ขอขอบคุณ meeting thaivi ภาคใต้ q1/2556 ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 182
- ผู้ติดตาม: 0
ขอขอบคุณ meeting thaivi ภาคใต้ q1/2556 ครับ
โพสต์ที่ 1
ขอบคุณ อ.โจ พี่ตี้ พี่จรัล พี่แมว พี่บัว viหาดใหญ่ viภาคใต้ viภาคกลางทุกท่านมากครับ บรรยากาศสบายๆ เป็นกันเองจริงๆ อ.โจ พี่ตี้ ตอบคำถามจนอ.โจลืมเวลาที่จะรีบไปทำธุระสำคัญไปเลย เป็นไปได้อยากแยกประสาทสัมผัสฟัง อ.โจ กับ พี่ตี้ ทั้งสองคนจริงๆ ต้องขออภัย viหาดใหญ่ viภาคใต้ ผู้ใจดี ที่อนุญาติให้ viภาคกลางถามอย่างเยอะมากเลยนะครับ ขอบคุณมากๆครับ
- PRO_BABY
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1584
- ผู้ติดตาม: 0
-
- Verified User
- โพสต์: 262
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ขอขอบคุณ meeting thaivi ภาคใต้ q1/2556 ครับ
โพสต์ที่ 4
ขอบคุณอ.โจ, อ.ตี้ และทีมงานทุกๆท่านมากๆ ครับผม ได้ความรู้มากๆเลยครับ ไปฟังปุ๊บ มาวันจันทร์หุ้นลงมาให้ซื้อซะหยั้งงั้น ตั้งตัวไม่ทันเลยนะครับเนี่ย
-
- Verified User
- โพสต์: 262
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ขอขอบคุณ meeting thaivi ภาคใต้ q1/2556 ครับ
โพสต์ที่ 5
อุย หุ้นลงจนลืมวันลืมคืน วันอังคารนี่นา แฮๆWorriedInvestor เขียน:ขอบคุณอ.โจ, อ.ตี้ และทีมงานทุกๆท่านมากๆ ครับผม ได้ความรู้มากๆเลยครับ ไปฟังปุ๊บ มาวันจันทร์หุ้นลงมาให้ซื้อซะหยั้งงั้น ตั้งตัวไม่ทันเลยนะครับเนี่ย
- workart
- Verified User
- โพสต์: 312
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ขอขอบคุณ meeting thaivi ภาคใต้ q1/2556 ครับ
โพสต์ที่ 7
พอมีจะใครช่วยสรุปความรู้คร่าวๆให้ด้วยได้ไหมครับ T_T อยากไปด้วยแต่ไม่สะดวกเลย รอบหน้าไกลก็จะไป ยุ่งก็จะจัดเวลาใหได้ ขอบคุณมากๆนะคร้าบ จากเด็กน้อยอยากรู้อยากเห็น อยากเรียน อยากเป็น.....
ความรู้เรายังด้อยเร่งศึกษา >-<"
- theerasak24
- Verified User
- โพสต์: 614
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ขอขอบคุณ meeting thaivi ภาคใต้ q1/2556 ครับ
โพสต์ที่ 8
"เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะยังคงทำสิ่งต่างๆ ต่อไปตราบใดที่มันยังให้ความรื่นรมย์และคุณก็ทำมันได้ดี"
- workart
- Verified User
- โพสต์: 312
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ขอขอบคุณ meeting thaivi ภาคใต้ q1/2556 ครับ
โพสต์ที่ 9
ขอบคุณคร้าบผม
ความรู้เรายังด้อยเร่งศึกษา >-<"
-
- Verified User
- โพสต์: 155
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ขอขอบคุณ meeting thaivi ภาคใต้ q1/2556 ครับ
โพสต์ที่ 10
ขอบคุณพี่โจ พี่ตี้ พี่จรัล พี่แมว พี่บัวและพี่ๆเพื่อนๆทุกคน กับประสบการณ์และความรู้อันมีค่ามากๆครับ
เอาบรรยายกาศมิตติ้งแนว แฮร์รี่ พอตเตอร์ มาฝากครับ
เอาบรรยายกาศมิตติ้งแนว แฮร์รี่ พอตเตอร์ มาฝากครับ
สโลแกน ลงทุนอย่างมีความสุข
ลงทุนเหมือนร่วมทำธุรกิจกับเพื่อน แล้วคุณจะสนใจทั้งธุรกิจและผู้บริหาร
ฟัง Oppday ทาง Website http://www.dcs-digital.com/setweb/index.php
ลงทุนเหมือนร่วมทำธุรกิจกับเพื่อน แล้วคุณจะสนใจทั้งธุรกิจและผู้บริหาร
ฟัง Oppday ทาง Website http://www.dcs-digital.com/setweb/index.php
- theerasak24
- Verified User
- โพสต์: 614
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ขอขอบคุณ meeting thaivi ภาคใต้ q1/2556 ครับ
โพสต์ที่ 11
the_matrix เขียน:ขอบคุณพี่โจ พี่ตี้ พี่จรัล พี่แมว พี่บัวและพี่ๆเพื่อนๆทุกคน กับประสบการณ์และความรู้อันมีค่ามากๆครับ
เอาบรรยายกาศมิตติ้งแนว แฮร์รี่ พอตเตอร์ มาฝากครับ
ในภาพ ไม่เห็นใครอื่นเลย ครับ เห็นแต่คุณ romee ทานอย่างอร่อยเลย
"เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะยังคงทำสิ่งต่างๆ ต่อไปตราบใดที่มันยังให้ความรื่นรมย์และคุณก็ทำมันได้ดี"
-
- Verified User
- โพสต์: 123
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ขอขอบคุณ meeting thaivi ภาคใต้ q1/2556 ครับ
โพสต์ที่ 12
(ขอบคุณ พี่ตี้ พี่โจ พี่จรัญ พี่แมว พี่บัว และพี่น้องVI ทุกๆคน คือ อาจารย์ผมทั้งหมดครับ สรุปความรู้จากอาจารย์ทุกๆท่านให้ฟัง )
-วิธีหาหุ้น ตั้งแต่แรกหาจากไหนดู p/e , ฟัง Opportunity day หรือเลือกจากอะไร ( ทำเหมือนๆกับที่ทุกคนทำ ดู p/e ,ฟัง Opportunity day ,อ่านหนังสือพิมพ์ )
พี่ตี้ มีวิธีการหลายๆวิธี เอาวิธีที่หลังๆผมใช้บ่อย เลือกหุ้นที่มันเติบโต ถ้าลงรายละเอียดก็แบ่งเป็นสองอย่าง พวกที่เติบโตระยะยาวหลายๆปีเช่น หุ้น c…., b.. แต่หลังๆหุ้นพวกนี้มีราคาสูง คนรู้กันหมดแล้วเป็นหุ้นที่ดี ที่ไม่ได้เลือกซื้อเพราะหุ้นมันราคาสูง ตอนนี้ยังใช้หลักการเดิมแต่ว่าเลือกเป็นการเติบโตที่มีความไม่แน่นอนในบางประเด็น แต่ราคายังไม่สูง คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้และไม่เข้าใจ
พี่โจ อย่างที่พูดเสมอ “เจ้ามือที่แท้จริงคือผลประกอบการณ์” ถ้ากำไรโต EPSโต ราคายังไม่แพงหุ้นพวกนี้ราคาขึ้นทุกตัว แต่ปัญหาคือการวิเคราะห์ได้ยากว่าหุ้นตัวไหนมันโตได้ชัดเจน อย่างเช่นหุ้นพลังงานทดแทน ใช้เงินในการลงทุนเยอะเมื่อมีโครงการใหม่ๆก็ต้องเพิ่มทุน ออกวอร์แรน ทำให้คาดการณ์กำไรและ EPS ได้ยาก อีกอย่าง EPS ก็จะไม่ค่อยโตในหุ้นที่ชอบเพิ่มทุน เน้นหาหุ้นที่คาดการณ์EPS ได้ง่ายๆ
-ราคาไม่แพงวัดยังไงกับการเติบโต
พี่โจ วัดจาก PEG ตัวอย่าง หุ้น A เติบโตไปข้างหน้า 3-4 ปี 20% แต่ PE=10 ก็ได้ PEG=10/20 เท่ากับ 0.5 ซึ่งน้อยกว่า 1 ถือว่าดี พูดง่ายๆประเมิน EPS ให้ถูกต้องแล้วซื้อราคาที่ PE ต่ำกว่าอัตราการเติบโตของกำไร เราไม่จำเป็นต้องพยายามเข้าใจทุกบริษัท เราศึกษาบริษัทที่เราเข้าใจถ้าบริษัทไหนศึกษาแล้วไม่เข้าใจเกินความสามารถก็อย่าไปยุ่ง มีให้เลือกอีกเยอะ
-นิยามเกี่ยวกับคำว่าเข้าใจธุรกิจ
พี่โจ อย่างที่บอกธุรกิจไหนที่เราเข้าใจเราต้องรู้ที่มาของรายได้ว่าได้รายได้มาจากอะไร กำไรได้จากอะไร กำไรที่ลดลงเกิดจากอะไร เข้าใจต้นทุนที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงเกิดจากอะไร เข้าใจในเรื่องของค่าใช้จ่าย ภาษี คู่แข่งที่สามารถทำให้รายได้บริษัทลดลงมาจากอะไร อย่างนี้เรียกว่าเข้าใจธุรกิจ(อธิบาภาพใหญ่ในการดูบริษัท) แต่ถ้าทั้งหมดที่พูดไปเราไม่รู้เลย แสดงว่าเราไม่เข้าใจบริษัท ถ้าเราไม่เข้าใจแสดงว่ามีความเสี่ยง คนที่เข้าใจไม่ต้องรอลุ้นเลยว่าไตรมาสที่จะมาถึงผลการดำเนินงานของบริษัทจะออกมาอย่างไร เพราะว่ามันอยู่ในการคาดการณ์อยู่แล้วก่อนลงทุนในบริษัทนั้น “เค้าเรียก กำไรตั้งแต่ตอนซื้อ ) ในบางครั้งเราดูตัวเลขบรรทัดสุดท้ายในงบการเงิน แต่ไม่ได้เข้าใจบรรทัดก่อนหน้าว่าที่มาที่ไปเป็นยังไงแบบนี้อันตราย
ยกตัวอย่าง บริษัท P เกี่ยวกับ ICT มีรายได้เพิ่มขึ้นจากทำ Data Center , Cloud Computing และเข้าใจว่ามีคู่แข่งเจ้าไหนเข้ามาแข่งขันบ้าง บริษัทได้เปรียบหรือเสียเปรียบในส่วนไหน แบบนี้แสดงว่าเข้าใจ
ต่อเนื่อง หุ้นที่พี่โจ คาดการณ์ผิดเคยขาดทุนมาหลายตัวเป็นหุ้นวัฏจักร ตัวอย่างหุ้นเกี่ยวกับ ยาง ไปดูโครงสร้างทางการเงินเห็น PE 7 เท่า บริษัทมีการขยายโรงงานหลายโรงงาน ดูแค่นี้ไปซื้อหุ้น ปรากฏว่า PE 7 เพราะเป็นบริษัทที่กำไรขึ้นลงตามวัฏจักร กำไรขึ้นลงตามราคายางในตลาดโลกผลสรุปประกาศงบออกมา กำไรลดลงเยอะมาก นี่คือการที่เราไม่เข้าใจในตัวบริษัท (ตัวอย่างนี้ตรงกับที่พี่โจบอกไว้คือดูตัวเลขทางการเงิน)
-ความรู้เกี่ยวบริษัทประกันภัย บริษัทประกันภัยไตรมาส1 กำไรดีทุกตัว แต่สังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่ผิดปรกติ อย่างที่เล่าบ่อยๆบริษัทประกันภัยมีรายได้ 2 ส่วน คือ กำไรจากการประกันและกำไรจากการลงทุน เงินที่ลงทุนแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ลงทุนพวกพันธบัตรถือยาว และเงินลงทุนเพื่อการค้าเอามาซื้อหุ้น กำไรขาดทุนขึ้นอยู่กับราคาหุ้น มีบริษัทหลายบริษัทกำไร 200 เกิดจากกรมธรรม์ 100 อีกครึ่งเกิดจากกำไรหุ้น ถ้า Q2 ปิดงบ ณ ตอนนี้จะเกิดอะไรขึ้นหุ้นตก ในกำไรที่ได้ 100 หายไปดีไม่ดีอาจจะขาดทุนจนเหลือ 50 ก็ได้จากกำไรที่ได้ 200 ให้ไว้เป็นข้อสังเกต
พี่สุบรรณ ให้ข้อคิดกำไรขึ้นลงตามดัชนีหุ้นเลย
-อุตสาหกรรมกำลังดี
พี่ตี้ การบริโภคในประเทศ ถ้ามองภาพใหญ่คนส่วนใหญ่ก็จะรู้ว่าเป็นบริษัทไหนบ้าง แต่มีภาพใหญ่ที่ยังมีภาพเล็กๆลงมา เอา ณ ตอนนี้เลย
ตัวอย่าง ภาพใหญ่ที่เห็นชัดเจน คือการลดดอกเบี้ยลง 0.25 ส่วนภาพเล็กๆ อุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์มากที่สุด น่าจะเป็น พวกที่ชอบออกกองทุนอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย (โรงงานให้เช่า โดยมีการจัดการด้านสาธารณูปโภคครบวงจร และมีคนเช่าโรงงาน (มีกำไร)) พวกนี้จะได้รับประโยชน์ไปเต็มๆ เช่น W..,T….
Business Model ธุรกิจพวกนี้คือ สมมุติเค้ามีเงิน 100 บาท เค้าจะทำการซื้อที่ดิน สร้างโรงงานให้เช่า จัดการสาธารณูปโภค คิดจากเงิน 100 บาทเราให้เค้าเช่าได้ 10 บาทต่อปี วันแรกก็จะมีเงินรายได้ 10 บาท ครบปีเอารายได้ 10 บาท บวกกับเงิน 100 บาทที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ มาตั้งเป็นกองทุนอสังหาริมทรัพย์ จากกำไรที่ให้คนเช่า 10 บาท ถ้า(กองทุน(เช่น ประกันสังคม))หวังผลตอบแทนแค่ 5% บริษัทพวกนี้ก็จะขายกองทุนอสังหาริมทรัพย์นี้ได้เงินมา 200 บาททันที วงจรธุรกิจของเค้าก็จะเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ
การลงทุนในกลุ่มนี้ต้องมอง 2 อย่าง คือ โรงงานให้เช่าต้องพอไปได้และดอกเบี้ยต้องต่ำๆเข้าไว้ ในส่วนของโรงงานให้เช่าตอนนี้ขาดแคลนอยู่บ้าง ไม่ใช่หมายถึงขายที่ดินเปล่า ก่อนหน้านี้พวกสร้างโรงงานให้เช่าไม่ค่อยมีใครทำ เพราะได้กำไรน้อย ลงทุนเยอะ ใช้เงินในการลงทุนสูง ทำให้แข่งขันกันน้อย แต่ในยุคปัจจุบันกลายเป็นว่าบริษัทในกลุ่มนี้เค้าขายโรงงานให้เช่า ตั้งเป็นกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ในส่วนของกองทุนอสังหาริมทรัพย์ตอนนี้ก็มีกองทุนต้องการตลอดเวลา ตอนนี้ดอกเบี้ยต่ำทำให้กองทุนอสังหาริมทรัพย์ขายง่าย ที่ขายง่ายเพราะกลุ่มกองทุนใหญ่ๆเช่นกองทุนประกันสังคม ทุกวันนี้เค้าต้องลงทุนให้ได้ดอกเบี้ยตลอดเวลา ถ้าฝากเงินแบบประจำก็ได้ 2-3% แต่ถ้าซื้อกองทุนอสังหาริมทรัพย์ได้ดอกเบี้ย 4-5% ทำให้มีความต้องการซื้อกองทุนอสังหาริมทรัพย์ตลอดเวลา เช่นที่ผ่านมา กองทุน BTS น่าจะเป็นกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศประมาณ 6.2 หมื่นล้านบาท มียอดจองซื้อมากกว่าจำนวนที่ออกขาย แสดงว่ามีความต้องการซื้อเยอะมากๆ ถ้าเราติดตามเราต้องคิดได้ว่านี่คือโอกาสของบริษัทที่ออกกองทุนอสังหา ทำให้บริษัทพวกนี้ราคาในตลาดขึ้นมาเป็นเท่าตัว
แต่ต้องเป็นบริษัทที่มีกองทุนเข้ามาขายเรื่อยๆไม่ใช่ออก 1ปี หยุดไป4-5 ปี ต้องเน้นวิสัยทัศน์ของผู้บริหารว่าต้องมีกองทุนเข้ามาขายเรื่อยๆ อย่างน้อยปีละครั้ง
การขายกองทุน เป็น Business Model อย่างที่บอกวิธีไปด้านบน เป็น Model ที่น่าสนใจทำ ROE ได้สูง อัตรากำไร 40-50% ต่อปี ใช้เวลาสร้างโรงงานให้เช่าเพื่อเข้ากองทุน 1-2 ปี แต่ต้องดูองค์ประกอบ ต้องมีคนเช่าโรงงาน และอัตราดอกเบี้ยต่ำยิ่งต่ำยิ่งดี จะได้ขายกองทุนราคาสูงๆ
พี่โจ เกี่ยวกับการมองเทรนเคยอ่านหนังสือของนักลงทุนที่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ อยากให้มาบริหารต่อจากเค้า ท่านผู้นั้น(ชื่ออะไรจำไม่ได้)บอกไว้ว่า พวกVI ส่วนใหญ่จะเป็นสไตล์มองจากล่างขึ้นบน
ถ้าเรามองเทรนคือการมองจากบนลงล่าง ต้องมองเทรนใหญ่ให้ถูกก่อนแล้วมองลงไปบริษัทให้ถูกอีกที เป็นการมองสองขั้นตอนมีโอกาสผิดพลาดได้มากกว่า การมองจากล่างขึ้นบนคือมองเข้าไปในบริษัทเลย มองขั้นเดียวมีโอกาสผิดพลาดน้อยลง
ตัวอย่าง บริษัทกลุ่มเหล็ก คนส่วนใหญ่มองว่าไม่ดี ราคาเหล็กในตลาดไม่ดี แต่จริงๆก็มีบางบริษัทที่มีกำไรต่อเนื่องและความผันผวนของราคาเหล็กโลกมีผลต่อกำไรไม่มากนัก ผู้บริหารสามารถควบคุมในจุดนี้ได้ ทำให้ราคาบริษัทนั้นสูงขึ้นเรื่อยๆ อีกตัวอย่าง บริษัทโบรกเกอร์ไม่มีคนสนใจมานานมาก เวลาเปลี่ยนไก่งวงก็บินได้ ตอนนี้มีการซื้อขายหุ้นเพิ่มมากขึ้นและมีรายย่อยเข้ามาจำนวนมาก(รายย่อยจะเสียค่าซื้อขายมากกว่ารายใหญ่) มีการซื้อขายกันวันละหลายหมื่นล้านบาท บริษัทก็ราคาสูงขึ้น ถ้าเรามองจากภาพใหญ่เราอาจจะไม่เห็นบริษัทเหล่านี้ทำให้เราพลาดโอกาส โดยส่วนตัวพี่โจมองที่บริษัทแต่ะละบริษัทไม่ได้ขึ้นอยู่กับเทรนอะไรทั้งสิ้น มองไปที่บริษัทก่อนแล้วดูว่ามีเทรนอะไรมาส่งเสริมหรือทำให้บริษัทดีขึ้นหรือแย่ลง ต้องมาวิเคราะห์เพิ่มเต็ม
มีความสุขกับการลงทุนนะครับ
-วิธีหาหุ้น ตั้งแต่แรกหาจากไหนดู p/e , ฟัง Opportunity day หรือเลือกจากอะไร ( ทำเหมือนๆกับที่ทุกคนทำ ดู p/e ,ฟัง Opportunity day ,อ่านหนังสือพิมพ์ )
พี่ตี้ มีวิธีการหลายๆวิธี เอาวิธีที่หลังๆผมใช้บ่อย เลือกหุ้นที่มันเติบโต ถ้าลงรายละเอียดก็แบ่งเป็นสองอย่าง พวกที่เติบโตระยะยาวหลายๆปีเช่น หุ้น c…., b.. แต่หลังๆหุ้นพวกนี้มีราคาสูง คนรู้กันหมดแล้วเป็นหุ้นที่ดี ที่ไม่ได้เลือกซื้อเพราะหุ้นมันราคาสูง ตอนนี้ยังใช้หลักการเดิมแต่ว่าเลือกเป็นการเติบโตที่มีความไม่แน่นอนในบางประเด็น แต่ราคายังไม่สูง คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้และไม่เข้าใจ
พี่โจ อย่างที่พูดเสมอ “เจ้ามือที่แท้จริงคือผลประกอบการณ์” ถ้ากำไรโต EPSโต ราคายังไม่แพงหุ้นพวกนี้ราคาขึ้นทุกตัว แต่ปัญหาคือการวิเคราะห์ได้ยากว่าหุ้นตัวไหนมันโตได้ชัดเจน อย่างเช่นหุ้นพลังงานทดแทน ใช้เงินในการลงทุนเยอะเมื่อมีโครงการใหม่ๆก็ต้องเพิ่มทุน ออกวอร์แรน ทำให้คาดการณ์กำไรและ EPS ได้ยาก อีกอย่าง EPS ก็จะไม่ค่อยโตในหุ้นที่ชอบเพิ่มทุน เน้นหาหุ้นที่คาดการณ์EPS ได้ง่ายๆ
-ราคาไม่แพงวัดยังไงกับการเติบโต
พี่โจ วัดจาก PEG ตัวอย่าง หุ้น A เติบโตไปข้างหน้า 3-4 ปี 20% แต่ PE=10 ก็ได้ PEG=10/20 เท่ากับ 0.5 ซึ่งน้อยกว่า 1 ถือว่าดี พูดง่ายๆประเมิน EPS ให้ถูกต้องแล้วซื้อราคาที่ PE ต่ำกว่าอัตราการเติบโตของกำไร เราไม่จำเป็นต้องพยายามเข้าใจทุกบริษัท เราศึกษาบริษัทที่เราเข้าใจถ้าบริษัทไหนศึกษาแล้วไม่เข้าใจเกินความสามารถก็อย่าไปยุ่ง มีให้เลือกอีกเยอะ
-นิยามเกี่ยวกับคำว่าเข้าใจธุรกิจ
พี่โจ อย่างที่บอกธุรกิจไหนที่เราเข้าใจเราต้องรู้ที่มาของรายได้ว่าได้รายได้มาจากอะไร กำไรได้จากอะไร กำไรที่ลดลงเกิดจากอะไร เข้าใจต้นทุนที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงเกิดจากอะไร เข้าใจในเรื่องของค่าใช้จ่าย ภาษี คู่แข่งที่สามารถทำให้รายได้บริษัทลดลงมาจากอะไร อย่างนี้เรียกว่าเข้าใจธุรกิจ(อธิบาภาพใหญ่ในการดูบริษัท) แต่ถ้าทั้งหมดที่พูดไปเราไม่รู้เลย แสดงว่าเราไม่เข้าใจบริษัท ถ้าเราไม่เข้าใจแสดงว่ามีความเสี่ยง คนที่เข้าใจไม่ต้องรอลุ้นเลยว่าไตรมาสที่จะมาถึงผลการดำเนินงานของบริษัทจะออกมาอย่างไร เพราะว่ามันอยู่ในการคาดการณ์อยู่แล้วก่อนลงทุนในบริษัทนั้น “เค้าเรียก กำไรตั้งแต่ตอนซื้อ ) ในบางครั้งเราดูตัวเลขบรรทัดสุดท้ายในงบการเงิน แต่ไม่ได้เข้าใจบรรทัดก่อนหน้าว่าที่มาที่ไปเป็นยังไงแบบนี้อันตราย
ยกตัวอย่าง บริษัท P เกี่ยวกับ ICT มีรายได้เพิ่มขึ้นจากทำ Data Center , Cloud Computing และเข้าใจว่ามีคู่แข่งเจ้าไหนเข้ามาแข่งขันบ้าง บริษัทได้เปรียบหรือเสียเปรียบในส่วนไหน แบบนี้แสดงว่าเข้าใจ
ต่อเนื่อง หุ้นที่พี่โจ คาดการณ์ผิดเคยขาดทุนมาหลายตัวเป็นหุ้นวัฏจักร ตัวอย่างหุ้นเกี่ยวกับ ยาง ไปดูโครงสร้างทางการเงินเห็น PE 7 เท่า บริษัทมีการขยายโรงงานหลายโรงงาน ดูแค่นี้ไปซื้อหุ้น ปรากฏว่า PE 7 เพราะเป็นบริษัทที่กำไรขึ้นลงตามวัฏจักร กำไรขึ้นลงตามราคายางในตลาดโลกผลสรุปประกาศงบออกมา กำไรลดลงเยอะมาก นี่คือการที่เราไม่เข้าใจในตัวบริษัท (ตัวอย่างนี้ตรงกับที่พี่โจบอกไว้คือดูตัวเลขทางการเงิน)
-ความรู้เกี่ยวบริษัทประกันภัย บริษัทประกันภัยไตรมาส1 กำไรดีทุกตัว แต่สังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่ผิดปรกติ อย่างที่เล่าบ่อยๆบริษัทประกันภัยมีรายได้ 2 ส่วน คือ กำไรจากการประกันและกำไรจากการลงทุน เงินที่ลงทุนแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ลงทุนพวกพันธบัตรถือยาว และเงินลงทุนเพื่อการค้าเอามาซื้อหุ้น กำไรขาดทุนขึ้นอยู่กับราคาหุ้น มีบริษัทหลายบริษัทกำไร 200 เกิดจากกรมธรรม์ 100 อีกครึ่งเกิดจากกำไรหุ้น ถ้า Q2 ปิดงบ ณ ตอนนี้จะเกิดอะไรขึ้นหุ้นตก ในกำไรที่ได้ 100 หายไปดีไม่ดีอาจจะขาดทุนจนเหลือ 50 ก็ได้จากกำไรที่ได้ 200 ให้ไว้เป็นข้อสังเกต
พี่สุบรรณ ให้ข้อคิดกำไรขึ้นลงตามดัชนีหุ้นเลย
-อุตสาหกรรมกำลังดี
พี่ตี้ การบริโภคในประเทศ ถ้ามองภาพใหญ่คนส่วนใหญ่ก็จะรู้ว่าเป็นบริษัทไหนบ้าง แต่มีภาพใหญ่ที่ยังมีภาพเล็กๆลงมา เอา ณ ตอนนี้เลย
ตัวอย่าง ภาพใหญ่ที่เห็นชัดเจน คือการลดดอกเบี้ยลง 0.25 ส่วนภาพเล็กๆ อุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์มากที่สุด น่าจะเป็น พวกที่ชอบออกกองทุนอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย (โรงงานให้เช่า โดยมีการจัดการด้านสาธารณูปโภคครบวงจร และมีคนเช่าโรงงาน (มีกำไร)) พวกนี้จะได้รับประโยชน์ไปเต็มๆ เช่น W..,T….
Business Model ธุรกิจพวกนี้คือ สมมุติเค้ามีเงิน 100 บาท เค้าจะทำการซื้อที่ดิน สร้างโรงงานให้เช่า จัดการสาธารณูปโภค คิดจากเงิน 100 บาทเราให้เค้าเช่าได้ 10 บาทต่อปี วันแรกก็จะมีเงินรายได้ 10 บาท ครบปีเอารายได้ 10 บาท บวกกับเงิน 100 บาทที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ มาตั้งเป็นกองทุนอสังหาริมทรัพย์ จากกำไรที่ให้คนเช่า 10 บาท ถ้า(กองทุน(เช่น ประกันสังคม))หวังผลตอบแทนแค่ 5% บริษัทพวกนี้ก็จะขายกองทุนอสังหาริมทรัพย์นี้ได้เงินมา 200 บาททันที วงจรธุรกิจของเค้าก็จะเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ
การลงทุนในกลุ่มนี้ต้องมอง 2 อย่าง คือ โรงงานให้เช่าต้องพอไปได้และดอกเบี้ยต้องต่ำๆเข้าไว้ ในส่วนของโรงงานให้เช่าตอนนี้ขาดแคลนอยู่บ้าง ไม่ใช่หมายถึงขายที่ดินเปล่า ก่อนหน้านี้พวกสร้างโรงงานให้เช่าไม่ค่อยมีใครทำ เพราะได้กำไรน้อย ลงทุนเยอะ ใช้เงินในการลงทุนสูง ทำให้แข่งขันกันน้อย แต่ในยุคปัจจุบันกลายเป็นว่าบริษัทในกลุ่มนี้เค้าขายโรงงานให้เช่า ตั้งเป็นกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ในส่วนของกองทุนอสังหาริมทรัพย์ตอนนี้ก็มีกองทุนต้องการตลอดเวลา ตอนนี้ดอกเบี้ยต่ำทำให้กองทุนอสังหาริมทรัพย์ขายง่าย ที่ขายง่ายเพราะกลุ่มกองทุนใหญ่ๆเช่นกองทุนประกันสังคม ทุกวันนี้เค้าต้องลงทุนให้ได้ดอกเบี้ยตลอดเวลา ถ้าฝากเงินแบบประจำก็ได้ 2-3% แต่ถ้าซื้อกองทุนอสังหาริมทรัพย์ได้ดอกเบี้ย 4-5% ทำให้มีความต้องการซื้อกองทุนอสังหาริมทรัพย์ตลอดเวลา เช่นที่ผ่านมา กองทุน BTS น่าจะเป็นกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศประมาณ 6.2 หมื่นล้านบาท มียอดจองซื้อมากกว่าจำนวนที่ออกขาย แสดงว่ามีความต้องการซื้อเยอะมากๆ ถ้าเราติดตามเราต้องคิดได้ว่านี่คือโอกาสของบริษัทที่ออกกองทุนอสังหา ทำให้บริษัทพวกนี้ราคาในตลาดขึ้นมาเป็นเท่าตัว
แต่ต้องเป็นบริษัทที่มีกองทุนเข้ามาขายเรื่อยๆไม่ใช่ออก 1ปี หยุดไป4-5 ปี ต้องเน้นวิสัยทัศน์ของผู้บริหารว่าต้องมีกองทุนเข้ามาขายเรื่อยๆ อย่างน้อยปีละครั้ง
การขายกองทุน เป็น Business Model อย่างที่บอกวิธีไปด้านบน เป็น Model ที่น่าสนใจทำ ROE ได้สูง อัตรากำไร 40-50% ต่อปี ใช้เวลาสร้างโรงงานให้เช่าเพื่อเข้ากองทุน 1-2 ปี แต่ต้องดูองค์ประกอบ ต้องมีคนเช่าโรงงาน และอัตราดอกเบี้ยต่ำยิ่งต่ำยิ่งดี จะได้ขายกองทุนราคาสูงๆ
พี่โจ เกี่ยวกับการมองเทรนเคยอ่านหนังสือของนักลงทุนที่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ อยากให้มาบริหารต่อจากเค้า ท่านผู้นั้น(ชื่ออะไรจำไม่ได้)บอกไว้ว่า พวกVI ส่วนใหญ่จะเป็นสไตล์มองจากล่างขึ้นบน
ถ้าเรามองเทรนคือการมองจากบนลงล่าง ต้องมองเทรนใหญ่ให้ถูกก่อนแล้วมองลงไปบริษัทให้ถูกอีกที เป็นการมองสองขั้นตอนมีโอกาสผิดพลาดได้มากกว่า การมองจากล่างขึ้นบนคือมองเข้าไปในบริษัทเลย มองขั้นเดียวมีโอกาสผิดพลาดน้อยลง
ตัวอย่าง บริษัทกลุ่มเหล็ก คนส่วนใหญ่มองว่าไม่ดี ราคาเหล็กในตลาดไม่ดี แต่จริงๆก็มีบางบริษัทที่มีกำไรต่อเนื่องและความผันผวนของราคาเหล็กโลกมีผลต่อกำไรไม่มากนัก ผู้บริหารสามารถควบคุมในจุดนี้ได้ ทำให้ราคาบริษัทนั้นสูงขึ้นเรื่อยๆ อีกตัวอย่าง บริษัทโบรกเกอร์ไม่มีคนสนใจมานานมาก เวลาเปลี่ยนไก่งวงก็บินได้ ตอนนี้มีการซื้อขายหุ้นเพิ่มมากขึ้นและมีรายย่อยเข้ามาจำนวนมาก(รายย่อยจะเสียค่าซื้อขายมากกว่ารายใหญ่) มีการซื้อขายกันวันละหลายหมื่นล้านบาท บริษัทก็ราคาสูงขึ้น ถ้าเรามองจากภาพใหญ่เราอาจจะไม่เห็นบริษัทเหล่านี้ทำให้เราพลาดโอกาส โดยส่วนตัวพี่โจมองที่บริษัทแต่ะละบริษัทไม่ได้ขึ้นอยู่กับเทรนอะไรทั้งสิ้น มองไปที่บริษัทก่อนแล้วดูว่ามีเทรนอะไรมาส่งเสริมหรือทำให้บริษัทดีขึ้นหรือแย่ลง ต้องมาวิเคราะห์เพิ่มเต็ม
มีความสุขกับการลงทุนนะครับ