจกิจการดี....กลุ่มนี้จะมีความรู้ในกิจการของบริษัทฯ ความรู้ที่ได้มาเกิดจากเขาอยู่ในวงการนี้ หรือ มีโอกาสสัมผัสกับกิจการอย่างใกล้ชิด...กลุ่มที่ทำงานเกี่ยวกับการลงทุน เชิญผู้บริหารต่าง ๆ มาพูดคุยกัน แน่ละก่อนออกรายการก็ต้องมีการคุยเป็นการส่วนตัวถึงเรื่องที่ควรจะพูดกันในรายการ และสามารถเจาะเข้าไปถึงรายละเอียดได้ นับว่าเป็นกลุ่มรายใหญ่ที่มีความสามารถในด้านนี้โดยเฉพาะ ก็ มักประสบแต่ความสำเร็จ การอยู่ในวงสาธารณชนก็สามารถที่จะโน้มน้าวให้ผู้ฟังติดตามได้ เป็นสิ่งดีที่กลุ่มนี้เลือกหุ้นที่มีพื้นฐานดี มีความก้าวหน้า พูดกันอยู่เป็นประจำ ก็ทำให้รายย่อยติดตามกัน โดยไม่พิจารณาถึงระดับ P/E หรือ P/bv ซึ่งเมื่อราคาขึ้นไปสูง ๆ แล้ว ผมก็คิดว่า เขาคงทำกำไรอย่างแน่นอน แต่ก็ยังถืออยู่เพราะต้นทุนเขาต่ำมาก ไม่มีการขายออกทั้งหมด คงขายเอาทุนคืน ส่วนที่เหลือของหุ้นคือกำไรทั้งนั้น สุดยอดของการลงทุนและผมก็นับถือกลุ่มนี้เพราะชี้แนะแต่สิ่งดี ดี ให้พวกนักลงทุนได้ทราบกัน.
2.4 รายใหญ่ตลอดชีพ...มีธุรกิจที่โดนบังคับให้มีการลงทุนในหุ้นด้วย นั่นคือ พวกธุรกิจประกันภัยและประกันชีวิต ที่ ทาง คปภ. (กรมการประกันภัยเดิม)...ที่กำหนดกฎเกณท์ให้ถือทรัพย์สินเป็นรูปของตราสารหนี้และตราสารทุน ดังนั้นพวกนี้จะมีหุ้นสามัญในตลาดหลักทรัพย์ถืออยู่ และ มักจะเลือกหุ้นพื้นฐานดี มีการจ่ายปันผลสม่ำเสมอ มีการซื้อขายหุ้นด้วยแต่ไม่ทำบ่อยเท่าไหร่ ... ผมพึ่งไปวิสามัญของบริษัทกรุงเทพประกันชีวิต เขาบอกว่า ในส่วนของการลงทุนเพื่อขาย ก็คือการเล่นหุ้นของเขา เขาสามารถทำกำไรได้ 5% (นับว่าไม่มากเท่าไหร่) กลุ่มรายใหญ่ตลอดชีพพวกนี้ มักทำกำไรได้ เพราะความสามารถในการบริหารสูง......ผมเลยชอบกลุ่มประกัน เสมือนหนึ่ง เรามีส่วนหนึ่งในการลงทุนในหุ้นด้วย จากประสบการณ์ผม กลุ่มนี้ผมว่าให้ปันผลดีและสม่ำเสมอ (ยกเว้นวิกฤตน้ำท่วมที่บริษัทฯต่าง ๆ ต้องขาดทุนในปี 2554).
2.5 รายใหญ่ต่างชาติ...มาในรูปของบริษัทฯการเงิน กองทุน และ รายบุคคล (รายบุคคลจะดูในพวก nvdr) กลุ่มนี้มาเพราะเห็นผลตอบแทนในประเทศเรา มากกว่าที่อื่น ๆ แต่ถ้าที่อื่น ๆ ให้ผลตอบแทนมากกว่า ก็ จะมีการย้ายเงินได้ ดูง่าย ๆ จาก อัตราดอกเบี้ยของธนาคารที่จ่ายออกมา อยู่ในระดับ สูงกว่าประเทศของเขา แต่เมื่อไรที่การเติบโตของประเทศเขาโตขึ้นและอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น เขาก็อาจจะย้ายการลงทุนออกไปก็เป็นไปได้....สมัยก่อนผมคิดว่าหุ้นไทยเราจะขึ้นหรือลงอยู่ที่รายใหญ่พวกนี้ แต่หลัง ๆ นี้ ไม่ใช่แล้ว เพราะตลาดเราเข้มแข็งขึ้นมี กองทุนในประเทศ พวกสถาบันและรายย่อยมากขึ้น เลยสามารถจะสู้กับรายใหญ่ต่างชาติได้...(หุ้นใหญ่ๆ พวก set50 ผมปล่อยให้ต่างชาติและสถาบันสู้กัน ผมหนีไปหุ้นขนาดกลางและเล็กเป็นส่วนใหญ่)...ตอนแรกคิดว่า รายใหญ่พวกนี้จะอยู่ใน set50 ทั้งหมด แต่ก็พบว่าใน กลุ่ม nvdr ซึ่งเป็นค่างชาติ มีหุ้นเล็ก ๆ มากมายที่พวกนี้ถืออยู่ ส่วนใหญ่จะเป็นรายบุคคลมากกว่า.....มีหุ้นเล็กในตลาด mai ตัวหนึ่ง ผมตรวจสอบทุกวันว่าจะมี nvdr ซื้อขายหรือไม่ ปรากฏว่ามีการซื้อขายอยู่ตลอดเหมือนกัน.. มีการซื้อขายแต่ละช่วงเหมือนกันสรุปได้ว่า หุ้นขึ้นเขาขาย และ หุ้นลงเขาก็ซื้อกลับ เป็นการ trading ตามปกติ.
3.กลุ่มปลายน้ำ...ในธุรกิจนี้บอกแล้วว่าผู้ที่ชนะจะอยู่ในกลุ่มต้นน้ำและกลางน้ำ....ถ้าใครคิดได้ว่ากลุ่มกลางน้ำมีพวกไหนเพิ่มขึ้นก็บอกได้นะครับ ผมอาจตกหล่นไปบ้างก็เป็นได้.....มีการสรุปว่า ในธุรกิจนี้หรือในตลาดนี้ มีผู้จะชนะประสบผลสำเร็จได้ไม่เกิน 20% แน่ละกลุ่มกลางน้ำอยู่ในส่วนนั้นแล้ว ... กลุ่มปลายน้ำก็คือรายย่อยแบบพวกเรา....ปัญหาก็คือ เราจะทำอย่างไรถึงจะอยู่ในกลุ่มของ 20% ที่จะชนะในธุรกิจนี้...มีผู้จดทะเบียนซื้อขายหุ้นเห็นว่ามีถึง 2 ล้านบัญชี (ชื่อคนเดียวอาจเปิดหลายบัญชีคือหลายโบรคเกอร์ก็ได้ เขาเฉลี่ยว่าคนเดียวอาจมี 3 โบรคหมายถึง 3 บัญชี)....แต่จริง ๆ แล้ว ที่เล่นหุ้นหรือลงทุนในหุ้นมีระดับ 3-4 แสนคนเท่านั้นเอง...ผมมาคิดว่า ผู้ที่จะชนะตลาดถ้า 20% ของ 350,000 คน ก็ มีเพียง 7 หมื่นคนเท่านั้นเอง.....เราจะทำอย่างไรให้อยู่ในพวก 7 หมื่นคนให้ได้...ตัวเลขที่ผมบอกเป็นภาพใหญ่ ๆ เท่านั้นเอง ส่วนรายละเอียดทางตลาดหลักทรัพย์มีข้อมูลพร้อมอยู่แล้ว เขามีประวัติของพวกเราอย่างละเอียดอยู่แล้ว...เขามีบริการให้พวกเราสมัครเป็นสมาชิกและขอดู portforlio ของเราได้ว่า มีหุ้นตัวไหนบ้างอยู่กับโบรคไหนและบริการอื่น ๆ อีกด้วย....ถ้าเป็นนักลงทุนต้องไปงาน SET IN THE CITY หรือที่ตลาดจัดในแต่ละภาค ต้องเข้าไปศึกษาและสมัครเป็นสมาชิกเขาจะได้ประโยชน์มากทีเดียว.
3.1 รายย่อยไร้สมอง.....สมัยเริ่มลงทุนแรก ๆ ของผม ผมก็อยู่ในกลุ่มนี้ครับ เมื่อ 20 ปีก่อนหน้านี้ ไม่มีความรู้เรื่องหุ้นเท่าไหร่ เห็นเขาเล่นได้กำไรกัน ก็ เล่นกับเขา ข้อมูลที่ได้ก็คือ การดูราคาหุ้น ทาง ทีวี และ ฟังวิทยุ AM ที่บอกราคาซื้อขายหุ้นเท่านั้นเอง....คนที่เราพึ่งและติดต่อก็คือ marketing ของเรานั่นเอง คำแรกที่ถามเวลาโทรศัพท์ไปหาก็คือ วันนี้เขาจะเล่นหุ้นตัวไหน ราคาตอนนี้น่าซื้อหรือไม่ .. สมัยแรก ๆ ตอนนั้นหุ้นที่ดังมากก็คือหุ้น KMC(กฤษดามหานคร ตอนนี้เปลียนชื่อเป็น AQแล้ว) TYONG (ธนายง) และ Bland ผมมีติดอยู่ตั้งแต่ตอนนั้นจนบัดนี้มีตัวเดียวคือ กฤษดา ตอนนี้โดนลดเป็น 1 หุ้นแล้ว....ถ้าใครยังเล่นหุ้นอยู่โดยอาศัย ถามมาร์ ตัดสินใจให้ ก็ นับว่ายังอยู่ในกลุ่มรายย่อยไร้สมอง...ได้โปรดเลิกเล่นหุ้นได้แล้วนะครับ....คิดว่าพวกนี้น่าจะยังเหลืออยู่.
3.2 รายย่อยตามแห่....กลุ่มนี้น่าจะดีกว่ากลุ่มรายย่อยไร้สมอง... รายย่อยตามแห่น่าจะมีความรู้พอควร แต่อาจจะไม่สามารถตัดสินใจด้วยตนเองได้ จึงชอบตามแห่ถามข้อมูลของพวกกลุ่มกลางน้ำ หรือ ดูรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ตนชอบและซื้อตาม....แน่ละครับ การซื้อตามก็น่าจะแพงกว่าพวกที่เคยซื้อก่อนหน้านี้ ต้นทุนของเขา ย่อมถูกกว่าของเราเป็นส่วนใหญ่...ถ้าตามแห่พวกรายใหญ่ที่ซื้อตอนแรก ๆ ก็ ปลอดภัยดี...แต่ถ้าซื้อตามแห่ตอนหลังก็น่าเป็นห่วงครับ.
3.3 รายย่อยร้อยหุ้น....กลุ่มนี้น่าจะเป็นพวกที่อยู่ในตลาดเป็นเวลานาน มีหุ้นเป็นร้อยตัว ตัวละนิดหน่อย..พวกนี้มักเป็นพวกสูงวัยไม่มีงานอะไรทำ... ซื้อหุ้นเพื่อไปประชุมกับเขาในฐานะเจ้าของบริษํทฯ เพราะได้รับการอบรมว่า ถึงแม้มี 1 หุ้นก็เป็นเจ้าของกับเขาได้....ซื้อหุ้น เพื่อรับของชำร่วย และ ทานอาหารฟรีในตอนที่บริษัทฯจัด AGM และ EGM กัน.. พวกนี้จะรู้ว่าหุ้นตัวไหนแจกของให้ และเลี้ยงอาหารตามโรงแรมดัง ๆ จะเห็นหลัง ๆ นี้ มีมากมายเพราะมีการกระจายหุ้นในชื่อของลูก ของหลาน หรือของญาติที่ไว้ใจกัน.
3.4 รายย่อยเล่นคลื่น...ขอจัดกลุ่มนี้เป็นกลุ่มรายย่อยที่อาศัยกราฟในการตัดสินใจ เขาไม่สนใจพื้นฐานของกิจการสักเท่าไหร่ แต่สนใจในราคาหุ้นและปริมาณการซื้อขาย เอาจากสถิติและทฤษฎีจากคนต่างชาติที่ค้นคิด โดยใช้เครื่องมือ(indicators) ชี้แนะต่าง ๆ มีการรอซื้อและรอขายเมื่อถึงจุดที่ต้องการ....จากผู้ที่รู้เรื่องนี้ ไม่ใช่ว่า 100% จะเป็นไปตามนั้น แค่คาดว่าจะสำเร็จ 70%....เรื่องนี้ต้องศึกษาและใช้ความรู้มากทีเดียว...กลุ่มนี้จะไม่ถือยาวเป็นปี เท่าที่สังเกตุมักชอบซื้อตอนหุ้นทำราคาทะลุจุดสูงเดิม เพื่อที่จะไปขายที่ราคาสูงกว่า เช่นกัน ถ้าหลุดต่ำกว่าแนวรับที่เขากำหนดก็ต้องขายตัดขาดทุนออกไป.....ผมคิดว่ากลุ่มนี้มีความเครียดในการเล่นหุ้นที่ ขึ้นลงมาก...หุ้นบางวันบางทีเขาก็ซื้อขายกันหลายรอบเหมือนกัน สรุปแล้วกลุ่มนี้จะมีกำไรหรือเปล่า ผมไม่ได้ตามและไม่สามารถจะบอกได้....เพราะนักเล่นหุ้นส่วนใหญ่จะบอกว่ากำไร แต่ที่ขาดทุนมักไม่ค่อยได้บอกกัน.
3.5 รายย่อยชำนาญการ....ธุรกิจต่าง ๆ ต้องมีนักชำนาญการอยู่แล้ว ด้านตลาดหุ้นนี่ก็มีนักชำนาญการ สามารถปรับตัวเองให้ชนะตลาดและมีกำไรทุกปี พวกนี้จะมีความรู้ดีมาก รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับกิจการ่เงิน...ตลาดมีหุ้นให้เล่นกันหลายตัว หลายกลุ่มของธุรกิจ ตามหมวดหมู่ที่เขาจัดไว้ ... นอกจากนี้แล้วยังมีพวก TFEX พวก DW พวก ETF โดยเฉพาะ TFEX ป้องกันความเสี่ยงต่าง ๆ ได้ ผมไม่มีความรู้ในด้านนี้เพราะไม่อยากศึกษา รู้มากเกินไปมันสัปสนวุ่นวาย เพราะอายุมากแล้วเลยไม่อยากจะศึกษาเพิ่มเติม....คนรุ่นใหม่ควรศึกษาหาความรู้และป้องกันตนเองด้วยเครื่องมือพวกนี้...ถึงแม้ดัชนีลงก็สามารถจะทำกำไรได้ ขาดทุนในหุ้นแต่กำไรใน TFEX เป็นการทำสมดุลในการลงทุน...เก่งครับ.
3.6 รายย่อยนักพัฒนา...กลุ่มสุดท้ายที่จะพูดถึงก็คือส่วนใหญ่ของพวกเรานั่นเอง..การหาความรู้ที่จำเป็นก็คือ.....
1.การเข้าใจ ธุรกิจ....เราไม่สามารถจะรู้ถึงธุรกิจต่าง ๆ ได้ทุกอย่าง เราต้องศึกษาและเข้าใจธุรกิจ สิ่งแรกที่ต้องทำคือ อ่านแบบ 56-1 ที่เขาสรุปเป็นภาพรวมของบริษัท โดยเฉพาะในหมายเหตูงบการเงิน ต้องเข้าใจทุกประโยคที่เขาให้ผู้ลงทุนได้รู้ ส่วนใหญ่จะสมบูรณ์มาก เพราะรูปแบบหัวข้อต่าง ๆ กำหนดเป็นมาตรฐานอยู่แล้ว....อะไรที่ข้องใจก็โทรศัพท์ถามบริษัทเขาเลย...ผมลงทุนในบริษัทใหญ่ ๆ น้อยมาก เพราะไม่เข้าใจในธุรกิจเขาเท่าไหร่ คาดการณ์ลำบาก มีบริษัทย่อยอะไรอีกมากมาย เจาะลึกลำบาก...อ่านหลายสิบรอบแล้วก็ยังไม่เข้าใจ...สู้ไปลงทุนในธุรกิจกลางเล็ก ที่เข้าใจง่าย ๆ ดีกว่า...หุ้นที่ผมลงทุนมากที่สุด แรก ๆ ก็เข้าใจดี พอหลัง ๆ นี้ ก็ ขยายไปมีบริษัทย่อยเพิ่มขึ้นอีก 4-5 แห่ง ก็ เริ่มสร้างความสัปสนให้กับผม...แต่บริษัทฯ นี้ลงทุนมานานแล้ว ทุนถูกมาก เลยไม่ได้ขายออกไป อีกอย่างเชื่อในผู้บริหารที่เขามองว่าบริษัทย่อยต่าง ๆ ที่เขาลงทุนไปต้องเติบโตและกำไร ฉะนั้นจะก้าวกระโดดไปในอีก 2-3 ปี....ผมคิดผิดเพราะรักบริษัท เขามากเกินไป เพราะพิสูจน์แล้วเวลาผ่านไป ราคาหุ้นก็ลงไปเรื่อย ๆ ปีนี้ทั้งปี ราคาลงตลอด การรอคอยผลงานที่ยังไม่เกิด นักลงทุนต่าง ๆ ก็ทิ้งไปก่อน นี่ละคือความผิดพลาดของผม ที่ไม่ยอมทิ้งหุ้นไปก่อน........การเข้าใจบริษัท นอกจากการอ่านแล้วต้องมีการสัมผัส คือต้องไปประชุมผู้ถือหุ้นรู้จักผู้บริหาร และหาโอกาสเยี่ยมชมกิจการ ของเขา โดยขอเขารวมกลุ่มกันไป หลัง ๆ นี้ ทางสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย ได้รับงานด้านนี้โดยเรียกชื่อว่าโครงการ MY COMPANY โดยบริษัทจะขอให้ทางสมาคมเลือกผู้ถือหุ้นที่ถือหุ้นของเขา ไปเยี่ยมชมกิจการของบริษัท โครงการนี้ดีมากเพราะจะได้ความรู้ในกิจการดีทีเดียว ถ้าใครได้รับเชิญต้องไปนะครับ ห้ามพลาด...ทางพวกเรา THAIVI ก็มีการจัดประจำแต่ผมไม่ได้ร่วมกับเขา เลยไม่สามารถจะบอกได้ว่าเป็นอย่างไร...แต่ต้องเป็นสิ่งดี แน่ เพราะ พวกเราทำแต่สิ่งดี ดี สำหรับรายย่อยกัน...แต่ต้องเตือนกันหน่อยว่า ซื้อหุ้นดีแต่ราคาแพง ก็ ไม่ใช่สิ่งที่ดีนะครับ.
2.การเข้าใจ ผู้บริหาร......สิ่งที่สำคัญที่จะทำให้ธุรกิจรุ่งเรืองต่อไปเรื่อย ๆ ก็ คือ ผู้บริหาร...บริษัทฯใหญ่ ๆ ก็ มีผู้บริหารเป็นมืออาชีพมาจัดการให้ แต่บริษัทฯ เล็ก กลาง ก็มันจะมีเจ้าของมาบริหารหรือเป็นประธาน บางทีก็เชิญคนที่เรานับถือมาเป็นประธานให้...สรุปได้ก็คือคณะกรรมการ เป็นฝ่ายวางนโยบาย และ สั่งการให้คณะผู้บริหารดำเนินงานต่อไป...เราต้องเข้าใจทั้งสองกลุ่มนี้ให้ดี ที่สำคัญคือต้องมีธรรมาภิบาล...มีความยุติธรรมกับของทุกฝ่ายที่มาอยู่ในเรือลำเดียวกัน.....ผมชอบผู้บริหารที่ทำกำไรให้เติบโตไปเรื่อยๆ ค่อย ๆ ขยับปีละ 10-20% ทุกปีก็สุดยอดแล้วครับ
3.การเข้าใจ งบการเงิน.....สิ่งที่เราต้องพัฒนาก็คือ ต้องเข้าใจงบการเงินของบริษัทฯ อัตราส่วนทางการเงิน สิ่งนี้ต้องเรียนรู้และเปรียบเทียบกับบริษัท อื่น ๆ...ขั้นต้นต้องรู้จักยอดขาย ต้นทุนของสินค้า กำไรขั้นต้น ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร กำไรสุทธิ....ถ้ามีบริษัทฯ ย่อยมาก ๆ ก็ จะลำบากในการวิเคราะห์ว่าเกิดจากบริษัทฯ ไหนที่ให้กำไรหรือขาดทุน...ก็ดูโดยรวมคือ งบรวม เป็นหลัก.....ต้องรู้จัก ROE ROA D/E P/E P/Bv EPS ถ้าไม่ได้เรียนบัญชีมา ก็ ต้องรู้จักเบื้องต้นดังกล่าวมาแล้ว....ส่วนพวกที่เก่งทางบัญชีก็เจาะลึกเข้าไปถึงแต่ละบรรทัดของบัญชี...มันเป็นเหมือนสุขภาพของคน ถ้างบการเงินดี ก็คือมีสภาพที่แข็งแรง เวลาเกิดวิกฤตอะไรก็ไม่เป็นห่วง อยู่รอดได้ การมีหนี้สินของบริษัทฯเป็นสิ่งสำคัญ ผมชอบบริษัทที่มีหนี้สินน้อย เพราะวิกฤตอย่างไรก็ไม่ล้มแน่....บางคนก็ว่ามีหนี้สินมากก็จะเพิ่มกำไรดีเอาเงินมาเพิ่มยอดขายเพิ่มกำไร...แล้วแต่จะคิดกัน
ถ้ารายย่อยนักพัฒนาเข้าใจทั้ง 3 อย่างดีแล้ว ลงทุนไปเรื่อย ๆ วันหนึ่งก็จะได้เติบโต จากกลุ่มปลายน้ำ เป็นกลุ่มกลางน้ำ อย่างแน่นอน....ผมอยู่กลุ่มปลายน้ำเช่นกันอยากอยู่กลุ่มกลางน้ำเหมือนกัน แต่ยังไม่มีโอกาสนักที
จบเพียงเท่านี้ ที่เขียนมาเพื่อให้รายย่อยรายใหม่ ๆ ได้พิจารณาตนเอง จะได้รู้ถึง ธุรกิจการลงทุนด้านนี้ ว่า มีอะไรบ้าง เป็นภาพใหญ่ ๆ ให้เข้าใจกัน อยากจะเตือนอย่างเดียวว่า ปลาใหญ่กินปลาเล็กนะครับ ต้องรักษาตนเองจากปลาเล็กให้เติบโตอยู่รอดเป็นปลาใหญ่ให้ได้นะครับ...ขอให้โชคดีในการลงทุน


