http://www.efinancethai.com/LastestNews ... h=2&lang=TUpdate/KKP ปรับลดเป้าสินเชื่อปีนี้ คาดโตเลขหลักเดียว จากเดิมคาดโต 21% ส่งซิกเอ็นพีแอลพุ่ง รับผลกระทบจากการเมือง
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย- -18 ก.พ. 57 14:41 น.
KKP ปรับลดเป้าสินเชื่อปีนี้ คาดโตเลขหลักเดียว จากเดิมคาดโต 21% รับผลกระทบจากการเมือง ยอมรับเอ็นพีแอลปีนี้สูงกว่าปีก่อนแน่นอน ขณะที่เดือน ม.ค.57 เพิ่มขึ้นแล้ว 0.5%
นายอภินันท์ เกลียวปฏินนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน)หรือ KKP เปิดเผยว่า ธนาคารฯ ได้มีการปรับลดเป้าสินเชื่อในปีนี้จากที่ตั้งเป้าหมายไว้ 21% เป็นการเติบโตเพียงเลขหลักเดียว เนื่องจากตอนที่ตั้งเป้าหมายโต 21% นั้นอยู่ภายใต้สมมติฐานว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ (จีดีพี)ของประเทศไทยในปี 2557 จะอยู่ที่ 4.3% แต่ตอนนี้คาดว่าจีดีพีจะโตเพียง 2.8% ทำให้เป้าหมายสินเชื่อปรับลดลงตามจีดีพี ซึ่งจีดีพีที่ปรับลดลงเป็นผลกระทบจากปัญหาสถานการณ์การเมือง
" จีดีพีในปีนี้มีการปรับลดลงเป็น 2.8% ซึ่งหากคิดในสถานการณ์การเมืองเป็นแบบนี้ สินเชื่อน่าจะเติบโตเหลือเลขหลักเดียว ซึ่งวัดจากเดือนม.ค.ที่ผ่านมาสินเชื่อไม่เติบโตเลย ซึ่งภาพรวมเดือนครึ่งที่ผ่านมา มีข่าวสอดคล้องออกมากับทุกธนาคารพาณิชย์และธนาคารแห่งประเทศไทย สภาวะเศรษฐกิจมีการชะลอตัวลดลง ซึ่งกระทบกับทุกภาคส่วนของประเทศ และยังกระทบกับภาคการท่องเที่ยวด้วย ซึ่งจะเห็นได้ว่าลูกค้าธนาคารมีสภาพคล่องลดลง" นายอภินันท์ กล่าว
ทั้งนี้ สินเชื่อรายย่อยในปีนี้น่าจะเติบโตได้ในอัตราที่ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา โดยจะมุ่งเน้นขยายฐานลูกค้าสินเชื่อรถเพื่อเงินสด ส่วนสินเชื่อธุรกิจ และในส่วนของสินเชื่อผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์จะเน้นการปล่อยกู้ลูกค้าเดิมและโครงการแนวราบ ซึ่งอย่างไรก็ตามสภาพเศรษฐกิจและการเมืองในประเทศที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และก่อให้เกิดผลกระทบกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ต่างๆ เป็นอย่างมาก ธนาคารจะต้องมีความยืดหยุ่นในการปรับเป้าหมายทางธุรกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ส่วนแผนการเปิดสาขา คาดจะเปิดอีก 3 แห่ง จากปัจจุบันธนาคารมีสาขารวมสำนักงานใหญ่ 87 แห่ง
ทั้งนี้ ยอมรับว่า NPL ในปีนี้คาดว่าจะสูงกว่าปีก่อนแน่นอน ซึ่งจากเมื่อเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา NPL เพิ่มขึ้น 0.5% และคาดว่าในสิ้นปีจะเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว ซึ่งอยู่ที่ 3.5% ซึ่งผลกระทบหลักเป็นเรื่องของสถานการณ์การเมืองในประเทศที่ยังไม่มีทางออก
" NPLในปีนี้คาดว่าอาจจะมีการเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่อยู่ที่ 3.5% ซึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์การเมืองที่ยังไม่นิ่ง และการที่NPL เพิ่มขึ้นจะเป็นไปตามสถานการณ์การเมืองเป็นหลัก ซึ่งจากเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา NPLเพิ่มขึ้น 0.5% โดยทางธนาคารมีการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อเป็นหลัก จึงส่งผลให้ NPL มีการเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก ซึ่งลูกค้าสินเชื่อเช่าซื้อในต่างจังหวัด ทั้งรายเก่าและรายใหม่ ส่วนใหญ่จะเป็นเกษตรกร ซึ่งจะได้รับผลกระทบจากปัญหาจำนำข้าวโดยตรง โดยวัดจากที่พนักงานของทางธนาคารได้โทรติดตามหนี้และได้รับเหตุผลในเรื่องของการยังไม่ได้รับเงินจำนำข้าว" นายอภินันท์ กล่าว
ทั้งนี้ ทางธนาคารยืนยันเรื่องการเป็นกลางทางการเมืองมาตลอด ซึ่งทางธนาคารไม่เคยปล่อยกู้ให้ทางภาครัฐเลย แต่อย่างไรก็ตามหากภาครัฐร้องขอมา แต่กฏเกณฑ์ข้อกฏหมายไม่ชัดเจน ทางธนาคารก็ไม่สามารถปล่อยกู้ให้ได้
สำหรับปีนี้ ธนาคารจะมุ่งเน้นการทำงานใน 4 ส่วน คือ การมุ่งพัฒนาเพื่อรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจวาณิชธนกิจ และนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์สถาบัน โดยจะมีการต่อยอดความสำเร็จในปีที่ผ่านมา ซึ่งจากปีที่ผ่านมาบริษัทฯ มีการให้คำปรึกษากับธนาคารแห่งโตเกียว-มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ที่เข้าซื้อหุ้นธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และยังหวังอย่างยิ่งว่าในปีนี้จะมีงานแนวนี้เข้ามาอีก
นอกจากนี้ ธนาคารจะมีการปรับพอร์ตการลงทุนและเพิ่มกลยุทธ์ใหม่ๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ โดยจะมีการแสวงหากำไรจากทิศทางของตลาดและมีการหากำไรจากความมีเหตุ มีผลของตลาด และยังจะมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อตอบสนองความต้องการของธุรกิจลูกค้าบุคคลรายใหญ่อย่างต่อเนื่อง โดยเน้นความเชื่อมโยงระหว่างบริการธนาคารกับตลาดทุน และจะมีการลงทุนพัฒนาธุรกิจวางแผนทางการเงินส่วนบุคคลภายใต้แบรนด์ Phatra Edge และพัฒนาโมเดลทางธุรกิจของ บล.เคเคเทรด และ บลจ.ภัทร
หั่นเป้าการเติบโตของสินเชื่อ รับมือ npl เพิ่ม
-
- Verified User
- โพสต์: 1244
- ผู้ติดตาม: 0
หั่นเป้าการเติบโตของสินเชื่อ รับมือ npl เพิ่ม
โพสต์ที่ 1
การเดินทางสำคัญกว่าจุดหมาย
-
- Verified User
- โพสต์: 1244
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หั่นเป้าการเติบโตของสินเชื่อ รับมือ npl เพิ่ม
โพสต์ที่ 2
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... 1392360402ศก.ไทย "แขวนบนเส้นด้าย" เสี่ยงถดถอย-ว่างงาน-หนี้ NPL พุ่ง
สศค.ชี้เศรษฐกิจไทย "แขวนบนเส้นด้าย" เหตุเครื่องยนต์ในประเทศดับหมด ทั้งยอดนักท่องเที่ยวติดลบ เบิกจ่ายภาครัฐสะดุด บริโภคและลงทุนภาคเอกชนหดตัวต่อเนื่อง ลุ้นอานิสงส์ "เศรษฐกิจโลก" ฟื้นตัวดัน "ส่งออก" พยุงสถานการณ์ ยอมรับเสี่ยงเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะถดถอยช่วงกลางปี จับตาปัญหา "ว่างงาน" และ "เอ็นพีแอล" ขยับ เผยตั้งบริษัทใหม่หด-ยอดขอยกเลิกกิจการพุ่ง
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า สศค.อยู่ระหว่างประมาณการอัตราขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจปี 2557 ใหม่ บนสมมติฐานว่าประเทศจะไม่มีรัฐบาลไปถึงสิ้นปี เนื่องจากขณะนี้ปัญหาการเมืองไม่มีความชัดเจน โดยยอมรับว่าตอนนี้เศรษฐกิจไทย "แขวนอยู่บนเส้นด้าย" ผูกไว้กับเศรษฐกิจโลกที่กำลังฟื้นตัวเป็นหลัก โดยหวังว่าจะช่วยให้การส่งออกขยายตัวได้ดีขึ้น ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศเครื่องยนต์ดับหมด
หน้าที่ของ สศค.ตอนนี้ก็คือการเพิ่มประสิทธิภาพการเบิกจ่าย เพราะในประเทศทำอะไรมากไม่ได้แล้ว ปีนี้เศรษฐกิจไทยจะเป็นอย่างไร ที่พอหวังได้คือการส่งออกที่จะมาช่วยพยุงได้บ้าง ซึ่ง สศค.มองว่าปีนี้ส่งออกจะโตได้ 6.5% จากปีที่แล้วติดลบ 0.3%
ตั้งรับกรณี "ไม่มีรัฐบาล" ถึงสิ้นปี
นายเอกนิติกล่าวว่า สศค.ได้ประเมินภาวะเศรษฐกิจปีนี้ โดยแบ่งเป็น 3 กรณี กรณีแรกเป็นการประเมินก่อนจะมีการยุบสภา ซึ่งไม่น่าจะเป็นจริงแล้ว คือเศรษฐกิจจะโตได้ 4% ส่วนกรณีที่สอง เป็นการประเมินบนสมมติฐานว่า การเมืองยืดเยื้อไปครึ่งปี หรือมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้หลังเดือน มิ.ย. ซึ่งเศรษฐกิจจะโตได้3.1% กรณีนี้อยู่บนสมมติฐานว่า ไม่มีการเบิกจ่ายงบฯลงทุนจากโครงการ 2 ล้านล้านบาท และงบฯลงทุนระบบน้ำ ขณะที่การท่องเที่ยวขยายตัวไม่ถึง 5% โดยคาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวประมาณ 28 ล้านคน ปรับลดลงจากเดิมที่เคยคาดว่าจะมีถึง 30-31 ล้านคน
และจากสถานการณ์ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่าการเมืองจะจบอย่างไร จึงได้มีการให้ประเมินเศรษฐกิจ บนสมมติฐานที่จะไม่มีรัฐบาลยาวไปถึงสิ้นปี กรณีนี้จะมีผลกระทบต่อการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ โดยเฉพาะงบฯลงทุนใหม่ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี หรือไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2558 เนื่องจากไม่มีงบประมาณใหม่ จะต้องใช้งบฯปี 2557 ไปพลางก่อน กรณีนี้คิดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวต่ำกว่า 3% แต่จะต่ำกว่าเท่าไหร่ยังอยู่ระหว่างให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบตัวเลขงบฯผูกพัน และงบฯลงทุนของรัฐวิสาหกิจว่าจะเหลืออยู่เท่าไหร่
เครื่องยนต์ในประเทศดับหมด
นายเอกนิติกล่าวว่า จากสถานการณ์การเมืองที่เกิดขึ้น สศค.ได้ประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจคือระยะสั้น ที่กระทบอย่างชัดเจนส่วนแรกคือการท่องเที่ยว ซึ่งจากที่เคยขยายตัว 2 หลัก โดยเดือน พ.ย.ก็ลดเหลือ 6-7% เดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา และเดือน ม.ค. ตัวเลขเบื้องต้นเฉพาะที่ด่านสุวรรณภูมิพบว่า จำนวนนักท่องเที่ยวติดลบไป 6-7% เนื่องจากหลังประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทำให้มี 3 ประเทศที่ห้ามประชาชนเดินทางมาประเทศไทย จากเดิมที่แค่เตือนให้หลีกเลี่ยง
ส่วนที่ 2 คือด้านการเบิกจ่ายรัฐ มีปัญหาในทางปฏิบัติค่อนข้างมาก อย่างใส่วนงบฯท้องถิ่นกระจายไปแล้วแต่ก็ยังกองอยู่ รวมทั้งงบฯที่เกิน 1,000 ล้านบาท จะต้องเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติ ทำให้ต้องรอรัฐบาลใหม่ ส่วนนี้มีเม็ดเงินประมาณ 4.5 หมื่นล้านบาท
"ในภาพใหญ่งบฯลงทุนก็ยังพอเบิกได้ แต่ประสิทธิภาพการเบิกจ่ายไม่เต็มที่ ตรงนี้ก็ต้องเร่งเบิกจ่ายส่วนที่เบิกได้ ซึ่งตอนนี้กรมบัญชีกลางก็พยายามผ่อนคลายกฎระเบียบให้สามารถจัดซื้อจัดจ้างได้สะดวกขึ้น เปิดช่องให้ใช้วิธีพิเศษ" นายเอกนิติกล่าว
ผลกระทบส่วนที่ 3 เป็นผลทางอ้อม คือการบริโภคและลงทุนภาคเอกชน ที่ชะลอตัว เห็นได้ชัดเจนจากการที่บริษัทปูนซีเมนต์เริ่มลดเป้าหมายการผลิต เมื่อลงทุนชะลอก็ส่งผลต่อการบริโภคภาคเอกชนที่จะตามมา ขณะเดียวกันการบริโภคเอกชนยังมีส่วนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากกรณีเกษตรกรยังไม่ได้เงินจำนำข้าว ทำให้เงินไม่ได้ลงไปในระบบเท่าที่ควร
ความหวัง "ส่งออก" ก็ยังแกว่ง
รองผู้อำนวยการ สศค.กล่าวว่า ต้องจับตาดูงบประมาณในระยะปานกลาง โดยเฉพาะงบฯปี 2558 และการท่องเที่ยวในไตรมาส 4 จะกลับมาได้หรือเปล่า อย่างไรก็ตามครั้งนี้ยังโชคดีที่เหตุการณ์บ้านเมืองครั้งนี้ เกิดขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว จึงหวังว่าภาคการส่งออกจะเติบโตได้ดีขึ้น
"ถ้าเศรษฐกิจโลกไม่ดี ประเทศไทยจะหนักกว่านี้ อย่างไรก็ตามแม้สัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐและญี่ปุ่นค่อนข้างชัดเจน แต่ในส่วนของยุโรปก็ยังมีปัจจัยเสี่ยง รวมทั้งจีนที่ถือว่าเป็นคู่ค้ารายสำคัญของประเทศไทยก็ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ยังไม่แน่นอน ดังนั้นผมจึงบอกว่าเศรษฐกิจไทยแขวนอยู่บนเส้นด้าย"
กลางปีเสี่ยงเจอเศรษฐกิจถดถอย
ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กำลังจะมีการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 4/2556 สัปดาห์หน้า สศค.ประเมินว่าไม่ถึง 1% แต่ยังไม่ถึงขั้นติดลบ สำหรับช่วงไตรมาส 1 และ 2 ของปีนี้ มีโอกาสที่อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจจะติดลบ ส่วนหนึ่งเพราะฐานปีก่อนที่สูงด้วย
ส่วนจะมีโอกาสเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือไม่นั้น รองผู้อำนวยการสศค.กล่าวว่า การถดถอยทางเทคนิคคือการที่จีดีพีติดลบติดต่อกัน 2 ไตรมาส นั้นขึ้นอยู่กับว่าปัญหาการเมืองยืดเยื้อแค่ไหน หากยืดเยื้อไม่จบ ทำให้ไม่มีีการเบิกจ่ายก็ย่อมมีผลกระทบ จึงขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพการเบิกจ่ายของรัฐว่าจะทำได้ดีแค่ไหน
จับตา "ว่างงาน-เอ็นพีแอล" ขยับ
นายเอกนิติกล่าวว่า ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว เครื่องยนต์ในประเทศดับ ก็ทำให้มีความกังวลผลกระทบต่อภาคธุรกิจโดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอี รวมถึงปัญหาตัวเลขการว่างงานที่จะเพิ่มขึ้น แต่โชคดีที่อัตราการว่างงานที่ผ่านมาของประเทศไทยต่ำอยู่แค่ 0.6% แม้จะเพิ่มขึ้นแต่คงไม่ถึง 5% เหมือนตอนวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 แต่ภาพที่เกิดขึ้นคือชั่วโมงการทำงานลดลง ซึ่งก็จะทำให้รายได้ของประชาชนลดลง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการบริโภคภาคเอกชน จากปกติจะโตที่ระดับ 4% แต่สถานการณ์ปัจจุบันคาดว่าตัวเลขการบริโภคภาคเอกชนปีนี้จะโตแค่ 2%
นอกจากนี้ สิ่งที่ สศค.เห็นสัญญาณเพิ่มขึ้น และเป็นห่วงคือการผิดนัดชำระหนี้ก็กลุ่มคอนซูเมอร์เครดิตก้าวกระโดด ส่วนหนึ่งก็เป็นผลกระทบจากปัญหาชาวนาไม่ได้รับเงินจำนำข้าว
ส่วนหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) เป็นอีกตัวที่ต้องจับตาคือการเพิ่มขึ้นของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) จากปัจจุบันเอ็นพีแอลรวมอยู่ที่ประมาณ 2% แต่จากที่ระบบสถาบันการเงินของไทยมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง โดยมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงสูงถึง 16 เท่า จากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนดไว้ 8.5 เท่า ทำให้ยากที่จะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ แต่ไม่ควรประมาท
"วันนี้พื้นฐานเศรษฐกิจไทยสามารถรองรับการเกิดวิกฤตได้อย่างสบาย คือ เสถียรภาพด้านต่างประเทศยังดี ดุลบัญชีเดินสะพัด สศค.คาดว่าจะกลับมาเป็นบวก จากการส่งออกที่จะเพิ่มขึ้น ขณะที่การนำเข้าลดลงตามความต้องการใช้จ่ายในประเทศที่ชะลอ ที่สำคัญทุนสำรองระหว่างประเทศสูงมาก เมื่อเทียบกับหนี้ต่างประเทศระยะสั้น โดยปัจจุบันทุนสำรองสูงกว่า 1.6 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่หนี้ต่างประเทศระยะสั้นมีแค่ 6 หมื่นล้านดอลลาร์ ปัจจัยทั้งหมดนี้คือเหตุผลที่มูดีส์ หรือเอสแอนด์พี ยังไม่ลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย" นายเอกนิติกล่าว
"เดิมเราคาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะขาดดุลเล็กน้อย แต่ตอนนี้น่าจะเกินดุล ส่วนหนึ่งคือการลงทุนที่น้อยลง มองในแง่เสถียรภาพถือว่าดี แต่มองมิติระยะยาวไม่ค่อยดี เพราะถ้าเราไม่ลงทุนวันนี้ อีกหน่อยก็จะลำบาก"
ธปท.ชี้ครึ่งปีแรกขยายตัวต่ำ
นางรุ่ง มัลลิกะมาส โฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ขณะนี้ ธปท.ปรับลดประมาณการขยายตัวเศรษฐกิจปี 2557 จาก 4% มาอยู่ที่ 3% และจีดีพีปี 2556 เป็นต่ำกว่า 3% สาเหตุสำคัญจากประเด็นการใช้จ่ายภาครัฐ ซึ่งมีผลต่อเนื่องถึงการใช้จ่ายและการลงทุนของภาคเอกชน ดังนั้นจึงคาดว่าในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ เศรษฐกิจจะขยายตัวต่ำ แต่หากก้าวข้ามปัญหาการเมืองได้ ความเชื่อมั่นจะกลับมา เศรษฐกิจจะฟื้นได้เร็ว โดยเฉพาะภาคท่องเที่ยว การบริโภคจะฟื้นได้เร็ว แม้การลงทุนจำเป็นต้องใช้เวลา
กสิกรฯชี้กรณีเลวร้ายจีดีพีปีนี้ 0%
นายเชาว์ เก่งชน กรรมการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า กสิกรไทยได้มีการประเมินภาพรวมเศรษฐกิจปี"57 แบ่งเป็น 3 กรณี กรณีแรก หากการเมืองคลี่คลายในทิศทางที่ดีขึ้น การบริโภคการลงทุนของภาครัฐ ภาคเอกชน อาจกลับมาฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งปีหลัง จะส่งผลให้ทั้งปีเศรษฐกิจเติบโตได้ 3% กรณีที่ 2 หากการเมืองไม่จบในครึ่งปีแรก และยังไม่มีรัฐบาล การเบิกจ่ายงบประมาณ โครงการลงทุนต่าง ๆ ไม่ถูกผลักดันออกมาใช้ เศรษฐกิจไทยก็อาจเติบโตได้ต่ำกว่า 3% ภายใต้การส่งออกที่คาดว่าจะเติบโตทั้งปีระดับ 5% และสุดท้ายกรณีเลวร้ายที่สุด การเมืองยืดเยื้อไปถึงสิ้นปี ภาครัฐ ภาคเอกชนไม่ลงทุนใหม่ การบริโภคภายในประเทศชะลอตัว ขณะที่ภาคการส่งออกโตเหลือเพียงระดับ 3% จะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยโตเหลือระดับ 2%
อย่างไรก็ตาม หากเกิดการปฏิวัติทางการเมือง แต่คนในประเทศรับได้ กิจกรรมเศรษฐกิจก็อาจกลับมาเดินต่อได้จะทำให้เศรษฐกิจไทยโตได้ใกล้เคียง 3% ภายใต้ส่งออกเติบโต 3-5% แต่หากเกิดการปฏิวัติ แต่สถานการณ์ยังยืดเยื้อ เกิดเหตุการณ์รุนแรง หรือเริ่มมีอีกฝั่งออกมาชุมนุมทางการเมือง จะยิ่งซ้ำเติมเศรษฐกิจไทย ขณะที่การส่งออก ที่ทุกฝ่ายต้องการให้เป็นพระเอก ไม่ได้โตตามที่คาดการณ์ จากเศรษฐกิจโลกไม่ได้ฟื้นตัวตามคาด จะทำให้ตัวเลขส่งออกโตเหลือ 1% โอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะโตเหลือระดับ 1% หรือใกล้ 0% ก็มีโอกาส
นายเชาว์ยังกล่าวอีกว่า โอกาสที่ไทยจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือไม่นั้น เชื่อว่าก็มีโอกาสหากเศรษฐกิจไทยติดลบติดต่อกันเกิน 2 ไตรมาส แต่เบื้องต้น ไตรมาสแรกและไตรมาส 2 กสิกรฯยังมองเศรษฐกิจประมาณการเป็นบวก เพราะได้ส่งออกเข้ามาช่วยสนับสนุน
"เวิลด์แบงก์" ยังมองไทยบวก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่างานแถลงเปิดตัวรายงานติดตามเศรษฐกิจไทยฉบับล่าสุด ของธนาคารโลก ดร.กิริฎา เภาพิจิตร นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ประจำประเทศไทย คาดการณ์ว่าในปี 2557 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวอยู่ประมาณ 4% โดยได้อานิสงส์มาจากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวทำให้การมองว่าการส่งออกที่ขยายตัวในระดับ 6.7%
ขณะที่การบริโภคภาครัฐและเอกชนจะขยายตัวที่ 3.5% และ 1.8% ส่วนการลงทุนภาคเอกชนจะอยู่ที่ 5.0% ขณะที่การลงทุนภาครัฐอยู่ที่ 1.0% ด้านการส่งออกสินค้าอยู่ที่ 5.6% และภาคบริการ 10%
ด้าน ดร.อูริค ซาเกา ผู้อำนวยการธนาคารโลก ประจำประเทศไทย เสริมว่า ธนาคารโลกมองเศรษฐกิจไทยในมุมบวก โดยคาดว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยจะโต 4% แต่หากปัญหาการเมืองยืดเยื้อก็ต้องปรับตัวเลขดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ยังมองว่าไทยยังจะมีการลงทุนจากต่างชาติเข้ามามากขึ้น อ้างอิงจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI ที่มีการอนุมัติการลงทุนให้กับภาคเอกชนทั้งไทยและต่างประเทศไปแล้ว สูงกว่าปีที่ผ่านมาเกือบ 1 เท่าตัว
"ปัญหาทางการเมืองไม่ได้ส่งผลให้นักลงทุนไม่เข้ามาตลอดไป แต่จะเป็นการชะงักลงชั่วคราว และตราบใดที่ประเทศไทยยังสามารถส่งออกได้ นักลงทุนก็ยังเชื่อมั่นอยู่ นอกจากนี้มองว่าโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะเข้าสู่ภาวะถดถอยมีต่ำมาก โดยอ้างอิงจากตัวเลขประมาณการเติบโตในปีนี้ ที่ 4%" ดร.ซาเกากล่าว
ดร.กิริฎาเสริมว่า ปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยมี 2 ประเด็นหลัก กรณีปัญหาการเมืองในประเทศลุกลามไปถึงขั้นปิดถนน ปิดท่าเรือ ซึ่งทำให้ผู้ผลิตสินค้าไม่สามารถส่งออกได้ เศรษฐกิจทั้งหมดก็จะได้รับผลกระทบ และกรณีที่สอง หากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ก็จะส่งผลต่อการส่งออกของไทย รวมถึงเรื่องหนี้ภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และความล่าช้าในการดำเนินโครงการภาครัฐ
ทั้งนี้ ในรายงานยังระบุถึงเศรษฐกิจไทยในปี 2556 ว่ามีการขยายตัว 3% ต่ำกว่าในปี 2555 ที่อยู่ในระดับ 6.5% อันเป็นผลมาจากการส่งออกที่ขยายตัวติดลบ 0.4%
ไร้บอร์ด BOI อนุมัติลงทุนติดล็อก
รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ระบุว่า ตั้งแต่เดือน ต.ค.-ธ.ค. 2556 ซึ่งเป็นช่วงที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบอร์ด BOI หมดวาระ การอนุมัติส่งเสริมการลงทุนลดน้อยลงเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเดือน ต.ค.อนุมัติส่งเสริมเพียง 205 โครงการ เดือน พ.ย. 123 โครงการ และเดือน ธ.ค. 97 โครงการ รวมอนุมัติส่งเสริมช่วง ม.ค.-ธ.ค. 2556 มี 2,016 โครงการ เทียบกับปี 2555 มี 2,260 โครงการ ส่วนใหญ่เป็นของต่างชาติ คือ ญี่ปุ่น, ยุโรป, ไต้หวัน, สหรัฐ, ฮ่องกง และสิงคโปร์
นายอุดม วงศ์วิวัฒน์ไชย เลขาธิการ BOI เปิดเผยว่า หากสถานการณ์การเมืองยืดเยื้อไม่เกิน 6 เดือน เชื่อว่าจะไม่กระทบการลงทุน เพราะถึงขณะนี้ยังไม่พบรายงานว่ามีผู้ประกอบการแจ้งถอนการลงทุน แต่หากยืดเยื้อกว่านั้นต้องประเมินสถานการณ์ใหม่อีกครั้ง เนื่องจากขณะนี้โครงการที่สามารถอนุมัติโดยไม่ต้องเข้าบอร์ดคือโครงการที่มีมูลค่าลงทุนไม่เกิน 200 ล้านบาทเท่านั้น ส่วนที่ลงทุนมากกว่านั้นต้องรออนุมัติจากบอร์ด ซึ่งยังไม่ได้รับการแต่งตั้ง
"เราทำหนังสือไปยังคณะกรรมการเลือกตั้งแล้ว ว่าสามารถแต่งตั้งบอร์ดได้หรือไม่ แต่ยังไม่ได้รับพิจารณา การอนุมัติโครงการจึงชะงักอยู่"
ตั้งบ.ใหม่หด-ยอดขอยกเลิกพุ่ง
ขณะที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า รายงานสถิติการจดทะเบียนบริษัทช่วงไตรมาสสุดท้ายปี 2556 ซึ่งมีปัญหาด้านการเมืองว่า มีบริษัทจดทะเบียนตั้งใหม่เพียง 12,565 รายเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีบริษัทจดทะเบียนตั้งใหม่ 17,112 ราย ลดลง 4,547 ราย หรือร้อยละ -27 ส่วนการจดทะเบียนเลิกบริษัทมี 7,946 ราย เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 7,221 ราย เพิ่มขึ้น 725 ราย หรือร้อยละ 10
หอการค้าชี้ทำเศรษฐกิจซึมยาวถึงปี"58
ด้านนายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้า คาดการณ์ว่าจากปัญหาการเมืองยืดเยื้อส่งผลต่อเศรษฐกิจของไทยปีนี้ จะขยายตัวเพียง 3-4% และมีผลต่อเนื่องถึงปี 2558 ทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวไม่ถึง 5% นอกจากนี้ภายใน 1-2 เดือนเศรษฐกิจจะซึม ประชาชนใช้จ่ายน้อยลง ใช้เงินออมมากขึ้น บัณฑิตจบใหม่จะเข้าตลาดแรงงานน้อยลง มองว่าทางออกในการแก้ไขปัญหา คือ การส่งเสริมการท่องเที่ยว รัฐเร่งจ่ายเงินให้ชาวนา ซึ่งจะพยุงให้เศรษฐกิจช่วงกลางปีขยายตัวได้
"เห็นชัดเจนว่าเศรษฐกิจในช่วงนี้ การใช้จ่ายของประชาชนจะลดลง การลงทุนเอกชนไม่เกิด หอการค้ากังวลเกี่ยวกับการแก้ปัญหาการจ่ายเงินค่าข้าวในโครงการรับจำนำข้าว ขณะที่แนวทางที่เสนอให้โรงสีปล่อยเงินกู้ให้ชาวนา 50% ของมูลค่าใบประทวน รัฐบาลควรพิจารณาให้รอบคอบ และหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพราะไม่มีกฎหมายรองรับ อาจทำให้เกิดตลาดเงินนอกระบบ 5-6 หมื่นล้านบาท ยากต่อการควบคุมและจะกลายเป็นการปล่อยกู้เงินนอกระบบ"
แนวทางที่แก้ปัญหาได้ คือ คณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (บอร์ด ธ.ก.ส.) ให้ชาวนานำใบประทานไปค้ำประกันเงินกู้และคิดดอกเบี้ยผ่อนปรน จะช่วยให้มีเม็ดเงินมาหมุนเวียนในระบบ 3-5 หมื่นล้านบาท ช่วยพยุงเศรษฐกิจได้ และบรรเทาความเดือดร้อนของชาวนา
ลงทุนภาครัฐสะดุด
ขณะเดียวกันการเมืองที่ยังยืดเยื้อและเกิดสุญญากาศในการบริหารประเทศ ได้ส่งผลกระทบรุนแรงทำให้การลงทุนโครงการขนาดใหญ่สะดุดเดินหน้าไม่ได้ อาทิ 1.กระทรวงคมนาคม มีโครงการลงทุนเกิน 1,000 ล้านบาท 13 โครงการ ต้องรอรัฐบาลใหม่ เป็นงานของกรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท กรมเจ้าท่า เป็นต้น
2.รฟม.-การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย เดือดร้อนหนักสุด เงินลงทุนรถไฟฟ้าสายสีม่วง "บางซื่อ-บางใหญ่" เงินกู้ 2 งวดแรกจะหมดในเดือน ก.พ.นี้ ต้องการเงินกู้งวดที่ 3 วงเงิน 11,000 ล้านบาท จ่ายผู้รับเหมาเพื่อรันงานก่อสร้างต่อเนื่อง
3.การเคหะแห่งชาติ เดือดร้อนหนักรวมถึงบ้านคนจน 2 โครงการ คือ 3.1 แผนงานพัฒนาใหม่ 4.9 หมื่นยูนิตสะดุด ต้องรอรัฐบาลใหม่ (แผนปี 2557-2560) 3.2 แผนลงทุนร่วมกับ รฟม. พัฒนาแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง บนที่ดิน 14 ไร่คลองบางไผ่ กับสายสีเขียว 18 ไร่ย่านบางปิ้ง เป็นต้น
การเดินทางสำคัญกว่าจุดหมาย