คัดลอกโดยได้รับการอนุญาตจาก อาจารย์ picatos แล้วครับขอแชร์ประสบการณ์ความผิดพลาดช่วง Subprime หน่อย เพื่อเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ ที่อาจจะจัดพอร์ตคล้ายๆ กับผมในช่วงนั้นด้วยความไม่รู้หน่อยนะครับ
ช่วงก่อนซับไพร์ม เป็นช่วงที่ผมออกมาจากงานประจำมาทำธุรกิจส่วนตัว เริ่มจะมีเวลาให้กับการลงทุนมากขึ้น ช่วงนั้นเห็นเพื่อนนักลงทุนบางคนใช้ Margin แล้วร่ำรวยกันเหลือเกิน เราก็รู้สึกว่าเรามีเวลาให้กับการลงทุนมากขึ้นแล้ว มีเวลาติดตามตลาดมากขึ้น ประกอบกับความโลภที่เกินพอดี แถมช่วงนั้น Thai VI ฮิตหุ้นตัวหนึ่งมากๆ เรายิ่งไปฟัง ก็ยิ่งโดนบิ้วด์ เลยอัดจิ้นซะหวังรวยแบบเพื่อนๆ ที่รวยไปก่อนหน้ากับเค้าบ้าง
พอเข้าช่วงซับไพร์ม เราก็ปรับพอร์ต เตรียมรับวิกฤตไปเรื่อย คิดว่าปรับพร้อมที่จะรับหุ้นลงแล้ว แต่ปรับเท่าไหร่ก็ไม่พอ ตราบใดที่ยังมีมาร์จิ้นอยู่ ผลสุดท้ายไปๆ มาๆ ต้องขายหุ้นตัวอื่น ลดสัดส่วน เพื่อมาค้ำ มายัน หุ้นยอดฮิตของ Thai VI ราคาหุ้นตัวนั้นก็สาระวันเตี้ยลงๆ ยิ่งลงก็ยิ่งต้องขาย เพราะ เดี๋ยวจะโดน Call Margin จะโดน Force Sell พยายามรักษาสถานะของพอร์ตให้ดีที่สุด
ในช่วงที่ตลาดเริ่มสะเด็ดน้ำ ราคาทรงตัว วันดีคืนดีขณะที่ผมไปทำงานอยู่ที่ต่างประเทศ มาร์ฯ ผมติดต่อมาว่า ตลาดไม่ดี เค้าจะถอดหุ้นตัวนั้นออกจาก Margin List ทั้งๆ ที่ราคาหุ้นต่ำติดดิน P/E เหลือไม่ถึง 3 เท่า อัตราเงินปันผลสูงเสียดฟ้า ถ้าหากเค้าถอดหุ้นตัวนั้นออกจาก Margin หมายความว่าผมจะโดน Force Sell ก็ได้แต่อ้อนวอนว่า อย่างพึ่งรีบถอดออกจาก Margin List ได้ไหม รอให้ผมได้เงินปันผลจากหุ้นตัวนั้น แล้วจะเอาเงินปันผลมาโปะเงินกู้ ซึ่งโชคดีที่โบรกเปลี่ยนใจไม่ถอดหุ้นตัวนั้นออกจาก Margin List ถ้าถอดออก ผมคงจะโดน Force Sell และไม่มีชีวิตการลงทุนมาถึงวันนี้
ข้อคิดหนึ่งที่ผมได้มา คือ
1) อย่ามี Margin เวลาเป็นตลาดขาลง แม้ว่าเราจะคิดว่า เรากู้แค่ 10-20% แต่พอตลาดลงเอาๆๆๆๆ ไอ้ที่เราคิดว่าเรากู้นิดเดียว ก็จะทำเราโดน Force Sell หมดเนื้อหมดตัวได้เหมือนกัน
2) อย่ามี Position ที่ Concentrate อยู่ในหุ้นตัวหนึ่งมากจนเกินไป เพราะ หากหุ้นตัวนั้นไม่มีสภาพคล่องขึ้นมา โอกาสในการลงทุนหุ้นตัวอื่นๆ ที่ผ่านเข้ามาจะหายวับไปกับตา เพราะ เราไม่สามารถ Switch หุ้นได้เลย แม้จะมีโอกาสผ่านมาต่อหน้า แต่เมื่อไม่มีคนซื้อหุ้นที่เราถือ เราก็ได้แต่น้ำลายหก
3) ระวังหุ้นขนาดกลาง-เล็ก ที่ใครๆ ก็มี โดยเฉพาะหุ้นที่คนซื้อมีกรอบความคิดเดียวกัน เพราะ เวลากรอบความคิดเปลี่ยน มันจะเปลี่ยนเหมือนกันหมด กลายเป็นหุ้นที่ไม่มีสภาพคล่อง
ช่วงนั้นผมลงทุน กลายเป็นว่า ผมต้องเด็ดดอกไม้มารดน้ำวัชพืช ขายหุ้นที่ดีที่มีคุณภาพ เพราะว่ามันไม่ลงมาก มีสภาพคล่อง มาโอบอุ้มเงินกู้ที่เอาไปค้ำยันหุ้นที่เล็กๆ ไม่มีสภาพคล่อง ไม่สามารถตัด Position ทำอะไรกับมันได้
แล้วผมจัดพอร์ตอย่างไรในช่วงนี้ ขออนุญาต บังอาจ นำเสนอ และแสดงความคิดเห็นนะครับ
1) เนื่องจากตลาดในช่วงที่ผ่านมา โดยส่วนตัวผมรู้สึกว่าแพง หาหุ้นไม่ได้ ผมเลยเลือกหุ้นที่ใช้ถือแทนเงินสด กระจายไปหลายๆ ตัว หุ้นในไทยผมจะถือประมาณตัวละ 10% มีตัวที่บวมขึ้นมาเป็น 15% แต่ตอนซื้อตอนแรกก็กระจายๆ ไป
2) หุ้นที่มีคุณภาพที่ถือแทนเงินสดที่ผมเลือกในช่วงที่ผ่านมา คือ ปันผลที่เรารู้สึกคุ้มค่ากว่าฝากเงิน ขอแค่ให้กิจการทำได้พอๆ กับปีที่ผ่านมา และถ้าโชคดีกิจการเติบโตได้ ก็ถือว่าถูกหวย
3) ไม่มีมาร์จิ้น มีเงินสดเหลือสำหรับการใช้จ่ายในรอบ 2 ปี เอาไว้เป็นเบาะรองรับหากเกิดวิกฤต
4) กระจายการลงทุนไปต่างประเทศ ช่วงที่ผ่านมาผมเจอหุ้นไทยแพงมาก และมองแนวโน้ม Mega Trend ที่เกิดขึ้นในเรื่องการเข้ามาของเทคโนโลยี พอมามองหุ้นไทย กิจการที่ได้ประโยชน์ ก็เป็นกิจการที่ได้ประโยชน์แค่ปลายน้ำๆ ไม่ใช่คนที่ได้ประโยชน์จริงๆ จังๆ ผมเลยมองข้ามผ่านขีดจำกัดทางด้านภาษา ทางด้านตลาด ไปลงทุนใน NASDAQ เลือกลงทุนในกิจการที่เป็นหัวกระทิที่ได้ประโยชน์จากแนวโน้มนี้ เป็นผู้นำ และอยู่ในสถานะที่แทบจะเป็น Monopoly ในอุตสาหกรรม จนตอนนี้สัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศเป็นครึ่งหนึ่งของพอร์ตลงทุนทั้งหมด
สำหรับเพื่อนๆ ที่มี Position ในหุ้นมหาชนชาววีไอ มีสัดส่วนต่อพอร์ตค่อนข้างเยอะ และมีมาร์จิ้น หรือรู้มาว่าคนอื่นมีมาร์จิ้นในตัวนี้ค่อนข้างเยอะ ผมขอย้ำอีกครั้งว่าให้ระวังหุ้นพวกนี้เอาไว้ให้ดี ลงทุนด้วยความไม่ประมาท เพราะ ถ้าเมื่อไหร่ที่พื้นฐานกิจการ สภาวะตลาดเปลี่ยน อารมณ์ของนักลงทุนเปลี่ยน จุดที่เกิด Critical Mass จะเป็นจุดที่น่าอันตราย ดุจดังเรากำลังอยู่ในงานเลี้ยงหรูหรา เต้นรำกันอย่างเพลิดเพลินและเกิดไฟไหม้ขึ้น ในสถานการณ์นั้นๆ เราต้องมีแผนฉุกเฉิน ดูทางหนีไฟเอาไว้ให้ดี ควบคุมสติ และดำเนินการตามแผน
ผมขอแนะนำให้อ่านหนังสือ เรื่อง รู้ทันสมองในยามคับขัน : The Unthinkable -ของสำนักพิมพ์ We Learn ครับ
ความผิดพลาดช่วง Subprime จากวันนั้นถึงวันนี้ by picatos
- The Kop 71
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 271
- ผู้ติดตาม: 0
ความผิดพลาดช่วง Subprime จากวันนั้นถึงวันนี้ by picatos
โพสต์ที่ 1
เพราะสังคม..ประเมินค่า..ที่จนรวย
คนจึงสร้าง..เปลือกสวย..ไว้สวมใส่
หากสังคม..วัดค่า..ที่ภายใน
คนจะสร้าง..แต่จิตใจ..ที่ใฝ่ดี
คนจึงสร้าง..เปลือกสวย..ไว้สวมใส่
หากสังคม..วัดค่า..ที่ภายใน
คนจะสร้าง..แต่จิตใจ..ที่ใฝ่ดี
-
- Verified User
- โพสต์: 365
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ความผิดพลาดช่วง Subprime จากวันนั้นถึงวันนี้ by picatos
โพสต์ที่ 5
งั้นผมขออนุญาตขุด comment นี้จากคุณ picatos มาแปะไว้อ่านต่อเนื่องจากข้างบนนะครับ
มีประโยชน์มากๆเลย
จากลิ๊งค์ http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... &start=120
PTL กับผมนี่ก็มีความหลังกันมาเหมือนกัน... ขออนุญาตแชร์ประสบการณ์บ้างนะครับ...
ตอนก่อนเกิดวิกฤตผมถือ PTL อยู่ประมาณ 40% ของพอร์ต ซึ่งถือว่าเป็นตัวหลักในพอร์ตของผมเลยทีเดียว... พอเกิดวิกฤตขึ้น แม้ว่าวิกฤตที่เกิดขึ้นจะรุนแรง แต่เมื่อวิเคราะห์ถึงฐานลูกค้า และผลิตภัณฑ์ของ PTL แล้วผมก็คิดว่า น่าจะได้รับผลกระทบบ้าง แต่ไม่มากนัก ซึ่งก็ชดเชยกับราคาที่ Trade อยู่ที่ P/E ประมาณ 5 เท่าอยู่แล้ว
ระหว่างทาง พอมันลง... ผมก็เชื่อว่ามีคนโดน Call มีคนโดน Force แน่ๆ... ถ้า Short Against Port ไป น่าจะได้กำไร... แต่สุดท้ายผมก็ไม่ได้ทำ เพราะ เชื่อมั่นในแนวทาง VI เลยได้แต่บอกให้เพื่อน Short Against Port จนเพื่อนได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ... ส่วนผมก็ขายตัวอื่นมารับ PTL ไปเรื่อยๆ จากสัดส่วน 40% เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงแถว 3 บาท จนแทบจะถือ PTL ตัวเดียวทั้งพอร์ต โดยที่ยังมีมาร์จิ้นอยู่ด้วย
ปีนั้น ช่วงที่ PTL ลงไป 3 บาท พอร์ตผมติดลบประมาณ 65% กำไรจากการลงทุนที่เคยทำมาทั้งหมด หายวับไปกับขาดทุนทางบัญชีจาก PTL
แต่เชื่อไหม... ที่บ้านผมไม่รู้หรอกว่าผมเจ๊งไปเยอะขนาดไหน ผมยังชิว กินได้นอนหลับอยู่ คิดคล้ายๆ กับพี่ Notellio ในเคส SVI ว่า ที่ราคานั้น P/E 2 เท่ากว่าๆ จะกลัวอะไร ดู ee แล้วคงจะไม่โดน Force Sell แน่ๆ (ซึ่งมาคิดตอนหลังแล้วรู้สึกว่าไม่ค่อยจะถูกต้องสักเท่าไหร่ เพราะ มันอาจจะมีวันที่หุ้น Trade กันที่ P/E น้อยกว่า 1 เท่าก็เป็นไปได้)
อย่างไรก็ตามระหว่างที่ที่หุ้นลง ผมต้องขายหุ้นตัวอื่นทิ้ง เพื่อเพิ่ม ee ไม่ให้โดน Call Margin บ้างเป็นระยะๆ ซึ่งเป็นความเจ็บปวดอย่างหนึ่งของคนใช้ มาร์จิ้นในตลาดขาลง
หลังจากที่ PTL ผ่านจุดต่ำสุด ราคาก็ค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นมาเรื่อยๆ จนมีจุดเสียวอีกจุดหนึ่งประมาณเดือนมีนาคม เมื่อโบรกผมจะเอา PTL ออกจาก Margin List ซึ่งตอนที่โบรกแจ้งผม PTL กำลังจะมีการจ่ายปันผลก้อนใหญ่ ถ้ามีการเอา PTL ออกจาก List นี่ผมคงจะเซ็งมากๆ โชคดีว่าเอาออกหลังจ่ายปันผล แถมราคา PTL ก็ปรับตัวขึ้นมาอยู่ในระดับที่น่าขายไปเข้าตัวอื่น เลยได้ขายลดความเสี่ยงลง
สรุปความรู้ที่ผมได้ในการใช้มาร์จิ้นช่วง Subprime มีดังนี้
1. ไม่ควรเอา ee ที่ได้จากหุ้นที่ขึ้น มาซื้อหุ้นตัวเดิม เพราะ มันเท่ากับคุณซื้อหุ้นที่มี MOS น้อยลง ด้วยแหล่งเงินทุนที่ผิด ซึ่งมันเสี่ยงสูงมากๆ
2. ไม่ควรถือหุ้นตัวนึงเกิน 100% (อย่างตอนที่ผมตีแตก ผมก็ใช้แค่ 100% นะครับ มาร์จิ้นส่วนที่เหลือ ผมเอาไปซื้อหุ้นตัวอื่น)
3. เล่นมาร์จิ้นต้องมี Stop Loss ของคุณเอง (แค่ส่วนของมาร์จิ้นก็พอครับ) (เพราะ คุณคงจะไม่อยากให้โบรกเกอร์เป็นคน Stop ให้คุณมั้งครับ)
4. ความเสี่ยงจากการโดยถอดหุ้นออกจาก Margin List นี่น่ากลัวมากครับ ดังนั้น Stop Loss ของคุณต้องดูเรื่อง สภาพคล่องของหุ้นด้วยครับ ถ้าสภาพคล่องเริ่มลดลงเรื่อยๆ แสดงว่า โบรกของคุณคงจะเล็งๆ จะถอดหุ้นออกจาก List ได้
สุดท้าย... เชื่อเถอะว่า... ถ้าสิ่งที่เลวร้ายมันเกิดได้ มันจะเกิด และอาจเกิดมากกว่าที่คุณคิด ดังนั้น จงมีสติรู้คอยกำกับการกระทำของตัวเองให้ดีนะครับ
มีประโยชน์มากๆเลย
จากลิ๊งค์ http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... &start=120
PTL กับผมนี่ก็มีความหลังกันมาเหมือนกัน... ขออนุญาตแชร์ประสบการณ์บ้างนะครับ...
ตอนก่อนเกิดวิกฤตผมถือ PTL อยู่ประมาณ 40% ของพอร์ต ซึ่งถือว่าเป็นตัวหลักในพอร์ตของผมเลยทีเดียว... พอเกิดวิกฤตขึ้น แม้ว่าวิกฤตที่เกิดขึ้นจะรุนแรง แต่เมื่อวิเคราะห์ถึงฐานลูกค้า และผลิตภัณฑ์ของ PTL แล้วผมก็คิดว่า น่าจะได้รับผลกระทบบ้าง แต่ไม่มากนัก ซึ่งก็ชดเชยกับราคาที่ Trade อยู่ที่ P/E ประมาณ 5 เท่าอยู่แล้ว
ระหว่างทาง พอมันลง... ผมก็เชื่อว่ามีคนโดน Call มีคนโดน Force แน่ๆ... ถ้า Short Against Port ไป น่าจะได้กำไร... แต่สุดท้ายผมก็ไม่ได้ทำ เพราะ เชื่อมั่นในแนวทาง VI เลยได้แต่บอกให้เพื่อน Short Against Port จนเพื่อนได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ... ส่วนผมก็ขายตัวอื่นมารับ PTL ไปเรื่อยๆ จากสัดส่วน 40% เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงแถว 3 บาท จนแทบจะถือ PTL ตัวเดียวทั้งพอร์ต โดยที่ยังมีมาร์จิ้นอยู่ด้วย
ปีนั้น ช่วงที่ PTL ลงไป 3 บาท พอร์ตผมติดลบประมาณ 65% กำไรจากการลงทุนที่เคยทำมาทั้งหมด หายวับไปกับขาดทุนทางบัญชีจาก PTL
แต่เชื่อไหม... ที่บ้านผมไม่รู้หรอกว่าผมเจ๊งไปเยอะขนาดไหน ผมยังชิว กินได้นอนหลับอยู่ คิดคล้ายๆ กับพี่ Notellio ในเคส SVI ว่า ที่ราคานั้น P/E 2 เท่ากว่าๆ จะกลัวอะไร ดู ee แล้วคงจะไม่โดน Force Sell แน่ๆ (ซึ่งมาคิดตอนหลังแล้วรู้สึกว่าไม่ค่อยจะถูกต้องสักเท่าไหร่ เพราะ มันอาจจะมีวันที่หุ้น Trade กันที่ P/E น้อยกว่า 1 เท่าก็เป็นไปได้)
อย่างไรก็ตามระหว่างที่ที่หุ้นลง ผมต้องขายหุ้นตัวอื่นทิ้ง เพื่อเพิ่ม ee ไม่ให้โดน Call Margin บ้างเป็นระยะๆ ซึ่งเป็นความเจ็บปวดอย่างหนึ่งของคนใช้ มาร์จิ้นในตลาดขาลง
หลังจากที่ PTL ผ่านจุดต่ำสุด ราคาก็ค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นมาเรื่อยๆ จนมีจุดเสียวอีกจุดหนึ่งประมาณเดือนมีนาคม เมื่อโบรกผมจะเอา PTL ออกจาก Margin List ซึ่งตอนที่โบรกแจ้งผม PTL กำลังจะมีการจ่ายปันผลก้อนใหญ่ ถ้ามีการเอา PTL ออกจาก List นี่ผมคงจะเซ็งมากๆ โชคดีว่าเอาออกหลังจ่ายปันผล แถมราคา PTL ก็ปรับตัวขึ้นมาอยู่ในระดับที่น่าขายไปเข้าตัวอื่น เลยได้ขายลดความเสี่ยงลง
สรุปความรู้ที่ผมได้ในการใช้มาร์จิ้นช่วง Subprime มีดังนี้
1. ไม่ควรเอา ee ที่ได้จากหุ้นที่ขึ้น มาซื้อหุ้นตัวเดิม เพราะ มันเท่ากับคุณซื้อหุ้นที่มี MOS น้อยลง ด้วยแหล่งเงินทุนที่ผิด ซึ่งมันเสี่ยงสูงมากๆ
2. ไม่ควรถือหุ้นตัวนึงเกิน 100% (อย่างตอนที่ผมตีแตก ผมก็ใช้แค่ 100% นะครับ มาร์จิ้นส่วนที่เหลือ ผมเอาไปซื้อหุ้นตัวอื่น)
3. เล่นมาร์จิ้นต้องมี Stop Loss ของคุณเอง (แค่ส่วนของมาร์จิ้นก็พอครับ) (เพราะ คุณคงจะไม่อยากให้โบรกเกอร์เป็นคน Stop ให้คุณมั้งครับ)
4. ความเสี่ยงจากการโดยถอดหุ้นออกจาก Margin List นี่น่ากลัวมากครับ ดังนั้น Stop Loss ของคุณต้องดูเรื่อง สภาพคล่องของหุ้นด้วยครับ ถ้าสภาพคล่องเริ่มลดลงเรื่อยๆ แสดงว่า โบรกของคุณคงจะเล็งๆ จะถอดหุ้นออกจาก List ได้
สุดท้าย... เชื่อเถอะว่า... ถ้าสิ่งที่เลวร้ายมันเกิดได้ มันจะเกิด และอาจเกิดมากกว่าที่คุณคิด ดังนั้น จงมีสติรู้คอยกำกับการกระทำของตัวเองให้ดีนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 315
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ความผิดพลาดช่วง Subprime จากวันนั้นถึงวันนี้ by picatos
โพสต์ที่ 8
ขอบคุณทุกท่านที่มาแชร์ประสบการณ์ครับ ดีมากๆเลยครับ
-----------------------------------------
เกิดเหตุอะไร อย่าตื่นใจ ไปตามเขา
ปัญญาเรา มีหน้าที่ พิพากษา
ต้องดูน้ำ ดูลม ระดมมา
พิจารณา เชิงชั้น หมั่นตริตรอง
-----------------------------------------
ท่านพุทธทาสภิกขุ
เกิดเหตุอะไร อย่าตื่นใจ ไปตามเขา
ปัญญาเรา มีหน้าที่ พิพากษา
ต้องดูน้ำ ดูลม ระดมมา
พิจารณา เชิงชั้น หมั่นตริตรอง
-----------------------------------------
ท่านพุทธทาสภิกขุ