มีตอนต่อมั๊ยครับชอบมากkoko8889 เขียน:ขออนุญาตแชร์ประสบการณ์ครับ
หลายปีก่อนอ่านหนังสือเล่มนึงพูดถึงสภาวะที่อิสระสุด ๆ แต่ไม่เข้าใจ แต่เวลาผ่านไปเรื่อย ๆ ก็เข้าทีละเล็กละน้อยตามปัญญาที่สะสมขึ้นครับ " I don't have anything, but I have everything."
หลายวันที่ผ่านมามีกัลยาณมิตรส่งลิ้งค์ มาให้ ก็ชอบครับ
http://www.youtube.com/watch?v=NJ9UtuWfs3U
ชอบก็ต่อยอดครับ, ไม่ชอบก็ลืม ๆ ไปน่ะครับ
เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4626
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 61
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4626
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 62
ผมว่าประโยคที่ อาจารย์เขียนมานี่คือแก่นเลยครับ แก่นคือ "กระบวนการคิดอย่างมีเหตุมีผล" ผสมผสานกับ กาลามสูตร10เด็กใหม่ไฟแรง เขียน:จริงๆ ผมอยากให้ท่านอาจารย์เด็กใหม่ เล่าวิธีปฏิบัติธรรมของท่านให้เราทราบ
เป็นวิทยาทาน เผื่อคนที่อ่าน อ่านแล้วเห็นว่า
ธรรมนี่มันง่ายนะ ทำได้จริง และอยากทำตามได้บ้างครับ
เหมือนการลงทุนแนววีไอเนี้ยครับ ที่ดูแล้วก็ง่ายนะ ทำได้นะ แล้วเราก็อยากทำตามครับ
ผมไม่กล้าเล่าหรือแนะนำครับ
เพราะตัวเองยังไม่สามารถพิสูจน์ผลงานได้เลยครับ
ไม่เหมือนงานวิจัย ที่ทำได้ตามแนวทางที่กำหนด
ซึ่งแม้แต่งานวิจัยเองก็ตาม
ยังไม่สามารถนำมาใช้ในโลกแห่งความเป็นจริงได้อย่างเต็มที่ครับ
เรื่องที่หนึ่ง พระพุทธศาสนาและวีไอ เหมือนกันตรงที่ไม่ให้เชื่ออะไรแบบงมงาย ให้สร้างสติและตรองด้วยปัญญา อย่าใช้จิตทำงานให้สติควบคุมจิตและใช้ปัญญาทำงาน
ยกตัวอย่าง งานวิจัยของ อ.เด็กใหม่เรื่องการคัดหุ้นโดย PE Ratio ได้ข้อสรุปมาข้อหนึ่ง เช่น ตลาดหุ้นไทยหากใช้พีอีเรโชในการเลือกหุ้นจะได้ผลตอบแทนดีที่สุด ในขณะที่ งานวิจัยทางสถิติของ อ.เคน ฟิชเชอร์ เขียนไว้ในหนังสือ Debunkery หน้า107 บทที่ 26 Low P/Es Mean Low Risk เค้าปฏิเสธความเชื่อนี้
People tend to think low price-to-earnings (P/E) ratios mean low risk for single stocks and the market as a whole. It's an almost universal, near-religious belief that "everyone knows." But it's just wrong. ใครสนใจตามไปอ่านกันต่อได้นะครับ
ถ้าผมยึดติดขันธ์5 กับสัญญาเก่า เช่น เคน ฟิชเชอร์ เป็นลูกชายของ ฟิล ฟิชเชอร์ ซึ่งน่านับถือแล้วผมเชื่อเค้าเลย หรือ ผมเชื่อ อ.เด็กใหม่ เลย ทันที ฟึ่บฟั่บ พรุ่งนี้ไปโหลดหุ้น PE ต่ำ ๆ มาใส่พอร์ทเต็ม ๆ เลย ซึ่งคงไม่ใช่ ผมคงไม่ทำแน่ ๆ ถ้าผมทำแสดงว่าผมทำด้วยจิตลิงโลดกระโดดเกาะเพียงเพราะเห็นคนนามสกุลฟิชเชอร์ก็คิดเลยว่าเค้าเก่งแน่ ๆ เพียงเพราะเห็น ว่าเป็น อ.เด็กใหม่ ก็คิดว่าเค้าเซียนแน่ ๆ หลายคนเป็นนะ ซื้อหุ้นตามเซเลป เพราะจิตไง เห็นว่าเซียนซื้อ ดูรายชื่อ ผถห. ใหญ่แล้วซัดตามเลย จิตกระโดดเกาะเลย ไม่ได้นะ ไม่ดี
ขันต์ห้าเป็นของหนักเน้อ เวลาเราทำวัตรเช้าเย็น นะ เราก็สวดกัน ขันต์ห้าเป็นของหนักเน้อ แต่เห็นชื่อ เซียน A ซื้อหุ้น X นั่นไง ขอด้วยคนชั้นด้วยดิ เฮ้ย ชั้นด้วยเด๋วตกรถ มันเป็นซะหยั่งงี้ แล้วพอกลับไปปฏิบัติก็ท่องต่อ ขันต์ห้าเป็นของหนักเน้อ ก็หนักแล้วก็ถือทำไมละคุณพี่
ผมคงไม่เชื่อว่าหุ้น พีอีสูง หรือ พีอีต่ำ ผมจะโหลดใส่พอร์ต เพียงเพราะ เป็นงานวิจัยของ อ.เคน หรือ อ.เด็กใหม่ มันต้องผ่านกระบวนการคิดกระบวนการไตร่ตรอง ลองลงมือดูสิว่าเป็นอย่างไรและใช้เวลากับมันจนเราเห็นชอบด้วยตัวเราเองว่า เออ ซื้อหุ้นพีอีต่ำด้วยสภาวะแบบนี้ผลตอบแทนเป็นแบบไหน ซื้อหุ้นพีอีสูงด้วยสภาวะแบบนั้นผลตอบแทนเป็นแบบไหน?
หากผมจะใช้พีอี ผมก็คงต้องเป็นแบบนั้น บังเอิญว่าตัวผมเองก็ไม่ได้ใช้พีอีในการซื้อหุ้นอีกนั่นหล่ะ ก็นะ
เรื่องที่สอง ความไม่เที่ยง ไตรลักษณ์ รู้แต่ทำใจไม่ได้แปลว่าไม่รู้ เอาใหม่ อ่านอีกที รู้แต่ทำใจไม่ได้แปลว่าไม่รู้ ถึงรู้ก็ไม่เท่าทัน ในหนังสือของ ดร. โมเบียส ศิษย์เอก ของเซอร์จอห์น ซึ่งปัจจุบัน ดร.โมเบียส นี่เป็นเจ้าพ่อทางด้านอีเมิร์ชจิ้งมาร์เก็ตมากนะครับ และก็รู้เรื่องประเทศไทยดีทีเดียว ในหนังสือ Passport To Profit ของท่านเขียนถึง Ground Zero ของการลงทุน คืออะไรทราบมั๊ยครับ?
Ground Zero ของการลงทุนคือ "ตลาดหุ้นไม่มีอยู่จริง" โอ้ ตรงนี้ลงกลางกะบาลผมเลย มันไปลงตรงไตรลักษณ์ เลย โลกนี้คือละคร ตลาดหุ้นไม่มีอยู่จริง ไม่เชื่อรอดูพรุ่งนี้ดิครับ ไม่เพิ่มก็ลด ไม่งั้นก็เท่าเดิม
เพิ่มขึ้น - จิตเกิด - รวยและ กู้เงินมาซื้อเพิ่ม ยิ่งซื้อยิ่งขึ้น เซียนชัด ๆ
ลดลง - จิตตก - ชิหาย ต้องทำอะไรสักอย่าง ขายแม่มโล์วเลย
เท่าเดิม - จิตหงุดเงี๊ยว - เซ็งงงงงงงงงง สลับตัวเลย ซื้อควายขายหมู
ของกู ไม่มีอยู่จริง ตัวกู ไม่มีอยู่จริง อย่าเผลอนะครับ แว่ป ไปดูราคาหุ้นแล้วนึกว่าเรามีเงิน = จำนวนหุ้น คูณ ราคาหุ้น มันไม่มีอยู่จริงครับ
................
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
-
- Verified User
- โพสต์: 4596
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 63
ในเมื่อ อ. ไม่เล่า งั้นผมของโอกาสเล่านิดหน่อยนะครับ เรื่องธรรมก็พอได้อ่านได้ฟังได้ทำมาบ้าง พอเล่าได้อยู่ครับ ผิดถูกอย่างไร ท่านผู้รู้ทั้งหลายที่อ่านไปก็แก้ไขและแนะนำให้ด้วยนะครับ เผื่อเป็นกำลังใจผู้ที่สนใจ เพราะไหนๆ อ.ท่านก็เปิดกระทู้ให้สนทนาธรรมกันได้แล้ว ก็ขอฉลองศรัทธาสักหน่อย
ผมเองก็ใช่ว่าจะรู้อะไรมามาก แต่ฟังครูบาอาจารย์มาท่านก็บอกว่า การปฏิบัตินั้นง่าย มันยากแก่ผู้ไม่ปฏิบัติ แต่ผมว่าจริงตามนั้นนะครับ ธรรมนั้นง่าย ทำได้จริง ฟังแล้วก็อยากทำตามได้เหมือนกัน เพราะพุทธองค์ท่านก็บอกอยู่แล้วว่าธรรมนั้น ไม่มีกาล พึงเห็นได้รู้ได้ด้วยตนเอง เชิญมาพิสูจน์ ลองน้อมมาพินิจพิจารณา แล้วท่านจะรู้เอง จะว่าไปก็แนวทางการลงทุนนี้ก็เหมือนกัน ลงทุนวีไอเนี้ยแหละครับ ท่านทำได้ ท่านก็บอกว่าง่าย ทำได้จริง ทำให้มีคนอยากทำตามได้บ้าง ธรรมก็เช่นกันครับ ก็ต้องลองทำกันครับ
ผมก็พึ่งมาปฏิบัติไม่นาน ช่วงลงทุนในหุ้นแล้วไม่ประสบความสำเร็จ ลงทุนแบบวีไอเนี้ยแหละครับ 555 เพราะเราไม่ได้ทำตามแบบวีไอที่เขาทำๆ กัน คือศึกษาข้อมูลแล้วก็ปฏิบัติตาม ผลก็จะออกมาตามนั้น จะเรียกว่าศึกษาปริยัติแล้วมาปฏิบัติ ผลก็ออกเป็นปฏิเวธก็ได้ แต่เราทำตามใจเราเองจะเรียกว่าศึกษามาแล้ว แต่ไม่ปฏิบัติ มันก็ไม่มีปฏิเวธ ผลออกมาจะดีได้อย่างไร เราคิดเอาเองคนเดียวว่ามันจะดี แต่มันไม่ดี มันไม่ใช่ จะเรียกว่าอ่านแต่ตำราแต่ไม่มีครูบาอาจารย์ก็ได้ ที่ผ่านมาจึงรู้เลยว่าเล่นหุ้นคนเดียวมันไม่ผ่าน คือคนเก่งที่ทำได้นั้นมีอยู่ แต่รู้เลยว่าเราไม่ใช่ ต้องมีเพื่อนมีกลุ่มมีครูอาจารย์ ช่วยคิดช่วยแนะนำช่วยทำ เหมือนการปฏิบัติธรรมนั้นแหละครับ ก็ต้องใกล้ชิดครูบาอาจารย์ ถ้าอ่านแต่ตำราแล้วเข้าใจได้เองทั้งหมด หนังสือธรรม สื่อธรรมสมัยนี้หาง่ายมาก งั้นคนอ่านหนังสือธรรมะเอง หรือเรียนจบเปรียญธรรมก็เป็นพระอรหันต์ไปหมดแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ แต่ว่าคนที่ทำอย่างนี้ได้นั้นมีอยู่นะ เหมือนการอ่านหนังสือการลงทุนนั้นแหละ แต่ไม่ใช่ผม
สำหรับตัวเองรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากเลยที่ได้เกิดมาในช่วงนี้ มีพุทธศาสนา สื่อธรรมก็หาง่ายมากๆๆๆ แจกกันเกลื่อน จนรู้สึกว่าเยอะเกินไปด้วยซ้ำ ครูบาอาจารย์ก็เดินทางไปหาท่านได้ง่าย จริงๆ ยุคนี้น่าจะเป็นยุคที่ธรรมหรือพุทธศาสนาเจริญสูงสุด แต่ก็ไม่ใช่ 555
สิ่งยากๆ สมัยก่อนนี้ สมัยนี้ง่ายมาก ที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่ามีของยากอยู่ 4 อย่าง หนึ่งในนั้นคือ การได้ฟังพระสัทธรรมนั้นยาก สมัยนี้ก็ง่ายมากๆ คนสมัยก่อนที่สนใจธรรมๆ เดินตามหาครูบาอาจารย์กันเป็นเดือนๆ ปีๆ แล้วท่านก็ไม่ได้สอนเยอะเหมือนสมัยนี้ สมัยนี้นั่งรถไปหาครูอาจารย์ แวบเดียวถึงแล้ว ธรรมะก็เปิด cd เปิด youtube ฟังแล้วฟังอีกได้ แต่ก็ไม่มีใครปฏิบัติกัน ท่านจึงบอกว่าการปฏิบัตินั้นง่าย มันยากแก่ผู้ไม่ปฏิบัติ 555 และผมไม่เห็นด้วยกับการรอสะสมหรือรอเกิดใหม่นะครับ เพราะการได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้นก็ยาก ยิ่งจะได้เกิดมาเจอพระพุทธศาสนายิ่งยากไปอีก ส่วนการเลี้ยงชีวิตมนุษย์ให้ดำรงค์อยู่ได้ตลอดอายุขัยที่ว่าเป็นของยากอีกข้อนั้น พี่ๆคงไม่ยากแล้ว แต่สำหรับผมยังยากอยู่ครับ ยากมากๆ ข้อหลังสุดนี้ยากกว่าฟังธรรมเยอะเลยครับ 5555
ถ้ามีคนสนใจไว้มาเล่าต่อนะครับ
ผมเองก็ใช่ว่าจะรู้อะไรมามาก แต่ฟังครูบาอาจารย์มาท่านก็บอกว่า การปฏิบัตินั้นง่าย มันยากแก่ผู้ไม่ปฏิบัติ แต่ผมว่าจริงตามนั้นนะครับ ธรรมนั้นง่าย ทำได้จริง ฟังแล้วก็อยากทำตามได้เหมือนกัน เพราะพุทธองค์ท่านก็บอกอยู่แล้วว่าธรรมนั้น ไม่มีกาล พึงเห็นได้รู้ได้ด้วยตนเอง เชิญมาพิสูจน์ ลองน้อมมาพินิจพิจารณา แล้วท่านจะรู้เอง จะว่าไปก็แนวทางการลงทุนนี้ก็เหมือนกัน ลงทุนวีไอเนี้ยแหละครับ ท่านทำได้ ท่านก็บอกว่าง่าย ทำได้จริง ทำให้มีคนอยากทำตามได้บ้าง ธรรมก็เช่นกันครับ ก็ต้องลองทำกันครับ
ผมก็พึ่งมาปฏิบัติไม่นาน ช่วงลงทุนในหุ้นแล้วไม่ประสบความสำเร็จ ลงทุนแบบวีไอเนี้ยแหละครับ 555 เพราะเราไม่ได้ทำตามแบบวีไอที่เขาทำๆ กัน คือศึกษาข้อมูลแล้วก็ปฏิบัติตาม ผลก็จะออกมาตามนั้น จะเรียกว่าศึกษาปริยัติแล้วมาปฏิบัติ ผลก็ออกเป็นปฏิเวธก็ได้ แต่เราทำตามใจเราเองจะเรียกว่าศึกษามาแล้ว แต่ไม่ปฏิบัติ มันก็ไม่มีปฏิเวธ ผลออกมาจะดีได้อย่างไร เราคิดเอาเองคนเดียวว่ามันจะดี แต่มันไม่ดี มันไม่ใช่ จะเรียกว่าอ่านแต่ตำราแต่ไม่มีครูบาอาจารย์ก็ได้ ที่ผ่านมาจึงรู้เลยว่าเล่นหุ้นคนเดียวมันไม่ผ่าน คือคนเก่งที่ทำได้นั้นมีอยู่ แต่รู้เลยว่าเราไม่ใช่ ต้องมีเพื่อนมีกลุ่มมีครูอาจารย์ ช่วยคิดช่วยแนะนำช่วยทำ เหมือนการปฏิบัติธรรมนั้นแหละครับ ก็ต้องใกล้ชิดครูบาอาจารย์ ถ้าอ่านแต่ตำราแล้วเข้าใจได้เองทั้งหมด หนังสือธรรม สื่อธรรมสมัยนี้หาง่ายมาก งั้นคนอ่านหนังสือธรรมะเอง หรือเรียนจบเปรียญธรรมก็เป็นพระอรหันต์ไปหมดแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ แต่ว่าคนที่ทำอย่างนี้ได้นั้นมีอยู่นะ เหมือนการอ่านหนังสือการลงทุนนั้นแหละ แต่ไม่ใช่ผม
สำหรับตัวเองรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากเลยที่ได้เกิดมาในช่วงนี้ มีพุทธศาสนา สื่อธรรมก็หาง่ายมากๆๆๆ แจกกันเกลื่อน จนรู้สึกว่าเยอะเกินไปด้วยซ้ำ ครูบาอาจารย์ก็เดินทางไปหาท่านได้ง่าย จริงๆ ยุคนี้น่าจะเป็นยุคที่ธรรมหรือพุทธศาสนาเจริญสูงสุด แต่ก็ไม่ใช่ 555
สิ่งยากๆ สมัยก่อนนี้ สมัยนี้ง่ายมาก ที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่ามีของยากอยู่ 4 อย่าง หนึ่งในนั้นคือ การได้ฟังพระสัทธรรมนั้นยาก สมัยนี้ก็ง่ายมากๆ คนสมัยก่อนที่สนใจธรรมๆ เดินตามหาครูบาอาจารย์กันเป็นเดือนๆ ปีๆ แล้วท่านก็ไม่ได้สอนเยอะเหมือนสมัยนี้ สมัยนี้นั่งรถไปหาครูอาจารย์ แวบเดียวถึงแล้ว ธรรมะก็เปิด cd เปิด youtube ฟังแล้วฟังอีกได้ แต่ก็ไม่มีใครปฏิบัติกัน ท่านจึงบอกว่าการปฏิบัตินั้นง่าย มันยากแก่ผู้ไม่ปฏิบัติ 555 และผมไม่เห็นด้วยกับการรอสะสมหรือรอเกิดใหม่นะครับ เพราะการได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้นก็ยาก ยิ่งจะได้เกิดมาเจอพระพุทธศาสนายิ่งยากไปอีก ส่วนการเลี้ยงชีวิตมนุษย์ให้ดำรงค์อยู่ได้ตลอดอายุขัยที่ว่าเป็นของยากอีกข้อนั้น พี่ๆคงไม่ยากแล้ว แต่สำหรับผมยังยากอยู่ครับ ยากมากๆ ข้อหลังสุดนี้ยากกว่าฟังธรรมเยอะเลยครับ 5555
ถ้ามีคนสนใจไว้มาเล่าต่อนะครับ
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4626
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 64
ต่อเลยครับ ผมอ่านอยู่ด้วยความสนใจครับDech เขียน:
ถ้ามีคนสนใจไว้มาเล่าต่อนะครับ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
- แงซาย
- Verified User
- โพสต์: 847
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 65
งานเขียนของท่านติท นัท ฮันห์มีหลายเล่ม มีแปลไทยแล้วก็หลายเล่มครับ............Nevercry.boy เขียน:มีตอนต่อมั๊ยครับชอบมากkoko8889 เขียน:ขออนุญาตแชร์ประสบการณ์ครับ
หลายปีก่อนอ่านหนังสือเล่มนึงพูดถึงสภาวะที่อิสระสุด ๆ แต่ไม่เข้าใจ แต่เวลาผ่านไปเรื่อย ๆ ก็เข้าทีละเล็กละน้อยตามปัญญาที่สะสมขึ้นครับ " I don't have anything, but I have everything."
หลายวันที่ผ่านมามีกัลยาณมิตรส่งลิ้งค์ มาให้ ก็ชอบครับ
http://www.youtube.com/watch?v=NJ9UtuWfs3U
ชอบก็ต่อยอดครับ, ไม่ชอบก็ลืม ๆ ไปน่ะครับ
แต่เล่มแรกที่เตะตา โดนใจตั้งแต่เห็นชื่อหนังสือบนชั้นและทําให้ผมมีโอกาสได้พบกับพุทธศาสนาในแนวทางท่านติท นัท ฮันห์ เมื่อ 20กว่าปีก่อน ก็เล่มนี้ครับ ..............
https://www.se-ed.com/product/%E0%B8%9B ... 9749461617
ท่านติท นัท ฮันห์ จาริกเข้าไทยก็หลายครั้งและมีการก่อตั้งหมู่บ้านพลัมขึ้นในประเทศไทยแล้วครับ .....
http://www.thaiplumvillage.org/
Free your life , Fly your love
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4626
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 66
ขอบคุณ คุณแงซายมากครับ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
- แงซาย
- Verified User
- โพสต์: 847
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 67
ที่เว็บหมู่บ้านพลัมมีธรรมบรรยายของท่านคิท นัท ฮันห์หลายเรื่องเลยครับ อย่างเช่น ........
เรื่องนี้ http://www.thaiplumvillage.org/index.ph ... &Itemid=13
แล้วก็เรื่องนี้ http://www.thaiplumvillage.org/index.ph ... &Itemid=13
เรื่องนี้ http://www.thaiplumvillage.org/index.ph ... &Itemid=13
แล้วก็เรื่องนี้ http://www.thaiplumvillage.org/index.ph ... &Itemid=13
Free your life , Fly your love
- romee
- Verified User
- โพสต์: 1850
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 68
ในศาสนาคริสต์ และในไบเบิล พูดเรื่องเงินกับความเชื่อเรื่องพระ บทนึงครับ
http://www.catholic.or.th/spiritual/hom ... 9sep10.pdf
การมีทรัพย์สมบัติไม่ใช่เรื่องผิด สิ่งที่ผิดคือการใช้มันอย่างไรมากกว่า "เงินเป็นทาสที่ดี แต่เป็นนายที่เลว"
ถือว่าแลกเปลี่ยนมุมมองของอีกศาสนานึงแล้วกันนะครับอาจารย์
http://www.catholic.or.th/spiritual/hom ... 9sep10.pdf
การมีทรัพย์สมบัติไม่ใช่เรื่องผิด สิ่งที่ผิดคือการใช้มันอย่างไรมากกว่า "เงินเป็นทาสที่ดี แต่เป็นนายที่เลว"
ถือว่าแลกเปลี่ยนมุมมองของอีกศาสนานึงแล้วกันนะครับอาจารย์
You only live once, but if you do it right, once is enough.
- kritar
- Verified User
- โพสต์: 30
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 69
ขอเรียนถามอาจารย์ด้วยความเคารพครับเด็กใหม่ไฟแรง เขียน:
มาเมื่อ 3-4 ปีก่อน ผมกลับมาให้เวลากับทางโลกมากขึ้น
โดยเฉพาะเวลาสำหรับการดูแลการลงทุนในหุ้น
ซึ่งก็ให้ผลตอบแทนทางโลกที่เป็นตัวเลขเงินทองที่ดีมาก
แต่ความคืบหน้าทางธรรมกลับถดถอยครับ
อาจารย์ใช้อะไรเป็นเกณฑ์วัดว่าความคืบหน้าทางธรรมมีการถดถอยลงหรือเจริญขึ้นหรือครับ
ขอบคุณครับ
ถึงไม่ได้แต่ชอบธรรม ยังดีกว่าได้โดยไม่ชอบธรรม
...พุทธศาสนสุภาษิต...
...พุทธศาสนสุภาษิต...
-
- Verified User
- โพสต์: 4596
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 70
เล่าต่อ ก่อนหน้านี้ผมก็เป็นพุทธตามทะเบียนบ้านมานานมากๆ วัด พระ อะไรก็ไม่ได้สนใจหรอกครับ เข้าบ้าง สนใจอยู่ก็คือทำตามประเพณีทั่วไป เหมือนคนทั่วไปเขาทำกัน ฟังตามๆ เชื่อตามๆ กันมา หรือจะเรียกว่างมงายตามๆ กันมาก็ได้ ส่วนหนังสือธรรมก็สนใจอยู่ เรามันชอบอ่าน ก็อ่านๆ ไป อ่านไปได้ทุกเรื่องละครับ หนังสือการลงทุนก็ซื้อมาอ่านเต็มไปหมด แต่ก็สักแต่ว่าอ่าน ไม่ได้ทำ หลังๆ มานี้เปลี่ยนมาอ่านหนังสือธรรมะ ไม่ต้องซื้อด้วยมีแต่เขาแจกมาให้อ่านเยอะไปหมด
แต่ครั้งนี้อ่านแล้ว ปฏิบัติ ทำไปทำมาความรู้สึกอยากรวยเหมือนสมัยเมื่อลงทุนใหม่ๆ มันหายไปไหนหมดก็ไม่รู้ passion มันไม่มี มีแต่รู้สึกว่าอยากมีเงินต้องทำให้ได้เพราะมีภาระที่ต้องการเงินอยู่ คือยังต้องอยู่ทางโลกอยู่ เงินยังเป็นสิ่งจำเป็น ก็ต้องหามา ต้องมีเยอะหน่อยแต่ไม่ได้อยากมีเงินเพื่อจะเป็นคนรวยอีกแล้ว อยากรวยอยู่แต่ไม่ได้กระเหี้ยนกระหือรือรวย มีแต่ความงมงาย เมื่อก่อนตั้งเป้าผิดต้องการรวยเร็วก็ไปเล่นเกร็งกำไรเยอะ บอกตัวเองว่าลงทุนแบบวีไอเนี้ยแหละ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ คิดย้อนกลับไปมันไม่ใช่ เราลงทุนแบบเล่นพนันทุกครั้งเลย ตอนนี้ก็ยังติดแบบนั้นอยู่แก้ไม่ได้สักที ต้องค่อยๆปรับไป พอเรามีธรรมก็ทำให้มีเหตุมีผลมากขึ้นเป็นสัมมาเหตุสัมมาผล เมื่อก่อนก็คิดว่าตัวเองมีนะครับ แต่คิดย้อนกลับไปมันเป็นเหตุผลแบบเป็นมิจฉาเหตุมิจฉาผล หลงไปเอง เรียกว่ามีอวิชชาคือความไม่รู้หรือรู้แบบผิดๆ ครอบงำก็ได้ครับ
เล่าแบบย่อๆ ที่มาลงทุนเนี้ย แรกเริ่มเลยก็อยากรวยนั้นแหละครับอยากมี 1 ล้าน 10 ล้าน 100 ล้าน 1000 ล้าน ไปเรื่อยๆ แหละครับ ความอยากของมนุษย์มันไม่มีที่สิ้นสุดหรอกนะ นัตถิ ตันหา สมา นที ก็ทำงานเป็นลูกจ้างเขาอยู่ จะให้ทำไง ที่จะรวยได้ ก็ต้องลงทุน เออหุ้นนี่แหละ น่าจะเป็นหนทางให้คนรวยได้ จะให้ไปโกงบริษัท เอาความรู้ที่ได้ไปตั้งแข่งหรือย้ายไปบอกคู่แข่ง ให้โกงอะไรแบบนี้ก็ทำไม่ได้ เล่นหุ้นใหม่ๆ นี่โอ้โห ก็ไม่ติดตามมากหรอกครับ แต่ช่วงแรกก็ลุ้นงานการแทบไม่ได้ทำ พอหุ้นตกจิตก็ตกไปหมด สมาธิอะไรก็หายหมด หุ้นขึ้นก็ยิ้มทั้งวันเหมือนเป็นคนบ้า คนเห็นตัวเองเห็นความไม่ยั่งยืนของมัน ก็นั่งดูไปเรื่อยๆ ลงทุนไปเรื่อยๆ แบบที่ว่าเล่นเองชงเองไปเรื่อย ก็ขาดทุน กำไรสลับไปเรื่อยๆ เรียกว่าเสมอทุนมาโดยตลอด หรือขาดทุนเป็นส่วนใหญ่ เรียกว่าไม่สำเร็จเลยก็ว่าได้ บางทีหุ้นขึ้นไปเยอะเลย กำไรกำไรกำไร เราก็คิดว่าวีไอ ถือยาว ยาว ที่ไหนได้ พื้นฐานเปลี่ยนไปแล้ว หุ้นๆ ค่อยๆ ตกลงมา เราก็คิดว่าไม่เป็นไร ยาวๆ ไป เพราะวีไอต้องอดทน..ทนอดไปสุดท้าย กลายเป็นขาดทุน อะไรแบบนี้วนไปวนมาแบบนี้ 55555 งมงายจริงๆ ตอนนี้ก็ยังเป็น แก้ไม่หายสักที งานตอนนี้ก็เหนื่อย เปลืองสมองมากแทบไม่มีเวลาไปดูหุ้นเลย จริงๆ คือไว้เป็นข้ออ้างนะครับ 5555
ตอนนี้ที่ลงทุนไปหลักล้านในพอร์ตมันเหลือหลักแสนอยู่เนี้ยครับ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ผิดพลาดได้เยอะจริงๆ ธรรมนั้นก็เช่นกันครับ ถ้าไปหลงทางอยู่ก็ติดไปนาน หาทางออกยากนะครับ เหมือนที่ผมติดหุ้นอยู่เนี้ยครับ หาทางลงไม่ได้ซักที ติดธรรม ติดบุญ ติดพระ ติดศีล ติดทาน ติดภาวนา ติดฌาน ติดญาณ ติดแบบนี้ก็ลำบากนะครับ บางคนติดไปทั้งชาติเลย มาปฏิบัติธรรมแต่มาเพิ่มความมีตัวตนมากกว่าเก่า มาสะสม ไม่ใช่มาละ ทั้งๆ ที่ต้นฉบับท่านบอกให้ละ
ธรรมมันน่าจะง่ายนะครับ เพราะพระพุทธเจ้าก็ทำให้เราดูแล้ว มีพระธรรมมีพระอริยะสงฆ์ให้ไปถาม เราก็แค่ลอกการบ้านท่านไป เหมือนเราลอกหุ้นเนี้ยแหละครับ ลอก รวย สำเร็จ แต่ผมก็ไม่ได้ลอกมาสักที เลยติดอยู่เนี้ยครับ คิดว่าตัวเองเก่ง ที่จริงๆ โคตรโง่เลย ทำแบบผิดๆ อยู่เนี้ยก็เลยไม่รวยสักที 5555 ได้เวลางานแล้ว ไปทำงานก่อนนะครับ
แต่ครั้งนี้อ่านแล้ว ปฏิบัติ ทำไปทำมาความรู้สึกอยากรวยเหมือนสมัยเมื่อลงทุนใหม่ๆ มันหายไปไหนหมดก็ไม่รู้ passion มันไม่มี มีแต่รู้สึกว่าอยากมีเงินต้องทำให้ได้เพราะมีภาระที่ต้องการเงินอยู่ คือยังต้องอยู่ทางโลกอยู่ เงินยังเป็นสิ่งจำเป็น ก็ต้องหามา ต้องมีเยอะหน่อยแต่ไม่ได้อยากมีเงินเพื่อจะเป็นคนรวยอีกแล้ว อยากรวยอยู่แต่ไม่ได้กระเหี้ยนกระหือรือรวย มีแต่ความงมงาย เมื่อก่อนตั้งเป้าผิดต้องการรวยเร็วก็ไปเล่นเกร็งกำไรเยอะ บอกตัวเองว่าลงทุนแบบวีไอเนี้ยแหละ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ คิดย้อนกลับไปมันไม่ใช่ เราลงทุนแบบเล่นพนันทุกครั้งเลย ตอนนี้ก็ยังติดแบบนั้นอยู่แก้ไม่ได้สักที ต้องค่อยๆปรับไป พอเรามีธรรมก็ทำให้มีเหตุมีผลมากขึ้นเป็นสัมมาเหตุสัมมาผล เมื่อก่อนก็คิดว่าตัวเองมีนะครับ แต่คิดย้อนกลับไปมันเป็นเหตุผลแบบเป็นมิจฉาเหตุมิจฉาผล หลงไปเอง เรียกว่ามีอวิชชาคือความไม่รู้หรือรู้แบบผิดๆ ครอบงำก็ได้ครับ
เล่าแบบย่อๆ ที่มาลงทุนเนี้ย แรกเริ่มเลยก็อยากรวยนั้นแหละครับอยากมี 1 ล้าน 10 ล้าน 100 ล้าน 1000 ล้าน ไปเรื่อยๆ แหละครับ ความอยากของมนุษย์มันไม่มีที่สิ้นสุดหรอกนะ นัตถิ ตันหา สมา นที ก็ทำงานเป็นลูกจ้างเขาอยู่ จะให้ทำไง ที่จะรวยได้ ก็ต้องลงทุน เออหุ้นนี่แหละ น่าจะเป็นหนทางให้คนรวยได้ จะให้ไปโกงบริษัท เอาความรู้ที่ได้ไปตั้งแข่งหรือย้ายไปบอกคู่แข่ง ให้โกงอะไรแบบนี้ก็ทำไม่ได้ เล่นหุ้นใหม่ๆ นี่โอ้โห ก็ไม่ติดตามมากหรอกครับ แต่ช่วงแรกก็ลุ้นงานการแทบไม่ได้ทำ พอหุ้นตกจิตก็ตกไปหมด สมาธิอะไรก็หายหมด หุ้นขึ้นก็ยิ้มทั้งวันเหมือนเป็นคนบ้า คนเห็นตัวเองเห็นความไม่ยั่งยืนของมัน ก็นั่งดูไปเรื่อยๆ ลงทุนไปเรื่อยๆ แบบที่ว่าเล่นเองชงเองไปเรื่อย ก็ขาดทุน กำไรสลับไปเรื่อยๆ เรียกว่าเสมอทุนมาโดยตลอด หรือขาดทุนเป็นส่วนใหญ่ เรียกว่าไม่สำเร็จเลยก็ว่าได้ บางทีหุ้นขึ้นไปเยอะเลย กำไรกำไรกำไร เราก็คิดว่าวีไอ ถือยาว ยาว ที่ไหนได้ พื้นฐานเปลี่ยนไปแล้ว หุ้นๆ ค่อยๆ ตกลงมา เราก็คิดว่าไม่เป็นไร ยาวๆ ไป เพราะวีไอต้องอดทน..ทนอดไปสุดท้าย กลายเป็นขาดทุน อะไรแบบนี้วนไปวนมาแบบนี้ 55555 งมงายจริงๆ ตอนนี้ก็ยังเป็น แก้ไม่หายสักที งานตอนนี้ก็เหนื่อย เปลืองสมองมากแทบไม่มีเวลาไปดูหุ้นเลย จริงๆ คือไว้เป็นข้ออ้างนะครับ 5555
ตอนนี้ที่ลงทุนไปหลักล้านในพอร์ตมันเหลือหลักแสนอยู่เนี้ยครับ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ผิดพลาดได้เยอะจริงๆ ธรรมนั้นก็เช่นกันครับ ถ้าไปหลงทางอยู่ก็ติดไปนาน หาทางออกยากนะครับ เหมือนที่ผมติดหุ้นอยู่เนี้ยครับ หาทางลงไม่ได้ซักที ติดธรรม ติดบุญ ติดพระ ติดศีล ติดทาน ติดภาวนา ติดฌาน ติดญาณ ติดแบบนี้ก็ลำบากนะครับ บางคนติดไปทั้งชาติเลย มาปฏิบัติธรรมแต่มาเพิ่มความมีตัวตนมากกว่าเก่า มาสะสม ไม่ใช่มาละ ทั้งๆ ที่ต้นฉบับท่านบอกให้ละ
ธรรมมันน่าจะง่ายนะครับ เพราะพระพุทธเจ้าก็ทำให้เราดูแล้ว มีพระธรรมมีพระอริยะสงฆ์ให้ไปถาม เราก็แค่ลอกการบ้านท่านไป เหมือนเราลอกหุ้นเนี้ยแหละครับ ลอก รวย สำเร็จ แต่ผมก็ไม่ได้ลอกมาสักที เลยติดอยู่เนี้ยครับ คิดว่าตัวเองเก่ง ที่จริงๆ โคตรโง่เลย ทำแบบผิดๆ อยู่เนี้ยก็เลยไม่รวยสักที 5555 ได้เวลางานแล้ว ไปทำงานก่อนนะครับ
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3227
- ผู้ติดตาม: 4
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 71
ประโยคที่ว่า "การเจริญสติเป็นเรื่องของเราคนเดียว" เป็นเรื่องเฉพาะตน นั้นผมเห็นด้วยนะครับ เพราะ การเจริญสตินั้นต้องทำเองให้คนอื่นทำแทนไม่ได้ นั่นคือความหมายที่ผมมองเห็นจากประโยคๆ นี้chatchai เขียน:ในความคิดของผม ที่ยังมีภาระต้องดูแลคนในครอบครัวอีกหลายคนDech เขียน:ผมชอบที่ท่าน happymom ตอบที่สุดผมว่ากระชับและตรงที่สุดhappymom เขียน:ขอบคุณ จขกท และทุกท่านที่ post ค่ะ ขออนุญาตออกความเห็นระดับมือใหม่ค่ะ
เคยคิดว่า ถ้าวันพรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต ขนาด port เท่าไหร่ก็คงไม่มีความหมายแล้ว
ตอนนั้นคงเสียดายที่ฝึกเจริญสติไม่มากพอค่ะ
ธรรมของพระพุทธองค์ ต้องสั้น ตรง ทำได้ทันทีและพิสูจน์ได้ด้วย
เจริญสติให้มากแต่อย่าไปหลงไปกับสตินะครับ
ขนาดของพอร์ตเป็นเรื่องของคนหลายคนในครอบครัว แต่การเจริญสติเป็นเรื่องของเราคนเดียว
แม้จะต้องเสียสละการพัฒนาของตัวเองไป เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ผมก็คิดว่าสมควรครับ
คงต้องสะสมผลบุญให้มากพอที่จะเกิดมาใหม่ โดยที่มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะ
อย่างไรก็ตามประโยชน์ของการเจริญสตินั้นไม่ได้เกิดขึ้นกับเราคนเดียวครับ เพราะ กิเลสที่ถูกขัดเกลาจากการเจริญสตินั้นจะทำให้เราอยู่ในโลก ช่วยเหลือ อุดหนุนคนรอบๆ ตัวได้ดียิ่งขึ้น ไม่ได้มีประโยชน์แค่มุ่งเอามรรคผลนิพพานเท่านั้น
เป้าหมายของการเจริญสติโดยนัยยะหนึ่ง คือ ให้มีปัญญาเพื่อจะได้มองเห็นสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง อานิสงส์ของการเจริญสติ จะทำให้การมองการลงทุนได้ตามความเป็นจริงมากขึ้น การอยู่ในโลก อยู่ร่วมกับคนอื่น ก็อยู่ตามความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น การจะช่วยเหลืออุดหนุนคนอื่นก็ทำได้ตามความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น เพราะ ธรรมชาติของมนุษย์จะมีความยึดมั่นถือมั่น มี bias การเจริญสติจะเป็นการค่อยๆ ขัดเกลา ไถ่ถอนความเห็นผิด หรือความยึดมั่นถือมั่นต่างๆ ที่เรามีอยู่ให้น้อยลง
ผลของการเจริญสติทำให้เกิดปัญญา และปัญญานั้นมีลำดับขั้น มีความลุ่มลึก ดุจดั่งมหาสมุทร มีตื้น มีลึก ลาดลงไปเรื่อยๆ การเจริญสติจึงไม่ใช่การตัดขาดจากโลก แต่เป็นการทำความเข้าใจโลก เข้าใจธรรมชาติของสิ่งต่างๆ ตามที่มันเป็น โดยใช้เครื่องมือก็คือ กายและใจของเราสำรวจ ศึกษาลงไป
การลงไปศึกษากายใจตัวเอง ก็เหมือนกับการอ่านหนังสือครับ เราต้องการสภาพแวดล้อมที่เงียบ สงบ ไม่มีสิ่งรบกวนมาก ทำให้เรามีสมาธิอ่านหนังสือได้ดี ซึ่งในการศึกษากายใจตัวเราเอง ก็ต้องการสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบที่ยิ่งกว่า จึงจะเห็นธรรมชาติที่ละเอียดของจิต เปรียบได้กับ เรากำลังนั่งศึกษาดูพฤติกรรมของแมลงที่บินไปบินมา ถ้าสภาพแวดล้อมไม่สงบพอ มีสิ่งที่มากระทบเยอะๆ ก็เหมือนกับตีทรายให้ฟุ้งขึ้นมา การจะดูแมลงก็ทำได้ยาก สติที่ยังฝึกมาไม่ดีจะไม่สามารถแยกแยะ แมลงกับทรายได้ ต้องหยุดตีทรายตีฝุ่น โดยการปลีกวิเวก อยู่ในที่สงบ งดการพูดคุย แล้วค่อยๆ ให้ทรายและฝุ่นตกลงก่อน ถึงจะเห็นพฤติกรรมของแมลงได้ชัด เมื่อเราศึกษาพฤติกรรมแมลงจนมีความรู้ ความเชี่ยวชาญแล้ว คราวนี้ถึงแม้จะมีฝุ่น มีทราย เราก็สามารถมองหาแมลงได้เก่งขึ้น
เราห่างจากโลกก็เพื่อที่จะอยู่ในโลกได้ดีขึ้น
การตัดขาดกับทางโลกจึงเป็นช่วงเวลาสั้นๆ สำหรับผู้ที่กำลังฝึกฝนเหมือนกับไปเก็บตัวฝึกพิเศษเท่านั้น ไม่ได้ตัดขาดตลอดไป ปัญญาที่เกิดขึ้นจากการเจริญสติ ก็จะสอดคล้องกับทางสายกลาง เป็นปัญญาที่รู้เหตุ รู้ผล รู้ตน รู้ประมาณ รู้กาลเวลา รู้สังคม รู้บุคคล ซึ่งจะทำให้เราวางตัวอยู่ในสังคม ในสถานการณ์ ในการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนอื่นได้ดีขึ้น ไม่ได้เป็นปัญญาที่สุดโต่งไปด้านใดด้านหนึ่งที่จะตัดขาดทุกสิ่งทุกอย่างในเวลาที่ยังไม่พร้อม และองค์ความรู้ ทักษะ ความเชี่ยวชาญสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้
ความคมกล้าของสติที่เจริญขึ้น สมาธิที่มีมากขึ้น ทำให้การรับรู้สิ่งต่างๆ คมชัดขึ้น เคยได้ยินมาว่า พระสารีบุตร เหลือบไปมองฝนที่ตกลงมาห่าหนึ่ง ความคมกล้าของสติและสมาธิของท่าน สามารถนับเม็ดฝนที่ตกลงมาได้ ซึ่งผมก็เคยประสบพบเจอกับตัวเองมาเหมือนกันหลังจากที่เจริญสติ พบว่าการรับรู้สิ่งต่างๆ ในโลกนี้เปลี่ยนไป สีสัน ความคมชัดของสิ่งต่างๆ ที่รับรู้ การเคลื่อนไหวทางกาย การเข้าไปเห็นถึงกระบวนความคิดที่เกิดขึ้น ทำให้ประสิทธิภาพในการทำสิ่งต่างๆ สูงขึ้นกว่าแต่ก่อนเป็นอย่างมาก (ลองดูหนังเรื่อง Limitless ดูนะครับ ผมว่าอาการของสติที่ตื่นจะเหมือนกับอาการของพระเอกในเรื่องเลย) และที่สำคัญที่สุดของการเป็นนักลงทุน คือ เราเท่าทันความโลภและความกลัว สามารถดับความโลภและความกลัวที่เกิดขึ้นในจิตของเราได้ เพียงแค่เรารู้ตัวและกำหนดรู้สิ่งที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง เพียงแค่นี้จิตจะเข้าสู่ความสงบ สามารถพิจารณาโอกาสในการลงทุนได้ดียิ่งขึ้น
สตินั้นเป็นที่สุดแห่งกัลยาณมิตรที่จะคอยช่วยเหลืออุปถัมภ์เราในสถานการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะในทางโลก และทางธรรม โดยไม่มีการแบ่งแยก ปัญญาที่เกิดขึ้นจากสติแต่ละขณะ ที่สั่งสมไปเรื่อยๆ จะทำให้เราห่างไกลจากความทุกข์มากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ต้องใช้เวลานานอย่างมากครับ กว่าที่เราจะเบื่อ จะหน่ายกับโลก ต้องลองแล้วลองอีกที่จะกระโดดไปทางธรรมมากขึ้น แต่ก็รู้ตัวว่ายังติดกับทางโลกอยู่ก็ต้องกระโดดกลับมา กระโดดข้ามไปข้ามมา ฝึกฝน ประเมินกำลัง และใช้แรงผลักดันอย่างถึงที่สุด กว่าปัญญาจะแก้กล้าพอ จึงกระโดดข้ามพ้นสังสารวัฎไปได้
ดังนั้นไม่ต้องกลัวครับ ว่าจะเจริญสติแล้วจะตัดขาดกับโลกในเร็ววันนี้ ยากครับ หากเจริญสติอย่างถูกวิธี... ยากครับ กับการที่จะก้าวข้ามผ่านสังสารวัฎนี้ไปได้
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
-
- Verified User
- โพสต์: 39
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 72
พี่ Nevercry.boy ครับ เราจูนอัพคลื่นเดียวกันแล้ว(จิตวิญญาณ)
ผมไม่มีตอนต่อไป แต่อยากให้ดูคลิปเดิมเพิ่มเติม ซึ่งผมขออนุญาตแชร์ประสบการณ์เท่าที่มีความรู้
ตอนที่ 17.05 ท่านติซ พูดเกี่ยวกับพุทธะสั้น ๆ และตัดตรงมาก
ตอนที่ 18.23 ท่านติซ พูดว่า Practice every moment คุ้น ๆ ไหม กับหลวงปู่รูปหนึ่ง พูดว่า "ถ้ามีเวลาหายใจ ก็มีเวลาปฏิบัติ"
ตอนที่ 19.04 ท่านติซ พูดเรื่อง First Mantra ส่วนตัวผมชอบมากเพราะสังเกตเห็นบางอย่างในคำพูดที่เจาะทะลุเข้าไปในจิตวิญญาณของเจ้าแม่ Talk Show ของประเทศวัตถุนิยมสุดขั้ว ซึ่งไปจบที่หนังสือเล่มที่เคยพูดคือ สภาวะของ เจ้าแม่ Talk Show ที่ว่า She has everything but she does not has anything. กับนักบวชผู้ปฏิบัติอยู่ทุกลมหายใจที่ He does not has anything but he has everything...
ผมไม่มีตอนต่อไป แต่อยากให้ดูคลิปเดิมเพิ่มเติม ซึ่งผมขออนุญาตแชร์ประสบการณ์เท่าที่มีความรู้
ตอนที่ 17.05 ท่านติซ พูดเกี่ยวกับพุทธะสั้น ๆ และตัดตรงมาก
ตอนที่ 18.23 ท่านติซ พูดว่า Practice every moment คุ้น ๆ ไหม กับหลวงปู่รูปหนึ่ง พูดว่า "ถ้ามีเวลาหายใจ ก็มีเวลาปฏิบัติ"
ตอนที่ 19.04 ท่านติซ พูดเรื่อง First Mantra ส่วนตัวผมชอบมากเพราะสังเกตเห็นบางอย่างในคำพูดที่เจาะทะลุเข้าไปในจิตวิญญาณของเจ้าแม่ Talk Show ของประเทศวัตถุนิยมสุดขั้ว ซึ่งไปจบที่หนังสือเล่มที่เคยพูดคือ สภาวะของ เจ้าแม่ Talk Show ที่ว่า She has everything but she does not has anything. กับนักบวชผู้ปฏิบัติอยู่ทุกลมหายใจที่ He does not has anything but he has everything...
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4626
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 73
เมื่อคืนดูแล้วน้ำตาซึมครับ ไว้คุยกันต่อครับkoko8889 เขียน:พี่ Nevercry.boy ครับ เราจูนอัพคลื่นเดียวกันแล้ว(จิตวิญญาณ)
ผมไม่มีตอนต่อไป แต่อยากให้ดูคลิปเดิมเพิ่มเติม ซึ่งผมขออนุญาตแชร์ประสบการณ์เท่าที่มีความรู้
ตอนที่ 17.05 ท่านติซ พูดเกี่ยวกับพุทธะสั้น ๆ และตัดตรงมาก
ตอนที่ 18.23 ท่านติซ พูดว่า Practice every moment คุ้น ๆ ไหม กับหลวงปู่รูปหนึ่ง พูดว่า "ถ้ามีเวลาหายใจ ก็มีเวลาปฏิบัติ"
ตอนที่ 19.04 ท่านติซ พูดเรื่อง First Mantra ส่วนตัวผมชอบมากเพราะสังเกตเห็นบางอย่างในคำพูดที่เจาะทะลุเข้าไปในจิตวิญญาณของเจ้าแม่ Talk Show ของประเทศวัตถุนิยมสุดขั้ว ซึ่งไปจบที่หนังสือเล่มที่เคยพูดคือ สภาวะของ เจ้าแม่ Talk Show ที่ว่า She has everything but she does not has anything. กับนักบวชผู้ปฏิบัติอยู่ทุกลมหายใจที่ He does not has anything but he has everything...
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
- Tibular
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 522
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 74
พระพุทธเจ้า ท่านบอกว่าเราเจริญได้ทั้งทางโลกและทางธรรมคับ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกบาต (เล่มที่ ๓๔)
๙. อันธสูตร
(ว่าด้วยคนตาบอด - ตาเดียว - สองตา)
[๔๖๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๓ จำพวก มีอยู่ในโลก
บุคคล ๓ จำพวก คือใคร ? คือ (อนฺธ) คนบอด, (เอกจกฺขุ) คนตา
เดียว, (ทฺวิจกฺขุ) คนสองตา
ก็ บุคคลบอดเป็นอย่างไร ? คือ บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่มี
ดวงตา (คือปัญญา) ที่เป็นเหตุจะให้ได้โภคทรัพย์อันยังไม่ได้ก็ดี เป็น
เหตุจะทำโภคทรัพย์ที่ได้แล้วให้ทวีขึ้น ก็ดี ทั้งไม่มีดวงตา (คือปัญญา)
ที่เป็นเหตุจะให้รู้ธรรมทั้งหลายอันเป็นกุศลและอกุศล ...อันมีโทษและ
ไม่มีโทษ ...อันหยาบและละเอียด ... อันเป็นฝ่ายดำและฝ่ายขาว นี่
ภิกษุทั้งหลาย เราเรียกว่า บุคคลบอด.
ก็ บุคคลตาเดียวเป็นอย่างไร ? คือ บุคคลบางคนในโลกนี้ มี
ดวงตาที่เป็นเหตุจะให้ได้โภคทรัพย์อันยังไม่ได้ ก็ดี เป็นเหตุจะทำ
โภคทรัพย์ที่ได้แล้วให้ทวีขึ้น ก็ดี แต่ไม่มีดวงตาที่เป็นเหตุจะให้รู้ธรรม
ทั้งหลายอันเป็นกุศลและอกุศล ฯลฯ นี่ ภิกษุทั้งหลาย เราเรียกว่า
บุคคลตาเดียว.
ก็ บุคคลสองตาเป็นอย่างไร ? คือ บุคคลบางคนในโลกนี้ มี
ดวงตาที่เป็นเหตุจะให้ได้โภคทรัพย์ ฯลฯ ทั้งมีดวงตาที่เป็นเหตุจะให้รู้
ธรรม ทั้งหลาย ฯลฯ นี่ ภิกษุทั้งหลาย เราเรียกว่า บุคคลสองตา.
นี้แล ภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๓ มีอยู่ในโลก.
ก็เจริญสติ ฝึกสมาธิไปคับ จะเห็นขันธ์ห้าทำงาน
(รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)
เห็นไปเห็นมา เอ๊ะ มันทำงานของมันเองอ่ะ เด๋วไป-เด๋วมา เด๋วเกิด-เด๋วดับ เด๋วมี-เด๋วไม่มี ตลอดเวลา
เราคิดว่าเราคุมตัวเองได้ แต่จริงๆตัวเราเองไม่รู้หรอก (จริงๆเรารู้ไม่ทันหรอก ถ้าเราไม่เคยรู้หรือไม่เคยได้ยินคำสอน
ของพระพุทธเจ้ามาก่อน รวมถึงไม่ได้ฝึกเจริญสติ หรือทำสมาธิ) เคยคิดดูเล่นๆไหมว่า เรารู้ไหมว่าอีกหนึ่งวินาทีต่อไปเราจะคิดอะไร
นั่นคือมันเกิดขึ้นเอง ผุดขึ้นมา เรื่องอะไรเรารู้ไหม ก็แล้วแต่จิตเราไปรับรู้อะไรได้
เช่น รูป เวทนา สัญญา หรือสังขาร พอรู้สิ่งนั้นก็เกิดขึ้น พอจิตไปเกาะสิ่งใหม่ สิ่งที่รู้ก่อนหน้าก็ดับลง
หรือจะพิจราณาดูในเรื่องอยาตนะก็คือการรับรู้ทางรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ ก็ได้ว่า
ผัสสะที่เกิดจากตาเห็นรูปแล้วเกิดการรับรู้ทางตา (จักษุวิญญาณเกิดขึ้น) ทำให้เราเกิดอะไรขึ้น พอใจ ไม่พอใจ หรือทำให้นึกถึงรูปที่เคยจำได้
หรือคิดต่อไปว่าอยากได้ หรือไม่อยากได้ เกิดการกระทำต่อไปตามแต่กุศล อกุศล พอรู้แล้วตัววิญญาณก็ดับไปตามหน้าที่
อันนี้ก็แก้เรื่องว่าวิญญาณเป็นตัวคงอยู่ วิญญาณที่พระพุทธเจ้าว่าไว้ก็เกิดดับไปตามเหตุ (วิญญาณ จิต ตัวรู้ คือตัวเดียวกัน)
ท่านถึงว่า ผัสสะเป็นเหตุให้เกิดเจตนา เจตนานั่นแหละคือกรรม คนเราทำกรรม จะเป็นกุศล หรืออกุศล
ก็ตาม เกิดจากผัสสะ ผัสสะนั่นเองเป็นกรรมเก่า มีมาก่อน เจตนาที่ทำกรรมหลังจากผัสสะกระทบเป็นกรรมใหม่
อันนี้ก็แก้เรื่องความเข้าใจผิดในความเชื่อเรื่องกรรมว่าเกิดจากสิ่งต่างๆบันดาลได้
ก็จะไม่ไปไหว้พระหรืออะไรก็แล้วแต่ แล้วบนขอนั่นขอนี่ เพราะคิดว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้จะดลบันดาลอะไรให้ได้
แก้ความเชื่อผิดๆได้หลายอย่างเหมือนกัน
จิตจะไปเกาะไปรู้สิ่งไหนบ้าง ก็ไปตามความคิด ความเคยชินของเราที่สะสมมาตั้งแต่เก่าก่อน
ลองสังเกตุดู ไปนึกถึงเรื่องในอดีตที่ประทับใจบ้าง ไปคิดถึงเรื่องในอนาคตที่จะทำบ้าง
ถ้าเจริญสมถะและวิปัสสนา ด้วยอานาปานสตินี่ก็ดีที่สุดแล้ว เพราะพระพุทธเจ้าสรรเสริญไว้มากมาย
ให้จิตอยู่กับกายไว้ด้วย กายคตาสติ หรืออานาปาสติ (การเคลื่อนไหวของร่างกาย ลมหายใจเข้า-ออก)
จิตจะไม่ฟุ้ง สงบ ก็คือสมถะ จิตไม่ฟุ้งมีสมาธิ แล้วเห็นการทำงานของขันธ์ที่เหลือ คือวิปัสสนา
(มา-ไป เกิด-ดับ ผุดขึ้น-หายไป เปลี่ยนแปลงไป พร้อมทั้งเห็นอุบายที่เป็นเครื่องออกจากสิ่งเหล่านี้คือการละความเพลิน ตัณหา อุปทาน)
ทำไมต้องเป็นกาย เพราะมันง่าย กายเปลี่ยนแปลงช้าทำให้เราสังเกตุเห็นขันธ์ที่เหลือทำงานได้ แล้วเรื่องกายเราก็เข้าใจกันอยู่แล้วว่า
มันเสื่อมไป แก่ชรา เป็นโรค ตายไป แต่เรื่องขันธ์ที่เหลือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เราจะคิดว่ามันเป็น
เราไม่เปลื่ยนแปลง ก็ต้องคอยตามรู้ตามเห็นไป ว่าเอ้อ มันเปลี่ยนแปลงจริงๆ
เราเปลี่ยนขนาดนี้ ทั้งวันทั้งคืน คนอื่นจะเปลื่ยนขนาดไหน ความเที่ยงแท้ที่เราคิดว่าเราเที่ยงแท้นั้นมีอยู่หรือ?
แล้วจะทำยังไงถึงจะพ้นไปได้ หรือเป็นอิสระด้วยตัวของตัวเอง ก็ต้องละความเพลิน ตัณหา อุปทาน ในการเกิดขึ้นให้ได้
สิ่งใดไม่เกิด สิ่งนั้นไม่ดับ สิ่งใดไม่เกิดไม่ดับ สิ่งนั้นคือที่สุดแห่งทุกข์ (ทุกข์ แปลว่าความเสื่อมไปได้คับ
สิ่งใดเสื่อม สิ่งนั้นไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยงมันมีตัวตนถาวรหรือ? ทุกข์ ไม่ได้แปลว่าความทุกข์ใจอย่างเดียวคับ
ความทุกข์ใจเป็นอาการที่เกิดตามมาเพราะสิ่งที่เราพอใจนั้นมันดับไปเพราะความเพลิน ตัณหา อุปทาน เพราะเราไม่รู้ทุกข์)
ละได้อย่างไร ก็กลับมาอยู่กับลมหายใจ หรือกาย หรือถ้าเราทำงานอะไรก็ตามอยู่ ก็ให้ตั้งใจอยู่กับงานที่ทำ (เวลาคิดฟุ้งซ่าน
ในการทำงาน ก็ให้กลับมาอยู่กับงานที่ทำ ถ้างานเสร็จแล้ว ก็มาอยู่กับลมหายใจ หรือกาย เช่น ลุกไปห้องน้ำ ก็รู้อยู่ว่าเราเดินไป
นั่งว่างๆอยู่ ก็รู้ลมหายใจเข้า-ออกไป) ก็พยายามทำให้มากที่สุด จะให้ดีก็ทุกลมหายใจเข้า-ออก ทั้งวันกันไป แต่ตอนนอนก็นอนนะคับ
กำหนดจิตให้หลับ ไม่ให้คิดอกุศลอะไร แล้วนอนไป สุดท้ายก็จะเห็นว่าตัวรู้ (จิต วิญญาณ) เองนั้นก็ไม่เที่ยง เกิดและดับไปเหมือนกัน
แล้วใครล่ะที่ไปรู้ตัวรู้อีกที อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ละเอียดมากขึ้นๆ ก็จะไม่ขออธิบาย เพราะยังไม่เห็นเหมือนกัน
เขียนยืดยาว ถูกผิดยังไง ก็แก้ไขได้เลยนะคับ เพราะว่ามันก็อธิบายลำบากเหมือนกัน
แล้วมันเกี่ยวกับการลงทุนไหมอ่ะคับ?
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกบาต (เล่มที่ ๓๔)
๙. อันธสูตร
(ว่าด้วยคนตาบอด - ตาเดียว - สองตา)
[๔๖๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๓ จำพวก มีอยู่ในโลก
บุคคล ๓ จำพวก คือใคร ? คือ (อนฺธ) คนบอด, (เอกจกฺขุ) คนตา
เดียว, (ทฺวิจกฺขุ) คนสองตา
ก็ บุคคลบอดเป็นอย่างไร ? คือ บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่มี
ดวงตา (คือปัญญา) ที่เป็นเหตุจะให้ได้โภคทรัพย์อันยังไม่ได้ก็ดี เป็น
เหตุจะทำโภคทรัพย์ที่ได้แล้วให้ทวีขึ้น ก็ดี ทั้งไม่มีดวงตา (คือปัญญา)
ที่เป็นเหตุจะให้รู้ธรรมทั้งหลายอันเป็นกุศลและอกุศล ...อันมีโทษและ
ไม่มีโทษ ...อันหยาบและละเอียด ... อันเป็นฝ่ายดำและฝ่ายขาว นี่
ภิกษุทั้งหลาย เราเรียกว่า บุคคลบอด.
ก็ บุคคลตาเดียวเป็นอย่างไร ? คือ บุคคลบางคนในโลกนี้ มี
ดวงตาที่เป็นเหตุจะให้ได้โภคทรัพย์อันยังไม่ได้ ก็ดี เป็นเหตุจะทำ
โภคทรัพย์ที่ได้แล้วให้ทวีขึ้น ก็ดี แต่ไม่มีดวงตาที่เป็นเหตุจะให้รู้ธรรม
ทั้งหลายอันเป็นกุศลและอกุศล ฯลฯ นี่ ภิกษุทั้งหลาย เราเรียกว่า
บุคคลตาเดียว.
ก็ บุคคลสองตาเป็นอย่างไร ? คือ บุคคลบางคนในโลกนี้ มี
ดวงตาที่เป็นเหตุจะให้ได้โภคทรัพย์ ฯลฯ ทั้งมีดวงตาที่เป็นเหตุจะให้รู้
ธรรม ทั้งหลาย ฯลฯ นี่ ภิกษุทั้งหลาย เราเรียกว่า บุคคลสองตา.
นี้แล ภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๓ มีอยู่ในโลก.
ก็เจริญสติ ฝึกสมาธิไปคับ จะเห็นขันธ์ห้าทำงาน
(รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)
เห็นไปเห็นมา เอ๊ะ มันทำงานของมันเองอ่ะ เด๋วไป-เด๋วมา เด๋วเกิด-เด๋วดับ เด๋วมี-เด๋วไม่มี ตลอดเวลา
เราคิดว่าเราคุมตัวเองได้ แต่จริงๆตัวเราเองไม่รู้หรอก (จริงๆเรารู้ไม่ทันหรอก ถ้าเราไม่เคยรู้หรือไม่เคยได้ยินคำสอน
ของพระพุทธเจ้ามาก่อน รวมถึงไม่ได้ฝึกเจริญสติ หรือทำสมาธิ) เคยคิดดูเล่นๆไหมว่า เรารู้ไหมว่าอีกหนึ่งวินาทีต่อไปเราจะคิดอะไร
นั่นคือมันเกิดขึ้นเอง ผุดขึ้นมา เรื่องอะไรเรารู้ไหม ก็แล้วแต่จิตเราไปรับรู้อะไรได้
เช่น รูป เวทนา สัญญา หรือสังขาร พอรู้สิ่งนั้นก็เกิดขึ้น พอจิตไปเกาะสิ่งใหม่ สิ่งที่รู้ก่อนหน้าก็ดับลง
หรือจะพิจราณาดูในเรื่องอยาตนะก็คือการรับรู้ทางรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ ก็ได้ว่า
ผัสสะที่เกิดจากตาเห็นรูปแล้วเกิดการรับรู้ทางตา (จักษุวิญญาณเกิดขึ้น) ทำให้เราเกิดอะไรขึ้น พอใจ ไม่พอใจ หรือทำให้นึกถึงรูปที่เคยจำได้
หรือคิดต่อไปว่าอยากได้ หรือไม่อยากได้ เกิดการกระทำต่อไปตามแต่กุศล อกุศล พอรู้แล้วตัววิญญาณก็ดับไปตามหน้าที่
อันนี้ก็แก้เรื่องว่าวิญญาณเป็นตัวคงอยู่ วิญญาณที่พระพุทธเจ้าว่าไว้ก็เกิดดับไปตามเหตุ (วิญญาณ จิต ตัวรู้ คือตัวเดียวกัน)
ท่านถึงว่า ผัสสะเป็นเหตุให้เกิดเจตนา เจตนานั่นแหละคือกรรม คนเราทำกรรม จะเป็นกุศล หรืออกุศล
ก็ตาม เกิดจากผัสสะ ผัสสะนั่นเองเป็นกรรมเก่า มีมาก่อน เจตนาที่ทำกรรมหลังจากผัสสะกระทบเป็นกรรมใหม่
อันนี้ก็แก้เรื่องความเข้าใจผิดในความเชื่อเรื่องกรรมว่าเกิดจากสิ่งต่างๆบันดาลได้
ก็จะไม่ไปไหว้พระหรืออะไรก็แล้วแต่ แล้วบนขอนั่นขอนี่ เพราะคิดว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้จะดลบันดาลอะไรให้ได้
แก้ความเชื่อผิดๆได้หลายอย่างเหมือนกัน
จิตจะไปเกาะไปรู้สิ่งไหนบ้าง ก็ไปตามความคิด ความเคยชินของเราที่สะสมมาตั้งแต่เก่าก่อน
ลองสังเกตุดู ไปนึกถึงเรื่องในอดีตที่ประทับใจบ้าง ไปคิดถึงเรื่องในอนาคตที่จะทำบ้าง
ถ้าเจริญสมถะและวิปัสสนา ด้วยอานาปานสตินี่ก็ดีที่สุดแล้ว เพราะพระพุทธเจ้าสรรเสริญไว้มากมาย
ให้จิตอยู่กับกายไว้ด้วย กายคตาสติ หรืออานาปาสติ (การเคลื่อนไหวของร่างกาย ลมหายใจเข้า-ออก)
จิตจะไม่ฟุ้ง สงบ ก็คือสมถะ จิตไม่ฟุ้งมีสมาธิ แล้วเห็นการทำงานของขันธ์ที่เหลือ คือวิปัสสนา
(มา-ไป เกิด-ดับ ผุดขึ้น-หายไป เปลี่ยนแปลงไป พร้อมทั้งเห็นอุบายที่เป็นเครื่องออกจากสิ่งเหล่านี้คือการละความเพลิน ตัณหา อุปทาน)
ทำไมต้องเป็นกาย เพราะมันง่าย กายเปลี่ยนแปลงช้าทำให้เราสังเกตุเห็นขันธ์ที่เหลือทำงานได้ แล้วเรื่องกายเราก็เข้าใจกันอยู่แล้วว่า
มันเสื่อมไป แก่ชรา เป็นโรค ตายไป แต่เรื่องขันธ์ที่เหลือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เราจะคิดว่ามันเป็น
เราไม่เปลื่ยนแปลง ก็ต้องคอยตามรู้ตามเห็นไป ว่าเอ้อ มันเปลี่ยนแปลงจริงๆ
เราเปลี่ยนขนาดนี้ ทั้งวันทั้งคืน คนอื่นจะเปลื่ยนขนาดไหน ความเที่ยงแท้ที่เราคิดว่าเราเที่ยงแท้นั้นมีอยู่หรือ?
แล้วจะทำยังไงถึงจะพ้นไปได้ หรือเป็นอิสระด้วยตัวของตัวเอง ก็ต้องละความเพลิน ตัณหา อุปทาน ในการเกิดขึ้นให้ได้
สิ่งใดไม่เกิด สิ่งนั้นไม่ดับ สิ่งใดไม่เกิดไม่ดับ สิ่งนั้นคือที่สุดแห่งทุกข์ (ทุกข์ แปลว่าความเสื่อมไปได้คับ
สิ่งใดเสื่อม สิ่งนั้นไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยงมันมีตัวตนถาวรหรือ? ทุกข์ ไม่ได้แปลว่าความทุกข์ใจอย่างเดียวคับ
ความทุกข์ใจเป็นอาการที่เกิดตามมาเพราะสิ่งที่เราพอใจนั้นมันดับไปเพราะความเพลิน ตัณหา อุปทาน เพราะเราไม่รู้ทุกข์)
ละได้อย่างไร ก็กลับมาอยู่กับลมหายใจ หรือกาย หรือถ้าเราทำงานอะไรก็ตามอยู่ ก็ให้ตั้งใจอยู่กับงานที่ทำ (เวลาคิดฟุ้งซ่าน
ในการทำงาน ก็ให้กลับมาอยู่กับงานที่ทำ ถ้างานเสร็จแล้ว ก็มาอยู่กับลมหายใจ หรือกาย เช่น ลุกไปห้องน้ำ ก็รู้อยู่ว่าเราเดินไป
นั่งว่างๆอยู่ ก็รู้ลมหายใจเข้า-ออกไป) ก็พยายามทำให้มากที่สุด จะให้ดีก็ทุกลมหายใจเข้า-ออก ทั้งวันกันไป แต่ตอนนอนก็นอนนะคับ
กำหนดจิตให้หลับ ไม่ให้คิดอกุศลอะไร แล้วนอนไป สุดท้ายก็จะเห็นว่าตัวรู้ (จิต วิญญาณ) เองนั้นก็ไม่เที่ยง เกิดและดับไปเหมือนกัน
แล้วใครล่ะที่ไปรู้ตัวรู้อีกที อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ละเอียดมากขึ้นๆ ก็จะไม่ขออธิบาย เพราะยังไม่เห็นเหมือนกัน
เขียนยืดยาว ถูกผิดยังไง ก็แก้ไขได้เลยนะคับ เพราะว่ามันก็อธิบายลำบากเหมือนกัน
แล้วมันเกี่ยวกับการลงทุนไหมอ่ะคับ?
- Tibular
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 522
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 75
ผัสสะนั่นเองเป็นกรรมเก่า อันนี้ไม่น่าใช่นะคับขอโทษด้วยTibular เขียน:ท่านถึงว่า ผัสสะเป็นเหตุให้เกิดเจตนา เจตนานั่นแหละคือกรรม คนเราทำกรรม จะเป็นกุศล หรืออกุศล
ก็ตาม เกิดจากผัสสะ ผัสสะนั่นเองเป็นกรรมเก่า มีมาก่อน เจตนาที่ทำกรรมหลังจากผัสสะกระทบเป็นกรรมใหม่
อายตนะ 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรียกว่า กรรมเก่า,
การที่ทำ คำที่พูด เรื่องที่คิด ด้วยเจตนาที่เป็นไปในปัจจุบัน เรียกว่า กรรมใหม่”
-
- Verified User
- โพสต์: 2686
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 76
...ศีล
อย่างละเอียดสุดๆ..
http://www.84000.org/tipitaka/atita100/ ... p?i=270427
อรรถกถา กุรุธรรมชาดก
อย่างละเอียดสุดๆ..
..พระโพธิสัตว์ตรัสว่า ถ้าอย่างนั้น จงเขียนเอาเถิดพ่อ แล้วให้จารึกลงในแผ่นสุพรรณบัฏว่า
ปาโณ น หนฺตพฺโพ ไม่พึงฆ่าสัตว์ ๑
อทินฺนํ นาทาตพฺพํ ไม่พึงถือสิ่งของที่เจ้าของมิได้ให้ ๑
กาเมสุมิจฺฉาจาโร น จริตพฺโพ ไม่พึงประพฤติผิดในกามทั้งหลาย ๑
มุสาวาโท น ภาสิตพฺโพ ไม่พึงกล่าวคำเท็จ ๑
มชฺชปานํ น ปาตพพํ ไม่พึงดื่มน้ำเมา ๑.
ก็แลครั้นให้จารึกแล้วจึงตรัสว่า แม้เป็นอย่างนี้ ศีลก็ยังเราให้ยินดีไม่ได้ พวกท่านจงไปเฝ้าพระมารดาของเราเถิด.
..ลำดับนั้น ทูตทั้งหลายจึงกล่าวกะนายประตูนั้นว่า คำนั้นท่านกล่าวตามความสำคัญอย่างนั้น ในข้อนี้ความแตกทำลายแห่งศีลจึงไม่มีแก่ท่าน ก็ท่านรังเกียจด้วยเหตุแม้มีประมาณเท่านี้ จักกระทำสัมปชานมุสาวาทกล่าวเท็จทั้งรู้ในกุรุธรรมได้อย่างไร แล้วถือเอาศีลในสำนักของนายประตูแม้นั้น จดจารึกลงในแผ่นสุพรรณบัฏ.
ก็แหละ ทูตทั้งหลายอันนายประตูนั้นกล่าวว่า แม้เมื่อเป็นอย่างนั้น ศีลก็ยังไม่ทำให้เรายินดีปลื้มใจได้ แต่นางวรรณทาสีรักษาได้ดี พวกท่านจงถือเอาในสำนักของนางวรรณทาสีแม้นั้นเถิด จึงพากันเข้าไปหานางวรรณทาสีแม้นั้นแล้วขอกุรุธรรม.
source:ฝ่ายนางวรรณทาสี ก็ปฏิเสธโดยนัยอันมีในหนหลังนั่นแหละ.
ถามว่า เพราะเหตุไร?
ตอบว่า เพราะได้ยินว่า ท้าวสักกะจอมเทวดาทรงดำริว่า จักทดลองศีลของนาง จึงแปลงเพศเป็นมาณพน้อยมาพูดว่า ฉันจักมาหาแล้วให้ทรัพย์ไว้พันหนึ่ง กลับไปยังเทวโลก แล้วไม่มาถึง ๓ ปี. นางวรรณทาสีนั้นไม่รับสิ่งของแม้มาตรว่าหมากพลูจากมือชายอื่นถึง ๓ ปี เพราะกลัวศีลของตนขาด. นางยากจนลงโดยลำดับ จึงคิดว่า เมื่อชายผู้ให้ทรัพย์พันหนึ่งแก่เราแล้วไปเสีย ไม่มาถึง ๓ ปี เราจึงยากจน ไม่อาจสืบต่อชีวิตต่อไปได้ จำเดิมแต่บัดนี้ไป เราควรบอกแก่มหาอำมาตย์ผู้วินิจฉัยความแล้วรับเอาค่าใช้จ่าย. นางจึงไปศาลกล่าวฟ้องว่า เจ้านาย บุรุษผู้ให้ค่าใช้จ่ายแก่ดิฉันแล้วไปเสีย ๓ ปีแล้ว ดิฉันไม่ทราบว่าเขาตายแล้วหรือยังไม่ตาย ดิฉันไม่อาจสืบต่อเลี้ยงชีวิตอยู่ได้ เจ้านาย ดิฉันจะทำอย่างไร.
มหาอำมาตย์ผู้วินิจฉัยอรรถคดีกล่าวตัดสินว่า เมื่อเขาไม่มาถึง ๓ ปี ท่านจักทำอะไร ตั้งแต่นี้ท่านจงรับค่าใช้จ่ายได้. เมื่อนางวรรณทาสีนั้นได้รับการวินิจฉัยตัดสินแล้ว พอออกจากศาลที่วินิจฉัยเท่านั้น บุรุษคนหนึ่งก็น้อมนำห่อทรัพย์พันหนึ่งเข้าไปให้. ในขณะที่นางเหยียดมือจะรับ ท้าวสักกะก็แสดงพระองค์ให้เห็น นางพอเห็นท้าวสักกะนั้นเท่านั้นจึงหดมือพร้อมกับกล่าวว่า บุรุษผู้ให้ทรัพย์แก่เราพันหนึ่งเมื่อ ๓ ปีมาแล้ว ได้กลับมาแล้ว ดูก่อนพ่อ เราไม่ต้องการกหาปณะของท่าน. ท้าวสักกะจึงแปลงร่างกายของพระองค์ทันที ได้ประทับยืนอยู่ในอากาศเปล่งแสงโชติช่วง ประดุจดวงอาทิตย์อ่อนๆ ฉะนั้น พระนครทั้งสิ้นพากันตื่นเต้น ท้าวสักกะได้ประทานโอวาทในท่ามกลางมหาชนว่า ในที่สุด ๓ ปีมาแล้ว เราได้ให้ทรัพย์พันหนึ่ง เนื่องด้วยจะทดลองนางวรรณทาสีนี้ ท่านทั้งหลายชื่อว่า เมื่อจะรักษาศีลจงเป็นผู้เห็นปานนี้รักษาเถิด แล้วทรงบันดาลให้นิเวศน์ของนางวรรณทาสีเต็มด้วยรัตนะ ๗ ประการ ทรงอนุศาสน์พร่ำสอนนางวรรณทาสีนั้นว่า เธอจงเป็นผู้ไม่ประมาทตั้งแต่บัดนี้ไป แล้วได้เสด็จไปยังเทวโลกนั่นแล.
เพราะเหตุนี้ นางวรรณทาสีนั้นจึงปฏิเสธห้ามปรามทูตทั้งหลายว่า เรายังมิได้เปลื้องค่าจ้างที่รับไว้ ยื่นมือไปรับค่าจ้างที่ชายอื่นให้ ด้วยเหตุนี้ ศีลจึงทำเราให้ยินดีปลื้มใจไม่ได้ เพราะเหตุนั้น เราจึงไม่อาจให้แก่ท่านทั้งหลาย.
ลำดับนั้น ทูตทั้งหลายจึงกล่าวกะนางวรรณทาสีนั้นว่า ศีลเภทศีลแตกทำลาย ย่อมไม่มีด้วยเหตุสักว่ายื่นมือ ชื่อว่าศีลย่อมบริสุทธิ์อย่างยิ่งด้วยประการอย่างนี้ แล้วรับเอาศีลในสำนักของนางวรรณทาสีแม้นั้น จดจารึกลงในแผ่นสุพรรณบัฏ.
ทูตทั้งหลายจารึกศีลที่ชนทั้ง ๑๑ คนนั้นรักษาลงในแผ่นสุพรรณบัฏด้วยประการดังนี้แล้ว ได้ไปยังทันตปุรนคร ถวายแผ่นสุพรรณบัฏแก่พระเจ้ากาลิงคราช แล้วกราบทูลประพฤติเหตุนั้นให้ทรงทราบ.
พระราชา เมื่อทรงประพฤติกุรุธรรมนั้น ทรงบำเพ็ญศีล ๕ ให้บริบูรณ์.
ในกาลนั้น ฝนก็ตกลงในแว่นแคว้นกาลิงครัฐทั้งสิ้น ภัยทั้ง ๓ ก็สงบระงับและแว่นแคว้นก็ได้มีความเกษมสำราญ มีภักษาหารสมบูรณ์.
พระโพธิสัตว์ทรงกระทำบุญมีทานเป็นต้นตราบเท่าพระชนมายุ พร้อมทั้งบริวารได้ทำเมืองสวรรค์ให้เต็มบริบูรณ์.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศอริยสัจ ในเวลาจบอริยสัจ บางพวกได้เป็นพระโสดาบัน บางพวกได้เป็นพระสกทาคามี บางพวกได้เป็นพระอนาคามี บางพวกได้เป็นพระอรหันต์.
แล้วทรงประชุมชาดกว่า :-
นางวรรณทาสีหญิงคณิกา ได้เป็น นางอุบลวรรณา
นายประตูในครั้งนั้น ได้เป็น พระปุณณะ
รัชชุคาหกะอำมาตย์ผู้รังวัด ได้เป็น พระกัจจายนะ
โทณมาปกะอำมาตย์ผู้ตวงข้าว ได้เป็น พระโมคคัลลานะ
เศรษฐีในครั้งนั้น ได้เป็น พระสารีบุตร
นายสารถีได้เป็น พระอนุรุทธะ
พราหมณ์ ได้เป็น พระกัสสปเถระ
พระมหาอุปราช ได้เป็น พระนันทะผู้บัณฑิต
พระมเหสีในครั้งนั้น ได้เป็น ราหุลมารดา
พระชนนีในครั้งนั้น ได้เป็น พระมายาเทวี
พระเจ้ากุรุราชโพธิสัตว์ ได้เป็น เราตถาคต
http://www.84000.org/tipitaka/atita100/ ... p?i=270427
อรรถกถา กุรุธรรมชาดก
-
- Verified User
- โพสต์: 439
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 77
ลองคิดเล่นๆว่า ชาติที่แล้วเราก็คิดแบบนี้หรือเปล่าchatchai เขียน:
ในความคิดของผม ที่ยังมีภาระต้องดูแลคนในครอบครัวอีกหลายคน
ขนาดของพอร์ตเป็นเรื่องของคนหลายคนในครอบครัว แต่การเจริญสติเป็นเรื่องของเราคนเดียว
แม้จะต้องเสียสละการพัฒนาของตัวเองไป เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ผมก็คิดว่าสมควรครับ
คงต้องสะสมผลบุญให้มากพอที่จะเกิดมาใหม่ โดยที่มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะ
ความจริงการพัฒนาตัวเองเป็นหน้าที่หลักเลยนะ ถ้ารอเกิดใหม่ไปเรื่อยๆ เมื่อไหร่เราจะได้เห็นความจริงล่ะ
-
- Verified User
- โพสต์: 2686
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 78
มี
ผู้นำสองท่าน
ท่านหนึ่งล่วงลับไปแล้ว..คือ ท่านเรแกน
อีกท่านยังมีชีวิตคือ Angela Merkel ของเยอรมัน
ที่เป็นตัวอย่าง ที่ ทำการอย่างกล้าหาญ
ทำประโยชย์ ยิ่งใหญ้ ให้กับ มวลมนุษย์ชาติ
ท่านเรแกน
ได้ทำ การยุติสงครามเย็น
ยุติการสะสมอาวุธนิวเครียร์
โดยไปเซ็นสัญญากับท่านโกบาชอบ (เครดิตท่านโกบาชอบด้วย)
จนท้ายสุด จบสงครามเย็นด้วย การทุบทิ้ง เบอรลิน
...
ส่วนท่าน Angela Merkel ของเยอรมัน
http://en.wikipedia.org/wiki/Angela_Merkel
ก็ยุติ นิวเคลียร์เหมือนกันแต่เป็น โรงงานไฟ้ฟ้านิวเคลียร์
ซึ่งต่อมา
ได้มีพัตนการที่สำคัญ
ที่เรียกว่า
Merkel’s energy switch
ที่มีชื่อโด่งดัง ว่า 'Energiewende' แปลว่า
(energy transformation)
read more from
ก็จะเป็น ก้าวใหญ่ ของ โฉมหน้า ใหม่ พลังงานโลก
ซึ่ง แน่นอน โครงการขนาด..$734 billion (ประมาณ 734,000x29.6=21,726,400ล้านบาท หรือ 10เท่าโครงการ 2.2ล้านล้านไทย)
source:
http://www.bloomberg.com/news/2013-01-1 ... talls.html
All show how German Chancellor Angela Merkel’s 550 billion-euro ($734 billion) plan to replace nuclear reactors with renewable sources is stalling.
ย่อมมีอุปสรรคมากมาย..
....
...
..
ที่ยกสองท่านนี้
เพราะว่า
เหมือน warren buffett บอกว่า
"Someone's sitting in the shade today because someone planted a tree a long time ago."
ที่สังคม VI รุ่งเรือง
ให้เราๆท่านได้ความรู้ ได้ความมั่งคั่งลงทุนในทางที่ถูกที่ควร
ทุกวันนี้ ก็ได้ อจ. 2 ท่าน
ท่าน อจ. ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา
ท่าน อจ. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
เป็นคุณูปการของท่านทั้งสองเป็นเสาหลักใหญ่..
ขอแสดงความชื่นชมไว้ ณ ที่นี้ด้วย.
ผู้นำสองท่าน
ท่านหนึ่งล่วงลับไปแล้ว..คือ ท่านเรแกน
อีกท่านยังมีชีวิตคือ Angela Merkel ของเยอรมัน
ที่เป็นตัวอย่าง ที่ ทำการอย่างกล้าหาญ
ทำประโยชย์ ยิ่งใหญ้ ให้กับ มวลมนุษย์ชาติ
ท่านเรแกน
ได้ทำ การยุติสงครามเย็น
ยุติการสะสมอาวุธนิวเครียร์
โดยไปเซ็นสัญญากับท่านโกบาชอบ (เครดิตท่านโกบาชอบด้วย)
จนท้ายสุด จบสงครามเย็นด้วย การทุบทิ้ง เบอรลิน
http://www.historyplace.com/speeches/re ... r-down.htmI understand the fear of war and the pain of division that afflict this continent-- and I pledge to you my country's efforts to help overcome these burdens. To be sure, we in the West must resist Soviet expansion. So we must maintain defenses of unassailable strength. Yet we seek peace; so we must strive to reduce arms on both sides.
Beginning 10 years ago, the Soviets challenged the Western alliance with a grave new threat, hundreds of new and more deadly SS-20 nuclear missiles, capable of striking every capital in Europe. The Western alliance responded by committing itself to a counter-deployment unless the Soviets agreed to negotiate a better solution; namely, the elimination of such weapons on both sides. For many months, the Soviets refused to bargain in earnestness. As the alliance, in turn, prepared to go forward with its counter-deployment, there were difficult days--days of protests like those during my 1982 visit to this city--and the Soviets later walked away from the table.
But through it all, the alliance held firm. And I invite those who protested then-- I invite those who protest today--to mark this fact: Because we remained strong, the Soviets came back to the table. And because we remained strong, today we have within reach the possibility, not merely of limiting the growth of arms, but of eliminating, for the first time, an entire class of nuclear weapons from the face of the earth.
...
ส่วนท่าน Angela Merkel ของเยอรมัน
http://en.wikipedia.org/wiki/Angela_Merkel
ก็ยุติ นิวเคลียร์เหมือนกันแต่เป็น โรงงานไฟ้ฟ้านิวเคลียร์
ซึ่งต่อมา
ได้มีพัตนการที่สำคัญ
ที่เรียกว่า
Merkel’s energy switch
ที่มีชื่อโด่งดัง ว่า 'Energiewende' แปลว่า
(energy transformation)
read more from
ซึ่ง..to many การพนันก้าวเล็กๆนี้ แหละ ถ้่าสำเร็จhttp://www.economist.com/node/21559667
...Germany’s Energiewende (energy transformation), a plan to shift from nuclear and fossil fuels to renewables. It was dreamed up in the 1980s, became policy in 2000 and sped up after the Fukushima disaster in March 2011. That led Angela Merkel, the chancellor, to scrap her extension of nuclear power (rather than phasing it out by 2022, as previous governments had planned). She ordered the immediate closure of seven reactors. Germany reaffirmed its clean-energy goals—greenhouse-gas emissions are to be cut from 1990 levels by 40% by 2020 and by 80% by 2050—but it must now meet those targets without nuclear power.
The rest of the world watches with wonder, annoyance—and anticipatory Schadenfreude. Rather than stabilising Europe’s electricity, Germany plagues neighbours by dumping unpredictable surges of wind and solar power. To many the Energiewende is a lunatic gamble with the country’s manufacturing prowess. But if it pays off Germany will have created yet another world-beating industry, say the gamblers. Alone among rich countries Germany has “the means and will to achieve a staggering transformation of the energy infrastructure”, says Mark Lewis, an analyst at Deutsche Bank.
ก็จะเป็น ก้าวใหญ่ ของ โฉมหน้า ใหม่ พลังงานโลก
ซึ่ง แน่นอน โครงการขนาด..$734 billion (ประมาณ 734,000x29.6=21,726,400ล้านบาท หรือ 10เท่าโครงการ 2.2ล้านล้านไทย)
source:
http://www.bloomberg.com/news/2013-01-1 ... talls.html
All show how German Chancellor Angela Merkel’s 550 billion-euro ($734 billion) plan to replace nuclear reactors with renewable sources is stalling.
ย่อมมีอุปสรรคมากมาย..
....
...
..
ที่ยกสองท่านนี้
เพราะว่า
เหมือน warren buffett บอกว่า
"Someone's sitting in the shade today because someone planted a tree a long time ago."
ที่สังคม VI รุ่งเรือง
ให้เราๆท่านได้ความรู้ ได้ความมั่งคั่งลงทุนในทางที่ถูกที่ควร
ทุกวันนี้ ก็ได้ อจ. 2 ท่าน
ท่าน อจ. ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา
ท่าน อจ. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
เป็นคุณูปการของท่านทั้งสองเป็นเสาหลักใหญ่..
ขอแสดงความชื่นชมไว้ ณ ที่นี้ด้วย.
-
- Verified User
- โพสต์: 4596
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 80
ตอนนี้ถ้ามีใครยืนยันรับรอง คือออกใบประกาศมารองรับให้ได้ บอกว่ามี 100 ล้าน 1,000 ล้าน แล้วไปแลกความเป็นพระอริยะมาได้นี่จะรีบหา เพื่อไปแลกมาเลยครับ จะให้หา 10,000 ล้านไปแลกมา แบบหนัง 2012 จ่ายเงินซื้อตั๋วไปโลกใหม่ ก็ยอมไปแลกเลยครับ แต่ครูบาอาจารย์บอกว่าไม่ต้องเสียเงินสักบาทนะครับ แล้วจะให้ใครมารับรองก็ไม่ได้ เพราะเธอต้องรับรองตัวเอง เป็นสันทิฏฐิโก เป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ จะปฏิบัติธรรมอยู่ที่ไหนก็ได้ อยู่บ้าน ไม่ต้องมาหาพระก็ได้ มาถามครั้งเดียว ได้ความรู้แล้วให้ลงมือไปปฏิบัติเลย สำเร็จแล้วก็ไม่ต้องมาหากันอีกดีที่สุด พระจะดีใจที่สุด จะมาเทียวไปมาทำไมเสียเวลาปฏิบัติ
มาบ่อยๆ พวกก็หลอกเอาเงินหมด ถ้าที่ไหนบอกว่าต้องทำบุญเรี่ยไรเงินแล้วบอกจะได้นู้นได้นี่ ไม่ต้องไปทำนะครับ เราทำตามเหตุตามผล แบบนั้นเรียกว่างมงายครับ สมมุติว่ามีคนบอกว่าจ่ายแค่บาทเดียวแล้วได้ไปสวรรค์ไปนิพพานแน่นอน แล้วเราจ่ายไป ก็งมงายทั้งนั้น วัดวาพระเดี๋ยวนี้ส่วนมากแข่งกันสร้างสิ่งสมมุติหลอกลวงหาเงินทั้งนั้น หาที่มีธรรมจริงนั้นยากครับ แต่มีอยู่นะครับ ก็ลองหาดูครับ
เข้าไปวัดก็ให้ไปถามพระมากๆ เพราะพระมีหน้าที่ตอบคำถามโยม ครูบาอาจารย์บอกว่าให้ถามพระมากๆ ถ้าโยมไม่ถามพระเลวก็ได้ใจสิ แล้วสิ่งที่จะถามก็ต้องถามผลการปฏิบัติ ไล่ไปเลยเรื่องฌาน ญาณ วิปัสสนาญาณ แต่โยมมีแต่ ตอบ ค่ะๆ ครับๆ เท่านั้น พระบอกอะไรก็ตามนั้น สมัยนี้เลยมีคนทำอาชีพขอทานที่นุ่งห่มเหลืองเต็มไปหมด
ว่าไปแล้วยังไม่ได้บอกเลยว่าปฏิบัติยังไง แต่ขอบ่นอีกหน่อยพระยุคนี้ เป็นแค่คนห่มเหลืองกันเยอะ มาบวชพระเลี้ยงชีพ อย่างนี้ผมไม่นับว่าเป็นพระนะครับ และสมัยนี้คนไปบวชพระเพราะทำมาหากินทางโลกไม่ได้แ ล้วเยอะมาก ทำให้ภาพพจน์พระสงฆ์ไทยเดี๋ยวนี้เลวร้ายมาก หรือจะเป็นบวชพระเพราะอกหัก บวชพระเพราะแก่แล้วไม่มีใครเลี้ยง บวชพระเพราะล้างซวย บวชพระเพราะบนบานเอาไว้ บวชพระจะแต่งเมีย บวชพระเพราะหาเงินง่าย บวชพระไปเป็นพ่อค้ารับสักยันต์ขายของขลังกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นต้น เหล่านี้แหละทำให้ภาพพจน์พระนี่หม่นหมองมากๆ ยิ่งเดี่ยวนี้มีคลิปฉาวของพระแทบทุกวัน ยิ่งยุ่งไปกันใหญ่
หรือภาพคนพุทธเราๆ ที่ไปเข้าวัด ก็มีหลายแบบ พวกดีๆ เราไม่พูดถึง เอาแต่แบบไม่ดี ซึ่งเยอะกว่า บางพวกก็ไปหาข้าวกิน บางพวกก็ไปหาหวย หาเครื่องรางของขลัง บางพวกก็ไปแย่งกันทำบุญ กลัวไม่ได้บุญ หรือบางพวกก็ไปทำบุญสะเดาะห์เคราะห์ เสริมดวงชะตาอะไรก็ว่ากันไป บางพวกก็ตามเพื่อนไปดูพระอาจารย์ จะไปอะไรก็ว่ากันไป บางพวกก็ไปนั่งนิ่งๆ ในวัด ไปวัดทำบุญก็ต้องใส่ชุดขาวเดี๋ยวเขาจะไม่รู้ว่าเราไปถือศีล จนภาพโฆษณาพัดลมเอาคนนุ่งขาวมาล้อเลียน ว่าเย็นใจ
พระและโยมพวกนี้ก็จะคู่กันไป ต่างหลอกกันและกัน ต่างสนับสนุนซึ่งกันและกัน สนับสนุนในสิ่งไม่ดี เราต้องไปถามเลยท่านเจ้าค่ะวันนี้โยมถวายข้าวให้ฉัน เดี่ยวสายๆ โยมจะมาถามเรื่องการปฏิบัติหน่อยนะค่ะ อะไรก็ว่าไป ไล่ถามไปเลย มาบวชทำไม บวชแล้วได้อะไร ไหนบอกมาสิวิธีที่ท่านปฏิบัติ สอนหน่อยวิธีปฏิบัติ ถ้าตอบไม่ได้พรุ่งนี้จะไม่ได้ฉันนะค่ะ เพราะโยมก็อยากพ้นทุกข์เหมือนท่านแต่ยังติดทางโลกอยู่ยังทำไม่ได้ ท่านตัดได้มาบวช แล้ว พระไม่ต้องทำมาหากินทางโลกแล้ว มีหน้าที่อย่างเดียวคือปฏิบัติทำที่สุดแห่งทุกข์ แล้วก็นำผลที่ได้มาบอกสอนโยมให้รู้ ไม่ให้หลงงมงาย ไม่ใช่มาบ้าใบ้หวยเครื่องรางหรืออะไรก็ว่าไปเหมือนพระจำนวนมากในสมัยนี้ โยมก็มีหน้าที่ดูแลพระสงฆ์ดีๆ ถ้าคนเลวก็อย่าไปสนับสนุน แล้วไปซักไปถามพระบ้าง ไม่ใช่ปล่อยพระ พระจะว่าอะไรก็ว่าตามกันไปหมด หรือปล่อยให้พระมีหน้าที่แค่มาทำบุญขึ้นบ้านใหม่ มาสวดสะเดาะห์เคราะห์ หรือมาสวดให้คนตายฟัง รับซอง แล้วกลับไปนอนต่อ เพราะคิดว่าที่สวดไปตัวคนสวดเองยังไม่รู้เลยว่าหมายความว่าอะไรบ้าง
น้อยมากที่จะไปถามพระเรื่องการปฏิบัติธรรม แต่ก็ยังมีเหลืออยู่ ส่วนพวกหลอกลวงโลกพวกนี้ ก็เก่งสามารถเอาความกลัวตายของคน ให้คนเอาเงินมาให้มาซื้อชีวิตหลังความตาย คิดว่าเอาเงินจะซื้อมาได้ เอาความไม่รู้มาขาย ความหลงงมงายมาขาย เอาความกลัวของคนมาหาเงิน คนก็หลงกันไปเพราะความไม่รู้นี่แหละ ทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้าท่านก็สอนไว้หมดแล้ว ว่าความรู้คืออะไร โอ๊ยบ่นยาวไปแล้ว ไปทำงานต่อดีกว่าครับ ไว้มาว่ากันใหม่
มาบ่อยๆ พวกก็หลอกเอาเงินหมด ถ้าที่ไหนบอกว่าต้องทำบุญเรี่ยไรเงินแล้วบอกจะได้นู้นได้นี่ ไม่ต้องไปทำนะครับ เราทำตามเหตุตามผล แบบนั้นเรียกว่างมงายครับ สมมุติว่ามีคนบอกว่าจ่ายแค่บาทเดียวแล้วได้ไปสวรรค์ไปนิพพานแน่นอน แล้วเราจ่ายไป ก็งมงายทั้งนั้น วัดวาพระเดี๋ยวนี้ส่วนมากแข่งกันสร้างสิ่งสมมุติหลอกลวงหาเงินทั้งนั้น หาที่มีธรรมจริงนั้นยากครับ แต่มีอยู่นะครับ ก็ลองหาดูครับ
เข้าไปวัดก็ให้ไปถามพระมากๆ เพราะพระมีหน้าที่ตอบคำถามโยม ครูบาอาจารย์บอกว่าให้ถามพระมากๆ ถ้าโยมไม่ถามพระเลวก็ได้ใจสิ แล้วสิ่งที่จะถามก็ต้องถามผลการปฏิบัติ ไล่ไปเลยเรื่องฌาน ญาณ วิปัสสนาญาณ แต่โยมมีแต่ ตอบ ค่ะๆ ครับๆ เท่านั้น พระบอกอะไรก็ตามนั้น สมัยนี้เลยมีคนทำอาชีพขอทานที่นุ่งห่มเหลืองเต็มไปหมด
ว่าไปแล้วยังไม่ได้บอกเลยว่าปฏิบัติยังไง แต่ขอบ่นอีกหน่อยพระยุคนี้ เป็นแค่คนห่มเหลืองกันเยอะ มาบวชพระเลี้ยงชีพ อย่างนี้ผมไม่นับว่าเป็นพระนะครับ และสมัยนี้คนไปบวชพระเพราะทำมาหากินทางโลกไม่ได้แ ล้วเยอะมาก ทำให้ภาพพจน์พระสงฆ์ไทยเดี๋ยวนี้เลวร้ายมาก หรือจะเป็นบวชพระเพราะอกหัก บวชพระเพราะแก่แล้วไม่มีใครเลี้ยง บวชพระเพราะล้างซวย บวชพระเพราะบนบานเอาไว้ บวชพระจะแต่งเมีย บวชพระเพราะหาเงินง่าย บวชพระไปเป็นพ่อค้ารับสักยันต์ขายของขลังกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นต้น เหล่านี้แหละทำให้ภาพพจน์พระนี่หม่นหมองมากๆ ยิ่งเดี่ยวนี้มีคลิปฉาวของพระแทบทุกวัน ยิ่งยุ่งไปกันใหญ่
หรือภาพคนพุทธเราๆ ที่ไปเข้าวัด ก็มีหลายแบบ พวกดีๆ เราไม่พูดถึง เอาแต่แบบไม่ดี ซึ่งเยอะกว่า บางพวกก็ไปหาข้าวกิน บางพวกก็ไปหาหวย หาเครื่องรางของขลัง บางพวกก็ไปแย่งกันทำบุญ กลัวไม่ได้บุญ หรือบางพวกก็ไปทำบุญสะเดาะห์เคราะห์ เสริมดวงชะตาอะไรก็ว่ากันไป บางพวกก็ตามเพื่อนไปดูพระอาจารย์ จะไปอะไรก็ว่ากันไป บางพวกก็ไปนั่งนิ่งๆ ในวัด ไปวัดทำบุญก็ต้องใส่ชุดขาวเดี๋ยวเขาจะไม่รู้ว่าเราไปถือศีล จนภาพโฆษณาพัดลมเอาคนนุ่งขาวมาล้อเลียน ว่าเย็นใจ
พระและโยมพวกนี้ก็จะคู่กันไป ต่างหลอกกันและกัน ต่างสนับสนุนซึ่งกันและกัน สนับสนุนในสิ่งไม่ดี เราต้องไปถามเลยท่านเจ้าค่ะวันนี้โยมถวายข้าวให้ฉัน เดี่ยวสายๆ โยมจะมาถามเรื่องการปฏิบัติหน่อยนะค่ะ อะไรก็ว่าไป ไล่ถามไปเลย มาบวชทำไม บวชแล้วได้อะไร ไหนบอกมาสิวิธีที่ท่านปฏิบัติ สอนหน่อยวิธีปฏิบัติ ถ้าตอบไม่ได้พรุ่งนี้จะไม่ได้ฉันนะค่ะ เพราะโยมก็อยากพ้นทุกข์เหมือนท่านแต่ยังติดทางโลกอยู่ยังทำไม่ได้ ท่านตัดได้มาบวช แล้ว พระไม่ต้องทำมาหากินทางโลกแล้ว มีหน้าที่อย่างเดียวคือปฏิบัติทำที่สุดแห่งทุกข์ แล้วก็นำผลที่ได้มาบอกสอนโยมให้รู้ ไม่ให้หลงงมงาย ไม่ใช่มาบ้าใบ้หวยเครื่องรางหรืออะไรก็ว่าไปเหมือนพระจำนวนมากในสมัยนี้ โยมก็มีหน้าที่ดูแลพระสงฆ์ดีๆ ถ้าคนเลวก็อย่าไปสนับสนุน แล้วไปซักไปถามพระบ้าง ไม่ใช่ปล่อยพระ พระจะว่าอะไรก็ว่าตามกันไปหมด หรือปล่อยให้พระมีหน้าที่แค่มาทำบุญขึ้นบ้านใหม่ มาสวดสะเดาะห์เคราะห์ หรือมาสวดให้คนตายฟัง รับซอง แล้วกลับไปนอนต่อ เพราะคิดว่าที่สวดไปตัวคนสวดเองยังไม่รู้เลยว่าหมายความว่าอะไรบ้าง
น้อยมากที่จะไปถามพระเรื่องการปฏิบัติธรรม แต่ก็ยังมีเหลืออยู่ ส่วนพวกหลอกลวงโลกพวกนี้ ก็เก่งสามารถเอาความกลัวตายของคน ให้คนเอาเงินมาให้มาซื้อชีวิตหลังความตาย คิดว่าเอาเงินจะซื้อมาได้ เอาความไม่รู้มาขาย ความหลงงมงายมาขาย เอาความกลัวของคนมาหาเงิน คนก็หลงกันไปเพราะความไม่รู้นี่แหละ ทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้าท่านก็สอนไว้หมดแล้ว ว่าความรู้คืออะไร โอ๊ยบ่นยาวไปแล้ว ไปทำงานต่อดีกว่าครับ ไว้มาว่ากันใหม่
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4626
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 81
ขอถามทุกท่านครับ
เวลาเราโดนด่าและตอกย้ำในจุดที่เป็นความผิดของเราจริง ๆ
เช่นเราทำงานพลาดเซ็นสัญญาผิดบริษัทเสียหาย หัวหน้า กรรมการบริษัทเรียกไปต่อว่าแรง ๆ ไอ้โง่ ไอ้ชุ่ย ไอ้สับเพร่า
ทำอย่างไรถึงจะไม่โกรธ ไม่เสียใจ ครับ
เวลาเราโดนด่าและตอกย้ำในจุดที่เป็นความผิดของเราจริง ๆ
เช่นเราทำงานพลาดเซ็นสัญญาผิดบริษัทเสียหาย หัวหน้า กรรมการบริษัทเรียกไปต่อว่าแรง ๆ ไอ้โง่ ไอ้ชุ่ย ไอ้สับเพร่า
ทำอย่างไรถึงจะไม่โกรธ ไม่เสียใจ ครับ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4626
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 82
และยิ่งเราเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูง มีชีวิตลูกน้องที่ต้องดูแล
ทำอย่างไรจึงจะละ "ตัวกู" ได้ครับ
ทำอย่างไรจึงจะละ "ตัวกู" ได้ครับ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
-
- Verified User
- โพสต์: 4596
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 83
ผมเคยเห็นพระที่เดี๋ยวนี้ พอท่านละแล้ว ใครๆก็บอกว่าท่านเป็นพระอรหันต์Nevercry.boy เขียน:ขอถามทุกท่านครับ
เวลาเราโดนด่าและตอกย้ำในจุดที่เป็นความผิดของเราจริง ๆ
เช่นเราทำงานพลาดเซ็นสัญญาผิดบริษัทเสียหาย หัวหน้า กรรมการบริษัทเรียกไปต่อว่าแรง ๆ ไอ้โง่ ไอ้ชุ่ย ไอ้สับเพร่า
ทำอย่างไรถึงจะไม่โกรธ ไม่เสียใจ ครับ
เห็นท่านก็โกรธอยู่บ่อยๆ นะครับ
ตอบแบบนี้...Get มั้ย
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4626
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 84
ช่วยอีกนิดครับDech เขียน:ผมเคยเห็นพระที่เดี๋ยวนี้ พอท่านละแล้ว ใครๆก็บอกว่าท่านเป็นพระอรหันต์Nevercry.boy เขียน:ขอถามทุกท่านครับ
เวลาเราโดนด่าและตอกย้ำในจุดที่เป็นความผิดของเราจริง ๆ
เช่นเราทำงานพลาดเซ็นสัญญาผิดบริษัทเสียหาย หัวหน้า กรรมการบริษัทเรียกไปต่อว่าแรง ๆ ไอ้โง่ ไอ้ชุ่ย ไอ้สับเพร่า
ทำอย่างไรถึงจะไม่โกรธ ไม่เสียใจ ครับ
เห็นท่านก็โกรธอยู่บ่อยๆ นะครับ
ตอบแบบนี้...Get มั้ย
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
-
- Verified User
- โพสต์: 4596
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 85
ไม่รู้นะ ผมว่าก็เราละ "ตัวกู" ไม่ใช่ละความรับผิดชอบ ละลูกน้องนิครับ มันเป็นคนละส่วนกันนิครับNevercry.boy เขียน:และยิ่งเราเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูง มีชีวิตลูกน้องที่ต้องดูแล
ทำอย่างไรจึงจะละ "ตัวกู" ได้ครับ
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
-
- Verified User
- โพสต์: 4596
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 86
ยกของท่านติช นัท ฮันห์มาตอบ ดีที่ใน clip เขาเขียนให้อ่านไว้ด้วย
ผมไม่ได้ฟังทั้ง clip นะ โชดดีที่ได้ฟังช่วงนี้พอดี คิดว่าน่าจะตอบได้ครับ
โอปราห์ถามถึงหนังสือดังของท่าน Living Buddha Living Christ และถามถึงความเหมือนกันของทั้งคู่
ท่านตอบว่า Jessus Christ is a Buddha of the West. ผมว่าเป็นคำตอบที่เท่ห์มาก และตอบต่อว่า
And his teaching is also about understanding and compassion.
In the Gospel there is also the teaching of living happily in the present moment. In the Gospel according to Matthew, he said that “Don’t worry about tomorrow, tomorrow will take care of itself”. It’s very clear And “Give us the bread of today”. We care about today, We live today. And if we know how to handle the present moment. We don’t have to worry much about the future. If the present moment has peace and joy and happiness. And then the future will have also
แปลแบบงูๆ ปลาๆ โอปราห์ น่าจะถามว่าพุทธศาสนิกชนมีความเชื่อความสุขความสันติแต่ตามความเป็นจริงเราไม่ได้เป็นแบบนั้นนี่หน่า ไว้ท่านผู้รู้มาแปลอีกทีละกันครับ
ท่านติช นัท ฮันห์ตอบ
Happiness and suffering…, they support each other. They “inter-are”
“Inter-are” To be is to “inter-be”. It is like the left and the right. If the left is not there the right cannot be there. So the same thing is true with suffering and happiness.
Good and evil. They inter-are also.
In every one of us, there are good seeds and there are bad seeds.
There is the lotus that grows out of the mud. We need the mud in order to make the lotus. You cannot grow lotus on marble. You have to grow it on the mud. So suffering is the kind of mud that we must be able to use in order to grown the flower of understanding and love.
โอปราห์ว่าท่านฝึกทุกๆ วันเลยหรือ
ท่านตอบว่า Not only every day but every moment. While drinking while talking while writing while watering our garden. ผมเพิ่มให้อีก 2 ข้อ ขณะโกรธ ขณะเสียใจ ด้วย
แล้วย้อนกลับไปช่วงก่อนหน้านี้นิดหน่อย
มีช่วงหนึ่งโอปราห์ถามเรื่องการ suffering boss ,best friend แล้วก็ถามเรื่องความโกรธ
ท่านตอบ Anger is the energy which people use in order to act.
ท่านเน้นเสียงตรงคำว่า act และยกมือมากำด้วย สังเกตุมั้ย
to act ... get มั้ย
ผมไม่ได้ฟังทั้ง clip นะ โชดดีที่ได้ฟังช่วงนี้พอดี คิดว่าน่าจะตอบได้ครับ
โอปราห์ถามถึงหนังสือดังของท่าน Living Buddha Living Christ และถามถึงความเหมือนกันของทั้งคู่
ท่านตอบว่า Jessus Christ is a Buddha of the West. ผมว่าเป็นคำตอบที่เท่ห์มาก และตอบต่อว่า
And his teaching is also about understanding and compassion.
In the Gospel there is also the teaching of living happily in the present moment. In the Gospel according to Matthew, he said that “Don’t worry about tomorrow, tomorrow will take care of itself”. It’s very clear And “Give us the bread of today”. We care about today, We live today. And if we know how to handle the present moment. We don’t have to worry much about the future. If the present moment has peace and joy and happiness. And then the future will have also
แปลแบบงูๆ ปลาๆ โอปราห์ น่าจะถามว่าพุทธศาสนิกชนมีความเชื่อความสุขความสันติแต่ตามความเป็นจริงเราไม่ได้เป็นแบบนั้นนี่หน่า ไว้ท่านผู้รู้มาแปลอีกทีละกันครับ
ท่านติช นัท ฮันห์ตอบ
Happiness and suffering…, they support each other. They “inter-are”
“Inter-are” To be is to “inter-be”. It is like the left and the right. If the left is not there the right cannot be there. So the same thing is true with suffering and happiness.
Good and evil. They inter-are also.
In every one of us, there are good seeds and there are bad seeds.
There is the lotus that grows out of the mud. We need the mud in order to make the lotus. You cannot grow lotus on marble. You have to grow it on the mud. So suffering is the kind of mud that we must be able to use in order to grown the flower of understanding and love.
โอปราห์ว่าท่านฝึกทุกๆ วันเลยหรือ
ท่านตอบว่า Not only every day but every moment. While drinking while talking while writing while watering our garden. ผมเพิ่มให้อีก 2 ข้อ ขณะโกรธ ขณะเสียใจ ด้วย
แล้วย้อนกลับไปช่วงก่อนหน้านี้นิดหน่อย
มีช่วงหนึ่งโอปราห์ถามเรื่องการ suffering boss ,best friend แล้วก็ถามเรื่องความโกรธ
ท่านตอบ Anger is the energy which people use in order to act.
ท่านเน้นเสียงตรงคำว่า act และยกมือมากำด้วย สังเกตุมั้ย
to act ... get มั้ย
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
- kotaro
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1495
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 87
ถ้าเป็นผมครับพี่ ผมก็คงโกรธนะครับ แต่คงแป็บเดียวNevercry.boy เขียน:ขอถามทุกท่านครับ
เวลาเราโดนด่าและตอกย้ำในจุดที่เป็นความผิดของเราจริง ๆ
เช่นเราทำงานพลาดเซ็นสัญญาผิดบริษัทเสียหาย หัวหน้า กรรมการบริษัทเรียกไปต่อว่าแรง ๆ ไอ้โง่ ไอ้ชุ่ย ไอ้สับเพร่า
ทำอย่างไรถึงจะไม่โกรธ ไม่เสียใจ ครับ
ไม่แบกไว้นาน บางทีคนที่เค้าว่าเราเค้าก็ว่าตามหน้าที่
แป็บเดียว เค้าก็หายแล้วครับ กลับบ้านหัวเราะ ยิ้ม มีความสุขกับครอบครัว
ถ้าเรามัวแต่โกรธ ก็เหมือนแบกทุกข์กลับบ้านนะครับ
ผมชอบนิทานเรื่องพระภิกษุ ที่ว่ามีพระภิกษุ 2 รูปเดินด้วยกัน พระรูปแรกเห็นหญิงสาวขอความช่วยเหลือจะข้ามแม่น้ำ เลยเข้าไปอุ้มพาดบ่า แล้วพาข้ามแม่น้ำ พระรูปที่สองเห็นก็ตกใจและโกรธว่าทำไมถึงทำแบบนั้น ผิดศีล ก็เดินตามไปไม่พูดอะไร พอไปถึงวัด ก็ทนไม่ไหวต่อว่าพระภิกษุรูปแรก พระรูปแรกก็บอกว่า "เราวางผู้หญิงคนนั้นตั้งนานแล้ว แต่ท่านยังแบกอยู่อีกเหรอ"
แล้วก็อย่าลืมให้อภัยนะครับ ฝากบทกลอนธรรมมะที่ชอบอีกบทครับ สมัยเรียนผมเอาแปะติดข้างฝาเลย
“Laughter is timeless. Imagination has no age. And dreams are forever.” ― Walt Disney Company
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4626
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 88
อ่านแล้วขนลุกเลยครับ น้ำตาซึม ขอบคุณมากครับหมอโคkotaro เขียน:ถ้าเป็นผมครับพี่ ผมก็คงโกรธนะครับ แต่คงแป็บเดียวNevercry.boy เขียน:ขอถามทุกท่านครับ
เวลาเราโดนด่าและตอกย้ำในจุดที่เป็นความผิดของเราจริง ๆ
เช่นเราทำงานพลาดเซ็นสัญญาผิดบริษัทเสียหาย หัวหน้า กรรมการบริษัทเรียกไปต่อว่าแรง ๆ ไอ้โง่ ไอ้ชุ่ย ไอ้สับเพร่า
ทำอย่างไรถึงจะไม่โกรธ ไม่เสียใจ ครับ
ไม่แบกไว้นาน บางทีคนที่เค้าว่าเราเค้าก็ว่าตามหน้าที่
แป็บเดียว เค้าก็หายแล้วครับ กลับบ้านหัวเราะ ยิ้ม มีความสุขกับครอบครัว
ถ้าเรามัวแต่โกรธ ก็เหมือนแบกทุกข์กลับบ้านนะครับ
ผมชอบนิทานเรื่องพระภิกษุ ที่ว่ามีพระภิกษุ 2 รูปเดินด้วยกัน พระรูปแรกเห็นหญิงสาวขอความช่วยเหลือจะข้ามแม่น้ำ เลยเข้าไปอุ้มพาดบ่า แล้วพาข้ามแม่น้ำ พระรูปที่สองเห็นก็ตกใจและโกรธว่าทำไมถึงทำแบบนั้น ผิดศีล ก็เดินตามไปไม่พูดอะไร พอไปถึงวัด ก็ทนไม่ไหวต่อว่าพระภิกษุรูปแรก พระรูปแรกก็บอกว่า "เราวางผู้หญิงคนนั้นตั้งนานแล้ว แต่ท่านยังแบกอยู่อีกเหรอ"
แล้วก็อย่าลืมให้อภัยนะครับ ฝากบทกลอนธรรมมะที่ชอบอีกบทครับ สมัยเรียนผมเอาแปะติดข้างฝาเลย
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3227
- ผู้ติดตาม: 4
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 89
ใช้สติ กำหนดอย่างจดจ่อ ต่อเนื่อง ตามดูแน่ๆ เลยครับ ตั้งแต่เสียงกระทบหู ไปจนถึงเกิดความไม่ชอบใจ ขุ่นเคืองใจ หงุดหงิด จนกลายเป็นความโกรธ ความรุ่มร้อนใจที่เกิดจากความโกรธNevercry.boy เขียน:ขอถามทุกท่านครับ
เวลาเราโดนด่าและตอกย้ำในจุดที่เป็นความผิดของเราจริง ๆ
เช่นเราทำงานพลาดเซ็นสัญญาผิดบริษัทเสียหาย หัวหน้า กรรมการบริษัทเรียกไปต่อว่าแรง ๆ ไอ้โง่ ไอ้ชุ่ย ไอ้สับเพร่า
ทำอย่างไรถึงจะไม่โกรธ ไม่เสียใจ ครับ
ของผมนี่ ทำอะไรอยู่ จะต้องหยุด หลับตา กำหนด ดูอาการทางกาย เวทนา จิต ธรรม จนกระทั่งโทสะดับลง ค่อยไปทำอย่สงอื่นต่อ พอทำบ่อยๆ เข้า ใจจะสอนใจ จะรู้โทษภัยของอารมณ์ฐานโทสะ และจะวางได้เร็วขึ้นๆ ครับ
พอเห็นซ้ำๆ บ่อยๆ เข้าก็จะพัฒนากลายเป็นอภัยทาน บ่อยๆ เข้าก็จะดูอย่างเป็นผู้ดู บางครั้งอาจจะสนุกกับการเห็นกระบวนการปรุงแต่งของจิต
แต่โดยย่อแล้ว ต้องกำหนดสติ เกาะให้แน่นๆ ครับ
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4626
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 90
ขอบคุณมากครับpicatos เขียน:ใช้สติ กำหนดอย่างจดจ่อ ต่อเนื่อง ตามดูแน่ๆ เลยครับ ตั้งแต่เสียงกระทบหู ไปจนถึงเกิดความไม่ชอบใจ ขุ่นเคืองใจ หงุดหงิด จนกลายเป็นความโกรธ ความรุ่มร้อนใจที่เกิดจากความโกรธNevercry.boy เขียน:ขอถามทุกท่านครับ
เวลาเราโดนด่าและตอกย้ำในจุดที่เป็นความผิดของเราจริง ๆ
เช่นเราทำงานพลาดเซ็นสัญญาผิดบริษัทเสียหาย หัวหน้า กรรมการบริษัทเรียกไปต่อว่าแรง ๆ ไอ้โง่ ไอ้ชุ่ย ไอ้สับเพร่า
ทำอย่างไรถึงจะไม่โกรธ ไม่เสียใจ ครับ
ของผมนี่ ทำอะไรอยู่ จะต้องหยุด หลับตา กำหนด ดูอาการทางกาย เวทนา จิต ธรรม จนกระทั่งโทสะดับลง ค่อยไปทำอย่สงอื่นต่อ พอทำบ่อยๆ เข้า ใจจะสอนใจ จะรู้โทษภัยของอารมณ์ฐานโทสะ และจะวางได้เร็วขึ้นๆ ครับ
พอเห็นซ้ำๆ บ่อยๆ เข้าก็จะพัฒนากลายเป็นอภัยทาน บ่อยๆ เข้าก็จะดูอย่างเป็นผู้ดู บางครั้งอาจจะสนุกกับการเห็นกระบวนการปรุงแต่งของจิต
แต่โดยย่อแล้ว ต้องกำหนดสติ เกาะให้แน่นๆ ครับ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/