|0 คอมเมนต์
รถคันแรกพ่นพิษ ตลาดรถหมีจำศีล
ปรากฏการณ์ตลาดรถยนต์ทั่วเมืองไทย ชั่วโมงนี้ล้นสต๊อก ทั้งรถใหม่หรือใช้แล้วยอดขายอืดสนิท หลายคนชี้นิ้วโทษไปที่ควันหลงจากโครงการคืนภาษีรถยนต์คันแรกของรัฐบาล
อะไร คือ ปัญหาสาเหตุที่แท้จริง และการขอคืนภาษีสรรพสามิตจากโครงการรถยนต์คันแรกของรัฐบาล ไปเกี่ยวข้องกับภาวะ “หมีจำศีล” ที่เกิดขึ้นกับตลาดรถยามนี้ได้อย่างไร เป็นประเด็นที่น่าติดตาม
เด่น นิลพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามนิสสัน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งมีประสบการณ์ในธุรกิจทั้งขายรถใหม่ป้ายแดง และรถใช้แล้ว (ยูสด์คาร์) มานานกว่า 30 ปี บอกว่า นับจากสิ้นสุดโครงการขอคืนภาษีรถยนต์คันแรกของรัฐบาล จนถึงเวลานี้ สภาพโดยรวมที่เกิดขึ้น น่าจะใช้คำว่า “ทุกขลาภ”
เขาอธิบายว่า รถยนต์ที่จะเข้าร่วมในโครงการขอคืนภาษีรถยนต์คันแรก มีเงื่อนไขว่า จะต้องมีราคาขายปลีกไม่เกินคันละ 1,000,000 บาท เป็นรถยนต์ขนาดความจุกระบอกสูบไม่เกิน 1,500 ลูกบาศก์เซนติเมตร เป็นรถที่ผลิตขึ้นภายในประเทศ ไม่รวมรถยนต์ที่ประกอบจากชิ้นส่วนนำเข้าใช้แล้วจากต่างประเทศ (รถยนต์จดประกอบ)
การขอคืนเงิน จะได้รับเงินคืนเท่ากับภาษีตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน คันละ 100,000 บาท นอกจากนี้ผู้ซื้อต้องมีอายุ 21 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ต้องครอบครองรถยนต์ไม่น้อยกว่า 5 ปี และการคืนเงินจะคืนให้ต่อเมื่อ ครอบครองรถยนต์ไปแล้ว 1 ปี (เริ่มจ่ายคืนให้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2555)
เด่น บอกว่า โครงการนี้ เป็นทุกขลาภ ตรงที่ปีที่แล้วซึ่งยังอยู่ในระยะเวลาของโครงการฯ ได้ทำให้ยอดขายรถยนต์แทบทุกยี่ห้อในตลาดรถเมืองไทย ขายดีแทบถล่มทลาย โดยเฉพาะรถรุ่นประหยัด หรืออีโค คาร์
ไม่ว่าจะเป็นยอดขาย รถยนต์โตโยต้า รุ่น วีออส, ฮอนด้า ซิตี้, นิสสัน อัลมีรา, มาสด้า 2, นิสสัน มาร์ช, ฟอร์ด Fiesta, ฮอนด้า แจ๊ซ, มิตซูบิชิ มิราจ, โตโยต้า ยาริส และ ฮอนด้า บริโอ ทั้ง 10 รุ่นและยี่ห้อที่กล่าวมา ล้วนเป็น 10 อันดับรถยนต์ขายดีในโครงการขอคืนภาษีรถยนต์คันแรก
แต่เขาว่า อย่าลืม...บริษัทแม่แต่ละค่าย ที่ผลิตรถยนต์ออกมาขาย ไม่ได้มีขายสินค้าเฉพาะรถอีโค คาร์ ที่สามารถเข้าร่วมกับโครงการรถยนต์คันแรกเท่านั้น ยังมีภาระต้องระบายสต๊อกรถรุ่นอื่นๆอีก
“มันก็คล้ายกับกรณี ซื้อเหล้าพ่วงเบียร์นั่นแหละ คือ ทุกค่ายรถไม่ได้ทำตลาดแค่ อีโค คาร์ ยังมีรถรุ่นอื่นที่ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการคืนภาษีรถคันแรกให้ระบายสต๊อก จึงต้องหาทางผลักดันรถที่ค้างสต๊อกให้พลอยขายได้ไปด้วย ทุกค่ายจึงอัดแคมเปญกันมโหฬาร เพื่อจูงใจให้คนหันมาซื้อ สุดท้ายก็เจ็บระนาวกันเป็นลูกโซ่”
กล่าวคือ เมื่อรถใหม่ป้ายแดง ที่ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการขอคืนภาษีรถคันแรก ถูกดัมพ์ราคาลง เพื่อล่อใจคนซื้อ เมื่อรถเหล่านั้นถูกขายต่อไปเป็นรถเก่าใช้แล้ว ก็ยิ่งมีราคาต่ำลงไปอีก ในตลาดรถมือสอง
ยกตัวอย่าง ผลพวงจากโครงการรถยนต์คันแรก ทำให้ นิสสัน รุ่น เทียน่า ในตลาดรถใช้แล้วล่าสุด มีการดัมพ์ราคาลงคันละ 200,000 บาท โตโยต้า คัมรี่ ตัวเก่าก่อนเปลี่ยนโฉม ลดราคาลงถึงคันละ 350,000 บาท หรือจะเป็นฮอนด้า แอคคอร์ด ตัวเก่า ราคาในตลาดรถมือสอง ร่วงลงมาถึงคันละ 300,000 บาท
แม้แต่รถเล็กอย่าง โตโยต้า วีออส ตัวเก่า ช่วงที่เป็นรถป้ายแดงราคาคันละ 6 แสนกว่าบาท เมื่อถูกขายต่อไปเป็นรถมือสอง ชั่วโมงนี้ถูกดัมพ์ราคาลงถึงคันละ 150,000 บาท หรือราคาหายไปเกือบ 25%
ส่วนรถตามโครงการคืนภาษีรถยนต์คันแรก ที่ลูกค้าส่วนหนึ่งซื้อไปแล้วผ่อนส่งค่างวดไม่ไหว เด่น บอกว่า หากไปยึดมา ก็ไม่สามารถโอนสิทธิ์กันได้ เพราะติดเงื่อนไขห้ามโอนภายในระยะเวลา 5 ปี
ในทางปฏิบัติ ว่ากันว่า บางกรณีแบงก์ หรือผู้ให้สินเชื่อ ใช้วิธีฟ้องผู้เช่าซื้อให้ผ่อนชำระแทนการยึดรถ เพราะหากใช้วิธีไปยึดมา ภาระจะตกหนักอยู่กับผู้ยึด เนื่องจากไม่สามารถนำไปโอนต่อได้ หรือบางรายใช้วิธีไปขอเจรจา ยอมจ่ายภาษีคืนให้แก่กรมสรรพสามิต เพื่อให้สามารถโอนกรรมสิทธิ์รถได้ก่อนครบกำหนดเงื่อนไข 5 ปี
เด่น บอกว่า รวมความแล้ว สารพัดผลพวงที่เกิดขึ้น และโยงใยกันเป็น ห่วงโซ่ ส่งผลมาถึงปีนี้ จะเห็นว่าตามโชว์รูม ตัวแทนจำหน่าย หรือดีลเลอร์ขายรถยนต์ใหม่ มีแต่รถจอดนิ่งสนิทกันเป็นแถว แม้แต่โรงงานผลิตรถยนต์ของบริษัทแม่แต่ละค่ายรถเอง ก็ต้องหันมาลดเป้าการผลิตของตัวเองลง
“เวลานี้ค่ายรถส่วนใหญ่ มีรถยนต์นั่งส่วนบุคคล หรือซีดาน และรถรุ่นประหยัด หรืออีโค คาร์ เป็นตัวหล่อลื่นยอดขายเป็นหลัก ทางรอดอยู่ที่นอกจากทุกค่ายต้องพยายามออกสินค้าตัวใหม่มายั่วยวนลูกค้า ยังต้องรอดูสถานการณ์ลากยาวไปจนถึงสิ้นปีนี้อีกทีว่า ทิศทางเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร”
ด้าน พิชิต หาญวิริยะกุล เจ้าของเต็นท์รถ พี.พี.พี. ออโต ศูนย์รวมรถยนต์ออโต คาร์ซ่า ย่าน กม.7 รามอินทรา เป็นอีกรายที่เปิดใจสารภาพ
เขาว่า ตั้งแต่ทำธุรกิจรถยนต์ใช้แล้ว (ยูสด์คาร์) มานานนับสิบปี ยอมรับว่า วิกฤติตลาดรถยนต์ใช้แล้วในเมืองไทยรอบนี้ ถือว่าหนักสุด
พิชิตเล่าว่า ปัญหาส่วนหนึ่งเกิดจากรถยนต์ใหม่ตามโครงการขอคืนภาษีรถยนต์คันแรก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรถขนาดเล็ก ซึ่งได้รับการลดภาษีลงคันละ 1 แสนบาท มีส่วนทำให้ตลาดรถใช้แล้ว ซึ่งเงียบอยู่แล้วก่อนหน้า ยิ่งเงียบหนักขึ้นไปอีก เมื่อโครงการฯนี้เกิดขึ้น
ประการถัดมา แต่ละโชว์รูมที่ขายรถยนต์ใหม่ทุกยี่ห้อ พยายามทำสงครามราคา แข่งกันขาย ด้วยการลดกระหน่ำ เพื่อให้ลูกค้าหันไปซื้อรถรุ่นอื่นๆ ที่ไม่ใช่อีโค คาร์ หรือรุ่นที่ไม่สามารถเข้าร่วมกับโครงการคืนภาษีรถยนต์คันแรกได้ เพื่อหวังจะระบายสต๊อก
กรณีที่สาม เกิดจากการที่บรรดาไฟแนนซ์ พากันลดยอดการจัด หรือปล่อยสินเชื่อซื้อรถลง เพราะก่อนหน้านี้หลายไฟแนนซ์ประสบปัญหาขาดทุน ทำให้เวลานี้ดอกเบี้ยรถเก่า พลอยพุ่งสูงขึ้นตาม
พิชิตบอกว่า ยิ่งปัจจุบันลูกค้าที่ซื้อรถยนต์ใช้แล้วส่วนใหญ่ หรือประมาณ 50% ล้วนแต่มีประวัติติดแบล็กลิสต์หรือบัญชีดำหนี้เสียแทบทั้งสิ้น ทำให้ข้อมูลประวัติไปปรากฏกับทางเครดิต บูโร ลูกค้าหลายราย จึงไม่สามารถจัดไฟแนนซ์ได้
“การที่ไฟแนนซ์ซึ่งปล่อยสินเชื่อซื้อรถ เข้มงวดกับลูกค้ามากขึ้น คิดดอกเบี้ยในอัตราที่แพงขึ้น และปรับลดยอดการจัดไฟแนนซ์ต่ำลง เช่น เมื่อก่อนรถรุ่นนี้ สภาพนี้ เคยให้ยอดจัดไฟแนนซ์ถึงคันละ 7 แสนบาท แต่เดี๋ยวนี้ตัดลดยอดลงมาเหลือให้แค่คันละไม่ถึง 5 แสนบาท ทำให้ลูกค้าตลาดรถเก่า ต้องใช้เงินดาวน์สูงขึ้น โอกาสที่เต็นท์รถมือสองจะขายรถเก่าได้ ก็พลอยยากขึ้นตาม”
“เราต้องแก้ทางด้วย ถ้าจะซื้อรถใช้แล้วเข้ามาขายในเต็นท์ ชั่วโมงนี้ ต้องซื้อเข้ามาในราคาที่ต่ำตามสภาวะตลาด อย่างเช่น รถยนต์มิตซูบิชิ รุ่น สเปซ วากอน ขนาด 2,400 ซีซี จดทะเบียนปี 2005 ช่วงต้นปีนี้ ยังซื้อเข้าได้ในราคาคันละ 6 แสนบาท แต่ชั่วโมงนี้รับซื้อเข้าเต็มที่ได้แค่คันละ ไม่ถึง 5 แสนบาท เป็นต้น”
“ไม่มีใครกล้าซื้อเข้าแพง เพราะรถเก่าก็ยอดขายอืด ที่อยู่ได้ก็เพราะอาศัยเน้นขายรถดี รถสวย ตั้งราคาถูกๆ เอากำไรน้อยหน่อย แค่คันละ 2-3 หมื่นบาทพอ แต่เน้นระบายสินค้าออกให้เร็ว”
พิชิตบอกว่า นอกจากต้องอาศัยทางรอดด้วยวิธีการดังกล่าว ทางเจ้าของพื้นที่ให้เช่าตั้งเต็นท์ (ตลาดรถออโต คาร์ซ่า) ยังต้องออกมาตรการเยียวยามาช่วย ให้เลือกอย่างหนึ่งอย่างใดใน 3 อย่าง
“อย่างแรก เจ้าของพื้นที่เช่าให้เลือกว่า อยากได้ พริตตี้ หรือโคโยตี้ มาเต้นโชว์เพื่อหวังดึงดูดให้ลูกค้ามาซื้อรถหรือไม่ อย่างที่สอง ไม่คิดค่าน้ำ ค่าไฟ ซึ่งเต็นท์รถส่วนใหญ่ต้องจ่ายเฉลี่ยเดือนละประมาณ 10,000 บาท หรือกรณีที่สาม ให้เลือกว่า อยากลงโฆษณาทางอินเตอร์เน็ต หรือในหนังสือคู่มือซื้อ-ขายรถมือสองฟรีมั้ย”
“ได้ข้อสรุปว่า พวกเราส่วนใหญ่ เลือกเอามาตรการเยียวยาที่ 2 คือ ไม่คิดค่าน้ำ ค่าไฟ เพราะมันช่วยลดค่าใช้จ่ายได้เห็นๆ ส่วนอีก 2 ข้อ ที่ให้เลือก ไม่มีใครแน่ใจว่า จะใช้ได้ผลหรือไม่ ท้ายสุดทุกเต็นท์รถต่างภาวนา รอจนถึงสิ้นปี หวังว่าสถานการณ์น่าจะดีขึ้น” พิชิต ทิ้งท้าย.
โดย: ไทยรัฐฉบับพิมพ์
21 กันยายน 2556, 05:00 น.
http://m.thairath.co.th/content/pol/370950