The honeymoon period is over.
- Highway_Star
- Verified User
- โพสต์: 440
- ผู้ติดตาม: 0
Re: The honeymoon period is over.
โพสต์ที่ 31
ขอประจานตัวเองครับ
ปีนี้ -21%
ติดลบครั้งแรกในชีวิต
มูลค่า port ตอนนี้ห่างจากจุด peak สุดของปีเกือบๆ 50%
ตอน peak นี่คิดๆ หลายครั้งเหมือนกันว่าน่าจะขายได้แล้ว
แต่ด้วยความ...อะไรซักอย่าง ทำให้รู้สึกว่า อยากจะลองอยู่กับหุ้นตัวที่ราคายังไม่ถึงเป้าที่ตั้งไว้
เดาไว้เหมือนกันว่าราคามันคงจะลงมา แต่ในเมื่อมันยังไม่ถึงเป้า (คือห่างอีกเยอะ)
เราก็ควรจะอยู่กับมันใช่ไหม (ทั้งๆ ที่มันก็ขึ้นมาพอสมควร)
คราวนี้เลยได้นอนดอยยาวววววว
ปีนี้ -21%
ติดลบครั้งแรกในชีวิต
มูลค่า port ตอนนี้ห่างจากจุด peak สุดของปีเกือบๆ 50%
ตอน peak นี่คิดๆ หลายครั้งเหมือนกันว่าน่าจะขายได้แล้ว
แต่ด้วยความ...อะไรซักอย่าง ทำให้รู้สึกว่า อยากจะลองอยู่กับหุ้นตัวที่ราคายังไม่ถึงเป้าที่ตั้งไว้
เดาไว้เหมือนกันว่าราคามันคงจะลงมา แต่ในเมื่อมันยังไม่ถึงเป้า (คือห่างอีกเยอะ)
เราก็ควรจะอยู่กับมันใช่ไหม (ทั้งๆ ที่มันก็ขึ้นมาพอสมควร)
คราวนี้เลยได้นอนดอยยาวววววว
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: The honeymoon period is over.
โพสต์ที่ 32
อย่าลืมบวกผลตอบแทนของเงินปันผลของตลาดที่ประมาณ 3% ด้วยนะครับNevercry.boy เขียน: งั้นเรามาตั้งเป็นสถิติดีมั๊ย ให้เป็นแนววิชาการ มากกว่าแนวโชว์
ปีนี้ SET ต้นปี 1391 ตอนนี้ 1367 ติดลบ 1.67%
ใครบวกนิดหน่อยก็ถือว่าเก่งกว่าคนส่วนใหญ่แล้วนะ
เดี๋ยวผมคิดวิธีก่อน จะได้ได้ความรู้กันไว้เป็นมาตรฐาน เสริมสร้างภูมิที่ถูกต้อง
ของผมโดยรวมยังเอาตัวรอดได้ครับ อาศัยหุ้นเก่าที่ถือมากว่าสองปีแล้วเพราะคิดว่าพื้นฐานยังดีอยู่ และมีในสัดส่วนที่เยอะกว่าตัวอื่น ช่วงที่ตลาดตกหนัก ๆ เลยยังพอยันอยู่ได้ ส่วนตัวที่ซื้อไปตอนต้นปี ต้องยอมรับว่าอาจจะประเมินให้ MOS น้อยเกินไป ถึงจะอ่วมไปบ้าง แต่ก็มีสัดส่วนไม่มากนัก พอร์ตช่วงนี้กับช่วงต้นปีของผมผลตอบแทนไม่ต่างกันมากนักครับ ผลตอบแทนไม่ได้มากมายอะไร แต่ก็พอใจถ้าเทียบกับความผันผวนในปีนี้ครับ แค่ไม่แพ้ตลาดก็ดีใจแล้ว แต่ถ้าได้มากกว่านี้ก็ถือว่าเป็นโบนัสครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
- เหรียญ
- Verified User
- โพสต์: 593
- ผู้ติดตาม: 0
Re: The honeymoon period is over.
โพสต์ที่ 33
ปีนี้ได้อนิสงค์ต้นปีเช่นกัน ทำให้พอร์ทยัง+39% สูงสุดในปีนี้เคย+เกิน100%
ตอนต้นปีตัวไหนที่ผมคิดว่าเต็มมูลค่าก็ขายออกไป
แต่ต้นปีพอเห็นดัชนีเพิ่มเอาๆ ความโลภ+อาการกลัวตกรถ ทำให้ผมไม่คิดที่จะถือเงินสด
ขายเสร็จสลับเข้าตัวอื่นทันที ทั้งที่ยังไม่ศึกษาอย่างเพียงพอ ที่เลวร้ายกว่านั้นผมซื้อตามคนอื่น
ผมเริ่มถามคนรอบตัวที่ทำธุรกิจหลายที่มีความเห็นด้านลบ ซึ่งไม่ปกติ
กลับมาถามตัวเอง ตัวที่ถือมันจะดีไปอีกจริงไหม แข็งแกร่งหรือป่าว
ก็ตั้งสติตัวไหนไม่มีคุณภาพก็เริ่มตัดทิ้ง ตัวไหนมั่นใจถือแล้วสบายใจก็อยู่ต่อ(แต่ตัวที่มั่นใจตอนนี้มันดันลงหนักที่สุด )
เป็นบทเรียนที่ดีสำหรับผม การซื้อตามคนอื่นทำให้เราไม่มีความมั่นใจอะไรเลย
การถือเงินสดไม่ใช่การเสียโอกาส ถ้าเรามีมันในเวลาที่เหมาะสมจะมีคุณค่ายิ่ง
ตอนต้นปีตัวไหนที่ผมคิดว่าเต็มมูลค่าก็ขายออกไป
แต่ต้นปีพอเห็นดัชนีเพิ่มเอาๆ ความโลภ+อาการกลัวตกรถ ทำให้ผมไม่คิดที่จะถือเงินสด
ขายเสร็จสลับเข้าตัวอื่นทันที ทั้งที่ยังไม่ศึกษาอย่างเพียงพอ ที่เลวร้ายกว่านั้นผมซื้อตามคนอื่น
ผมเริ่มถามคนรอบตัวที่ทำธุรกิจหลายที่มีความเห็นด้านลบ ซึ่งไม่ปกติ
กลับมาถามตัวเอง ตัวที่ถือมันจะดีไปอีกจริงไหม แข็งแกร่งหรือป่าว
ก็ตั้งสติตัวไหนไม่มีคุณภาพก็เริ่มตัดทิ้ง ตัวไหนมั่นใจถือแล้วสบายใจก็อยู่ต่อ(แต่ตัวที่มั่นใจตอนนี้มันดันลงหนักที่สุด )
เป็นบทเรียนที่ดีสำหรับผม การซื้อตามคนอื่นทำให้เราไม่มีความมั่นใจอะไรเลย
การถือเงินสดไม่ใช่การเสียโอกาส ถ้าเรามีมันในเวลาที่เหมาะสมจะมีคุณค่ายิ่ง
''I didn't come this far to only come this far''
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3227
- ผู้ติดตาม: 4
Re: The honeymoon period is over.
โพสต์ที่ 34
ธรรมดาของสิ่งต่างๆ คือ ความไม่เที่ยง การทนอยู่ได้ยาก และไม่สามารถบังคับบัญชาได้
ตลาดหุ้นเป็นสถานที่ๆ มีความไม่แน่นอนสูงสุดๆ เพราะ มันเป็นผลลัพธ์จากอารมณ์ ความคิด มนุษย์ ที่แปรเปลี่ยนอยู่ทุกขณะ ที่ถูกกระทบกับข้อมูลข่าวสาร ด้วยทัศนคติที่มีอคติจะความโลภและความกลัว ผลที่ตามมา เราจึงแทบจะไม่ทางที่จะเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้นในตลาดในระยะสั้นได้เลย
โชคดีที่ในระยะยาวแล้ว เรายังพอรู้ได้ว่า อารมณ์ที่ผันผวนแปรปรวนระยะสั้นเหล่านี้จะถูกปรับเข้าสู่สมดุลด้วยเหตุผลดีๆ ในระยะยาว และเหตุผลดีๆ ในระยะยาวเราสามารถเข้าถึงมันได้ด้วยความรู้ ความเข้าใจในกิจการ และการประเมินมูลค่ากิจการ
สำหรับผม ไม่ว่าจะอยู่ในช่วง honeymoon หรืออยู่ในช่วงวันล้างโลก หากเราไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่เกิดในระยะสั้น มองข้ามไปที่กิจการ ไปที่ภาพระยะยาวแล้ว เรารู้ว่าเราลงทุนที่ราคานี้แล้ว ในระยะยาวเราได้ผลตอบแทนจากการลงทุนเท่าไหร่ เราพอใจกับผลตอบแทนระดับนี้ไหม ที่อัตราผลตอบแทนระยะยาวระดับนี้เราอาจจะลงทุนที่สัดส่วนเท่าไหร่ กี่เปอร์เซ็นต์ แล้วเราสบายใจ... เราก็จะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นโอกาส เป็นความเป็นไปได้ ก็จะทำให้เราสามารถทำปัจจุบันขณะให้ดีที่สุดได้มากยิ่งขึ้น
สำหรับการลงทุนในปีนี้ เป็นการลงทุนต่อเนื่องมาจากปีที่แล้ว จากที่ปีที่แล้วเริ่มต้นไปลงทุนในต่างประเทศ ลดเงินกู้มาร์จิ้นลงจนมีเงินสดเป็นครั้งแรกตั้งแต่เริ่มต้นลงทุนมาเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ถอนเงินลงทุนออกมาซื้อบ้าน ซื้อรถ ด้วยเงินสด ในสัดส่วนที่มาก อย่างที่ไม่เคยใช้มาก่อน ปรับพอร์ตหุ้นในไทยให้เป็นหุ้น Defensive มากยิ่งขึ้น ในขณะที่ให้หุ้น Growth ไปอยู่ที่ตลาด NASDAQ แทน จนสัดส่วนเงินลงทุนต่างประเทศมากกว่าไทยอย่างมีนัยสำคัญ ถอยออกมาจากตลาด พยายามอยู่ห่างๆ จากนักลงทุนคนอื่นๆ เมื่อไม่ให้อารมณ์ของตลาดครอบงำความสามารถในการตัดสินใจของตัวเอง กำหนดจุด Stop loss สำหรับสัดส่วนเก็งกำไรที่เรามีอยู่ในพอร์ต ในขณะที่จัดสรรเวลาให้กับการใช้ชีวิต ย้ายบ้าน เดินทางท่องเที่ยว ออกกำลังกาย ศึกษาธรรมะ ทำประโยชน์ให้แก่สังคม
โดยส่วนตัวแล้วปีนี้เป็นปีที่ดีที่สุดนับตั้งแต่เริ่มต้นลงทุนมา ไม่ใช่เพราะผลตอบแทนที่สูง เพราะ ถ้าเทียบผลตอบแทนกับปีที่ดีๆ แล้ว ถือว่าห่างไกลกันไปมาก แต่พอร์ตยังคงทำ All Time high อยู่ ในขณะที่มีชีวิตที่สงบสุข ห่างไกลจากความวุ่นวาย ได้ปฏิบัติธรรม ได้ออกไปเรียนรู้โลก และเป็นครั้งแรกที่ได้บริจาคเงินให้กับองค์กรการกุศลหลักล้าน
สำหรับผม ปีนี้อาจจะเรียกได้ว่า Honeymoon Period พึ่งจะเริ่มต้นขึ้นมากกว่า... หวังว่าปีหน้าจะได้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์มากยิ่งขึ้น สามารถที่จะพัฒนาตัวเองให้ปีหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป ให้มีจิตใจที่เข้มแข็ง มีความเพียรพยายาม มีความผ่องใสที่มากยิ่งๆ ขึ้น
ตลาดหุ้นเป็นสถานที่ๆ มีความไม่แน่นอนสูงสุดๆ เพราะ มันเป็นผลลัพธ์จากอารมณ์ ความคิด มนุษย์ ที่แปรเปลี่ยนอยู่ทุกขณะ ที่ถูกกระทบกับข้อมูลข่าวสาร ด้วยทัศนคติที่มีอคติจะความโลภและความกลัว ผลที่ตามมา เราจึงแทบจะไม่ทางที่จะเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้นในตลาดในระยะสั้นได้เลย
โชคดีที่ในระยะยาวแล้ว เรายังพอรู้ได้ว่า อารมณ์ที่ผันผวนแปรปรวนระยะสั้นเหล่านี้จะถูกปรับเข้าสู่สมดุลด้วยเหตุผลดีๆ ในระยะยาว และเหตุผลดีๆ ในระยะยาวเราสามารถเข้าถึงมันได้ด้วยความรู้ ความเข้าใจในกิจการ และการประเมินมูลค่ากิจการ
สำหรับผม ไม่ว่าจะอยู่ในช่วง honeymoon หรืออยู่ในช่วงวันล้างโลก หากเราไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่เกิดในระยะสั้น มองข้ามไปที่กิจการ ไปที่ภาพระยะยาวแล้ว เรารู้ว่าเราลงทุนที่ราคานี้แล้ว ในระยะยาวเราได้ผลตอบแทนจากการลงทุนเท่าไหร่ เราพอใจกับผลตอบแทนระดับนี้ไหม ที่อัตราผลตอบแทนระยะยาวระดับนี้เราอาจจะลงทุนที่สัดส่วนเท่าไหร่ กี่เปอร์เซ็นต์ แล้วเราสบายใจ... เราก็จะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นโอกาส เป็นความเป็นไปได้ ก็จะทำให้เราสามารถทำปัจจุบันขณะให้ดีที่สุดได้มากยิ่งขึ้น
สำหรับการลงทุนในปีนี้ เป็นการลงทุนต่อเนื่องมาจากปีที่แล้ว จากที่ปีที่แล้วเริ่มต้นไปลงทุนในต่างประเทศ ลดเงินกู้มาร์จิ้นลงจนมีเงินสดเป็นครั้งแรกตั้งแต่เริ่มต้นลงทุนมาเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ถอนเงินลงทุนออกมาซื้อบ้าน ซื้อรถ ด้วยเงินสด ในสัดส่วนที่มาก อย่างที่ไม่เคยใช้มาก่อน ปรับพอร์ตหุ้นในไทยให้เป็นหุ้น Defensive มากยิ่งขึ้น ในขณะที่ให้หุ้น Growth ไปอยู่ที่ตลาด NASDAQ แทน จนสัดส่วนเงินลงทุนต่างประเทศมากกว่าไทยอย่างมีนัยสำคัญ ถอยออกมาจากตลาด พยายามอยู่ห่างๆ จากนักลงทุนคนอื่นๆ เมื่อไม่ให้อารมณ์ของตลาดครอบงำความสามารถในการตัดสินใจของตัวเอง กำหนดจุด Stop loss สำหรับสัดส่วนเก็งกำไรที่เรามีอยู่ในพอร์ต ในขณะที่จัดสรรเวลาให้กับการใช้ชีวิต ย้ายบ้าน เดินทางท่องเที่ยว ออกกำลังกาย ศึกษาธรรมะ ทำประโยชน์ให้แก่สังคม
โดยส่วนตัวแล้วปีนี้เป็นปีที่ดีที่สุดนับตั้งแต่เริ่มต้นลงทุนมา ไม่ใช่เพราะผลตอบแทนที่สูง เพราะ ถ้าเทียบผลตอบแทนกับปีที่ดีๆ แล้ว ถือว่าห่างไกลกันไปมาก แต่พอร์ตยังคงทำ All Time high อยู่ ในขณะที่มีชีวิตที่สงบสุข ห่างไกลจากความวุ่นวาย ได้ปฏิบัติธรรม ได้ออกไปเรียนรู้โลก และเป็นครั้งแรกที่ได้บริจาคเงินให้กับองค์กรการกุศลหลักล้าน
สำหรับผม ปีนี้อาจจะเรียกได้ว่า Honeymoon Period พึ่งจะเริ่มต้นขึ้นมากกว่า... หวังว่าปีหน้าจะได้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์มากยิ่งขึ้น สามารถที่จะพัฒนาตัวเองให้ปีหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป ให้มีจิตใจที่เข้มแข็ง มีความเพียรพยายาม มีความผ่องใสที่มากยิ่งๆ ขึ้น
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: The honeymoon period is over.
โพสต์ที่ 36
ขออนุโมทนาบุญด้วยครับpicatos เขียน: โดยส่วนตัวแล้วปีนี้เป็นปีที่ดีที่สุดนับตั้งแต่เริ่มต้นลงทุนมา ไม่ใช่เพราะผลตอบแทนที่สูง เพราะ ถ้าเทียบผลตอบแทนกับปีที่ดีๆ แล้ว ถือว่าห่างไกลกันไปมาก แต่พอร์ตยังคงทำ All Time high อยู่ ในขณะที่มีชีวิตที่สงบสุข ห่างไกลจากความวุ่นวาย ได้ปฏิบัติธรรม ได้ออกไปเรียนรู้โลก และเป็นครั้งแรกที่ได้บริจาคเงินให้กับองค์กรการกุศลหลักล้าน
ความรู้สึกในปีนี้ของผมนั้น ตอนที่หุ้นตกหนักในช่วงแรก ๆ ยอมรับว่ามีความหวั่นไหวไม่น้อย แต่พอนานวันเข้าผมเองก็รู้สึกว่าตัวเองปรับตัวได้ จริง ๆ ผมมีประสบการณ์กับตลาดหุ้นมานานก่อนที่จะมีปีที่ตลาดดีอย่างช่วง 4 ปีนี้ มันเหมือนกลับไปสู่ความเป็นจริง กลับไปสู่สัจธรรมของตลาดหุ้น ความรู้สึกที่เคยอยู่กับตลาดที่ไม่ดีก็ค่อย ๆ กลับมา แต่ผมว่าบางครั้งมันก็มีสิ่งดี ๆ ไม่น้อย ทำให้ผมดูจอหุ้นน้อยลง การที่นักเก็งกำไรหายไป ราคาหุ้นที่ขึ้นอย่างร้อนแรงเวลาที่หุ้นตัวไหนลงข่าวดีผ่านสื่อก็หายไป ผมรู้สึกซื้อหุ้นได้ราคาถูกลง ถึงแม้ว่าซื้อแล้วมันจะไม่ขึ้นเร็วแบบเมื่อก่อน แต่เราจะมีเวลาพิจารณาหุ้นมากขึ้น จะว่าไปตลาดแบบนี้มันเป็นบททดสอบว่าใครแกร่งจริงหรือไม่ และถ้าเราผ่านมันไปได้ ไม่ว่าจะตลาดจะดีหรือร้ายเราก็จะอยู่รอดได้
ส่วนใครที่ลาออกจากงานมาลงทุนเต็มเวลา ถ้าใครมีเงินลงทุนมากชนิดที่ขาดทุนบ้างกำไรน้อยบ้างก็ยังใช้ชีวิตอยู่ได้แบบไม่เดือดร้อนก็คงไม่เสียหายอะไร แต่ถ้าใครที่ต้องอาศัยเงินดำรงชีพโดยต้องพยายามทำกำไรจากตลาดหุ้นให้ได้ อาจจะต้องกลับมาคิดไตร่ตรองให้ดีว่ามันเสี่ยงเกินไปไหม เพราะเราไม่มีทางรู้ว่าตลาดหุ้นมันจะอยู่ในสภาพแบบนี้อีกนานเท่าไหร่ ยิ่งมีความกดดันว่าจะต้องหารายได้มาใช้จ่าย เราก็จะต้องทำอะไรที่เสี่ยงมากขึ้น
บางครั้งพอเราไม่คาดหวังอะไรกับมันมากนัก กลับมีสิ่งดี ๆ ที่เราไม่ได้คาดหวังเกิดขึ้น เช่นเดียวกันบางครั้งถ้าเราหวังมาก มั่นใจมาก บางครั้งสิ่งที่เกิดขึ้นมันก็เป็นตรงกันข้าม
เมื่อตอนต้นปีตอนที่ตลาดขึ้นไป 1600 จุดนั้น ผมเชื่อว่าพอร์ตของคนส่วนใหญ่น่าจะขึ้นไป new high จะมากจะน้อยก็อีกเรื่องหนึ่ง ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ตอนที่ตลาดเริ่มลงอย่างรุนแรงพร้อมกับข่าวร้ายสารพัด มูลค่าพอร์ตก็ลดลง ด้วยสภาพตลาดและระยะเวลาที่เหลือของปีตอนนั้นในใจผมเพียงคิดว่าขอให้ไม่แพ้ตลาดผมก็พอใจแล้ว ถ้าพอร์ตผมจะต้องติดลบก็ขอให้ลบน้อยกว่าตลาด แต่ผมเองยังคงยึดมั่นในแนวทางที่ตัวเองทำมาตลอดคือการถือหุ้นมากกว่าเงินสด และส่วนใหญ่จะเป็นการถือหุ้น 100% การไม่เล่นมาร์จิ้น หุ้นบางตัวที่เราประเมินผิดก็ขายออกไป เลือกตัวที่ดีกว่าเข้ามาแทน ผมหวังเพียงประคองตัวให้ผ่านปีที่ยากนี้ไปให้ได้ โดยไม่ได้หวังอะไรมากนัก แต่ผมคิดว่าผมอาจจะโชคดีด้วยที่สุดท้ายหุ้นบางตัวที่ผมถือไว้ค่อนข้างมากกลับขึ้นสวนทางกับตลาดเลยทำให้มูลค่าพอร์ต ณ ตอนนี้ไม่แตกต่างกับเมื่อตอนต้นปีมากนัก
และผมเชื่อว่าตลาดแบบนี้แหละครับ คือตลาดที่เราต้องพบกับเรื่องราวความเป็นจริง การซื้อหุ้นแล้วไม่ขึ้น หุ้นดีแต่ราคากลับลง มันเหมือนกับเราตื่นมาพบกับความจริง ซึ่งไม่เหมือนกับฝันดีที่มีแต่ความสวยหรูเหมือนในช่วงที่ผ่าน ๆ มาครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"