ถามความเห็น หุ้นร้านค้าปลีก retail store
-
- Verified User
- โพสต์: 1258
- ผู้ติดตาม: 0
ถามความเห็น หุ้นร้านค้าปลีก retail store
โพสต์ที่ 1
ช่วงนี้มีเรื่องที่กังวลกันว่าการบริโภคภายในประเทศอาจจะชะลอตัว กำลังซื้อแผ่วลงจากหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น สำหรับกิจการร้านค้าปลีก retail store ที่ขายสินค้าโดยตรงแก่ผู้บริโภค ก็อาจได้รับผลกระทบมากน้อยต่างกันไป หุ้นที่น่าลงทุนนอกจากจะสามารถขยายสาขาได้เรื่อยๆแล้ว ควรมี same store sales growth ที่เติบโตต่อเนื่องด้วย ถ้า sssg 0% หมายถึงรายได้สาขาเดิมเท่าเดิม แต่ค่าใช้จ่ายน่าจะเพิ่มขึ้นตามเงินเฟ้อทุกปีจากค่าแรงและค่าเช่าที่เพิ่มขึ้น สาขานั้นๆจะมีกำไรลดลง
ร้านสะดวกซื้อ CPALL
ห้างสรรพสินค้า ROBINS
ร้านดิสเคาน์สโตร์ BIGC
ร้านวัสดุตกแต่ง/ก่อสร้างบ้าน HMPRO, GLOBAL
ร้านค้าปลีกเครื่องเพชร JUBILE
ร้านค้าปลีกเครื่องสำอางค์ BEAUTY, KAMART
ร้านค้าปลีกโทรศัพท์มือถือ JMART
ร้านค้าปลีกสินค้าไอที IT
ร้านค้าปลีกหนังสือ SE-ED
ร้านขายเสื้อผ้า MC, BGT
สถานีค้าปลีกน้ำมัน SUSCO, PTG
อยากถามความเห็นเพื่อนๆ พี่ๆ ว่าในระยะ 1-2 ปีนี้ คาดว่าหุ้นค้าปลีกตัวไหนบ้างที่ sssg โตเพิ่ม ตัวไหนที่ sssg ลดลง บ้างครับ
ร้านสะดวกซื้อ CPALL
ห้างสรรพสินค้า ROBINS
ร้านดิสเคาน์สโตร์ BIGC
ร้านวัสดุตกแต่ง/ก่อสร้างบ้าน HMPRO, GLOBAL
ร้านค้าปลีกเครื่องเพชร JUBILE
ร้านค้าปลีกเครื่องสำอางค์ BEAUTY, KAMART
ร้านค้าปลีกโทรศัพท์มือถือ JMART
ร้านค้าปลีกสินค้าไอที IT
ร้านค้าปลีกหนังสือ SE-ED
ร้านขายเสื้อผ้า MC, BGT
สถานีค้าปลีกน้ำมัน SUSCO, PTG
อยากถามความเห็นเพื่อนๆ พี่ๆ ว่าในระยะ 1-2 ปีนี้ คาดว่าหุ้นค้าปลีกตัวไหนบ้างที่ sssg โตเพิ่ม ตัวไหนที่ sssg ลดลง บ้างครับ
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4626
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ถามความเห็น หุ้นร้านค้าปลีก retail store
โพสต์ที่ 2
ในความเห็นผมนะ ร้านค้าปลีกไอทีเป็นอะไรที่น่ากลัวที่สุด รวมถึงร้านหนังสือ อะไรก็ตามที่ทำผ่านเน็ตได้นี่น่ากลัวหมดนะ แม้แต่ธนาคาร (?)
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
- vim
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2748
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ถามความเห็น หุ้นร้านค้าปลีก retail store
โพสต์ที่ 3
ผมสงสัยตลอดนะว่าที่กำลังซื้อมันดูแผ่วลง เป็นเพราะเราใช้ตัวเลขจากปีที่แล้วที่ได้รับผลบวกหลังพ้นน้ำท่วมหรือเปล่า ประกอบด้วยกับหนี้ครัวเรือนที่โตขึ้นจากนโยบายเศรษฐกิจในปีก่อน เราเลยโยงหลายๆเรื่องนี้เข้าด้วยกันว่าหนี้สูงขึ้นคนเลยจ่ายน้อยลง ทั้งๆที่ในทางสถิติแล้วมันอาจไม่เกี่ยวกันเลยก็ได้ คนอาจจะยังจ่ายมากขึ้นเหมือนเดิม แต่ตัวเลขปีที่แล้วมันสูงผิดปกติเกินไปเลยดูเหมือนว่าปีนี้โตช้าลง
ในระยะ 1 ปี ธุรกิจในกลุ่มตกแต่งบ้านอย่าง HMPRO นี้"อาจจะ"ดูว่า SSSG โตได้น้อยกว่าเงินเฟ้อ เพราะปีที่แล้วมีปัจจัยบวกหลังน้ำท่วมอย่างที่เกริ่นไว้
แต่ในระยะยาวผมดูจากข้อมูลปีก่อนๆว่าบริษัทนั้นโตไปพอๆกับเงินเฟ้อ ไม่มากกว่าเยอะ ไม่ต่ำกว่าเยอะ ซึ่งผมตีความว่าแต่ละสาขาไม่ได้ขายได้เพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ ส่วนหนึ่งอาจเพราะการเติบโตของจำนวนสาขามันทำให้เกิดการกินกันเองของสาขาเดิมอยู่เล็กน้อย
ในระยะ 1 ปี ธุรกิจในกลุ่มตกแต่งบ้านอย่าง HMPRO นี้"อาจจะ"ดูว่า SSSG โตได้น้อยกว่าเงินเฟ้อ เพราะปีที่แล้วมีปัจจัยบวกหลังน้ำท่วมอย่างที่เกริ่นไว้
แต่ในระยะยาวผมดูจากข้อมูลปีก่อนๆว่าบริษัทนั้นโตไปพอๆกับเงินเฟ้อ ไม่มากกว่าเยอะ ไม่ต่ำกว่าเยอะ ซึ่งผมตีความว่าแต่ละสาขาไม่ได้ขายได้เพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ ส่วนหนึ่งอาจเพราะการเติบโตของจำนวนสาขามันทำให้เกิดการกินกันเองของสาขาเดิมอยู่เล็กน้อย
Vi IMrovised
- ronnachai
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 167
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ถามความเห็น หุ้นร้านค้าปลีก retail store
โพสต์ที่ 4
ผมว่าทุกตัวที่เอ่ยมาน่าจะโตยกเว้น SE-ED และ IT เพราะเทรนด์ของสองบริษัทนี้กำลังเปลี่ยนแปลง
หากบริษัทหาทางแก้ไม่ได้มันคงแย่ลงเรื่อยๆ อีกตัวที่ผมไม่สันทัดเลยคือ Jubilee เพราะนึกไม่ออกว่า
ขายเพชรจะโตยังไงคนจะใส่เพชรเยอะขึ้นหรอ แต่จากผลการดำเนินงาน มันก็โตได้เรื่อยๆ อันนี้ต้องติดตาม
หากบริษัทหาทางแก้ไม่ได้มันคงแย่ลงเรื่อยๆ อีกตัวที่ผมไม่สันทัดเลยคือ Jubilee เพราะนึกไม่ออกว่า
ขายเพชรจะโตยังไงคนจะใส่เพชรเยอะขึ้นหรอ แต่จากผลการดำเนินงาน มันก็โตได้เรื่อยๆ อันนี้ต้องติดตาม
ความรู้สำคัญ แต่ความเข้าใจสำคัญกว่า
- romee
- Verified User
- โพสต์: 1850
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ถามความเห็น หุ้นร้านค้าปลีก retail store
โพสต์ที่ 5
ถ้าหมายถึง1-2ปีที่ผ่านมา ผมว่าโตหมดนะครับ ยกเว้นพวกร้านหนังสือ อาจจะน้อยกว่าคนอื่น
แต่ถ้ามองไป1-2ปีข้างหน้า...ผมจิ้มพวกอุปกรณ์มือถือ เครื่องสำอาง วัสดุตกแต่ง/ก่อสร้างบ้าน ครับ
แต่ถ้ามองไป1-2ปีข้างหน้า...ผมจิ้มพวกอุปกรณ์มือถือ เครื่องสำอาง วัสดุตกแต่ง/ก่อสร้างบ้าน ครับ
You only live once, but if you do it right, once is enough.
-
- Verified User
- โพสต์: 535
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ถามความเห็น หุ้นร้านค้าปลีก retail store
โพสต์ที่ 7
กำลังซื้อโดยรวม แผ่วลงจริงหรือเปล่าครับ?
ผมอยู่ต่างจังหวัด สังเกตุดูร้านค้าบ้านๆ แม้แต้ modern trade หลายๆแห่ง มันก็ยังคึกคักดีอยู่นะครับ
แต่ it กับ se-ed ก็เหงาจริงแหละครับ เห็นด้วยครับ
ผมอยู่ต่างจังหวัด สังเกตุดูร้านค้าบ้านๆ แม้แต้ modern trade หลายๆแห่ง มันก็ยังคึกคักดีอยู่นะครับ
แต่ it กับ se-ed ก็เหงาจริงแหละครับ เห็นด้วยครับ
เรียนรู้และเข้าใจ คุณค่าที่แท้จริงของสรรพสิ่ง...
- leaderinshadow
- Verified User
- โพสต์: 1765
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ถามความเห็น หุ้นร้านค้าปลีก retail store
โพสต์ที่ 8
นั่งทำข้อมูลเล่นๆ ครับ
Same Sales Store Q2
CPALL 7.9%
BEAUTY 7.5%
ROBINS 3.7%
BIGC 3%
MC -7.5%
SE-ED -11.78%
HMPRO 6% (คาดการณ์ หาตัวเลขไม่เจอ)
GLOBAL ?
MAKRO ?
IT ?
MINT เฉพาะร้านอาหารเฉลี่ย 1.1
The Pizza -10.3
สเวนเซ่นส์ 6.8
ซิซเลอร์ 1.2
แดรี่ตวีน 1.5
CENTEL เฉพาะร้านอาหารภาพรวม 2.2%
GDP 2.8%
การใช้จ่ายของครัวเรือนในประเทศทั้งหมด (รวมนักท่องเที่ยว) 5.1%
การใช้จ่ายของครัวเรือนไทย 2.5%
การใช้จ่ายของคนต่างประเทศในไทย 26.5%
Same Sales Store Q2
CPALL 7.9%
BEAUTY 7.5%
ROBINS 3.7%
BIGC 3%
MC -7.5%
SE-ED -11.78%
HMPRO 6% (คาดการณ์ หาตัวเลขไม่เจอ)
GLOBAL ?
MAKRO ?
IT ?
MINT เฉพาะร้านอาหารเฉลี่ย 1.1
The Pizza -10.3
สเวนเซ่นส์ 6.8
ซิซเลอร์ 1.2
แดรี่ตวีน 1.5
CENTEL เฉพาะร้านอาหารภาพรวม 2.2%
GDP 2.8%
การใช้จ่ายของครัวเรือนในประเทศทั้งหมด (รวมนักท่องเที่ยว) 5.1%
การใช้จ่ายของครัวเรือนไทย 2.5%
การใช้จ่ายของคนต่างประเทศในไทย 26.5%
-
- Verified User
- โพสต์: 149
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ถามความเห็น หุ้นร้านค้าปลีก retail store
โพสต์ที่ 9
ธนาคารผมว่าได้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนะNevercry.boy เขียน:ในความเห็นผมนะ ร้านค้าปลีกไอทีเป็นอะไรที่น่ากลัวที่สุด รวมถึงร้านหนังสือ อะไรก็ตามที่ทำผ่านเน็ตได้นี่น่ากลัวหมดนะ แม้แต่ธนาคาร (?)
ดูอย่างแบงค์เขียวนี่เก็บค่าธรรมเนียมเพลินเลย คนก็ไม่ต้องใช้เยอะ
-
- Verified User
- โพสต์: 223
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ถามความเห็น หุ้นร้านค้าปลีก retail store
โพสต์ที่ 10
เห็นด้วยครับ ว่าธนาคารได้ประโยชน์จาก internet เยอะเลย เพราะ เก็บค่าธรรมเนียมเท่าเดิม หรือลดลงนิดเดียว แต่ประหยัดต้นทุนไปเยอะมากๆ (ค่าจ้าง teller) จะเห็นได้ว่า ช่วงหลังๆ รายได้จากค่าธรรมเนียมของกลุ่มธนาคารเติบโตขึ้นตลอดเลยนะครับ หลังจากที่พยายามดึงระบบ internet เข้ามาkindraywind เขียน:ธนาคารผมว่าได้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนะNevercry.boy เขียน:ในความเห็นผมนะ ร้านค้าปลีกไอทีเป็นอะไรที่น่ากลัวที่สุด รวมถึงร้านหนังสือ อะไรก็ตามที่ทำผ่านเน็ตได้นี่น่ากลัวหมดนะ แม้แต่ธนาคาร (?)
ดูอย่างแบงค์เขียวนี่เก็บค่าธรรมเนียมเพลินเลย คนก็ไม่ต้องใช้เยอะ
ส่วนค้าปลีก ที่ผมดูๆมา คิดว่า jubilee, karmart ก็ดูน่าสนใจนะครับ เฉพาะในช่วง 1-3 ปีนี้นะครับแต่ในระยะยาวไม่แน่ใจ เนื่องจากเท่าที่ดูๆ เหมือน ผู้บริโภคในประเทศที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของบริษัท กำลังเปลี่ยน lifestyle จริงๆ แล้วบริษัทพวกนี้ รุกเข้าไปก่อนหน้าคนอื่น
สำหรับ jubilee - พนักงานออฟฟิศที่เงินเดือนเริ่มสูง เดี๋ยวนี้ก็เริ่มซื้อเพชรขนาดเล็กด้วยตัวเองแล้ว และนิยมซื้อผ่านรัานคัาในหัาง มากกว่าร้าน tradition โบราณ
สำหรับ karmart - พนักงานออฟฟิศระดับล่าง หรือ สาวโรงงานที่พอจะมีเงิน ก็นิยมเข้าร้านเครื่องสำอางค์ราคาไม่แพง ที่มีแบรนด์ recogized มากกว่าที่จะไปซื้อตามข้างถนน หรือร้านโนเนม หรือ ของก๊อปจากทางเน็ท
คหสต. ล้วนๆนะครับ -.-
- koh
- Verified User
- โพสต์: 273
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ถามความเห็น หุ้นร้านค้าปลีก retail store
โพสต์ที่ 11
Sssนี่ ถ้าใส่ค่าเงินเฟ้อเข้าไป บางตัวไม่โตเลยนะครับleaderinshadow เขียน:นั่งทำข้อมูลเล่นๆ ครับ
Same Sales Store Q2
CPALL 7.9%
BEAUTY 7.5%
ROBINS 3.7%
BIGC 3%
MC -7.5%
SE-ED -11.78%
HMPRO 6% (คาดการณ์ หาตัวเลขไม่เจอ)
GLOBAL ?
MAKRO ?
IT ?
MINT เฉพาะร้านอาหารเฉลี่ย 1.1
The Pizza -10.3
สเวนเซ่นส์ 6.8
ซิซเลอร์ 1.2
แดรี่ตวีน 1.5
CENTEL เฉพาะร้านอาหารภาพรวม 2.2%
GDP 2.8%
การใช้จ่ายของครัวเรือนในประเทศทั้งหมด (รวมนักท่องเที่ยว) 5.1%
การใช้จ่ายของครัวเรือนไทย 2.5%
การใช้จ่ายของคนต่างประเทศในไทย 26.5%
- koh
- Verified User
- โพสต์: 273
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ถามความเห็น หุ้นร้านค้าปลีก retail store
โพสต์ที่ 12
ปีที่แล้วกับปีนี้ฐานภาษีแตกต่างกันนะครับvim เขียน:ผมสงสัยตลอดนะว่าที่กำลังซื้อมันดูแผ่วลง เป็นเพราะเราใช้ตัวเลขจากปีที่แล้วที่ได้รับผลบวกหลังพ้นน้ำท่วมหรือเปล่า ประกอบด้วยกับหนี้ครัวเรือนที่โตขึ้นจากนโยบายเศรษฐกิจในปีก่อน เราเลยโยงหลายๆเรื่องนี้เข้าด้วยกันว่าหนี้สูงขึ้นคนเลยจ่ายน้อยลง ทั้งๆที่ในทางสถิติแล้วมันอาจไม่เกี่ยวกันเลยก็ได้ คนอาจจะยังจ่ายมากขึ้นเหมือนเดิม แต่ตัวเลขปีที่แล้วมันสูงผิดปกติเกินไปเลยดูเหมือนว่าปีนี้โตช้าลง
ในระยะ 1 ปี ธุรกิจในกลุ่มตกแต่งบ้านอย่าง HMPRO นี้"อาจจะ"ดูว่า SSSG โตได้น้อยกว่าเงินเฟ้อ เพราะปีที่แล้วมีปัจจัยบวกหลังน้ำท่วมอย่างที่เกริ่นไว้
แต่ในระยะยาวผมดูจากข้อมูลปีก่อนๆว่าบริษัทนั้นโตไปพอๆกับเงินเฟ้อ ไม่มากกว่าเยอะ ไม่ต่ำกว่าเยอะ ซึ่งผมตีความว่าแต่ละสาขาไม่ได้ขายได้เพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ ส่วนหนึ่งอาจเพราะการเติบโตของจำนวนสาขามันทำให้เกิดการกินกันเองของสาขาเดิมอยู่เล็กน้อย
- koh
- Verified User
- โพสต์: 273
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ถามความเห็น หุ้นร้านค้าปลีก retail store
โพสต์ที่ 13
itและse-ed สุดท้ายน่าจะต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจมั๊งครับronnachai เขียน:ผมว่าทุกตัวที่เอ่ยมาน่าจะโตยกเว้น SE-ED และ IT เพราะเทรนด์ของสองบริษัทนี้กำลังเปลี่ยนแปลง
หากบริษัทหาทางแก้ไม่ได้มันคงแย่ลงเรื่อยๆ อีกตัวที่ผมไม่สันทัดเลยคือ Jubilee เพราะนึกไม่ออกว่า
ขายเพชรจะโตยังไงคนจะใส่เพชรเยอะขึ้นหรอ แต่จากผลการดำเนินงาน มันก็โตได้เรื่อยๆ อันนี้ต้องติดตาม
- vim
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2748
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ถามความเห็น หุ้นร้านค้าปลีก retail store
โพสต์ที่ 14
ถ้าพูดถึงยอดขายแล้ว การปรับภาษีเงินได้ไม่ได้กระทบกับยอดขายโดยตรงครับkoh เขียน:ปีที่แล้วกับปีนี้ฐานภาษีแตกต่างกันนะครับvim เขียน:ผมสงสัยตลอดนะว่าที่กำลังซื้อมันดูแผ่วลง เป็นเพราะเราใช้ตัวเลขจากปีที่แล้วที่ได้รับผลบวกหลังพ้นน้ำท่วมหรือเปล่า ประกอบด้วยกับหนี้ครัวเรือนที่โตขึ้นจากนโยบายเศรษฐกิจในปีก่อน เราเลยโยงหลายๆเรื่องนี้เข้าด้วยกันว่าหนี้สูงขึ้นคนเลยจ่ายน้อยลง ทั้งๆที่ในทางสถิติแล้วมันอาจไม่เกี่ยวกันเลยก็ได้ คนอาจจะยังจ่ายมากขึ้นเหมือนเดิม แต่ตัวเลขปีที่แล้วมันสูงผิดปกติเกินไปเลยดูเหมือนว่าปีนี้โตช้าลง
ในระยะ 1 ปี ธุรกิจในกลุ่มตกแต่งบ้านอย่าง HMPRO นี้"อาจจะ"ดูว่า SSSG โตได้น้อยกว่าเงินเฟ้อ เพราะปีที่แล้วมีปัจจัยบวกหลังน้ำท่วมอย่างที่เกริ่นไว้
แต่ในระยะยาวผมดูจากข้อมูลปีก่อนๆว่าบริษัทนั้นโตไปพอๆกับเงินเฟ้อ ไม่มากกว่าเยอะ ไม่ต่ำกว่าเยอะ ซึ่งผมตีความว่าแต่ละสาขาไม่ได้ขายได้เพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ ส่วนหนึ่งอาจเพราะการเติบโตของจำนวนสาขามันทำให้เกิดการกินกันเองของสาขาเดิมอยู่เล็กน้อย
ถ้าพูดถึง GDP = C + G + I + (X - M) ละก็ ปีหลังน้ำท่วมเรามี C G I สูงมาก ขณะที่ปีนี้ไตรมาสแรกเรามีปัญหาค่าเงินทำให้ M เพิ่ม X ลด ไตรมาสสองและสามเราเจอปัญหาการเมือง ทำให้ G ไปไม่ได้ตามแผน ถ้าเราเอาไปเทียบ YoY ตรงๆไม่ได้หักสถานการณ์พิเศษพวกนี้ออก จะมองได้ว่า GDP ลด ทั้งๆที่ตัวแกนหลักของเศรษฐกิจไม่ได้แย่ลง
Vi IMrovised
- koh
- Verified User
- โพสต์: 273
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ถามความเห็น หุ้นร้านค้าปลีก retail store
โพสต์ที่ 15
นึกว่า คำว่า "ตัวเลข" หมายถึงกำไร ครับ
การไหลออกของเงินทุน ถึงไม่กระทบโดยตรง แต่ ทางอ้อมน่าจะมีแน่ๆนะครับ ลองดูอินโดกับอินเดีย เป็นตัวอย่างได้ทั้งๆที่ตัวแกนหลักของเศรษฐกิจไม่ได้แย่ลง
- koh
- Verified User
- โพสต์: 273
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ถามความเห็น หุ้นร้านค้าปลีก retail store
โพสต์ที่ 16
ลองอ่านบทความนี้ดูครับ เอามาจาก FB : indy investor forum
วันนี้ก่อนกลับบ้านไปนั่งกินข้าวรอฝนหยุดตกในร้านอาหารแห่งหนึ่ง ได้ยินน้องๆโต๊ะข้างๆคุยกันเรื่องหุ้นแบบเซ็งๆกันอยู่ 3-4 คน ติดดอยสูงบ้าง ถัวจนเงินหมดบ้าง ยอมขายตัดขาดทุนหนักๆบ้าง ต่างคนต่างเต็มไปด้วยอารมณ์หดหู่กันคนละแบบ
แต่ที่เหมือนกันอย่างนึงคือ ทุกคนบอกว่าหุ้นที่ถือเป็นหุ้นพื้นฐานดี เดี๋ยวราคาก็กลับมาให้ขายกำไร ทั้งๆที่บางตัวผมฟังชื่อแล้วก็นึกขำอยู่ในใจ มันพื้นฐานดีในมุมไหนกันนะ
ในฐานะที่ผมเคยผ่านวิกฤติปี 2008 มา (ไม่ทันปีวิกฤติปี 1997 เพราะยังเรียนหนังสืออยู่) ขอแชร์ประสบการณ์ที่เคยผ่านช่วงหนีตายตอนวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์เล็กน้อยให้น้องๆหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้าตลาดหุ้นมาไม่นาน (ส่วนที่เซียนแล้วก็ขอให้ข้ามไปเลย บทความนี้ไม่มีความสำคัญอะไรกับท่าน)
นี่เป็นข้อสรุปของประสบการณ์ในตลาดหุ้นกว่า 10 ปีของผม
ในตลาดหุ้นปกติ นักลงทุนจะมองหาหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีกำไรเติบโตต่อเนื่องและราคาไม่แพงเพื่อลงทุน
ในตลาดหุ้นกระทิง นักลงทุนจะมองหาหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐาน มีกำไรเติบโตต่อเนื่อง แต่อาจมองหุ้นเรื่องราคาถูกหรือแพงไป เพราะในตลาดกระทิงหุ้นทุกตัวมันก็แพงหมดเมื่อเทียบกับตัวมันเองในอดีต นักลงทุนมักจะเปรียบเทียบมูลค่าหุ้นกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมบ้าง หรือเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยตลาดในขณะนั้นบ้าง เพื่อหาเหตุผลมาสนับสนุนการซื้อหุ้นของตนเอง
ไม่ว่าหุ้นที่ตัวเองซื้อจะมี P/E 20 เท่า หรือ P/E 25 เท่า นักลงทุนก็ยังบอกว่าถูก เพราะดูสิค่าเฉลี่ย P/E ของหุ้นในอุตสาหกรรมอยู่สูงถึง 35 เท่า หุ้น P/E 20 เท่า เทียบกับกำไรเติบโต 20-30% ต่อปีนับว่าถูกมาก (โดยไม่สนว่ามันจะโต 20-30% ต่อปีตลอดไปหรือไม่) คนที่ลังเลว่า P/E สูง หรือราคาหุ้นขึ้นจากจุดต่ำสุดในอดีตมากๆ ก็จะกลายเป็นไดโนเสาร์ ตกขบวนไปโดยปริยาย
แล้วในตลาดหมีล่ะ คุณคิดว่านักลงทุนจะทำอย่างไร
นักลงทุนก็คงจะหาหุ้นที่มีพื้นฐานดี กำไรสม่ำเสมอ มีหนี้สินน้อย และเข้าซื้อในราคาที่ไม่แพงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยตัวเองในอดีต หรือค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมเพื่อรอให้ราคาหุ้นกลับเข้าสู่มูลค่าที่แท้จริงละมั้ง
เปล่าเลย ความจริงมันโหดร้ายกว่านั้นมาก
ในตลาดหมีโดยสมบูรณ์ นักลงทุนจะมองข้ามปัจจัยพื้นฐานทั้งหมด ไม่ว่าเป็นกำไรสุทธิ กระแสเงินสด ความแข็งแกร่งทางการเงิน หรือ Valuation นักลงทุนจะเทขายหุ้นไปตามอารมณ์ของเขาจนกว่าเขาจะพอใจ ไม่ว่าหุ้นพื้นฐานดี จะมีราคาถูกแค่ไหน P/E 10 เท่า 8 เท่า หรือ 6 เท่า เขาก็จะขายจนกว่าเขาจะรู้สึกว่ามันปลอดภัย และเมื่อทุกคนรู้สึกว่าปลอดภัยตลาดก็จะหยุดตก
ในปี 2008 ผมเคยเห็นหุ้นพื้นฐานดีซื้อขายกันด้วย P/E 2-5 เท่าอยู่เยอะแยะ นักลงทุนที่เน้นปัจจัยพื้นฐานเข้าซื้อหุ้นที่ P/E 6-8 เท่า ก็อาจขาดทุนได้ถึง 30-50% โดยที่เขาไม่เข้าใจว่าราคามันลงไปได้อย่างไรต่ำขนาดนั้น จนกระทั่งผลประกอบการไตรมาสต่อๆมาจึงเฉลยว่าหุ้นที่เขาถืออยู่ P/E พุ่งจาก 6-8 เท่าไปเป็น 12-16 เท่า เพราะกำไรของบริษัทที่ถือหุ้นอยู่มันหายไปครึ่งหนึ่ง
อย่างไรก็ดีหุ้นพื้นฐานดีก็คือหุ้นพื้นฐานดี สุดท้ายแล้วหุ้นเหล่านั้นก็สามารถกลับมายืนซื้อขายด้วยราคาที่่สูงกว่าเดิมเกือบทั้งหมด บางตัวในกลุ่มนั้นกลับมาซื้อขายด้วย P/E 40-50 เท่า เมื่อต้นปีที่ผ่านมาเสียด้วยซ้ำ
บทเรียนที่ผ่านมาของผมมันบอกอะไรเรา
บทสรุปของคำแนะนำของผมก็คือ
ถ้าคุณเป็นนักลงทุนเน้นคุณค่าจริงๆ คุณต้องทำการบ้านให้หนัก ดูให้ออกว่าตัวไหนเป็นหุ้นพื้นฐานดี ตัวไหนเป็นหุ้นเก็งกำไร ตัวไหนเป็นหุ้นตามกระแส แล้วเลือกซื้อจะเฉพาะหุ้นพื้นฐานดีจริงๆเท่านั้น ที่สำคัญคุณต้องทำการบ้านด้วยตัวเองอย่างละเอียดว่าอนาคตของกำไรแต่ละบริษัทจะเป็นอย่างไร ธุรกิจของบริษัทนั้นๆอยู่ในช่วงใดของวัฎจักรธุรกิจ (Bussiness cycle) กำไรบริษัทไม่ใช่สิ่งที่จะเพิ่มขึ้นได้ทุกปี ปีละ 30-40% ตลอดไป ทุกธุรกิจมีรุ่งเรืองมีล่มสลายไม่มีใครมีหนีพ้น สุดท้ายคุณต้องเข้าใจว่านักลงทุนในตลาดอาจคิดไม่เหมือนคุณ และเทขายทุบหุ้นดีๆของคุณให้ตกไป 50-60% จากจุดที่คุณซื้อได้ แม้ว่าคุณจะคิดว่ามันเป็นขายแบบไร้เหตุผลก็ตาม เพราะในตลาดหมีไม่ค่อยมีใครมาดูปัจจัยพื้นฐานแข่งกับคุณหรอก
บางคนอาจแย้งผมว่า VI เทพๆ อย่าง Warren Buffet หรือ ปรมจารย์ VI ท่านอื่นถือหุ้นได้ยาวนาน 5-10 ปี แบบไม่ขายได้ คุณต้องไม่ลืมว่าปรมจารย์เหล่านั้นเข้าซื้อหุ้นที่ตีนดอย ไม่ได้มาไล่ซื้อที่ยอดดอย พวกเขารู้ว่าในวัฎจักรของหุ้นราคาไหนเรียกถูก ราคาไหนเรียกแพง พวกเขารอที่จะซื้อหุ้นได้เป็นปีๆถ้าราคาหุ้นไม่อยู่ในระดับที่น่าสนใจ จุดสำคัญมันอยู่ที่ราคาที่เข้าซื้อ ไม่ได้อยู่ที่ว่าถือทนแค่ไหน ถ้าคุณซื้อที่แพงแล้วโอกาสกำไรของนักลงทุนแบบ VI จะลดลงไปมากเลยทีเดียว
ถ้าคุณเป็นนักลงทุนแบบตามกระแส คุณต้องดูให้ออกว่าตลาดกำลังอยู่สภาวะไหน ปกติ กระทิง หรือหมี เลือกลงทุนเฉพาะหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ที่อยู่ในกระแสในสภาวะตลาดปกติหรือกระทิงเท่านั้น ให้ความสำคัญกับ Valuation น้อยกว่าการอ่านอารมณ์ตลาด ที่สำคัญที่สุด ห้ามซื้อหุ้นในสภาวะตลาดหมีโดยเด็ดขาด ไม่ว่าราคาหุ้นจะตกลงไปต่ำหรือถูกขนาดไหนก็ตาม อย่าลืมว่านักลงทุนแบบตามกระแสซื้อหุ้นเพราะหวังจะขายให้คนนักลงทุนอื่นที่อยากซื้อต่อในราคาที่สูงกว่า ไม่ได้ซื้อหุ้นเพราะราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง อย่ากลัวที่จะไล่หุ้นในภาวะตลาดกระทิง และหากจำเป็นที่จะต้องขายตัดขาดทุนในภาวะตลาดที่มั่นใจว่ามันเป็นหมี จงอย่าลังเลที่จะทำ ยิ่งตัดใจช้า ก็ยิ่งขาดทุนมาก อย่าเป็นประเภทที่ว่าตอนซื้อก็ซื้อตามกระแส พอหุ้นตกกลายสภาพเป็น VI ถือยาวซะงั้น เพราะที่ผมเห็นส่วนใหญ่จะไม่รอด
ผมบอกคุณไม่ได้หรอกว่าตลาดปัจจุบันมันเป็นหมีหรือกระทิง มันเป็นงานของนักวิเคราะห์กลยุทธ์ของบริษัทหลักทรัพย์ที่ท่านใช้บริการอยู่ต่างหากที่จะแนะนำท่านว่าควรซื้อหรือขายตอนนี้ เพราะอะไร คุณจ่ายค่าคอมมิชชั่นให้พวกเขาแล้ว ก็จงใช้พวกเขาให้คุ้ม ผมไม่ได้อะไรจากพวกคุณ จึงให้ได้แค่การแบ่งปันประสบการณ์เท่านั้น ที่สำคัญผมไม่เคยคิดว่าตัวเองเก่งกาจหรือเหนือชั้นกว่าใครๆ ก็แค่นักลงทุนธรรมดาๆที่เก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปเรื่อยๆเท่านั้น
ขอให้ทุกท่านโชคดี
- ronnachai
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 167
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ถามความเห็น หุ้นร้านค้าปลีก retail store
โพสต์ที่ 18
บทความนี้อ่านแล้ว งง มากหุ้นพื้นฐานดีตามกระแส มันคืออะไรหรอ ?? ขณะที่โลกมีข้อมูลให้ใช้อ่านหาความรู้เยอะแยะ ทุกท่านก็โปรดเลือกอ่านที่ได้ประโยชน์เถอะ เวลาที่เสียไปกับสิ่งที่ได้กลับมามันจะได้คุ้มkoh เขียน:ลองอ่านบทความนี้ดูครับ เอามาจาก FB : indy investor forum
วันนี้ก่อนกลับบ้านไปนั่งกินข้าวรอฝนหยุดตกในร้านอาหารแห่งหนึ่ง ได้ยินน้องๆโต๊ะข้างๆคุยกันเรื่องหุ้นแบบเซ็งๆกันอยู่ 3-4 คน ติดดอยสูงบ้าง ถัวจนเงินหมดบ้าง ยอมขายตัดขาดทุนหนักๆบ้าง ต่างคนต่างเต็มไปด้วยอารมณ์หดหู่กันคนละแบบ
แต่ที่เหมือนกันอย่างนึงคือ ทุกคนบอกว่าหุ้นที่ถือเป็นหุ้นพื้นฐานดี เดี๋ยวราคาก็กลับมาให้ขายกำไร ทั้งๆที่บางตัวผมฟังชื่อแล้วก็นึกขำอยู่ในใจ มันพื้นฐานดีในมุมไหนกันนะ
ในฐานะที่ผมเคยผ่านวิกฤติปี 2008 มา (ไม่ทันปีวิกฤติปี 1997 เพราะยังเรียนหนังสืออยู่) ขอแชร์ประสบการณ์ที่เคยผ่านช่วงหนีตายตอนวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์เล็กน้อยให้น้องๆหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้าตลาดหุ้นมาไม่นาน (ส่วนที่เซียนแล้วก็ขอให้ข้ามไปเลย บทความนี้ไม่มีความสำคัญอะไรกับท่าน)
นี่เป็นข้อสรุปของประสบการณ์ในตลาดหุ้นกว่า 10 ปีของผม
ในตลาดหุ้นปกติ นักลงทุนจะมองหาหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีกำไรเติบโตต่อเนื่องและราคาไม่แพงเพื่อลงทุน
ในตลาดหุ้นกระทิง นักลงทุนจะมองหาหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐาน มีกำไรเติบโตต่อเนื่อง แต่อาจมองหุ้นเรื่องราคาถูกหรือแพงไป เพราะในตลาดกระทิงหุ้นทุกตัวมันก็แพงหมดเมื่อเทียบกับตัวมันเองในอดีต นักลงทุนมักจะเปรียบเทียบมูลค่าหุ้นกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมบ้าง หรือเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยตลาดในขณะนั้นบ้าง เพื่อหาเหตุผลมาสนับสนุนการซื้อหุ้นของตนเอง
ไม่ว่าหุ้นที่ตัวเองซื้อจะมี P/E 20 เท่า หรือ P/E 25 เท่า นักลงทุนก็ยังบอกว่าถูก เพราะดูสิค่าเฉลี่ย P/E ของหุ้นในอุตสาหกรรมอยู่สูงถึง 35 เท่า หุ้น P/E 20 เท่า เทียบกับกำไรเติบโต 20-30% ต่อปีนับว่าถูกมาก (โดยไม่สนว่ามันจะโต 20-30% ต่อปีตลอดไปหรือไม่) คนที่ลังเลว่า P/E สูง หรือราคาหุ้นขึ้นจากจุดต่ำสุดในอดีตมากๆ ก็จะกลายเป็นไดโนเสาร์ ตกขบวนไปโดยปริยาย
แล้วในตลาดหมีล่ะ คุณคิดว่านักลงทุนจะทำอย่างไร
นักลงทุนก็คงจะหาหุ้นที่มีพื้นฐานดี กำไรสม่ำเสมอ มีหนี้สินน้อย และเข้าซื้อในราคาที่ไม่แพงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยตัวเองในอดีต หรือค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมเพื่อรอให้ราคาหุ้นกลับเข้าสู่มูลค่าที่แท้จริงละมั้ง
เปล่าเลย ความจริงมันโหดร้ายกว่านั้นมาก
ในตลาดหมีโดยสมบูรณ์ นักลงทุนจะมองข้ามปัจจัยพื้นฐานทั้งหมด ไม่ว่าเป็นกำไรสุทธิ กระแสเงินสด ความแข็งแกร่งทางการเงิน หรือ Valuation นักลงทุนจะเทขายหุ้นไปตามอารมณ์ของเขาจนกว่าเขาจะพอใจ ไม่ว่าหุ้นพื้นฐานดี จะมีราคาถูกแค่ไหน P/E 10 เท่า 8 เท่า หรือ 6 เท่า เขาก็จะขายจนกว่าเขาจะรู้สึกว่ามันปลอดภัย และเมื่อทุกคนรู้สึกว่าปลอดภัยตลาดก็จะหยุดตก
ในปี 2008 ผมเคยเห็นหุ้นพื้นฐานดีซื้อขายกันด้วย P/E 2-5 เท่าอยู่เยอะแยะ นักลงทุนที่เน้นปัจจัยพื้นฐานเข้าซื้อหุ้นที่ P/E 6-8 เท่า ก็อาจขาดทุนได้ถึง 30-50% โดยที่เขาไม่เข้าใจว่าราคามันลงไปได้อย่างไรต่ำขนาดนั้น จนกระทั่งผลประกอบการไตรมาสต่อๆมาจึงเฉลยว่าหุ้นที่เขาถืออยู่ P/E พุ่งจาก 6-8 เท่าไปเป็น 12-16 เท่า เพราะกำไรของบริษัทที่ถือหุ้นอยู่มันหายไปครึ่งหนึ่ง
อย่างไรก็ดีหุ้นพื้นฐานดีก็คือหุ้นพื้นฐานดี สุดท้ายแล้วหุ้นเหล่านั้นก็สามารถกลับมายืนซื้อขายด้วยราคาที่่สูงกว่าเดิมเกือบทั้งหมด บางตัวในกลุ่มนั้นกลับมาซื้อขายด้วย P/E 40-50 เท่า เมื่อต้นปีที่ผ่านมาเสียด้วยซ้ำ
บทเรียนที่ผ่านมาของผมมันบอกอะไรเรา
บทสรุปของคำแนะนำของผมก็คือ
ถ้าคุณเป็นนักลงทุนเน้นคุณค่าจริงๆ คุณต้องทำการบ้านให้หนัก ดูให้ออกว่าตัวไหนเป็นหุ้นพื้นฐานดี ตัวไหนเป็นหุ้นเก็งกำไร ตัวไหนเป็นหุ้นตามกระแส แล้วเลือกซื้อจะเฉพาะหุ้นพื้นฐานดีจริงๆเท่านั้น ที่สำคัญคุณต้องทำการบ้านด้วยตัวเองอย่างละเอียดว่าอนาคตของกำไรแต่ละบริษัทจะเป็นอย่างไร ธุรกิจของบริษัทนั้นๆอยู่ในช่วงใดของวัฎจักรธุรกิจ (Bussiness cycle) กำไรบริษัทไม่ใช่สิ่งที่จะเพิ่มขึ้นได้ทุกปี ปีละ 30-40% ตลอดไป ทุกธุรกิจมีรุ่งเรืองมีล่มสลายไม่มีใครมีหนีพ้น สุดท้ายคุณต้องเข้าใจว่านักลงทุนในตลาดอาจคิดไม่เหมือนคุณ และเทขายทุบหุ้นดีๆของคุณให้ตกไป 50-60% จากจุดที่คุณซื้อได้ แม้ว่าคุณจะคิดว่ามันเป็นขายแบบไร้เหตุผลก็ตาม เพราะในตลาดหมีไม่ค่อยมีใครมาดูปัจจัยพื้นฐานแข่งกับคุณหรอก
บางคนอาจแย้งผมว่า VI เทพๆ อย่าง Warren Buffet หรือ ปรมจารย์ VI ท่านอื่นถือหุ้นได้ยาวนาน 5-10 ปี แบบไม่ขายได้ คุณต้องไม่ลืมว่าปรมจารย์เหล่านั้นเข้าซื้อหุ้นที่ตีนดอย ไม่ได้มาไล่ซื้อที่ยอดดอย พวกเขารู้ว่าในวัฎจักรของหุ้นราคาไหนเรียกถูก ราคาไหนเรียกแพง พวกเขารอที่จะซื้อหุ้นได้เป็นปีๆถ้าราคาหุ้นไม่อยู่ในระดับที่น่าสนใจ จุดสำคัญมันอยู่ที่ราคาที่เข้าซื้อ ไม่ได้อยู่ที่ว่าถือทนแค่ไหน ถ้าคุณซื้อที่แพงแล้วโอกาสกำไรของนักลงทุนแบบ VI จะลดลงไปมากเลยทีเดียว
ถ้าคุณเป็นนักลงทุนแบบตามกระแส คุณต้องดูให้ออกว่าตลาดกำลังอยู่สภาวะไหน ปกติ กระทิง หรือหมี เลือกลงทุนเฉพาะหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ที่อยู่ในกระแสในสภาวะตลาดปกติหรือกระทิงเท่านั้น ให้ความสำคัญกับ Valuation น้อยกว่าการอ่านอารมณ์ตลาด ที่สำคัญที่สุด ห้ามซื้อหุ้นในสภาวะตลาดหมีโดยเด็ดขาด ไม่ว่าราคาหุ้นจะตกลงไปต่ำหรือถูกขนาดไหนก็ตาม อย่าลืมว่านักลงทุนแบบตามกระแสซื้อหุ้นเพราะหวังจะขายให้คนนักลงทุนอื่นที่อยากซื้อต่อในราคาที่สูงกว่า ไม่ได้ซื้อหุ้นเพราะราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง อย่ากลัวที่จะไล่หุ้นในภาวะตลาดกระทิง และหากจำเป็นที่จะต้องขายตัดขาดทุนในภาวะตลาดที่มั่นใจว่ามันเป็นหมี จงอย่าลังเลที่จะทำ ยิ่งตัดใจช้า ก็ยิ่งขาดทุนมาก อย่าเป็นประเภทที่ว่าตอนซื้อก็ซื้อตามกระแส พอหุ้นตกกลายสภาพเป็น VI ถือยาวซะงั้น เพราะที่ผมเห็นส่วนใหญ่จะไม่รอด
ผมบอกคุณไม่ได้หรอกว่าตลาดปัจจุบันมันเป็นหมีหรือกระทิง มันเป็นงานของนักวิเคราะห์กลยุทธ์ของบริษัทหลักทรัพย์ที่ท่านใช้บริการอยู่ต่างหากที่จะแนะนำท่านว่าควรซื้อหรือขายตอนนี้ เพราะอะไร คุณจ่ายค่าคอมมิชชั่นให้พวกเขาแล้ว ก็จงใช้พวกเขาให้คุ้ม ผมไม่ได้อะไรจากพวกคุณ จึงให้ได้แค่การแบ่งปันประสบการณ์เท่านั้น ที่สำคัญผมไม่เคยคิดว่าตัวเองเก่งกาจหรือเหนือชั้นกว่าใครๆ ก็แค่นักลงทุนธรรมดาๆที่เก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปเรื่อยๆเท่านั้น
ขอให้ทุกท่านโชคดี
ความรู้สำคัญ แต่ความเข้าใจสำคัญกว่า