เมื่อ นตท. เริ่ม คิดจะลงทุน และก่อนอายุ 30 จะมีเงิน1ล้าน
-
- Verified User
- โพสต์: 53
- ผู้ติดตาม: 0
เมื่อ นตท. เริ่ม คิดจะลงทุน และก่อนอายุ 30 จะมีเงิน1ล้าน
โพสต์ที่ 1
ผมรู้สึกดีใจที่มา ณ ที่แห่งนี้
ผมต้องขอ ออกตัวก่อน ผมลงทุน(หุ้น) ไม่ได้ดี เก่งอะไร ผมพยายามค่อยๆพัฒนามา
ตอนนี้ก็กำลังศึกษา และค่อยพัฒนาตามพี่Thaivi.org ครับ
เพื่อเป็นกำลังใจต่อเพื่อนที่ที่ท้อ และหาหนทางเดิน
ประวัติพร้อมเรื่องเล่าคราว....
-เมื่อปี 2548 ผมเริ่มคิดต้องอนาคตการออม หลักจากสูญเสียคนสำคัญในครอบครัวไป
ทำให้ตระหนักถึง รายรับที่น้อยลง และรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นในอนาคตของทางบ้าน
-ผมเริ่มออกด้วยการเก็บเงิน เดือนของนักเรียนเตรียมทหาร เดือนละ 4,000 บาท
ผมรู้ว่าผมเป็นที่ถือเงินนานไม่อยู่มือ จึงเริ่มหาหนทางลงทุน ด้วยการถามคุณแม่ แม่บอกว่า” ซื้อทองเก็บซิ” เพราะแม่รู้เท่านี้
-ผมเริ่มลงทุนเก็บเงิน พอเดือนไหนครบพอดีเท่ากับราคาทอง 1 บาท ก็จะไปซื้อทองที่ร้านทองบริเวณใกล้ที่พัก จนเริ่มเป็นนิสัย ซึ่งทองตอนนั้น บาทละประมาณ 9,000 บาท สะสมทางสักพัก และนี้คือการ ลงทุน ครั้งแรกที่ผมรู้จัก
-ระหว่างที่ผมสะสมทองที่ละเล็กละน้อย ผมก็มองหาโอกาสเสมอและได้รู้จักทำว่า"กองทุนรวม" จากพี่ที่โรงเรียนนายร้อย จึงไปศึกษาต่อโดยอาศัยหาความรู้ใน Google เอง
-และอีกเช่นเคย ผมเข้าไปห้องสมุด รร.จปร. จะเจอมุมของตลาดหลักทรัพย์ที่ ทูลกระหม่อมอาจารย์ ท่านพระราชทานมาไว้ที่ห้องสมุดแห่งนี้ หนังสือที่ปรับแนวคิดอีกครั้ง คือ หนังสือชื่อ ออมกว่า รวยกว่า
-ปี 2550ต่อมาผมได้ขายทองที่มีเพื่อไปเปิดกองทุนรวมที่ธนาคารแถวบ้าน กองทุนแรก คือ กองทุนรวมทองของทหารไทย และปี 2551 ต่อมา กองทุนรวมทหารไทย China Equity Index สร้างกำไรพอสมควร เพราะ มองว่าประเทศจีนกำลังเปิดประเทศ
-และปีนี้ผมอายุ 22 ปี ตั้งเป้าว่าก่อนอายุ 30 ปีจะมีเงิน 1,000,000 บาทให้ได้ แต่ตอนนั้นรู้สึกว่า ไกลจัง ในสิ่งที่คิด คือ ผมทำได้ เชื่อสิ
-พี่ที่รู้จักก็แนะนำว่า "ทำไมไม่มาลงทุนหุ้น." เพราะแม่ของพี่ก็ลงทุน
#สิ่งที่ผมคิด เราจะไหวหรอ ?เราเป็นใคร? เขาบอกว่า เจ๊งมากเยอะเลย
-ต่อมาผมก็ไปกรอกข้อมูลแสดงความสนใจถึงการลงทุนกับบริษัทหลักทรัพย์
ไม่นานก็มีโทรศัพท์มา "ถามว่าคุณ......สนใจเปิดพอร์ตการลงทุนใช่มั้ยค่ะ "
ตอบคิดว่า นี้คือโอกาส......และตอบว่า ครับ ทั้งที่ตอนนั้นศัพท์หุ้นก็ยัง งง!!อยู่
-ไม่นานมีเพื่อนมาแนะนำว่า คนเจ๊งหุ้นมีเยอะ เราจะรอดหรอ แต่ผมเห็นคนที่รวยที่สุดในโลกมาจาก ลงทุนหุ้น นะ
คือ วอเรน บัฟเฟต นี้ไงตัวอย่างมีให้เห็น
-ปลายปี 2552 ผมเริ่มเปิดพอร์ตด้วยเงิน 300,000บาท และเริ่มซื้อด้วยความรู้และความเข้าใจที่น้อย หุ้นตัวแรกในชีวิต
คือ TMB ราคาตอนนั้น 1.1 บาท/หุ้น ซื้อไปจำนวนหนึ่ง ผ่านไปไม่กี่วันได้กำไรมา 2,000 บาทขายเลยครับ ก็กำไรแล้ว
เพราะดีใจที่ได้กำไร แล้ว เนื่องจากตอนนั้นไม่รู้อะไรเลย
-ต่อมาเรื่อยมาก็มาอ่านหนังสือ ตีแตก ให้มองธุรกิจรอบตัว ก็ไปซื้อ ห้างขายวัสดุก่อสร้าง ได้กำไรมานิดหน่อย ดีใจมาก
เพราะความรู้สึกตอนนั้นเหมือนถูกหวย เพราะ ไม่คิดว่าจะทำได้ อาศัยรู้น้อยประสบการณ์
-เมื่อถึงสิ้นปี 2553จบมาทำงานได้ 1 ปี พอมีกำไรบ้างก็สนุก ไปกับการใช้จ่าย ซื้อของ สุลุ่ยสุร่าย ตามประสาเด็ก
แต่ก็พยายามศึกษามาเรื่อยแบบ มีกำไรเล็กๆน้อยระหว่างทางเสมอ ถึงปลายปีต้นทุนหายไปเกือบ 17% เริ่มรู้สึกตัว และช็อกมาก ออกมาตั้งสติพักหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นก็เริ่มได้ยินและเข้าเว็บ THAIVI.org บ้างแล้ว(ตอนนั้น ยังไม่ได้เป็นสมาชิก)
-ถึงปี54 ต้นปีเริ่มตั้งสติได้ ตรงกับสึนามิถล่มญี่ปุ่นพอดี ทำให้ราคาถ่านหินพุ่ง ทำให้สามารถกลับมามีกำไรได้อีกครั้ง
และสามารถสร้างกำไรได้เท่าตัวในเวลา ครึ่งปี และสุดท้ายสิ้นปีกำไรที่สร้างมาทั้งปีเหลือไม่เท่าไร จุดที่ผมเริ่มคิดได้อีกครั้ง
-ผมออกมาถามตัวเองว่า เสียเวลาลงทุนตั้ง 2 ปี ผมลงทุนเพื่ออะไรหรือ และกำลังงงสงสัยกับสิ่งที่ทำ ของตนเอง
ผมหยุดไปค้นหาตัวเอง
-วันหนึ่งผมคิดไปออก ก็เลยออกจากบ้านขับรถเล่นรอบเมือง สิ่งที่ผมเจอ เด็กชายกับคุณพ่อที่ขี่มอเตอร์ไซจอดรถเก็บขยะ ในถังขยะชุมชน วันนั้นอากาศร้อนแดดแรง มันทำให้ผมต้องฉุดคิด ..............
***เด็กเก็บขยะกับพ่อ กว่าจะหาเงินได้แต่ละบาทต้องร้อนแดด ตากฝนทนเหม็น เก็บทั้งวัน และผมจะหารายได้จากการลงทุน(หุ้น) เพียงแค่นั่งคลิ๊กๆๆแล้วรวยขึ้นหรอ มีกำไรเป็นหมื่น เป็นแสน??? คำตอบ......คือ .......ไม่มีทางเลย
หลังจากนั้นผมทบทวนและหาสิ่งที่ต้องพัฒนาตัวเอง พร้อมกับปรับแนวคิดใหม่อีกครั้ง
เดี่ยวผมมาเล่าต่อนะครับ ....
ผมต้องขอ ออกตัวก่อน ผมลงทุน(หุ้น) ไม่ได้ดี เก่งอะไร ผมพยายามค่อยๆพัฒนามา
ตอนนี้ก็กำลังศึกษา และค่อยพัฒนาตามพี่Thaivi.org ครับ
เพื่อเป็นกำลังใจต่อเพื่อนที่ที่ท้อ และหาหนทางเดิน
ประวัติพร้อมเรื่องเล่าคราว....
-เมื่อปี 2548 ผมเริ่มคิดต้องอนาคตการออม หลักจากสูญเสียคนสำคัญในครอบครัวไป
ทำให้ตระหนักถึง รายรับที่น้อยลง และรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นในอนาคตของทางบ้าน
-ผมเริ่มออกด้วยการเก็บเงิน เดือนของนักเรียนเตรียมทหาร เดือนละ 4,000 บาท
ผมรู้ว่าผมเป็นที่ถือเงินนานไม่อยู่มือ จึงเริ่มหาหนทางลงทุน ด้วยการถามคุณแม่ แม่บอกว่า” ซื้อทองเก็บซิ” เพราะแม่รู้เท่านี้
-ผมเริ่มลงทุนเก็บเงิน พอเดือนไหนครบพอดีเท่ากับราคาทอง 1 บาท ก็จะไปซื้อทองที่ร้านทองบริเวณใกล้ที่พัก จนเริ่มเป็นนิสัย ซึ่งทองตอนนั้น บาทละประมาณ 9,000 บาท สะสมทางสักพัก และนี้คือการ ลงทุน ครั้งแรกที่ผมรู้จัก
-ระหว่างที่ผมสะสมทองที่ละเล็กละน้อย ผมก็มองหาโอกาสเสมอและได้รู้จักทำว่า"กองทุนรวม" จากพี่ที่โรงเรียนนายร้อย จึงไปศึกษาต่อโดยอาศัยหาความรู้ใน Google เอง
-และอีกเช่นเคย ผมเข้าไปห้องสมุด รร.จปร. จะเจอมุมของตลาดหลักทรัพย์ที่ ทูลกระหม่อมอาจารย์ ท่านพระราชทานมาไว้ที่ห้องสมุดแห่งนี้ หนังสือที่ปรับแนวคิดอีกครั้ง คือ หนังสือชื่อ ออมกว่า รวยกว่า
-ปี 2550ต่อมาผมได้ขายทองที่มีเพื่อไปเปิดกองทุนรวมที่ธนาคารแถวบ้าน กองทุนแรก คือ กองทุนรวมทองของทหารไทย และปี 2551 ต่อมา กองทุนรวมทหารไทย China Equity Index สร้างกำไรพอสมควร เพราะ มองว่าประเทศจีนกำลังเปิดประเทศ
-และปีนี้ผมอายุ 22 ปี ตั้งเป้าว่าก่อนอายุ 30 ปีจะมีเงิน 1,000,000 บาทให้ได้ แต่ตอนนั้นรู้สึกว่า ไกลจัง ในสิ่งที่คิด คือ ผมทำได้ เชื่อสิ
-พี่ที่รู้จักก็แนะนำว่า "ทำไมไม่มาลงทุนหุ้น." เพราะแม่ของพี่ก็ลงทุน
#สิ่งที่ผมคิด เราจะไหวหรอ ?เราเป็นใคร? เขาบอกว่า เจ๊งมากเยอะเลย
-ต่อมาผมก็ไปกรอกข้อมูลแสดงความสนใจถึงการลงทุนกับบริษัทหลักทรัพย์
ไม่นานก็มีโทรศัพท์มา "ถามว่าคุณ......สนใจเปิดพอร์ตการลงทุนใช่มั้ยค่ะ "
ตอบคิดว่า นี้คือโอกาส......และตอบว่า ครับ ทั้งที่ตอนนั้นศัพท์หุ้นก็ยัง งง!!อยู่
-ไม่นานมีเพื่อนมาแนะนำว่า คนเจ๊งหุ้นมีเยอะ เราจะรอดหรอ แต่ผมเห็นคนที่รวยที่สุดในโลกมาจาก ลงทุนหุ้น นะ
คือ วอเรน บัฟเฟต นี้ไงตัวอย่างมีให้เห็น
-ปลายปี 2552 ผมเริ่มเปิดพอร์ตด้วยเงิน 300,000บาท และเริ่มซื้อด้วยความรู้และความเข้าใจที่น้อย หุ้นตัวแรกในชีวิต
คือ TMB ราคาตอนนั้น 1.1 บาท/หุ้น ซื้อไปจำนวนหนึ่ง ผ่านไปไม่กี่วันได้กำไรมา 2,000 บาทขายเลยครับ ก็กำไรแล้ว
เพราะดีใจที่ได้กำไร แล้ว เนื่องจากตอนนั้นไม่รู้อะไรเลย
-ต่อมาเรื่อยมาก็มาอ่านหนังสือ ตีแตก ให้มองธุรกิจรอบตัว ก็ไปซื้อ ห้างขายวัสดุก่อสร้าง ได้กำไรมานิดหน่อย ดีใจมาก
เพราะความรู้สึกตอนนั้นเหมือนถูกหวย เพราะ ไม่คิดว่าจะทำได้ อาศัยรู้น้อยประสบการณ์
-เมื่อถึงสิ้นปี 2553จบมาทำงานได้ 1 ปี พอมีกำไรบ้างก็สนุก ไปกับการใช้จ่าย ซื้อของ สุลุ่ยสุร่าย ตามประสาเด็ก
แต่ก็พยายามศึกษามาเรื่อยแบบ มีกำไรเล็กๆน้อยระหว่างทางเสมอ ถึงปลายปีต้นทุนหายไปเกือบ 17% เริ่มรู้สึกตัว และช็อกมาก ออกมาตั้งสติพักหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นก็เริ่มได้ยินและเข้าเว็บ THAIVI.org บ้างแล้ว(ตอนนั้น ยังไม่ได้เป็นสมาชิก)
-ถึงปี54 ต้นปีเริ่มตั้งสติได้ ตรงกับสึนามิถล่มญี่ปุ่นพอดี ทำให้ราคาถ่านหินพุ่ง ทำให้สามารถกลับมามีกำไรได้อีกครั้ง
และสามารถสร้างกำไรได้เท่าตัวในเวลา ครึ่งปี และสุดท้ายสิ้นปีกำไรที่สร้างมาทั้งปีเหลือไม่เท่าไร จุดที่ผมเริ่มคิดได้อีกครั้ง
-ผมออกมาถามตัวเองว่า เสียเวลาลงทุนตั้ง 2 ปี ผมลงทุนเพื่ออะไรหรือ และกำลังงงสงสัยกับสิ่งที่ทำ ของตนเอง
ผมหยุดไปค้นหาตัวเอง
-วันหนึ่งผมคิดไปออก ก็เลยออกจากบ้านขับรถเล่นรอบเมือง สิ่งที่ผมเจอ เด็กชายกับคุณพ่อที่ขี่มอเตอร์ไซจอดรถเก็บขยะ ในถังขยะชุมชน วันนั้นอากาศร้อนแดดแรง มันทำให้ผมต้องฉุดคิด ..............
***เด็กเก็บขยะกับพ่อ กว่าจะหาเงินได้แต่ละบาทต้องร้อนแดด ตากฝนทนเหม็น เก็บทั้งวัน และผมจะหารายได้จากการลงทุน(หุ้น) เพียงแค่นั่งคลิ๊กๆๆแล้วรวยขึ้นหรอ มีกำไรเป็นหมื่น เป็นแสน??? คำตอบ......คือ .......ไม่มีทางเลย
หลังจากนั้นผมทบทวนและหาสิ่งที่ต้องพัฒนาตัวเอง พร้อมกับปรับแนวคิดใหม่อีกครั้ง
เดี่ยวผมมาเล่าต่อนะครับ ....
-
- Verified User
- โพสต์: 53
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เมื่อ นตท. เริ่ม คิดจะลงทุน และก่อนอายุ 30 จะมีเงิน1ล้าน
โพสต์ที่ 4
วันหนึ่งผมถามตัวเอง จะหยุด หรือ สู้ต่อ
ผมตอบตัวเองว่า สู้ !!! อย่างมากก็แค่เงินที่เก็บหมด
เมื่อผมมีคำตอบในใจกับการลงทุนว่า “ผมจะทำให้ตนเองรวยจากลงทุนให้ได้”
แล้วผมก็มาคิดว่า ทำไมเราทำไม่ได้เพราะอะไร .......แล้วทำคนอื่นทำได้เพราะเขาทำอะไร? ผมคิดอยู่เป็นเดือน ผมเองก็ไม่รู้จะไปถามใครเพื่อให้ได้คำตอบ ดังนั้นจึงผมเริ่ม คือ ผมเริ่มจากการ ดู Youtube เกี่ยวกับการลงทุนที่นักลงทุนเก่งมาให้สัมภาษณ์และผมก็เริ่มตั้งทำถาม และหาแนวทางของนักลงทุนว่าเขาเหล่านั้นคิดอย่างไง ทำอย่างไร ของแต่ละท่านทำจากนั้นผมก็เก็บเล็กผสมน้อย เกร็ดความรู้ และเทคนิคต่างๆ ทำให้ผมพบสิ่งที่ผมควรทำ ……………………….
สิ่งที่ผมต้องกลับมาทบทวนและสิ่งที่ต้องพัฒนาตนเอง พร้อมกับปรับแนวคิดใหม่กับการลงทุน
#สิ่งที่ผมผิดพลาด คือ
1.ทัศนคติต่อการลงทุน เข้าใจเพียงว่า
=คลิ๊กๆซื้อไปกำไร ก็ขาย สบาย!!!
=เราจะรวยได้อย่างไรจากการลงทุน มีน้อยคนที่ทำได้ แล้วเราเป็นใคร?
2.ความรู้
=ผมแทบไม่มีความรู้เลย ซื้อเฉพาะตัวที่ติด top ของแต่ละวัน
พอหุ้นขึ้นก็ดีใจ ลงก็เสียใจ กลุ้มมากๆ เพราะไม่เคยให้เวลากับการหาความรู้
3.การเตรียมตัว
=ไม่ค่อยจะอ่านหนังสือลงทุน หรือ อ่านน้อยมาก เพราะไม่เห็นความสำคัญของการอ่าน
=ไม่มีระเบียบในการในการชีวิต ตารางเวลาที่แบ่งให้การลงทุน
=การพัฒนาตนเองที่ขาดความต่อเนื่อง
#สิ่งที่ผมพัฒนาตนเอง
ด้านทัศนคติต่อการลงทุน
ปรับแนวคิดเป็น
“การลงทุนต้องอาศัยความพยายามลงทุนลงแรง ถึงจะประสบความสำเร็จ”
“พัฒนาตนเองให้ เหมาะสมกับกำไรที่ได้รับ คงไม่มีใคร ไม่ทำอะไรแล้วได้กำไรเดือนละแสน เพราะทำงานทั่วไปทำงานทั้งเดือนได้ 15,000บาท แล้วถ้าเป็นนักลงทุนที่ไม่ขยันจะหวังสร้างกำไรเป็นหมื่น เป็นแสนได้อย่างไร”
ด้านการปรับปรุงความพร้อม
1.ตารางประจำวัน คือ แบ่งเวลาให้กับการลงทุนของทุกวัน คือ 2200-2400 คือเวลาศึกษาและติดตามบริษัท
วันเสาร์-อาทิตย์ช่วงเช้า 0900-1130 คือ เวลาค้นหาบริษัทที่สนใจ และหาข้อมูล
2.ซื้อPC และติดอินเตอร์เน็ตที่บ้าน ( ผมพักที่บ้านพักทหาร ในค่าย) เพราะจะทำให้เราสะดวกในการติดตามการลงทุนของเราได้สะดวกพร้อมกับการหาความรู้
3.เข้าร้านหนังสือทุกเดือนเพื่อหาหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนมาอ่าน และแนวพัฒนาแนวคิดการลงทุน ทุกเล่มเท่าที่มี
และอ่านหนังสือธุรกิจเพื่อติดตามภาพรวมของตลาด
4.ปรับปรุงบ้านพักทหารให้เป็น war room สำหรับการลงทุน (อันนี้ ผมทำสนุก เพราะ ดูเป็นออฟฟิตส่วนตัวดี)
โดยจัดเป็นมุม มีเอกสาร กับจดบันทึกบริษัทที่สนใจ เพื่อติดตาม
5.แนวคิด ทำจัดระเบียบโฟเดอร์การลงทุนของแต่ละบริษัทในคอมพิวเตอร์ส่วนตัว (พี่โจ เคยแนะนำโพสในthaivi)
เกี่ยวกับข้อมูลของบริษัท
6.เริ่มจนบันทึกการทำกำไรและขาดทุนของตนเอง เพื่อพยายามหาจุดบอดตัวเองและข้อดีจุดแข็งของตนเอง
ด้านความรู้
1.อ่านหนังสือการลงทุน แล้วลองมาปฏิบัติจริง เริ่มตั้งแต่ เดย์เทรดผลคือ เจ็บครับ ลองตามที่เขียนมาทุกเล่ม
พอผ่านมาสักระยะผมก็เริ่มพบว่า แนวทางลงทุนของตัวเองขึ้นมาบ้าง
2.พยายามไป ฟังสัมมนาการลงทุน ตามที่ต่างๆที่จัดเพื่อไปฟังแนวคิดของนักลงทุนแต่ละท่าน เท่าที่มีเวลา เพราะผมอยู่ต่างจังหวัด ส่วนมากสัมมนามักจัดที่ กรุงเทพ
3.วางแผนการอ่านหนังสือด้านลงทุน เข้าเว็บThaivi ,pantip ,อ่านข่าวจากเว็บ ทำทุกวันเท่าที่ทำได้ เพื่อให้เราไม่ตกกระแสการลงทุน และมองเทรนออก
ผมจะมาเล่าต่อนะครับ
ผมตอบตัวเองว่า สู้ !!! อย่างมากก็แค่เงินที่เก็บหมด
เมื่อผมมีคำตอบในใจกับการลงทุนว่า “ผมจะทำให้ตนเองรวยจากลงทุนให้ได้”
แล้วผมก็มาคิดว่า ทำไมเราทำไม่ได้เพราะอะไร .......แล้วทำคนอื่นทำได้เพราะเขาทำอะไร? ผมคิดอยู่เป็นเดือน ผมเองก็ไม่รู้จะไปถามใครเพื่อให้ได้คำตอบ ดังนั้นจึงผมเริ่ม คือ ผมเริ่มจากการ ดู Youtube เกี่ยวกับการลงทุนที่นักลงทุนเก่งมาให้สัมภาษณ์และผมก็เริ่มตั้งทำถาม และหาแนวทางของนักลงทุนว่าเขาเหล่านั้นคิดอย่างไง ทำอย่างไร ของแต่ละท่านทำจากนั้นผมก็เก็บเล็กผสมน้อย เกร็ดความรู้ และเทคนิคต่างๆ ทำให้ผมพบสิ่งที่ผมควรทำ ……………………….
สิ่งที่ผมต้องกลับมาทบทวนและสิ่งที่ต้องพัฒนาตนเอง พร้อมกับปรับแนวคิดใหม่กับการลงทุน
#สิ่งที่ผมผิดพลาด คือ
1.ทัศนคติต่อการลงทุน เข้าใจเพียงว่า
=คลิ๊กๆซื้อไปกำไร ก็ขาย สบาย!!!
=เราจะรวยได้อย่างไรจากการลงทุน มีน้อยคนที่ทำได้ แล้วเราเป็นใคร?
2.ความรู้
=ผมแทบไม่มีความรู้เลย ซื้อเฉพาะตัวที่ติด top ของแต่ละวัน
พอหุ้นขึ้นก็ดีใจ ลงก็เสียใจ กลุ้มมากๆ เพราะไม่เคยให้เวลากับการหาความรู้
3.การเตรียมตัว
=ไม่ค่อยจะอ่านหนังสือลงทุน หรือ อ่านน้อยมาก เพราะไม่เห็นความสำคัญของการอ่าน
=ไม่มีระเบียบในการในการชีวิต ตารางเวลาที่แบ่งให้การลงทุน
=การพัฒนาตนเองที่ขาดความต่อเนื่อง
#สิ่งที่ผมพัฒนาตนเอง
ด้านทัศนคติต่อการลงทุน
ปรับแนวคิดเป็น
“การลงทุนต้องอาศัยความพยายามลงทุนลงแรง ถึงจะประสบความสำเร็จ”
“พัฒนาตนเองให้ เหมาะสมกับกำไรที่ได้รับ คงไม่มีใคร ไม่ทำอะไรแล้วได้กำไรเดือนละแสน เพราะทำงานทั่วไปทำงานทั้งเดือนได้ 15,000บาท แล้วถ้าเป็นนักลงทุนที่ไม่ขยันจะหวังสร้างกำไรเป็นหมื่น เป็นแสนได้อย่างไร”
ด้านการปรับปรุงความพร้อม
1.ตารางประจำวัน คือ แบ่งเวลาให้กับการลงทุนของทุกวัน คือ 2200-2400 คือเวลาศึกษาและติดตามบริษัท
วันเสาร์-อาทิตย์ช่วงเช้า 0900-1130 คือ เวลาค้นหาบริษัทที่สนใจ และหาข้อมูล
2.ซื้อPC และติดอินเตอร์เน็ตที่บ้าน ( ผมพักที่บ้านพักทหาร ในค่าย) เพราะจะทำให้เราสะดวกในการติดตามการลงทุนของเราได้สะดวกพร้อมกับการหาความรู้
3.เข้าร้านหนังสือทุกเดือนเพื่อหาหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนมาอ่าน และแนวพัฒนาแนวคิดการลงทุน ทุกเล่มเท่าที่มี
และอ่านหนังสือธุรกิจเพื่อติดตามภาพรวมของตลาด
4.ปรับปรุงบ้านพักทหารให้เป็น war room สำหรับการลงทุน (อันนี้ ผมทำสนุก เพราะ ดูเป็นออฟฟิตส่วนตัวดี)
โดยจัดเป็นมุม มีเอกสาร กับจดบันทึกบริษัทที่สนใจ เพื่อติดตาม
5.แนวคิด ทำจัดระเบียบโฟเดอร์การลงทุนของแต่ละบริษัทในคอมพิวเตอร์ส่วนตัว (พี่โจ เคยแนะนำโพสในthaivi)
เกี่ยวกับข้อมูลของบริษัท
6.เริ่มจนบันทึกการทำกำไรและขาดทุนของตนเอง เพื่อพยายามหาจุดบอดตัวเองและข้อดีจุดแข็งของตนเอง
ด้านความรู้
1.อ่านหนังสือการลงทุน แล้วลองมาปฏิบัติจริง เริ่มตั้งแต่ เดย์เทรดผลคือ เจ็บครับ ลองตามที่เขียนมาทุกเล่ม
พอผ่านมาสักระยะผมก็เริ่มพบว่า แนวทางลงทุนของตัวเองขึ้นมาบ้าง
2.พยายามไป ฟังสัมมนาการลงทุน ตามที่ต่างๆที่จัดเพื่อไปฟังแนวคิดของนักลงทุนแต่ละท่าน เท่าที่มีเวลา เพราะผมอยู่ต่างจังหวัด ส่วนมากสัมมนามักจัดที่ กรุงเทพ
3.วางแผนการอ่านหนังสือด้านลงทุน เข้าเว็บThaivi ,pantip ,อ่านข่าวจากเว็บ ทำทุกวันเท่าที่ทำได้ เพื่อให้เราไม่ตกกระแสการลงทุน และมองเทรนออก
ผมจะมาเล่าต่อนะครับ
- Simply
- Verified User
- โพสต์: 150
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เมื่อ นตท. เริ่ม คิดจะลงทุน และก่อนอายุ 30 จะมีเงิน1ล้าน
โพสต์ที่ 5
ตามเข้ามาอ่านครับ รู้สึกว่าคุณโชคดีจังที่หาเป้าหมายเจอตั้งแต่อายุยังน้อย ตอนผมอายุเท่าคุณ ผมยังไม่ได้เริ่มต้นอะไรเลย ทำงานให้หมดไปเป็นเดือนๆ อ่านเรื่องของคุณแล้วนึกถึงหนังเรื่องสงครามชีวิต อิคิที่เคยดูในไทยพีบีเอส พระเอกเป็นเสนาธิการทหารสมัยสงคราม พอญี่ปุ่นแพ้สงครามก็กลับมาทำงานในบริษัท ใช้ความรู้ทางทหารในเรื่องของการวิเคราะห์ข้อมูล ช่วยบริษัทซื้อสินค้าพวกโภคภัณฑ์มาเก็งกำไร หาวิสัยทัศน์ในการไปลงทุนเจาะน้ำมันในตะวันออกกลาง ขอตามอ่านเรื่องของคุณต่อ ได้มองกลับหาตัวเองได้เยอะมากเลยครับ ขอบคุณครับ
Margin Of Safety+Intrinsic Value+Mr.Market
ขอบคุณอ.เกรแฮมที่ทำให้เกิด Value Investing
ขอบคุณบรรดาเหล่าVIทั้งหลายที่พิสูจน์คุณค่าที่แท้จริงของVI
ขอบคุณท่านดร.นิเวศน์ที่พิสูจน์ให้เห็นว่าVIใช้ได้กับบ้านเรา
ขอบคุณอ.เกรแฮมที่ทำให้เกิด Value Investing
ขอบคุณบรรดาเหล่าVIทั้งหลายที่พิสูจน์คุณค่าที่แท้จริงของVI
ขอบคุณท่านดร.นิเวศน์ที่พิสูจน์ให้เห็นว่าVIใช้ได้กับบ้านเรา
- KentaII
- Verified User
- โพสต์: 382
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เมื่อ นตท. เริ่ม คิดจะลงทุน และก่อนอายุ 30 จะมีเงิน1ล้าน
โพสต์ที่ 6
ระเบียบวินัยในการลงทุน สำคัญมากครับ ถ้าเอาชนะตัวเองได้ ก็จะชนะตลาดได้
ผู้ใดบอกว่าตัวเองเป็น "แมงเม่า" เขาผู้นั้นมักไม่ใช่แมงเม่า...แต่ผู้ใดบอกว่าตัวเองเป็น "เซียน" เขาผู้นั้น จะกลายเป็น แมงเม่าในไม่ช้า เพราะเขา "หยุดพัฒนาตนเอง"
-
- Verified User
- โพสต์: 144
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เมื่อ นตท. เริ่ม คิดจะลงทุน และก่อนอายุ 30 จะมีเงิน1ล้าน
โพสต์ที่ 7
ผมเป็น ขรก พลเรือน ชั้นผู้น้อยเงินเดือนน้อยครับ ผมใช้วิธีการนี้ครับ
บันได 3 ขั้นสู่ความสำเร็จด้านการตัดการเงิน อันนี้ จำมาจาก Money Chennal
1. สะสมความมั่งคั่ง ผมใช้วิธีเก็บประจำใว้ในสหกรณ์ออมทรัพย์ดอกเบี้ยดีกว่าฝากประจำ ไม่ต้องเสียภาษี ครับ
2. เพิ่มพูนความมั่งคั่ง ใช้ดอกผลจาก 1+แบ่งเงินเดือนส่วนหนึ่ง มาลงทุนหุ้น และกองทุนใว้ลดภาษี ข้อ 1 ยังทำเหมือนเดิมครับ แต่ลดปริมาณลงมาเพิ่มข้อ 2 มากขึ้น
3. ส่งต่อความมั่งคั่ง เมื่อ 1+2 สำเร็จ
เป้าหมายตอนนี้ คือ Passive Income มากกว่า รายจ่าย 2 เท่า ตอนนี้ยังไม่สำเร็จครับ ตั้งเป้าใว้ภายใน 3 ปีครับ
บันได 3 ขั้นสู่ความสำเร็จด้านการตัดการเงิน อันนี้ จำมาจาก Money Chennal
1. สะสมความมั่งคั่ง ผมใช้วิธีเก็บประจำใว้ในสหกรณ์ออมทรัพย์ดอกเบี้ยดีกว่าฝากประจำ ไม่ต้องเสียภาษี ครับ
2. เพิ่มพูนความมั่งคั่ง ใช้ดอกผลจาก 1+แบ่งเงินเดือนส่วนหนึ่ง มาลงทุนหุ้น และกองทุนใว้ลดภาษี ข้อ 1 ยังทำเหมือนเดิมครับ แต่ลดปริมาณลงมาเพิ่มข้อ 2 มากขึ้น
3. ส่งต่อความมั่งคั่ง เมื่อ 1+2 สำเร็จ
เป้าหมายตอนนี้ คือ Passive Income มากกว่า รายจ่าย 2 เท่า ตอนนี้ยังไม่สำเร็จครับ ตั้งเป้าใว้ภายใน 3 ปีครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 53
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เมื่อ นตท. เริ่ม คิดจะลงทุน และก่อนอายุ 30 จะมีเงิน1ล้าน
โพสต์ที่ 9
ูู^6^
เย็นนี้ผมจะเล่าต่อนะครับ
ผมเองก็ ข้าราชการ ตัวน้อย ที่มีอีกมุมฝันกับการลงทุน
โดยใช้เวลาว่างของแต่ละวัน ครับ
ผมกำลังจะถ่ายทอดมุมมองและการปฏิบัติ การลงทุน ของผม
เพื่อได้คำแนะนำดีจาก พี่Thaivi ครับ
ผมยินดีรับคำแนะนำ ทุกอย่างเลยนะครับ
สวัสดีครับพี่ ผม ตท.47 จปร.58
ดีใจที่ได้พบรุ่นพี่แห่งนี้ ครับ
เย็นนี้ผมจะเล่าต่อนะครับ
ผมเองก็ ข้าราชการ ตัวน้อย ที่มีอีกมุมฝันกับการลงทุน
โดยใช้เวลาว่างของแต่ละวัน ครับ
ผมกำลังจะถ่ายทอดมุมมองและการปฏิบัติ การลงทุน ของผม
เพื่อได้คำแนะนำดีจาก พี่Thaivi ครับ
ผมยินดีรับคำแนะนำ ทุกอย่างเลยนะครับ
สวัสดีครับพี่ ผม ตท.47 จปร.58
ดีใจที่ได้พบรุ่นพี่แห่งนี้ ครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11443
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เมื่อ นตท. เริ่ม คิดจะลงทุน และก่อนอายุ 30 จะมีเงิน1ล้าน
โพสต์ที่ 10
ผมคิดว่า เป้าหมายการลงทุนของคนส่วนใหญ่ คือ ความร่ำรวย หรือ อิสระภาพทางการเงิน
ซึ่งอาจจะไม่ใช่ทุกคนที่จะถึงเป้าหมาย
แต่ถ้าใครลงทุนแนวเน้นคุณค่าจริงๆแล้ว สิ่งที่ได้แน่ๆ คือ การรู้คุณค่าของเงินครับ
ตั้งแต่ผมรู้จักการลงทุน การใช้เงินเพื่ออะไรซักอย่าง ต้องมีความคุ้มค่า และถ้ารอได้ก็รอครับ บางครั้งรอจนเลิกซื้อ
เพราะอยากจะซื้อหุ้นมากกว่า เพราะรู้ว่า 100 บาทที่ซื้อหุ้นในวันนี้ อนาคตได้มากกว่า 100 บาทแน่นอน
ผมบ่นจะซื้อรถคันใหม่มาตั้งแต่กลางปีก่อน จนตอนนี้ก็ยังคงใช้คันเดิมอยู่เลย เหตุผลที่ทำให้ไม่อยากซื้อรถคันใหม่ผุดขึ้นมาเรื่อยๆ
ซึ่งอาจจะไม่ใช่ทุกคนที่จะถึงเป้าหมาย
แต่ถ้าใครลงทุนแนวเน้นคุณค่าจริงๆแล้ว สิ่งที่ได้แน่ๆ คือ การรู้คุณค่าของเงินครับ
ตั้งแต่ผมรู้จักการลงทุน การใช้เงินเพื่ออะไรซักอย่าง ต้องมีความคุ้มค่า และถ้ารอได้ก็รอครับ บางครั้งรอจนเลิกซื้อ
เพราะอยากจะซื้อหุ้นมากกว่า เพราะรู้ว่า 100 บาทที่ซื้อหุ้นในวันนี้ อนาคตได้มากกว่า 100 บาทแน่นอน
ผมบ่นจะซื้อรถคันใหม่มาตั้งแต่กลางปีก่อน จนตอนนี้ก็ยังคงใช้คันเดิมอยู่เลย เหตุผลที่ทำให้ไม่อยากซื้อรถคันใหม่ผุดขึ้นมาเรื่อยๆ
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11443
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เมื่อ นตท. เริ่ม คิดจะลงทุน และก่อนอายุ 30 จะมีเงิน1ล้าน
โพสต์ที่ 11
และถ้าคุณเป็นนักลงทุนแนวเน้นคุณค่าที่แท้จริง ผลพลอยได้ คือ
คุณจะเป็นคนที่มีเหตุมีผลมากกว่าเป็นคนใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ
คุณจะมีความสามารถในการอดทนรอ
คุณจะเป็นคนใจเย็น
สิ่งเหล่านี้ ผมว่าเป็นเรื่องสำคัญในการดำรงชีวิต
คุณจะเป็นคนที่มีเหตุมีผลมากกว่าเป็นคนใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ
คุณจะมีความสามารถในการอดทนรอ
คุณจะเป็นคนใจเย็น
สิ่งเหล่านี้ ผมว่าเป็นเรื่องสำคัญในการดำรงชีวิต
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
-
- Verified User
- โพสต์: 53
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เมื่อ นตท. เริ่ม คิดจะลงทุน และก่อนอายุ 30 จะมีเงิน1ล้าน
โพสต์ที่ 13
ขออนุญาติมาเล่าต่อนะครับ
ผ่านมากับการลงทุนปีที่ 2 กับบทเรียน ตอนนี้ปี 2554
ผมเคยอ่านเจอบทความการลงทุนที่ว่า วิกฤติ คือ โอกาส
และแล้วผมก็มองเห็น.....
โอกาส(1) คือ น้ำท่วม
ที่เริ่มท่วมมาจากภาคเหนือของประเทศ และท่วมไปกว่าครึ่งของประเทศทางตอนบน
กว่าจะไหลไปออกปากอ่าวไทยได้ก็ใช้เวลานาน 2-3 เดือน ทำให้ราคาหุ้นตก เป็นจำนวนมาก และนี้เป็นโอกาสที่จะได้ของดีราคาถูก ตอนนี้ผมเริ่มมีความเข้าใจหลักการลงทุนในตลาดทุนบ้างแล้ว แต่ตอนนี้ ผมทุนน้อยประจวบเหมาะคุณแม่ของผมท่านเป็นครูต่างอำเภอมาเล่าให้ฟังว่า เพื่อนครูของแม่หลายคน กู้เงิน ชพค. ในงวดที่จะกำลังมาถึงในปลายปีนี้
(โครงการเงินกู้สมาชิกกองทุนการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.) หรือ โครงการเงินกู้ ช.พ.ค. ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) เป็นโครงการที่ สกสค.ร่วมกับสถาบันการเงินเปิดโอกาสให้มีการใช้สิทธิความเป็นสมาชิก ช.พ.ค. ในการกู้เงินจากสถาบันการเงินที่ร่วมโครงการ ทั้งนี้โครงการเงินกู้ ช.พ.ค. เป็นสวัสดิการที่ สกสค. ทำขึ้นเพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งให้ครูสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ ผ่อนแบบสบาย ๆ.....ไม่จริงนะครับ ผมรู้ว่า ไม่จริง)
ซึ่งหลายคนกู้มาให้ซื้อรถเป็นรางวัลจบการศึกษาลูกบ้าง กู้มาใช้จ่ายบ้าง ซึ่งที่บ้านของผมไม่ค่อยจะนิยมกู้มากนัก อยู่บ้านหลังเดิมๆตั้งแต่เกิดมีปรับปรุงบ้าง ตามวันเวลา
โอกาส(2)ผมต้องการทุนเพิ่ม เพราะ นี้คือจังหวะของผม
ผมเข้าไปขอคุณแม่ของเพื่อให้กู้ในงวดที่จะถึงนี้ วงเงินกู้ 1,500,000บาท ซึ่งต้องส่งผ่อนนานเป็น 10 กว่าปี โดย
ผมให้เหตุผล ถึงการกู้ว่า ผมจะนำมาลงทุนในหุ้นซึ่งที่ผ่านมาก็คุณแม่ก็ได้ติดตามการลงทุนมาตั้งแต่ก้าวแรกที่เริ่มซื้อทอง ครั้งนั้น
ผมบอกว่า ดีกว่าการที่ใครหลายคนกู้มาให้ลูกซื้อรถยนต์ซึ่งต้องสร้างภาระแก่ลูกในอนาคตแน่นอน
ผมรู้ดีว่า เงินก้อนมากมายกับผมที่เงินเดือนไม่หมื่นบาท
ถ้าผมจะเก็บจากส่วนที่เหลือของเงินเดือนมาคืนแม่ได้เอง คงอีกหลายสิบปีเช่นกัน
แม่เก็บไปคิดนานเป็นสัปดาห์ เพื่อศึกษาการส่งเงินกู้และระเบียบการกู้ รวมถึงประโยชน์ที่จะได้รับ ผมเองก็หาข้อมูลการกู้ครั้งนี้เพื่อมาบอกแม่เช่นกัน
แล้ววันหนึ่ง แม่ก็มาบอกว่า “นี้ คือ ส่วนหนึ่งของมรดกที่แม่จะให้ ต่อไปคงไม่ให้อีก เพราะต้องแบ่งส่วนที่เหลือให้น้องสาวเรียน” ฟังแล้วก็เจ็บปวดที่โอกาสมันช่างจำกัด..
ผมขอแม่ 1,000,000บาท ส่วน 500,000บาท แม่นำไปปรับปรุงบ้าน
ผมได้รับเงินมาช่วงเดือนตุลาคม 2554 ตอนนั้นพอพอร์ตมีเงิน เป็น 1,300,000 บาทแล้ว เพราะกับทุนเดิมที่ 300,000บาท ที่ไม่ก้าวไปไหนเลยตลอด 2 ปีที่ผ่านมา
ผมให้เงื่อนไขกับตัวเองว่า ถ้า พอร์ตลดเหลือ 1,000,000 บาท ผมจะเลิกทันทีกับวงการนี้ เพราะถือว่าส่วนของผมหมดแล้ว และจะมอบที่เหลือคืนแม่ทั้งหมด พร้อมกลับไปนับ 1 บาทใหม่^6^
เมื่อพอร์ตมี หลักล้าน สิ่งที่ผมต้องตระหนัก คือ
1.ผมต้องคืนให้แม่โดยเร็ว เพราะแม่ของผมยอมเป็นหนี้ เพื่อลูกคนนี้เป็นเวลานาน 10 ปีกว่า โดยตัวผมถึงขั้น จดใส่กระดาษและเขียนไว้ในกระเป๋าตั้งถึงยอดพอร์ตที่โตขึ้น ตามที่วางเป้าไว้ คือ................เพื่อกระตุ้นตัวเอง ถึงสิ่งที่ทำอยู่ (เคยอ่านเจอหนังสือชื่อ THE TOP SECRET บอกให้เขียนเป้าหมาย กำหนดเวลา และเงื่อนไข ใส่กระดาษ)
2.ผมรู้สึกกลัวพอร์ตผมจะต้องบาดเจ็บมาก เพราะนี้คือ โอกาสดีโอกาสสุดท้าย ที่มี
และผมเองคงจะเสียใจ นี้คือ เงินของแม่
3.เมื่อพอร์ตโตขึ้นแบบนี้ ผมเองต้องใส่ใจรายละเอียดอย่างมากกว่าที่เคย รวมถึงความขยัน ทำให้ผมต้องนอนดึกหลังจากการทำงานทุกคืนหลังจากนั้น จนตอนนี้เป็นนิสัยไปเสียแล้ว ซึ่งค่อยเป็นผลดีเท่าไหรต่อสุขภาพ
4.ปรับทัศนคติให้ถูกต้อง หรือดีกว่า เดิม เพราะ ผมต้องสร้างกำไรให้มากกว่านี้โดยเร็ว ต้องมาทัศนคติที่ดีก่อน ( ผมสังเกตเห็น พี่นักลงทุนหลายท่านพูดถึง และพยายามหาคำตอบ ทัศนคติที่ถูกต้องต่อการลงทุน คือ ซื้อของดี ราคาถูก ขายเมื่อราคาแพง.....ทัศนคติต่อการสร้างรายได้ คือ คุณต้องพยายามหาความรู้ ให้สมกับกำไรที่หามาได้ ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ...ผมคิดเอง ถูกผิดอย่างไง ก็ชี้แนะด้วยนะครับ.)
5.ผมพยายามที่เข้าไปถามคนที่ผู้รู้จักเท่าที่ทำได้ว่า เขามีแนวคิดกับการสร้างเงินล้านที่เขาหาได้อย่างไง เพราะผมต้องเข้าใจแรงจูงใจและแนวคิดของคนเหล่านั้น เอามาประยุกต์เป็นของผม
แนวคิดของข้าราชการชั้นผู้น้อยเงินเก็บเป็นล้านบาท
(ผมเชื่อว่าแนวทางจาก ตัวบุคคลที่เขาทำสำเร็จมาก่อน ย่อมดีกว่าอ่านหนังสือเป็นไหนๆ....มันสัมผัสถึงพลังจากคนนั้น และเทคนิคนิดเดียวที่สำคัญมากที่ต้องมาเรียนรู้เองที่บอกมาจากคนนั้น สุดท้ายมันง่ายต่อความเข้าใจมาก เหมือนคำพูดที่ผมเคยได้ยินมาว่า
"อ่านหนังสือเป็น 10 ชั่วโมง ไม่เท่าฟังจากผู้รู้เพียง 5 นาที" จากรุ่นพี่ทหารท่านหนึ่ง
"เมื่อแม่พาไปหาแนวคิดผู้สำเร็จตัวจริงใกล้ตัว"
มีครั้งหนึ่งแม่ของผมพาไปเพื่อนของพ่อที่สามารถเก็บเงินเงินล้านและสร้างปันผลได้ปีละหลายแสนบาทจากการฝากหุ้นสหกรณ์ครู สงสัยแม่คงอยากช่วย แม่57'dy[พาขับรถมานอกอำเภอเป็นหลาย 10 กิโล เพื่อมาพบครอบครัวนี้ และเขาก็ยินดีที่จะบอก ผมเห็นแววตาพวกเขามันดูต่างจากคนทั่วไปเขามุ่งมั่น เขาบอกว่าแนวคิดกับผมว่า การเก็บเงินที่เหลือจากเงินเดือน
คือ กำไร 100%ของเรา เมื่อเทียบกับการนำสินค้ามาขายเพื่อทำกำไรหรือเลี้ยงวัว เพราะครอบครัวนี้เคยทำมาหมด ทั้งต้องเสียเวลาในการไปขาย สิ้นค้าก็หมดอายุ ตัวเองก็เหนื่อย เรามีข้อดี คือ เป็นข้าราชการมีเงินเดือนถึงสิ้นเดือนก็ได้รับเงิน
ครอบครัวนี้ตั้งเป้าว่าภายใน 10 ปีจะต้องมีเงิน 1,000,000 บาทให้ได้ จากฝากหุ้นสหกรณ์ที่มีปันผลต่อปี ประมาณ 7-8% เขาฝากเดือนละ 10,000 บาท ถึงเวลาปันผลก็นำไปซื้อหุ้นคืนทำให้โตแบบก้าวกระโดดไม่รู้ตัว ไม่ถึง10 ปีก็ได้ตามที่ตั้งเป้า และเขาเสริมอีกว่าเงินเดือนเราก็โตตามเพราะปรับขึ้นขั้นทุกปี ส่วนลูกยังเล็กยังไม่ใช้เงินทำให้สามารถเพิ่มวงเงินฝากเพิ่มอีกในแต่ละปี และเขาก็เล่าถึงความรู้สึกของการมีเงินล้าน แรกให้ฟัง …… นี้เลยจุดไฟในตัวผมอีกครั้ง )
ผมจะมาเล่าต่อนะครับ
ผ่านมากับการลงทุนปีที่ 2 กับบทเรียน ตอนนี้ปี 2554
ผมเคยอ่านเจอบทความการลงทุนที่ว่า วิกฤติ คือ โอกาส
และแล้วผมก็มองเห็น.....
โอกาส(1) คือ น้ำท่วม
ที่เริ่มท่วมมาจากภาคเหนือของประเทศ และท่วมไปกว่าครึ่งของประเทศทางตอนบน
กว่าจะไหลไปออกปากอ่าวไทยได้ก็ใช้เวลานาน 2-3 เดือน ทำให้ราคาหุ้นตก เป็นจำนวนมาก และนี้เป็นโอกาสที่จะได้ของดีราคาถูก ตอนนี้ผมเริ่มมีความเข้าใจหลักการลงทุนในตลาดทุนบ้างแล้ว แต่ตอนนี้ ผมทุนน้อยประจวบเหมาะคุณแม่ของผมท่านเป็นครูต่างอำเภอมาเล่าให้ฟังว่า เพื่อนครูของแม่หลายคน กู้เงิน ชพค. ในงวดที่จะกำลังมาถึงในปลายปีนี้
(โครงการเงินกู้สมาชิกกองทุนการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.) หรือ โครงการเงินกู้ ช.พ.ค. ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) เป็นโครงการที่ สกสค.ร่วมกับสถาบันการเงินเปิดโอกาสให้มีการใช้สิทธิความเป็นสมาชิก ช.พ.ค. ในการกู้เงินจากสถาบันการเงินที่ร่วมโครงการ ทั้งนี้โครงการเงินกู้ ช.พ.ค. เป็นสวัสดิการที่ สกสค. ทำขึ้นเพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งให้ครูสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ ผ่อนแบบสบาย ๆ.....ไม่จริงนะครับ ผมรู้ว่า ไม่จริง)
ซึ่งหลายคนกู้มาให้ซื้อรถเป็นรางวัลจบการศึกษาลูกบ้าง กู้มาใช้จ่ายบ้าง ซึ่งที่บ้านของผมไม่ค่อยจะนิยมกู้มากนัก อยู่บ้านหลังเดิมๆตั้งแต่เกิดมีปรับปรุงบ้าง ตามวันเวลา
โอกาส(2)ผมต้องการทุนเพิ่ม เพราะ นี้คือจังหวะของผม
ผมเข้าไปขอคุณแม่ของเพื่อให้กู้ในงวดที่จะถึงนี้ วงเงินกู้ 1,500,000บาท ซึ่งต้องส่งผ่อนนานเป็น 10 กว่าปี โดย
ผมให้เหตุผล ถึงการกู้ว่า ผมจะนำมาลงทุนในหุ้นซึ่งที่ผ่านมาก็คุณแม่ก็ได้ติดตามการลงทุนมาตั้งแต่ก้าวแรกที่เริ่มซื้อทอง ครั้งนั้น
ผมบอกว่า ดีกว่าการที่ใครหลายคนกู้มาให้ลูกซื้อรถยนต์ซึ่งต้องสร้างภาระแก่ลูกในอนาคตแน่นอน
ผมรู้ดีว่า เงินก้อนมากมายกับผมที่เงินเดือนไม่หมื่นบาท
ถ้าผมจะเก็บจากส่วนที่เหลือของเงินเดือนมาคืนแม่ได้เอง คงอีกหลายสิบปีเช่นกัน
แม่เก็บไปคิดนานเป็นสัปดาห์ เพื่อศึกษาการส่งเงินกู้และระเบียบการกู้ รวมถึงประโยชน์ที่จะได้รับ ผมเองก็หาข้อมูลการกู้ครั้งนี้เพื่อมาบอกแม่เช่นกัน
แล้ววันหนึ่ง แม่ก็มาบอกว่า “นี้ คือ ส่วนหนึ่งของมรดกที่แม่จะให้ ต่อไปคงไม่ให้อีก เพราะต้องแบ่งส่วนที่เหลือให้น้องสาวเรียน” ฟังแล้วก็เจ็บปวดที่โอกาสมันช่างจำกัด..
ผมขอแม่ 1,000,000บาท ส่วน 500,000บาท แม่นำไปปรับปรุงบ้าน
ผมได้รับเงินมาช่วงเดือนตุลาคม 2554 ตอนนั้นพอพอร์ตมีเงิน เป็น 1,300,000 บาทแล้ว เพราะกับทุนเดิมที่ 300,000บาท ที่ไม่ก้าวไปไหนเลยตลอด 2 ปีที่ผ่านมา
ผมให้เงื่อนไขกับตัวเองว่า ถ้า พอร์ตลดเหลือ 1,000,000 บาท ผมจะเลิกทันทีกับวงการนี้ เพราะถือว่าส่วนของผมหมดแล้ว และจะมอบที่เหลือคืนแม่ทั้งหมด พร้อมกลับไปนับ 1 บาทใหม่^6^
เมื่อพอร์ตมี หลักล้าน สิ่งที่ผมต้องตระหนัก คือ
1.ผมต้องคืนให้แม่โดยเร็ว เพราะแม่ของผมยอมเป็นหนี้ เพื่อลูกคนนี้เป็นเวลานาน 10 ปีกว่า โดยตัวผมถึงขั้น จดใส่กระดาษและเขียนไว้ในกระเป๋าตั้งถึงยอดพอร์ตที่โตขึ้น ตามที่วางเป้าไว้ คือ................เพื่อกระตุ้นตัวเอง ถึงสิ่งที่ทำอยู่ (เคยอ่านเจอหนังสือชื่อ THE TOP SECRET บอกให้เขียนเป้าหมาย กำหนดเวลา และเงื่อนไข ใส่กระดาษ)
2.ผมรู้สึกกลัวพอร์ตผมจะต้องบาดเจ็บมาก เพราะนี้คือ โอกาสดีโอกาสสุดท้าย ที่มี
และผมเองคงจะเสียใจ นี้คือ เงินของแม่
3.เมื่อพอร์ตโตขึ้นแบบนี้ ผมเองต้องใส่ใจรายละเอียดอย่างมากกว่าที่เคย รวมถึงความขยัน ทำให้ผมต้องนอนดึกหลังจากการทำงานทุกคืนหลังจากนั้น จนตอนนี้เป็นนิสัยไปเสียแล้ว ซึ่งค่อยเป็นผลดีเท่าไหรต่อสุขภาพ
4.ปรับทัศนคติให้ถูกต้อง หรือดีกว่า เดิม เพราะ ผมต้องสร้างกำไรให้มากกว่านี้โดยเร็ว ต้องมาทัศนคติที่ดีก่อน ( ผมสังเกตเห็น พี่นักลงทุนหลายท่านพูดถึง และพยายามหาคำตอบ ทัศนคติที่ถูกต้องต่อการลงทุน คือ ซื้อของดี ราคาถูก ขายเมื่อราคาแพง.....ทัศนคติต่อการสร้างรายได้ คือ คุณต้องพยายามหาความรู้ ให้สมกับกำไรที่หามาได้ ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ...ผมคิดเอง ถูกผิดอย่างไง ก็ชี้แนะด้วยนะครับ.)
5.ผมพยายามที่เข้าไปถามคนที่ผู้รู้จักเท่าที่ทำได้ว่า เขามีแนวคิดกับการสร้างเงินล้านที่เขาหาได้อย่างไง เพราะผมต้องเข้าใจแรงจูงใจและแนวคิดของคนเหล่านั้น เอามาประยุกต์เป็นของผม
แนวคิดของข้าราชการชั้นผู้น้อยเงินเก็บเป็นล้านบาท
(ผมเชื่อว่าแนวทางจาก ตัวบุคคลที่เขาทำสำเร็จมาก่อน ย่อมดีกว่าอ่านหนังสือเป็นไหนๆ....มันสัมผัสถึงพลังจากคนนั้น และเทคนิคนิดเดียวที่สำคัญมากที่ต้องมาเรียนรู้เองที่บอกมาจากคนนั้น สุดท้ายมันง่ายต่อความเข้าใจมาก เหมือนคำพูดที่ผมเคยได้ยินมาว่า
"อ่านหนังสือเป็น 10 ชั่วโมง ไม่เท่าฟังจากผู้รู้เพียง 5 นาที" จากรุ่นพี่ทหารท่านหนึ่ง
"เมื่อแม่พาไปหาแนวคิดผู้สำเร็จตัวจริงใกล้ตัว"
มีครั้งหนึ่งแม่ของผมพาไปเพื่อนของพ่อที่สามารถเก็บเงินเงินล้านและสร้างปันผลได้ปีละหลายแสนบาทจากการฝากหุ้นสหกรณ์ครู สงสัยแม่คงอยากช่วย แม่57'dy[พาขับรถมานอกอำเภอเป็นหลาย 10 กิโล เพื่อมาพบครอบครัวนี้ และเขาก็ยินดีที่จะบอก ผมเห็นแววตาพวกเขามันดูต่างจากคนทั่วไปเขามุ่งมั่น เขาบอกว่าแนวคิดกับผมว่า การเก็บเงินที่เหลือจากเงินเดือน
คือ กำไร 100%ของเรา เมื่อเทียบกับการนำสินค้ามาขายเพื่อทำกำไรหรือเลี้ยงวัว เพราะครอบครัวนี้เคยทำมาหมด ทั้งต้องเสียเวลาในการไปขาย สิ้นค้าก็หมดอายุ ตัวเองก็เหนื่อย เรามีข้อดี คือ เป็นข้าราชการมีเงินเดือนถึงสิ้นเดือนก็ได้รับเงิน
ครอบครัวนี้ตั้งเป้าว่าภายใน 10 ปีจะต้องมีเงิน 1,000,000 บาทให้ได้ จากฝากหุ้นสหกรณ์ที่มีปันผลต่อปี ประมาณ 7-8% เขาฝากเดือนละ 10,000 บาท ถึงเวลาปันผลก็นำไปซื้อหุ้นคืนทำให้โตแบบก้าวกระโดดไม่รู้ตัว ไม่ถึง10 ปีก็ได้ตามที่ตั้งเป้า และเขาเสริมอีกว่าเงินเดือนเราก็โตตามเพราะปรับขึ้นขั้นทุกปี ส่วนลูกยังเล็กยังไม่ใช้เงินทำให้สามารถเพิ่มวงเงินฝากเพิ่มอีกในแต่ละปี และเขาก็เล่าถึงความรู้สึกของการมีเงินล้าน แรกให้ฟัง …… นี้เลยจุดไฟในตัวผมอีกครั้ง )
ผมจะมาเล่าต่อนะครับ
- untrataro25
- Verified User
- โพสต์: 952
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เมื่อ นตท. เริ่ม คิดจะลงทุน และก่อนอายุ 30 จะมีเงิน1ล้าน
โพสต์ที่ 14
ขอบคุณที่แบ่งปันจ้า ติดตามอ่านอยู่ครับ
"เพราะเรียบง่าย จึงชนะ"
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เมื่อ นตท. เริ่ม คิดจะลงทุน และก่อนอายุ 30 จะมีเงิน1ล้าน
โพสต์ที่ 17
ก่อนอื่นต้องขอชื่นชมในความมุ่งมั่นและตั้งใจ รู้จักวางแผนอนาคตตั้งแต่อายุยังน้อย
ดูเหมือนพยายามฝ่าข้อจำกัดพื้นฐานของชีวิตอยู่หลายเรื่อง และขอฝากชื่นชมไปถึงคุณแม่ด้วยนะคะ
นึกถึงตอนที่บอกว่าคุณแม่เก็บไปคิดนานเป็นสัปดาห์
แต่ในที่สุดก็สนับสนุน แสดงว่าคุณแม่มีความไว้ใจในต้วน้องมาก
จุดนี้ขอให้เก็บไว้เป็นกำลังใจเสมอ เมื่อยามที่ท้อนะคะ
สิ่งที่อยากฝากนิดนึงคือ
1. โดยปกติเนี่ยเวลาหุ้นตก นักลงทุนส่วนใหญ่ก็จะมีความกังวลแม้จะเป็นเงินเย็น
แต่ของน้องนี่เงินส่วนหลักๆ เป็นเงินที่คุณแม่กู้มาบ้าง (พี่ไม่ตัดสินนะคะว่าเอาเงินกู้มา
มันจะ fail หรืออะไร...เพราะบางคนอาจทำได้ดีก็ได้)
เพียงแต่อยากบอกว่ามันมีโอกาสที่จะสร้างความกังวลใจให้เรามากกว่าปกติเท่านั้น
ดังนั้นเราคงต้องหนักแน่นมากกว่าปกติ และอย่าไปยุ่งกับหุ้นที่พื้นฐานไม่ดี
2. ควบคู่กันไปอยากให้ตั้งใจทยอยคืนเงินต้นอย่างมีวินัย อย่าเพลินเมื่อได้กำไร
เราอาจจะกำหนดสัดส่วนของกำไรไว้ว่าเราจะเอากำไรไว้ลงทุนต่อและอีกส่วนคืนเงินกู้ให้มากกว่าขั้นต่ำ
ที่แหล่งเงินกู้กำหนดให้จ่าย เช่น (เก็บไว้ลงทุนต่อ 50 : คืนเงินต้น 50)
(สัดส่วนเป็นเท่าใดนั้นน้องกำหนดเองน่าจะเหมาะกว่า)
3. อย่าลืมเรื่องการออมและการเห็นคุณค่าของเงิน แต่ตรงนี้พี่ก็เห็นด้วยกับพี่ chatchai ว่าถ้าเรามาถูกแนว
เราจะมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นคนที่เห็นคุณค่าของเงินมากขึ้นเรื่อย และจะประหยัดเป็นนิสัยไปเอง
เบื้องต้นคงแนะนำเท่านี้ก่อนนะคะ...จะว่าไปพี่เองก็เข้าตลาดมาไม่นานเหมือนกัน ประมาณ มีนาคม ปี 2010
(ที่แรกจำผิดคิดว่าตัวเองเริ่มลงทุนเมื่อปี 2009 ).....บังอาจมาแนะนำ หรือเปล่าหนอ
.............................................
เราเริ่มต้นด้วยทุนน้อย เวลามองไปเห็นใครสำเร็จมากกว่า....ก้าวไปข้างหน้าได้ยาวกว่า....ก็อย่าได้ท้อ
จงชื่นชมและเก็บไว้เป็นแรงบันดาลใจ....เปิดใจเรียนรู้แนวทางที่เขาเหล่านั้นใช้
แล้วนำมาปรับใช้ให้เหมาะกับบริบทของเรา
สิ่งสำคัญที่สุด.....
จงภูมิใจในแต่ละก้าวของเรา....แม้มันจะเป็นก้าวเล็กๆ.....แต่มันทำให้ตัวเราเคลื่อนไปข้างหน้าได้จริง
ดูเหมือนพยายามฝ่าข้อจำกัดพื้นฐานของชีวิตอยู่หลายเรื่อง และขอฝากชื่นชมไปถึงคุณแม่ด้วยนะคะ
นึกถึงตอนที่บอกว่าคุณแม่เก็บไปคิดนานเป็นสัปดาห์
แต่ในที่สุดก็สนับสนุน แสดงว่าคุณแม่มีความไว้ใจในต้วน้องมาก
จุดนี้ขอให้เก็บไว้เป็นกำลังใจเสมอ เมื่อยามที่ท้อนะคะ
สิ่งที่อยากฝากนิดนึงคือ
1. โดยปกติเนี่ยเวลาหุ้นตก นักลงทุนส่วนใหญ่ก็จะมีความกังวลแม้จะเป็นเงินเย็น
แต่ของน้องนี่เงินส่วนหลักๆ เป็นเงินที่คุณแม่กู้มาบ้าง (พี่ไม่ตัดสินนะคะว่าเอาเงินกู้มา
มันจะ fail หรืออะไร...เพราะบางคนอาจทำได้ดีก็ได้)
เพียงแต่อยากบอกว่ามันมีโอกาสที่จะสร้างความกังวลใจให้เรามากกว่าปกติเท่านั้น
ดังนั้นเราคงต้องหนักแน่นมากกว่าปกติ และอย่าไปยุ่งกับหุ้นที่พื้นฐานไม่ดี
2. ควบคู่กันไปอยากให้ตั้งใจทยอยคืนเงินต้นอย่างมีวินัย อย่าเพลินเมื่อได้กำไร
เราอาจจะกำหนดสัดส่วนของกำไรไว้ว่าเราจะเอากำไรไว้ลงทุนต่อและอีกส่วนคืนเงินกู้ให้มากกว่าขั้นต่ำ
ที่แหล่งเงินกู้กำหนดให้จ่าย เช่น (เก็บไว้ลงทุนต่อ 50 : คืนเงินต้น 50)
(สัดส่วนเป็นเท่าใดนั้นน้องกำหนดเองน่าจะเหมาะกว่า)
3. อย่าลืมเรื่องการออมและการเห็นคุณค่าของเงิน แต่ตรงนี้พี่ก็เห็นด้วยกับพี่ chatchai ว่าถ้าเรามาถูกแนว
เราจะมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นคนที่เห็นคุณค่าของเงินมากขึ้นเรื่อย และจะประหยัดเป็นนิสัยไปเอง
เบื้องต้นคงแนะนำเท่านี้ก่อนนะคะ...จะว่าไปพี่เองก็เข้าตลาดมาไม่นานเหมือนกัน ประมาณ มีนาคม ปี 2010
(ที่แรกจำผิดคิดว่าตัวเองเริ่มลงทุนเมื่อปี 2009 ).....บังอาจมาแนะนำ หรือเปล่าหนอ
.............................................
เราเริ่มต้นด้วยทุนน้อย เวลามองไปเห็นใครสำเร็จมากกว่า....ก้าวไปข้างหน้าได้ยาวกว่า....ก็อย่าได้ท้อ
จงชื่นชมและเก็บไว้เป็นแรงบันดาลใจ....เปิดใจเรียนรู้แนวทางที่เขาเหล่านั้นใช้
แล้วนำมาปรับใช้ให้เหมาะกับบริบทของเรา
สิ่งสำคัญที่สุด.....
จงภูมิใจในแต่ละก้าวของเรา....แม้มันจะเป็นก้าวเล็กๆ.....แต่มันทำให้ตัวเราเคลื่อนไปข้างหน้าได้จริง
-
- Verified User
- โพสต์: 8
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เมื่อ นตท. เริ่ม คิดจะลงทุน และก่อนอายุ 30 จะมีเงิน1ล้าน
โพสต์ที่ 19
MarkOto เขียน:ขอบคุณครับ
สำหรับทุกคำแนะนำ และการติดตามผม
ขอให้แนะนำผมเยอะเลยครับ ผมจะได้ไปปรับปรุงตัว
**วันนี้ พึ่งกลับมาจากเป็นกองทหารถวายพระเกียรติ อ.นครไทย จ.พิษณุโลก**
มีต่อไหมครับ รอฟังอยู่นะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 53
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เมื่อ นตท. เริ่ม คิดจะลงทุน และก่อนอายุ 30 จะมีเงิน1ล้าน
โพสต์ที่ 20
แล้วต่อมาก็
เกิดความสงสัยตัวเอง
ืำ ทำไมต้อง “รวย!!!”
เพราะผมเป็นเด็กช่างคิด ช่างสงสัย แล้วที่ผมมาลงทุนนี้เพื่อ อะไร
สาเหตุที่เกิดความรู้สึกสงสัยตัวเอง เพราะ รู้เหนื่อยหน่าย ท้อแท้ มีบ้างที่แอบน้ำตาซึม
เพราะให้ตอบตัวเองไม่ได้ ที่ต้องมานั่งอ่านหนังสือการลงทุนมากกว่าเดิม มีเวลาว่างก็ดู youtue รายการลงทุน (ตอนนี้ก็ VI สายดำ ครับ) เสาร์-อาทิตย์ก็มาอ่านความรู้ในตามเว็บ รวมถึง Thaivi และรายการหุ้นต่างๆ รวมถึง ในสมาร์ทโฟนและipadก็จะโหลดรายการลงทุนไว้ติดตัวเสมอเพื่อทบทวนแนวคิดตนเอง ขณะอาบน้ำผมก็ดู นะครับเพราะจะไม่เสียเวลาเปล่า ที่ซ้ำไปกว่านั้น ..การลงทุนของผมยังมีบ้างครั้งขาดทุนทั้งที่ทำขนาดนี้ ...ก็ทำให้อึดอัดกับตัวเอง…บ้าง
วันหนึ่งผมไปอ่านเจอแนวคิดดีๆ
จากหนังสือของ หนูดี วนษา เรส พูดถึงเหตุผลที่ควรมีมั่งมี ไว้อย่างคิด
(หมายเหตุ ผมชอบอ่านหนังสือที่พัฒนาจิตและแนวคิดมาก หนังสือ หนูดี , THE TOP SECRET และพ่อรวยสอนลูก)
สิ่งนี้ มันตอบความสงสัยว่า ที่ผมลงทุนที่บอก อยากรวยๆ ....เพื่ออะไร
เพราะการกระทำที่มีจุดประสงค์ เหตุผล และเป้าหมาย ก็เสมือนหนึ่งรถยนต์ติดไนตรัส ที่จะวิ่งได้เร็วและแรงขึ้นไปสู่ที่หมายได้อย่างมุ่งมั่น\
เหตุผลที่ผมอย่างจะมั่งมี คือ
1.ผมต้องการเก็บไว้ใช้คราวที่ผมและคนที่รักจำเป็นต้องใช้มัน เช่น เจ็บป่วย เพราะคนที่รักต้องได้รับการดูแลที่ดีที่สุด รวมถึงโอกาสทางการศึกษาที่ดีของบุตรในอนาคต ( ^^X)
2.ผมต้องการดูแลคนที่รักผมและผมรักให้ดีที่สุดจากเงินลงทุนที่ผมสร้างมา เช่น ทานอาหารที่ดี มีบ้านที่น่าอยู่ให้คนเหล่านั้น
3.ผมต้องการสร้างความอุ่นใจให้แก่ครอบครัว เพราะถือว่า ผมสร้างสามารถสร้างความมั่งคั่งได้ไม่สร้างภาระให้แม่ อีกอย่างน้องคงเจริญรอยตามแน่เป็นการสอนน้องจากตัวอย่างที่เห็น คือ ผม
4.ผมเห็นเครือญาติของผมบ้างคน สามารถทำความสำเร็จด้วยการสร้างรายได้
ผมเองก็ต้องการที่จะทำได้ในจุดที่ผมมีความสามารถและเวลาเพียงพอ
5.ผมต้องการพิสูจน์ว่า ตนเองจะสามารถสร้างฐานะที่ดีขึ้น ได้หรือไม่
6.ผมต้องการทำให้ตัวเองมั่งคั่งก่อน เพราะผมเชื่อว่าคนรอบข้างผมจะมั่งคั่งตาม
ทำไม? เนื่องจากผมทำได้ ผมก็ย่อมมีความรู้และแนวคิดดี สามารถไปถ่ายทอดได้
และเมื่อคนเหล่านั้นเห็นผมทำได้ ต้องมีบ้างส่วนที่ทำตาม สังคมรอบตัวผมก็จะมีแต่คนมั่งคั่ง
ซึ่งตอนนี้ เพื่อนๆหลายคนก็มีบางส่วนที่ทำตามผมมาบ้างแล้ว และกำลังจะทำอีกมาก ในแนวคิดการวางแผนทางการเงิน
และในหลายคนในเหล่านี้ ไม่เคยเชื่อในสิ่งผมพูด บอกว่าผมนี้ เพ้อรวย........ตอนนี้เริ่มเข้าใจและมาเพ้อตามกันบ้างแล้ว
7.สุดท้าย ถ้าผมเป็นข้าราชการที่ดี และมีการวางแผนการเงินที่ดี ลูกน้องหลายคนคงทำตามและคงดีใจที่มีผมเป็นลูกพี่ของเขาเหล่านั้น การทำงานก็ดีตามไปด้วยแน่นอน
ผมจะมาเล่าต่อนะครับ
...ขอบคุณที่ติดตามผมและขอบคุณสำหรับคำแนะนำของเพื่อนๆพี่ๆทุกท่านครับ
เกิดความสงสัยตัวเอง
ืำ ทำไมต้อง “รวย!!!”
เพราะผมเป็นเด็กช่างคิด ช่างสงสัย แล้วที่ผมมาลงทุนนี้เพื่อ อะไร
สาเหตุที่เกิดความรู้สึกสงสัยตัวเอง เพราะ รู้เหนื่อยหน่าย ท้อแท้ มีบ้างที่แอบน้ำตาซึม
เพราะให้ตอบตัวเองไม่ได้ ที่ต้องมานั่งอ่านหนังสือการลงทุนมากกว่าเดิม มีเวลาว่างก็ดู youtue รายการลงทุน (ตอนนี้ก็ VI สายดำ ครับ) เสาร์-อาทิตย์ก็มาอ่านความรู้ในตามเว็บ รวมถึง Thaivi และรายการหุ้นต่างๆ รวมถึง ในสมาร์ทโฟนและipadก็จะโหลดรายการลงทุนไว้ติดตัวเสมอเพื่อทบทวนแนวคิดตนเอง ขณะอาบน้ำผมก็ดู นะครับเพราะจะไม่เสียเวลาเปล่า ที่ซ้ำไปกว่านั้น ..การลงทุนของผมยังมีบ้างครั้งขาดทุนทั้งที่ทำขนาดนี้ ...ก็ทำให้อึดอัดกับตัวเอง…บ้าง
วันหนึ่งผมไปอ่านเจอแนวคิดดีๆ
จากหนังสือของ หนูดี วนษา เรส พูดถึงเหตุผลที่ควรมีมั่งมี ไว้อย่างคิด
(หมายเหตุ ผมชอบอ่านหนังสือที่พัฒนาจิตและแนวคิดมาก หนังสือ หนูดี , THE TOP SECRET และพ่อรวยสอนลูก)
สิ่งนี้ มันตอบความสงสัยว่า ที่ผมลงทุนที่บอก อยากรวยๆ ....เพื่ออะไร
เพราะการกระทำที่มีจุดประสงค์ เหตุผล และเป้าหมาย ก็เสมือนหนึ่งรถยนต์ติดไนตรัส ที่จะวิ่งได้เร็วและแรงขึ้นไปสู่ที่หมายได้อย่างมุ่งมั่น\
เหตุผลที่ผมอย่างจะมั่งมี คือ
1.ผมต้องการเก็บไว้ใช้คราวที่ผมและคนที่รักจำเป็นต้องใช้มัน เช่น เจ็บป่วย เพราะคนที่รักต้องได้รับการดูแลที่ดีที่สุด รวมถึงโอกาสทางการศึกษาที่ดีของบุตรในอนาคต ( ^^X)
2.ผมต้องการดูแลคนที่รักผมและผมรักให้ดีที่สุดจากเงินลงทุนที่ผมสร้างมา เช่น ทานอาหารที่ดี มีบ้านที่น่าอยู่ให้คนเหล่านั้น
3.ผมต้องการสร้างความอุ่นใจให้แก่ครอบครัว เพราะถือว่า ผมสร้างสามารถสร้างความมั่งคั่งได้ไม่สร้างภาระให้แม่ อีกอย่างน้องคงเจริญรอยตามแน่เป็นการสอนน้องจากตัวอย่างที่เห็น คือ ผม
4.ผมเห็นเครือญาติของผมบ้างคน สามารถทำความสำเร็จด้วยการสร้างรายได้
ผมเองก็ต้องการที่จะทำได้ในจุดที่ผมมีความสามารถและเวลาเพียงพอ
5.ผมต้องการพิสูจน์ว่า ตนเองจะสามารถสร้างฐานะที่ดีขึ้น ได้หรือไม่
6.ผมต้องการทำให้ตัวเองมั่งคั่งก่อน เพราะผมเชื่อว่าคนรอบข้างผมจะมั่งคั่งตาม
ทำไม? เนื่องจากผมทำได้ ผมก็ย่อมมีความรู้และแนวคิดดี สามารถไปถ่ายทอดได้
และเมื่อคนเหล่านั้นเห็นผมทำได้ ต้องมีบ้างส่วนที่ทำตาม สังคมรอบตัวผมก็จะมีแต่คนมั่งคั่ง
ซึ่งตอนนี้ เพื่อนๆหลายคนก็มีบางส่วนที่ทำตามผมมาบ้างแล้ว และกำลังจะทำอีกมาก ในแนวคิดการวางแผนทางการเงิน
และในหลายคนในเหล่านี้ ไม่เคยเชื่อในสิ่งผมพูด บอกว่าผมนี้ เพ้อรวย........ตอนนี้เริ่มเข้าใจและมาเพ้อตามกันบ้างแล้ว
7.สุดท้าย ถ้าผมเป็นข้าราชการที่ดี และมีการวางแผนการเงินที่ดี ลูกน้องหลายคนคงทำตามและคงดีใจที่มีผมเป็นลูกพี่ของเขาเหล่านั้น การทำงานก็ดีตามไปด้วยแน่นอน
ผมจะมาเล่าต่อนะครับ
...ขอบคุณที่ติดตามผมและขอบคุณสำหรับคำแนะนำของเพื่อนๆพี่ๆทุกท่านครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 8
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เมื่อ นตท. เริ่ม คิดจะลงทุน และก่อนอายุ 30 จะมีเงิน1ล้าน
โพสต์ที่ 22
MarkOto เขียน:ตอนนี้ ผมอายุ 26 ปี ครับ
คิดว่าจะเล่าเป็นตอนๆ ไล่มาจนถึงปัจจุบัน เพื่อจะได้คำแนะนำดีๆจากพี่ๆครับ
อายุเท่ากันเลยครับ และก็มีความฝันที่เหมือนกันเลย รู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน กับการเริ่มต้นจาก0 มันไม่ง่ายเลย
-
- Verified User
- โพสต์: 1980
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เมื่อ นตท. เริ่ม คิดจะลงทุน และก่อนอายุ 30 จะมีเงิน1ล้าน
โพสต์ที่ 23
ยินดีต้อนรับครับ
รุ่นไหนครับ
รุ่นไหนครับ
The mother of all evils is speculation, leverage debt. Bottom line, is borrowing to the hilt. And I hate to tell you this, but it's a bankrupt business model. It won't work. It's systemic, malignant, and it's global, like cancer.
-
- Verified User
- โพสต์: 1980
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เมื่อ นตท. เริ่ม คิดจะลงทุน และก่อนอายุ 30 จะมีเงิน1ล้าน
โพสต์ที่ 25
The mother of all evils is speculation, leverage debt. Bottom line, is borrowing to the hilt. And I hate to tell you this, but it's a bankrupt business model. It won't work. It's systemic, malignant, and it's global, like cancer.
- SawScofield
- Verified User
- โพสต์: 236
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เมื่อ นตท. เริ่ม คิดจะลงทุน และก่อนอายุ 30 จะมีเงิน1ล้าน
โพสต์ที่ 26
26 ปีรายงานตัวอีกคนครับ ชอบแนวคิดเผยแผ่แนวทางการลงทุนให้คนรอบข้างมั่งคั่งไปด้วยกันจังเลยครับ ผมพยายามอยู่เหมือนกันครับ ต้องยอมรับว่ายากเหลือเกินครับที่จะให้คนฟังเราในวันที่ผลงานเรายังไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอันเม่าคุง เขียน:MarkOto เขียน:ตอนนี้ ผมอายุ 26 ปี ครับ
คิดว่าจะเล่าเป็นตอนๆ ไล่มาจนถึงปัจจุบัน เพื่อจะได้คำแนะนำดีๆจากพี่ๆครับ
อายุเท่ากันเลยครับ และก็มีความฝันที่เหมือนกันเลย รู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน กับการเริ่มต้นจาก0 มันไม่ง่ายเลย
แต่มันมีความสุขจริงๆครับเวลาเห็นคนรอบข้างมีปัญหากับหนี้บัตรเครดิตน้อยลง เดือนชนเดือนน้อยลง ให้ความสำคัญกับการออมก่อนใช้มากขึ้น
เกิดมาในครอบครัวระดับปานกลางเหมือนกันครับ แถมเป็นลูกชายคนโต เลยละอายใจถ้าจะไม่นับจาก 0 ด้วยตัวเอง
มาสร้างสังคมแห่งการให้ด้วยกันครับ สู้ๆครับ ^^
Respect, Persistence then Deserve
-
- Verified User
- โพสต์: 9
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เมื่อ นตท. เริ่ม คิดจะลงทุน และก่อนอายุ 30 จะมีเงิน1ล้าน
โพสต์ที่ 27
ผม 27 ครับ ทุน 500,000 เข้าตอน พ.ค. 1600 จุด
สู้ครับผม
สู้ครับผม
-
- Verified User
- โพสต์: 1980
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เมื่อ นตท. เริ่ม คิดจะลงทุน และก่อนอายุ 30 จะมีเงิน1ล้าน
โพสต์ที่ 28
ขอวิจารณ์นิดนึง
เอ็งทำเหมือนพี่ทุกอย่าง เริ่มจากทอง ไปกองทุน และมีเช็คพอยต์เดียวกันคือ1ล้านเมื่ออายุ30ปี
แต่สิ่งที่เอ็งไม่ควรทำคือการเลิกเมื่อเงินทุนลดลงต่ำกว่าล้าน
ถ้ามูลค่าพอร์ตลดลงเหลือเก้าแสนแล้วเอ็งถอยไป มันเหมือนการรบ มีทหารถูกฆ่าตายไปคนนึง เอ็งจะสั่งถอยงั้นหรือ
สาเหตุที่ต้องถอย คือเงินเริ่มต้นมันเป็นเงินร้อน ถูกต้องไหม?
ทำไมไม่ลองพิจารณาใช้เงินเริ่มต้นสามแสน(ซึ่งแม่งก็เท่าของกูเป๊ะๆ ให้ตายสิ ยังกับลอกกันมา)
พิจารณาเรื่องการใช้เงินกู้นี้ใหม่ อย่าถอย และอย่าคิดตัดขาดทุนแบบไร้สติ
ถ้าตลาดตกไปเหลือ700อีกครั้งเท่ากับตอนที่เริ่มลงทุน เงินในพอร์ตหายไปกว่าครึ่ง
จะทำอย่างไร
มีคำใบ้สั้นๆให้สำหรับคำถามนี้นะ
เวลาคือกุญแจแห่งชัยชนะในการลงทุน
เอ็งทำเหมือนพี่ทุกอย่าง เริ่มจากทอง ไปกองทุน และมีเช็คพอยต์เดียวกันคือ1ล้านเมื่ออายุ30ปี
แต่สิ่งที่เอ็งไม่ควรทำคือการเลิกเมื่อเงินทุนลดลงต่ำกว่าล้าน
ถ้ามูลค่าพอร์ตลดลงเหลือเก้าแสนแล้วเอ็งถอยไป มันเหมือนการรบ มีทหารถูกฆ่าตายไปคนนึง เอ็งจะสั่งถอยงั้นหรือ
สาเหตุที่ต้องถอย คือเงินเริ่มต้นมันเป็นเงินร้อน ถูกต้องไหม?
ทำไมไม่ลองพิจารณาใช้เงินเริ่มต้นสามแสน(ซึ่งแม่งก็เท่าของกูเป๊ะๆ ให้ตายสิ ยังกับลอกกันมา)
พิจารณาเรื่องการใช้เงินกู้นี้ใหม่ อย่าถอย และอย่าคิดตัดขาดทุนแบบไร้สติ
ถ้าตลาดตกไปเหลือ700อีกครั้งเท่ากับตอนที่เริ่มลงทุน เงินในพอร์ตหายไปกว่าครึ่ง
จะทำอย่างไร
มีคำใบ้สั้นๆให้สำหรับคำถามนี้นะ
เวลาคือกุญแจแห่งชัยชนะในการลงทุน
The mother of all evils is speculation, leverage debt. Bottom line, is borrowing to the hilt. And I hate to tell you this, but it's a bankrupt business model. It won't work. It's systemic, malignant, and it's global, like cancer.
- simpleBE
- Verified User
- โพสต์: 2333
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เมื่อ นตท. เริ่ม คิดจะลงทุน และก่อนอายุ 30 จะมีเงิน1ล้าน
โพสต์ที่ 30
MarkOto ลงทุนมาแล้วเกือบสี่ปี เงินต้นก็ถือว่าไม่น้อยนะสามแสนเนี่ย
แต่มาถึงวันนี้ทำไมมันไม่งอกเงยสักเท่าไหร่ อยากรู้ว่ามีแนวทางการลงทุนแบบไหน เลือกหุ้นยังไง บริหารพอร์ตยังไง
ขอตั้งข้อสังเกตว่า เงินสามแสนซึ่งเป็นเงินเย็นๆ (ไม่มีความกดดัน) ผ่านมาสี่ปียังไม่งอกเงย
แล้วเงินล้านสาม (เป็นเงินกู้ซึ่งแน่นอนมันกดดันกว่า) จะทำยังไงให้มันเติบโต
ปล. อยากให้มีมีตติ้งจริงๆ เชียว
แต่มาถึงวันนี้ทำไมมันไม่งอกเงยสักเท่าไหร่ อยากรู้ว่ามีแนวทางการลงทุนแบบไหน เลือกหุ้นยังไง บริหารพอร์ตยังไง
ขอตั้งข้อสังเกตว่า เงินสามแสนซึ่งเป็นเงินเย็นๆ (ไม่มีความกดดัน) ผ่านมาสี่ปียังไม่งอกเงย
แล้วเงินล้านสาม (เป็นเงินกู้ซึ่งแน่นอนมันกดดันกว่า) จะทำยังไงให้มันเติบโต
ปล. อยากให้มีมีตติ้งจริงๆ เชียว