EA market cap ณ ipo 2 หมื่นกว่าล้าน?
-
- Verified User
- โพสต์: 1679
- ผู้ติดตาม: 0
EA market cap ณ ipo 2 หมื่นกว่าล้าน?
โพสต์ที่ 1
คือกะขายของ แบบเหมาฟาร์มโซลาร์สามที่ 27x mw จบเรียบร้อยเลยใช่ไหมครับ
ปัจจัยเสี่ยงไม่มีเลยหรอ ถึงตีราคานี้ออกมาได้
ใช้เงิน ipo ลุยที่แรก
ที่สองกระแสเงินสดเดิม + กู้ ที่สามเหมือนกัน ถึงจะไม่มีสะดุดอะไรเลย แต่ราคานี้เหมือนจ่ายล่วงหน้าไป กี่ปีแล้ว
ส่วนเรื่องลม ผมยังไม่ควรพูดด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าจะสำเร็จหรือไม่ ทำสเกลอลังการมาก และก็ไม่ได้อีซี่เหมือนโซลาร์เลย
แต่อ้อยเข้าปากช้างไปเกือบหมดแล้ว
ส่วนเหตุผลที่โดนเลื่อนวันเข้าตลาดคืออะไรครับ ใครทราบบ้าง เกี่ยวกับข่าวที่ออกตัวเลข projection กำไรไม่ตรงใน filing รึป่าว (แล้วตัวเลขมันมั่วหลุดไปได้ไง) และมีอะไรอีกไหม ขอบคุณครับ
ปัจจัยเสี่ยงไม่มีเลยหรอ ถึงตีราคานี้ออกมาได้
ใช้เงิน ipo ลุยที่แรก
ที่สองกระแสเงินสดเดิม + กู้ ที่สามเหมือนกัน ถึงจะไม่มีสะดุดอะไรเลย แต่ราคานี้เหมือนจ่ายล่วงหน้าไป กี่ปีแล้ว
ส่วนเรื่องลม ผมยังไม่ควรพูดด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าจะสำเร็จหรือไม่ ทำสเกลอลังการมาก และก็ไม่ได้อีซี่เหมือนโซลาร์เลย
แต่อ้อยเข้าปากช้างไปเกือบหมดแล้ว
ส่วนเหตุผลที่โดนเลื่อนวันเข้าตลาดคืออะไรครับ ใครทราบบ้าง เกี่ยวกับข่าวที่ออกตัวเลข projection กำไรไม่ตรงใน filing รึป่าว (แล้วตัวเลขมันมั่วหลุดไปได้ไง) และมีอะไรอีกไหม ขอบคุณครับ
value trap
-
- Verified User
- โพสต์: 1679
- ผู้ติดตาม: 0
Re: EA market cap ณ ipo 2 หมื่นกว่าล้าน?
โพสต์ที่ 3
นั่นส่วนเสนอขายป่าวครับ
เห็นว่ามันมี 3730 ล้านหุ้นอะครับ
แถมเอา PE ratio ไปเทียบ spcg trailing earnings 200 กว่าเท่าแล้ว เขียนออกมาใน filing เพื่ออะไร 5555+
แต่มีเขียนอิงว่า EA ยังไม่ได้ดูอนาคต แล้วทำไมไม่เขียนถึง forward earnings ของ spcg เหมือนกัน
นี่มัน selective writing 555555555+ น่ายึด license
http://capital.sec.or.th/webapp/corp_fi ... 1358788906
เห็นว่ามันมี 3730 ล้านหุ้นอะครับ
แถมเอา PE ratio ไปเทียบ spcg trailing earnings 200 กว่าเท่าแล้ว เขียนออกมาใน filing เพื่ออะไร 5555+
แต่มีเขียนอิงว่า EA ยังไม่ได้ดูอนาคต แล้วทำไมไม่เขียนถึง forward earnings ของ spcg เหมือนกัน
นี่มัน selective writing 555555555+ น่ายึด license
http://capital.sec.or.th/webapp/corp_fi ... 1358788906
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
value trap
- PRO_BABY
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1584
- ผู้ติดตาม: 0
-
- Verified User
- โพสต์: 1254
- ผู้ติดตาม: 0
Re: EA market cap ณ ipo 2 หมื่นกว่าล้าน?
โพสต์ที่ 6
กำไรสุทธิ4Qย้อนหลังทำได้แบบนี้ ผมว่าขายIPO 1 บาทยังแพงมากอยู่เลยนะครับ มิบังอาจจองหุ้นครับ
สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนโลกใบนี้คือความว่างเปล่า สูงจากว่างเปล่าคือก่อเกิดเปลี่ยนแปลง
http://www.fungdham.com/sound/popup-sou ... up-75.html
http://goo.gl/VjQ4cG
http://www.fungdham.com/sound/popup-sou ... up-75.html
http://goo.gl/VjQ4cG
- dome@perth
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4740
- ผู้ติดตาม: 0
Re: EA market cap ณ ipo 2 หมื่นกว่าล้าน?
โพสต์ที่ 7
ข่าวหุ้น ครับ
โพสต์ทูเดย์EA ปัดบิดเบือนข้อมูลไฟลิ่ง
ก.ล.ต. เรียก EA ชี้แจงข้อมูลให้สัมภาษณ์ข่าวแตกต่างกับข้อมูลไฟลิ่ง ฟากผู้บริหาร EA ลั่นผู้สื่อข่าว
เข้าใจคลาดเคลื่อน พร้อมให้สิทธิผู้ลงทุนตัดสินใจ หากยกเลิกจองซื้อทำได้ภายในช่วงเวลาเปิดเสนอขาย
IPO ระหว่างวันที่ 21-23 ม.ค.นี้
กลต.สั่งEAแจงตัวเลขเคลื่อนโยนสื่อคาดผิด
ก.ล.ต.สั่ง EA ชี้แจง ผลประกอบการไม่ตรงไฟลิง หวั่นนักลงทุนตัดสินใจพลาด "สมโภชน์" แจง
สื่อเข้าใจผิด
นายธวัชชัย พิทยโสภณ ผู้อำนวยการสำนักงานเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์
และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า ก.ล.ต.อยู่ระหว่างให้ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ (EA) ชี้แจง
กรณีผู้บริหารให้สัมภาษณ์ข้อมูลไม่ตรงกับแบบแสดงรายการข้อมูล (แบบไฟลิง) โดยให้สัมภาษณ์อัตรากำไรขั้น
ต้น 10% แต่ไฟลิง งวด 9 เดือน/2555 อยู่ที่ 5.05% และข่าวระบุปี 2558 จะมีกำไรสุทธิ 3,000 ล้าน
บาท ไฟลิงแสดงไว้ 1,968.29 ล้านบาท
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: EA market cap ณ ipo 2 หมื่นกว่าล้าน?
โพสต์ที่ 8
ว่าที่หุ้นสุดยอดอภินิหารแบบนี้ อาจทำให้เหล่า vi ต้องช็อคเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว ถ้าเปิดมาราคา 2 หลัก!!!
ระยะสั้นไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ โดยเฉพาะมือระดับนี้ ผมเชื่อว่ายังมีข่าวรอไว้ล่ออีกเพียบ อย่างน้อยก็เตรียมออก W ฟรีภายใน 1 ปี ขอฟันธง!!!
ระยะสั้นไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ โดยเฉพาะมือระดับนี้ ผมเชื่อว่ายังมีข่าวรอไว้ล่ออีกเพียบ อย่างน้อยก็เตรียมออก W ฟรีภายใน 1 ปี ขอฟันธง!!!
-
- Verified User
- โพสต์: 36
- ผู้ติดตาม: 0
Re: EA market cap ณ ipo 2 หมื่นกว่าล้าน?
โพสต์ที่ 10
ตัวนี้ผมได้หุ้นจองด้วยครับ
มาร์ฯ โทรมาหาครั้งแรก ผมปฏิเสธไม่รับสิทธิ
ปกติถ้าผมไม่รับสิทธิจองหุ้น มาร์ฯ จะไม่เคยโทรมารอบสอง
แต่หุ้น EA มาร์ฯ โทรมาถามรอบสอง แต่ผมก็ยังยืนยันคำตอบเดิม คือไม่รับสิทธิครับ
ถ้าจำไม่ผิด กำไร 3 ไตรมาสของปี 2555 ประมาณแค่ 70 ล้านบาทเท่านั้น
แต่ที่ราคา IPO มูลค่าตลาดปาไป 2 หมื่นล้านบาท
เห็นอย่างนี้แล้ว ผมไม่ไปเป็นหนึ่งในนั่งร้านให้เจ้าของบริษัทไตร่ขึ้นไปยอดเขาเอเวอร์เรสหรอกครับ
มาร์ฯ โทรมาหาครั้งแรก ผมปฏิเสธไม่รับสิทธิ
ปกติถ้าผมไม่รับสิทธิจองหุ้น มาร์ฯ จะไม่เคยโทรมารอบสอง
แต่หุ้น EA มาร์ฯ โทรมาถามรอบสอง แต่ผมก็ยังยืนยันคำตอบเดิม คือไม่รับสิทธิครับ
ถ้าจำไม่ผิด กำไร 3 ไตรมาสของปี 2555 ประมาณแค่ 70 ล้านบาทเท่านั้น
แต่ที่ราคา IPO มูลค่าตลาดปาไป 2 หมื่นล้านบาท
เห็นอย่างนี้แล้ว ผมไม่ไปเป็นหนึ่งในนั่งร้านให้เจ้าของบริษัทไตร่ขึ้นไปยอดเขาเอเวอร์เรสหรอกครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 3404
- ผู้ติดตาม: 0
Re: EA market cap ณ ipo 2 หมื่นกว่าล้าน?
โพสต์ที่ 11
เอามาฝากให้อ่านเล่นๆ ขอบคุณ
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... หุนัย.html
คืนสังเวียนรอบนี้ ขอ “ใหญ่” กว่าเดิม BY “สมโภชน์ อาหุนัย”
เปิดก้นบึ้งหัวใจ ชายผู้ไม่มีชื่อเล่น “สมโภชน์ อาหุนัย” เจ้าของ “พลังงานบริสุทธิ์” หุ้นไอพีโอน้องใหม่ กลับมาคราวนี้ “ต้องเด่น-ดัง”
ปูมหลัง” ที่มี “ตำนิ” ถือเป็น “จุดบอด” ที่ทำให้นักลงทุน “แคลงใจ” จนไม่กล้าควักเงินลงทุน แม้หุ้นตัวนั้นจะมีอนาคต “สวยหรู” ก็ตาม บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) หุ้นไอพีโอน้องใหม่ของ “สมโภชน์ อาหุนัย” ที่ “กดบัตรคิว” ขอเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ตัวแรกของปีมะเส็ง (2556) ในวันที่ 23 ม.ค.2556 หลังประกาศขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนครั้งแรก 560 ล้านหุ้น ราคา 5.50 บาท กำลังเผชิญหน้ากับปัญหาเหล่านี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เห็นได้จากการพร้อมใจ “ขุดประวัติ” ของ “สมโภชน์” มาโพสต์ตามกระทู้ต่างๆ
ครั้งหนึ่ง “สมโภชน์ อาหุนัย” อดีตกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ธุรกิจโบรกเกอร์สัญชาติไต้หวัน อดีต “ลูกน้องสุดเลิฟ” ของ “ศิริธัช โรจนพฤกษ์” เจ้าของ “คอม-ลิงค์” ผู้ถือหุ้น 22.88% “อีเทอเนิล เอนเนอยี” หรือ EE (ตัวเลข ณ วันที่ 2 มี.ค.2555) เคยประสานมือกับเจ้าพ่อคอม-ลิงค์ และ "วรเจตน์ อินทามระ" เพื่อร่วมกัน “เนรมิต” “อีเทอเนิล เอนเนอยี” ให้กลายเป็นธุรกิจพลังงานทดแทน เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงรถยนต์ จากบริษัทผู้ผลิตและส่งออกอาหารทะเลรายใหญ่ ภายใต้ชื่อ "ซีฮอร์ส" (SH)
ด้วยการเข้าซื้อ “บุญเอนก” บริษัทคนสนิทของ “ศิริธัช โรจนพฤกษ์” เพื่อนำที่ดินของ “บุญเอนก” มาสร้างเป็นโรงผลิตเอทานอล ขนาดกำลังการผลิต 1.5 ล้านลิตรต่อวัน โดยการขายหุ้นเพิ่มทุนให้นักลงทุนแบบเฉพาะเจาะจง 370 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ราคาหุ้นละ 3.40 บาท การประกาศขายหุ้นเพิ่มทุนล็อตนี้ ห่างจากการขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับ “วรเจตน์ อินทามระ” จำนวน 2,179 ล้านหุ้น และ “สมโภชน์ อาหุนัย” จำนวน 421 ล้านหุ้นหุ้น ราคา 0.63 บาท ไม่นาน
จากนั้น ก็มี “ข่าวลือสะพัด” ว่า ความสัมพันธ์ระหว่าง “สมโภชน์” กับ“เสี่ยศิริรัช” เดินมาถึง “ทางตัน” จำต้องสวมคอนเวิร์ส “ทางใครทางมัน” แต่ “สมโภชน์” ยังคงถือหุ้น EE อันดับ 8 จำนวน 66.88 ล้านหุ้น คิดเป็น 2.41% (ณ วันที่ 2 มี.ค.2555) ด้วยความมุ่งมั่นอยากทำธุรกิจพลังงานทดแทน เพราะเห็นแวว “รุ่งเรือง” ทำให้ “สมโภชน์” โทรไปชวนเพื่อนสนิท 3-4 คน ให้มาร่วมลงขันเฉลี่ยคนละ 10-20 ล้านบาท เพื่อไปซื้อโรงงานผลิตไบโอดีเซล 1 แห่ง พร้อมก่อตั้งบริษัทภายใต้ชื่อ “ซันเทคปาล์มออยล์” ในปี 2549 ถัดมา 2 ปี เปลี่ยนชื่อเป็น “พลังงานบริสุทธ์” และดึง “ปลัดแป๋ง” สมใจนึก เองตระกูล อดีตปลัดกระทรวงการคลัง มานั่งเป็นประธานกรรมการ
ก่อน “สมโภชน์” แอนด์เดอะแกงค์ จะลงมือแต่งตัวสวยๆดันบริษัทเข้าเป็นสมาชิกตลาดหุ้น “สมโภชน์” ยกหูโทรไปเชิญชวน เจ้าของฉายา “นาย ช.หนวดงาม” ชำนิ จันทร์ฉาย ประธานกรรมการ บจก.ซี.เจ.มอร์แกน บริษัทที่ปรึกษาทางการเงินปรับโครงสร้างหนี้ อดีตกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิและกรรมการบริหาร สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย ให้มาร่วมลงทุน แต่ “พ่อมดวงการปรับโครงสร้างหนี้” กับตอบ “ปฏิเสธ” โดยให้เหตุผลกับคนรอบข้างว่า “ไม่ใช่กลัวธุรกิจไม่ดี แต่กลัวใจเจ้าของ”
แม้ “นาย ช. หนวดงาม” จะเมินหน้าหนี แต่ “มล.ทองมกุฎ ทองใหญ่” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ไทยพาณิชย์ (SCBS) ในฐานะแกนนำการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่าย กลับเดินปรี่เข้ามาสะกิด “สมโภชน์” กลางงานแถลงข่าวเคาะราคาไอพีโอ “มีหุ้นอีกมั้ย นักลงทุนอยากได้หุ้นคุณเยอะมาก !!!” (ลากเสียง)
“ผมอยากมีกิจการของตัวเองตั้งแต่เด็กๆ ลูกคนจีนโดนปลูกฝังมาแบบนี้ มันฝังอยู่ใน “สายเลือด” เมื่อโตขึ้นมามีโอกาสต้องรีบคว้า “สมโภชน์ อาหุนัย” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “พลังงานบริสุทธิ์” เล่าความคิดวัยเยาว์ให้ “กรุงเทพธุรกิจ BizWeek” ฟัง
ก่อนจะพูดถึงสิ่งที่ต้องการจะทำ หลังนำบริษัทเข้าตลาดหุ้นสำเร็จ “สมโภชน์” เล่าว่า ผมมีพี่น้อง 3 คน ผมเป็นคนกลาง คนโตอายุห่างจากผม 1 รอบ (ตกใจละสิ) ส่วนน้องสาวคนสุดท้องห่างกัน 9 ปี เหมือนพี่ชายคนโตเป็นพ่อน้องสาว (หัวเราะ) พี่น้องมีชื่อเล่นกันหมดเลย เว้นแต่ผมคนเดียว “งง” เหมือนกัน หรือนี่จะ “จุดกำเนิด” อะไรบางอย่าง ?
ผมใช้ชีวิตวัยเด็กอยู่ในตึกแถวร้านทำผม ใจกลางถนนราชดำเนินที่มีคุณแม่เป็นเจ้าของ ร้านอยู่ติดถนนทุกครั้งที่เขาเดินขบวนประท้วง ทหารปฏิวัติ ผมเห็นจนกลายเป็นเรื่อง “ชินตา” ส่วนคุณพ่อท่านทำงานบริษัททั่วไป ที่ผ่านมาท่าน 2 คน ไม่เคยบังคับผมว่าโตขึ้นมาต้องทำอะไร แต่จะปลูกฝังตลอดว่า “สมบัติที่พ่อแม่มีให้มีเพียงความรู้” ท่านจะสนับสนุนให้พวกเราเรียนให้สูงที่สุด
หลังจากเรียนจบคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (วศ.69) ผมก็ออกไปหาประสบการณ์ด้านการทำงานชนิด “ไม่เกี่ยง” เรื่องเงินเดือน ด้วยการเข้าไปทำตำแหน่งเซลล์ในบมจ.ล็อกซเล่ย์ (LOXLEY) ทำไปสักพักเริ่มเห็นเพื่อนๆที่พ่อแม่เขามีสตางค์ ส่งลูกไปเรียนเมืองนอก ทำให้เกิด “ความอยาก” อย่างน้อยการเรียนต่อเมืองนอก ก็เป็นเครื่องมือเบิกทางที่ดีในชีวิต
ผมตัดสินใจไปเรียนปริญญาโท MBA University of Pittsburgh ,USA ใช้เวลาเพียง 11 เดือน ก็จบการศึกษา ที่นี่สอนให้วิเคราะห์ ทำแบบฝึกหัด แตกต่างจากการเรียนในเมืองไทย เมื่อเรียนจบผมดันไปเข้าตา “ซิตี้แบงก์ นิวยอร์ก” เขารับให้มาทำงานใน “ซิตี้แบงก์ ประเทศไทย” แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำ (หัวเราะ) เพราะขั้นตอนการทำงานที่ทาง “ซิตี้แบงก์ นิวยอร์ก” บอกเรามันไม่เหมือนที่ “ซิตี้แบงก์ ประเทศไทย” อธิบาย ฉะนั้นถ้าฝืนทำต่อก็ “เสียดายเวลาชีวิต”
สุดท้ายไปได้งานใน “ดับบลิว.ไอ.คาร์” โบรกเกอร์อันดับ 1 ของต่างชาติ เป็น “นักวิเคราะห์หลักทรัพย์” อยู่ได้ 1 ปี ก็มี “ยูบีเอส” แบงก์ต่างชาติมาซื้อตัว เพราะเขาจะมาทำบทรีเสิร์ชในเมืองไทย ทำได้ 3 ปี ก็ลาออกมาทำตำแหน่งผู้อำนวยการผ่ายวิจัยใน “บงล.บุคคลัภย์” เชื่อหรือไม่ ผมมาอยู่ที่นี่เงินเดือนลดลงเยอะมาก (ลากเสียงยาว) “หลักแสนบาท” (หัวเราะ)
ถามว่า ทำไมถึงยอม!!! ช่วงนั้นเพิ่งแต่งงานด้วย ผมทำงานแบงก์มานานเห็นวัฎจักรขึ้นลงตลอด ช่วงไหนบทรีเสิร์ชที่เรารับผิดชอบมันไม่บูม ผู้บริหารจะเดินถือซองขาวมาที่โต๊ะตอนเช้าแล้ว “เชิญออก” หน้าตาเฉย พนักงานนั่ง “งง” กันเป็นแถว ไล่ออกแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว (โหดร้ายมาก) ผมกลับมานั่งคิดความมั่นคงทางอาชีพอยู่ตรงไหน !!!
ทำงานใน “บงล.บุคคลัภย์” ได้ 1 ปี รู้สึกไม่ชอบเรื่องระบบ ระเบียบ ในการทำงาน ทุกอย่างมันดูช้า กว่าจะอนุมัติแต่ละงาน ไม่ทันใจ ไม่เหมือนอยู่บริษัทต่างชาติ เมื่อรู้สึกเริ่มลำบาก ผมตัดสินใจลาออกไปทำงานในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายสถาบันต่างประเทศ ในบริษัทหลักทรัพย์ นวธนกิจ จำกัด
เข้าไปทำงานแรกๆไม่รู้เรื่องเลย ถึงขนาดลูกน้องเอ่ยปาก “พี่นั่งเฉยๆเถอะ” ผมหันไปบอก “สอนงานพี่หน่อย” ผมขอผู้บริหารระดับสูงเวียนฝึกงานตามแผนกต่างๆ 1-2 สัปดาห์ต่อแผนก กว่าคนเก่าๆจะยอมรับก็ใช้เวลานาน 2-3 เดือน เมื่อมีความรู้ ผมก็ขอผู้บริหารไปหาลูกค้าที่ฮ่องกง เขาถามว่า “รู้จักลูกค้าหรอ” ผม “ส่ายหัว” แล้วตอบไปว่า “ไปหาเอาดาบหน้า มีที่อยู่ในมือแล้วจะกลัวอะไร"
แต่สุดท้าย “บงล.บุคคลัภย์” ก็โดนเทคโอเวอร์ เพราะมีปัญหาเรื่องสภาพคล่อง ผู้บริหารเขาจะให้ผมลดพนักงาน ตอนนั้นเครียดมาก คิดในใจ คนเหล่านี้ผิดอะไร บางคนมีลูกมีเมียต้องดูแล ผมก็ไปบ่นกับรุ่นพี่คนหนึ่ง เขาสวนกลับมาว่า..
“เดี๋ยวเขาก็ต้องเอาโบรกเกอร์มาขายถูกๆ ต่างชาติก็ต้องอยากได้ คุณรู้จัก ผู้บริหารต่างชาติเยอะแยะ ไปชวนเขามาลงทุนสิ”
สุดสิ้นคำแนะนำ ผมคิดในใจ “จะบ้าหรอ” แต่เมื่อคิดไปคิดมา “ลองดูสักตั้งก็ได้ว่ะ” ทันทีที่ทำแผนธุรกิจเสร็จ ก็บินไปนำเสนอกับบล.หยวนต้า (ไต้หวัน) เขาให้เงินผมมา 500 ล้านบาท แต่ผมใช้ซื้อบล.คาเธ่ย์ แคปปิตอล แค่ 250 ล้านบาทเท่านั้น !!!
ทำได้ 3 ปี จำต้อง “อัปเปหิ” ตัวเองออกมา รู้สึก “เฮิร์ท” เหมือนคนอกหัก โดน ก.ล.ต.กล่าวหาว่า บล.หยวนต้า สาขาหาดใหญ่ ปั่นหุ้น ไทยธนาคาร (BT) “เราไม่ได้ทำรู้อยู่แก่ใจ” ผมทำงานตั้งแต่เช้าตรู่กลับบ้านเที่ยงคืนทุกวันนี้ แต่ได้ผลลัพธ์แบบนี้มันไม่แฟร์!!!
ในใจมีแต่คำว่า “กูผิดอะไรว่ะ” วนเวียนอยู่ในหัวตลอด ที่ผ่านมาไม่เคยได้อธิบายให้สังคมรับรู้ รุ่งเช้าผมเดินไปขอลาออกเลย “ออกไปเป็นนักลงทุนถือหุ้นบริษัทโน่นนี่ ได้ผลตอบแทนดีกว่าเยอะ”
ถามว่าเดินทางมาถึง “จุดกำเนิด” ของ “พลังงานบริสุทธิ์” แล้วใช่มั้ย เขาหัวเราะ ทันทีที่ได้ยินคำถาม เมื่อก่อนไม่มีประสบการณ์เรื่องพลังงานทดแทน แต่เห็นอนาคตท่าจะดี ผมเป็นพวกชอบคิดใหม่ ทำใหม่ วิเคราะห์ใหม่ “สนุกดี”
ผมตัดสินใจยกหูโทรหาเพื่อน 3-4 คน ชวนมาลงขันทำบริษัทด้วยกัน ตอนนั้นโชว์วิสัยทัศน์กับเพื่อนว่า “กำไรขั้นต้น10% สุดยอดมากสำหรับธุรกิจนี้ โอกาสมากกว่านี้มีแน่ เพราะรัฐบาลตอนโน่น (ปี 2550) เขาส่งเสริมกัน “สุดฤทธิ์”
วันนี้ผมโชว์ “จุดเด่น” ได้เพียงว่า ภายในปี 2558 เราจะมีกำไรสุทธิ 3,000 ล้านบาท “เฮ้ย!!” เอ็งจะเอาอะไรมากำไร หลายคนคงคิดแบบนั้นใช่มั้ย ผมจะแจกแจงให้ฟัง ช่วงเดือนต.ค.2555 เราจะผลิตโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาดกำลังการผลิต 8 เมกะวัตต์ จังหวัดลพบุรี
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เขาให้ค่าไฟพิเศษ (ADDER) 10 ปีแรก จากอายุสัมปาน 25 ปี จำนวน 8 บาทต่อหน่วยกับเรา ฉะนั้นเราก็จะรับรู้กำไรจากโครงการนี้ในปี 2556 เต็มปีประมาณ 64 ล้านบาท ถัดมาช่วงเดือนธ.ค.2556 เราจะเดินเครื่องในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาดกำลังการผลิต 90 เมกะวัตต์ จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งบริษัทจะรับกำไรเต็มปีในปี 2557 จำนวน 915 ล้านบาท จากนั้นสิ้นปี 2557 จะผลิตโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาด 90 เมกะวัตต์ จังหวัดลำปาง โดยจะบุ๊คกำไร 915 ล้านบาท ในปี 2558
สุดท้าย คือ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาดกำลังการผลิต 90 เมกะวัตต์ จังหวัดพิษณุโลก ตอนนี้กำลังหาที่ดินอยู่ แต่เราเชื่อว่าสิ้นปี 2558 จะเดินเครื่องผลิตได้ และจะรับรู้กำไร 915 ล้านบาทในปี 2559 ซึ่งทั้ง 3 โครงการ กฟผ.เขาให้ค่าไฟฟ้าพิเศษกับเรา 10 ปีแรก จำนวน 6.50 บาทต่อหน่วย
เขา เล่าต่อว่า แผนงานในอนาคตยังไม่จบแค่นี้นะ ผมเพิ่งได้รับการตอบรับจาก กฟผ.ให้ดำเนินการโครงการพลังงานไฟฟ้าจากกังหันลม 126 เมกะวัตต์ แต่เราขอไป 761 เมกะวัตต์ คิดเป็น 16 โครงการ เชื่อว่าที่เหลือจะได้รับการตอบรับเช่นกัน คุณลองคิดดูสิ หากเราได้โครงการพลังงานลมสมดั่งใจ ผลประกอบการหลังปี 2558 ของเราจะ “ดีมาก” ขนาดไหน อย่าให้พูดเลย (หัวเราะ) บอกได้เพียงว่าอนาคตสัดส่วนรายได้จะมาจากสายไบโอดีเซล 50% พลังงานทดแทน 50%
“สมโภชน์” ทิ้งท้ายว่า ธุรกิจเราคงไม่หยุดนิ่งเพียงเท่านี้ มันต้องมี “ไดนามิค” ผมจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด เราไม่ได้เป็นเพียงบริษัทขายไฟฟ้าธรรมดา แต่เป็นบริษัทที่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยสามารถพัฒนาให้ธุรกิจมีความโดดเด่น เราจะพยายามผลักดัน “ตัวเลขการเงิน” ทุกตัวให้เติบโตอย่างยั่งยืน ณ 9 เดือนแรก เรามี “กำไรสุทธิ” 69.61 ล้านบาท กำไรขั้นต้น 5.50% อัตรากำไรสุทธิ 1.91% และรายได้ 3,653 ล้านบาท
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... หุนัย.html
คืนสังเวียนรอบนี้ ขอ “ใหญ่” กว่าเดิม BY “สมโภชน์ อาหุนัย”
เปิดก้นบึ้งหัวใจ ชายผู้ไม่มีชื่อเล่น “สมโภชน์ อาหุนัย” เจ้าของ “พลังงานบริสุทธิ์” หุ้นไอพีโอน้องใหม่ กลับมาคราวนี้ “ต้องเด่น-ดัง”
ปูมหลัง” ที่มี “ตำนิ” ถือเป็น “จุดบอด” ที่ทำให้นักลงทุน “แคลงใจ” จนไม่กล้าควักเงินลงทุน แม้หุ้นตัวนั้นจะมีอนาคต “สวยหรู” ก็ตาม บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) หุ้นไอพีโอน้องใหม่ของ “สมโภชน์ อาหุนัย” ที่ “กดบัตรคิว” ขอเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ตัวแรกของปีมะเส็ง (2556) ในวันที่ 23 ม.ค.2556 หลังประกาศขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนครั้งแรก 560 ล้านหุ้น ราคา 5.50 บาท กำลังเผชิญหน้ากับปัญหาเหล่านี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เห็นได้จากการพร้อมใจ “ขุดประวัติ” ของ “สมโภชน์” มาโพสต์ตามกระทู้ต่างๆ
ครั้งหนึ่ง “สมโภชน์ อาหุนัย” อดีตกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ธุรกิจโบรกเกอร์สัญชาติไต้หวัน อดีต “ลูกน้องสุดเลิฟ” ของ “ศิริธัช โรจนพฤกษ์” เจ้าของ “คอม-ลิงค์” ผู้ถือหุ้น 22.88% “อีเทอเนิล เอนเนอยี” หรือ EE (ตัวเลข ณ วันที่ 2 มี.ค.2555) เคยประสานมือกับเจ้าพ่อคอม-ลิงค์ และ "วรเจตน์ อินทามระ" เพื่อร่วมกัน “เนรมิต” “อีเทอเนิล เอนเนอยี” ให้กลายเป็นธุรกิจพลังงานทดแทน เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงรถยนต์ จากบริษัทผู้ผลิตและส่งออกอาหารทะเลรายใหญ่ ภายใต้ชื่อ "ซีฮอร์ส" (SH)
ด้วยการเข้าซื้อ “บุญเอนก” บริษัทคนสนิทของ “ศิริธัช โรจนพฤกษ์” เพื่อนำที่ดินของ “บุญเอนก” มาสร้างเป็นโรงผลิตเอทานอล ขนาดกำลังการผลิต 1.5 ล้านลิตรต่อวัน โดยการขายหุ้นเพิ่มทุนให้นักลงทุนแบบเฉพาะเจาะจง 370 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ราคาหุ้นละ 3.40 บาท การประกาศขายหุ้นเพิ่มทุนล็อตนี้ ห่างจากการขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับ “วรเจตน์ อินทามระ” จำนวน 2,179 ล้านหุ้น และ “สมโภชน์ อาหุนัย” จำนวน 421 ล้านหุ้นหุ้น ราคา 0.63 บาท ไม่นาน
จากนั้น ก็มี “ข่าวลือสะพัด” ว่า ความสัมพันธ์ระหว่าง “สมโภชน์” กับ“เสี่ยศิริรัช” เดินมาถึง “ทางตัน” จำต้องสวมคอนเวิร์ส “ทางใครทางมัน” แต่ “สมโภชน์” ยังคงถือหุ้น EE อันดับ 8 จำนวน 66.88 ล้านหุ้น คิดเป็น 2.41% (ณ วันที่ 2 มี.ค.2555) ด้วยความมุ่งมั่นอยากทำธุรกิจพลังงานทดแทน เพราะเห็นแวว “รุ่งเรือง” ทำให้ “สมโภชน์” โทรไปชวนเพื่อนสนิท 3-4 คน ให้มาร่วมลงขันเฉลี่ยคนละ 10-20 ล้านบาท เพื่อไปซื้อโรงงานผลิตไบโอดีเซล 1 แห่ง พร้อมก่อตั้งบริษัทภายใต้ชื่อ “ซันเทคปาล์มออยล์” ในปี 2549 ถัดมา 2 ปี เปลี่ยนชื่อเป็น “พลังงานบริสุทธ์” และดึง “ปลัดแป๋ง” สมใจนึก เองตระกูล อดีตปลัดกระทรวงการคลัง มานั่งเป็นประธานกรรมการ
ก่อน “สมโภชน์” แอนด์เดอะแกงค์ จะลงมือแต่งตัวสวยๆดันบริษัทเข้าเป็นสมาชิกตลาดหุ้น “สมโภชน์” ยกหูโทรไปเชิญชวน เจ้าของฉายา “นาย ช.หนวดงาม” ชำนิ จันทร์ฉาย ประธานกรรมการ บจก.ซี.เจ.มอร์แกน บริษัทที่ปรึกษาทางการเงินปรับโครงสร้างหนี้ อดีตกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิและกรรมการบริหาร สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย ให้มาร่วมลงทุน แต่ “พ่อมดวงการปรับโครงสร้างหนี้” กับตอบ “ปฏิเสธ” โดยให้เหตุผลกับคนรอบข้างว่า “ไม่ใช่กลัวธุรกิจไม่ดี แต่กลัวใจเจ้าของ”
แม้ “นาย ช. หนวดงาม” จะเมินหน้าหนี แต่ “มล.ทองมกุฎ ทองใหญ่” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ไทยพาณิชย์ (SCBS) ในฐานะแกนนำการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่าย กลับเดินปรี่เข้ามาสะกิด “สมโภชน์” กลางงานแถลงข่าวเคาะราคาไอพีโอ “มีหุ้นอีกมั้ย นักลงทุนอยากได้หุ้นคุณเยอะมาก !!!” (ลากเสียง)
“ผมอยากมีกิจการของตัวเองตั้งแต่เด็กๆ ลูกคนจีนโดนปลูกฝังมาแบบนี้ มันฝังอยู่ใน “สายเลือด” เมื่อโตขึ้นมามีโอกาสต้องรีบคว้า “สมโภชน์ อาหุนัย” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “พลังงานบริสุทธิ์” เล่าความคิดวัยเยาว์ให้ “กรุงเทพธุรกิจ BizWeek” ฟัง
ก่อนจะพูดถึงสิ่งที่ต้องการจะทำ หลังนำบริษัทเข้าตลาดหุ้นสำเร็จ “สมโภชน์” เล่าว่า ผมมีพี่น้อง 3 คน ผมเป็นคนกลาง คนโตอายุห่างจากผม 1 รอบ (ตกใจละสิ) ส่วนน้องสาวคนสุดท้องห่างกัน 9 ปี เหมือนพี่ชายคนโตเป็นพ่อน้องสาว (หัวเราะ) พี่น้องมีชื่อเล่นกันหมดเลย เว้นแต่ผมคนเดียว “งง” เหมือนกัน หรือนี่จะ “จุดกำเนิด” อะไรบางอย่าง ?
ผมใช้ชีวิตวัยเด็กอยู่ในตึกแถวร้านทำผม ใจกลางถนนราชดำเนินที่มีคุณแม่เป็นเจ้าของ ร้านอยู่ติดถนนทุกครั้งที่เขาเดินขบวนประท้วง ทหารปฏิวัติ ผมเห็นจนกลายเป็นเรื่อง “ชินตา” ส่วนคุณพ่อท่านทำงานบริษัททั่วไป ที่ผ่านมาท่าน 2 คน ไม่เคยบังคับผมว่าโตขึ้นมาต้องทำอะไร แต่จะปลูกฝังตลอดว่า “สมบัติที่พ่อแม่มีให้มีเพียงความรู้” ท่านจะสนับสนุนให้พวกเราเรียนให้สูงที่สุด
หลังจากเรียนจบคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (วศ.69) ผมก็ออกไปหาประสบการณ์ด้านการทำงานชนิด “ไม่เกี่ยง” เรื่องเงินเดือน ด้วยการเข้าไปทำตำแหน่งเซลล์ในบมจ.ล็อกซเล่ย์ (LOXLEY) ทำไปสักพักเริ่มเห็นเพื่อนๆที่พ่อแม่เขามีสตางค์ ส่งลูกไปเรียนเมืองนอก ทำให้เกิด “ความอยาก” อย่างน้อยการเรียนต่อเมืองนอก ก็เป็นเครื่องมือเบิกทางที่ดีในชีวิต
ผมตัดสินใจไปเรียนปริญญาโท MBA University of Pittsburgh ,USA ใช้เวลาเพียง 11 เดือน ก็จบการศึกษา ที่นี่สอนให้วิเคราะห์ ทำแบบฝึกหัด แตกต่างจากการเรียนในเมืองไทย เมื่อเรียนจบผมดันไปเข้าตา “ซิตี้แบงก์ นิวยอร์ก” เขารับให้มาทำงานใน “ซิตี้แบงก์ ประเทศไทย” แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำ (หัวเราะ) เพราะขั้นตอนการทำงานที่ทาง “ซิตี้แบงก์ นิวยอร์ก” บอกเรามันไม่เหมือนที่ “ซิตี้แบงก์ ประเทศไทย” อธิบาย ฉะนั้นถ้าฝืนทำต่อก็ “เสียดายเวลาชีวิต”
สุดท้ายไปได้งานใน “ดับบลิว.ไอ.คาร์” โบรกเกอร์อันดับ 1 ของต่างชาติ เป็น “นักวิเคราะห์หลักทรัพย์” อยู่ได้ 1 ปี ก็มี “ยูบีเอส” แบงก์ต่างชาติมาซื้อตัว เพราะเขาจะมาทำบทรีเสิร์ชในเมืองไทย ทำได้ 3 ปี ก็ลาออกมาทำตำแหน่งผู้อำนวยการผ่ายวิจัยใน “บงล.บุคคลัภย์” เชื่อหรือไม่ ผมมาอยู่ที่นี่เงินเดือนลดลงเยอะมาก (ลากเสียงยาว) “หลักแสนบาท” (หัวเราะ)
ถามว่า ทำไมถึงยอม!!! ช่วงนั้นเพิ่งแต่งงานด้วย ผมทำงานแบงก์มานานเห็นวัฎจักรขึ้นลงตลอด ช่วงไหนบทรีเสิร์ชที่เรารับผิดชอบมันไม่บูม ผู้บริหารจะเดินถือซองขาวมาที่โต๊ะตอนเช้าแล้ว “เชิญออก” หน้าตาเฉย พนักงานนั่ง “งง” กันเป็นแถว ไล่ออกแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว (โหดร้ายมาก) ผมกลับมานั่งคิดความมั่นคงทางอาชีพอยู่ตรงไหน !!!
ทำงานใน “บงล.บุคคลัภย์” ได้ 1 ปี รู้สึกไม่ชอบเรื่องระบบ ระเบียบ ในการทำงาน ทุกอย่างมันดูช้า กว่าจะอนุมัติแต่ละงาน ไม่ทันใจ ไม่เหมือนอยู่บริษัทต่างชาติ เมื่อรู้สึกเริ่มลำบาก ผมตัดสินใจลาออกไปทำงานในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายสถาบันต่างประเทศ ในบริษัทหลักทรัพย์ นวธนกิจ จำกัด
เข้าไปทำงานแรกๆไม่รู้เรื่องเลย ถึงขนาดลูกน้องเอ่ยปาก “พี่นั่งเฉยๆเถอะ” ผมหันไปบอก “สอนงานพี่หน่อย” ผมขอผู้บริหารระดับสูงเวียนฝึกงานตามแผนกต่างๆ 1-2 สัปดาห์ต่อแผนก กว่าคนเก่าๆจะยอมรับก็ใช้เวลานาน 2-3 เดือน เมื่อมีความรู้ ผมก็ขอผู้บริหารไปหาลูกค้าที่ฮ่องกง เขาถามว่า “รู้จักลูกค้าหรอ” ผม “ส่ายหัว” แล้วตอบไปว่า “ไปหาเอาดาบหน้า มีที่อยู่ในมือแล้วจะกลัวอะไร"
แต่สุดท้าย “บงล.บุคคลัภย์” ก็โดนเทคโอเวอร์ เพราะมีปัญหาเรื่องสภาพคล่อง ผู้บริหารเขาจะให้ผมลดพนักงาน ตอนนั้นเครียดมาก คิดในใจ คนเหล่านี้ผิดอะไร บางคนมีลูกมีเมียต้องดูแล ผมก็ไปบ่นกับรุ่นพี่คนหนึ่ง เขาสวนกลับมาว่า..
“เดี๋ยวเขาก็ต้องเอาโบรกเกอร์มาขายถูกๆ ต่างชาติก็ต้องอยากได้ คุณรู้จัก ผู้บริหารต่างชาติเยอะแยะ ไปชวนเขามาลงทุนสิ”
สุดสิ้นคำแนะนำ ผมคิดในใจ “จะบ้าหรอ” แต่เมื่อคิดไปคิดมา “ลองดูสักตั้งก็ได้ว่ะ” ทันทีที่ทำแผนธุรกิจเสร็จ ก็บินไปนำเสนอกับบล.หยวนต้า (ไต้หวัน) เขาให้เงินผมมา 500 ล้านบาท แต่ผมใช้ซื้อบล.คาเธ่ย์ แคปปิตอล แค่ 250 ล้านบาทเท่านั้น !!!
ทำได้ 3 ปี จำต้อง “อัปเปหิ” ตัวเองออกมา รู้สึก “เฮิร์ท” เหมือนคนอกหัก โดน ก.ล.ต.กล่าวหาว่า บล.หยวนต้า สาขาหาดใหญ่ ปั่นหุ้น ไทยธนาคาร (BT) “เราไม่ได้ทำรู้อยู่แก่ใจ” ผมทำงานตั้งแต่เช้าตรู่กลับบ้านเที่ยงคืนทุกวันนี้ แต่ได้ผลลัพธ์แบบนี้มันไม่แฟร์!!!
ในใจมีแต่คำว่า “กูผิดอะไรว่ะ” วนเวียนอยู่ในหัวตลอด ที่ผ่านมาไม่เคยได้อธิบายให้สังคมรับรู้ รุ่งเช้าผมเดินไปขอลาออกเลย “ออกไปเป็นนักลงทุนถือหุ้นบริษัทโน่นนี่ ได้ผลตอบแทนดีกว่าเยอะ”
ถามว่าเดินทางมาถึง “จุดกำเนิด” ของ “พลังงานบริสุทธิ์” แล้วใช่มั้ย เขาหัวเราะ ทันทีที่ได้ยินคำถาม เมื่อก่อนไม่มีประสบการณ์เรื่องพลังงานทดแทน แต่เห็นอนาคตท่าจะดี ผมเป็นพวกชอบคิดใหม่ ทำใหม่ วิเคราะห์ใหม่ “สนุกดี”
ผมตัดสินใจยกหูโทรหาเพื่อน 3-4 คน ชวนมาลงขันทำบริษัทด้วยกัน ตอนนั้นโชว์วิสัยทัศน์กับเพื่อนว่า “กำไรขั้นต้น10% สุดยอดมากสำหรับธุรกิจนี้ โอกาสมากกว่านี้มีแน่ เพราะรัฐบาลตอนโน่น (ปี 2550) เขาส่งเสริมกัน “สุดฤทธิ์”
วันนี้ผมโชว์ “จุดเด่น” ได้เพียงว่า ภายในปี 2558 เราจะมีกำไรสุทธิ 3,000 ล้านบาท “เฮ้ย!!” เอ็งจะเอาอะไรมากำไร หลายคนคงคิดแบบนั้นใช่มั้ย ผมจะแจกแจงให้ฟัง ช่วงเดือนต.ค.2555 เราจะผลิตโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาดกำลังการผลิต 8 เมกะวัตต์ จังหวัดลพบุรี
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เขาให้ค่าไฟพิเศษ (ADDER) 10 ปีแรก จากอายุสัมปาน 25 ปี จำนวน 8 บาทต่อหน่วยกับเรา ฉะนั้นเราก็จะรับรู้กำไรจากโครงการนี้ในปี 2556 เต็มปีประมาณ 64 ล้านบาท ถัดมาช่วงเดือนธ.ค.2556 เราจะเดินเครื่องในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาดกำลังการผลิต 90 เมกะวัตต์ จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งบริษัทจะรับกำไรเต็มปีในปี 2557 จำนวน 915 ล้านบาท จากนั้นสิ้นปี 2557 จะผลิตโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาด 90 เมกะวัตต์ จังหวัดลำปาง โดยจะบุ๊คกำไร 915 ล้านบาท ในปี 2558
สุดท้าย คือ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาดกำลังการผลิต 90 เมกะวัตต์ จังหวัดพิษณุโลก ตอนนี้กำลังหาที่ดินอยู่ แต่เราเชื่อว่าสิ้นปี 2558 จะเดินเครื่องผลิตได้ และจะรับรู้กำไร 915 ล้านบาทในปี 2559 ซึ่งทั้ง 3 โครงการ กฟผ.เขาให้ค่าไฟฟ้าพิเศษกับเรา 10 ปีแรก จำนวน 6.50 บาทต่อหน่วย
เขา เล่าต่อว่า แผนงานในอนาคตยังไม่จบแค่นี้นะ ผมเพิ่งได้รับการตอบรับจาก กฟผ.ให้ดำเนินการโครงการพลังงานไฟฟ้าจากกังหันลม 126 เมกะวัตต์ แต่เราขอไป 761 เมกะวัตต์ คิดเป็น 16 โครงการ เชื่อว่าที่เหลือจะได้รับการตอบรับเช่นกัน คุณลองคิดดูสิ หากเราได้โครงการพลังงานลมสมดั่งใจ ผลประกอบการหลังปี 2558 ของเราจะ “ดีมาก” ขนาดไหน อย่าให้พูดเลย (หัวเราะ) บอกได้เพียงว่าอนาคตสัดส่วนรายได้จะมาจากสายไบโอดีเซล 50% พลังงานทดแทน 50%
“สมโภชน์” ทิ้งท้ายว่า ธุรกิจเราคงไม่หยุดนิ่งเพียงเท่านี้ มันต้องมี “ไดนามิค” ผมจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด เราไม่ได้เป็นเพียงบริษัทขายไฟฟ้าธรรมดา แต่เป็นบริษัทที่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยสามารถพัฒนาให้ธุรกิจมีความโดดเด่น เราจะพยายามผลักดัน “ตัวเลขการเงิน” ทุกตัวให้เติบโตอย่างยั่งยืน ณ 9 เดือนแรก เรามี “กำไรสุทธิ” 69.61 ล้านบาท กำไรขั้นต้น 5.50% อัตรากำไรสุทธิ 1.91% และรายได้ 3,653 ล้านบาท
ในเกมการเงิน อะไรที่ไม่รู้ คือ ความเสี่ยง
-
- Verified User
- โพสต์: 2166
- ผู้ติดตาม: 0
Re: EA market cap ณ ipo 2 หมื่นกว่าล้าน?
โพสต์ที่ 12
Below is what I wrote in the EA forum.
This is my personal opinion on the IPO price. The IPO price is expensive but you have a full control on whether you want to buy or not.
In essence, this firm is selling the 'future' cash flow from its solar and wind farm operations (Ignoring the existing business - biodiesel manufacturing - which I think it does not command any value due to fierce competition and lack of competitive advantage). These plants aren't in operation yet and the firm needs money to develop them hence the IPO. So there are several risks and uncertainties surrounding this company such as
- Construction cost overrun
- Solar cell efficiency
- Rising interest rate
- Tariff price fluctuation
- Operation and maintenance expense
- etc.
In the prospectus, it disclosed what the NPV would be for the Lopburi (8 MW) and Nakornsawan (90 MW) solar farm. Let's ignore the Lopburi solar farm because this project is tiny when comparing with the other three under development. The estimated NPV is about 4,800 MB for the Nakornsawan. If we assumed the other two (Lampang and Pitsanulok) have similar NPV then the total NPV of these 3 solar farms is approx 12,290 MB (based on discount rate of 8%).
Excluding the value of wind farm, the intrinsic value would be the summation of these 4 components:
1) Book value = 1,100 MB (assume this is the value of the business before the IPO)
2) Cash raised from IPO = 3,080 MB
3) 270MW solar farms = 12,290 MB
4) CAPEX already included in solar farm = 860 MB
which is equal to 17,730 MB. At 5.50, the market cap would be 20,515 MB which implies that the value of the furture wind farms (761 MW) is approx 2,785 MB.
As I said before, the IPO price is at the top of the range and doesn't have much room for error. Yet, it doesn't price in much on its wind farm operation mainly because it's still in the fledgling stage.
One thing I would like to highlight is that all risks associated with building and operating solar farm will be transferred to the new shareholders (15%). Equities required to build each solar farm is about 1,670 MB therefore the cash raised from IPO is sufficient for building 2 solar farms (the third one will be funded by the cash flow from the first two plants and debt). In other words, the existing shareholders/owners (85%) don't even put in a single Baht to develop these 3 solar farms. This is how the existing shareholders/owners monetise the lucrative solar and wind farm license with the PEA.
This is my personal opinion on the IPO price. The IPO price is expensive but you have a full control on whether you want to buy or not.
In essence, this firm is selling the 'future' cash flow from its solar and wind farm operations (Ignoring the existing business - biodiesel manufacturing - which I think it does not command any value due to fierce competition and lack of competitive advantage). These plants aren't in operation yet and the firm needs money to develop them hence the IPO. So there are several risks and uncertainties surrounding this company such as
- Construction cost overrun
- Solar cell efficiency
- Rising interest rate
- Tariff price fluctuation
- Operation and maintenance expense
- etc.
In the prospectus, it disclosed what the NPV would be for the Lopburi (8 MW) and Nakornsawan (90 MW) solar farm. Let's ignore the Lopburi solar farm because this project is tiny when comparing with the other three under development. The estimated NPV is about 4,800 MB for the Nakornsawan. If we assumed the other two (Lampang and Pitsanulok) have similar NPV then the total NPV of these 3 solar farms is approx 12,290 MB (based on discount rate of 8%).
Excluding the value of wind farm, the intrinsic value would be the summation of these 4 components:
1) Book value = 1,100 MB (assume this is the value of the business before the IPO)
2) Cash raised from IPO = 3,080 MB
3) 270MW solar farms = 12,290 MB
4) CAPEX already included in solar farm = 860 MB
which is equal to 17,730 MB. At 5.50, the market cap would be 20,515 MB which implies that the value of the furture wind farms (761 MW) is approx 2,785 MB.
As I said before, the IPO price is at the top of the range and doesn't have much room for error. Yet, it doesn't price in much on its wind farm operation mainly because it's still in the fledgling stage.
One thing I would like to highlight is that all risks associated with building and operating solar farm will be transferred to the new shareholders (15%). Equities required to build each solar farm is about 1,670 MB therefore the cash raised from IPO is sufficient for building 2 solar farms (the third one will be funded by the cash flow from the first two plants and debt). In other words, the existing shareholders/owners (85%) don't even put in a single Baht to develop these 3 solar farms. This is how the existing shareholders/owners monetise the lucrative solar and wind farm license with the PEA.
Minimize risk through an in-depth knowledge. Buy at bargain price. Wait patiently.
http://valueinvestors.wordpress.com/
http://valueinvestors.wordpress.com/
-
- Verified User
- โพสต์: 1837
- ผู้ติดตาม: 0
Re: EA market cap ณ ipo 2 หมื่นกว่าล้าน?
โพสต์ที่ 13
เคยได้ยินโครงการนี้มาตั้งแต่กว่า4ปีที่แล้ว ผ่านหนึ่งในผู้ร่วมลงทุนที่รวยแต่ไม่มีความรู้ด้านพลังงานเลย
เค้าบอกผมตั้งแต่ตอนนั้นว่าจากเงินลงทุนหุ้นละไม่กี่สตางค์ เจ้าของเค้่ากะจะขายหุ้นในราคา5บาท
ผมก็ได้แต่หัวเราะแล้วบอกว่าเป็นไปได้ถ้ามีคนโง่ยอมซื้อ และแล้วมันก็เป็นจริงจนได้ 555
ตอนนี้ทุกคนดีใจกันยกใหญ่ เพราะกำลังจะรวยเละ
ก็ได้แต่หวังว่าพวกเค้าจะแบ่งเอากำไรไปทำบุญกันบ้างนะ
แต่ร่ำรวยบนความโง่เขลาของคนอื่นคงจะไม่บาปสักเท่าไหร่มั้ง
เค้าบอกผมตั้งแต่ตอนนั้นว่าจากเงินลงทุนหุ้นละไม่กี่สตางค์ เจ้าของเค้่ากะจะขายหุ้นในราคา5บาท
ผมก็ได้แต่หัวเราะแล้วบอกว่าเป็นไปได้ถ้ามีคนโง่ยอมซื้อ และแล้วมันก็เป็นจริงจนได้ 555
ตอนนี้ทุกคนดีใจกันยกใหญ่ เพราะกำลังจะรวยเละ
ก็ได้แต่หวังว่าพวกเค้าจะแบ่งเอากำไรไปทำบุญกันบ้างนะ
แต่ร่ำรวยบนความโง่เขลาของคนอื่นคงจะไม่บาปสักเท่าไหร่มั้ง
-
- Verified User
- โพสต์: 1837
- ผู้ติดตาม: 0
Re: EA market cap ณ ipo 2 หมื่นกว่าล้าน?
โพสต์ที่ 14
ขอเพิ่มเติมอีกนิดนึง
มีน้องที่รู้จักกันเป็นนักวิเคราะห์ได้ไปพบคุณสมโภชน์และได้ความมาว่า
ที่ตั้งราคา5บาทเพราะแกเล่นใช้ง่ายๆโดยเอาearingsปีที่สูงที่สุดมาคูณmultiple
ผมฟังแล้วก็งงว่าเดี๋ยวนี้เค้าเลือกกันได้แบบนี้เลยหรือ
นึกว่าต้องใช้earningsปีหน้า หรือจริงๆน่าจะคำนวนแบบDCFไปเลยสำหรับธุรกิง่ายๆแบบนี้
แถมแกยังฝันหวานว่าจะได้ทำwind farmอีกตั้ง200MW
ไม่รู้ว่าแกรู้หรือเปล่าว่ามันไม่หมูเหมือนทำsolar farmนะ อย่างหลังนี่ยอมรับว่าใช้คนงานสร้างบ้านทำยังได้เลย 555
ยังไงก็ยังไม่เชื่อว่าจะมีนักลงทุนสถาบันหลวมตัวเข้าไปซื้อหุ้นตัวนี้นะ
ยิ่งคุณสมโภชน์เองก็มีประวัติที่โอโม่ยังเหนื่อย หุ้นตัวนี้ก็วิ่งเต้นที่จะขายสองรอบแล้ว
ยังไงพี่น้องVIก็ระวังไว้บ้างก็แล้วกันนะครับ
ตอนANANก็เคยเตือนมาแล้ว
มีน้องที่รู้จักกันเป็นนักวิเคราะห์ได้ไปพบคุณสมโภชน์และได้ความมาว่า
ที่ตั้งราคา5บาทเพราะแกเล่นใช้ง่ายๆโดยเอาearingsปีที่สูงที่สุดมาคูณmultiple
ผมฟังแล้วก็งงว่าเดี๋ยวนี้เค้าเลือกกันได้แบบนี้เลยหรือ
นึกว่าต้องใช้earningsปีหน้า หรือจริงๆน่าจะคำนวนแบบDCFไปเลยสำหรับธุรกิง่ายๆแบบนี้
แถมแกยังฝันหวานว่าจะได้ทำwind farmอีกตั้ง200MW
ไม่รู้ว่าแกรู้หรือเปล่าว่ามันไม่หมูเหมือนทำsolar farmนะ อย่างหลังนี่ยอมรับว่าใช้คนงานสร้างบ้านทำยังได้เลย 555
ยังไงก็ยังไม่เชื่อว่าจะมีนักลงทุนสถาบันหลวมตัวเข้าไปซื้อหุ้นตัวนี้นะ
ยิ่งคุณสมโภชน์เองก็มีประวัติที่โอโม่ยังเหนื่อย หุ้นตัวนี้ก็วิ่งเต้นที่จะขายสองรอบแล้ว
ยังไงพี่น้องVIก็ระวังไว้บ้างก็แล้วกันนะครับ
ตอนANANก็เคยเตือนมาแล้ว
-
- Verified User
- โพสต์: 2166
- ผู้ติดตาม: 0
Re: EA market cap ณ ipo 2 หมื่นกว่าล้าน?
โพสต์ที่ 15
From the information contained in the prospectus about the 90 MW Solar Farm Nakornsawan, I've created a spreadsheet to calculate the present value of the future free cash flow of this project (in zip file attached). The prospectus stated the NPV is 4,800 MB. Somehow I only get 3,271 MB. Just wondering where the mistakes are.
I've also plotted the FCFF over the life of the project. The obvious fact is that majority of the cash flow will be generated in the first 10 years. Given such a profile, one would use DCF to determine the value. To my amusement, some financial experts (including the underwriters) still value the firms using PE ratio.
I've also plotted the FCFF over the life of the project. The obvious fact is that majority of the cash flow will be generated in the first 10 years. Given such a profile, one would use DCF to determine the value. To my amusement, some financial experts (including the underwriters) still value the firms using PE ratio.
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
Minimize risk through an in-depth knowledge. Buy at bargain price. Wait patiently.
http://valueinvestors.wordpress.com/
http://valueinvestors.wordpress.com/
-
- Verified User
- โพสต์: 1837
- ผู้ติดตาม: 0
Re: EA market cap ณ ipo 2 หมื่นกว่าล้าน?
โพสต์ที่ 16
ไม่ต้องคิดมากครับ
เค้าใช้Forward P/E แทนDCFเพราะมันได้ตัวเลขที่สูงกว่าเยอะ
แล้วพอถึงเวลาขายก็ใช้marketingจบใหม่มาไล่โทรขายกับลูกค้ารายย่อยทั้งหลาย ที่หวังแค่จะกำไรจากIPO
มันก็แค่คนโลภขายของให้คนโลภกว่าซื้อ
ส่วนเราก็นั่งดูเพื่อความบันเทิง ก็แค่นั้นเอง
เค้าใช้Forward P/E แทนDCFเพราะมันได้ตัวเลขที่สูงกว่าเยอะ
แล้วพอถึงเวลาขายก็ใช้marketingจบใหม่มาไล่โทรขายกับลูกค้ารายย่อยทั้งหลาย ที่หวังแค่จะกำไรจากIPO
มันก็แค่คนโลภขายของให้คนโลภกว่าซื้อ
ส่วนเราก็นั่งดูเพื่อความบันเทิง ก็แค่นั้นเอง
-
- Verified User
- โพสต์: 1679
- ผู้ติดตาม: 0
Re: EA market cap ณ ipo 2 หมื่นกว่าล้าน?
โพสต์ที่ 18
แต่พี่จรัมพร ไม่ดู forward PE นะครับPower Investor เขียน:ไม่ต้องคิดมากครับ
เค้าใช้Forward P/E แทนDCFเพราะมันได้ตัวเลขที่สูงกว่าเยอะ
แล้วพอถึงเวลาขายก็ใช้marketingจบใหม่มาไล่โทรขายกับลูกค้ารายย่อยทั้งหลาย ที่หวังแค่จะกำไรจากIPO
มันก็แค่คนโลภขายของให้คนโลภกว่าซื้อ
ส่วนเราก็นั่งดูเพื่อความบันเทิง ก็แค่นั้นเอง
ผมหละงง ไล่จับหุ้น PE > 40
แต่ให้ตัวนี้ ipo เท่านี้ได้ไง
บ้าไปแล้ว
value trap
-
- Verified User
- โพสต์: 385
- ผู้ติดตาม: 0
Re: EA market cap ณ ipo 2 หมื่นกว่าล้าน?
โพสต์ที่ 19
แต่ละโพส แสบๆทั้งนั้น โดยเฉพาะ "โอโม่ยังเหนื่อย" 55Power Investor เขียน:ขอเพิ่มเติมอีกนิดนึง
มีน้องที่รู้จักกันเป็นนักวิเคราะห์ได้ไปพบคุณสมโภชน์และได้ความมาว่า
ที่ตั้งราคา5บาทเพราะแกเล่นใช้ง่ายๆโดยเอาearingsปีที่สูงที่สุดมาคูณmultiple
ผมฟังแล้วก็งงว่าเดี๋ยวนี้เค้าเลือกกันได้แบบนี้เลยหรือ
นึกว่าต้องใช้earningsปีหน้า หรือจริงๆน่าจะคำนวนแบบDCFไปเลยสำหรับธุรกิง่ายๆแบบนี้
แถมแกยังฝันหวานว่าจะได้ทำwind farmอีกตั้ง200MW
ไม่รู้ว่าแกรู้หรือเปล่าว่ามันไม่หมูเหมือนทำsolar farmนะ อย่างหลังนี่ยอมรับว่าใช้คนงานสร้างบ้านทำยังได้เลย 555
ยังไงก็ยังไม่เชื่อว่าจะมีนักลงทุนสถาบันหลวมตัวเข้าไปซื้อหุ้นตัวนี้นะ
ยิ่งคุณสมโภชน์เองก็มีประวัติที่โอโม่ยังเหนื่อย หุ้นตัวนี้ก็วิ่งเต้นที่จะขายสองรอบแล้ว
ยังไงพี่น้องVIก็ระวังไว้บ้างก็แล้วกันนะครับ
ตอนANANก็เคยเตือนมาแล้ว
-
- Verified User
- โพสต์: 1837
- ผู้ติดตาม: 0
Re: EA market cap ณ ipo 2 หมื่นกว่าล้าน?
โพสต์ที่ 21
ผมว่าอาจจะไม่ถึงขนาดนั้นนะครับนี่คือการคอรัปชั่นของผู้มีอำนาจในตลาดหลักทรัพย์
อย่าบอกนะว่าไม่โกง
แต่เป็นไปได้ว่าKPIของพวกท่านๆอาจจะตั้งเป็นquantitativeเกินไปเช่น
- SET Index เพิ่มขึ้นเท่าไหร่
- Market cap เพิ่มขึ้นเท่าไหร่
- Daily turnover เพิ่มขึ้นแต่ไหน
- มี IPO เข้ามากี่ตัว
อย่างนี้เป็นต้น
โดยไม่ได้วัดค่าKPIแบบqualitativeเช่น
- คุณภาพของหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น โดยจับจากค่าP/Eเป็นต้น
เพราะเห็นพวกท่านขยันทำroadshowกันจริงๆ
ต้องให้โดนฟ้องแบบกรณีของFacebookบ้างก็ดีนะ
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: EA market cap ณ ipo 2 หมื่นกว่าล้าน?
โพสต์ที่ 23
555 พี่เจ๋งเชยจังJeng เขียน:หุ้นชื่ออะไรครับ พิมพ์ EA ไม่เห็นเจอ
หุ้นเค้าเพิ่งจอง IPO ไปครับ เข้าเทรดวันแรก 30/1/13
อย่าลืมตีตั๋วเข้าชมนะครับ จะนั่งวงนอก หรือจะเข้าแจมแบบดู 3 มิติ ก็ได้ครับ ได้ข่าวว่าระทึกขวัญ
-
- Verified User
- โพสต์: 1679
- ผู้ติดตาม: 0
Re: EA market cap ณ ipo 2 หมื่นกว่าล้าน?
โพสต์ที่ 25
thanachart ประเดิมแล้วครับ
ให้เป้า 10 บาท
แถมบอกอีกว่าถ้าได้ลม ราคาเหมาะสมถึง 16 บาท
อลังการ......
ให้เป้า 10 บาท
แถมบอกอีกว่าถ้าได้ลม ราคาเหมาะสมถึง 16 บาท
อลังการ......
value trap
-
- Verified User
- โพสต์: 1837
- ผู้ติดตาม: 0
Re: EA market cap ณ ipo 2 หมื่นกว่าล้าน?
โพสต์ที่ 26
นี่ไง เค้าถึงมีสุภาษิตว่า
One man's trash is another man's treasure 555
**************************************
บล.ธนชาต : EA แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 10 บาท
เราเริ่มบทวิเคราะห์ EA แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 10.00 บาท/หุ้น EA จะ
ก้าวมาเป็นผู้นำอุตสาหกรรมโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนของประเทศ กำไรเติบโตสูง
ต่อเนื่องจากการขยายกำลังการผลิตเชิงรุกรวม 379MW ภายในปี 2016 และ
โอกาสการลงทุนอีก 200MW ในปี 2016-17 เนื่องจากไม่มีความเสี่ยงเพิ่มทุน
EIRR สูงกว่า 40% และ 3 ปี กำไรเติบโต CAGR 196% PE ในช่วงระยะสั้นจึงอาจ
ไม่สามารถใช้เป็นเกณฑ์ได้
ก้าวสู่ความเป็นผู้นำโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนของประเทศ
กำไร EA จะเติบโตอย่างก้าวกระโดดตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นไปเนื่องจากมีการลงทุน
ในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน จากเดิมที่ดำเนินธุรกิจไบโอดีเซลที่ให้ผลตอบแทนต่ำ
EA จะก้าวมาเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนของประเทศ กำลังการ
ผลิตโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์รวม 278MW และบริษัทได้รับสัญญา PPA แล้ว
รวมถึงได้รับการอนุมัติโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม กำลังการผลิตรวมสุทธิ 101MW
จาก การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งจะลงนามในสัญญา PPA ในอนาคต
กำลังการผลิตส่วนใหญ่จะเริ่มดำเนินงานเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ปี 2014-16 (มีเพียงโรงไฟฟ้า
พลังงานแสงอาทิตย์ 8MW เริ่ม COD แล้วในไตรมาส 4Q12) เราประเมินมูลค่าหุ้น EA
10.00 บาท/หุ้น (DCF, WACC 6.2%) อิงกำลังการผลิตรวม 404MW และโอกาสในการ
ลงทุนอีก 200MW ราคาหุ้น EA อาจดูแพงที่ PE 138 เท่า ในปี 2013Fและ 20 เท่า ในปี
2013-14F แต่เราเห็นว่าค่า PE ในระยะสั้นไม่ได้ให้ภาพที่เหมาะสมในการประเมินมูลค่า
เนื่องจากกำไร 5 ปี CAGR เติบโต 196% ซึ่งจะทำให้ PEG ลดลงเป็น 0.7 เท่า เรา
แนะนำ EA “ซื้อ”
ไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุน
อิงสัดส่วนทางการเงิน 75% debt และ 25% equity EA สามารถลงทุนโครงการ
ที่เหลืออีก 270MW (20 พันลบ.) ในช่วงปี 2013-16 จากเงินที่ได้จากการระดมทุน IPO (3.1
พันลบ.)
และกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของโครงการที่ดำเนินการเชิงพาณิชย์ อัตราส่วน
net gearing ของ EA จะเพิ่มขึ้นและทำจุดสูงสุดที่ 2.3 เท่าในปี 2015 แต่อย่างไรก็ตาม อัตรา
ดังกล่าวยังคงต่ำกว่า threshold อุตสาหกรรมและบริษัทเองที่ 3.0 เท่า เนื่องจากมีช่องว่าง
เพิ่มสัดส่วนดังกล่าว EA สามารถกู้ยืมเพื่อรองรับการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงาน
ลมกำลังผลิตสุทธิ 101MW (7 พันลบ.) โดยที่อัตราส่วน gearing ไม่เกินค่า threshold ใน
ขณะเดียวกัน การลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมโดยผ่านการถือหุ้นบุริมสิทธิ์
แปลงสภาพ ซึ่งมีสิทธิในการโหวต และน่าจะถือเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นและจะไม่ส่งผล
กระทบต่อฐานะทางการเงิน
Equity IRR สูงกว่า 40%
ผลตอบแทน equity return ของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน EA อยู่ในอัตรา
ที่ค่อนข้างสูงเนื่องจากได้รับค่า adder หรือ subsidies 6.50 บาทและ 3.50 บาท สำหรับ
โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และลม ตามลำดับ EA จะได้รับประโยชน์ต่อเนื่องจากเงิน
ลงทุนในโครงการที่ต่ำกว่า EA ได้มีการลงนามในสัญญากับผู้รับเหมาก่อสร้างในการสร้าง
โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 90MW (ส่วนหนึ่งของ 270MW) หรือต่ำกว่ารายอื่น 18-
30% หลังราคาแผงพลังงานแสงอาทิตย์และราคาค่าก่อสร้างถูกลง เราคาด EIRR ของ
โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมสูงกว่า 18% และ equity IRR สูงกว่า 40%
มี upside จากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น
นอกเหนือจากกำลังการผลิตรวมของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และลมที่กล่าวมา
ข้างต้น EA มีโอกาสลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตรวม 635MW ซึ่งจะเริ่มดำเนินการเชิง
พาณิชย์ได้ตั้งแต่ปี 2015-20 ซึ่งอยู่ระหว่างการขออนุญาตสัญญา PPA สมมติฐานของเรา
ให้บริษัทได้รับสัญญา PPA สำหรับกำลังการผลิต 200MW ซึ่งจะเพิ่มูลค่า 2.9 บาท/หุ้น
ซึ่งได้รวมในราคาเป้าหมาย SoTP ของเราแล้ว หาก EA ได้รับการอนุมัติกำลังการผลิต
ทั้งหมด (ในกรณีที่ดีที่สุด) ดังนั้น ราคาเป้าหมายจะก้าวกระโดดเป็น 16 บาท/หุ้น
เนื่องจากทุกๆ 100MW จะเพิ่มราคาเป้าหมาย 1.4 บาท/หุ้น
One man's trash is another man's treasure 555
**************************************
บล.ธนชาต : EA แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 10 บาท
เราเริ่มบทวิเคราะห์ EA แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 10.00 บาท/หุ้น EA จะ
ก้าวมาเป็นผู้นำอุตสาหกรรมโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนของประเทศ กำไรเติบโตสูง
ต่อเนื่องจากการขยายกำลังการผลิตเชิงรุกรวม 379MW ภายในปี 2016 และ
โอกาสการลงทุนอีก 200MW ในปี 2016-17 เนื่องจากไม่มีความเสี่ยงเพิ่มทุน
EIRR สูงกว่า 40% และ 3 ปี กำไรเติบโต CAGR 196% PE ในช่วงระยะสั้นจึงอาจ
ไม่สามารถใช้เป็นเกณฑ์ได้
ก้าวสู่ความเป็นผู้นำโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนของประเทศ
กำไร EA จะเติบโตอย่างก้าวกระโดดตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นไปเนื่องจากมีการลงทุน
ในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน จากเดิมที่ดำเนินธุรกิจไบโอดีเซลที่ให้ผลตอบแทนต่ำ
EA จะก้าวมาเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนของประเทศ กำลังการ
ผลิตโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์รวม 278MW และบริษัทได้รับสัญญา PPA แล้ว
รวมถึงได้รับการอนุมัติโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม กำลังการผลิตรวมสุทธิ 101MW
จาก การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งจะลงนามในสัญญา PPA ในอนาคต
กำลังการผลิตส่วนใหญ่จะเริ่มดำเนินงานเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ปี 2014-16 (มีเพียงโรงไฟฟ้า
พลังงานแสงอาทิตย์ 8MW เริ่ม COD แล้วในไตรมาส 4Q12) เราประเมินมูลค่าหุ้น EA
10.00 บาท/หุ้น (DCF, WACC 6.2%) อิงกำลังการผลิตรวม 404MW และโอกาสในการ
ลงทุนอีก 200MW ราคาหุ้น EA อาจดูแพงที่ PE 138 เท่า ในปี 2013Fและ 20 เท่า ในปี
2013-14F แต่เราเห็นว่าค่า PE ในระยะสั้นไม่ได้ให้ภาพที่เหมาะสมในการประเมินมูลค่า
เนื่องจากกำไร 5 ปี CAGR เติบโต 196% ซึ่งจะทำให้ PEG ลดลงเป็น 0.7 เท่า เรา
แนะนำ EA “ซื้อ”
ไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุน
อิงสัดส่วนทางการเงิน 75% debt และ 25% equity EA สามารถลงทุนโครงการ
ที่เหลืออีก 270MW (20 พันลบ.) ในช่วงปี 2013-16 จากเงินที่ได้จากการระดมทุน IPO (3.1
พันลบ.)
และกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของโครงการที่ดำเนินการเชิงพาณิชย์ อัตราส่วน
net gearing ของ EA จะเพิ่มขึ้นและทำจุดสูงสุดที่ 2.3 เท่าในปี 2015 แต่อย่างไรก็ตาม อัตรา
ดังกล่าวยังคงต่ำกว่า threshold อุตสาหกรรมและบริษัทเองที่ 3.0 เท่า เนื่องจากมีช่องว่าง
เพิ่มสัดส่วนดังกล่าว EA สามารถกู้ยืมเพื่อรองรับการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงาน
ลมกำลังผลิตสุทธิ 101MW (7 พันลบ.) โดยที่อัตราส่วน gearing ไม่เกินค่า threshold ใน
ขณะเดียวกัน การลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมโดยผ่านการถือหุ้นบุริมสิทธิ์
แปลงสภาพ ซึ่งมีสิทธิในการโหวต และน่าจะถือเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นและจะไม่ส่งผล
กระทบต่อฐานะทางการเงิน
Equity IRR สูงกว่า 40%
ผลตอบแทน equity return ของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน EA อยู่ในอัตรา
ที่ค่อนข้างสูงเนื่องจากได้รับค่า adder หรือ subsidies 6.50 บาทและ 3.50 บาท สำหรับ
โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และลม ตามลำดับ EA จะได้รับประโยชน์ต่อเนื่องจากเงิน
ลงทุนในโครงการที่ต่ำกว่า EA ได้มีการลงนามในสัญญากับผู้รับเหมาก่อสร้างในการสร้าง
โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 90MW (ส่วนหนึ่งของ 270MW) หรือต่ำกว่ารายอื่น 18-
30% หลังราคาแผงพลังงานแสงอาทิตย์และราคาค่าก่อสร้างถูกลง เราคาด EIRR ของ
โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมสูงกว่า 18% และ equity IRR สูงกว่า 40%
มี upside จากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น
นอกเหนือจากกำลังการผลิตรวมของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และลมที่กล่าวมา
ข้างต้น EA มีโอกาสลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตรวม 635MW ซึ่งจะเริ่มดำเนินการเชิง
พาณิชย์ได้ตั้งแต่ปี 2015-20 ซึ่งอยู่ระหว่างการขออนุญาตสัญญา PPA สมมติฐานของเรา
ให้บริษัทได้รับสัญญา PPA สำหรับกำลังการผลิต 200MW ซึ่งจะเพิ่มูลค่า 2.9 บาท/หุ้น
ซึ่งได้รวมในราคาเป้าหมาย SoTP ของเราแล้ว หาก EA ได้รับการอนุมัติกำลังการผลิต
ทั้งหมด (ในกรณีที่ดีที่สุด) ดังนั้น ราคาเป้าหมายจะก้าวกระโดดเป็น 16 บาท/หุ้น
เนื่องจากทุกๆ 100MW จะเพิ่มราคาเป้าหมาย 1.4 บาท/หุ้น
-
- Verified User
- โพสต์: 1254
- ผู้ติดตาม: 0
Re: EA market cap ณ ipo 2 หมื่นกว่าล้าน?
โพสต์ที่ 27
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าเส้นทางเศรษฐีมีหลากหลายเส้นทาง
ถ้าเป็นธุรกิจ.comยังพอจินตนาการได้ว่าถ้าสินค้าของบริษัทเป็นที่นิยมจริงๆน่าจะขายไปได้ทั่วโลก แต่ธุรกิจพลังงานทางเลือกขายได้ราคาแพงแบบนี้ต้องนับถือในความสามารถของผู้บริหารจริงๆครับว่าขายได้ราคาดีมากๆ ส่วนตัวคิดว่าราคาipoก็น่าจะเป็นระยะทางประมาณบริเวณยอดเขาที่นักปีนเขาคนหนึ่งต้องการพิชิตแล้วก็เป็นไปได้ครับ
ถ้าเป็นธุรกิจ.comยังพอจินตนาการได้ว่าถ้าสินค้าของบริษัทเป็นที่นิยมจริงๆน่าจะขายไปได้ทั่วโลก แต่ธุรกิจพลังงานทางเลือกขายได้ราคาแพงแบบนี้ต้องนับถือในความสามารถของผู้บริหารจริงๆครับว่าขายได้ราคาดีมากๆ ส่วนตัวคิดว่าราคาipoก็น่าจะเป็นระยะทางประมาณบริเวณยอดเขาที่นักปีนเขาคนหนึ่งต้องการพิชิตแล้วก็เป็นไปได้ครับ
สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนโลกใบนี้คือความว่างเปล่า สูงจากว่างเปล่าคือก่อเกิดเปลี่ยนแปลง
http://www.fungdham.com/sound/popup-sou ... up-75.html
http://goo.gl/VjQ4cG
http://www.fungdham.com/sound/popup-sou ... up-75.html
http://goo.gl/VjQ4cG
- dome@perth
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4740
- ผู้ติดตาม: 0
Re: EA market cap ณ ipo 2 หมื่นกว่าล้าน?
โพสต์ที่ 28
ขอนั่งเป็นคนชมเหมือนกันครับ
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"