ขอบพระคุณสำหรับความรู้อันเป็นประโยชน์นะครับพี่ ทุกวันนี้ผมยังใช้อยู่เลย

ตอน subprime พี่ก็ทำตามที่สอนนะครับ พี่ซื้อ pttep 102 หมดพอร์ท ตอนสอนพี่ก็เน้นเรื่องนี้ประจำ ว่าหุ้นที่เราคิดว่าดี พอราคาลงมาจริงๆ เรากล้าซื้อหมดพอร์ทหรือไม่Belffet เขียน:อ่านแล้วนึกถึงตอนไปเรียนรู้เรื่องการลงทุนกับพี่ Jeng
ขอบพระคุณสำหรับความรู้อันเป็นประโยชน์นะครับพี่ ทุกวันนี้ผมยังใช้อยู่เลย
ไม่เสมอไปนะครับ เฮียเจ๋งJeng เขียน:ผมเองกลับชอบตอนดอกเบี้ยขึ้น เพราะมีคนมากู้ดอกถึงขึ้น
คือดอกมันเพิ่งจะขึ้นครับ ในปีนี้ ขึ้นตั้งหลายรอบ แล้วคนก็กลัวกัน แต่ผมไม่กลัว แค่นั้นเองครับchukieat30 เขียน:ไม่เสมอไปนะครับ เฮียเจ๋งJeng เขียน:ผมเองกลับชอบตอนดอกเบี้ยขึ้น เพราะมีคนมากู้ดอกถึงขึ้น
ถ้าแบงค์ขาดสภาพคล่องหรือไฟแนนท์ขาดสภาพคล่อง ดอกก้ยิ่งไปใหญ่เลยครับ
เพราะ แข่งกันระดมทุน
การกู้อย่างเดียว ไม่ทำให้ดอกขึ้นครับ การที่ดอกขึ้นมากๆในช่วง40 มันเป็นดอกเบี้ยลอยฟ้า
ครับ เรียกง่ายๆคือ แข่งกันหนีตายมากกว่านะครับ
วิเคราะห์ดีครับ เห็นด้วย และส่วนที่จะชดเชยกับค่าแรงสูงคือ ภาษีถูกลง น่าจะเกี่ยวมั๊ย? แต่ถ้าคนที่ได้ BOI อาจจะมีผลบ้างnetirut เขียน:เรื่องเงินลงทุนจากต่างประเทศ ผมคิดอย่างนี้ครับ
อเมริกากับยุโรป ไม่ต้องพูดถึง เอาตัวให้รอดก่อน
จีนอัตราการเติบโตสูงมานาน ตอนนี้จีนมีเงินสดเยอะมาก แต่ก่อนคนบอกว่าค่าแรงจีนถูกแต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว
นโยบายจีนตอนนี้พยายามผลักเงินออกไปลงทุนนอกประเทศให้ได้มากที่สุด จะเห็นว่าจีนลงทุนกับ พม่า เขมร เยอะขึ้น
รวมทั้งประเทศแถบแอฟริกา และซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้า
โดยสรุปนโยบายจีนนับจากนี้คือ ผลักเงินออกไปลงทุนนอกประเทศ
ทีนี้ ถ้าผมเป็นจีน มองไปทางไหนดีที่น่าลงทุน อเมริกาก็เน่า ยุโรปแย่ แอฟริกามีทรัพยากรมาก แต่ต่างวัฒนธรรมมาก
อาเซียนล่ะ? มีทรัพยากรมาก อยู่ใกล้ จีนก็เป็นพี่ใหญ่ วัฒนธรรมเดียวกัน คนจีนก็มีกระจายอยู่ทั่วไป ก็น่าสนใจ
ผมว่าอาเซียนจะได้รับอานิสงค์มาก ทีนี้ในอาเซียนใครเด่น ผมว่าประเทศไทยเราน่าสนใจ จากทำเลที่ตั้งเป็นศูนย์กลาง
สาธารณูปโภคดีกว่า ทรัพยากรธรรมชาติพอมีแต่อาจจะสู้เพื่อนบ้านไม่ได้ แรงงานมีมีฝีมือมากกว่าเพื่อนบ้าน
ดังนั้น จีนน่าจะมองไทยเป็นเป้าหมายหลักอันหนึ่ง ในการมาลงทุน แต่คู่แข่งสำคัญคือเวียดนามที่มีนโยบายรัฐดีกว่า
คนขยันกว่า พูดภาษาแทบจะเดียวกัน ในสายตาจีน เราน่าจะเป็นเบอร์ 2 รองจากเวียดนาม ที่น่าสนใจลงทุน
ญี่ปุ่นละ แต่ก่อนมานมนาน ญี่ปุ่นเป็นพี่เบิ้มในเอเชีย และโดยเฉพาะอาเซียน ไปลาวจะเห็นเก่าที่สะพานสร้างโดยญี่ปุ่น
แต่พักหลังญี่ปุ่นมีปัญหาเศรษฐกิจ จีนกลับมาใหญ่กว่า แน่นอนว่าญี่ปุ่นชอบลงทุนในไทยมานานแล้ว ทีนี้ยิ่งมาเกิด
ซึนามิ แผ่นดินไหว ยิ่งเป็นตัวเร่งให้ญี่ปุ่นต้องออกมาลงทุนนอกประเทศ มันน่าจะเกิดอะไรขึ้นละทีนี้
คือ ทั้งจีนและญี่ปุ่นรู้ดีว่าอาเซียนมีทรัพยากรที่เค้าต้องการมาก ประกอบกับญี่ปุ่นเป็นพี่เบิ้มเก่า
และเรารู้ดีว่าประวัติศาสตร์จีนกับญี่ปุ่นไม่กินเส้นกันเลย ประเด็นเหล่านี้ทำให้มีแนวโน้มทำให้เกิดการแย่งกันมาลงทุน
ในอาเซียน และโดยเฉพาะเมื่อจะเกิดประชาคมอาเซียนในเร็วๆนี้ จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของอาเซียนแน่นอน
กลับมามองที่ตัวเราประเทศไทย เราเสียเปรียบพม่า เขมร ลาว ที่ทรัพยากรด้อยกว่า ที่ตั้งไม่อยู่ติดจีน แรงงานแพงกว่า
เราเสียเปรียบเวียดนามที่นโยบายรัฐของเขาดีกว่าสนับสนุนการลงทุนต่างชาติมากกว่า คนเยอะกว่า เศรษฐกิจกำลังโต
ที่เราได้เปรียบคือ ทำเลที่ตั้งเป็นศูนย์กลางอาเซียน สาธารณูปโภคดีกว่า แรงงานฝีมือดีกว่า คนไทยยิ้มสวยใจดี
สรุป ผมมองว่าในระยะกลาง-ยาว จะมีการรลงทุนมาทางอาเซียนมาก ไทยจะรับอานิสงค์ในอัตราส่วนที่มากด้วย
ความเสี่ยงหรือสิ่งที่ต้องแก้ไขหรือต้องระวัง คือ เรื่องค่าแรงแพงขึ้นเป็นแง่ลบจะรัฐชดเชยด้วยอะไรที่คู่ควรกัน
เรื่องระบบขนส่ง ถ้ารัฐเร่งทำได้จริงโดยเฉพาะระบบข่นส่งรางคู่ไปสู่ลาวและจีนได้ มันจะยอดมาก น้ำมันจะแพงเรื่อยๆ
เรื่องการเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการ หาที่ยืนยังไง ให้ผู้ประกอบการของเราได้ประโยชน์ จากการเปิดอาเซียน
ส่วน fundflowนั้น จะเป็นตัวบั่นทอนเศรษฐกิจโลก เพราะเป็นตัวสร้างความผันผวนหลัก แต่ว่าอย่างที่ใครเคยพูดไว้
ผมจำไม่ได้ คือ ถ้าเรารู้ว่าลงทุนในบริษัทนั้นๆเพราะอะไร ผมว่าช่วงของมูลค่าแท้จริงจะชนะเสมอ
อันนี้เป็นความเชื่อส่วนตัวนะครับ อยากให้วิเคราะห์ช่วยกันได้เต็มที่เลยนะครับ
ขอคาราวะให้อย่างงามๆ ครับJeng เขียน:แต่ไม่ได้หมายความว่า หุ้นจะไม่ปรับฐาน
ผมคิดว่าหุ้นจะบูมมาก
1. การลงทุนต่างประเทศ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทำให้เกิดการสร้างงาน
2. สมัยก่อน ค่าเงินบาทอ่อน 40 กว่าบาท และแข็งขึ้นเป็น 30 ผมคิดว่า
ส่งออกตายแน่ๆ แต่สุดท้าย ตัวเลขออกมาส่งออก ก็โตขึ้นมาก
2. การท่องเที่ยว แต่ก่อนก็มีปัญหากีฬาสี และระเบิดภาคใต้ ผมก็นึกว่า
คนจะมาเที่ยวกันน้อยลง ปรากฎว่า มาเที่ยวกันมากขึ้นอีก
3. การใช้จ่ายในประเทศ คนไทยก็ใช้จ่ายเก่ง เงิน 1 บาท หมุนหลายรอบ
4. การลดภาษีบริษัทจาก 30 เหลือ 23 % ครั้งแรกของประเทศไทย ที่ทุกบริษัทในตลาดหุ้นจะกำไรโตขึ้นพร้อมๆกัน
5. การไม่รับประกันเงินฝาก ที่จะลดจากบัญชีละ 50 ล้านเหลือ 1 ล้านบาท เงินไม่ปลอดภัย ซื้อหุ้น ซื้ออสังหาริมทรัพย์ดีกว่า
6. ตลาดหุ้นเมืองไทย เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น เพราะนักลงทุนมีความรู้ความสามารถมากขึ้น จะลงทุน รู้จักอ่านงบการเงิน รู้จักการวิเคราะห์บริษัท ซึ่งก็ต้องยกให้ ปรมาจารย์ อาจารย์นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ที่เป็นท่านเป็นตัวอย่างความสำเร็จ เป็นแรงบันดาลใจ ให้นักลงทุนหน้าใหม่ หลายๆคน กล้าคิด กล้าลงทุน ทั้งจากการที่ท่าน เขียนบทความ ไปบรรยายตามสถานที่ต่างๆ ตลอดจน ออกรายการ money channel และอื่นๆ ว่างๆ พวกเราควรส่งการ์ดอวยพร วันเกิด หรือวันขึ้นปีใหม่ ไปที่บ้านท่านบ้างก็ดีนะครับ เป็นกำลังใจให้ท่าน เป็นตัวอย่างความสำเร็จแบบนี้ไปนานๆ
7. ตลาดหุ้นบ้านเรายังเล็ก และสามารถเติบโตไปได้อีกมาก ตอนนี้เรามี market cap 9.2 ล้านๆบาท มีบริษัทเข้ามาจดทะเบียน ไม่ถึง 600 บริษัท ซึ่งเล็กกว่า apple ที่มีมูลค่า 11 ล้านๆบาท
บริษัทที่เข้ามาจดทะเบียน เพื่อหวังแต่กำไร เริ่มโดนตรวจสอบจากนักลงทุนผ่านทางเว็บบอร์ด และอื่นๆ นักลงทุนรุ่นใหม่ ก็ไม่ได้ให้ความสนใจ เพราะลงทุนไป ก็ไม่รู้ว่าจะขาดทุนเมื่อไร หุ้นดีๆ ก็เริ่มทยอยเข้าตลาด เพราะรู้แล้วว่า ที่นี่ระดมทุนง่ายมาก เงินเพรียบ
สรุป ผมมองว่า ตลาดหุ้นบ้านเราอนาคตสดใส และนักลงทุนฝากความหวัง อิสรภาพทางการเงิน กับการลงทุนในตลาดหุ้นได้แน่นอน ขึ้นอยู่กับใจรักที่จะลงทุน หากคุณมีใจรักจริง คุณก็ไม่ต้องเหนื่อย เพราะคุณไม่ได้ทำงาน และคุณมันส์ในอารมณ์ในการลงทุนในตลาดหุ้น
หมายเหตุ ผมคิดว่า ตลาดหุ้นบ้านเราราคาแกว่งมาก เนื่องจากเราไม่มี capital gain ซึ่งดีแล้วที่ไม่มี การที่ราคาแกว่งมาก ทำให้เรามีโอกาสซื้อได้สมเหตุสมผลเสมอ แต่ก็มีข้อเสีย หากเราศึกษาไม่ดีพอ เราก็อาจจะขายหมู
อย่างไรก็ตามดอกเบี้ยที่แพงขึ้น สำหรับผมแล้ว เป็นสัญญาเศรษฐกิจดี หากเศรษฐกิจไม่ดี ดอกถูกแค่ไหน ก็ไม่มีคนไปกู้
นโยบายประชานิยมของเรา ตอนนี้ก็เพิ่งเริ่มมาไม่นาน เพื่อให้ได้ฐานเสียง หนี้สารธารณะของเราแค่ 41 % นิดๆ ทำให้ยังไม่ใช่ปัญหาแบบเดียวกับที่อเมริกาเจอ ณ เวลานี้
แต่อเมริกาเองก็ไม่ใช่ประเทศที่มีหนี้สารธารณะ มากเป็นอันดับหนึ่ง อเมริกามีหนี้สาธารณะอยู่อันดับ 11
ผมนั่งคิดว่า เมกา เคยมียุคที่ value investor เลิกเล่น เพราะ pe เฉลี่ย ของตลาดขึ้นไปสูงมากๆ แต่เมืองไทย ตั้งแต่เข้ายุค value investor ก็ยังไม่เคยเห็น เลิกเล่นกัน แสดงว่า ตลาดน่าจะยังไปได้ต่อครับ
คิดต่างได้นะครับ พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ความเห็นก็คือความเห็น ไม่ต้องขอบคุณอะไรมากมาย พี่ไม่ใช่เซียน ก็แค่นักลงทุนคนหนึ่ง