สมาชิกใหม่ รบกวนขอความรู้
-
- Verified User
- โพสต์: 2
- ผู้ติดตาม: 0
สมาชิกใหม่ รบกวนขอความรู้
โพสต์ที่ 1
1.อยากทราบว่าจะทราบได้อย่างไรว่าราคาหุ้นแพงว่าราคาพื้นฐานหรือไม่
2.ถ้าราคามันยังคงปรับตัวขึ้น เราจะมีโอกาสซื้อหรือคับ
3.ราคาเผื่อความปลอดภัย คำนวณได้อย่างไร
2.ถ้าราคามันยังคงปรับตัวขึ้น เราจะมีโอกาสซื้อหรือคับ
3.ราคาเผื่อความปลอดภัย คำนวณได้อย่างไร
-
- Verified User
- โพสต์: 1980
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สมาชิกใหม่ รบกวนขอความรู้
โพสต์ที่ 3
ผมช่วยสงเคราะห์ตอบให้ละกันkhotchaphak เขียน:1.อยากทราบว่าจะทราบได้อย่างไรว่าราคาหุ้นแพงว่าราคาพื้นฐานหรือไม่
ก็หาราคาพื้นฐานมาซิครับ มีตัวเลขสองตัว ถ้าไม่รู้ว่าตัวไหนมากกว่ากันเดี๋ยวผมให้หลานผมมาสอน
2.ถ้าราคามันยังคงปรับตัวขึ้น เราจะมีโอกาสซื้อหรือคับ
อันนี้น่าจะรู้นะครับว่ามีไหม เดี๋ยวขอเชิญหลานมาตอบให้
3.ราคาเผื่อความปลอดภัย คำนวณได้อย่างไร
คำถามนี้เข้าท่า ราคาเผื่อความปลอดภัยคำนวณได้จากส่วนต่างของข้อ1ครับ ว่าต่างกันกี่เปอร์เซ็นต์
The mother of all evils is speculation, leverage debt. Bottom line, is borrowing to the hilt. And I hate to tell you this, but it's a bankrupt business model. It won't work. It's systemic, malignant, and it's global, like cancer.
-
- Verified User
- โพสต์: 2545
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สมาชิกใหม่ รบกวนขอความรู้
โพสต์ที่ 5
1. เราจะทราบว่าราคาหุ้นแพงกว่าราคาพื้นฐานหรือไม่ จะต้องมีการเปรียบเทียบกันkhotchaphak เขียน:1.อยากทราบว่าจะทราบได้อย่างไรว่าราคาหุ้นแพงว่าราคาพื้นฐานหรือไม่
2.ถ้าราคามันยังคงปรับตัวขึ้น เราจะมีโอกาสซื้อหรือคับ
3.ราคาเผื่อความปลอดภัย คำนวณได้อย่างไร
ราคาหุ้น ดูจากราคาตลาดในแต่ละวันที่มีการซื้อขาย
ราคาพื้นฐาน เราต้องวัดมูลค่าหุ้นให้ได้ว่า มูลค่าที่แท้จริงเป็นเท่าไร
แนวทางเบื้องต้นในการวัดมูลค่าหุ้นที่แท้จริง หรือประเมินมูลค่าพื้นฐาน ลองอ่านจากเวปนี้เบื้องต้นครับ มีหลายวิธี
http://www.tsi-thailand.org/index.php?o ... ew&id=1815&
2. ราคาหุ้นขึ้นลง ขึ้นอยู่กับความต้องการซื้อขาย เราควบคุมไม่ได้ แต่เราจะซื้อหรือไม่ อยู่ที่หลักเบื้องต้นที่ว่า ราคาตลาดที่เราจะซื้อนั้น จะต้องต่ำกว่าราคาที่เราวัดมูลค่าหุ้นหรือประเมินมูลค่าหุ้นที่แท้จริงตามแนวทางประเมินมูลค่าหุ้นข้อ 1 หากราคาสูงกว่าก็อย่าซื้อถ้ามีหุ้นที่เราซื้ออยู่แล้ว เราก็อาจขายออกไปเพราะเกินพื้นฐานราคาที่ควรจะเป็น
3. ราคาเผื่อความปลอดภัยก็คำนวนจากข้อ 1 เทียบกันราหว่างราคาหุ้น กับ มูลค่าที่แท้จริง ซึ่งปกติในแต่ละวิธีจะมีสมมุติฐานกำหนดอยู่ ปัญหาคือสมมุติฐานที่เรากำหนดเป็นเรื่องอนาคต ไม่แน่นอน จึงมีความเสี่ยงที่สมมุติฐานที่เรากำหนดนั้นจะไม่ตรงกับที่คาดการณ์ไว้ สมมุติฐานที่เราจะกำหนดได้ใกล้เคียงเพียงใด ก็อยู่ที่ประสบการณ์ที่เราต้องเข้าใจกระแสเงินสดที่จะได้รับอนาคต หรือกำไรที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หรือเงินปันผลที่เราคาดว่าจะได้ในอนาคตตามผลการดำเนินงานเป็นต้น การมีส่วนเผื่อความปลอดภัยก็คือ นอกจากเราจะซื้อในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงแล้ว เราควรจะซ์้อในราคาต่ำกว่าสักเท่าไร เช่น ต่ำกว่า 50% 40% หรือ 30% จากที่เราคำนวนราคาได้ ถ้าเรารับความเสี่ยงได้มาก ส่วนเผื่อความปลอดภัยอาจจะต่ำ แต่หากเราเราความเสี่ยงได้น้อยก็ควรกำหนดส่วนเผื่อความปลอดภัยให้สูง แต่แน่นอน การกำหนดส่วนเผื่อความปลอดภัยไว้สูงมาก ก็เป็นไปได้ที่ราคาหุ้นจะลงมาไม่ถึง ในทำนองเดียวหากเรากำหนดส่วนเผื่อความปลอดภัยน้อยเกินไป ก็จะมีโอกาสขาดทุนสูงหากผลงานของกิจการที่เราลงทุนที่ออกมาไม่เป็นไปตามที่เราคาดการณ์ไว้ ตรงนี้อยู่ที่ศิลป และ ระดับความเสี่ยงที่เรายอมรับได้ครับ
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
-
- Verified User
- โพสต์: 154
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สมาชิกใหม่ รบกวนขอความรู้
โพสต์ที่ 6
เริ่มศึกษาอย่าเพิ่งตั้งคำถามด้วย keyword "ราคา" ก่อนครับจะทำให้สับสนและหลงทางนานได้ครับ
ให้เริ่มด้วย keyword "มูลค่า" ก่อนครับ
แนะนำว่าให้พยายามหาซื้อหนังสือของท่านอาจารย์ ดร. นิเวศน์ เท่าที่จะหาซื้อได้ทั้งหมดนะครับ
แล้วตะลุยอ่านเลยครับสองรอบ หนังสือท่านอาจารย์อ่านเพลินดีด้วยนะครับ แล้วจขกทจะเริ่มเข้าใจ
แล้วอย่างอื่นจะค่อยๆตามมาเองนะครับ
ให้เริ่มด้วย keyword "มูลค่า" ก่อนครับ
แนะนำว่าให้พยายามหาซื้อหนังสือของท่านอาจารย์ ดร. นิเวศน์ เท่าที่จะหาซื้อได้ทั้งหมดนะครับ
แล้วตะลุยอ่านเลยครับสองรอบ หนังสือท่านอาจารย์อ่านเพลินดีด้วยนะครับ แล้วจขกทจะเริ่มเข้าใจ
แล้วอย่างอื่นจะค่อยๆตามมาเองนะครับ
- murder_doll
- Verified User
- โพสต์: 1608
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สมาชิกใหม่ รบกวนขอความรู้
โพสต์ที่ 7
Price is what you pay
Value is what you get
ในเว็ปนี้ก็มีข้อมูลระดับนึงครับ บางมุมก้ดูน้อยไป บางมุมก็ดูเกินความจำเป็น ต้องใช้วิจารณาณกำกับด้วยว่าจะเชื่อดีไหม
ลองศึกษาดูครับ พวกpe pb ง่ายๆแต่ลึกซึ๊งเนี่ยละครับ
แล้วค่อยศึกษาวิธีที่ซับซ้อนต่อไปครับ
Value is what you get

ในเว็ปนี้ก็มีข้อมูลระดับนึงครับ บางมุมก้ดูน้อยไป บางมุมก็ดูเกินความจำเป็น ต้องใช้วิจารณาณกำกับด้วยว่าจะเชื่อดีไหม
ลองศึกษาดูครับ พวกpe pb ง่ายๆแต่ลึกซึ๊งเนี่ยละครับ
แล้วค่อยศึกษาวิธีที่ซับซ้อนต่อไปครับ

เงินทองเป็นของมายา
ข้าวปลาคือของจริง
ข้าวปลาคือของจริง
-
- Verified User
- โพสต์: 667
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สมาชิกใหม่ รบกวนขอความรู้
โพสต์ที่ 9
ขอแนะนำเพิ่มเติม เพื่อเป็นกำลังใจให้คนใหม่ที่กำลังเข้ามาศึกษานะครับ...^^)
(จริงๆน่าศึกษาทุกกระทู้ แต่ผมขอยกตัวอย่างมาให้ผู้เริ่มต้นศึกษาอ่านนะครับ)
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=35&t=6848
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=35&t=42581
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=35&t=4910
อันสุดท้าย มีคำตอบของคำถามที่ 2 ที่คุณ Jeng โพสไว้นะครับ
ศึกษาแล้ว ได้ความรู้ แง่คิด และมีข้อซักถามอะไรเพิ่มเติม อย่าลืมกลับมาโพสเพิ่มเติม
ด้วยนะครับ พี่ๆ เพื่อนๆ ที่นี่ยินดีแนะนำให้ทุกคนครับ....^^)
ปล. ผมเชื่อว่าการศึกษา และค้นหาคำตอบได้ด้วยตนเอง เป็นสิ่งที่ดีที่สุดครับ
(แต่สำคัญกว่าคือ หาคำตอบจากใคร ....^^)
(จริงๆน่าศึกษาทุกกระทู้ แต่ผมขอยกตัวอย่างมาให้ผู้เริ่มต้นศึกษาอ่านนะครับ)
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=35&t=6848
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=35&t=42581
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=35&t=4910
อันสุดท้าย มีคำตอบของคำถามที่ 2 ที่คุณ Jeng โพสไว้นะครับ
ศึกษาแล้ว ได้ความรู้ แง่คิด และมีข้อซักถามอะไรเพิ่มเติม อย่าลืมกลับมาโพสเพิ่มเติม
ด้วยนะครับ พี่ๆ เพื่อนๆ ที่นี่ยินดีแนะนำให้ทุกคนครับ....^^)
ปล. ผมเชื่อว่าการศึกษา และค้นหาคำตอบได้ด้วยตนเอง เป็นสิ่งที่ดีที่สุดครับ
(แต่สำคัญกว่าคือ หาคำตอบจากใคร ....^^)
-
- Verified User
- โพสต์: 2187
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สมาชิกใหม่ รบกวนขอความรู้
โพสต์ที่ 10
เราลงรายละเอียดระดับไหน + แผนการ + วินัยในการแบ่งและใช้เวลาในแต่ละวัน
-
- Verified User
- โพสต์: 1474
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สมาชิกใหม่ รบกวนขอความรู้
โพสต์ที่ 11
ก่อนที่เราจะถามเพิ่ม เราต้องพยายามหาความรู้เพิ่มก่อนนะครับ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นและ ห้องกระทู้คุณค่า ต้องลองศึกษาเพิ่มเติมครับ
ระบบของที่นี่คือ คุณต้องจับปลาให้เป็น ด้วยตัวคุณ ไม่ใช่ พี่ๆ หาปลามาป้อนเข้าปาก
ระบบของที่นี่คือ คุณต้องจับปลาให้เป็น ด้วยตัวคุณ ไม่ใช่ พี่ๆ หาปลามาป้อนเข้าปาก
-
- Verified User
- โพสต์: 77
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สมาชิกใหม่ รบกวนขอความรู้
โพสต์ที่ 12
ลงทุนทั้งทีลงทุนใน super stock เลยครับพี่ อันนี้เป็นบทความของท่านอาจารย์นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ถ้าจะมีอะไรที่เกี่ยวกับการลงทุนที่สรุปจบได้ในหน้าเดียว น่าจะเป็นบทความนี้ครับ Value Investor ในเมืองไทยส่วนใหญ่นั้นนับถือและยกย่อง วอเร็น บัฟเฟตต์ แต่น้อยคนที่จะทำตามวิธีการลงทุนของเขาที่เน้นการลงทุนในหุ้นของกิจการที่ดีสุดยอดในราคาที่ยุติธรรมหรือที่เรียกกันว่า Super Stock เหตุผลคงเป็นว่า ข้อแรก Value Investor ในตลาดหุ้นไทยนั้นค่อนข้างจะเน้นในเรื่องของ “ราคา” ซึ่งเป็นพื้นฐานดั้งเดิมของการลงทุนแบบ Value Investment ที่เสนอโดย เบน เกรแฮม ในขณะที่ “คุณภาพ” ของกิจการนั้น นักลงทุนคิดว่าเป็น “ตัวประกอบ” พูดง่าย ๆ ถ้าราคาหุ้น “ไม่ผ่าน” ก็ไม่ต้องดูว่าคุณภาพเป็นอย่างไร ข้อสอง เหตุที่นักลงทุนไม่ชอบลงทุนในหุ้น Super Stock นั้น เพราะไม่รู้ว่าหุ้นตัวไหนเป็นหุ้นของกิจการที่ดีเยี่ยม ถ้าจะว่าไป หลายคนก็ยังสงสัยว่าในเมืองไทยนั้นมีหุ้นที่เรียกได้ว่าเป็น Super Stock แบบในสหรัฐอเมริกาจริง ๆ หรือเปล่า และสุดท้ายก็คือ Value Investor อาจจะคิดว่า การหาหุ้นถูกซื้อแล้วขายทำกำไรเมื่อราคาหุ้นขึ้นแล้วก็เปลี่ยนไปหาหุ้นถูกตัวใหม่น่าจะสร้างผลตอบแทนดีกว่าการซื้อหุ้น Super Stock แล้วถือยาวแบบ บัฟเฟตต์
ผมคงไม่ถกเถียงว่าการลงแนวไหนจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่ากัน แต่จะพยายามตอบคำถามว่าจะมองหาหุ้นที่เรียกว่า Super Stock อย่างไร และต่อไปนี้คือคุณสมบัติที่ Super Stock มักจะเป็นหรือมีอยู่
ข้อแรก Super Stock จะต้องมีสิ่งที่เรียกว่า Durable Competitive Advantage (DCA) หรือการได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน และความได้เปรียบนี้เป็นเรื่องของโครงสร้างที่เปลี่ยนแปลงได้ยาก โดยแหล่งของความได้เปรียบใหญ่ ๆ อยู่ที่เรื่องของชื่อยี่ห้อที่โดดเด่น และเรื่องของต้นทุนสินค้าที่ต่ำกว่าเนื่องจากกิจการมีขนาดที่เหมาะสมหรือมีขนาดที่ใหญ่กว่าคู่แข่งมากโดยที่คู่แข่งไม่สามารถหรือไม่ประสงค์ที่จะเพิ่มขนาดของกิจการเพื่อให้มีต้นทุนเท่าเทียมได้ เรื่องของ DCA นี้ บ่อยครั้ง นักลงทุนอาจจะวิเคราะห์ผิด เอา “ความได้เปรียบชั่วคราว” มาเป็นความได้เปรียบที่ “ยั่งยืน”
ข้อสอง หุ้นสุดยอดนั้น จะต้องอยู่ในช่วงของ Virtuous Circle หรือ “วงจรแห่งความรุ่งเรือง” นั่นก็คือ ในกระบวนการเติบโตของบริษัทนั้น ทำให้บริษัทได้เปรียบคู่แข่งมากขึ้นไปอีก เช่นต้นทุนลดลงไปอีก ในเวลาเดียวกัน สินค้าและบริการกลับดีขึ้นและช่วยเร่งการเติบโตของยอดขายของบริษัทเพิ่มขึ้น เป็นวงจรแบบนี้ไปเรื่อย ๆ
ข้อสาม Super Stock นั้นจะต้องมีศักยภาพสูงมาก นั่นคือ ตลาดของสินค้าหรือบริการจะต้องใหญ่มาก และบริษัทอยู่ในสถานะที่จะ “ยึดครอง” ตลาดนั้นได้ พูดง่าย ๆ เราสามารถมองคร่าว ๆ ได้ว่าในอนาคตระยะยาว บริษัทน่าจะสามารถมียอดขายได้ค่อนข้างสูงกว่าปัจจุบันมาก และยอดขายนั้นจะทำให้บริษัทมีกำไรมากขึ้นเป็นทวีคูณ
ข้อสี่ การเติบโตของบริษัทที่ผ่านมานั้นน่าประทับใจเป็นเลขสองหลัก คือมากกว่า 10% เกือบทุกปี โดยที่ยอดขายไม่เคยลดลงเลยแม้ในยามที่เศรษฐกิจซบเซาหรือเกิดวิกฤติ เช่นเดียวกัน กำไรของบริษัทก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในอัตราใกล้เคียงกับยอดขายหรือดีกว่า
ข้อห้า บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานดีมาก กำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นสูงในหลักเกิน 15-20% ต่อปี โดยที่ไม่ได้ก่อหนี้กับสถาบันการเงินมากนัก หนี้ที่มีอยู่สามารถชดใช้ได้ด้วยกำไรจากการดำเนินงานไม่เกิน 5 ปี
ข้อหก บริษัทมี Cash From Operation หรือเงินสดที่ได้จากการทำธุรกิจดีมาก และเมื่อบริษัทจะขยายงานก็ไม่จำเป็นต้องลงทุนมากนักเทียบกับยอดขายหรือกำไรที่จะได้รับจากการลงทุนใหม่นั้น
ข้อเจ็ด ผู้บริหารมักจะ “เก่ง” และได้รับการกล่าวขวัญถึงมาก พนักงานของบริษัทมักจะ “ดี” และมี “ความสุข” เมื่อเทียบกับบริษัทอื่นทั่ว ๆ ไป
ข้อแปด หุ้น Super Stock นั้น มักจะไม่เคยมีราคา “ถูก” ยกเว้นในบางช่วงบางตอนที่บริษัทอาจประสบปัญหาบางอย่างที่ร้ายแรงหรือในช่วงที่ตลาดหุ้นเกิดวิกฤติ ค่า PE ของ Super Stock ในระดับ 20 เท่า นั้นเป็นเรื่องธรรมดาและไม่ถือว่าแพงเมื่อเทียบกับศักยภาพของกิจการในอนาคต และนี่อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้ Value Investor จำนวนมากหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นสุดยอด เพราะเขาเคยชินกับการลงทุนในหุ้นที่มี PE ไม่เกิน 10 เท่า
ทั้งหมดนั้นก็เป็นคุณสมบัติหลัก ๆ ของ Super Stock แน่นอนใน Super Stock เองก็มี“ดีกรี” ที่ไม่เท่ากัน บางบริษัทอาจจะดีกว่าอีกบริษัทหนึ่ง และที่ชัดเจนก็คือ บริษัทในประเทศไทยนั้นไม่สามารถที่จะเปรียบเทียบได้กับ Super Stock ในอเมริกาซึ่งมีศักยภาพคลุมไปทั้งโลก อย่างไรก็ตาม มูลค่าของกิจการหรือ Market Cap. ของบริษัทในอเมริกาก็ใหญ่จนเทียบไม่ได้กับบริษัทไทย ดังนั้น เวลาพูดถึง Super Stock ในตลาดหุ้นไทยเราก็ต้องเข้าใจว่าเป็นบริษัทระดับไหน
Value Investor หลายคนอาจจะไม่สนใจที่จะลงทุนในหุ้น Super Stock แต่การเรียนรู้เรื่องของ “คุณสมบัติ” ของบริษัทนั้นก็เป็นประโยชน์ไม่น้อยในการที่จะช่วยเป็น “ตัวประกอบ” ในการเลือกหุ้นลงทุน นั่นก็คือ หลังจากพบหุ้นที่ “ราคาถูก” เข้าเกณฑ์ที่จะซื้อแล้ว ก็ควรดูถึงคุณสมบัติว่าบริษัทน่าจะอยู่ในระดับไหน ถ้าทำได้แบบนี้ ราคาก็จะไม่ใช่เงื่อนไขเดียวที่จะซื้อ สิ่งที่ถูกต้องมากกว่าอาจจะเป็นว่า ไม่ได้ซื้อหุ้นที่ราคาถูกที่สุด แต่เป็นราคาถูกมากเมื่อเทียบกับคุณสมบัติของบริษัท
http://www.thaivi.com/2010/01/110/
ผมคงไม่ถกเถียงว่าการลงแนวไหนจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่ากัน แต่จะพยายามตอบคำถามว่าจะมองหาหุ้นที่เรียกว่า Super Stock อย่างไร และต่อไปนี้คือคุณสมบัติที่ Super Stock มักจะเป็นหรือมีอยู่
ข้อแรก Super Stock จะต้องมีสิ่งที่เรียกว่า Durable Competitive Advantage (DCA) หรือการได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน และความได้เปรียบนี้เป็นเรื่องของโครงสร้างที่เปลี่ยนแปลงได้ยาก โดยแหล่งของความได้เปรียบใหญ่ ๆ อยู่ที่เรื่องของชื่อยี่ห้อที่โดดเด่น และเรื่องของต้นทุนสินค้าที่ต่ำกว่าเนื่องจากกิจการมีขนาดที่เหมาะสมหรือมีขนาดที่ใหญ่กว่าคู่แข่งมากโดยที่คู่แข่งไม่สามารถหรือไม่ประสงค์ที่จะเพิ่มขนาดของกิจการเพื่อให้มีต้นทุนเท่าเทียมได้ เรื่องของ DCA นี้ บ่อยครั้ง นักลงทุนอาจจะวิเคราะห์ผิด เอา “ความได้เปรียบชั่วคราว” มาเป็นความได้เปรียบที่ “ยั่งยืน”
ข้อสอง หุ้นสุดยอดนั้น จะต้องอยู่ในช่วงของ Virtuous Circle หรือ “วงจรแห่งความรุ่งเรือง” นั่นก็คือ ในกระบวนการเติบโตของบริษัทนั้น ทำให้บริษัทได้เปรียบคู่แข่งมากขึ้นไปอีก เช่นต้นทุนลดลงไปอีก ในเวลาเดียวกัน สินค้าและบริการกลับดีขึ้นและช่วยเร่งการเติบโตของยอดขายของบริษัทเพิ่มขึ้น เป็นวงจรแบบนี้ไปเรื่อย ๆ
ข้อสาม Super Stock นั้นจะต้องมีศักยภาพสูงมาก นั่นคือ ตลาดของสินค้าหรือบริการจะต้องใหญ่มาก และบริษัทอยู่ในสถานะที่จะ “ยึดครอง” ตลาดนั้นได้ พูดง่าย ๆ เราสามารถมองคร่าว ๆ ได้ว่าในอนาคตระยะยาว บริษัทน่าจะสามารถมียอดขายได้ค่อนข้างสูงกว่าปัจจุบันมาก และยอดขายนั้นจะทำให้บริษัทมีกำไรมากขึ้นเป็นทวีคูณ
ข้อสี่ การเติบโตของบริษัทที่ผ่านมานั้นน่าประทับใจเป็นเลขสองหลัก คือมากกว่า 10% เกือบทุกปี โดยที่ยอดขายไม่เคยลดลงเลยแม้ในยามที่เศรษฐกิจซบเซาหรือเกิดวิกฤติ เช่นเดียวกัน กำไรของบริษัทก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในอัตราใกล้เคียงกับยอดขายหรือดีกว่า
ข้อห้า บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานดีมาก กำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นสูงในหลักเกิน 15-20% ต่อปี โดยที่ไม่ได้ก่อหนี้กับสถาบันการเงินมากนัก หนี้ที่มีอยู่สามารถชดใช้ได้ด้วยกำไรจากการดำเนินงานไม่เกิน 5 ปี
ข้อหก บริษัทมี Cash From Operation หรือเงินสดที่ได้จากการทำธุรกิจดีมาก และเมื่อบริษัทจะขยายงานก็ไม่จำเป็นต้องลงทุนมากนักเทียบกับยอดขายหรือกำไรที่จะได้รับจากการลงทุนใหม่นั้น
ข้อเจ็ด ผู้บริหารมักจะ “เก่ง” และได้รับการกล่าวขวัญถึงมาก พนักงานของบริษัทมักจะ “ดี” และมี “ความสุข” เมื่อเทียบกับบริษัทอื่นทั่ว ๆ ไป
ข้อแปด หุ้น Super Stock นั้น มักจะไม่เคยมีราคา “ถูก” ยกเว้นในบางช่วงบางตอนที่บริษัทอาจประสบปัญหาบางอย่างที่ร้ายแรงหรือในช่วงที่ตลาดหุ้นเกิดวิกฤติ ค่า PE ของ Super Stock ในระดับ 20 เท่า นั้นเป็นเรื่องธรรมดาและไม่ถือว่าแพงเมื่อเทียบกับศักยภาพของกิจการในอนาคต และนี่อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้ Value Investor จำนวนมากหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นสุดยอด เพราะเขาเคยชินกับการลงทุนในหุ้นที่มี PE ไม่เกิน 10 เท่า
ทั้งหมดนั้นก็เป็นคุณสมบัติหลัก ๆ ของ Super Stock แน่นอนใน Super Stock เองก็มี“ดีกรี” ที่ไม่เท่ากัน บางบริษัทอาจจะดีกว่าอีกบริษัทหนึ่ง และที่ชัดเจนก็คือ บริษัทในประเทศไทยนั้นไม่สามารถที่จะเปรียบเทียบได้กับ Super Stock ในอเมริกาซึ่งมีศักยภาพคลุมไปทั้งโลก อย่างไรก็ตาม มูลค่าของกิจการหรือ Market Cap. ของบริษัทในอเมริกาก็ใหญ่จนเทียบไม่ได้กับบริษัทไทย ดังนั้น เวลาพูดถึง Super Stock ในตลาดหุ้นไทยเราก็ต้องเข้าใจว่าเป็นบริษัทระดับไหน
Value Investor หลายคนอาจจะไม่สนใจที่จะลงทุนในหุ้น Super Stock แต่การเรียนรู้เรื่องของ “คุณสมบัติ” ของบริษัทนั้นก็เป็นประโยชน์ไม่น้อยในการที่จะช่วยเป็น “ตัวประกอบ” ในการเลือกหุ้นลงทุน นั่นก็คือ หลังจากพบหุ้นที่ “ราคาถูก” เข้าเกณฑ์ที่จะซื้อแล้ว ก็ควรดูถึงคุณสมบัติว่าบริษัทน่าจะอยู่ในระดับไหน ถ้าทำได้แบบนี้ ราคาก็จะไม่ใช่เงื่อนไขเดียวที่จะซื้อ สิ่งที่ถูกต้องมากกว่าอาจจะเป็นว่า ไม่ได้ซื้อหุ้นที่ราคาถูกที่สุด แต่เป็นราคาถูกมากเมื่อเทียบกับคุณสมบัติของบริษัท
http://www.thaivi.com/2010/01/110/