รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 661
BCP ตั้ง 'วิเชียร อุษณาโชติ' เป็นเอ็มดีใหม่ [ ข่าวหุ้น, 31 ต.ค. 55 ]
นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ
BCP เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติแต่งตั้งให้นายวิเชียร อุษณาโชติ รองกรรมการผู้จัดการ
ใหญ่สายงานด้านธุรกิจโรงกลั่นดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่แทนนายอนุสรณ์ ที่จะครบวาระการ
ดำรงตำแหน่งตามสัญญาจ้างในวันที่ 31 ธ.ค. 2555 โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2556 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีมติแต่งตั้งนายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช และนายสุเทพ วงศ์วรเศรษฐ เป็นกรรมการ
บริษัทแทนนายชุมพล ฐิตยารักษ์ และนายวิรัตน์ เอี่ยมเอื้อยุทธ กรรมการที่ลาออกให้มีผลตั้งแต่วันที่ 30 ต.ค.
2555 เป็นต้นไป
นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ
BCP เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติแต่งตั้งให้นายวิเชียร อุษณาโชติ รองกรรมการผู้จัดการ
ใหญ่สายงานด้านธุรกิจโรงกลั่นดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่แทนนายอนุสรณ์ ที่จะครบวาระการ
ดำรงตำแหน่งตามสัญญาจ้างในวันที่ 31 ธ.ค. 2555 โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2556 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีมติแต่งตั้งนายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช และนายสุเทพ วงศ์วรเศรษฐ เป็นกรรมการ
บริษัทแทนนายชุมพล ฐิตยารักษ์ และนายวิรัตน์ เอี่ยมเอื้อยุทธ กรรมการที่ลาออกให้มีผลตั้งแต่วันที่ 30 ต.ค.
2555 เป็นต้นไป
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 662
ดันนิคมฯเอเชีย ต้นแบบเชิงนิเวศ โหมโรง2โปรเจกต์
Source - ASTV ผู้จัดการรายวัน (Th), Thursday, November 01, 2012
ASTVผู้จัดการรายวัน - ปตท.จับมือกนอ.ดันนิคมฯเอเชียเป็นโครงการต้นแบบอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ เตรียมผุด 2 โครงการผลิตพลาสติกชีวภาพทั้งPLA-PBS ในนิคมฯดังกล่าวเพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อชุมชนรอบข้างและสังคม ด้านบอร์ดบางจากเผยตั้ง "วิเชียร อุษณาโชติ"พิจารณาเห็นว่ามีความเหมาะสม อ้างไม่มีข้อห้ามของบริษัทฯหากอยู่ครบวาระ 4 ปีมีอายุเกิน 60 ปีไม่ได้
วานนี้ (31 ต.ค.) บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน)ลงนามโครงการพัฒนาต้นแบบอุตสาหกรรมเชิงนิเวศในนิคมฯเอเชียกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(กนอ.) เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูลและยั่งยืนของอุตสาหกรรม ชุมชน สังคมและสิ่งแวดล้อม
นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปตท.มีเจตนารมณ์แน่วแน่ที่จะเดินหน้าพัฒนาอุตสาหกรรมเชิงนิเวศให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม โดยการลงนามครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาต้นแบบอุตสาหกรรมเชิงนิเวศในนิคมฯเอเชีย เพื่อรองรับการผลิตที่เพิ่มขึ้นตามนโยบาย Green Roadmap ซึ่งจะไม่เป็นเพียงแค่พื้นที่อุตสาหกรรมแต่จะพัฒนาเป็นสวนอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ(PTT ECO-TP) ครบถ้วนตามข้อกำหนดตามมาตรฐานเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ 5 มิติ 22 ด้าน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับชุมชนและสังคม
นายสุกฤตย์ สุรบถโสภณ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า พื้นที่นิคมฯเอเชียมีทั้งสิ้น 1.4 พันไร่ จ.ระยองได้จัดแบ่งเป็นโซนพื้นที่อุตสาหกรรมไบโอพลาสติกและอุตสาหกรรมสีเขียว มีเนื้อที่ 400 กว่าไร่ และพื้นที่อุตสาหกรรมปิโตรเคมี และอุตสาหกรรมอื่นๆ
ขณะเดียวกันก็กันพื้นที่สร้างพื้นที่สีเขียวเพื่อเป็นแนวกันชนด้วยการปลูกป่านิเวศประมาณ 200 ไร่ด้วย ซึ่งขณะนี้บริษัทฯมีแผนจะลงทุนตั้งโรงงานผลิตพลาสติกชีวภาพชนิด
PBS ขนาดกำลังผลิต 2 หมื่นตัน/ปี ใช้เงินลงทุน100 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในปลายปี 2555 แล้วเสร็จผลิตเชิงพาณิชย์ในปี2558 โดยโครงการนี้เป็นการร่วมทุนระหว่างปตท.กับมิตซูบิชิ เคมิคอลคอร์ปอเรชั่นประเทศญี่ปุ่น คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2558
นอกจากนี้ มีโครงการผลิตพลาสติกชีวภาพชนิด PLA ขนาด 1.4 แสนตัน/ปี ซึ่งโครงการนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับ Nature Works ประเทศสหรัฐฯเข้ามาตั้งโรงงานผลิตPLA แห่งที่ 2 ในไทย เงินลงทุน 300 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆนี้ ซึ่งปัจจุบันความต้องการใช้ PLA ในตลาดโลกเติบโตขึ้นปีละ 20-30% ทำให้กำลังการผลิตโรงแรกที่สหรัฐฯคาดว่าจะเต็มกำลังการผลิตได้ภายใน 2-3 ปีข้างหน้าซึ่งการเร่งสรุปการตั้งโรงงานแห่งที่ 2 นี้จะทำให้มีกำลังการผลิตใหม่รองรับความต้องการใช้ในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้นได้ทันท่วงทีรวมทั้ง ปตท.อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะตั้งโรงงานผลิตวัตถุดิบ คือ Lactic Acid ใช้ในการผลิต PLA หรือจะซื้อจากผู้ประกอบการอื่นที่มีโรงงานตั้งอยู่ในไทยอยู่แล้ว
นอกจากนี้ ในนิคมฯจะตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาไบไอเคมิคอล เซ็นเตอร์ (R&D LAB)ซึ่งจะเปิดให้บริการเช่าในการทำแล็บวิจัยและพัฒนาด้านไบโอพลาสติกกับลูกค้าโดยมีระบบสาธารณูปโภคครบครัน ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการลงทุนให้กับลูกค้าด้วย
นายวีรพงศ์ ไชยเพิ่ม ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่าขณะนี้โลกให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งแนวทางการพัฒนาพื้นที่อุตสาหกรรมให้เป็นอุตสาหกรรมเชิงนิเวศเป็นวิสัยทัศน์ของ กนอ.ที่ตั้งเป้าหมายที่จะยกระดับนิคมฯเข้าสู่การเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศมาตั้งแต่ปี 2553 โดยกำหนดว่าในอีก 5 ปีแรก(2553-2556) จะต้องมีนิคมฯเชิงนิเวศ 15 แห่งและในปี2562 นิคมฯทั้งหมดในไทยจะต้องเป็นนิคมฯเชิงนิเวศซึ่งปัจจุบันมีนิคมฯที่อยู่ระหว่างพัฒนาเพื่อเป็นนิคมฯเชิงนิเวศแล้ว 11 นิคม
ตั้ง "วิเชียร" เหมาะสม-ไม่เกี่ยงอายุ
แหล่งข่าวจากคณะกรรมการบริษัทบางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าตามที่คณะกรรมการบริษัทฯมีมติแต่งตั้งที่ประชุมนายวิเชียร อุษณาโชติ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานด้านธุรกิจโรงกลั่น ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ แทนนายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล ที่จะครบวาระดำรง
ตำแหน่งตามสัญญาจ้างในวันที่ 31 ธันวาคมนี้
ทางคณะกรรมการสรรหาฯได้พิจารณาแล้วเห็นว่านายวิเชียร ซึ่งเป็นผู้บริหารบางจากฯที่มีความเหมาะสมที่สุด แม้ว่าอายุนายวิเชียรจะเกิน 60 ปีหากอยู่ครบวาระ 4 ปีก็ตามเนื่องจากกฎระเบียบของบางจากไม่ได้มีข้อห้ามเอาไว้ ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของบอร์ดฯจะ
พิจารณาทำสัญญาว่าจ้างให้นายวิเชียรดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ครบวาระ 4 ปีหรือจะอยู่ในตำแหน่งนี้จนถึง 60 ปีเท่านั้น
โดยก่อนหน้านี้ บางจากฯได้เปิดรับสมัครบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่งกรรมการผู้
จัดการใหญ่ โดยกำหนดคุณสมบัติต้องมีอายุ45-55 ปี ซึ่งมีผู้สมัคร 3 รายเป็นคนในบางจากเอง 2 รายและคนภายนอก 1 รายแต่เมื่อพิจารณาแล้วไม่เหมาะสม จึงพิจารณาจากคนในบริษัทระดับรองผู้จัดการใหญ่ลงมา จึงไม่ได้กำหนดคุณสมบัติด้านอายุไว้ สุดท้ายเมื่อ
พิจารณาแล้วเห็นว่านายวิเชียรมีความรู้ความสามารถ สานต่องานที่ทำไว้ และพัฒนาบางจากให้เติบโตยิ่งขึ้น
นายวิเชียร อุษณาโชติ จบการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะวิศวกรรมศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปริญญาโทคณะวิศวกรรมศาสตร์ Ohio State University,USA เข้าทำงานที่บริษัท บางจากฯ ตั้งแต่ปี 2528 เคยดำรงตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายผลิตการตลาด สายธุรกิจการตลาด สายวางแผนและจัดหา จนถึงปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานด้านธุรกิจโรงกลั่น ปัจจุบันมีอายุ 57 ปี
--จบ--
Source - ASTV ผู้จัดการรายวัน (Th), Thursday, November 01, 2012
ASTVผู้จัดการรายวัน - ปตท.จับมือกนอ.ดันนิคมฯเอเชียเป็นโครงการต้นแบบอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ เตรียมผุด 2 โครงการผลิตพลาสติกชีวภาพทั้งPLA-PBS ในนิคมฯดังกล่าวเพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อชุมชนรอบข้างและสังคม ด้านบอร์ดบางจากเผยตั้ง "วิเชียร อุษณาโชติ"พิจารณาเห็นว่ามีความเหมาะสม อ้างไม่มีข้อห้ามของบริษัทฯหากอยู่ครบวาระ 4 ปีมีอายุเกิน 60 ปีไม่ได้
วานนี้ (31 ต.ค.) บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน)ลงนามโครงการพัฒนาต้นแบบอุตสาหกรรมเชิงนิเวศในนิคมฯเอเชียกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(กนอ.) เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูลและยั่งยืนของอุตสาหกรรม ชุมชน สังคมและสิ่งแวดล้อม
นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปตท.มีเจตนารมณ์แน่วแน่ที่จะเดินหน้าพัฒนาอุตสาหกรรมเชิงนิเวศให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม โดยการลงนามครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาต้นแบบอุตสาหกรรมเชิงนิเวศในนิคมฯเอเชีย เพื่อรองรับการผลิตที่เพิ่มขึ้นตามนโยบาย Green Roadmap ซึ่งจะไม่เป็นเพียงแค่พื้นที่อุตสาหกรรมแต่จะพัฒนาเป็นสวนอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ(PTT ECO-TP) ครบถ้วนตามข้อกำหนดตามมาตรฐานเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ 5 มิติ 22 ด้าน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับชุมชนและสังคม
นายสุกฤตย์ สุรบถโสภณ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า พื้นที่นิคมฯเอเชียมีทั้งสิ้น 1.4 พันไร่ จ.ระยองได้จัดแบ่งเป็นโซนพื้นที่อุตสาหกรรมไบโอพลาสติกและอุตสาหกรรมสีเขียว มีเนื้อที่ 400 กว่าไร่ และพื้นที่อุตสาหกรรมปิโตรเคมี และอุตสาหกรรมอื่นๆ
ขณะเดียวกันก็กันพื้นที่สร้างพื้นที่สีเขียวเพื่อเป็นแนวกันชนด้วยการปลูกป่านิเวศประมาณ 200 ไร่ด้วย ซึ่งขณะนี้บริษัทฯมีแผนจะลงทุนตั้งโรงงานผลิตพลาสติกชีวภาพชนิด
PBS ขนาดกำลังผลิต 2 หมื่นตัน/ปี ใช้เงินลงทุน100 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในปลายปี 2555 แล้วเสร็จผลิตเชิงพาณิชย์ในปี2558 โดยโครงการนี้เป็นการร่วมทุนระหว่างปตท.กับมิตซูบิชิ เคมิคอลคอร์ปอเรชั่นประเทศญี่ปุ่น คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2558
นอกจากนี้ มีโครงการผลิตพลาสติกชีวภาพชนิด PLA ขนาด 1.4 แสนตัน/ปี ซึ่งโครงการนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับ Nature Works ประเทศสหรัฐฯเข้ามาตั้งโรงงานผลิตPLA แห่งที่ 2 ในไทย เงินลงทุน 300 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆนี้ ซึ่งปัจจุบันความต้องการใช้ PLA ในตลาดโลกเติบโตขึ้นปีละ 20-30% ทำให้กำลังการผลิตโรงแรกที่สหรัฐฯคาดว่าจะเต็มกำลังการผลิตได้ภายใน 2-3 ปีข้างหน้าซึ่งการเร่งสรุปการตั้งโรงงานแห่งที่ 2 นี้จะทำให้มีกำลังการผลิตใหม่รองรับความต้องการใช้ในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้นได้ทันท่วงทีรวมทั้ง ปตท.อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะตั้งโรงงานผลิตวัตถุดิบ คือ Lactic Acid ใช้ในการผลิต PLA หรือจะซื้อจากผู้ประกอบการอื่นที่มีโรงงานตั้งอยู่ในไทยอยู่แล้ว
นอกจากนี้ ในนิคมฯจะตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาไบไอเคมิคอล เซ็นเตอร์ (R&D LAB)ซึ่งจะเปิดให้บริการเช่าในการทำแล็บวิจัยและพัฒนาด้านไบโอพลาสติกกับลูกค้าโดยมีระบบสาธารณูปโภคครบครัน ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการลงทุนให้กับลูกค้าด้วย
นายวีรพงศ์ ไชยเพิ่ม ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่าขณะนี้โลกให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งแนวทางการพัฒนาพื้นที่อุตสาหกรรมให้เป็นอุตสาหกรรมเชิงนิเวศเป็นวิสัยทัศน์ของ กนอ.ที่ตั้งเป้าหมายที่จะยกระดับนิคมฯเข้าสู่การเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศมาตั้งแต่ปี 2553 โดยกำหนดว่าในอีก 5 ปีแรก(2553-2556) จะต้องมีนิคมฯเชิงนิเวศ 15 แห่งและในปี2562 นิคมฯทั้งหมดในไทยจะต้องเป็นนิคมฯเชิงนิเวศซึ่งปัจจุบันมีนิคมฯที่อยู่ระหว่างพัฒนาเพื่อเป็นนิคมฯเชิงนิเวศแล้ว 11 นิคม
ตั้ง "วิเชียร" เหมาะสม-ไม่เกี่ยงอายุ
แหล่งข่าวจากคณะกรรมการบริษัทบางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าตามที่คณะกรรมการบริษัทฯมีมติแต่งตั้งที่ประชุมนายวิเชียร อุษณาโชติ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานด้านธุรกิจโรงกลั่น ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ แทนนายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล ที่จะครบวาระดำรง
ตำแหน่งตามสัญญาจ้างในวันที่ 31 ธันวาคมนี้
ทางคณะกรรมการสรรหาฯได้พิจารณาแล้วเห็นว่านายวิเชียร ซึ่งเป็นผู้บริหารบางจากฯที่มีความเหมาะสมที่สุด แม้ว่าอายุนายวิเชียรจะเกิน 60 ปีหากอยู่ครบวาระ 4 ปีก็ตามเนื่องจากกฎระเบียบของบางจากไม่ได้มีข้อห้ามเอาไว้ ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของบอร์ดฯจะ
พิจารณาทำสัญญาว่าจ้างให้นายวิเชียรดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ครบวาระ 4 ปีหรือจะอยู่ในตำแหน่งนี้จนถึง 60 ปีเท่านั้น
โดยก่อนหน้านี้ บางจากฯได้เปิดรับสมัครบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่งกรรมการผู้
จัดการใหญ่ โดยกำหนดคุณสมบัติต้องมีอายุ45-55 ปี ซึ่งมีผู้สมัคร 3 รายเป็นคนในบางจากเอง 2 รายและคนภายนอก 1 รายแต่เมื่อพิจารณาแล้วไม่เหมาะสม จึงพิจารณาจากคนในบริษัทระดับรองผู้จัดการใหญ่ลงมา จึงไม่ได้กำหนดคุณสมบัติด้านอายุไว้ สุดท้ายเมื่อ
พิจารณาแล้วเห็นว่านายวิเชียรมีความรู้ความสามารถ สานต่องานที่ทำไว้ และพัฒนาบางจากให้เติบโตยิ่งขึ้น
นายวิเชียร อุษณาโชติ จบการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะวิศวกรรมศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปริญญาโทคณะวิศวกรรมศาสตร์ Ohio State University,USA เข้าทำงานที่บริษัท บางจากฯ ตั้งแต่ปี 2528 เคยดำรงตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายผลิตการตลาด สายธุรกิจการตลาด สายวางแผนและจัดหา จนถึงปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานด้านธุรกิจโรงกลั่น ปัจจุบันมีอายุ 57 ปี
--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 663
ไออาร์พีซีคาดปิโตรฯฟื้นเร่งลงทุนอินโด-ฟิลิปปินส์กลุ่มปตท.ลงทุนปี2556-2563 ปีละ2-2.5พันล.ดอลล์
Source - กรุงเทพธุรกิจ (Th), Friday, November 02, 2012
มั่นใจผลดำเนินงานปีนี้ เข้าเป้า รายได้โตกว่า15%
"ไออาร์พีซี" คาดปีหน้าอุตสาหกรรมปิโตรเคมีฟื้น เล็งเบนเข็มลงทุน "อินโดนีเซียฟิลิปปินส์" เพราะมีวัตถุดิบอุดมสมบูรณ์ ตลาดขนาดใหญ่ ด้านนิคมอุตสาหกรรมบ้านค่ายคืบ เล็งอัดงบ 1.2 พันล้าน ลงทุนระบบสาธารณูปโภค ขณะที่ ปตท.เตรียมแผนเม็ดเงินลงทุนปี 2556-2563 เฉลี่ย ปีละ 2-2.5 พันล้านดอลลาร์ ล่าสุดกู้เงิน 3 แบงก์ต่างชาติหมื่นล้านบาท
นายอธิคม เติบศิริ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี เปิดเผยถึงสถานการณ์ปิโตรเคมีปี 2556 ว่า ความต้องการตลาดปิโตรเคมีจะเติบโตดีกว่าปีนี้ เนื่องจากสถาน การณ์เศรษฐกิจในแต่ละประเทศเริ่มผ่อนคลายความตึงเครียด และมีแนวโน้มดีขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจปิโตรเคมีซึ่งผูกโยงกับเศรษฐกิจเติบโตตามไปด้วย โดยส่วนสหภาพยุโรป (อียู) เริ่มฟื้นตัวหลังจากที่กรีซและสเปนเริ่มกลับเข้าสู่ระเบียบวินัยทางการเงิน ส่วนสหรัฐอเมริกาหลังจากที่มีสถานการณ์พายุแซนดีผ่านพ้นไป และการเข้ามาทำงานของประธานาธิบดีคนใหม่ ที่จะมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจะส่งผลให้แนวโน้มเศรษฐกิจจะดีขึ้น
ภาพรวมปี 2556 เชื่อว่าบริษัทยังมีแนวโน้มดีต่อเนื่อง และดีกว่าปีนี้ที่บริษัททำกำไรได้ค่อนข้างแคบ เพราะว่าปัจจัยหนุนจากการขยายกำลังการผลิตโครงการขนาดใหญ่ 2 โครงการ ได้แก่ โครงการโพลีโพรพิลีนเพิ่มอีก 1 แสนตันต่อปี จากเดิม 3.75 แสนตัน รวมเป็น 4.75 แสนตันต่อปี เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้วตั้งแต่เดือนต.ค. ที่ผ่านมา และการขยายกำลังการผลิต TDAE หรือสารละลายธรรมชาติที่ไม่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง เพิ่มเป็น 5 หมื่นตันต่อปี จากเดิม 4 หมื่นตันต่อปี
ขณะที่ จีน ซึ่งเป็นประเทศที่ใช้ปิโตรเคมีถึง 1 ใน 3 ของโลก หรือ 112 ล้านตัน จากการใช้ทั่วโลก 330 ล้านตัน จึงถือเป็นแรงผลักดันสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นอุตสาหกรรมปิโตรเคมี โดยที่ผ่านมาจีนออกมาตรการกระตุ้นการบริโภคในประเทศ คาดว่านโยบายนี้จะทำให้จีนมีผลิตมวลรวมในประเทศ หรือ จีดีพี เติบโตเพิ่มเป็น 8.2 จากเดิม 7.8 ส่วนกำลังซื้อในไทย มีแนวโน้มที่ดีต่อเนื่องเช่นกัน โดยมีอุตสาหกรรมไฟฟ้า อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมยานยนต์และพลาสติกเป็นแรง ผลักดันคำสั่งซื้อ
ส่วนการดำเนินงานไตรมาส 4 ปีนี้ มีแนวโน้มทำออกมาได้ต่อเนื่องจากไตรมาส 3 เพราะได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นในระดับสูงตามช่วงฤดูกาล รวมทั้งปีนี้ ยังไม่มีปิดซ่อมบำรุง เหมือนช่วงปี 2554 ดังนั้นภาพรวมผลการดำเนินงานปีนี้ มีโอกาสทำยอดขายเติบโตได้ขึ้นได้ 15% ตามเป้า สิ่งที่น่าจับตาตอนนี้คือ ราคาน้ำมันที่จะยังขยับตัวขึ้นระดับสูงปลายไตรมาส ซึ่งเป็นช่วงที่มีความต้องการใช้น้ำมันสูง
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานงวดปี 2554 ที่ผ่านมา ไออาร์พีซีมีรายได้รวมทั้งสิ้น 2.48 แสนล้านบาท ขณะที่ช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ทำรายได้ไปแล้ว 2.25 แสนล้านบาท และมีขาดทุนสุทธิ 974 ล้านบาท
ด้านการลงทุนในอาเซียน เป็นลักษณะไปเป็นกลุ่มนำโดย บริษัท ปตท. กำลังศึกษาลู่ทางการลงทุนในอินโดนีเซีย เพราะว่าเป็นประเทศที่มีน้ำมัน และมีทรัพยากรธรรมชาติหลากหลาย รวมถึงมีประชากรสูงถึง 250 ล้านคน ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มชนชั้นกลาง ซึ่งเติบโตด้านการใช้จ่ายสินค้าอุปโภคบริโภคมหาศาลโดยในส่วนของ ไออาร์พีซี จะเข้าไปลงทุนในกลุ่มสินค้าโพลี โพรพิลีน หรือ พีพี ซึ่งเป็นสินค้าที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญ นอกจากจะลงทุนในอินโดนีเซียแล้ว ยังสนใจลงทุนในฟิลิปปินส์
ส่วนความคืบหน้านิคมอุตสาหกรรมบ้านค่าย การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เห็นชอบตั้งนิคมอุตสาหกรรมบ้านค่าย จ.ระยอง ซึ่งนับจากนี้ ไออาร์พีซี จะทำแผนแม่บทในการดำเนินการสำหรับการลงทุนนิคมให้แก่ กนอ. ต่อไป
นิคมอุตสาหกรรมบ้านค่าย จะเป็นนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศน์ เน้นต้อนรับการลงทุนที่ไม่ก่อมลพิษ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมชิ้นส่วน ขณะนี้มีผู้ประกอบการสนใจสอบถามที่จะเข้ามาลงทุนหลายโครงการ คาดว่า ไออาร์พีซี จะเริ่มลงทุนก่อสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานต้นปีหน้า วงเงินลงทุน 1,200 ล้านบาท พื้นที่ 2,500 ไร่ นอกจากนี้ ไออาร์พีซี ทำข้อตกลงกับผู้ประกอบการต่างชาติในการขายที่ดินในพื้นที่เขตอุตสาหกรรมเชิงเนิน จ.ระยอง 200 ไร่ แล้ว แต่ยังไม่ขอเปิดเผยว่าขายให้กับรายใด โดยการพัฒนาที่ดินของ ไออาร์พีซี ช่วยสร้างรายได้ให้สูงขึ้น
ด้าน นายสุรงค์ บูลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท ปตท. กล่าวผ่านรอยเตอร์ ว่า เม็ดเงินลงทุนของกลุ่มปตท. ซึ่งไม่รวมงบซื้อกิจการในช่วงปี 2556-2563 เฉลี่ยปีละ 2.0-2.5 พันล้านดอลลาร์ โดยคงเน้นการลงทุนในธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้น ทั้งการผลิตก๊าซธรรมชาติเหลวลอยน้ำ (FLNG) การผลิตปิโตรเลียมจาก แหล่งปิโตรเลียม ที่มีอยู่ของ ปตท.สผ.ให้ได้ตามเป้าหมาย ก่อสร้างท่อส่งก๊าซธรรมชาติเส้นที่ 4 การขยายคลังก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ลงทุนในธุรกิจถ่านหิน, การขยายคลังก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ธุรกิจไบโอพลาสติก โรงไฟฟ้าตลอดจนการขยายลงทุนธุรกิจน้ำมันในอาเซียน และการลงทุนอื่นๆ ในอาเซียน ซึ่งจะมุ่งเน้นในพม่าและอินโดนีเซีย สำหรับเม็ดเงินลงทุน จะมาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่มีปีละ 3-4 หมื่นล้านบาท เงินปันผลจากบริษัทลูกราว 2-3 หมื่นล้านบาทต่อปี ส่วนที่เหลือจะมาจากแหล่งเงินกู้ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำแผนจัดหาเงิน
นายสุรงค์ กล่าวอีกว่า ปตท.ได้วางแผนเพื่อจัดสมดุลของพอร์ตเงินกู้ และรายได้ให้เหมาะสม เพื่อรองรับภาวะวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่มีความผันผวน โดยมองว่าในอนาคตจะมีรายได้ในรูปสกุลดอลลาร์มากขึ้น จากการขยายการลงทุนในต่างประเทศ จากปัจจุบันที่มีรายได้ส่วนใหญ่ในรูปสกุลบาท ทำให้ล่าสุดออกหุ้นกู้สกุลดอลลาร์มากขึ้น จากปัจจุบันราว 80% เป็นหนี้สกุลบาท
นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. เปิดเผยว่า ตามที่ คณะกรรมการบริษัทมีมติเมื่อวันที่ 26 ต.ค. ที่ผ่านมาอนุมัติให้บริษัท ดำเนินการจัดหาเงินกู้สกุลดอลลาร์จากสถาบันการเงิน 310 ล้านดอลลาร์ เพื่อใช้ในการลงทุน หรือ เป็นเงินทุนหมุนเวียนทั่วไป และเพื่อทดแทนเงินกู้เดิมที่ครบกำหนดชำระ (รีไฟแนนซ์) นั้น เมื่อวันที่ 31 ต.ค. ที่ผ่านมา ปตท. ได้ลงนามในสัญญาเงินกู้กับสถาบันการเงิน 3 แห่งประกอบด้วย แบงก์ ออฟ โตเกียว-มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ มิซูโฮ คอร์ปอเรต แบงก์ และ ซูมิโตโม มิตซุย แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น วงเงินรวม 310 ล้านดอลลาร์ หรือหมื่นล้านบาท อายุเงินกู้ 5 ปี โดยมีดอกเบี้ยลอยตัวอ้างอิงกับไลบอร์บวกส่วนต่าง
ก่อนหน้านี้ภายในเดือนเดียวกัน บริษัท ปตท.ได้ออกและเสนอขายหุ้นกู้ 1,100 ล้านดอลลาร์ ให้แก่นักลงทุนสถาบันในต่างประเทศ ได้แก่ หุ้นกู้อายุ 10 ปี มูลค่า 500 ล้านดอลลาร์ ดอกเบี้ยคงที่ 3.375% ต่อปี และหุ้นกู้อายุ 30 ปี มูลค่า 600 ล้านดอลลาร์ ดอกเบี้ยคงที่ 4.5% ต่อปี การออกหุ้นกู้ครั้งนี้ได้รับความสนใจจากนักลงทุนสถาบันในต่างประเทศอย่างล้นหลามโดยมียอดจองซื้อหุ้นกู้กว่า 10 เท่าของจำนวนการจัดจำหน่าย และมีดอกเบี้ยต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ของหุ้นกู้ต่างประเทศที่เคยออกและเสนอขายโดยผู้ออกหุ้นกู้จากประเทศไทย
--จบ--
Source - กรุงเทพธุรกิจ (Th), Friday, November 02, 2012
มั่นใจผลดำเนินงานปีนี้ เข้าเป้า รายได้โตกว่า15%
"ไออาร์พีซี" คาดปีหน้าอุตสาหกรรมปิโตรเคมีฟื้น เล็งเบนเข็มลงทุน "อินโดนีเซียฟิลิปปินส์" เพราะมีวัตถุดิบอุดมสมบูรณ์ ตลาดขนาดใหญ่ ด้านนิคมอุตสาหกรรมบ้านค่ายคืบ เล็งอัดงบ 1.2 พันล้าน ลงทุนระบบสาธารณูปโภค ขณะที่ ปตท.เตรียมแผนเม็ดเงินลงทุนปี 2556-2563 เฉลี่ย ปีละ 2-2.5 พันล้านดอลลาร์ ล่าสุดกู้เงิน 3 แบงก์ต่างชาติหมื่นล้านบาท
นายอธิคม เติบศิริ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี เปิดเผยถึงสถานการณ์ปิโตรเคมีปี 2556 ว่า ความต้องการตลาดปิโตรเคมีจะเติบโตดีกว่าปีนี้ เนื่องจากสถาน การณ์เศรษฐกิจในแต่ละประเทศเริ่มผ่อนคลายความตึงเครียด และมีแนวโน้มดีขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจปิโตรเคมีซึ่งผูกโยงกับเศรษฐกิจเติบโตตามไปด้วย โดยส่วนสหภาพยุโรป (อียู) เริ่มฟื้นตัวหลังจากที่กรีซและสเปนเริ่มกลับเข้าสู่ระเบียบวินัยทางการเงิน ส่วนสหรัฐอเมริกาหลังจากที่มีสถานการณ์พายุแซนดีผ่านพ้นไป และการเข้ามาทำงานของประธานาธิบดีคนใหม่ ที่จะมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจะส่งผลให้แนวโน้มเศรษฐกิจจะดีขึ้น
ภาพรวมปี 2556 เชื่อว่าบริษัทยังมีแนวโน้มดีต่อเนื่อง และดีกว่าปีนี้ที่บริษัททำกำไรได้ค่อนข้างแคบ เพราะว่าปัจจัยหนุนจากการขยายกำลังการผลิตโครงการขนาดใหญ่ 2 โครงการ ได้แก่ โครงการโพลีโพรพิลีนเพิ่มอีก 1 แสนตันต่อปี จากเดิม 3.75 แสนตัน รวมเป็น 4.75 แสนตันต่อปี เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้วตั้งแต่เดือนต.ค. ที่ผ่านมา และการขยายกำลังการผลิต TDAE หรือสารละลายธรรมชาติที่ไม่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง เพิ่มเป็น 5 หมื่นตันต่อปี จากเดิม 4 หมื่นตันต่อปี
ขณะที่ จีน ซึ่งเป็นประเทศที่ใช้ปิโตรเคมีถึง 1 ใน 3 ของโลก หรือ 112 ล้านตัน จากการใช้ทั่วโลก 330 ล้านตัน จึงถือเป็นแรงผลักดันสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นอุตสาหกรรมปิโตรเคมี โดยที่ผ่านมาจีนออกมาตรการกระตุ้นการบริโภคในประเทศ คาดว่านโยบายนี้จะทำให้จีนมีผลิตมวลรวมในประเทศ หรือ จีดีพี เติบโตเพิ่มเป็น 8.2 จากเดิม 7.8 ส่วนกำลังซื้อในไทย มีแนวโน้มที่ดีต่อเนื่องเช่นกัน โดยมีอุตสาหกรรมไฟฟ้า อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมยานยนต์และพลาสติกเป็นแรง ผลักดันคำสั่งซื้อ
ส่วนการดำเนินงานไตรมาส 4 ปีนี้ มีแนวโน้มทำออกมาได้ต่อเนื่องจากไตรมาส 3 เพราะได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นในระดับสูงตามช่วงฤดูกาล รวมทั้งปีนี้ ยังไม่มีปิดซ่อมบำรุง เหมือนช่วงปี 2554 ดังนั้นภาพรวมผลการดำเนินงานปีนี้ มีโอกาสทำยอดขายเติบโตได้ขึ้นได้ 15% ตามเป้า สิ่งที่น่าจับตาตอนนี้คือ ราคาน้ำมันที่จะยังขยับตัวขึ้นระดับสูงปลายไตรมาส ซึ่งเป็นช่วงที่มีความต้องการใช้น้ำมันสูง
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานงวดปี 2554 ที่ผ่านมา ไออาร์พีซีมีรายได้รวมทั้งสิ้น 2.48 แสนล้านบาท ขณะที่ช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ทำรายได้ไปแล้ว 2.25 แสนล้านบาท และมีขาดทุนสุทธิ 974 ล้านบาท
ด้านการลงทุนในอาเซียน เป็นลักษณะไปเป็นกลุ่มนำโดย บริษัท ปตท. กำลังศึกษาลู่ทางการลงทุนในอินโดนีเซีย เพราะว่าเป็นประเทศที่มีน้ำมัน และมีทรัพยากรธรรมชาติหลากหลาย รวมถึงมีประชากรสูงถึง 250 ล้านคน ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มชนชั้นกลาง ซึ่งเติบโตด้านการใช้จ่ายสินค้าอุปโภคบริโภคมหาศาลโดยในส่วนของ ไออาร์พีซี จะเข้าไปลงทุนในกลุ่มสินค้าโพลี โพรพิลีน หรือ พีพี ซึ่งเป็นสินค้าที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญ นอกจากจะลงทุนในอินโดนีเซียแล้ว ยังสนใจลงทุนในฟิลิปปินส์
ส่วนความคืบหน้านิคมอุตสาหกรรมบ้านค่าย การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เห็นชอบตั้งนิคมอุตสาหกรรมบ้านค่าย จ.ระยอง ซึ่งนับจากนี้ ไออาร์พีซี จะทำแผนแม่บทในการดำเนินการสำหรับการลงทุนนิคมให้แก่ กนอ. ต่อไป
นิคมอุตสาหกรรมบ้านค่าย จะเป็นนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศน์ เน้นต้อนรับการลงทุนที่ไม่ก่อมลพิษ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมชิ้นส่วน ขณะนี้มีผู้ประกอบการสนใจสอบถามที่จะเข้ามาลงทุนหลายโครงการ คาดว่า ไออาร์พีซี จะเริ่มลงทุนก่อสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานต้นปีหน้า วงเงินลงทุน 1,200 ล้านบาท พื้นที่ 2,500 ไร่ นอกจากนี้ ไออาร์พีซี ทำข้อตกลงกับผู้ประกอบการต่างชาติในการขายที่ดินในพื้นที่เขตอุตสาหกรรมเชิงเนิน จ.ระยอง 200 ไร่ แล้ว แต่ยังไม่ขอเปิดเผยว่าขายให้กับรายใด โดยการพัฒนาที่ดินของ ไออาร์พีซี ช่วยสร้างรายได้ให้สูงขึ้น
ด้าน นายสุรงค์ บูลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท ปตท. กล่าวผ่านรอยเตอร์ ว่า เม็ดเงินลงทุนของกลุ่มปตท. ซึ่งไม่รวมงบซื้อกิจการในช่วงปี 2556-2563 เฉลี่ยปีละ 2.0-2.5 พันล้านดอลลาร์ โดยคงเน้นการลงทุนในธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้น ทั้งการผลิตก๊าซธรรมชาติเหลวลอยน้ำ (FLNG) การผลิตปิโตรเลียมจาก แหล่งปิโตรเลียม ที่มีอยู่ของ ปตท.สผ.ให้ได้ตามเป้าหมาย ก่อสร้างท่อส่งก๊าซธรรมชาติเส้นที่ 4 การขยายคลังก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ลงทุนในธุรกิจถ่านหิน, การขยายคลังก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ธุรกิจไบโอพลาสติก โรงไฟฟ้าตลอดจนการขยายลงทุนธุรกิจน้ำมันในอาเซียน และการลงทุนอื่นๆ ในอาเซียน ซึ่งจะมุ่งเน้นในพม่าและอินโดนีเซีย สำหรับเม็ดเงินลงทุน จะมาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่มีปีละ 3-4 หมื่นล้านบาท เงินปันผลจากบริษัทลูกราว 2-3 หมื่นล้านบาทต่อปี ส่วนที่เหลือจะมาจากแหล่งเงินกู้ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำแผนจัดหาเงิน
นายสุรงค์ กล่าวอีกว่า ปตท.ได้วางแผนเพื่อจัดสมดุลของพอร์ตเงินกู้ และรายได้ให้เหมาะสม เพื่อรองรับภาวะวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่มีความผันผวน โดยมองว่าในอนาคตจะมีรายได้ในรูปสกุลดอลลาร์มากขึ้น จากการขยายการลงทุนในต่างประเทศ จากปัจจุบันที่มีรายได้ส่วนใหญ่ในรูปสกุลบาท ทำให้ล่าสุดออกหุ้นกู้สกุลดอลลาร์มากขึ้น จากปัจจุบันราว 80% เป็นหนี้สกุลบาท
นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. เปิดเผยว่า ตามที่ คณะกรรมการบริษัทมีมติเมื่อวันที่ 26 ต.ค. ที่ผ่านมาอนุมัติให้บริษัท ดำเนินการจัดหาเงินกู้สกุลดอลลาร์จากสถาบันการเงิน 310 ล้านดอลลาร์ เพื่อใช้ในการลงทุน หรือ เป็นเงินทุนหมุนเวียนทั่วไป และเพื่อทดแทนเงินกู้เดิมที่ครบกำหนดชำระ (รีไฟแนนซ์) นั้น เมื่อวันที่ 31 ต.ค. ที่ผ่านมา ปตท. ได้ลงนามในสัญญาเงินกู้กับสถาบันการเงิน 3 แห่งประกอบด้วย แบงก์ ออฟ โตเกียว-มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ มิซูโฮ คอร์ปอเรต แบงก์ และ ซูมิโตโม มิตซุย แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น วงเงินรวม 310 ล้านดอลลาร์ หรือหมื่นล้านบาท อายุเงินกู้ 5 ปี โดยมีดอกเบี้ยลอยตัวอ้างอิงกับไลบอร์บวกส่วนต่าง
ก่อนหน้านี้ภายในเดือนเดียวกัน บริษัท ปตท.ได้ออกและเสนอขายหุ้นกู้ 1,100 ล้านดอลลาร์ ให้แก่นักลงทุนสถาบันในต่างประเทศ ได้แก่ หุ้นกู้อายุ 10 ปี มูลค่า 500 ล้านดอลลาร์ ดอกเบี้ยคงที่ 3.375% ต่อปี และหุ้นกู้อายุ 30 ปี มูลค่า 600 ล้านดอลลาร์ ดอกเบี้ยคงที่ 4.5% ต่อปี การออกหุ้นกู้ครั้งนี้ได้รับความสนใจจากนักลงทุนสถาบันในต่างประเทศอย่างล้นหลามโดยมียอดจองซื้อหุ้นกู้กว่า 10 เท่าของจำนวนการจัดจำหน่าย และมีดอกเบี้ยต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ของหุ้นกู้ต่างประเทศที่เคยออกและเสนอขายโดยผู้ออกหุ้นกู้จากประเทศไทย
--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 664
คอลัมน์: สัมภาษณ์พิเศษ: ปตท.สผ.ชะลอแผนซื้อกิจการชี้เศรษฐกิจโลกปีหน้า'เสี่ยง'
Source -กรุงเทพธุรกิจ (Th), Friday, November 02, 2012
ศรัญญา ทองทับ
ปตท.สผ. รักษาวินัยการเงิน หลังประเมิน
ปีหน้า ยังมีความเสี่ยงจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก ลดเป้าผลิต-ชะลอซื้อกิจการ เดินหน้าเป้าหมาย การผลิตปิโตรเลียมวันละ 6 แสนบาร์เรลต่อวัน ในปี 2563 ตั้งเงินลงทุน 3,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี พัฒนาปิโตรเลียม
การประกาศความชัดเจนของเป้าหมายการผลิตปิโตรเลียมของบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. เป็น 600,000 บาร์เรลต่อวัน ในปี 2563 จากแผนเดิมที่ได้วางไว้ที่ 900,000 บาร์เรลต่อวัน นับได้ว่า ปตท.สผ. ฟังเสียงทักท้วงและประเมินข้อวิตกกังวลของผู้มีส่วนได้เสียระดับหนึ่ง หลังจากก้าวเดินเพื่อซื้อกิจการหลายแหล่งเป็นไปอย่างรวดเร็ว และใช้เงินมหาศาล โดยเฉพาะกรณีหลังสุดการตัดสินใจซื้อบริษัท โคฟ เอ็นเนอร์ยี่ ที่ต้องใช้เงินถึง 1,900 ล้านดอลลาร์
นางสาวเพ็ญจันทร์ จริเกษม รองกรรมการ ผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานการเงินและการบัญชี บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม กล่าวว่า จากปัญหาเศรษฐกิจโลกในปีหน้าและความผันผวนของราคาน้ำมัน ทำให้ ปตท.สผ. ต้องประเมินความเป็นไปได้ในการผลิตปิโตรเลียม
"ความจริงแล้ว ปตท.สผ. ไม่ได้ลดเป้าหมายการผลิตเสียทีเดียว เพราะการผลิตที่ 900,000 บาร์เรลต่อวัน ในปี 2563 นั้น เป็นเป้าหมายสูงสุดที่ยังต้องการทำให้ได้ แต่ในเมื่อปีหน้าทุกฝ่ายทราบดีถึงความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และความผันผวนของราคาน้ำมัน ปตท.สผ. จึงต้องกลับมาประเมินว่า มั่นใจในเป้าหมายนั้น อย่างไร"
ดังนั้น ปตท.สผ.จึงมาพิจารณาให้ชัดเจนขึ้น พร้อมไปกับการประเมินความเป็นไปได้ โดยเห็นว่าการเพิ่มกำลังผลิตเป็น 600,000 บาร์เรลต่อวัน ในปี 2563 จากปัจจุบันมีกำลังผลิต 300,000 บาร์เรลต่อวัน นั้น มั่นใจมาก เพราะจะมาจากแหล่งที่ ปตท.สผ. กำลังพัฒนาอยู่แล้ว แต่อีก 300,000 บาร์เรลต่อวัน ต้องมาจากการซื้อกิจการใหม่ ซึ่งประเมินแล้ว มีความเป็นไปได้เพียง 50%
ทั้งนี้ กำลังการผลิตในระดับ 600,000 บาร์เรลต่อวัน ไม่ได้ทำให้ ปตท.สผ. เติบโตลดลงจนน่าเป็นห่วง นางสาวเพ็ญจันทร์ ขยายความว่า ตั้งแต่ปี 2536 ปตท.สผ. เติบโตต่อเนื่องเฉลี่ย 12% มาตลอด แม้ว่าในปี 2554 -2563 การเพิ่มกำลังผลิตที่ 600 ,000 บาร์เรลต่อวัน อาจจะทำให้ตัวเลขการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 8% แต่ก็ถือว่าเป็นการเติบโตที่สูงกว่าจีดีพีของประเทศ
"ที่ผ่านมา ปตท.สผ. ซื้อแหล่งขนาดใหญ่ติดต่อกัน 2-3 แหล่ง เช่น แหล่ง Oil Sand ที่ แคนาดา และ Cove Energy ที่ถือหุ้น 8.5% ในแปลงสัมปทาน Rovuma Offshore Area 1 สาธารณรัฐโมซัมบิก ซึ่งแหล่งที่เพิ่งเริ่มต้นพัฒนา มีข้อดี คือ ต้นทุนต่ำ ในกรณีของแหล่ง Cove Energy มีต้นทุนราคาก๊าซฯ ที่ 15 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ต่ำกว่าการซื้อแหล่งปิโตรเลียม ที่มีการผลิตอยู่แล้วที่มีต้นทุนประมาณ 22-25 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล "
ขณะเดียวกัน การซื้อแหล่งปิโตรเลียมที่มีศักยภาพที่ให้ผลตอบแทนระยะยาว เป็นแนวทางที่จำเป็นต้องดำเนินการ เพื่อให้มีกำลังผลิตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะว่าหากไม่ซื้อเข้ามา กำลังการผลิตของบริษัทจะหยุดอยู่กับที่ เพราะแม้ว่าแหล่ง ปตท.สผ. ดำเนินการนั้น หลายแหล่งมีกำลังผลิตเพิ่ม เช่น แหล่งเอส 1 เพิ่มจาก 230,000 บาร์เรลต่อวัน เป็น 300,000 บาร์เรลต่อวัน ส่วนแหล่งเวียดนาม 16/1 เพิ่มจาก 35,000 บาร์เรลต่อวัน เป็น 55,000 บาร์เรลต่อวัน แต่ก็จะเพิ่มกำลังผลิตได้ระดับหนึ่งเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม แหล่งปิโตรเลียมที่ให้ผลตอบแทนในระยะยาวกับปตท.สผ.นั้น ต้องใช้เงินจำนวนมากในการซื้อกิจการ ขณะเดียวกันต้องใช้เวลาในการผลิตเชิงพาณิชย์ หรือกว่า 7 ปี จึงประเมินว่าโครงการแบบนี้น่าจะทำให้บริษัทมีกำลังผลิตสำรองระดับหนึ่งแล้ว ควรชะลอการซื้อไปก่อน อย่างไรก็ตามเราไม่ปิดโอกาส เพียงแต่การซื้อกิจการหลังจากนี้ จะเน้นแหล่งที่มีศักยภาพมากที่สุด และผลิตได้ในเชิงพาณิชย์ทันทีไม่เกิน 2-3 ปี และต้องสอดคล้องกับกลยุทธ์ของกลุ่มปตท.เท่านั้น
"การซื้อกิจการหลังจากนี้ มีความไม่แน่นอน เพราะอยู่ที่โอกาสในตลาด ขณะเดียวกันเราก็มีข้อกำหนดว่า ต้องเป็นแปลงที่ให้ผลตอบแทนไม่ต่ำกว่า 12-15% นอกจากนี้การพัฒนาปิโตรเลียมในปัจจุบัน ยังมีปัจจัยภายนอกเข้ามากระทบอย่างมาก ทั้งความผันผวนของราคาน้ำมัน และความเสี่ยงที่สูงขึ้นจากข้อกังวลของสังคมและชุมชน รวมไปถึงภาวะเศรษฐกิจโลก และความต้องการและกำลังผลิต เหล่านี้เป็นปัจจัยที่ทำให้การเข้าซื้อกิจการมีความเสี่ยงสูงมากกว่าในอดีต ดังนั้น จึงยากที่จะบอกได้ว่ากำลังผลิตอีก 300,000 บาร์เรลนั้น เราจะทำได้สำเร็จในปี 2563 หรือไม่ "
ขณะเดียวกัน เราต้องการรักษาวินัยการเงิน ดังนั้น ตามแผน 5 ปีนี้ ปตท.สผ. จะเน้นการใส่เงินเพื่อการพัฒนาแหล่งที่ ปตท.สผ. มีอยู่ในมือแล้วเป็นหลัก ซึ่งแต่ละปีจะวางเม็ดเงินประมาณ 3,000 ล้านดอลลาร์ และจะติดตามใกล้ชิด เพื่อให้ได้กำลังผลิตเพิ่มเป็น 600,000 บาร์เรลต่อวัน เพราะปี 2556 มีการประเมินปัจจัยเสี่ยงจากวิกฤติเศรษฐกิจรอบใหม่ ดังนั้น ปตท.สผ. จะรักษาหนี้สินต่อทุน (D/E )ไม่เกิน 0.5 และรักษาระดับเงินสดไว้ที่ 600-700 ล้านดอลลาร์ รวมถึงเตรียมเม็ดเงินกู้จากสถาบันการสำรอง และมองหาแหล่งเงินกู้ที่มีต้นทุนต่ำ เช่น ตราสารต่างๆ รองรับ หากจำเป็นต้องใช้เงิน
สำหรับการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 650 ล้านหุ้น ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Preferential Public Offering) ครั้งนี้ นางสาวเพ็ญจันทร์ กล่าวว่า หากว่า ปตท.สผ.ดูแลผลการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด 3-4 ปี จะเป็นเครื่องพิสูจน์ และหากจำเป็นต้องเพิ่มทุนในรอบต่อไป ก็เชื่อว่าจะไม่เป็นที่วิตกกังวล
"ที่ผ่านมา ยอมรับว่านักลงทุนค่อนข้างกังวลกับการเพิ่มทุน เพื่อซื้อแหล่งปิโตรเลียมขนาดใหญ่ที่ให้ผลตอบแทนในระยะยาว แต่เราก็ต้องทำ เพื่อหาแหล่งมาต่อยอดให้ ปตท.สผ.เติบโตได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่สะดุด และหากเราไม่นำเงินมาสร้างการเติบโต บริษัทจะกลายเป็นคนแคระไปในที่สุด"
การลดความเสี่ยงด้วยการหาพันธมิตรร่วมลงทุน นางสาวเพ็ญจันทร์ กล่าวว่า เป็นแนวทางที่ ปตท.สผ.ให้ความสำคัญอีกทางหนึ่ง โดยเฉพาะแหล่งปิโตรเลียมที่ ปตท.สผ. ไม่มีประสบการณ์ เช่น ทะเลลึก เป็นต้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติของธุรกิจสำรวจและขุดเจาะปิโตรเลียม เพราะว่าต้องใช้เงินลงทุนเป็นจำนวนมาก และมีความเสี่ยงที่จะไม่พบปริมาณสำรองที่มีศักยภาพภายหลังขุดเจาะไปแล้ว
กรณีล่าสุด บริษัท ปตท.สผ. อินเตอร์เนชั่น แนล จำกัด หรือ ปตท.สผ.อ. ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ ปตท.สผ. และเป็นผู้ดำเนินการและถือหุ้นทั้งหมดในแปลงเอ็ม 11 ตั้งในบริเวณน้ำลึกในอ่าวเมาะตะมะ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ จึงต้องร่วมทุนกับ Total E&P Myanmar (Total) และ JX Nippon Oil & Gas Exploration (Myanmar) Limited (JX Myanmar) ขณะเดียวกัน ปตท.สผ. ก็จะสะสมประสบการณ์เพื่อดำเนินการเองในอนาคต
--จบ--
Source -กรุงเทพธุรกิจ (Th), Friday, November 02, 2012
ศรัญญา ทองทับ
ปตท.สผ. รักษาวินัยการเงิน หลังประเมิน
ปีหน้า ยังมีความเสี่ยงจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก ลดเป้าผลิต-ชะลอซื้อกิจการ เดินหน้าเป้าหมาย การผลิตปิโตรเลียมวันละ 6 แสนบาร์เรลต่อวัน ในปี 2563 ตั้งเงินลงทุน 3,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี พัฒนาปิโตรเลียม
การประกาศความชัดเจนของเป้าหมายการผลิตปิโตรเลียมของบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. เป็น 600,000 บาร์เรลต่อวัน ในปี 2563 จากแผนเดิมที่ได้วางไว้ที่ 900,000 บาร์เรลต่อวัน นับได้ว่า ปตท.สผ. ฟังเสียงทักท้วงและประเมินข้อวิตกกังวลของผู้มีส่วนได้เสียระดับหนึ่ง หลังจากก้าวเดินเพื่อซื้อกิจการหลายแหล่งเป็นไปอย่างรวดเร็ว และใช้เงินมหาศาล โดยเฉพาะกรณีหลังสุดการตัดสินใจซื้อบริษัท โคฟ เอ็นเนอร์ยี่ ที่ต้องใช้เงินถึง 1,900 ล้านดอลลาร์
นางสาวเพ็ญจันทร์ จริเกษม รองกรรมการ ผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานการเงินและการบัญชี บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม กล่าวว่า จากปัญหาเศรษฐกิจโลกในปีหน้าและความผันผวนของราคาน้ำมัน ทำให้ ปตท.สผ. ต้องประเมินความเป็นไปได้ในการผลิตปิโตรเลียม
"ความจริงแล้ว ปตท.สผ. ไม่ได้ลดเป้าหมายการผลิตเสียทีเดียว เพราะการผลิตที่ 900,000 บาร์เรลต่อวัน ในปี 2563 นั้น เป็นเป้าหมายสูงสุดที่ยังต้องการทำให้ได้ แต่ในเมื่อปีหน้าทุกฝ่ายทราบดีถึงความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และความผันผวนของราคาน้ำมัน ปตท.สผ. จึงต้องกลับมาประเมินว่า มั่นใจในเป้าหมายนั้น อย่างไร"
ดังนั้น ปตท.สผ.จึงมาพิจารณาให้ชัดเจนขึ้น พร้อมไปกับการประเมินความเป็นไปได้ โดยเห็นว่าการเพิ่มกำลังผลิตเป็น 600,000 บาร์เรลต่อวัน ในปี 2563 จากปัจจุบันมีกำลังผลิต 300,000 บาร์เรลต่อวัน นั้น มั่นใจมาก เพราะจะมาจากแหล่งที่ ปตท.สผ. กำลังพัฒนาอยู่แล้ว แต่อีก 300,000 บาร์เรลต่อวัน ต้องมาจากการซื้อกิจการใหม่ ซึ่งประเมินแล้ว มีความเป็นไปได้เพียง 50%
ทั้งนี้ กำลังการผลิตในระดับ 600,000 บาร์เรลต่อวัน ไม่ได้ทำให้ ปตท.สผ. เติบโตลดลงจนน่าเป็นห่วง นางสาวเพ็ญจันทร์ ขยายความว่า ตั้งแต่ปี 2536 ปตท.สผ. เติบโตต่อเนื่องเฉลี่ย 12% มาตลอด แม้ว่าในปี 2554 -2563 การเพิ่มกำลังผลิตที่ 600 ,000 บาร์เรลต่อวัน อาจจะทำให้ตัวเลขการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 8% แต่ก็ถือว่าเป็นการเติบโตที่สูงกว่าจีดีพีของประเทศ
"ที่ผ่านมา ปตท.สผ. ซื้อแหล่งขนาดใหญ่ติดต่อกัน 2-3 แหล่ง เช่น แหล่ง Oil Sand ที่ แคนาดา และ Cove Energy ที่ถือหุ้น 8.5% ในแปลงสัมปทาน Rovuma Offshore Area 1 สาธารณรัฐโมซัมบิก ซึ่งแหล่งที่เพิ่งเริ่มต้นพัฒนา มีข้อดี คือ ต้นทุนต่ำ ในกรณีของแหล่ง Cove Energy มีต้นทุนราคาก๊าซฯ ที่ 15 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ต่ำกว่าการซื้อแหล่งปิโตรเลียม ที่มีการผลิตอยู่แล้วที่มีต้นทุนประมาณ 22-25 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล "
ขณะเดียวกัน การซื้อแหล่งปิโตรเลียมที่มีศักยภาพที่ให้ผลตอบแทนระยะยาว เป็นแนวทางที่จำเป็นต้องดำเนินการ เพื่อให้มีกำลังผลิตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะว่าหากไม่ซื้อเข้ามา กำลังการผลิตของบริษัทจะหยุดอยู่กับที่ เพราะแม้ว่าแหล่ง ปตท.สผ. ดำเนินการนั้น หลายแหล่งมีกำลังผลิตเพิ่ม เช่น แหล่งเอส 1 เพิ่มจาก 230,000 บาร์เรลต่อวัน เป็น 300,000 บาร์เรลต่อวัน ส่วนแหล่งเวียดนาม 16/1 เพิ่มจาก 35,000 บาร์เรลต่อวัน เป็น 55,000 บาร์เรลต่อวัน แต่ก็จะเพิ่มกำลังผลิตได้ระดับหนึ่งเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม แหล่งปิโตรเลียมที่ให้ผลตอบแทนในระยะยาวกับปตท.สผ.นั้น ต้องใช้เงินจำนวนมากในการซื้อกิจการ ขณะเดียวกันต้องใช้เวลาในการผลิตเชิงพาณิชย์ หรือกว่า 7 ปี จึงประเมินว่าโครงการแบบนี้น่าจะทำให้บริษัทมีกำลังผลิตสำรองระดับหนึ่งแล้ว ควรชะลอการซื้อไปก่อน อย่างไรก็ตามเราไม่ปิดโอกาส เพียงแต่การซื้อกิจการหลังจากนี้ จะเน้นแหล่งที่มีศักยภาพมากที่สุด และผลิตได้ในเชิงพาณิชย์ทันทีไม่เกิน 2-3 ปี และต้องสอดคล้องกับกลยุทธ์ของกลุ่มปตท.เท่านั้น
"การซื้อกิจการหลังจากนี้ มีความไม่แน่นอน เพราะอยู่ที่โอกาสในตลาด ขณะเดียวกันเราก็มีข้อกำหนดว่า ต้องเป็นแปลงที่ให้ผลตอบแทนไม่ต่ำกว่า 12-15% นอกจากนี้การพัฒนาปิโตรเลียมในปัจจุบัน ยังมีปัจจัยภายนอกเข้ามากระทบอย่างมาก ทั้งความผันผวนของราคาน้ำมัน และความเสี่ยงที่สูงขึ้นจากข้อกังวลของสังคมและชุมชน รวมไปถึงภาวะเศรษฐกิจโลก และความต้องการและกำลังผลิต เหล่านี้เป็นปัจจัยที่ทำให้การเข้าซื้อกิจการมีความเสี่ยงสูงมากกว่าในอดีต ดังนั้น จึงยากที่จะบอกได้ว่ากำลังผลิตอีก 300,000 บาร์เรลนั้น เราจะทำได้สำเร็จในปี 2563 หรือไม่ "
ขณะเดียวกัน เราต้องการรักษาวินัยการเงิน ดังนั้น ตามแผน 5 ปีนี้ ปตท.สผ. จะเน้นการใส่เงินเพื่อการพัฒนาแหล่งที่ ปตท.สผ. มีอยู่ในมือแล้วเป็นหลัก ซึ่งแต่ละปีจะวางเม็ดเงินประมาณ 3,000 ล้านดอลลาร์ และจะติดตามใกล้ชิด เพื่อให้ได้กำลังผลิตเพิ่มเป็น 600,000 บาร์เรลต่อวัน เพราะปี 2556 มีการประเมินปัจจัยเสี่ยงจากวิกฤติเศรษฐกิจรอบใหม่ ดังนั้น ปตท.สผ. จะรักษาหนี้สินต่อทุน (D/E )ไม่เกิน 0.5 และรักษาระดับเงินสดไว้ที่ 600-700 ล้านดอลลาร์ รวมถึงเตรียมเม็ดเงินกู้จากสถาบันการสำรอง และมองหาแหล่งเงินกู้ที่มีต้นทุนต่ำ เช่น ตราสารต่างๆ รองรับ หากจำเป็นต้องใช้เงิน
สำหรับการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 650 ล้านหุ้น ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Preferential Public Offering) ครั้งนี้ นางสาวเพ็ญจันทร์ กล่าวว่า หากว่า ปตท.สผ.ดูแลผลการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด 3-4 ปี จะเป็นเครื่องพิสูจน์ และหากจำเป็นต้องเพิ่มทุนในรอบต่อไป ก็เชื่อว่าจะไม่เป็นที่วิตกกังวล
"ที่ผ่านมา ยอมรับว่านักลงทุนค่อนข้างกังวลกับการเพิ่มทุน เพื่อซื้อแหล่งปิโตรเลียมขนาดใหญ่ที่ให้ผลตอบแทนในระยะยาว แต่เราก็ต้องทำ เพื่อหาแหล่งมาต่อยอดให้ ปตท.สผ.เติบโตได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่สะดุด และหากเราไม่นำเงินมาสร้างการเติบโต บริษัทจะกลายเป็นคนแคระไปในที่สุด"
การลดความเสี่ยงด้วยการหาพันธมิตรร่วมลงทุน นางสาวเพ็ญจันทร์ กล่าวว่า เป็นแนวทางที่ ปตท.สผ.ให้ความสำคัญอีกทางหนึ่ง โดยเฉพาะแหล่งปิโตรเลียมที่ ปตท.สผ. ไม่มีประสบการณ์ เช่น ทะเลลึก เป็นต้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติของธุรกิจสำรวจและขุดเจาะปิโตรเลียม เพราะว่าต้องใช้เงินลงทุนเป็นจำนวนมาก และมีความเสี่ยงที่จะไม่พบปริมาณสำรองที่มีศักยภาพภายหลังขุดเจาะไปแล้ว
กรณีล่าสุด บริษัท ปตท.สผ. อินเตอร์เนชั่น แนล จำกัด หรือ ปตท.สผ.อ. ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ ปตท.สผ. และเป็นผู้ดำเนินการและถือหุ้นทั้งหมดในแปลงเอ็ม 11 ตั้งในบริเวณน้ำลึกในอ่าวเมาะตะมะ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ จึงต้องร่วมทุนกับ Total E&P Myanmar (Total) และ JX Nippon Oil & Gas Exploration (Myanmar) Limited (JX Myanmar) ขณะเดียวกัน ปตท.สผ. ก็จะสะสมประสบการณ์เพื่อดำเนินการเองในอนาคต
--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 665
พลังงานขอ6เดือนสรุปสัมปทานปิโตรเลียม
Source -กรุงเทพธุรกิจ (Th), Saturday, November 03, 2012
กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติขอเวลา 6 เดือน สรุปแนวทางบริหารจัดการแหล่งปิโตรเลียมของกลุ่มเชฟรอน และปตท.สผ.ซึ่งจะหมดอายุสัมปทานปี 65 ชี้ต้องเร่งตัดสินใจ ป้องกันการผลิตทิ้งช่วง ขณะที่มีปริมาณสำรองเหลือจำนวนมาก
นายทรงภพ พลจันทร์ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการปิโตรเลียม ซึ่งมีนายณอคุณ สิทธิพงศ์ ปลัดกระทรวงพลังงานเป็นประธาน ได้ตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาแนวทางที่เหมาะสมในการบริหารจัดการแหล่งสัมปทานปิโตรเลียมในอ่าวไทยซึ่งจะหมดอายุในปี 2565 คือแปลงสัมปทานในแหล่งเอราวัณของบริษัท เชฟรอนประเทศไทย สำรวจและผลิต จำกัด ซึ่งมีกำลังการผลิตในปัจจุบันวันละ 1,240 ล้านลูกบาศก์ฟุต และแปลงสัมปทานในแหล่งบงกชและอื่นๆของ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือปตท.สผ. ซึ่งมีกำลังการผลิตในปัจจุบันวันละ 1,000 ล้านลูกบาศก์ฟุต
ทั้งนี้ กำลังการผลิตในแหล่งปิโตรเลียมทั้งในอ่าวไทยและแหล่งเจดีเอ อยู่ที่วันละ 4,000 ล้านลูกบาศก์ฟุต การเร่งพิจารณาเพื่อให้เกิดความชัดเจนของแหล่งสัมปทานที่ใกล้จะหมดอายุ จึงมีความสำคัญ เพราะมีกำลังการผลิตปิโตรเลียมมากกว่าครึ่งหนึ่งของก๊าซธรรมชาติที่มาจากอ่าวไทยทั้งหมด
"เมื่อสัมปทานหมดอายุจะต้องกำหนดแนวทางการบริหารจัดการให้ชัดเจนในหลายทางเลือก เช่น การแก้ไขกฎหมาปิโตรเลียม การนำแหล่งสัมปทานเดิมมาเปิดประมูลใหม่อีกครั้ง เพราะจะยังมีปริมาณสำรองปิโตรเลียมเหลืออยู่อีก 4-6 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต หรือการให้สิทธิผู้รับสัมปทานเดิมถ้าเสนอเงื่อนไขที่เป็นประโยชน์ต่อรัฐ"
อย่างไรก็ตาม คาดว่าคณะอนุกรรมการจะใช้เวลาพิจารณาประมาณ 6 เดือน หลังจากนั้นจะนำข้อสรุปเสนอคณะกรรมการปิโตรเลียม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป และสาเหตุที่ต้อง เร่งพิจารณา เพราะแหล่งสัมปทานที่จะหมดอายุเป็นแหล่งที่มีความสำคัญและยังมี ปริมาณสำรองปิโตรเลียมเหลืออยู่อีกมาก แต่เอกชนต้องมีการลงทุนเจาะหลุมสำรวจและหลุมผลิตเพิ่ม ซึ่งต้องมีระยะเวลาเตรียมตัว และกรมฯไม่ต้องการให้การผลิตปิโตรเลียม ในพื้นที่สัมปทานดังกล่าวทิ้งช่วง เพราะจะกระทบต่อความมั่นคงด้านพลังงานของ ประเทศ
นับตั้งแต่มีการลงทุนสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในไทยตั้งแต่ปี 2514 จนถึงปัจจุบัน และเริ่มค้นพบปิโตรเลียมในอ่าวไทยเป็นครั้งแรกในปี 2524 คิดเป็นมูลค่าของปิโตรเลียมรวมกัน ประมาณ 4.5 ล้านล้านบาท โดย 42% เป็นส่วนของการลงทุนของเอกชนผู้รับสัมปทาน ส่วนอีก 35% เป็นผลตอบแทนที่รัฐได้รับในรูปของค่าภาคหลวงและภาษีต่างๆ และที่เหลือ 23% เป็นกำไรของเอกชนผู้ลงทุน
--จบ--
Source -กรุงเทพธุรกิจ (Th), Saturday, November 03, 2012
กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติขอเวลา 6 เดือน สรุปแนวทางบริหารจัดการแหล่งปิโตรเลียมของกลุ่มเชฟรอน และปตท.สผ.ซึ่งจะหมดอายุสัมปทานปี 65 ชี้ต้องเร่งตัดสินใจ ป้องกันการผลิตทิ้งช่วง ขณะที่มีปริมาณสำรองเหลือจำนวนมาก
นายทรงภพ พลจันทร์ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการปิโตรเลียม ซึ่งมีนายณอคุณ สิทธิพงศ์ ปลัดกระทรวงพลังงานเป็นประธาน ได้ตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาแนวทางที่เหมาะสมในการบริหารจัดการแหล่งสัมปทานปิโตรเลียมในอ่าวไทยซึ่งจะหมดอายุในปี 2565 คือแปลงสัมปทานในแหล่งเอราวัณของบริษัท เชฟรอนประเทศไทย สำรวจและผลิต จำกัด ซึ่งมีกำลังการผลิตในปัจจุบันวันละ 1,240 ล้านลูกบาศก์ฟุต และแปลงสัมปทานในแหล่งบงกชและอื่นๆของ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือปตท.สผ. ซึ่งมีกำลังการผลิตในปัจจุบันวันละ 1,000 ล้านลูกบาศก์ฟุต
ทั้งนี้ กำลังการผลิตในแหล่งปิโตรเลียมทั้งในอ่าวไทยและแหล่งเจดีเอ อยู่ที่วันละ 4,000 ล้านลูกบาศก์ฟุต การเร่งพิจารณาเพื่อให้เกิดความชัดเจนของแหล่งสัมปทานที่ใกล้จะหมดอายุ จึงมีความสำคัญ เพราะมีกำลังการผลิตปิโตรเลียมมากกว่าครึ่งหนึ่งของก๊าซธรรมชาติที่มาจากอ่าวไทยทั้งหมด
"เมื่อสัมปทานหมดอายุจะต้องกำหนดแนวทางการบริหารจัดการให้ชัดเจนในหลายทางเลือก เช่น การแก้ไขกฎหมาปิโตรเลียม การนำแหล่งสัมปทานเดิมมาเปิดประมูลใหม่อีกครั้ง เพราะจะยังมีปริมาณสำรองปิโตรเลียมเหลืออยู่อีก 4-6 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต หรือการให้สิทธิผู้รับสัมปทานเดิมถ้าเสนอเงื่อนไขที่เป็นประโยชน์ต่อรัฐ"
อย่างไรก็ตาม คาดว่าคณะอนุกรรมการจะใช้เวลาพิจารณาประมาณ 6 เดือน หลังจากนั้นจะนำข้อสรุปเสนอคณะกรรมการปิโตรเลียม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป และสาเหตุที่ต้อง เร่งพิจารณา เพราะแหล่งสัมปทานที่จะหมดอายุเป็นแหล่งที่มีความสำคัญและยังมี ปริมาณสำรองปิโตรเลียมเหลืออยู่อีกมาก แต่เอกชนต้องมีการลงทุนเจาะหลุมสำรวจและหลุมผลิตเพิ่ม ซึ่งต้องมีระยะเวลาเตรียมตัว และกรมฯไม่ต้องการให้การผลิตปิโตรเลียม ในพื้นที่สัมปทานดังกล่าวทิ้งช่วง เพราะจะกระทบต่อความมั่นคงด้านพลังงานของ ประเทศ
นับตั้งแต่มีการลงทุนสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในไทยตั้งแต่ปี 2514 จนถึงปัจจุบัน และเริ่มค้นพบปิโตรเลียมในอ่าวไทยเป็นครั้งแรกในปี 2524 คิดเป็นมูลค่าของปิโตรเลียมรวมกัน ประมาณ 4.5 ล้านล้านบาท โดย 42% เป็นส่วนของการลงทุนของเอกชนผู้รับสัมปทาน ส่วนอีก 35% เป็นผลตอบแทนที่รัฐได้รับในรูปของค่าภาคหลวงและภาษีต่างๆ และที่เหลือ 23% เป็นกำไรของเอกชนผู้ลงทุน
--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 666
ภาพข่าว: เรียง'คน'มาเป็น'ข่าว': เปิดท่าเทียบเรือ
Source - มติชน (Th), Saturday, November 03, 2012
ศุภชัย ธาดากิตติสาร ปธ.กก. บ.พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด เข้าร่วมพิธีเปิดท่าเทียบเรือ เฟส 2 พร้อมระบบจ่าย LPG บ.พีทีทีแทงค์ฯ เพื่อรองรับปริมาณการขยายตัวของธุรกิจ ในกลุ่ม ปตท. โดยมี วิชา จุ้ยชุม กก.ผจก.พร้อมผู้บริหารและพนักงานให้การต้อนรับ ที่มาบตาพุด จ.ระยอง เมื่อเร็วๆ นี้
--จบ--
Source - มติชน (Th), Saturday, November 03, 2012
ศุภชัย ธาดากิตติสาร ปธ.กก. บ.พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด เข้าร่วมพิธีเปิดท่าเทียบเรือ เฟส 2 พร้อมระบบจ่าย LPG บ.พีทีทีแทงค์ฯ เพื่อรองรับปริมาณการขยายตัวของธุรกิจ ในกลุ่ม ปตท. โดยมี วิชา จุ้ยชุม กก.ผจก.พร้อมผู้บริหารและพนักงานให้การต้อนรับ ที่มาบตาพุด จ.ระยอง เมื่อเร็วๆ นี้
--จบ--
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 667
หวั่นก๊าซไม่พอกระทบธุรกิจ7แสนล. ตั้งทีมศึกษา6เดือนชง'พงษ์ศักดิ์' แก้พรบ.ปิโตรฯเปิดช่องต่อสัญญา
Source - มติชน (Th), Sunday, November 04, 2012
กรมเชื้อเพลิงหวั่นก๊าซไม่พอใช้กระทบการผลิตไฟฟ้า-ธุรกิจปิโตรเคมี มูลค่าสูงปีละ 7 แสนล้าน เหตุต่อสัญญาปิโตรเลียม ไม่ได้ ตั้งคณะทำงานเร่งศึกษา ขีดกรอบ 6 เดือนเสร็จ รอชง ’พงษ์ศักดิ์’แก้ พ.ร.บ.ปิโตรเลียม เปิดช่องต่อสัญญาได้ หรือหามาตรการอื่นแก้ปัญหา
นายทรงภพ พลจันทร์ อธิบดีกรม เชื้อเพลิง เปิดเผยว่า คณะกรรมการปิโตรเลียมได้มีการแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อมาพิจารณาทบทวนกรอบดำเนินงานและระยะเวลาของสัญญาปิโตรเลียม หลังพบว่าสัญญาปิโตรเลียมช่วงแรกของประเทศไม่สามารถต่ออายุได้อีก อาทิ สัญญาของบริษัท เชฟรอน สำรวจและผลิต จำกัด กำลังการผลิต 1,240 ล้านลูกบาศก์ฟุต สัญญาของแหล่งบงกชที่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ ปตท.สผ.เป็นผู้ดำเนินการ ได้แก่ แหล่งบงกช 630 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน แหล่งบงกชใต้ 320 ลูกบาศก์ฟุตต่อวัน โดยทั้ง 2 สัญญาจะหมดอายุในเดือนเมษายน 2565
นายทรงภพกล่าวว่า ทั้งนี้ ตาม พ.ร.บ. ปิโตรเลียมฉบับปัจจุบันได้กำหนดไว้ว่า อายุสัญญาสัมปทานปิโตรเลียมของประเทศไทยจะต่ออายุได้เพียงครั้งเดียวในระยะเวลาไม่เกิน 10 ปี สัญญาที่ทำช่วงแรกจึงได้รับการต่ออายุไปแล้ว ดังนั้น กระทรวงพลังงานจึงเป็นห่วงว่า ช่วง 5 ปีท้ายของสัญญาผู้ผลิตจะไม่มีการลงทุนเพิ่มเพราะใกล้หมดสัญญาจนส่งกระทบต่อการผลิตก๊าซในประเทศไทย ทำให้การผลิตลดลงขณะที่ความต้องการใช้พลังงานเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อความมั่นคง
"ขณะนี้ได้ให้ผู้ผลิตไปดูข้อมูลทั่วโลกว่ากรอบการดำเนินการของประเทศต่างๆ ทำรูปแบบไหน โดยคณะทำงานจะเร่งศึกษาให้ได้ข้อสรุปภายใน 6 เดือนนี้ เบื้องต้นอาจจะต้องแก้ไข พ.ร.บ.หรือ อาจใช้รูปแบบอื่นมาดำเนินการ โดยจะเสนอให้นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีพลังงานคนใหม่พิจารณาดำเนินการ" นายทรงภพกล่าว
นายทรงภพกล่าวว่า ปัจจุบันนี้การผลิตก๊าซจากอ่าวไทยอยู่ในระดับอัตราสูงสุดแล้ว ประมาณ 2,300 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน หากไม่มีการลงทุนเพิ่ม การผลิตจะคงที่ไปอีก 5 ปี หลังจากนั้นจะผลิตลดลง กระทบต่อการผลิตไฟฟ้าและธุรกิจปิโตรเคมีซึ่งสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับประเทศไทยในวงเงินสูงเกือบ 7 แสนล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ การใช้ก๊าซของไทยยังมาจากพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย (เจดีเอ) 900 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน พม่า 1,000 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) 1 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อปี
นายวิชัย พรกีรติวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้นและก๊าซธรรมชาติ ปตท. กล่าวว่า ต้องการให้รัฐมนตรีพลังงานคนใหม่เข้ามาดำเนินการร่างกฎเกณฑ์ดังกล่าวโดยเร็ว เพราะการใช้ก๊าซจากอ่าวไทยยังเป็นหัวใจหลักในการผลิตไฟฟ้าและใช้ในธุรกิจปิโตรเคมี แม้ก่อนหน้านี้กระทรวงพลังงานจะมอบหมายให้ ปตท.รองรับด้วยการนำเข้าแอลเอ็นจี แต่ยังไม่เพียงพอ
--จบ--
Source - มติชน (Th), Sunday, November 04, 2012
กรมเชื้อเพลิงหวั่นก๊าซไม่พอใช้กระทบการผลิตไฟฟ้า-ธุรกิจปิโตรเคมี มูลค่าสูงปีละ 7 แสนล้าน เหตุต่อสัญญาปิโตรเลียม ไม่ได้ ตั้งคณะทำงานเร่งศึกษา ขีดกรอบ 6 เดือนเสร็จ รอชง ’พงษ์ศักดิ์’แก้ พ.ร.บ.ปิโตรเลียม เปิดช่องต่อสัญญาได้ หรือหามาตรการอื่นแก้ปัญหา
นายทรงภพ พลจันทร์ อธิบดีกรม เชื้อเพลิง เปิดเผยว่า คณะกรรมการปิโตรเลียมได้มีการแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อมาพิจารณาทบทวนกรอบดำเนินงานและระยะเวลาของสัญญาปิโตรเลียม หลังพบว่าสัญญาปิโตรเลียมช่วงแรกของประเทศไม่สามารถต่ออายุได้อีก อาทิ สัญญาของบริษัท เชฟรอน สำรวจและผลิต จำกัด กำลังการผลิต 1,240 ล้านลูกบาศก์ฟุต สัญญาของแหล่งบงกชที่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ ปตท.สผ.เป็นผู้ดำเนินการ ได้แก่ แหล่งบงกช 630 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน แหล่งบงกชใต้ 320 ลูกบาศก์ฟุตต่อวัน โดยทั้ง 2 สัญญาจะหมดอายุในเดือนเมษายน 2565
นายทรงภพกล่าวว่า ทั้งนี้ ตาม พ.ร.บ. ปิโตรเลียมฉบับปัจจุบันได้กำหนดไว้ว่า อายุสัญญาสัมปทานปิโตรเลียมของประเทศไทยจะต่ออายุได้เพียงครั้งเดียวในระยะเวลาไม่เกิน 10 ปี สัญญาที่ทำช่วงแรกจึงได้รับการต่ออายุไปแล้ว ดังนั้น กระทรวงพลังงานจึงเป็นห่วงว่า ช่วง 5 ปีท้ายของสัญญาผู้ผลิตจะไม่มีการลงทุนเพิ่มเพราะใกล้หมดสัญญาจนส่งกระทบต่อการผลิตก๊าซในประเทศไทย ทำให้การผลิตลดลงขณะที่ความต้องการใช้พลังงานเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อความมั่นคง
"ขณะนี้ได้ให้ผู้ผลิตไปดูข้อมูลทั่วโลกว่ากรอบการดำเนินการของประเทศต่างๆ ทำรูปแบบไหน โดยคณะทำงานจะเร่งศึกษาให้ได้ข้อสรุปภายใน 6 เดือนนี้ เบื้องต้นอาจจะต้องแก้ไข พ.ร.บ.หรือ อาจใช้รูปแบบอื่นมาดำเนินการ โดยจะเสนอให้นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีพลังงานคนใหม่พิจารณาดำเนินการ" นายทรงภพกล่าว
นายทรงภพกล่าวว่า ปัจจุบันนี้การผลิตก๊าซจากอ่าวไทยอยู่ในระดับอัตราสูงสุดแล้ว ประมาณ 2,300 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน หากไม่มีการลงทุนเพิ่ม การผลิตจะคงที่ไปอีก 5 ปี หลังจากนั้นจะผลิตลดลง กระทบต่อการผลิตไฟฟ้าและธุรกิจปิโตรเคมีซึ่งสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับประเทศไทยในวงเงินสูงเกือบ 7 แสนล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ การใช้ก๊าซของไทยยังมาจากพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย (เจดีเอ) 900 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน พม่า 1,000 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) 1 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อปี
นายวิชัย พรกีรติวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้นและก๊าซธรรมชาติ ปตท. กล่าวว่า ต้องการให้รัฐมนตรีพลังงานคนใหม่เข้ามาดำเนินการร่างกฎเกณฑ์ดังกล่าวโดยเร็ว เพราะการใช้ก๊าซจากอ่าวไทยยังเป็นหัวใจหลักในการผลิตไฟฟ้าและใช้ในธุรกิจปิโตรเคมี แม้ก่อนหน้านี้กระทรวงพลังงานจะมอบหมายให้ ปตท.รองรับด้วยการนำเข้าแอลเอ็นจี แต่ยังไม่เพียงพอ
--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 668
วิกฤติ'พลังงาน'-ปตท.กุมขมับ!!เมื่อผู้ผลิต'กอด'แหล่งก๊าซ
Source - กรุงเทพธุรกิจ (Th), Monday, November 05, 2012
ลมลเพ็ชร อภิสิทธิ์นิรันดร์
ในการประชุมก๊าซธรรมชาติในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก หรือ GASEX (Gas Information Exchange for the Western Pacifc) ซึ่งจัดขึ้นทุกๆ 2 ปี มีชาติสมาชิกเข้าร่วมกว่า 15 ประเทศทั่วโลก ปีนี้จัดขึ้นที่ บาหลี ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อเป็นเวทีพบปะแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ "อัพเดท"สถานการณ์ด้านพลังงานที่น่าสนใจของโล โดยเฉพาะ "ก๊าซธรรมชาติ" แม้ว่าผลจากการประชุม World Gas 2555 เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ประธานสมาพันธ์ก๊าซระหว่างประเทศ (International Gas Union : IGU) และบริษัทชั้นนำด้านก๊าซธรรมชาติทั่วโลก ส่วนใหญ่ต่างเชื่อตรงกันว่า "ยุคทองของก๊าซธรรมชาติ" กำลังจะมา โดยมีประเด็นด้านปริมาณสำรอง ราคาและปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมเป็นตัวขับดันการเติบโตทั้งด้านการผลิต (ซัพพลาย) และการบริโภค (ดีมานด์)
โดย IGU ระบุว่า ปริมาณสำรองก๊าซฯของโลกคาดว่าจะมีถึง 250 ปี มากกว่าน้ำมันที่มีการระบุว่าเหลือใช้บนโลกใบนี้อีก 40 ปี มากว่าถ่านหินที่คาดว่าโลกจะมีปริมาณสำรอง 112 ปี หากไม่มีการค้นพบแหล่งผลิตใหม่ๆ
ทว่า ข้อมูลที่น่าสนใจมาก จนกลายเป็น "ความวิตกกังวล" ในการประชุม GASEX ที่โฟกัสสถานการณ์ ก๊าซฯในเอเซียแปซิฟิก พบว่า ในช่วงปี 2555- 2573 หรือในระยะ 18 ปีจากนี้ "เอเชีย" จะเป็นตลาดก๊าซธรรมชาติที่จะมีความสำคัญ "มากที่สุด" (ความต้องการก๊าซฯมากที่สุด) ตามการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ(จีดีพี)แต่ความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นนั้น กลับ "สวนทาง" กับความสามารถในการผลิตก๊าซฯของ "แต่ละประเทศ"
เรียกว่า ขนใช้กันอย่างไม่เจียมเนื้อเจียมตัว !! "การนำเข้า" ก๊าซธรรมชาติ ในรูปของ "ก๊าซธรรมชาติเหลว" หรือแอลเอ็นจี จึงเข้ามาเป็น "ทางออก" ของปัญหานี้ แต่กำลังจะสร้าง "ปัญหาใหม่" ที่ท้าทายต่อต้นทุนการดำเนินการ นั่นคือ "ราคาแอลเอ็นจี ในภูมิภาคนี้จะปรับตัวสูงขึ้น" ร้อนแรงตามดีมานด์
กลายเป็นภาระของผู้ใช้ในทุกระดับ ที่จะต้อง "จ่ายแพง" ทั้งภาคประชาชนในฐานะผู้ใช้ไฟฟ้า และภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นผู้ใช้ก๊าซฯในสองภาคหลักของประเทศ
ย่อโลกจากเอเชีย ลงมาที่ "อาเซียน" ข้อมูลจากการประชุมระบุว่า จีดีพีของอาเซียนที่เติบโตเฉลี่ยสูงกว่า 5% ทำให้ความต้องการใช้ก๊าซฯ ในภูมิภาคเพิ่มขึ้น แม้จะมีแหล่งผลิตก๊าซฯ ขนาดใหญ่อยู่ที่ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย แต่ความสามารถในการผลิตกลับเพิ่มขึ้นเพียง 0.7% ต่อปี
ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้คาดการณ์กันว่า ในปี 2563 (ในอีก 8 ปีจากนี้) อาเซียนจะเปลี่ยนสถานะจาก "ผู้ส่งออกก๊าซฯ เป็นผู้นำเข้าก๊าซฯ" โดยเมื่อถึงปี 2573 จะต้องนำเข้าก๊าซฯ ถึง 80% ของปริมาณก๊าซฯ ที่ใช้ทั้งหมด ในจำนวนนี้ เป็นการนำเข้าก๊าซฯ ในรูปแอลเอ็นจี มากถึง 70% และ 30% เป็นการนำเข้าจากทางท่อก๊าซฯ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศ "มาเลเซีย และอินโดนีเซีย" เริ่มเปลี่ยนบทบาทจากประเทศ ผู้ส่งออก เป็นผู้นำเข้าแอลเอ็นจี เนื่องจากแหล่งพลังงานสำรองลดน้อยลง
ที่สำคัญกว่านั้น สองประเทศนี้ยังต้องการ "สงวนทรัพยากร" ไว้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของตัวเอง
บริษัทที่ปรึกษาอย่างแมคเคนซี และธนาคารโลก คาดการณ์ว่า อินโดนีเซียจะเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจติดอัน 1 ใน 7 ของโลก และชนชั้นกลางจะเติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 135 ล้านคน นั่นหมายถึงความต้องการพลังงานที่จะ สูงขึ้นตามไปด้วย
โดยทั้ง มาเลเซีย และอินโดนีเซีย จัดเป็นผู้ส่งออกแอลเอ็นจี ในปี 2554 รายใหญ่เป็นอันดับสอง และสามของโลก !!! เป็นรองเพียง กาตาร์ (Waterborne LNG Reports)
ไม่น่าเชื่อว่าผู้ส่งออกแอลเอ็นจีระดับโลก อยู่ใกล้บ้านเราแค่นี้เอง
ล่าสุด อินโดนีเซีย ได้เจรจากับพันธมิตรหลักอย่าง บีพี เพื่อขอแก้ไขสัญญาส่งออกก๊าซ โดยจะลดปริมาณการส่งออกเหลือ 60% ให้กับคู่ค้าเดิมอย่างเกาหลี และญี่ปุ่น ส่วนอีก 40% ของปริมาณการผลิต จะนำมาใช้ภายในประเทศ
สิ่งที่เกิดขึ้น สะท้อนถึง "ความยากลำบาก"ในการแสวงหาพลังงานจากทั่วโลกโดยเฉพาะกับประเทศที่ "พึ่งพาการนำเข้า" พลังงานเป็นหลัก
หนึ่งในนั้นคือ "ไทย" ที่ลำพังการจัดหาพลังงานในประเทศก็ยากแล้ว จากระเบิดเวลาที่ก๊าซฯจะหมดจากอ่าวไทย ในระยะเวลาไม่ถึง 20 ปีจากนี้
ขณะที่ไทยพึ่งพาการก๊าซฯเป็นเชื้อเพลิงหลักของประเทศ โดยก๊าซฯถูกนำไปใช้ในการผลิตไฟฟ้าในสัดส่วนมากถึง 59% เมื่อเทียบกับปริมาณการใช้ก๊าซฯในภาพรวมที่ 4,438 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน (ม.ค. - ก.ค. 2555) ยังมีการคาดการณ์กันว่าความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติในประเทศไทยในปีนี้ จะเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 5,000 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน
"มากกว่า" ปริมาณการผลิตก๊าซฯ ในประเทศที่ผลิตได้ 3,647 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน (ม.ค.-ก.ค.55) จนต้องนำเข้าก๊าซฯทางท่อจากประเทศเพื่อนบ้านมายาวนาน รวมไปถึงการ นำเข้าแอลพีจี ที่เพิ่งนำเข้าล็อตแรกมาเมื่อปี 2554
กลายเป็นแรงกดดันสำคัญ ทำให้ ที่ผ่านมา บริษัทปตท.จำกัด (มหาชน) บริษัทน้ำมันแห่งชาติของไทย พยายามที่จะออกไปเจรจา เป็น พันธมิตรกับเจ้าของแหล่งก๊าซ เพื่อนำเข้าและเป็นเจ้าของแหล่งพลังงาน โดยเฉพาะ แอลเอ็นจี
ทว่า สถานการณ์ของโลกที่ "มีของแล้วไม่อยากขาย ขายก็ก็ขายแพง ฉันอยากเป็นเจ้าของคนเดียวไม่อยากแบ่งใคร" จึงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับปตท.
ชาครีย์ บูรณกานนท์ รองกรรมการ ผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ปตท. เล่าว่า การที่รัฐบาลอินโดนีเซียประกาศนโยบายดังกล่าว ผลกระทบที่ตามมาทำให้ประเทศไทยจะต้องตื่นตัวในเรื่องของการจัดหาพลังงาน และวางแผนการบริหารจัดการพลังงานของประเทศให้สอดคล้องกับความต้องการที่ต้องทำด้วยความรัดกุมและรอบคอบมากขึ้น
ไม่เพียงแต่รัฐบาลอินโดนีเซียเท่านั้นที่จะใช้นโยบายดังกล่าว แม้กระทั่ง "พม่า" รัฐบาลก็ประกาศชัดเจนว่าจะลดปริมาณการส่งออกก๊าซธรรมชาติลงในอนาคต เพราะความต้องการเริ่มเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะความต้องการใช้ก๊าซฯในการผลิตไฟฟ้า ภายหลังพม่าเปิดประเทศ
"เรื่องพลังงานในวันนี้เราต้องคิดวางแผนล่วงหน้าเป็นสิบๆ ปี เพราะกว่าจะพัฒนาเสร็จหรือถูกนำมาใช้ต้องอาศัยระยะเวลาที่ค่อนข้างนานมาก"
สำหรับอินโดนีเซีย ปตท.ได้เข้ามาลงทุนในอินโดนีเซียผ่านบริษัทลูกอย่าง บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. มาระยะหนึ่งแล้ว
โดยปตท.สผ.เข้ามาเป็นหนึ่งในผู้ร่วมลงทุนพัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาตินาทูน่า แหล่งก๊าซฯ สำคัญมากแหล่งหนึ่งของอินโดนีเซีย โดยถือหุ้น ในสัดส่วน 14% เป็นโอเปอร์เรเตอร์ (ผู้ดำเนินการผลิต) ร่วมกับทางเปอร์ตามินา บริษัทน้ำมัน แห่งชาติอินโดนีเซีย ที่ถือหุ้นอยู่ราวๆ 40% เขาระบุ
อย่างไรก็ตาม มีการคาดการณ์ว่า แหล่งนาทูน่าที่ปตท.ถือหุ้น ยังต้องใช้เวลาพัฒนาอีกกว่า 10 ปี กว่าจะนำก๊าซฯออกมาใช้ได้ ขณะที่นโยบายจำกัดการส่งออกก๊าซฯของอินโดนีเซีย เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น ด้าน ภาณุ สุทธิรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการ ผู้จัดการใหญ่จัดหาและตลาดก๊าซธรรมชาติ ปตท. ให้ข้อมูลว่า การใช้ก๊าซฯของไทยในอีก 20 ปีข้างหน้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 7,000 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน จากปัจจุบันอยู่ที่ 4,500 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ขณะที่ไทยเพิ่งนำเข้าแอลเอ็นจีในปี 2554 ปริมาณ 1 ล้านตันต่อปี หรือคิดเป็นปริมาณ 140 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน
เขากล่าวเพิ่มเติมว่า แหล่งพลังงานในพม่าเริ่มไม่เพียงพอ ที่ผ่านมารมว.พลังงานพม่าเคยให้สัมภาษณ์ว่า ก๊าซฯที่ขุดพบในปัจจุบันไม่ต้องการส่งออก แต่จะสนับสนุนให้ใช้ในประเทศมากขึ้น
"แหล่งยาดานา เยตากุน ซอติก้า ส่งมาไทยทางท่อก๊าซฯ ถือว่าเราโชคดีไป เพราะทำสัญญากันไว้ ซึ่งเหลืออยู่อีกราวๆ 10 ปี ส่วนแหล่ง A1 พม่าก็ส่งไปจีน แน่นอนที่สุดไทยที่เป็นผู้รับซื้อก๊าซฯรายสำคัญก็ลำบากเพราะมี ข้อจำกัดเพิ่มขึ้น ก๊าซฯทางท่อก็คงจะหายากขึ้นในอนาคตขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลพม่าต่อสัญญาให้เราหรือไม่"
ดังนั้นในระยะยาว ปตท.ต้องจัดหาแอลเอ็นจี เข้ามาใช้ในประเทศและที่สำคัญจะต้องเป็น "สัญญาระยะยาว" ไม่ใช่" สัญญาระยะสั้น หรือการซื้อขายแบบ Spot"
"ตอนนี้ปตท.คงนำเข้าแอลเอ็นจีเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น เพราะทำสัญญาซื้อขายเป็นแบบ Spot ราคาจึงขึ้นอยู่กับตลาดในแต่ละช่วง โดยราคาอยู่ที่ประมาณ 10-20 เหรียญสหรัฐต่อตัน ไม่มีความแน่นอนเท่ากับการทำสัญญาเป็น ระยะยาว" เขาบอก การบริหารจัดการของ ปตท.ก็คือ ดูว่าความต้องการพลังงานในประเทศมีเท่าไหร่ ก็จะจัดหาก๊าซด้วยสัญญาระยะยาวอย่างน้อย 10-15 ปีขึ้นไป เพื่อความแน่นอนและมั่นคงทางด้านพลังงานของประเทศ ส่วนระยะสั้นๆ ก็คงใช้สัญญาซื้อขายแบบ Spot เป็นการซื้อมาเสริมความมั่นคงด้านพลังงาน ควบคู่กับสัญญาระยะยาว
ขณะเดียวกัน ปตท.ก็มีความสนใจจะลงทุนในแหล่งพลังงานในรูปแบบใหม่ อย่าง Shale Gas หรือก๊าซธรรมชาติที่ได้จากหินดินดาน ซึ่งเป็นแหล่งก๊าซฯนอกรูปแบบ ที่มีปริมาณสำรองเป็นจำนวนมากในโลก โดยเฉพาะในจีนและสหรัฐอเมริกา และยังมีราคาถูกมากเมื่อเปรียบเทียบกับราคาพลังงานอื่นๆ
"ตัวนี้เราก็สนใจนะ เพราะมีเยอะมาก ทั่วโลก แหล่งที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่จีน และสหรัฐอเมริกา เรามองไปถึงเรื่องการเข้าไปลงทุนในระยะยาวเหมือนกัน แต่ตอนนี้ก็กำลังศึกษาความเป็นไปได้ คงต้องใช้เวลาอีกหลายปี เพราะเป็นเรื่องใหม่ที่ ปตท.ต้องวางแผนให้รอบคอบ"
เทคโนโลยีของ Shale Gas เพิ่งจะพัฒนาขึ้นในสหรัฐ แต่สำหรับจีนยังมีจุดอ่อนในเรื่องเทคโนโลยีและระบบโครงข่าย ดังนั้นการที่ไทย จะนำพลังงานประเภทนี้มาใช้ได้หรือไม่ จึงขึ้นอยู่กับหลายๆปัจจัย
"อย่างในอเมริกาเขาพบทั้งหมด 4-5 แหล่ง ใหญ่ๆ แต่รัฐบาลเขาอนุมัติให้ส่งออกเพียง 1 แหล่ง กับประเทศที่ทำเขตการค้าเสรี (FTA) ไว้เท่านั้น ซึ่งในเอเชียก็มีเกาหลีใต้กับญี่ปุ่นแค่ 2 ประเทศ ส่วนไทยซึ่งเป็นประเทศ Non-FTA"
ด้านแหล่งข่าวจาก ปตท.ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า หลังจากนี้ไป ปตท.อาจจะต้องพิจารณา "ทบทวนแผนการลงทุน" ในส่วนของธุรกิจก๊าซใหม่ เพราะหลายประเทศมีท่าทีชัดเจนว่าจะลดการส่งออกพลังงานในอนาคต สำหรับแหล่งนาทูน่าในอินโดนีเซีย คิดว่า ปตท.สผ.ก็คงจะมีการทบทวนเงื่อนไขการลงทุนใหม่เช่นเดียวกัน แต่ได้มีการปฏิเสธจาก ไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. โดยเขาระบุว่า ปตท.จะไม่มีการปรับแผนจัดหาก๊าซฯ ส่วนการลงทุนของปตท.สผ. ฮุบหุ้นใหญ่ใน โคฟ เอ็นเนอร์ยี่ เพื่อลงทุนแหล่งพลังงานนอกชายฝั่งแอฟริกาตะวันออกนั้น
แม้จะมีเสียงวิจารณ์ ถึงการเพิ่มทุนครั้งใหญ่ ของปตท.สผ. (เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 650 ล้านหุ้น) กับความคุ้มค่าในการดำเนินการในแหล่งก๊าซฯที่อยู่ห่างไกลแหล่งนี้ แต่ไพรินทร์ ยังคงยืนยันว่าเดินมาถูกทางในแง่โลจิสติกส์ขนส่งก๊าซฯมายังไทย ถือเป็นเส้นทาง ที่เหมาะสม ปลอดจากโจรสลัด เมื่อเทียบอีกหลายเส้นทาง
ก๊าซฯ กำลังจะแซงหน้า ’ถ่านหิน’
International Gas Union (IGU) ประเมินว่า ใน ปี 2573 ก๊าซฯ จะมีบทบาทแซงหน้า "ถ่านหิน" เป็นอันดับ 2 รองจากน้ำมัน โดยจะมีปริมาณเพิ่มขึ้นประมาณ 40% และเอเชียจะเป็นภูมิภาคที่ความต้องการพลังงานเพิ่มสูงขึ้นโดยมีจีนและอินเดียเป็นตัวขับเคลื่อน
แม้ถ่านหินจะยังคงเป็นเชื้อเพลิงหลักในเอเชีย แต่ก็จะมีความต้องการน้ำมันและก๊าซฯ เพิ่มสูงขึ้น
ขณะที่ออสเตรเลียจะกลายเป็นผู้ที่มีบทบาทในการส่งออกแอลเอ็นจี รายใหญ่ของโลกในปี 2573 เนื่องจากเป็นประเทศที่มีปริมาณสำรองมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
อย่างไรก็ตาม ออสเตรเลีย ยังมีข้อจำกัดหลายด้าน เช่น ในเรื่องต้นทุนการผลิตที่สูงเกินไป บวกกับการขาดแคลนแรงงาน และต้องการความมั่นคงทางเศรษฐกิจเพราะเป็นโครงการที่ใช้เงินลงทุนสูง
นอกจากนี้ ออสเตรเลียยังออกกฎหมายสำหรับแหล่งขุดเจาะที่จะนำมาใช้ใหม่ว่า จะต้องสำรองก๊าซฯที่ขุดได้ในแหล่งตะวันตกเพื่อใช้ในประเทศในสัดส่วน 15%
IGU ยังมองว่า การสำรวจและผลิตก๊าซฯภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ และภาคอุตสาหกรรมจะเป็นปัจจัยสำคัญจากความเสี่ยงและต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น เพราะแหล่งก๊าซฯในโลกมีน้อยลง ต้องลงทุนด้านเทคโนโลยีอย่างมาก กว่าจะนำก๊าซฯขึ้นมาใช้ได้
ปตท.วางหมาก(กล) ’แอลเอ็นจี’
การสร้างสถานีรองรับแอลเอ็นจี (LNG Terminal) ปัจจุบันรองรับได้ 5 ล้านตันต่อปี และกำลังจะขยายเป็น 10 ล้านตันต่อปี เป็นแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมาเลเซีย (3 แห่ง), เวียดนาม (1 แห่ง), และสิงคโปร์ (1 แห่ง) จะทยอยสร้างเสร็จตั้งแต่ปี 2555 - 2559
ระยะยาว มีแผนขยายการสร้างสถานีแอลเอ็นจี แห่งที่ 2 เพื่อรองรับปริมาณนำเข้าแอลเอ็นจีที่มากกว่า10 ล้านตันต่อปี
ตั้งแต่ปี 2555 - 2557 มีแผนจัดหาแอลเอ็นจีตามสัญญาระยะสั้นและ/หรือ Spot cargo รวมทั้งสร้างความสัมพันธ์กับผู้ซื้อรายใหญ่ในภูมิภาค เพื่อสร้างอำนาจต่อรองกับผู้ขาย และหาโอกาสสร้างความร่วมมือด้านการบริหารการนำเข้าแอลเอ็นจี
ความต้องการก๊าซแอลเอ็นจีในช่วงปี 2558 เป็นต้นไป มีแผนจัดหาแอลเอ็นจีเป็นสัญญาระยะยาว
โครงการผลิตแอลเอ็นจีใหม่ๆจะสนับสนุนให้บริษัทในกลุ่มปตท.มีโอกาสเข้าไปร่วมลงทุนใน LNG value chain เพื่อประโยชน์ในการจัดหาพลังงานในตลาดโลกต่อไป
""มาเลย์ - อินโด" ผู้ส่งออก ก๊าซฯ อันดับ 2 และ 3 ของโลก ประกาศชัดจะ "กอดแหล่งก๊าซ" ไว้หนุนเศรษฐกิจตัวเช่นเดียวกับพม่าถึงคราที่ปตท.ต้องกุมขยับกับระเบิดเวลา ก๊าซฯกำลังจะหมดอ่าวไทย"
"ในปี 2563 อาเซียนจะเปลี่ยนสถานะจาก "ผู้ส่งออกก๊าซฯ เป็นผู้นำเข้าก๊าซฯ""
--จบ--
Source - กรุงเทพธุรกิจ (Th), Monday, November 05, 2012
ลมลเพ็ชร อภิสิทธิ์นิรันดร์
ในการประชุมก๊าซธรรมชาติในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก หรือ GASEX (Gas Information Exchange for the Western Pacifc) ซึ่งจัดขึ้นทุกๆ 2 ปี มีชาติสมาชิกเข้าร่วมกว่า 15 ประเทศทั่วโลก ปีนี้จัดขึ้นที่ บาหลี ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อเป็นเวทีพบปะแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ "อัพเดท"สถานการณ์ด้านพลังงานที่น่าสนใจของโล โดยเฉพาะ "ก๊าซธรรมชาติ" แม้ว่าผลจากการประชุม World Gas 2555 เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ประธานสมาพันธ์ก๊าซระหว่างประเทศ (International Gas Union : IGU) และบริษัทชั้นนำด้านก๊าซธรรมชาติทั่วโลก ส่วนใหญ่ต่างเชื่อตรงกันว่า "ยุคทองของก๊าซธรรมชาติ" กำลังจะมา โดยมีประเด็นด้านปริมาณสำรอง ราคาและปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมเป็นตัวขับดันการเติบโตทั้งด้านการผลิต (ซัพพลาย) และการบริโภค (ดีมานด์)
โดย IGU ระบุว่า ปริมาณสำรองก๊าซฯของโลกคาดว่าจะมีถึง 250 ปี มากกว่าน้ำมันที่มีการระบุว่าเหลือใช้บนโลกใบนี้อีก 40 ปี มากว่าถ่านหินที่คาดว่าโลกจะมีปริมาณสำรอง 112 ปี หากไม่มีการค้นพบแหล่งผลิตใหม่ๆ
ทว่า ข้อมูลที่น่าสนใจมาก จนกลายเป็น "ความวิตกกังวล" ในการประชุม GASEX ที่โฟกัสสถานการณ์ ก๊าซฯในเอเซียแปซิฟิก พบว่า ในช่วงปี 2555- 2573 หรือในระยะ 18 ปีจากนี้ "เอเชีย" จะเป็นตลาดก๊าซธรรมชาติที่จะมีความสำคัญ "มากที่สุด" (ความต้องการก๊าซฯมากที่สุด) ตามการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ(จีดีพี)แต่ความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นนั้น กลับ "สวนทาง" กับความสามารถในการผลิตก๊าซฯของ "แต่ละประเทศ"
เรียกว่า ขนใช้กันอย่างไม่เจียมเนื้อเจียมตัว !! "การนำเข้า" ก๊าซธรรมชาติ ในรูปของ "ก๊าซธรรมชาติเหลว" หรือแอลเอ็นจี จึงเข้ามาเป็น "ทางออก" ของปัญหานี้ แต่กำลังจะสร้าง "ปัญหาใหม่" ที่ท้าทายต่อต้นทุนการดำเนินการ นั่นคือ "ราคาแอลเอ็นจี ในภูมิภาคนี้จะปรับตัวสูงขึ้น" ร้อนแรงตามดีมานด์
กลายเป็นภาระของผู้ใช้ในทุกระดับ ที่จะต้อง "จ่ายแพง" ทั้งภาคประชาชนในฐานะผู้ใช้ไฟฟ้า และภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นผู้ใช้ก๊าซฯในสองภาคหลักของประเทศ
ย่อโลกจากเอเชีย ลงมาที่ "อาเซียน" ข้อมูลจากการประชุมระบุว่า จีดีพีของอาเซียนที่เติบโตเฉลี่ยสูงกว่า 5% ทำให้ความต้องการใช้ก๊าซฯ ในภูมิภาคเพิ่มขึ้น แม้จะมีแหล่งผลิตก๊าซฯ ขนาดใหญ่อยู่ที่ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย แต่ความสามารถในการผลิตกลับเพิ่มขึ้นเพียง 0.7% ต่อปี
ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้คาดการณ์กันว่า ในปี 2563 (ในอีก 8 ปีจากนี้) อาเซียนจะเปลี่ยนสถานะจาก "ผู้ส่งออกก๊าซฯ เป็นผู้นำเข้าก๊าซฯ" โดยเมื่อถึงปี 2573 จะต้องนำเข้าก๊าซฯ ถึง 80% ของปริมาณก๊าซฯ ที่ใช้ทั้งหมด ในจำนวนนี้ เป็นการนำเข้าก๊าซฯ ในรูปแอลเอ็นจี มากถึง 70% และ 30% เป็นการนำเข้าจากทางท่อก๊าซฯ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศ "มาเลเซีย และอินโดนีเซีย" เริ่มเปลี่ยนบทบาทจากประเทศ ผู้ส่งออก เป็นผู้นำเข้าแอลเอ็นจี เนื่องจากแหล่งพลังงานสำรองลดน้อยลง
ที่สำคัญกว่านั้น สองประเทศนี้ยังต้องการ "สงวนทรัพยากร" ไว้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของตัวเอง
บริษัทที่ปรึกษาอย่างแมคเคนซี และธนาคารโลก คาดการณ์ว่า อินโดนีเซียจะเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจติดอัน 1 ใน 7 ของโลก และชนชั้นกลางจะเติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 135 ล้านคน นั่นหมายถึงความต้องการพลังงานที่จะ สูงขึ้นตามไปด้วย
โดยทั้ง มาเลเซีย และอินโดนีเซีย จัดเป็นผู้ส่งออกแอลเอ็นจี ในปี 2554 รายใหญ่เป็นอันดับสอง และสามของโลก !!! เป็นรองเพียง กาตาร์ (Waterborne LNG Reports)
ไม่น่าเชื่อว่าผู้ส่งออกแอลเอ็นจีระดับโลก อยู่ใกล้บ้านเราแค่นี้เอง
ล่าสุด อินโดนีเซีย ได้เจรจากับพันธมิตรหลักอย่าง บีพี เพื่อขอแก้ไขสัญญาส่งออกก๊าซ โดยจะลดปริมาณการส่งออกเหลือ 60% ให้กับคู่ค้าเดิมอย่างเกาหลี และญี่ปุ่น ส่วนอีก 40% ของปริมาณการผลิต จะนำมาใช้ภายในประเทศ
สิ่งที่เกิดขึ้น สะท้อนถึง "ความยากลำบาก"ในการแสวงหาพลังงานจากทั่วโลกโดยเฉพาะกับประเทศที่ "พึ่งพาการนำเข้า" พลังงานเป็นหลัก
หนึ่งในนั้นคือ "ไทย" ที่ลำพังการจัดหาพลังงานในประเทศก็ยากแล้ว จากระเบิดเวลาที่ก๊าซฯจะหมดจากอ่าวไทย ในระยะเวลาไม่ถึง 20 ปีจากนี้
ขณะที่ไทยพึ่งพาการก๊าซฯเป็นเชื้อเพลิงหลักของประเทศ โดยก๊าซฯถูกนำไปใช้ในการผลิตไฟฟ้าในสัดส่วนมากถึง 59% เมื่อเทียบกับปริมาณการใช้ก๊าซฯในภาพรวมที่ 4,438 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน (ม.ค. - ก.ค. 2555) ยังมีการคาดการณ์กันว่าความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติในประเทศไทยในปีนี้ จะเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 5,000 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน
"มากกว่า" ปริมาณการผลิตก๊าซฯ ในประเทศที่ผลิตได้ 3,647 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน (ม.ค.-ก.ค.55) จนต้องนำเข้าก๊าซฯทางท่อจากประเทศเพื่อนบ้านมายาวนาน รวมไปถึงการ นำเข้าแอลพีจี ที่เพิ่งนำเข้าล็อตแรกมาเมื่อปี 2554
กลายเป็นแรงกดดันสำคัญ ทำให้ ที่ผ่านมา บริษัทปตท.จำกัด (มหาชน) บริษัทน้ำมันแห่งชาติของไทย พยายามที่จะออกไปเจรจา เป็น พันธมิตรกับเจ้าของแหล่งก๊าซ เพื่อนำเข้าและเป็นเจ้าของแหล่งพลังงาน โดยเฉพาะ แอลเอ็นจี
ทว่า สถานการณ์ของโลกที่ "มีของแล้วไม่อยากขาย ขายก็ก็ขายแพง ฉันอยากเป็นเจ้าของคนเดียวไม่อยากแบ่งใคร" จึงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับปตท.
ชาครีย์ บูรณกานนท์ รองกรรมการ ผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ปตท. เล่าว่า การที่รัฐบาลอินโดนีเซียประกาศนโยบายดังกล่าว ผลกระทบที่ตามมาทำให้ประเทศไทยจะต้องตื่นตัวในเรื่องของการจัดหาพลังงาน และวางแผนการบริหารจัดการพลังงานของประเทศให้สอดคล้องกับความต้องการที่ต้องทำด้วยความรัดกุมและรอบคอบมากขึ้น
ไม่เพียงแต่รัฐบาลอินโดนีเซียเท่านั้นที่จะใช้นโยบายดังกล่าว แม้กระทั่ง "พม่า" รัฐบาลก็ประกาศชัดเจนว่าจะลดปริมาณการส่งออกก๊าซธรรมชาติลงในอนาคต เพราะความต้องการเริ่มเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะความต้องการใช้ก๊าซฯในการผลิตไฟฟ้า ภายหลังพม่าเปิดประเทศ
"เรื่องพลังงานในวันนี้เราต้องคิดวางแผนล่วงหน้าเป็นสิบๆ ปี เพราะกว่าจะพัฒนาเสร็จหรือถูกนำมาใช้ต้องอาศัยระยะเวลาที่ค่อนข้างนานมาก"
สำหรับอินโดนีเซีย ปตท.ได้เข้ามาลงทุนในอินโดนีเซียผ่านบริษัทลูกอย่าง บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. มาระยะหนึ่งแล้ว
โดยปตท.สผ.เข้ามาเป็นหนึ่งในผู้ร่วมลงทุนพัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาตินาทูน่า แหล่งก๊าซฯ สำคัญมากแหล่งหนึ่งของอินโดนีเซีย โดยถือหุ้น ในสัดส่วน 14% เป็นโอเปอร์เรเตอร์ (ผู้ดำเนินการผลิต) ร่วมกับทางเปอร์ตามินา บริษัทน้ำมัน แห่งชาติอินโดนีเซีย ที่ถือหุ้นอยู่ราวๆ 40% เขาระบุ
อย่างไรก็ตาม มีการคาดการณ์ว่า แหล่งนาทูน่าที่ปตท.ถือหุ้น ยังต้องใช้เวลาพัฒนาอีกกว่า 10 ปี กว่าจะนำก๊าซฯออกมาใช้ได้ ขณะที่นโยบายจำกัดการส่งออกก๊าซฯของอินโดนีเซีย เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น ด้าน ภาณุ สุทธิรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการ ผู้จัดการใหญ่จัดหาและตลาดก๊าซธรรมชาติ ปตท. ให้ข้อมูลว่า การใช้ก๊าซฯของไทยในอีก 20 ปีข้างหน้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 7,000 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน จากปัจจุบันอยู่ที่ 4,500 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ขณะที่ไทยเพิ่งนำเข้าแอลเอ็นจีในปี 2554 ปริมาณ 1 ล้านตันต่อปี หรือคิดเป็นปริมาณ 140 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน
เขากล่าวเพิ่มเติมว่า แหล่งพลังงานในพม่าเริ่มไม่เพียงพอ ที่ผ่านมารมว.พลังงานพม่าเคยให้สัมภาษณ์ว่า ก๊าซฯที่ขุดพบในปัจจุบันไม่ต้องการส่งออก แต่จะสนับสนุนให้ใช้ในประเทศมากขึ้น
"แหล่งยาดานา เยตากุน ซอติก้า ส่งมาไทยทางท่อก๊าซฯ ถือว่าเราโชคดีไป เพราะทำสัญญากันไว้ ซึ่งเหลืออยู่อีกราวๆ 10 ปี ส่วนแหล่ง A1 พม่าก็ส่งไปจีน แน่นอนที่สุดไทยที่เป็นผู้รับซื้อก๊าซฯรายสำคัญก็ลำบากเพราะมี ข้อจำกัดเพิ่มขึ้น ก๊าซฯทางท่อก็คงจะหายากขึ้นในอนาคตขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลพม่าต่อสัญญาให้เราหรือไม่"
ดังนั้นในระยะยาว ปตท.ต้องจัดหาแอลเอ็นจี เข้ามาใช้ในประเทศและที่สำคัญจะต้องเป็น "สัญญาระยะยาว" ไม่ใช่" สัญญาระยะสั้น หรือการซื้อขายแบบ Spot"
"ตอนนี้ปตท.คงนำเข้าแอลเอ็นจีเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น เพราะทำสัญญาซื้อขายเป็นแบบ Spot ราคาจึงขึ้นอยู่กับตลาดในแต่ละช่วง โดยราคาอยู่ที่ประมาณ 10-20 เหรียญสหรัฐต่อตัน ไม่มีความแน่นอนเท่ากับการทำสัญญาเป็น ระยะยาว" เขาบอก การบริหารจัดการของ ปตท.ก็คือ ดูว่าความต้องการพลังงานในประเทศมีเท่าไหร่ ก็จะจัดหาก๊าซด้วยสัญญาระยะยาวอย่างน้อย 10-15 ปีขึ้นไป เพื่อความแน่นอนและมั่นคงทางด้านพลังงานของประเทศ ส่วนระยะสั้นๆ ก็คงใช้สัญญาซื้อขายแบบ Spot เป็นการซื้อมาเสริมความมั่นคงด้านพลังงาน ควบคู่กับสัญญาระยะยาว
ขณะเดียวกัน ปตท.ก็มีความสนใจจะลงทุนในแหล่งพลังงานในรูปแบบใหม่ อย่าง Shale Gas หรือก๊าซธรรมชาติที่ได้จากหินดินดาน ซึ่งเป็นแหล่งก๊าซฯนอกรูปแบบ ที่มีปริมาณสำรองเป็นจำนวนมากในโลก โดยเฉพาะในจีนและสหรัฐอเมริกา และยังมีราคาถูกมากเมื่อเปรียบเทียบกับราคาพลังงานอื่นๆ
"ตัวนี้เราก็สนใจนะ เพราะมีเยอะมาก ทั่วโลก แหล่งที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่จีน และสหรัฐอเมริกา เรามองไปถึงเรื่องการเข้าไปลงทุนในระยะยาวเหมือนกัน แต่ตอนนี้ก็กำลังศึกษาความเป็นไปได้ คงต้องใช้เวลาอีกหลายปี เพราะเป็นเรื่องใหม่ที่ ปตท.ต้องวางแผนให้รอบคอบ"
เทคโนโลยีของ Shale Gas เพิ่งจะพัฒนาขึ้นในสหรัฐ แต่สำหรับจีนยังมีจุดอ่อนในเรื่องเทคโนโลยีและระบบโครงข่าย ดังนั้นการที่ไทย จะนำพลังงานประเภทนี้มาใช้ได้หรือไม่ จึงขึ้นอยู่กับหลายๆปัจจัย
"อย่างในอเมริกาเขาพบทั้งหมด 4-5 แหล่ง ใหญ่ๆ แต่รัฐบาลเขาอนุมัติให้ส่งออกเพียง 1 แหล่ง กับประเทศที่ทำเขตการค้าเสรี (FTA) ไว้เท่านั้น ซึ่งในเอเชียก็มีเกาหลีใต้กับญี่ปุ่นแค่ 2 ประเทศ ส่วนไทยซึ่งเป็นประเทศ Non-FTA"
ด้านแหล่งข่าวจาก ปตท.ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า หลังจากนี้ไป ปตท.อาจจะต้องพิจารณา "ทบทวนแผนการลงทุน" ในส่วนของธุรกิจก๊าซใหม่ เพราะหลายประเทศมีท่าทีชัดเจนว่าจะลดการส่งออกพลังงานในอนาคต สำหรับแหล่งนาทูน่าในอินโดนีเซีย คิดว่า ปตท.สผ.ก็คงจะมีการทบทวนเงื่อนไขการลงทุนใหม่เช่นเดียวกัน แต่ได้มีการปฏิเสธจาก ไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. โดยเขาระบุว่า ปตท.จะไม่มีการปรับแผนจัดหาก๊าซฯ ส่วนการลงทุนของปตท.สผ. ฮุบหุ้นใหญ่ใน โคฟ เอ็นเนอร์ยี่ เพื่อลงทุนแหล่งพลังงานนอกชายฝั่งแอฟริกาตะวันออกนั้น
แม้จะมีเสียงวิจารณ์ ถึงการเพิ่มทุนครั้งใหญ่ ของปตท.สผ. (เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 650 ล้านหุ้น) กับความคุ้มค่าในการดำเนินการในแหล่งก๊าซฯที่อยู่ห่างไกลแหล่งนี้ แต่ไพรินทร์ ยังคงยืนยันว่าเดินมาถูกทางในแง่โลจิสติกส์ขนส่งก๊าซฯมายังไทย ถือเป็นเส้นทาง ที่เหมาะสม ปลอดจากโจรสลัด เมื่อเทียบอีกหลายเส้นทาง
ก๊าซฯ กำลังจะแซงหน้า ’ถ่านหิน’
International Gas Union (IGU) ประเมินว่า ใน ปี 2573 ก๊าซฯ จะมีบทบาทแซงหน้า "ถ่านหิน" เป็นอันดับ 2 รองจากน้ำมัน โดยจะมีปริมาณเพิ่มขึ้นประมาณ 40% และเอเชียจะเป็นภูมิภาคที่ความต้องการพลังงานเพิ่มสูงขึ้นโดยมีจีนและอินเดียเป็นตัวขับเคลื่อน
แม้ถ่านหินจะยังคงเป็นเชื้อเพลิงหลักในเอเชีย แต่ก็จะมีความต้องการน้ำมันและก๊าซฯ เพิ่มสูงขึ้น
ขณะที่ออสเตรเลียจะกลายเป็นผู้ที่มีบทบาทในการส่งออกแอลเอ็นจี รายใหญ่ของโลกในปี 2573 เนื่องจากเป็นประเทศที่มีปริมาณสำรองมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
อย่างไรก็ตาม ออสเตรเลีย ยังมีข้อจำกัดหลายด้าน เช่น ในเรื่องต้นทุนการผลิตที่สูงเกินไป บวกกับการขาดแคลนแรงงาน และต้องการความมั่นคงทางเศรษฐกิจเพราะเป็นโครงการที่ใช้เงินลงทุนสูง
นอกจากนี้ ออสเตรเลียยังออกกฎหมายสำหรับแหล่งขุดเจาะที่จะนำมาใช้ใหม่ว่า จะต้องสำรองก๊าซฯที่ขุดได้ในแหล่งตะวันตกเพื่อใช้ในประเทศในสัดส่วน 15%
IGU ยังมองว่า การสำรวจและผลิตก๊าซฯภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ และภาคอุตสาหกรรมจะเป็นปัจจัยสำคัญจากความเสี่ยงและต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น เพราะแหล่งก๊าซฯในโลกมีน้อยลง ต้องลงทุนด้านเทคโนโลยีอย่างมาก กว่าจะนำก๊าซฯขึ้นมาใช้ได้
ปตท.วางหมาก(กล) ’แอลเอ็นจี’
การสร้างสถานีรองรับแอลเอ็นจี (LNG Terminal) ปัจจุบันรองรับได้ 5 ล้านตันต่อปี และกำลังจะขยายเป็น 10 ล้านตันต่อปี เป็นแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมาเลเซีย (3 แห่ง), เวียดนาม (1 แห่ง), และสิงคโปร์ (1 แห่ง) จะทยอยสร้างเสร็จตั้งแต่ปี 2555 - 2559
ระยะยาว มีแผนขยายการสร้างสถานีแอลเอ็นจี แห่งที่ 2 เพื่อรองรับปริมาณนำเข้าแอลเอ็นจีที่มากกว่า10 ล้านตันต่อปี
ตั้งแต่ปี 2555 - 2557 มีแผนจัดหาแอลเอ็นจีตามสัญญาระยะสั้นและ/หรือ Spot cargo รวมทั้งสร้างความสัมพันธ์กับผู้ซื้อรายใหญ่ในภูมิภาค เพื่อสร้างอำนาจต่อรองกับผู้ขาย และหาโอกาสสร้างความร่วมมือด้านการบริหารการนำเข้าแอลเอ็นจี
ความต้องการก๊าซแอลเอ็นจีในช่วงปี 2558 เป็นต้นไป มีแผนจัดหาแอลเอ็นจีเป็นสัญญาระยะยาว
โครงการผลิตแอลเอ็นจีใหม่ๆจะสนับสนุนให้บริษัทในกลุ่มปตท.มีโอกาสเข้าไปร่วมลงทุนใน LNG value chain เพื่อประโยชน์ในการจัดหาพลังงานในตลาดโลกต่อไป
""มาเลย์ - อินโด" ผู้ส่งออก ก๊าซฯ อันดับ 2 และ 3 ของโลก ประกาศชัดจะ "กอดแหล่งก๊าซ" ไว้หนุนเศรษฐกิจตัวเช่นเดียวกับพม่าถึงคราที่ปตท.ต้องกุมขยับกับระเบิดเวลา ก๊าซฯกำลังจะหมดอ่าวไทย"
"ในปี 2563 อาเซียนจะเปลี่ยนสถานะจาก "ผู้ส่งออกก๊าซฯ เป็นผู้นำเข้าก๊าซฯ""
--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 669
ไทยออยล์จับตามะกันรุกปิโตร
Source - ASTV ผู้จัดการรายวัน (Th), Monday, November 05, 2012
ASTVผู้จัดการรายวัน - "ไทยออยล์" จับตาผลกระทบกรณีที่สหรัฐฯลงทุนปิโตรเคมีจากเชลแก๊สทำให้เปลี่ยนจากผู้นำเข้าเป็นผู้ส่งออกแทน พร้อมยอมรับโครงการขยายพาราไซลีน(PX Max) 1 แสนตัน/ปีอาจผลิตได้แค่ 70%ของกำลังผลิต เหตุราคาวัตถุดิบพุ่งทำให้ต้องหยุดการนำเข้าบางส่วน แย้มสเปรดพาราไซลีนเริ่มดีขึ้นหลังจีนหันมานำเข้าอีกครั้ง ทำให้ค่าการกลั่นรวมเฉลี่ย(GIM)อยู่ที่ 8.5-9.5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
นายวีรศักดิ์ โฆสิตไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยออยล์ จำกัด(มหาชน) (TOP) เปิดเผยว่า สิ่งที่ต้องจับตาของธุรกิจพลังงานและเตรียมพร้อมรับมือในอนาคตหลังจากสหรัฐฯมีการนำเชลแก๊ส (Shale Gas)มาใช้ที่มีต้นทุนการผลิตต่ำมากแค่ 3 เหรียญ/ล้านบีทียู ทำให้สหรัฐฯจะลดการพึ่งพาน้ำมันดิบจากตะวันออกกลาง โดยเชลแก๊สนี้คาดว่าจะนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าแทนถ่านหิน ซึ่งจะมีผลกระทบต่อราคาถ่านหินในอนาคตด้วยอย่างไรก็ตาม ในกระบวนการผลิตเชลแก๊สจะได้Wet Gas
ซึ่งสามารถต่อยอดทำโรงปิโตรเคมีได้ล่าสุดมีบริษัทใหญ่ประกาศลงทุนปิโตรเคมีจากเชลแก๊สแล้ว ซึ่งปิโตรเคมีที่ผลิตจาก Wet Gas จะเป็นสายโอเลฟินส์ที่ได้เอทิลีนเป็นหลัก โดยมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำ ทำให้อนาคตสหรัฐฯจะเปลี่ยนจากผู้นำเข้าเป็นผู้ส่งออกปิโตรเคมีด้วย
ส่วนแผนการลงทุนในปีนี้สำหรับโครงการขยายกำลังการผลิตพาราไซลีนอีก 1 แสนตัน/ปี(PX Max) เงินลงทุน 60 ล้านเหรียญสหรัฐโดยการปรับปรุงโทลูอีนมาเป็นพาราไซลีนนั้นอยู่ระหว่างทดลองการผลิต คาดว่าจะผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในปลายปีนี้ ทำให้บริษัทฯมีกำลังการผลิตพาราไซลีนเพิ่มขึ้นเป็น 5 แสนตัน/ปีส่งผลให้รายได้เติบโตขึ้นด้วยโดยยอมรับว่าโครงการขยายกำลังการผลิตพาราไซลีนอาจจะยังเดินเครื่องจักรได้ไม่เต็มที่ในช่วงนี้ เนื่องจากแผนเดิมบริษัทฯจะต้องนำเข้าโทลูอีนเพื่อรวมกับปริมาณโทลูอีนที่ผลิตได้จึงจะเดินเครื่องจักรได้เต็มที่ แต่ล่าสุดราคาโทลูอีนในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ไม่คุ้มหากต้องนำเข้า จึงผลิตได้เพียง 70% ของกำลังการผลิตซึ่งไม่มีผลกระทบใดเพราะอยู่ภายใต้ความเสี่ยงที่วางแผนไว้เดิมอยู่แล้ว
นอกจากนี้ บริษัทฯยังศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายกำลังผลิต(Debottleneck)พาราไซลีน โดยการปรับปรุงเครื่องจักรต่างๆ อยู่คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆ นี้ ปัจจุบันราคาพาราไซลีนอยู่ที่ตันละ 1,500-1600 เหรียญสหรัฐโดยมีสเปรดส่วนต่างผลิตภัณฑ์พาราไซลีนกับวัตถุดิบ(คอนเดนเสต)อยู่ที่ 450-500 เหรียญสหรัฐ
ส่วนโครงการผลิตLAB (Linear Alkyl Benzene)ขนาด 1 แสนตัน/ปี ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตผงซักฟอกและสารซักล้าง โดยใช้เบนซีนและเคโลซีนเป็นวัตถุดิบนั้น คาดว่าจะใช้เงินลงทุน 300-350 ล้านเหรียญสหรัฐขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการออกแบบ คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2559 นับเป็นโครงการแรกของไทย เพื่อรองรับความต้องการใช้อยู่ปีละ 6 หมื่นตัน ที่เหลือจะส่งออกไปต่างประเทศ
สำหรับการลงทุนโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก(เอสพีพี) 2 โรง กำลังการผลิตรวม 200 เมกะวัตต์ โดยจะขยายไฟโรงละ 90 เมกะวัตต์ให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)และมีไฟฟ้า-ไอน้ำจะป้อนให้โรงงานเครือไทยออยล์ ซึ่งขณะนี้ได้ยื่นขอใบอนุญาตฯอยู่โดยโครงการนี้จะไม่อยู่ในแผนการควบรวมบริษัทธุรกิจไฟฟ้าของกลุ่ม ปตท. เนื่องจากเป็นโครงการที่ช่วยเสริมให้โรงกลั่นไทยออยล์ครบวงจรมากยิ่งขึ้น
นายวีรศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้ค่าการกลั่น(GRM)ค่อนข้างผันผวน มี GRM อยู่ที่6.50-7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ต่ำกว่าไตรมาส 3/2555 ที่มีGRMเฉลี่ยอยู่ที่ 7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลเนื่องจากราคาน้ำมันเบนซินได้อ่อนตัวลงมากฉุดค่าการกลั่นลงมา ส่วนค่าการกลั่นรวมเฉลี่ย (GIM)อยู่ที่ 8.50-9.50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ใกล้เคียงไตรมาสก่อน เนื่องจากกำไรของพาราไซลีนและน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานอ่อนตัวลง เป็นผลจากช่วงที่ผ่านมาความต้องการใช้พาราไซลีนในจีนลดลงตามทิศทางราคาน้ำมันดิบทำให้ลูกค้าชะลอการสั่งซื้อลง แต่ล่าสุดได้ทยอยซื้ออีกครั้ง
ส่วนกรณีที่รัฐยกเลิกการใช้เบนซิน 91 ในวันที่ 1 ม.ค. 2556 นั้น ไม่ส่งผลกระทบต่อขบวนการกลั่นของไทยออยล์เหมือนโรงกลั่นอื่นๆเนื่องจากสัดส่วนน้ำมันเบนซินที่ผลิตได้ค่อนข้างต่ำคิดเป็น 18-19% ของกำลังการกลั่น โดยส่วนใหญ่โรงกลั่นไทยออยล์กลั่นได้ดีเซลและน้ำมันอากาศยาน(เจ็ต) แต่อยากเสนอให้รัฐเร่งส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 แทนE10เพื่อให้โรงกลั่นปรับปรุงกระบวนการกลั่นทีเดียว ไม่ต้องปรับปรุงหลายครั้ง หลังจากนโยบายรัฐต้องการส่งเสริมการใช้เอทานอลเพิ่มขึ้นอยู่แล้ว ซึ่งปัจจุบันกำลังการผลิตเอทานอลในประเทศล้นตลาดต้องส่งออก หากรัฐส่งเสริมการใช้ E20 จะทำให้ความต้องการใช้เอทานอลเพิ่มขึ้นจาก 1.5 ล้านลิตร/วันเป็น 2.5 ล้านลิตร/วัน
--จบ--
Source - ASTV ผู้จัดการรายวัน (Th), Monday, November 05, 2012
ASTVผู้จัดการรายวัน - "ไทยออยล์" จับตาผลกระทบกรณีที่สหรัฐฯลงทุนปิโตรเคมีจากเชลแก๊สทำให้เปลี่ยนจากผู้นำเข้าเป็นผู้ส่งออกแทน พร้อมยอมรับโครงการขยายพาราไซลีน(PX Max) 1 แสนตัน/ปีอาจผลิตได้แค่ 70%ของกำลังผลิต เหตุราคาวัตถุดิบพุ่งทำให้ต้องหยุดการนำเข้าบางส่วน แย้มสเปรดพาราไซลีนเริ่มดีขึ้นหลังจีนหันมานำเข้าอีกครั้ง ทำให้ค่าการกลั่นรวมเฉลี่ย(GIM)อยู่ที่ 8.5-9.5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
นายวีรศักดิ์ โฆสิตไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยออยล์ จำกัด(มหาชน) (TOP) เปิดเผยว่า สิ่งที่ต้องจับตาของธุรกิจพลังงานและเตรียมพร้อมรับมือในอนาคตหลังจากสหรัฐฯมีการนำเชลแก๊ส (Shale Gas)มาใช้ที่มีต้นทุนการผลิตต่ำมากแค่ 3 เหรียญ/ล้านบีทียู ทำให้สหรัฐฯจะลดการพึ่งพาน้ำมันดิบจากตะวันออกกลาง โดยเชลแก๊สนี้คาดว่าจะนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าแทนถ่านหิน ซึ่งจะมีผลกระทบต่อราคาถ่านหินในอนาคตด้วยอย่างไรก็ตาม ในกระบวนการผลิตเชลแก๊สจะได้Wet Gas
ซึ่งสามารถต่อยอดทำโรงปิโตรเคมีได้ล่าสุดมีบริษัทใหญ่ประกาศลงทุนปิโตรเคมีจากเชลแก๊สแล้ว ซึ่งปิโตรเคมีที่ผลิตจาก Wet Gas จะเป็นสายโอเลฟินส์ที่ได้เอทิลีนเป็นหลัก โดยมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำ ทำให้อนาคตสหรัฐฯจะเปลี่ยนจากผู้นำเข้าเป็นผู้ส่งออกปิโตรเคมีด้วย
ส่วนแผนการลงทุนในปีนี้สำหรับโครงการขยายกำลังการผลิตพาราไซลีนอีก 1 แสนตัน/ปี(PX Max) เงินลงทุน 60 ล้านเหรียญสหรัฐโดยการปรับปรุงโทลูอีนมาเป็นพาราไซลีนนั้นอยู่ระหว่างทดลองการผลิต คาดว่าจะผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในปลายปีนี้ ทำให้บริษัทฯมีกำลังการผลิตพาราไซลีนเพิ่มขึ้นเป็น 5 แสนตัน/ปีส่งผลให้รายได้เติบโตขึ้นด้วยโดยยอมรับว่าโครงการขยายกำลังการผลิตพาราไซลีนอาจจะยังเดินเครื่องจักรได้ไม่เต็มที่ในช่วงนี้ เนื่องจากแผนเดิมบริษัทฯจะต้องนำเข้าโทลูอีนเพื่อรวมกับปริมาณโทลูอีนที่ผลิตได้จึงจะเดินเครื่องจักรได้เต็มที่ แต่ล่าสุดราคาโทลูอีนในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ไม่คุ้มหากต้องนำเข้า จึงผลิตได้เพียง 70% ของกำลังการผลิตซึ่งไม่มีผลกระทบใดเพราะอยู่ภายใต้ความเสี่ยงที่วางแผนไว้เดิมอยู่แล้ว
นอกจากนี้ บริษัทฯยังศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายกำลังผลิต(Debottleneck)พาราไซลีน โดยการปรับปรุงเครื่องจักรต่างๆ อยู่คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆ นี้ ปัจจุบันราคาพาราไซลีนอยู่ที่ตันละ 1,500-1600 เหรียญสหรัฐโดยมีสเปรดส่วนต่างผลิตภัณฑ์พาราไซลีนกับวัตถุดิบ(คอนเดนเสต)อยู่ที่ 450-500 เหรียญสหรัฐ
ส่วนโครงการผลิตLAB (Linear Alkyl Benzene)ขนาด 1 แสนตัน/ปี ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตผงซักฟอกและสารซักล้าง โดยใช้เบนซีนและเคโลซีนเป็นวัตถุดิบนั้น คาดว่าจะใช้เงินลงทุน 300-350 ล้านเหรียญสหรัฐขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการออกแบบ คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2559 นับเป็นโครงการแรกของไทย เพื่อรองรับความต้องการใช้อยู่ปีละ 6 หมื่นตัน ที่เหลือจะส่งออกไปต่างประเทศ
สำหรับการลงทุนโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก(เอสพีพี) 2 โรง กำลังการผลิตรวม 200 เมกะวัตต์ โดยจะขยายไฟโรงละ 90 เมกะวัตต์ให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)และมีไฟฟ้า-ไอน้ำจะป้อนให้โรงงานเครือไทยออยล์ ซึ่งขณะนี้ได้ยื่นขอใบอนุญาตฯอยู่โดยโครงการนี้จะไม่อยู่ในแผนการควบรวมบริษัทธุรกิจไฟฟ้าของกลุ่ม ปตท. เนื่องจากเป็นโครงการที่ช่วยเสริมให้โรงกลั่นไทยออยล์ครบวงจรมากยิ่งขึ้น
นายวีรศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้ค่าการกลั่น(GRM)ค่อนข้างผันผวน มี GRM อยู่ที่6.50-7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ต่ำกว่าไตรมาส 3/2555 ที่มีGRMเฉลี่ยอยู่ที่ 7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลเนื่องจากราคาน้ำมันเบนซินได้อ่อนตัวลงมากฉุดค่าการกลั่นลงมา ส่วนค่าการกลั่นรวมเฉลี่ย (GIM)อยู่ที่ 8.50-9.50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ใกล้เคียงไตรมาสก่อน เนื่องจากกำไรของพาราไซลีนและน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานอ่อนตัวลง เป็นผลจากช่วงที่ผ่านมาความต้องการใช้พาราไซลีนในจีนลดลงตามทิศทางราคาน้ำมันดิบทำให้ลูกค้าชะลอการสั่งซื้อลง แต่ล่าสุดได้ทยอยซื้ออีกครั้ง
ส่วนกรณีที่รัฐยกเลิกการใช้เบนซิน 91 ในวันที่ 1 ม.ค. 2556 นั้น ไม่ส่งผลกระทบต่อขบวนการกลั่นของไทยออยล์เหมือนโรงกลั่นอื่นๆเนื่องจากสัดส่วนน้ำมันเบนซินที่ผลิตได้ค่อนข้างต่ำคิดเป็น 18-19% ของกำลังการกลั่น โดยส่วนใหญ่โรงกลั่นไทยออยล์กลั่นได้ดีเซลและน้ำมันอากาศยาน(เจ็ต) แต่อยากเสนอให้รัฐเร่งส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 แทนE10เพื่อให้โรงกลั่นปรับปรุงกระบวนการกลั่นทีเดียว ไม่ต้องปรับปรุงหลายครั้ง หลังจากนโยบายรัฐต้องการส่งเสริมการใช้เอทานอลเพิ่มขึ้นอยู่แล้ว ซึ่งปัจจุบันกำลังการผลิตเอทานอลในประเทศล้นตลาดต้องส่งออก หากรัฐส่งเสริมการใช้ E20 จะทำให้ความต้องการใช้เอทานอลเพิ่มขึ้นจาก 1.5 ล้านลิตร/วันเป็น 2.5 ล้านลิตร/วัน
--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 670
ปตท.จีซี-เปอร์ตามีนา'สรุปร่วมทุนปีนี้
Source - กรุงเทพธุรกิจ (Th), Monday, November 05, 2012
นายอนนท์ สิริแสงทักษิณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ปตท.โกลบอล เคมิคอล จำกัด(มหาชน) เผยว่า การลงทุนในกลุ่มประเทศอาเซียน ทาง) PTTGC ให้ความสนใจที่จะไปลงทุนทำปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ ซึ่งจะมีความครบวงจรทั้งสายการผลิต ตั้งแต่ ต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำ โดยกำลังอยู่ในระหว่างการเจรจากับทางบริษัทเปอร์ตามีนา ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานแห่งชาติของอินโดนีเซีย และคาดว่าจะได้ข้อสรุปการลงทุนภายในเดือนธันวาคม นี้
"อินโดนีเซียมีตลาดขนาดใหญ่ ที่เหมาะสำคัญการไปลงทุนทำปิโตรเคมีครบวงจร เมื่อเปรียบเทียบกับเวียดนาม ซึ่งหลังจากการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน อินโดนีเซีย จะเป็นอีกประเทศที่นักลงทุนให้ความสนใจที่จะเข้าไปลงทุน" นายอนนท์ กล่าว
ทั้งนี้ พีทีที โกลบอล เคมิคอล เป็นแกนนำของธุรกิจเคมีภัณฑ์ของกลุ่ม ปตท. ดำเนินธุรกิจ ปิโตรเคมี และการกลั่นครบวงจรที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ มีกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีสายโอเลฟินส์ และอะโรเมติกส์ รวม 8.2 ล้านตันต่อปี และผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมรวม 228,000 บาร์เรลต่อวัน
ก่อนหน้านี้ บริษัทได้ดำเนินการเข้าซื้อหุ้น 51% ของหุ้นทั้งหมด ในบริษัทเพอร์สตอร์ป โฮลดิ้ง ฟรานซ์ จำนวนเงิน 114.8 ล้านยูโร หรือประมาณ 4,830 ล้านบาท จากผู้ถือหุ้นเดิมเรียบร้อยแล้ว พร้อมเปลี่ยนชื่อเป็นเวินคอเร็กซ์ โฮลดิ้ง
บริษัทยังดำเนินการซื้อหุ้นและลงทุน 50% ในบริษัทเนเจอร์เวิร์คส เป็นจำนวนเงิน 150 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 4,572 ล้านบาท เรียบร้อยแล้ว
--จบ--
Source - กรุงเทพธุรกิจ (Th), Monday, November 05, 2012
นายอนนท์ สิริแสงทักษิณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ปตท.โกลบอล เคมิคอล จำกัด(มหาชน) เผยว่า การลงทุนในกลุ่มประเทศอาเซียน ทาง) PTTGC ให้ความสนใจที่จะไปลงทุนทำปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ ซึ่งจะมีความครบวงจรทั้งสายการผลิต ตั้งแต่ ต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำ โดยกำลังอยู่ในระหว่างการเจรจากับทางบริษัทเปอร์ตามีนา ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานแห่งชาติของอินโดนีเซีย และคาดว่าจะได้ข้อสรุปการลงทุนภายในเดือนธันวาคม นี้
"อินโดนีเซียมีตลาดขนาดใหญ่ ที่เหมาะสำคัญการไปลงทุนทำปิโตรเคมีครบวงจร เมื่อเปรียบเทียบกับเวียดนาม ซึ่งหลังจากการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน อินโดนีเซีย จะเป็นอีกประเทศที่นักลงทุนให้ความสนใจที่จะเข้าไปลงทุน" นายอนนท์ กล่าว
ทั้งนี้ พีทีที โกลบอล เคมิคอล เป็นแกนนำของธุรกิจเคมีภัณฑ์ของกลุ่ม ปตท. ดำเนินธุรกิจ ปิโตรเคมี และการกลั่นครบวงจรที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ มีกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีสายโอเลฟินส์ และอะโรเมติกส์ รวม 8.2 ล้านตันต่อปี และผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมรวม 228,000 บาร์เรลต่อวัน
ก่อนหน้านี้ บริษัทได้ดำเนินการเข้าซื้อหุ้น 51% ของหุ้นทั้งหมด ในบริษัทเพอร์สตอร์ป โฮลดิ้ง ฟรานซ์ จำนวนเงิน 114.8 ล้านยูโร หรือประมาณ 4,830 ล้านบาท จากผู้ถือหุ้นเดิมเรียบร้อยแล้ว พร้อมเปลี่ยนชื่อเป็นเวินคอเร็กซ์ โฮลดิ้ง
บริษัทยังดำเนินการซื้อหุ้นและลงทุน 50% ในบริษัทเนเจอร์เวิร์คส เป็นจำนวนเงิน 150 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 4,572 ล้านบาท เรียบร้อยแล้ว
--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 671
PTTGC in joint-venture talks with Pertamina of Indonesia
Source - The Nation (Eng), Monday, November 05, 2012
PTT Global Chemical (PTTGC) is expected to make a final decision before the year is over as to whether it will join Indonesia’s Pertamina in investing in a petrochemical business complex.
PTTGC chief executive officer Anont Sirisaengtaksin said the company was in talks about a possible joint venture with the state oil-and-gas giant.
Indonesia has a sizeable petrochemical market and more oil and gas companies will rush in after the inception of the Asean Economic Community in 2015, he added.
PTTGC is PTT’s petrochemical flagship and has a combined production capacity of olefins and aromatics at 8.2 million tonnes per year and combined petrochemical products of 228,000 barrels per day.
It recently acquired a 51-per-cent stake in Perstorp Holding France SAS for 114.8 million euros (Bt4.54 billion) and renamed it VENCOREX Holding.
Source - The Nation (Eng), Monday, November 05, 2012
PTT Global Chemical (PTTGC) is expected to make a final decision before the year is over as to whether it will join Indonesia’s Pertamina in investing in a petrochemical business complex.
PTTGC chief executive officer Anont Sirisaengtaksin said the company was in talks about a possible joint venture with the state oil-and-gas giant.
Indonesia has a sizeable petrochemical market and more oil and gas companies will rush in after the inception of the Asean Economic Community in 2015, he added.
PTTGC is PTT’s petrochemical flagship and has a combined production capacity of olefins and aromatics at 8.2 million tonnes per year and combined petrochemical products of 228,000 barrels per day.
It recently acquired a 51-per-cent stake in Perstorp Holding France SAS for 114.8 million euros (Bt4.54 billion) and renamed it VENCOREX Holding.
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 672
Southern landbridge resuscitated
Source - Bangkok Post (Eng), Tuesday, November 06, 2012
YUTHANA PRAIWAN
Plans aim to bulk up strategic oil reserve New Energy Minister Pongsak Raktapongpaisal vows to move ahead with plans to construct the southern landbridge or oil pipeline linkage between the Andaman Sea and the Gulf of Thailand.
At his first day in office as energy minister, the close aide of former prime minister Thaksin Shinawatra said yesterday the project will help enable the government to fulfil its planned strategic oil reserve to 90 days of daily consumption from 36 days at present.
The landbridge idea has been circulating for more than 20 years. Former prime minister Chatichai Choonhavan floated the idea in 1989. The National Economic and Social Development Board completed the project’s master plan in 1992.
The project was revived by the Thaksin Shinawatra government, but shelved after the devastating tsunami hit Thailand in 2004.
Earlier versions of the landbridge project called for the construction of infrastructure and supporting facilities such as a rail and land transport network and an oil pipeline from the Sichon District in Nakhon Si Thammarat to Tap Lamu, Phang Nga.
The project would also draw massive new investment, especially for tank farms, oil refining plants, and related petrochemical industries.
However, the earlier versions ran into heavy opposition from communities and environmentalists concerned about the heavy concentration of industrial and oil-related complexes on the Andaman and Gulf coasts.
Mr Pongsak said the new plan for the landbridge would allow overseas investors to participate.
In a related development, the new minister has assigned nation oil conglomerate PTT Plc to study the feasibility of expansion of oil pipeline development to rural areas from the existing oil pipeline running from Map Ta Phut,Rayong and Si Racha to Suvarnabhumi airport, Bangkok and Don Mueang airport.
He also said the ministry is committed to going ahead with plans to float the prices of liquefied petroleum gas and would rather give a direct subsidy to lower income people.
"We’re studying how to give a direct subsidy to low-income earners through an energy credit card programme that we will issue next year," said Mr Pongsak.
Thailand has been subsidising LPG prices for decades and now the price is fixed at US$333 per tonne, while on the global market it costs $850.
Since 2008, the government’s subsidy programme for LPG prices through the state Oil Fund has totalled over 100 billion baht.
In the power sector, Mr Pongsak said fuel diversification in power generation would proceed as planned in order to secure the energy supply and prevent the possibility of gas disruption.
By 2030, total power generation capacity is expected to rise to 40,000 megawatts from 30,000 MW now.
Source - Bangkok Post (Eng), Tuesday, November 06, 2012
YUTHANA PRAIWAN
Plans aim to bulk up strategic oil reserve New Energy Minister Pongsak Raktapongpaisal vows to move ahead with plans to construct the southern landbridge or oil pipeline linkage between the Andaman Sea and the Gulf of Thailand.
At his first day in office as energy minister, the close aide of former prime minister Thaksin Shinawatra said yesterday the project will help enable the government to fulfil its planned strategic oil reserve to 90 days of daily consumption from 36 days at present.
The landbridge idea has been circulating for more than 20 years. Former prime minister Chatichai Choonhavan floated the idea in 1989. The National Economic and Social Development Board completed the project’s master plan in 1992.
The project was revived by the Thaksin Shinawatra government, but shelved after the devastating tsunami hit Thailand in 2004.
Earlier versions of the landbridge project called for the construction of infrastructure and supporting facilities such as a rail and land transport network and an oil pipeline from the Sichon District in Nakhon Si Thammarat to Tap Lamu, Phang Nga.
The project would also draw massive new investment, especially for tank farms, oil refining plants, and related petrochemical industries.
However, the earlier versions ran into heavy opposition from communities and environmentalists concerned about the heavy concentration of industrial and oil-related complexes on the Andaman and Gulf coasts.
Mr Pongsak said the new plan for the landbridge would allow overseas investors to participate.
In a related development, the new minister has assigned nation oil conglomerate PTT Plc to study the feasibility of expansion of oil pipeline development to rural areas from the existing oil pipeline running from Map Ta Phut,Rayong and Si Racha to Suvarnabhumi airport, Bangkok and Don Mueang airport.
He also said the ministry is committed to going ahead with plans to float the prices of liquefied petroleum gas and would rather give a direct subsidy to lower income people.
"We’re studying how to give a direct subsidy to low-income earners through an energy credit card programme that we will issue next year," said Mr Pongsak.
Thailand has been subsidising LPG prices for decades and now the price is fixed at US$333 per tonne, while on the global market it costs $850.
Since 2008, the government’s subsidy programme for LPG prices through the state Oil Fund has totalled over 100 billion baht.
In the power sector, Mr Pongsak said fuel diversification in power generation would proceed as planned in order to secure the energy supply and prevent the possibility of gas disruption.
By 2030, total power generation capacity is expected to rise to 40,000 megawatts from 30,000 MW now.
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 673
ใช้5พันล้านอุดหนุนก๊าซหุงต้ม'เพ้ง'ยันใช้ฟรี6กก.ต่อเดือน หนุนสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน
Source - มติชน (Th), Tuesday, November 06, 2012 05:22
’พงษ์ศักดิ์’ลั่นใช้ 5 พันล้านอุดหนุนก๊าซหุงต้ม ให้ 6 กก.ต่อเดือนผ่านบัตรเครดิตพลังงาน สั่งศึกษาสร้างท่อส่งน้ำมันเชื่อมอ่าวไทยอันดามัน ยันต้องสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน ขณะที่’ชัชชาติ’เร่งสร้างสุวรรณภูมิ 3 เฟสรวด บี้ ร.ฟ.ท.เปลี่ยนแบบ 180 องศา
เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเข้าทำงานเป็นวันแรก โดยนายพงษ์ศักดิ์กล่าวให้นโยบายว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ดูแลราคาพลังงาน โดยเฉพาะโครงสร้างราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ในส่วนของแอลพีจีครัวเรือน หากสิ้นสุดมาตรการตรึงราคา 18.13 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) สิ้นปี 2555 และเข้าสู่มาตรการขึ้นราคาตามต้นทุนแท้จริงจะส่งผลกระทบต่อคนยากจน ผู้ประกอบการหาบเร่ แผงลอย ดังนั้นจึงสั่งการให้นายณอคุณ สิทธิพงศ์ ปลัดกระทรวงพลังงานเร่งจัดทำข้อมูลผู้ได้รับผลกระทบและมาตรการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน
"เบื้องต้นได้รับรายงานว่า หากประเมินกลุ่มที่ควรได้รับความช่วยเหลืออุดหนุนราคาแอลพีจีครัวเรือน จากครัวเรือนยากจนปัจจุบันที่ได้รับค่าไฟฟ้าฟรีไม่เกิน 50 หน่วยต่อเดือนจากรัฐบาล จะรวมเป็น 4 ล้านครัวเรือน กลุ่มนี้ใช้ก๊าซเดือนละ 6 กก.ต่อครัวเรือน ถ้ารัฐบาลอุดหนุนโดยตรง กก.ละ 10 บาท จะอยู่ที่เดือนละ 60 บาทต่อครัวเรือน รวม 4 ล้านครัวเรือนจะอยู่ที่ 2,880 ล้านบาทต่อปี อีกกลุ่มคือ ผู้ประกอบการรายย่อย เบื้องต้นคาดว่าจะใช้งบอุดหนุนผู้ประกอบการ 2,000 ล้านบาทต่อปี รวมเงินที่ใช้อุดหนุนทั้งสองกลุ่มไม่เกิน 5,000 ล้านบาทต่อปี ลดภาระกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและเงินที่เก็บจากผู้ใช้น้ำมันเบนซินจะลดลงด้วย จากปัจจุบันอุดหนุนทั้งระบบถึง 30,000 ล้านบาท โดยแนวทางการอุดหนุนอาจใช้บัตรเครดิตพลังงานที่มีอยู่แล้ว แต่แอลพีจีจะไม่ให้ส่วนลดทันที แต่อาจให้จ่ายเต็มราคาแล้วคืนเงินผ่านบัตรตามหลัง" นายพงษ์ศักดิ์กล่าว
นายพงษ์ศักดิ์กล่าวว่า ภารกิจที่นายกรัฐมนตรีสั่งการยังรวมถึงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการตามแผนเพิ่มปริมาณสำรองน้ำมันในประเทศเป็น 90 วัน จากปัจจุบันสำรองเฉพาะภาคเอกชน 36 วัน คิดเป็น 5% ของปริมาณการใช้ โดยให้ศึกษาการสร้างท่อส่งน้ำมันระหว่างอันดามันกับอ่าวไทย ที่อยู่ในแผนของโครงการสะพานเศรษฐกิจเชื่อมโยงทะเลอันดามันและอ่าวไทย (แลนด์บริดจ์) ซึ่งยืนยันว่าไม่ใช่การฟื้นโครงการแลนด์บริดจ์ แค่นำข้อมูลท่อน้ำมันมาใช้ให้เป็นประโยชน์เท่านั้น
นอกจากนี้ โครงการขยายท่อส่งน้ำมันไปตามพื้นที่ภาคอีสานและเหนือ ได้ให้นโยบายเพิ่มเติมเพื่อศึกษา คือ อาจตั้งบริษัทลูกเพื่อบริหารจัดการราคาน้ำมันตามแนวท่อให้เป็นราคาเดียวกับกรุงเทพฯ รูปแบบเดียวกับการวางระบบสายส่งไฟฟ้าที่คนใช้ไฟฟ้าราคาเท่ากันทุกพื้นที่ ส่วนรัฐวิสาหกิจหลัก 2 แห่ง คือ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) อยากให้จัดสรรงบส่วนหนึ่งมาทำเรื่องซีเอสอาร์ หรือช่วยพัฒนาสินค้าโอท็อปจำหน่ายในปั๊ม ปตท. ช่วยผู้ประกอบการ ส่วนการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ควรเร่งสร้างความเข้าใจถึงความจำเป็นที่ไทยต้องเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ ซึ่งพลังงานอย่างถ่านหินมีความจำเป็น เพราะราคาถูกและเทคโนโลยีปัจจุบันปลอดภัย
วันเดียวกัน นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พล.อ.พฤณท์ สุวรรณทัต และนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม มอบนโยบายผู้บริหารกระทรวง โดยเน้นความพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) เช่น การเชื่อมโยงโครงข่ายทั่วประเทศ ไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ขณะเดียวกันพัฒนาระบบการขนส่งให้มีประสิทธิภาพ เร่งโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง โดยตั้งเป้าเปิดประมูลให้ได้ในปีหน้า
"การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ต้องเปลี่ยน 180 องศา เพราะถึงเวลาต้องเปลี่ยนแล้ว ไม่อย่างนั้นก็ตายด้วยกัน ส่วนที่มีแผนขึ้นค่าโดยสารอีก 10% ปี 2556 นั้น ยังไม่ให้ขึ้นต้องปรับปรุงบริการให้ดีก่อน" นายชัชชาติ กล่าว
นายชัชชาติกล่าวว่า จะเรียกผู้บริหารบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เข้าหารือในการเปิดให้บริการอาคาร 2 ของท่าอากาศยานดอนเมืองประมาณต้นปีหน้า เพื่อลดความแออัดของอาคาร 1 ขณะเดียวกันต้องเร่งก่อสร้างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิระยะที่ 3 และ 4 ควบคู่ไปกับการก่อสร้างระยะที่ 2 ไปด้วย รวมถึงการก่อสร้างรันเวย์ 3 ขณะที่ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์ช่วงพญาไท-ดอนเมือง จะต้องเปิดประมูลให้ได้ในต้นปีหน้า
วันเดียวกัน ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายยุคล ลิ้มแหลมทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยนายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ และนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ ร่วมแถลงนโยบายต่อข้าราชการระดับสูงกระทรวงเกษตรฯ
นายยุคลเปิดเผยว่า ขอให้ทุกหน่วยงานจัดทำแผนเชิงรุกเข้าหาเกษตรกร และให้เกษตรจังหวัดจัดทำแผนพัฒนาเกษตรในระดับจังหวัด โดยนำข้อมูลผลผลิตสินค้าด้านการเกษตร 10 อันดับในแต่ละเดือนมาประกอบ และให้รายงานมาภายในวันที่ 31 ธันวาคมนี้ ทั้งนี้ เพื่อจัดทำเขตเศรษฐกิจสินค้าเกษตรที่สำคัญ (โซนนิ่งเกษตร)
"ให้ทุกหน่วยงานเร่งจัดทำงบประมาณ โดยเฉพาะงบลงทุนให้เสร็จภายในวันที่ 21 พฤศจิกายนนี้ รวบรวมแผนการยกระดับราคาสินค้าที่ชัดเจนภายใน 2 สัปดาห์หลังจากนี้ และจะผลักดันให้เกษตรไทยเป็นผู้นำในอาเซียน" นายยุคลกล่าว
--จบ--
Source - มติชน (Th), Tuesday, November 06, 2012 05:22
’พงษ์ศักดิ์’ลั่นใช้ 5 พันล้านอุดหนุนก๊าซหุงต้ม ให้ 6 กก.ต่อเดือนผ่านบัตรเครดิตพลังงาน สั่งศึกษาสร้างท่อส่งน้ำมันเชื่อมอ่าวไทยอันดามัน ยันต้องสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน ขณะที่’ชัชชาติ’เร่งสร้างสุวรรณภูมิ 3 เฟสรวด บี้ ร.ฟ.ท.เปลี่ยนแบบ 180 องศา
เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเข้าทำงานเป็นวันแรก โดยนายพงษ์ศักดิ์กล่าวให้นโยบายว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ดูแลราคาพลังงาน โดยเฉพาะโครงสร้างราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ในส่วนของแอลพีจีครัวเรือน หากสิ้นสุดมาตรการตรึงราคา 18.13 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) สิ้นปี 2555 และเข้าสู่มาตรการขึ้นราคาตามต้นทุนแท้จริงจะส่งผลกระทบต่อคนยากจน ผู้ประกอบการหาบเร่ แผงลอย ดังนั้นจึงสั่งการให้นายณอคุณ สิทธิพงศ์ ปลัดกระทรวงพลังงานเร่งจัดทำข้อมูลผู้ได้รับผลกระทบและมาตรการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน
"เบื้องต้นได้รับรายงานว่า หากประเมินกลุ่มที่ควรได้รับความช่วยเหลืออุดหนุนราคาแอลพีจีครัวเรือน จากครัวเรือนยากจนปัจจุบันที่ได้รับค่าไฟฟ้าฟรีไม่เกิน 50 หน่วยต่อเดือนจากรัฐบาล จะรวมเป็น 4 ล้านครัวเรือน กลุ่มนี้ใช้ก๊าซเดือนละ 6 กก.ต่อครัวเรือน ถ้ารัฐบาลอุดหนุนโดยตรง กก.ละ 10 บาท จะอยู่ที่เดือนละ 60 บาทต่อครัวเรือน รวม 4 ล้านครัวเรือนจะอยู่ที่ 2,880 ล้านบาทต่อปี อีกกลุ่มคือ ผู้ประกอบการรายย่อย เบื้องต้นคาดว่าจะใช้งบอุดหนุนผู้ประกอบการ 2,000 ล้านบาทต่อปี รวมเงินที่ใช้อุดหนุนทั้งสองกลุ่มไม่เกิน 5,000 ล้านบาทต่อปี ลดภาระกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและเงินที่เก็บจากผู้ใช้น้ำมันเบนซินจะลดลงด้วย จากปัจจุบันอุดหนุนทั้งระบบถึง 30,000 ล้านบาท โดยแนวทางการอุดหนุนอาจใช้บัตรเครดิตพลังงานที่มีอยู่แล้ว แต่แอลพีจีจะไม่ให้ส่วนลดทันที แต่อาจให้จ่ายเต็มราคาแล้วคืนเงินผ่านบัตรตามหลัง" นายพงษ์ศักดิ์กล่าว
นายพงษ์ศักดิ์กล่าวว่า ภารกิจที่นายกรัฐมนตรีสั่งการยังรวมถึงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการตามแผนเพิ่มปริมาณสำรองน้ำมันในประเทศเป็น 90 วัน จากปัจจุบันสำรองเฉพาะภาคเอกชน 36 วัน คิดเป็น 5% ของปริมาณการใช้ โดยให้ศึกษาการสร้างท่อส่งน้ำมันระหว่างอันดามันกับอ่าวไทย ที่อยู่ในแผนของโครงการสะพานเศรษฐกิจเชื่อมโยงทะเลอันดามันและอ่าวไทย (แลนด์บริดจ์) ซึ่งยืนยันว่าไม่ใช่การฟื้นโครงการแลนด์บริดจ์ แค่นำข้อมูลท่อน้ำมันมาใช้ให้เป็นประโยชน์เท่านั้น
นอกจากนี้ โครงการขยายท่อส่งน้ำมันไปตามพื้นที่ภาคอีสานและเหนือ ได้ให้นโยบายเพิ่มเติมเพื่อศึกษา คือ อาจตั้งบริษัทลูกเพื่อบริหารจัดการราคาน้ำมันตามแนวท่อให้เป็นราคาเดียวกับกรุงเทพฯ รูปแบบเดียวกับการวางระบบสายส่งไฟฟ้าที่คนใช้ไฟฟ้าราคาเท่ากันทุกพื้นที่ ส่วนรัฐวิสาหกิจหลัก 2 แห่ง คือ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) อยากให้จัดสรรงบส่วนหนึ่งมาทำเรื่องซีเอสอาร์ หรือช่วยพัฒนาสินค้าโอท็อปจำหน่ายในปั๊ม ปตท. ช่วยผู้ประกอบการ ส่วนการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ควรเร่งสร้างความเข้าใจถึงความจำเป็นที่ไทยต้องเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ ซึ่งพลังงานอย่างถ่านหินมีความจำเป็น เพราะราคาถูกและเทคโนโลยีปัจจุบันปลอดภัย
วันเดียวกัน นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พล.อ.พฤณท์ สุวรรณทัต และนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม มอบนโยบายผู้บริหารกระทรวง โดยเน้นความพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) เช่น การเชื่อมโยงโครงข่ายทั่วประเทศ ไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ขณะเดียวกันพัฒนาระบบการขนส่งให้มีประสิทธิภาพ เร่งโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง โดยตั้งเป้าเปิดประมูลให้ได้ในปีหน้า
"การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ต้องเปลี่ยน 180 องศา เพราะถึงเวลาต้องเปลี่ยนแล้ว ไม่อย่างนั้นก็ตายด้วยกัน ส่วนที่มีแผนขึ้นค่าโดยสารอีก 10% ปี 2556 นั้น ยังไม่ให้ขึ้นต้องปรับปรุงบริการให้ดีก่อน" นายชัชชาติ กล่าว
นายชัชชาติกล่าวว่า จะเรียกผู้บริหารบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เข้าหารือในการเปิดให้บริการอาคาร 2 ของท่าอากาศยานดอนเมืองประมาณต้นปีหน้า เพื่อลดความแออัดของอาคาร 1 ขณะเดียวกันต้องเร่งก่อสร้างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิระยะที่ 3 และ 4 ควบคู่ไปกับการก่อสร้างระยะที่ 2 ไปด้วย รวมถึงการก่อสร้างรันเวย์ 3 ขณะที่ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์ช่วงพญาไท-ดอนเมือง จะต้องเปิดประมูลให้ได้ในต้นปีหน้า
วันเดียวกัน ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายยุคล ลิ้มแหลมทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยนายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ และนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ ร่วมแถลงนโยบายต่อข้าราชการระดับสูงกระทรวงเกษตรฯ
นายยุคลเปิดเผยว่า ขอให้ทุกหน่วยงานจัดทำแผนเชิงรุกเข้าหาเกษตรกร และให้เกษตรจังหวัดจัดทำแผนพัฒนาเกษตรในระดับจังหวัด โดยนำข้อมูลผลผลิตสินค้าด้านการเกษตร 10 อันดับในแต่ละเดือนมาประกอบ และให้รายงานมาภายในวันที่ 31 ธันวาคมนี้ ทั้งนี้ เพื่อจัดทำเขตเศรษฐกิจสินค้าเกษตรที่สำคัญ (โซนนิ่งเกษตร)
"ให้ทุกหน่วยงานเร่งจัดทำงบประมาณ โดยเฉพาะงบลงทุนให้เสร็จภายในวันที่ 21 พฤศจิกายนนี้ รวบรวมแผนการยกระดับราคาสินค้าที่ชัดเจนภายใน 2 สัปดาห์หลังจากนี้ และจะผลักดันให้เกษตรไทยเป็นผู้นำในอาเซียน" นายยุคลกล่าว
--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 674
ปตท.เร่งผลิตก๊าซชีวภาพอัด CBGแก้ปัญหา NGV ภาคเหนือขาดแคลน
Source - สยามธุรกิจ (Th), Wednesday, November 07, 2012
ปตท.แจงปั๊มก๊าซ NGV เชียงรายเก็บค่ามัดจำบัตรคิว เหตุลูกค้ารับบัตรแล้วไม่มาเติม ยันไม่ได้มุ่งหวังหารายได้ แต่เพื่อเป็นการแก้ปัญหาจราจรจากรถที่รอคิวยาว พร้อมเร่งแก้ปัญหาก๊าซในจังหวัดทางภาคเหนือ ขาดแคลน ด้วยการผลิตก๊าซชีวภาพอัด หรือ CBG ในพื้นที่เชียงใหม่เพื่อใช้ทดแทน NGV
จากที่ผู้ใช้บริการปั๊มก๊าซ NGV ร้องเรียนมายังหนังสือพิมพ์ “สยามธุรกิจ” กรณีสถานีบริการ NGV ปตท. เค ยู ออยล์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย (ปั๊มเอกชนเป็นเจ้าของและบริหารงานเอง) มีการเก็บค่ามัดจำของการออกบัตรคิวจำนวน 100 บาท ทางปตท.กล่าวชี้แจงว่า จากการตรวจสอบพบมีการเก็บค่ามัดจำจริง โดยทางผู้บริหารสถานีฯยอมรับว่า เนื่องจากมีรถเข้ามารอใช้บริการเป็นจำนวนมากจึงต้องมีการออกบัตรคิว แต่เนื่องด้วยผู้ใช้บริการหลายรายเมื่อได้รับบัตรคิวไปแล้วไม่มาเติมตามที่ได้ลงคิวไว้ ทำให้พนักงานหน้าลานบริหารรถเข้าเติมก๊าซโดยลำบาก หากผู้บริหารสถานีไม่จัดการกับการจราจรภายในสถานีอย่างจริงจัง จะทำให้มีรถเข้ามารอใช้บริการจนเต็มสถานี และล้นไปถึงนอกสถานี ประกอบกับที่ตั้งของสถานีตั้งอยู่หลังจากห้าแยกพ่อขุนเล็กน้อย ซึ่งเป็นแยกเข้าเมืองเชียงราย หากมีคิวรถต่อยาวไปจนถึงห้าแยกพ่อขุนจะทำให้เกิดปัญหาการจราจรแก่ผู้ที่สัญจรไปมาเป็นอย่างมาก ผู้บริหารสถานีจึงแก้ไขปัญหาด้วยการเก็บค่ามัดจำบัตรคิวดังกล่าว และยืนยันไม่ได้มุ่งหวังหารายได้จากการเก็บค่ามัดจำครั้งนี้ เพียงแต่ต้องการที่จะบริหารจัดการกับปัญหาการจราจรเท่านั้น แต่ภายหลังจากที่ได้รับแจ้งเกี่ยวกับข้อร้องเรียนผู้บริหารสถานีก็ยินดีปรับปรุงการจัดการคิวรถ ด้วยการแจกเพียงบัตรคิวเพียงอย่างเดียว โดยไม่เก็บค่ามัดจำ 100 บาทอีกต่อไป
ส่วนกรณีก๊าซ NGV ขึ้นราคามาแล้ว แต่ยังไม่เห็นปตท. ดำเนินการเพิ่มปั๊มแต่อย่างใด โดยเฉพาะปั๊มตามต่างจังหวัดมีจำนวนไม่เพียงพอ ทางปตท.ชี้แจงว่า จากวิกฤติน้ำมันแพงทำให้ต้องสูญเสียเงินตราไหลออกนอกประเทศเป็นจำนวนมาก รัฐบาลจึงอยากให้ประชาชนได้ใช้ NGV เป็นเชื้อเพลิงทางเลือก โดยสร้างแรงจูงใจในเบื้องต้น ด้วยการตั้งราคาขายที่ต่ำกว่าทุน 8.50 บาท เป็นเวลา 8 ปี ผลจากที่ขายต่ำกว่าทุนมานานเกินไปโดยไม่ปรับราคา คนจึงเข้าใจว่า NGV เป็นพลังงานราคาถูกและได้หันมานำรถไปติด NGV กันมากขึ้น ส่งผลให้ปั๊มบริการขยายตัวรองรับกันไม่ทัน เมื่อความต้องการใช้ก๊าซมากขึ้น แต่ราคายังต่ำกว่าความเป็นจริงก็ยิ่งขาดทุนมากขึ้น เมื่อขาดทุนมากขึ้นก็ไม่มีกำลังจะไปลงทุนขยายสถานีเพิ่มขึ้น เมื่อปั๊มมีไม่มากพอกับกระจายไม่ทั่วถึง แต่ความต้องการขยายตัวเพิ่มขึ้น จึงทำให้รถต้องมาอออยู่ที่บางจุด เพราะการเติมก๊าซเติมได้น้อย ต้องเติมบ่อย และต้องใช้เวลานานกว่าการเติมน้ำมัน เนื่องจากก๊าซเป็นไอ ต้องใช้แรงดันและการเติมทุกครั้งต้องเติมเต็มถัง การใช้แรงดันจะรีบร้อนก็ไม่ได้ ต้องใช้อย่างพอดี เพื่อความปลอดภัย (มาตรฐานความปลอดภัยสากล ใช้เวลาเติมประมาณ 5 นาที ที่ความดัน 200 BAR) รถยนต์นั่งส่วนบุคคล 1 คัน ใช้เวลาเติมก๊าซไม่น้อยกว่า 5 นาที 15 กิโลกรัม หากเจอรถบรรทุกซึ่งต้องเติมก๊าซถึง 190 กิโลกรัม ต้องใช้เวลาร่วม 25 นาที และหากเป็นปั๊มนอกแนวท่อ คันหลังๆ ที่คอยมานานก็มีสิทธิ์เจอก๊าซหมด เพราะไม่มีท่อคอยส่งมาให้ตลอดเวลา ไม่ให้ขาด และรถก็ขนมาได้แค่เที่ยวละ 3,000 กิโล ดังนั้น การจะใช้ NGV ต้องคิดก่อนใช้ หากเส้นทางสัญจรของผู้ใช้บริการอยู่บนแนวท่อก็เหมาะที่จะใช้ NGV เป็นพลังงานหลัก แต่ถ้าไม่ได้อยู่แนวท่อต้องยอมรับข้อจำกัด ไม่ควรใช้เป็นทางเลือก จะให้ดีควรใช้เป็นทางเลือกร่วมกับน้ำมัน วางแผนการใช้และ มีวินัยในการเติม
ส่วนเหตุผลที่ก๊าซขาดในจังหวัดทางภาคเหนือบ่อย เนื่องจากภาคเหนือ ไม่มีระบบท่อส่งก๊าซไปถึง จึงต้องอาศัยรถขนส่งก๊าซขึ้นไปส่งเป็นสำคัญ แต่ด้วยข้อจำกัดของรถขนส่งที่ส่งได้ประมาณ 3,000 ก.ก./เที่ยว เทียบเท่าปริมาณก๊าซสำหรับ รถเล็กประมาณ 250 คัน จึงทำให้ก๊าซหมดเร็ว และไม่เพียงพอกับความต้องการของผู้ใช้ NGV ที่เพิ่มขึ้นทุกวัน ซึ่งทางปตท. ไม่นิ่งนอนใจได้เร่งดำเนินโครงการผลิตก๊าซชีวภาพอัด หรือ CBGเพื่อใช้ทดแทน NGV ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ โดยโรงผลิตก๊าซ CBG อยู่ที่ อ.แม่ แตง จ.เชียงใหม่ เป็นโรงงานที่นำน้ำเสียจากฟาร์มสุกรมาผลิตก๊าซชีวภาพ ก่อนนำมาปรับคุณภาพและเพิ่มความดัน เพื่อแปรสภาพเป็นก๊าซ NGV ก่อนจ่ายให้รถ NGV ในพื้นที่ภาคเหนือ โดยมีกำลังการผลิต 6 ตันต่อวัน ซึ่งรองรับรถ NGV ขนาดเล็กได้ประมาณ 500 คัน/วัน หรือรถบรรทุกขนาดใหญ่ 40 คัน/วัน คาดเริ่มจำหน่ายเชิงพาณิชย์ได้ต้นปี2556 พร้อมกันนั้นทางปตท.กำลังเร่งโครงการวางท่อส่งก๊าซฯ ต่อไปถึง จ.นครสวรรค์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มจำนวนสถานี NGV แนวท่อส่งก๊าซในเส้นทางภาคเหนือและลดเวลาการขนส่งก๊าซฯ ไปยังจังหวัดห่างไกล ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดเริ่มจ่ายก๊าซได้ปลายปี 2557
--จบ--
Source - สยามธุรกิจ (Th), Wednesday, November 07, 2012
ปตท.แจงปั๊มก๊าซ NGV เชียงรายเก็บค่ามัดจำบัตรคิว เหตุลูกค้ารับบัตรแล้วไม่มาเติม ยันไม่ได้มุ่งหวังหารายได้ แต่เพื่อเป็นการแก้ปัญหาจราจรจากรถที่รอคิวยาว พร้อมเร่งแก้ปัญหาก๊าซในจังหวัดทางภาคเหนือ ขาดแคลน ด้วยการผลิตก๊าซชีวภาพอัด หรือ CBG ในพื้นที่เชียงใหม่เพื่อใช้ทดแทน NGV
จากที่ผู้ใช้บริการปั๊มก๊าซ NGV ร้องเรียนมายังหนังสือพิมพ์ “สยามธุรกิจ” กรณีสถานีบริการ NGV ปตท. เค ยู ออยล์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย (ปั๊มเอกชนเป็นเจ้าของและบริหารงานเอง) มีการเก็บค่ามัดจำของการออกบัตรคิวจำนวน 100 บาท ทางปตท.กล่าวชี้แจงว่า จากการตรวจสอบพบมีการเก็บค่ามัดจำจริง โดยทางผู้บริหารสถานีฯยอมรับว่า เนื่องจากมีรถเข้ามารอใช้บริการเป็นจำนวนมากจึงต้องมีการออกบัตรคิว แต่เนื่องด้วยผู้ใช้บริการหลายรายเมื่อได้รับบัตรคิวไปแล้วไม่มาเติมตามที่ได้ลงคิวไว้ ทำให้พนักงานหน้าลานบริหารรถเข้าเติมก๊าซโดยลำบาก หากผู้บริหารสถานีไม่จัดการกับการจราจรภายในสถานีอย่างจริงจัง จะทำให้มีรถเข้ามารอใช้บริการจนเต็มสถานี และล้นไปถึงนอกสถานี ประกอบกับที่ตั้งของสถานีตั้งอยู่หลังจากห้าแยกพ่อขุนเล็กน้อย ซึ่งเป็นแยกเข้าเมืองเชียงราย หากมีคิวรถต่อยาวไปจนถึงห้าแยกพ่อขุนจะทำให้เกิดปัญหาการจราจรแก่ผู้ที่สัญจรไปมาเป็นอย่างมาก ผู้บริหารสถานีจึงแก้ไขปัญหาด้วยการเก็บค่ามัดจำบัตรคิวดังกล่าว และยืนยันไม่ได้มุ่งหวังหารายได้จากการเก็บค่ามัดจำครั้งนี้ เพียงแต่ต้องการที่จะบริหารจัดการกับปัญหาการจราจรเท่านั้น แต่ภายหลังจากที่ได้รับแจ้งเกี่ยวกับข้อร้องเรียนผู้บริหารสถานีก็ยินดีปรับปรุงการจัดการคิวรถ ด้วยการแจกเพียงบัตรคิวเพียงอย่างเดียว โดยไม่เก็บค่ามัดจำ 100 บาทอีกต่อไป
ส่วนกรณีก๊าซ NGV ขึ้นราคามาแล้ว แต่ยังไม่เห็นปตท. ดำเนินการเพิ่มปั๊มแต่อย่างใด โดยเฉพาะปั๊มตามต่างจังหวัดมีจำนวนไม่เพียงพอ ทางปตท.ชี้แจงว่า จากวิกฤติน้ำมันแพงทำให้ต้องสูญเสียเงินตราไหลออกนอกประเทศเป็นจำนวนมาก รัฐบาลจึงอยากให้ประชาชนได้ใช้ NGV เป็นเชื้อเพลิงทางเลือก โดยสร้างแรงจูงใจในเบื้องต้น ด้วยการตั้งราคาขายที่ต่ำกว่าทุน 8.50 บาท เป็นเวลา 8 ปี ผลจากที่ขายต่ำกว่าทุนมานานเกินไปโดยไม่ปรับราคา คนจึงเข้าใจว่า NGV เป็นพลังงานราคาถูกและได้หันมานำรถไปติด NGV กันมากขึ้น ส่งผลให้ปั๊มบริการขยายตัวรองรับกันไม่ทัน เมื่อความต้องการใช้ก๊าซมากขึ้น แต่ราคายังต่ำกว่าความเป็นจริงก็ยิ่งขาดทุนมากขึ้น เมื่อขาดทุนมากขึ้นก็ไม่มีกำลังจะไปลงทุนขยายสถานีเพิ่มขึ้น เมื่อปั๊มมีไม่มากพอกับกระจายไม่ทั่วถึง แต่ความต้องการขยายตัวเพิ่มขึ้น จึงทำให้รถต้องมาอออยู่ที่บางจุด เพราะการเติมก๊าซเติมได้น้อย ต้องเติมบ่อย และต้องใช้เวลานานกว่าการเติมน้ำมัน เนื่องจากก๊าซเป็นไอ ต้องใช้แรงดันและการเติมทุกครั้งต้องเติมเต็มถัง การใช้แรงดันจะรีบร้อนก็ไม่ได้ ต้องใช้อย่างพอดี เพื่อความปลอดภัย (มาตรฐานความปลอดภัยสากล ใช้เวลาเติมประมาณ 5 นาที ที่ความดัน 200 BAR) รถยนต์นั่งส่วนบุคคล 1 คัน ใช้เวลาเติมก๊าซไม่น้อยกว่า 5 นาที 15 กิโลกรัม หากเจอรถบรรทุกซึ่งต้องเติมก๊าซถึง 190 กิโลกรัม ต้องใช้เวลาร่วม 25 นาที และหากเป็นปั๊มนอกแนวท่อ คันหลังๆ ที่คอยมานานก็มีสิทธิ์เจอก๊าซหมด เพราะไม่มีท่อคอยส่งมาให้ตลอดเวลา ไม่ให้ขาด และรถก็ขนมาได้แค่เที่ยวละ 3,000 กิโล ดังนั้น การจะใช้ NGV ต้องคิดก่อนใช้ หากเส้นทางสัญจรของผู้ใช้บริการอยู่บนแนวท่อก็เหมาะที่จะใช้ NGV เป็นพลังงานหลัก แต่ถ้าไม่ได้อยู่แนวท่อต้องยอมรับข้อจำกัด ไม่ควรใช้เป็นทางเลือก จะให้ดีควรใช้เป็นทางเลือกร่วมกับน้ำมัน วางแผนการใช้และ มีวินัยในการเติม
ส่วนเหตุผลที่ก๊าซขาดในจังหวัดทางภาคเหนือบ่อย เนื่องจากภาคเหนือ ไม่มีระบบท่อส่งก๊าซไปถึง จึงต้องอาศัยรถขนส่งก๊าซขึ้นไปส่งเป็นสำคัญ แต่ด้วยข้อจำกัดของรถขนส่งที่ส่งได้ประมาณ 3,000 ก.ก./เที่ยว เทียบเท่าปริมาณก๊าซสำหรับ รถเล็กประมาณ 250 คัน จึงทำให้ก๊าซหมดเร็ว และไม่เพียงพอกับความต้องการของผู้ใช้ NGV ที่เพิ่มขึ้นทุกวัน ซึ่งทางปตท. ไม่นิ่งนอนใจได้เร่งดำเนินโครงการผลิตก๊าซชีวภาพอัด หรือ CBGเพื่อใช้ทดแทน NGV ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ โดยโรงผลิตก๊าซ CBG อยู่ที่ อ.แม่ แตง จ.เชียงใหม่ เป็นโรงงานที่นำน้ำเสียจากฟาร์มสุกรมาผลิตก๊าซชีวภาพ ก่อนนำมาปรับคุณภาพและเพิ่มความดัน เพื่อแปรสภาพเป็นก๊าซ NGV ก่อนจ่ายให้รถ NGV ในพื้นที่ภาคเหนือ โดยมีกำลังการผลิต 6 ตันต่อวัน ซึ่งรองรับรถ NGV ขนาดเล็กได้ประมาณ 500 คัน/วัน หรือรถบรรทุกขนาดใหญ่ 40 คัน/วัน คาดเริ่มจำหน่ายเชิงพาณิชย์ได้ต้นปี2556 พร้อมกันนั้นทางปตท.กำลังเร่งโครงการวางท่อส่งก๊าซฯ ต่อไปถึง จ.นครสวรรค์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มจำนวนสถานี NGV แนวท่อส่งก๊าซในเส้นทางภาคเหนือและลดเวลาการขนส่งก๊าซฯ ไปยังจังหวัดห่างไกล ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดเริ่มจ่ายก๊าซได้ปลายปี 2557
--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 675
BCPเล็งสร้างโรงกลั่นใหม่อัดเงินแสนล้าน/ปตท.จ่อขึ้นคลังแอลเอ็นจีแห่ง2
Source - สยามรัฐ (Th), Wednesday, November 07, 2012
"อนุสรณ์"เอ็มดีบางจากฯระบุกำลังศึกษาสร้างโรงกลั่นใหม่ติดชายทะเลอัดเงินหลายแสนล้านเพิ่มกำลังการผลิตรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นส่วนปตท.ก็กำลังหาพื้นที่สร้างคลังรับแอลเอ็นจีแห่ง 2
นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่บมจ.บางจากปิโตรเลียม(BCP)เปิดเผยว่า บริษัทกำลังศึกษาแผนที่จะมีการก่อสร้างโรงกลั่นน้ำมันแห่งใหม่บนพื้นที่ติดชายทะเล ซึ่งมีกำลังกลั่น
ประมาณ 150,000 บาร์เรลต่อวัน ใช้เงินลงทุนนับแสนล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 7-8ปี เนื่องจากความต้องการน้ำมันในประเทศไทยยังคงเพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 2-3 ต่อปี ยอดขายบางจากยังคงขยายตัวร้อยละ 4-5ขณะที่ความต้องการน้ำมันของประเทศเพื่อนบ้านได้แก่ ลาว กัมพูชา พม่า เพิ่มสูงขึ้นจำนวนมาก คาดว่าอีก 3 ปีข้างหน้าเฉพาะยอดขายบางจากจะเพิ่มขึ้นอีก100,000 บาร์เรลต่อวัน จึงเห็นควรว่าต้องมีโรงกลั่นใหม่เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นส่วนเหตุฉุกเฉินเมื่อต้นเดือนก.ค.ที่ผ่านมา ขณะนี้ได้มีการซ่อมแซมหน่วยกลั่นน้ำมันดิบที่ 3 เสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีบริษัทFoster Wheeler บริษัท DUPONT และบริษัท โตโย-ไทย คอร์ปอเรชั่น ซึ่งมีความเชี่ยวชาญและมีชื่อเสียงในระดับสากลมาให้คำปรึกษาด้านวิศวกรรมทบทวนตรวจสอบด้านความปลอดภัยเพื่อความมั่นใจเหนือมาตรฐานสากลทำให้โรงกลั่นน้ำมันบางจากสามารถกลั่นได้เต็มกำลัง 110,000 บาร์เรลต่อวัน ต่อเนื่องไปถึงปีหน้า เพราะไม่ต้องหยุดซ่อมประจำปี โดยมีค่าการกลั่นพื้นฐานเฉลี่ย 7-8 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรลสำหรับรายได้ปี 2556 นายอนุสรณ์กล่าวว่า น่าจะต่ำกว่า 200,000 ล้านบาท เพราะรายได้จากยอดขายหน้าปั๊มที่สูงขึ้น รวมถึงกำลังกลั่นปีหน้าที่สูงขึ้นจะมียอดกลั่นไม่ต่ำกว่า 110,000บาร์เรลต่อวันและคาดว่า อีบิทด้าปีหน้าจะเพิ่มขึ้นจากประมาณ 7,000 ล้านบาทในปีนี้เป็น 9,000 ล้านบาท ในปีหน้าด้วย
ด้านนายชาครีย์ บูรณกานนท์รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ บมจ.ปตท. กล่าวว่า ขณะนี้ ปตท.ศึกษาเรื่องการก่อสร้างคลังรับแอลเอ็นจีแห่งที่ 2 พื้นที่ประมาณ 250-300 ไร่ จะต้องสร้างท่าเรือนำเข้าน้ำลึกไม่ต่ำกว่า 13-14 เมตร ซึ่งจะรองรับการนำเข้าอีกไม่ต่ำกว่า 10 ล้านตัน หรือประมาณ 1,400 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน เพราะพื้นที่คลังแอลเอ็นจีแห่งที่ 1 ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดจังหวัดระยอง จะไม่สามารถสร้างถังแอลเอ็นจีได้อีก หลังจากที่จะก่อสร้างคลังระยะที่ 2 ซึ่งขณะนี้เริ่มแผนและอยู่ระหว่างจะจัดหาผู้ก่อสร้าง รองรับแอลเอ็นจีอีก 5 ล้านตัน วงเงินลงทุนประมาณ 21,400 ล้านบาท ตามแผนจะก่อสร้างเสร็จในไตรมาส 1 ปี 2560 ทำให้คลังแอลเอ็นจี ที่ 1 รับก๊าซรวม 10 ล้านตัน หรือ 1,400 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน
--จบ--
Source - สยามรัฐ (Th), Wednesday, November 07, 2012
"อนุสรณ์"เอ็มดีบางจากฯระบุกำลังศึกษาสร้างโรงกลั่นใหม่ติดชายทะเลอัดเงินหลายแสนล้านเพิ่มกำลังการผลิตรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นส่วนปตท.ก็กำลังหาพื้นที่สร้างคลังรับแอลเอ็นจีแห่ง 2
นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่บมจ.บางจากปิโตรเลียม(BCP)เปิดเผยว่า บริษัทกำลังศึกษาแผนที่จะมีการก่อสร้างโรงกลั่นน้ำมันแห่งใหม่บนพื้นที่ติดชายทะเล ซึ่งมีกำลังกลั่น
ประมาณ 150,000 บาร์เรลต่อวัน ใช้เงินลงทุนนับแสนล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 7-8ปี เนื่องจากความต้องการน้ำมันในประเทศไทยยังคงเพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 2-3 ต่อปี ยอดขายบางจากยังคงขยายตัวร้อยละ 4-5ขณะที่ความต้องการน้ำมันของประเทศเพื่อนบ้านได้แก่ ลาว กัมพูชา พม่า เพิ่มสูงขึ้นจำนวนมาก คาดว่าอีก 3 ปีข้างหน้าเฉพาะยอดขายบางจากจะเพิ่มขึ้นอีก100,000 บาร์เรลต่อวัน จึงเห็นควรว่าต้องมีโรงกลั่นใหม่เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นส่วนเหตุฉุกเฉินเมื่อต้นเดือนก.ค.ที่ผ่านมา ขณะนี้ได้มีการซ่อมแซมหน่วยกลั่นน้ำมันดิบที่ 3 เสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีบริษัทFoster Wheeler บริษัท DUPONT และบริษัท โตโย-ไทย คอร์ปอเรชั่น ซึ่งมีความเชี่ยวชาญและมีชื่อเสียงในระดับสากลมาให้คำปรึกษาด้านวิศวกรรมทบทวนตรวจสอบด้านความปลอดภัยเพื่อความมั่นใจเหนือมาตรฐานสากลทำให้โรงกลั่นน้ำมันบางจากสามารถกลั่นได้เต็มกำลัง 110,000 บาร์เรลต่อวัน ต่อเนื่องไปถึงปีหน้า เพราะไม่ต้องหยุดซ่อมประจำปี โดยมีค่าการกลั่นพื้นฐานเฉลี่ย 7-8 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรลสำหรับรายได้ปี 2556 นายอนุสรณ์กล่าวว่า น่าจะต่ำกว่า 200,000 ล้านบาท เพราะรายได้จากยอดขายหน้าปั๊มที่สูงขึ้น รวมถึงกำลังกลั่นปีหน้าที่สูงขึ้นจะมียอดกลั่นไม่ต่ำกว่า 110,000บาร์เรลต่อวันและคาดว่า อีบิทด้าปีหน้าจะเพิ่มขึ้นจากประมาณ 7,000 ล้านบาทในปีนี้เป็น 9,000 ล้านบาท ในปีหน้าด้วย
ด้านนายชาครีย์ บูรณกานนท์รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ บมจ.ปตท. กล่าวว่า ขณะนี้ ปตท.ศึกษาเรื่องการก่อสร้างคลังรับแอลเอ็นจีแห่งที่ 2 พื้นที่ประมาณ 250-300 ไร่ จะต้องสร้างท่าเรือนำเข้าน้ำลึกไม่ต่ำกว่า 13-14 เมตร ซึ่งจะรองรับการนำเข้าอีกไม่ต่ำกว่า 10 ล้านตัน หรือประมาณ 1,400 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน เพราะพื้นที่คลังแอลเอ็นจีแห่งที่ 1 ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดจังหวัดระยอง จะไม่สามารถสร้างถังแอลเอ็นจีได้อีก หลังจากที่จะก่อสร้างคลังระยะที่ 2 ซึ่งขณะนี้เริ่มแผนและอยู่ระหว่างจะจัดหาผู้ก่อสร้าง รองรับแอลเอ็นจีอีก 5 ล้านตัน วงเงินลงทุนประมาณ 21,400 ล้านบาท ตามแผนจะก่อสร้างเสร็จในไตรมาส 1 ปี 2560 ทำให้คลังแอลเอ็นจี ที่ 1 รับก๊าซรวม 10 ล้านตัน หรือ 1,400 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน
--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 676
เด็มโก้รอปันผลโครงการห้วยบง [ เดลินิวส์, 7 พ.ย. 55 ]
นายพงษ์ศักดิ์ ศิริคุปต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เด็มโก้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงความคืบหน้า
ของโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมโครงการห้วยบง 3 ซึ่งมีกำลังการผลิตขนาด 90 เมกะวัตต์ ว่าจะ
สามารถดำเนินการผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าเข้าสู่ระบบให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
(กฟผ.) ได้ในสัปดาห์หน้า ส่วนโครงการห้วยบง 2 ขณะนี้มีความคืบหน้าประมาณ 80% และคาดว่าจะจ่าย
ไฟเข้าสู่ระบบได้ประมาณกลางเดือน ม.ค.56 จากเดิมที่คาดว่าจะเริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบได้ในเดือน
ก.พ.56 โดยทั้ง 2 โครงการจะเริ่มรับรู้รายได้เข้ามาในปี 56 ในรูปของเงินปันผลจากการ่วมลงทุน
โครงการดังกล่าว ไม่น้อยกว่า 150 ล้านบาท และเงินปันผล 150 ล้านบาท นี้ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้
นิติบุคคล
นายพงษ์ศักดิ์ ศิริคุปต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เด็มโก้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงความคืบหน้า
ของโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมโครงการห้วยบง 3 ซึ่งมีกำลังการผลิตขนาด 90 เมกะวัตต์ ว่าจะ
สามารถดำเนินการผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าเข้าสู่ระบบให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
(กฟผ.) ได้ในสัปดาห์หน้า ส่วนโครงการห้วยบง 2 ขณะนี้มีความคืบหน้าประมาณ 80% และคาดว่าจะจ่าย
ไฟเข้าสู่ระบบได้ประมาณกลางเดือน ม.ค.56 จากเดิมที่คาดว่าจะเริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบได้ในเดือน
ก.พ.56 โดยทั้ง 2 โครงการจะเริ่มรับรู้รายได้เข้ามาในปี 56 ในรูปของเงินปันผลจากการ่วมลงทุน
โครงการดังกล่าว ไม่น้อยกว่า 150 ล้านบาท และเงินปันผล 150 ล้านบาท นี้ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้
นิติบุคคล
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 677
GUNKUL คาดปี 56 รายได้-กำไรใกล้เคียงปี 55, เตรียมเงินลงทุนเบื้องต้น 4 พันลบ.
อินโฟเควสท์, 7 พ.ย. 55
บมจ.กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง(GUNKUL) คาดว่ารายได้และกำไรในปี 56 จะใกล้เคียงกับปี 55 ซึ่งผลประกอบการของบริษัทเติบโตขึ้นอย่างมากจากปีก่อน โดยเฉพาะในไตรมาส 3/55 คาดว่าจะมีกำไรสถิติสูงสุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา
ทั้งนี้ ในปี 56 บริษัทมีแผนลงทุนเบื้องต้น 4 พันล้านบาทในโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานลม ขณะที่ยังอยู่ระหว่างการเจรจาลงทุนโครงการพลังงานลมและเซลล์แสงอาทิตย์ในประเทศรวม 100 เมกะวัตต์ และบริษัทคาดว่าจะสรุปแผนการลงทุนโครงการพลังงานลมในพม่าราวปลายปี 56
นางสาวโศภชา ดำรงปิยวุฒิ์ กรรมการผู้จัดการ GUNKUL กล่าวว่า รายได้และกำไรสุทธิ ปี 56 จะใกล้เคียงปีนี้ที่คาดว่ารายได้อยู่ที 4.3 พันล้านบาท เนื่องจากปีนี้บริษัทมีการรับรู้รายได้จากการสินค้าอุปกรณ์ระบบไฟฟ้า จากที่ได้เลื่อนการรับรู้รายได้จากช่วงน้ำท่วมปลายปี 54
สำหรับไตรมาส 3/55 คาดว่าบริษัทจะมีกำไรสุทธิสูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท เนื่องจากงานรับเหมาก่อสร้างครบวงจร มีการส่งมอบงานให้ลูกค้าได้ ส่วนธุรกิจ trading ได้ส่งมอบสินค้าได้ตามกำหนด ทำให้ทั้งปี 55 กำไรสุทธิจะสูงกว่าปี 54
ในปี 56 บริษัทได้ตั้งงบลงทุนเบื้องต้น 4 พันล้านบาท เพื่อใช้ก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานลม ที่โคราช ขนาด 60 เมกะวัตต์ คาดว่าจะสามารถจ่ายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบช่วงแรกในช่วงปลายปี 56 จำนวน 10 เมกะวัตต์ และครบ 60 เมกะวัตต์ในไตรมาส 2/58 และบริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจาก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานลมและแสงอาทิตย์ในประเทศอีก 2 ราย ขนาดรวม 100 เมกะวัตต์ คาดสรุปต้นปี 56 ใช้เงินลงทุนรวม 8 พันล้านบาท โดยบริษัทจะใช้เงินทุนหมุนเวียน 30% ที่เหลือเป็นเงินกู้
ขณะที่การลงทุนโครงการพลังงานลมในประเทศพม่า ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการวัดแรงลม ซึ่งต้องใช้เวลา 1 ปีเพื่อให้ขั้นตอนดังกล่าวแล้วเสร็จ คาดรู้ผลในปลายปี 56 ว่าคุ้มค่าต่อการลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าพลังลมหรือไม่ และบริษัทอยู่ระหว่างศึกษาโครงการลงทุนอื่นๆด้านโครงสร้างพื้นฐานในประเทศพม่า โดยปัจจุบันบริษัทได้รับสัมปทานการลงทุนแล้ว 3 รัฐ และอยู่ระหว่างศึกษาเพิ่มเติมอีก 2 รัฐ ซึ่งการลงทุนในพม่าอาจจำเป็นต้องหาพันธมิตรร่วมทุน
อินโฟเควสท์, 7 พ.ย. 55
บมจ.กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง(GUNKUL) คาดว่ารายได้และกำไรในปี 56 จะใกล้เคียงกับปี 55 ซึ่งผลประกอบการของบริษัทเติบโตขึ้นอย่างมากจากปีก่อน โดยเฉพาะในไตรมาส 3/55 คาดว่าจะมีกำไรสถิติสูงสุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา
ทั้งนี้ ในปี 56 บริษัทมีแผนลงทุนเบื้องต้น 4 พันล้านบาทในโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานลม ขณะที่ยังอยู่ระหว่างการเจรจาลงทุนโครงการพลังงานลมและเซลล์แสงอาทิตย์ในประเทศรวม 100 เมกะวัตต์ และบริษัทคาดว่าจะสรุปแผนการลงทุนโครงการพลังงานลมในพม่าราวปลายปี 56
นางสาวโศภชา ดำรงปิยวุฒิ์ กรรมการผู้จัดการ GUNKUL กล่าวว่า รายได้และกำไรสุทธิ ปี 56 จะใกล้เคียงปีนี้ที่คาดว่ารายได้อยู่ที 4.3 พันล้านบาท เนื่องจากปีนี้บริษัทมีการรับรู้รายได้จากการสินค้าอุปกรณ์ระบบไฟฟ้า จากที่ได้เลื่อนการรับรู้รายได้จากช่วงน้ำท่วมปลายปี 54
สำหรับไตรมาส 3/55 คาดว่าบริษัทจะมีกำไรสุทธิสูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท เนื่องจากงานรับเหมาก่อสร้างครบวงจร มีการส่งมอบงานให้ลูกค้าได้ ส่วนธุรกิจ trading ได้ส่งมอบสินค้าได้ตามกำหนด ทำให้ทั้งปี 55 กำไรสุทธิจะสูงกว่าปี 54
ในปี 56 บริษัทได้ตั้งงบลงทุนเบื้องต้น 4 พันล้านบาท เพื่อใช้ก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานลม ที่โคราช ขนาด 60 เมกะวัตต์ คาดว่าจะสามารถจ่ายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบช่วงแรกในช่วงปลายปี 56 จำนวน 10 เมกะวัตต์ และครบ 60 เมกะวัตต์ในไตรมาส 2/58 และบริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจาก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานลมและแสงอาทิตย์ในประเทศอีก 2 ราย ขนาดรวม 100 เมกะวัตต์ คาดสรุปต้นปี 56 ใช้เงินลงทุนรวม 8 พันล้านบาท โดยบริษัทจะใช้เงินทุนหมุนเวียน 30% ที่เหลือเป็นเงินกู้
ขณะที่การลงทุนโครงการพลังงานลมในประเทศพม่า ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการวัดแรงลม ซึ่งต้องใช้เวลา 1 ปีเพื่อให้ขั้นตอนดังกล่าวแล้วเสร็จ คาดรู้ผลในปลายปี 56 ว่าคุ้มค่าต่อการลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าพลังลมหรือไม่ และบริษัทอยู่ระหว่างศึกษาโครงการลงทุนอื่นๆด้านโครงสร้างพื้นฐานในประเทศพม่า โดยปัจจุบันบริษัทได้รับสัมปทานการลงทุนแล้ว 3 รัฐ และอยู่ระหว่างศึกษาเพิ่มเติมอีก 2 รัฐ ซึ่งการลงทุนในพม่าอาจจำเป็นต้องหาพันธมิตรร่วมทุน
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 678
PTTGCขยายฐานเล็งผลิตในจีน-อินโด
Source - ASTV ผู้จัดการรายวัน (Th), Thursday, November 08, 2012
ASTVผู้จัดการรายวัน - พีทีทีโกลบอลฯจ่อลงทุนตั้งโรงงานต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน และอินโดนีเซีย ล่าสุดจับมือเทรดเดอร์ใหญ่ "ไซโนเคมฯ" จากจีนเพื่อร่วมมือกัน คาดว่าได้ข้อสรุปปลายปีนี้ ส่วนอินโดนีเซียได้ข้อสรุปต้นปี 56 ตั้งเป้า 10 ปีข้างหน้ามีรายได้แตะ 7-8 แสนล้านบาท
นายอนนต์ สิริแสงทักษิณประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทพีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด(มหาชน)(PTTGC) เปิดเผยว่าบริษัทฯ มีแผนที่จะขยายฐานการผลิตไปยังต่างประเทศที่มีศักยภาพด้านการตลาดและใกล้วัตถุดิบ โดยเฉพาะ จีน และอินโดเซีย ซึ่งบริษัทฯได้ร่วมกับ Sinochem International Corporation ซึ่งเป็นบริษัทเทรดเดอร์รายใหญ่ของจีน เพื่อร่วมกันศึกษาหาโอกาสความร่วมมือกันคาดว่าจะได้ข้อสรุปในปลายปีนี้
ในเบื้องต้นอาจจะเป็นความร่วมมือดันการตลาดก่อนขยายไปสู่การลงทุนตั้งโรงงานผลิตเคมีภัณฑ์เกรดพิเศษในจีน เนื่องจากที่ผ่านมา บริษัทฯ ส่งออกเม็ดพลาสติกไปจีนคิดเป็น 50% ของการส่งออก ผ่านเทรดเดอร์ทำให้ไม่สามารถความต้องการของตลาดจีนที่แน่ชัด ดังนั้นการจับมือกับไซโนเคมฯจะเป็นโอกาสดีที่จะรู้ความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริงและนำมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสนองความต้องการ
นอกจากนี้ บริษัทฯยังสนใจที่จะเข้าไปลงทุนในอินโดนีเซียเนื่องจากมีตลาดใหญ่ มีความต้องการผลิตปิโตรเคมีมาก ขณะนี้ทางกลุ่ม ปตท.อยู่ระหว่างการศึกษาโอกาสที่จะเข้าไปลงทุนใดบ้าง คาดว่าจะได้ข้อสรุปในต้นปี2556 ส่วนสหรัฐฯนั้นมีความน่าสนใจ หลังจากค้นพบเชลล์แก๊ส ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีโดยมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าการใช้แนฟทาเป็นวัตถุดิบก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่บริษัทฯต้องเข้าไปดูโอกาสการลทุน
นายอนนต์ กล่าวถึงเป้าหมายใน 10 ปีข้างหน้า (2556-2566)ว่า บริษัทฯจะมีรายได้7-8 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราโตเฉลี่ย5-7% ต่อปี หลังจากได้มีการลงทุนต่อยอดสร้างมูลค่าผลิตภัณฑ์ต่างๆ รวมทั้งการขยายกำลังการผลิตคอขวด (Debottleneck) การรุกสู่ไบโอพลาสติก ส่งผลให้บริษัทมีฐานที่แข็งแกร่งทั้งในและต่างประเทศ
ส่วนผลการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทฯน่าจะทำรายได้กว่า 5 แสนล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ 4 แสนล้านบาท โดยค่าการกลั่น(GRM)เฉลี่ยอยู่ที่ 4 เหรียญ/บาร์เรลใกล้เคียงปีก่อน
--จบ--
Source - ASTV ผู้จัดการรายวัน (Th), Thursday, November 08, 2012
ASTVผู้จัดการรายวัน - พีทีทีโกลบอลฯจ่อลงทุนตั้งโรงงานต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน และอินโดนีเซีย ล่าสุดจับมือเทรดเดอร์ใหญ่ "ไซโนเคมฯ" จากจีนเพื่อร่วมมือกัน คาดว่าได้ข้อสรุปปลายปีนี้ ส่วนอินโดนีเซียได้ข้อสรุปต้นปี 56 ตั้งเป้า 10 ปีข้างหน้ามีรายได้แตะ 7-8 แสนล้านบาท
นายอนนต์ สิริแสงทักษิณประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทพีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด(มหาชน)(PTTGC) เปิดเผยว่าบริษัทฯ มีแผนที่จะขยายฐานการผลิตไปยังต่างประเทศที่มีศักยภาพด้านการตลาดและใกล้วัตถุดิบ โดยเฉพาะ จีน และอินโดเซีย ซึ่งบริษัทฯได้ร่วมกับ Sinochem International Corporation ซึ่งเป็นบริษัทเทรดเดอร์รายใหญ่ของจีน เพื่อร่วมกันศึกษาหาโอกาสความร่วมมือกันคาดว่าจะได้ข้อสรุปในปลายปีนี้
ในเบื้องต้นอาจจะเป็นความร่วมมือดันการตลาดก่อนขยายไปสู่การลงทุนตั้งโรงงานผลิตเคมีภัณฑ์เกรดพิเศษในจีน เนื่องจากที่ผ่านมา บริษัทฯ ส่งออกเม็ดพลาสติกไปจีนคิดเป็น 50% ของการส่งออก ผ่านเทรดเดอร์ทำให้ไม่สามารถความต้องการของตลาดจีนที่แน่ชัด ดังนั้นการจับมือกับไซโนเคมฯจะเป็นโอกาสดีที่จะรู้ความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริงและนำมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสนองความต้องการ
นอกจากนี้ บริษัทฯยังสนใจที่จะเข้าไปลงทุนในอินโดนีเซียเนื่องจากมีตลาดใหญ่ มีความต้องการผลิตปิโตรเคมีมาก ขณะนี้ทางกลุ่ม ปตท.อยู่ระหว่างการศึกษาโอกาสที่จะเข้าไปลงทุนใดบ้าง คาดว่าจะได้ข้อสรุปในต้นปี2556 ส่วนสหรัฐฯนั้นมีความน่าสนใจ หลังจากค้นพบเชลล์แก๊ส ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีโดยมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าการใช้แนฟทาเป็นวัตถุดิบก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่บริษัทฯต้องเข้าไปดูโอกาสการลทุน
นายอนนต์ กล่าวถึงเป้าหมายใน 10 ปีข้างหน้า (2556-2566)ว่า บริษัทฯจะมีรายได้7-8 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราโตเฉลี่ย5-7% ต่อปี หลังจากได้มีการลงทุนต่อยอดสร้างมูลค่าผลิตภัณฑ์ต่างๆ รวมทั้งการขยายกำลังการผลิตคอขวด (Debottleneck) การรุกสู่ไบโอพลาสติก ส่งผลให้บริษัทมีฐานที่แข็งแกร่งทั้งในและต่างประเทศ
ส่วนผลการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทฯน่าจะทำรายได้กว่า 5 แสนล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ 4 แสนล้านบาท โดยค่าการกลั่น(GRM)เฉลี่ยอยู่ที่ 4 เหรียญ/บาร์เรลใกล้เคียงปีก่อน
--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 679
โบรกหวั่น'หุ้นปตท.สผ.'ราคารูดแรง10%รับไดลูท
Source - กรุงเทพธุรกิจ (Th), Thursday, November 08, 2012
โบรกเกอร์คาดหุ้นปตท.สผ.มีโอกาสปรับตัว ลง 10%วันนี้ เหตุหมดสิทธิรับหุ้นเพิ่มทุน เชื่อถูกแรงเทขายกระหน่ำรับผลกระทบจาการเพิ่มทุนครั้งนี้ แนะฉวยเป็นจังหวะซื้อสะสม ด้านตลาดฯประกาศหนังสือเตือนสตินักลงทุนล่วงหน้า 4 วัน หลังไม่แขวนเครื่องหมายรับสิทธิครั้งนี้
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์บล.เอเซียพลัส กล่าวว่าการที่หุ้นปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) จะครบกำหนดรับสิทธิการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุน 650 ล้านหุ้นนั้นในวันนี้ (8 พ.ย.) คาดราคาหุ้นจะปรับตัวลดลงแรง 10% ซึ่งเป็นอัตราใกล้เคียงกับอัตราผลกระทบจากการเพิ่มทุน (ไดลูท) จึงแนะนำให้ทยอยสะสมเมื่อราคาหุ้นอ่อนตัวลงมา
"ราคาหุ้นเพิ่มทุนจะรู้ภายหลังจากการทำสำรวจความต้องการของนักลงทุนสถาบัน ซึ่งน่าจะได้ข้อสรุปปลายเดือนพ.ย.หรือต้น ธ.ค.นี้หุ้นที่เพิ่มทุน 650 ล้านหุ้นส่วนที่เหลือ จะจัดสรรให้นักลงทุนสถาบัน จะถูกนำมาจัดสรรตามสัดส่วนการถือหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นที่มีรายชื่อในวันที่ 8 พ.ย.นี้" นักวิเคราะห์หลักทรัพย์กล่าว
เขากล่าวว่าหากพิจารณาปัจจัยพื้นฐาน มองราคาหุ้นอยู่ที่ 195.69 บาทต่อหุ้น และจากการประชุมกับนักวิเคราะห์ ผู้บริหารเสนอแผนการลงทุนโดยตั้งเป้าหมายปริมาณการผลิตและจำหน่ายในปี 2563 (8 ปีข้างหน้า) ที่มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเกิดขึ้นได้ภายใต้ความน่าจะเป็น 50% ที่ 6 แสนบาร์เรลต่อวัน จากระดับการผลิต ปัจจุบันที่ 2.8-2.9 แสนบาร์เรลต่อวัน ทั้งนี้ยังคงเป้าระดับสูงที่เคยนำเสนอไว้ที่ 9 แสนบาร์เรลต่อ โดยให้ความน่าจะเป็นที่จะเกิดขึ้นเพียง 10-20% เพราะที่ระดับ 9 แสนบาร์เรลต่อวัน บริษัทต้องแสวงหาการลงทุนในโครงการอื่นๆ เพิ่มเติมนอกจากโครงการที่มีอยู่ในปัจจุบัน
ขณะเดียวกันจะต้องมีความพร้อมแหล่งเงินทุนเพื่อเข้าซื้อกิจการใหม่ หากพิจารณาเฉพาะโครงการที่มีอยู่ในมือปัจจุบัน เพียงพอที่จะทำให้เป้าหมายปริมาณการผลิตและจำหน่ายที่ 6 แสนบาร์เรลต่อวัน บรรลุได้เท่านั้น โดยจะใช้กระแสเงินสดที่ได้จากการดำเนินงานในแต่ละปี ในการพัฒนาโครงการลงทุนที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุนอีก
ทั้งนี้แหล่งผลิตที่จะมาช่วยหนุนปริมาณการผลิตและจำหน่ายให้เติบโตในอนาคต ส่วนใหญ่จะเป็นโครงการลงทุนในต่างประเทศ อาทิเช่น พม่า ออสเตรลีย อเมริกาเหนือ และแอฟริกาตะวันออก จากการเข้าซื้อกิจการโคฟ เอนเนอร์ยี ซึ่งถือเป็นโครงการที่สำคัญ ที่จะสร้างมูลค่าให้บริษัทปตท.สผ. ได้อย่างมีนัยในอนาคตจากปริมาณสำรองที่มีอยู่ โดยคาดจะเริ่มพัฒนาได้ปลายปี 2556 และจะเริ่มทำการผลิตเชิงพาณิชย์ปี 2562 ซึ่งคาดปริมาณการผลิตก๊าซ LNG ครั้งแรกจะอยู่ในระดับ 5 ล้านตันต่อปี ภายใต้ประมาณการใหม่ ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าพื้นฐาน สิ้นปี 2556 เท่ากับ 195.69 บาทต่อหุ้นรวมผลกระทบการเพิ่มทุนแล้ว โดยคงคำแนะนำซื้อ จากปัจจัยพื้นฐานในระยะยาว
ฝ่ายวิจัยคาดแนวโน้มกำไร งวดไตรมาส 4 ปีนี้ จะอ่อนตัวลงจากจากงวดไตรมาส 3 ปีนี้ แม้ราคาขายก๊าซธรรมชาติจะปรับตัวเพิ่มขึ้น เพราะราคาขายก๊าซธรรมชาติจะช่วงรับรู้ราว 3-6 เดือน จากราคาน้ำมัน รวมถึงแหล่งผลิตก๊าซฯของบริษัทปตท.สผ. ส่วนใหญ่จะปรับราคาขายในทุกเดือนเม.ย.และต.ค.ของทุกปี ทำให้ในงวดไตรมาส4 ปีนี้ จะรับรู้ที่ราคาก๊าซฯที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่คาดจะถูกหักล้างจากราคาน้ำมันดิบที่อ่อนตัวลง และปริมาณการผลิตและจำหน่ายที่คาดจะปรับตัวลดลงจากการหยุดผลิต เพื่อซ่อมบำรุงประจำปีในหลายโครงการ แนวโน้มกำไรทั้งปีนี้ เติบโตสูงถึง 31%จากงวดเดียวกันปีก่อน
รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ระบุว่า ตลาดหลักทรัพย์ได้แจ้งเตือนนักลงทุนกรณีวันซื้อขายสุดท้ายที่นักลงทุนจะได้รับสิทธิ์จองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนคือ วันที่ 7 พ.ย.นี้ และไม่ขึ้นเครื่องหมาย XR โดยมีการแจ้งเตือนตั้งแต่วันที่ 1-7 พ.ย.ที่ผ่านมา
การเคลื่อนไหวราคาหุ้นปตท.สผ. ตั้งแต่ต้นพ.ย.ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.51% จากราคา 166 บาท เป็น 168.50 บาท และปรับขึ้นไปสูงสุดที่ 174.50 บาท ต่ำสุดที่ 164 บาท ราคาเฉลี่ยที่ 168.81 บาท
--จบ--
Source - กรุงเทพธุรกิจ (Th), Thursday, November 08, 2012
โบรกเกอร์คาดหุ้นปตท.สผ.มีโอกาสปรับตัว ลง 10%วันนี้ เหตุหมดสิทธิรับหุ้นเพิ่มทุน เชื่อถูกแรงเทขายกระหน่ำรับผลกระทบจาการเพิ่มทุนครั้งนี้ แนะฉวยเป็นจังหวะซื้อสะสม ด้านตลาดฯประกาศหนังสือเตือนสตินักลงทุนล่วงหน้า 4 วัน หลังไม่แขวนเครื่องหมายรับสิทธิครั้งนี้
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์บล.เอเซียพลัส กล่าวว่าการที่หุ้นปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) จะครบกำหนดรับสิทธิการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุน 650 ล้านหุ้นนั้นในวันนี้ (8 พ.ย.) คาดราคาหุ้นจะปรับตัวลดลงแรง 10% ซึ่งเป็นอัตราใกล้เคียงกับอัตราผลกระทบจากการเพิ่มทุน (ไดลูท) จึงแนะนำให้ทยอยสะสมเมื่อราคาหุ้นอ่อนตัวลงมา
"ราคาหุ้นเพิ่มทุนจะรู้ภายหลังจากการทำสำรวจความต้องการของนักลงทุนสถาบัน ซึ่งน่าจะได้ข้อสรุปปลายเดือนพ.ย.หรือต้น ธ.ค.นี้หุ้นที่เพิ่มทุน 650 ล้านหุ้นส่วนที่เหลือ จะจัดสรรให้นักลงทุนสถาบัน จะถูกนำมาจัดสรรตามสัดส่วนการถือหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นที่มีรายชื่อในวันที่ 8 พ.ย.นี้" นักวิเคราะห์หลักทรัพย์กล่าว
เขากล่าวว่าหากพิจารณาปัจจัยพื้นฐาน มองราคาหุ้นอยู่ที่ 195.69 บาทต่อหุ้น และจากการประชุมกับนักวิเคราะห์ ผู้บริหารเสนอแผนการลงทุนโดยตั้งเป้าหมายปริมาณการผลิตและจำหน่ายในปี 2563 (8 ปีข้างหน้า) ที่มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเกิดขึ้นได้ภายใต้ความน่าจะเป็น 50% ที่ 6 แสนบาร์เรลต่อวัน จากระดับการผลิต ปัจจุบันที่ 2.8-2.9 แสนบาร์เรลต่อวัน ทั้งนี้ยังคงเป้าระดับสูงที่เคยนำเสนอไว้ที่ 9 แสนบาร์เรลต่อ โดยให้ความน่าจะเป็นที่จะเกิดขึ้นเพียง 10-20% เพราะที่ระดับ 9 แสนบาร์เรลต่อวัน บริษัทต้องแสวงหาการลงทุนในโครงการอื่นๆ เพิ่มเติมนอกจากโครงการที่มีอยู่ในปัจจุบัน
ขณะเดียวกันจะต้องมีความพร้อมแหล่งเงินทุนเพื่อเข้าซื้อกิจการใหม่ หากพิจารณาเฉพาะโครงการที่มีอยู่ในมือปัจจุบัน เพียงพอที่จะทำให้เป้าหมายปริมาณการผลิตและจำหน่ายที่ 6 แสนบาร์เรลต่อวัน บรรลุได้เท่านั้น โดยจะใช้กระแสเงินสดที่ได้จากการดำเนินงานในแต่ละปี ในการพัฒนาโครงการลงทุนที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุนอีก
ทั้งนี้แหล่งผลิตที่จะมาช่วยหนุนปริมาณการผลิตและจำหน่ายให้เติบโตในอนาคต ส่วนใหญ่จะเป็นโครงการลงทุนในต่างประเทศ อาทิเช่น พม่า ออสเตรลีย อเมริกาเหนือ และแอฟริกาตะวันออก จากการเข้าซื้อกิจการโคฟ เอนเนอร์ยี ซึ่งถือเป็นโครงการที่สำคัญ ที่จะสร้างมูลค่าให้บริษัทปตท.สผ. ได้อย่างมีนัยในอนาคตจากปริมาณสำรองที่มีอยู่ โดยคาดจะเริ่มพัฒนาได้ปลายปี 2556 และจะเริ่มทำการผลิตเชิงพาณิชย์ปี 2562 ซึ่งคาดปริมาณการผลิตก๊าซ LNG ครั้งแรกจะอยู่ในระดับ 5 ล้านตันต่อปี ภายใต้ประมาณการใหม่ ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าพื้นฐาน สิ้นปี 2556 เท่ากับ 195.69 บาทต่อหุ้นรวมผลกระทบการเพิ่มทุนแล้ว โดยคงคำแนะนำซื้อ จากปัจจัยพื้นฐานในระยะยาว
ฝ่ายวิจัยคาดแนวโน้มกำไร งวดไตรมาส 4 ปีนี้ จะอ่อนตัวลงจากจากงวดไตรมาส 3 ปีนี้ แม้ราคาขายก๊าซธรรมชาติจะปรับตัวเพิ่มขึ้น เพราะราคาขายก๊าซธรรมชาติจะช่วงรับรู้ราว 3-6 เดือน จากราคาน้ำมัน รวมถึงแหล่งผลิตก๊าซฯของบริษัทปตท.สผ. ส่วนใหญ่จะปรับราคาขายในทุกเดือนเม.ย.และต.ค.ของทุกปี ทำให้ในงวดไตรมาส4 ปีนี้ จะรับรู้ที่ราคาก๊าซฯที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่คาดจะถูกหักล้างจากราคาน้ำมันดิบที่อ่อนตัวลง และปริมาณการผลิตและจำหน่ายที่คาดจะปรับตัวลดลงจากการหยุดผลิต เพื่อซ่อมบำรุงประจำปีในหลายโครงการ แนวโน้มกำไรทั้งปีนี้ เติบโตสูงถึง 31%จากงวดเดียวกันปีก่อน
รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ระบุว่า ตลาดหลักทรัพย์ได้แจ้งเตือนนักลงทุนกรณีวันซื้อขายสุดท้ายที่นักลงทุนจะได้รับสิทธิ์จองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนคือ วันที่ 7 พ.ย.นี้ และไม่ขึ้นเครื่องหมาย XR โดยมีการแจ้งเตือนตั้งแต่วันที่ 1-7 พ.ย.ที่ผ่านมา
การเคลื่อนไหวราคาหุ้นปตท.สผ. ตั้งแต่ต้นพ.ย.ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.51% จากราคา 166 บาท เป็น 168.50 บาท และปรับขึ้นไปสูงสุดที่ 174.50 บาท ต่ำสุดที่ 164 บาท ราคาเฉลี่ยที่ 168.81 บาท
--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 680
RPC ทุ่มงบ 8 ล้านบาท เข้าซื้อหุ้น 26% ในโรงไฟฟ้าชีวมวล
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ระยองเพียวริฟายเออร์ จำกัด (มหาชน) หรือ RPC เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมรุกธุรกิจพลังงานทดแทน หลังต้องหยุดกลั่นน้ำมันจากปัญหาขาดวัตถุดิบตั้งแต่ต้นปีนี้
โดยล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวานนี้ มีมติให้เข้าร่วมทุนในโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลชุมชนขนาดเล็กมาก(VSPP) โดยซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบริษัท เคพี เอ็นเนอร์ยี กรุ๊ป จำกัด จำนวน 6.7 พันหุ้น ราคาหุ้นละ 1,200 บาท คิดเป็นมูลค่าลงทุนรวม 8.04 ล้านบาท เพื่อเข้าถือหุ้นในสัดส่วน 26%
สำหรับเงินลงทุนดังกล่าวจะใช้เงินทุนของบริษัท ซึ่งจะชำระเป็นเงินสดภายในวันที่ 15 พ.ย.นี้ โดยการลงทุนครั้งนี้เพื่อขยายธุรกิจด้านพลังงานทดแทนและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจมากขึ้น
เคพี เอ็นเนอร์ยี กรุ๊ป เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าทั้งของรัฐบาล และเอกชน โดยปีที่ผ่านมาบริษัทดังกล่าวขาดทุนสุทธิ 1.37 ล้านบาท
RPC ซึ่งทำธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันรายเล็ก ได้หยุดธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันตั้งแต่วันที่ 7 ก.พ.55 เนื่องจากบมจ.ปตท.(PTT)ซึ่งเป็นผู้ส่งวัตถุดิบหลักให้กับบริษัทได้หยุดส่งวัตถุดิบ หลังแจ้งขอยกเลิกสัญญา มีผลตั้งแต่ 31 ม.ค.55 ขณะที่บริษัทได้คัดค้าน และยื่นเรื่องต่ออนุญาโตตุลาการให้พิจารณา
ขณะที่วันนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯได้ขึ้นเครื่องหมาย SP หุ้น RPC เป็นเวลา 1วัน และจะขึ้นเครื่องหมาย NP ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ กรณีผู้สอบบัญชีไม่สามารถให้ความเชื่อมั่นต่องบการเงินในไตรมาส 3/55 เนื่องจากผลของความไม่แน่นอนเกี่ยวกับความสามารถในการดำเนินงานต่อเนื่องของกิจการ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ระยองเพียวริฟายเออร์ จำกัด (มหาชน) หรือ RPC เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมรุกธุรกิจพลังงานทดแทน หลังต้องหยุดกลั่นน้ำมันจากปัญหาขาดวัตถุดิบตั้งแต่ต้นปีนี้
โดยล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวานนี้ มีมติให้เข้าร่วมทุนในโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลชุมชนขนาดเล็กมาก(VSPP) โดยซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบริษัท เคพี เอ็นเนอร์ยี กรุ๊ป จำกัด จำนวน 6.7 พันหุ้น ราคาหุ้นละ 1,200 บาท คิดเป็นมูลค่าลงทุนรวม 8.04 ล้านบาท เพื่อเข้าถือหุ้นในสัดส่วน 26%
สำหรับเงินลงทุนดังกล่าวจะใช้เงินทุนของบริษัท ซึ่งจะชำระเป็นเงินสดภายในวันที่ 15 พ.ย.นี้ โดยการลงทุนครั้งนี้เพื่อขยายธุรกิจด้านพลังงานทดแทนและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจมากขึ้น
เคพี เอ็นเนอร์ยี กรุ๊ป เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าทั้งของรัฐบาล และเอกชน โดยปีที่ผ่านมาบริษัทดังกล่าวขาดทุนสุทธิ 1.37 ล้านบาท
RPC ซึ่งทำธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันรายเล็ก ได้หยุดธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันตั้งแต่วันที่ 7 ก.พ.55 เนื่องจากบมจ.ปตท.(PTT)ซึ่งเป็นผู้ส่งวัตถุดิบหลักให้กับบริษัทได้หยุดส่งวัตถุดิบ หลังแจ้งขอยกเลิกสัญญา มีผลตั้งแต่ 31 ม.ค.55 ขณะที่บริษัทได้คัดค้าน และยื่นเรื่องต่ออนุญาโตตุลาการให้พิจารณา
ขณะที่วันนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯได้ขึ้นเครื่องหมาย SP หุ้น RPC เป็นเวลา 1วัน และจะขึ้นเครื่องหมาย NP ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ กรณีผู้สอบบัญชีไม่สามารถให้ความเชื่อมั่นต่องบการเงินในไตรมาส 3/55 เนื่องจากผลของความไม่แน่นอนเกี่ยวกับความสามารถในการดำเนินงานต่อเนื่องของกิจการ
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 681
เพ้ง สั่งเบรกแผนลงทุนโซลาร์ฟาร์ม
แหล่งข่าว : ASTV ผู้จัดการรายวัน, วันที่ : 09/11/2012
ASTVผู้จัดการรายวัน - "เสี่ยเพ้ง" สั่งเบรกผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์โดยเฉพาะโซลาฟาร์มขีดเส้นให้ไม่เกินเป้าหมายเดิม2 พันเมกะวัตต์ ถ้าต้องเดินตามสัญญาให้ได้ไม่เกิน 3 พันเมกะวัตต์ แต่หนุนอาคาร บ้านเรือน หวั่นค่าไฟแพง หันจุดพลุโรงไฟฟ้าชุมชนสร้างรายได้ โดยเฉพาะชีวมวลหวังปลุกเกษตรกรปลูกหญ้าขาย
นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาลรมว.พลังงาน กล่าวหลังการตรวจเยี่ยมสำนักนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.)และกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน(พพ.) ว่า มีนโยบายให้สนพ.ไปทบทวนแนวทางการรับซื้อไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์(โซลาร์เซลล์) ตามเป้าหมายเดิมไม่เกิน 2,000 เมกะวัตต์แต่หากสัญญาผูกพันและยกเลิกไม่ได้ก็ไม่ควรเกิน 3,000 เมกะวัตต์เนื่องจากที่ผ่านมามีผู้ยื่นขายไฟจำนวนมากโดยหากรายใดเห็นว่าผลิตไม่ได้และครบกำหนดจ่ายแต่ยังไม่จ่ายไฟก็ให้ยกเลิกสัญญาทันที เนื่องจากการรับซื้อไฟจากเซลล์แสงอาทิตย์ต้องจ่ายส่วนต่างรับซื้อค่าไฟหรือ ADDER เฉลี่ย 6-8 บาทต่อหน่วยทำให้ค่าไฟฟ้าค่อนข้างแพง
นอกจากนี้ ให้ สนพ.ไปเร่งงานวิจัยและพัฒนาโรงไฟฟ้าชีวมวลและพลังงานทดแทนที่จะนำมาลดต้นทุนด้านพลังงานของประเทศให้เสร็จภายในม.ค.-ก.พ.56 จากกรอบเดิมจะเสร็จกลางปีหรือสิ้นปีโดยเฉพาะศึกษาถึงต้นทุนการส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกหญ้าที่เหมาะสมเพื่อสร้างรายได้ในการผลิตไฟฟ้าชีวมวลโดยเฉพาะหญ้าที่ใช้เลี้ยงช้างให้ได้ในราคาที่สูงไปพร้อมๆกันซึ่งหากจำเป็นจะต้องเพิ่ม ADDER ก็ควรจะพิจารณาเพราะขณะนี้ได้เพียง30 สตางค์ต่อหน่วยเท่านั้น
สำหรับ พพ.ได้มุ่งเน้นให้เร่งไปศึกษาการตั้งโรงไฟฟ้าชุมชนในแต่ละพื้นที่ให้เหมาะสมกับวัตถุดิบที่ชุมชนมีอยู่ตามแนวนโยบายของนายกรัฐมนตรีเพื่อสร้างรายได้ให้กับชุมชนเพิ่มขึ้นรวมถึงการส่งเสริมการติดตั้งเซลล์แสงอาทิตย์ในอาคารและบ้านที่อยู่อาศัยที่ขณะนี้ พพ.รายงานว่าได้ผ่านกฎหมายส่งเสริมแล้วรอเพียงกระทรวงอุตสาหกรรมเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.)เนื่องจากจะต้องแก้ระเบียบว่าการติดตั้งในอาคารไม่เกี่ยวกับ รง.4 (ประกอบกิจการโรงงาน) ซึ่งจุดนี้จะเป็นประโยชน์กว่าการไปส่งเสริม โซลาร์ฟาร์ม
นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ ผู้อำนวยการ สนพ. กล่าวว่า สนพ.อยู่ระหว่างการวิจัย เพื่อสนับสนุนให้ผลิตไบโอแมสมากขึ้น รวมถึงวิธีการบรรจุ โดย สนพ.จะได้สนับสนุนงบประมาณเพื่อการวิจัยให้กับผู้ประกอบการรายละ 10 ล้านบาทวางเป้าหมาย 50 โรงงานใน 2 ปี ซึ่งเชื่อว่าเกษตรกรจะให้ความสนใจ เพราะการปลูกหญ้าสามารถเก็บเกี่ยวได้ปีละ 4 ครั้ง และอายุผลผลิตนานถึง 5 ปี
แหล่งข่าว : ASTV ผู้จัดการรายวัน, วันที่ : 09/11/2012
ASTVผู้จัดการรายวัน - "เสี่ยเพ้ง" สั่งเบรกผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์โดยเฉพาะโซลาฟาร์มขีดเส้นให้ไม่เกินเป้าหมายเดิม2 พันเมกะวัตต์ ถ้าต้องเดินตามสัญญาให้ได้ไม่เกิน 3 พันเมกะวัตต์ แต่หนุนอาคาร บ้านเรือน หวั่นค่าไฟแพง หันจุดพลุโรงไฟฟ้าชุมชนสร้างรายได้ โดยเฉพาะชีวมวลหวังปลุกเกษตรกรปลูกหญ้าขาย
นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาลรมว.พลังงาน กล่าวหลังการตรวจเยี่ยมสำนักนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.)และกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน(พพ.) ว่า มีนโยบายให้สนพ.ไปทบทวนแนวทางการรับซื้อไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์(โซลาร์เซลล์) ตามเป้าหมายเดิมไม่เกิน 2,000 เมกะวัตต์แต่หากสัญญาผูกพันและยกเลิกไม่ได้ก็ไม่ควรเกิน 3,000 เมกะวัตต์เนื่องจากที่ผ่านมามีผู้ยื่นขายไฟจำนวนมากโดยหากรายใดเห็นว่าผลิตไม่ได้และครบกำหนดจ่ายแต่ยังไม่จ่ายไฟก็ให้ยกเลิกสัญญาทันที เนื่องจากการรับซื้อไฟจากเซลล์แสงอาทิตย์ต้องจ่ายส่วนต่างรับซื้อค่าไฟหรือ ADDER เฉลี่ย 6-8 บาทต่อหน่วยทำให้ค่าไฟฟ้าค่อนข้างแพง
นอกจากนี้ ให้ สนพ.ไปเร่งงานวิจัยและพัฒนาโรงไฟฟ้าชีวมวลและพลังงานทดแทนที่จะนำมาลดต้นทุนด้านพลังงานของประเทศให้เสร็จภายในม.ค.-ก.พ.56 จากกรอบเดิมจะเสร็จกลางปีหรือสิ้นปีโดยเฉพาะศึกษาถึงต้นทุนการส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกหญ้าที่เหมาะสมเพื่อสร้างรายได้ในการผลิตไฟฟ้าชีวมวลโดยเฉพาะหญ้าที่ใช้เลี้ยงช้างให้ได้ในราคาที่สูงไปพร้อมๆกันซึ่งหากจำเป็นจะต้องเพิ่ม ADDER ก็ควรจะพิจารณาเพราะขณะนี้ได้เพียง30 สตางค์ต่อหน่วยเท่านั้น
สำหรับ พพ.ได้มุ่งเน้นให้เร่งไปศึกษาการตั้งโรงไฟฟ้าชุมชนในแต่ละพื้นที่ให้เหมาะสมกับวัตถุดิบที่ชุมชนมีอยู่ตามแนวนโยบายของนายกรัฐมนตรีเพื่อสร้างรายได้ให้กับชุมชนเพิ่มขึ้นรวมถึงการส่งเสริมการติดตั้งเซลล์แสงอาทิตย์ในอาคารและบ้านที่อยู่อาศัยที่ขณะนี้ พพ.รายงานว่าได้ผ่านกฎหมายส่งเสริมแล้วรอเพียงกระทรวงอุตสาหกรรมเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.)เนื่องจากจะต้องแก้ระเบียบว่าการติดตั้งในอาคารไม่เกี่ยวกับ รง.4 (ประกอบกิจการโรงงาน) ซึ่งจุดนี้จะเป็นประโยชน์กว่าการไปส่งเสริม โซลาร์ฟาร์ม
นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ ผู้อำนวยการ สนพ. กล่าวว่า สนพ.อยู่ระหว่างการวิจัย เพื่อสนับสนุนให้ผลิตไบโอแมสมากขึ้น รวมถึงวิธีการบรรจุ โดย สนพ.จะได้สนับสนุนงบประมาณเพื่อการวิจัยให้กับผู้ประกอบการรายละ 10 ล้านบาทวางเป้าหมาย 50 โรงงานใน 2 ปี ซึ่งเชื่อว่าเกษตรกรจะให้ความสนใจ เพราะการปลูกหญ้าสามารถเก็บเกี่ยวได้ปีละ 4 ครั้ง และอายุผลผลิตนานถึง 5 ปี
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 682
กกพ.เน้นกำกับกิจการพลังงานเชิงรุกร่งทบทวนโครงสร้างไฟฟ้าฐาน
Source - แนวหน้า (Th), Friday, November 09, 2012
นายดิเรก ลาวัณย์ศิริ ประธานกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยถึงแผนยุทธศาสตร์การกำกับกิจการพลังงาน พ.ศ.2556-2560 ว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา กกพ.มุ่งเน้นวางรากฐานให้การกำกับกิจการพลังงานของประเทศมีความมั่นคง ยั่งยืน รองรับกับนโยบายด้านพลังงานของภาครัฐ โดยในช่วง 5 ปีต่อจากนี้ไป (2556-2560) กกพ.จะเน้นการทำงานในเชิงรุกให้มากขึ้น โดยจะพัฒนาระบบการตรวจสอบการประกอบกิจการพลังงาน และนำผลการตรวจสอบมาวิเคราะห์ เพื่อปรับปรุงการกำกับกิจการพลังงานให้มีประสิทธิภาพในหลากหลายมิติ เพื่อให้การกำกับกิจการพลังงานสามารถดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งประชาชน ผู้ประกอบกิจการพลังงานรวมถึงสังคมและประเทศไทย ให้ได้รับความเป็นธรรม และประโยชน์สูงสุดจากการดูแลและกำกับกิจการพลังงาน และเพื่อให้โรงไฟฟ้าและชุมชนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน
โดยในช่วง 5 ปีต่อจากนี้ไป กกพ.จะทำงานภายใต้ยุทธศาสตร์การกำกับกิจการพลังงาน 4 ด้าน ประกอบด้วย 1.การเสริมสร้างมาตรฐานการกำกับดูแล และกิจการพลังงานต้องเป็นธรรมและเชื่อถือได้ โดย กกพ.จะทำให้อัตราค่าบริการพลังงานสะท้อนต้นทุนอย่างแท้จริง และเป็นธรรมกับผู้มีส่วนได้เสียทุกส่วน ตลอดจนส่งเสริมให้มีบริการไฟฟ้าอย่างเพียงพอและทั่วถึงในทุกภูมิภาค รวมทั้งลดขั้นตอน และอำนวยความสะดวกในงานการออกใบอนุญาตประกอบกิจการพลังงานให้เป็นไปด้วยความรวดเร็ว
2.ส่งเสริมกิจการพลังงานให้มีประสิทธิภาพ และเสริมสร้างการแข่งขันที่เป็นธรรม รวมทั้งส่งเสริมการเชื่อมต่อระบบโครงข่ายพลังงานระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นโครงการ ASEAN Power Grid (APG) หรือ Trans ASEAN Gas Pipelines (TAGP) เพื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน 3.คุ้มครองสิทธิของผู้ใช้พลังงาน ผู้มีส่วนได้เสีย โดย กกพ.จะมีแผนยุทธศาสตร์การคุ้มครองสิทธิผู้ใช้พลังงาน เพื่อสร้างการยอมรับและเน้นความเป็นธรรม พร้อมพัฒนาศักยภาพของคณะกรรมการผู้ใช้พลังงานประจำเขต 4.พัฒนาองค์กรสู่ความเป็นเลิศ โดยจะดำเนินงานให้สอดคล้องกับเกณฑ์รางวัลคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ
ทั้งนี้การประมูลโครงการผลิตไฟฟ้าภาคเอกชนรายใหญ่ (IPP) จำนวน 5,400 เมกะวัตต์ จำนวน 6 โรง โรงละ 900 เมกะวัตต์
ใช้เชื้อเพลิงจากก๊าซธรรมชาติ ตามแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าระยะยาว (PDP) ของประเทศ กกพ.จะเร่งประกาศเกณฑ์การประมูลในช่วงปลายปี 2555 นี้ เพื่อให้มีการเปิดยื่นซองประมูลได้ในช่วงต้นปี 2556 โดยคาดว่าโรงไฟฟ้าแห่งแรกจะเข้าระบบได้ในปี 2564
นางพัลลภา เรืองรอง กรรมการ กกพ. กล่าวว่า กกพ.จะทบทวนโครงสร้างไฟฟ้าฐาน จะพิจารณาต้นทุนในการบริหารจัดการเชื้อเพลิงของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ รวมถึงจะพิจารณาต้นทุนการใช้สายส่ง โดยจะพิจารณาถึงภาระที่ลงทุนไปแล้วว่ามีค่าใช้จ่ายจำนวนเท่าใด หมดอายุทางบัญชีหรือไม่ รวมทั้งค่าผ่านท่อก๊าซธรรมชาติของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ให้ตัวเลขมีความเป็นจริงมากที่สุด คาดว่าจะดำเนินการเสร็จภายในเดือนมกราคม 2556
Source - แนวหน้า (Th), Friday, November 09, 2012
นายดิเรก ลาวัณย์ศิริ ประธานกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยถึงแผนยุทธศาสตร์การกำกับกิจการพลังงาน พ.ศ.2556-2560 ว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา กกพ.มุ่งเน้นวางรากฐานให้การกำกับกิจการพลังงานของประเทศมีความมั่นคง ยั่งยืน รองรับกับนโยบายด้านพลังงานของภาครัฐ โดยในช่วง 5 ปีต่อจากนี้ไป (2556-2560) กกพ.จะเน้นการทำงานในเชิงรุกให้มากขึ้น โดยจะพัฒนาระบบการตรวจสอบการประกอบกิจการพลังงาน และนำผลการตรวจสอบมาวิเคราะห์ เพื่อปรับปรุงการกำกับกิจการพลังงานให้มีประสิทธิภาพในหลากหลายมิติ เพื่อให้การกำกับกิจการพลังงานสามารถดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งประชาชน ผู้ประกอบกิจการพลังงานรวมถึงสังคมและประเทศไทย ให้ได้รับความเป็นธรรม และประโยชน์สูงสุดจากการดูแลและกำกับกิจการพลังงาน และเพื่อให้โรงไฟฟ้าและชุมชนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน
โดยในช่วง 5 ปีต่อจากนี้ไป กกพ.จะทำงานภายใต้ยุทธศาสตร์การกำกับกิจการพลังงาน 4 ด้าน ประกอบด้วย 1.การเสริมสร้างมาตรฐานการกำกับดูแล และกิจการพลังงานต้องเป็นธรรมและเชื่อถือได้ โดย กกพ.จะทำให้อัตราค่าบริการพลังงานสะท้อนต้นทุนอย่างแท้จริง และเป็นธรรมกับผู้มีส่วนได้เสียทุกส่วน ตลอดจนส่งเสริมให้มีบริการไฟฟ้าอย่างเพียงพอและทั่วถึงในทุกภูมิภาค รวมทั้งลดขั้นตอน และอำนวยความสะดวกในงานการออกใบอนุญาตประกอบกิจการพลังงานให้เป็นไปด้วยความรวดเร็ว
2.ส่งเสริมกิจการพลังงานให้มีประสิทธิภาพ และเสริมสร้างการแข่งขันที่เป็นธรรม รวมทั้งส่งเสริมการเชื่อมต่อระบบโครงข่ายพลังงานระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นโครงการ ASEAN Power Grid (APG) หรือ Trans ASEAN Gas Pipelines (TAGP) เพื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน 3.คุ้มครองสิทธิของผู้ใช้พลังงาน ผู้มีส่วนได้เสีย โดย กกพ.จะมีแผนยุทธศาสตร์การคุ้มครองสิทธิผู้ใช้พลังงาน เพื่อสร้างการยอมรับและเน้นความเป็นธรรม พร้อมพัฒนาศักยภาพของคณะกรรมการผู้ใช้พลังงานประจำเขต 4.พัฒนาองค์กรสู่ความเป็นเลิศ โดยจะดำเนินงานให้สอดคล้องกับเกณฑ์รางวัลคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ
ทั้งนี้การประมูลโครงการผลิตไฟฟ้าภาคเอกชนรายใหญ่ (IPP) จำนวน 5,400 เมกะวัตต์ จำนวน 6 โรง โรงละ 900 เมกะวัตต์
ใช้เชื้อเพลิงจากก๊าซธรรมชาติ ตามแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าระยะยาว (PDP) ของประเทศ กกพ.จะเร่งประกาศเกณฑ์การประมูลในช่วงปลายปี 2555 นี้ เพื่อให้มีการเปิดยื่นซองประมูลได้ในช่วงต้นปี 2556 โดยคาดว่าโรงไฟฟ้าแห่งแรกจะเข้าระบบได้ในปี 2564
นางพัลลภา เรืองรอง กรรมการ กกพ. กล่าวว่า กกพ.จะทบทวนโครงสร้างไฟฟ้าฐาน จะพิจารณาต้นทุนในการบริหารจัดการเชื้อเพลิงของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ รวมถึงจะพิจารณาต้นทุนการใช้สายส่ง โดยจะพิจารณาถึงภาระที่ลงทุนไปแล้วว่ามีค่าใช้จ่ายจำนวนเท่าใด หมดอายุทางบัญชีหรือไม่ รวมทั้งค่าผ่านท่อก๊าซธรรมชาติของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ให้ตัวเลขมีความเป็นจริงมากที่สุด คาดว่าจะดำเนินการเสร็จภายในเดือนมกราคม 2556
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 683
วันที่/เวลา 09 พ.ย. 2555 12:44:42
หัวข้อข่าว อนุมัติจัดตั้ง "Toyo Thai Power Corporation Pte. Ltd." (TTPSG) และร่วมทุนกับ TTPSG เพื่อจัดตั้งบริษัทในประเทศสาธารณรัฐสหภาพพม่า
หลักทรัพย์ TTCL
แหล่งข่าว TTCL
รายละเอียดแบบเต็ม ที่ http://www.set.or.th/set/newsdetails.do ... country=TH
หัวข้อข่าว อนุมัติจัดตั้ง "Toyo Thai Power Corporation Pte. Ltd." (TTPSG) และร่วมทุนกับ TTPSG เพื่อจัดตั้งบริษัทในประเทศสาธารณรัฐสหภาพพม่า
หลักทรัพย์ TTCL
แหล่งข่าว TTCL
รายละเอียดแบบเต็ม ที่ http://www.set.or.th/set/newsdetails.do ... country=TH
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 684
KSL ลงทุน 3.36 พันลบ.ขยายกำลังผลิตไฟฟ้า-ปรับปรุงรง.น้ำตาล
อินโฟเควสท์, 9 พ.ย. 55
นายจำรูญ ชินธรรมมิตร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. น้ำตาลขอนแก่น (KSL) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติให้บริษัทและบริษัทย่อยลงทุนในโครงการขยายกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้า ขนาด 35 เมกะวัตต์ โดยเพิ่มจาก 30 เมกะวัตต์เป็น 65 เมกะวัตต์ และ โครงการปรับปรุงโรงงานน้ำตาลเพื่อเพิ่มความสามารถในการหีบอ้อยได้เพิ่มขึ้น 8,000 ตันอ้อย/วัน จากเดิมอยู่ที่ 27,000 ตันอ้อย/วัน มูลค่าเงินลงทุนในการก่อสร้างประมาณ 3,360 ล้านบาท โดยใช้แหล่งเงินทุนและกำไรสะสมของบริษัทและบริษัทย่อย ส่วนเงินกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงิน และ/หรือ การออกหุ้นกู้
ทั้ง 2 โครงการดำเนินการลงทุนที่โรงงานอ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน และความสามารถในการทำกำไรของบริท
อินโฟเควสท์, 9 พ.ย. 55
นายจำรูญ ชินธรรมมิตร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. น้ำตาลขอนแก่น (KSL) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติให้บริษัทและบริษัทย่อยลงทุนในโครงการขยายกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้า ขนาด 35 เมกะวัตต์ โดยเพิ่มจาก 30 เมกะวัตต์เป็น 65 เมกะวัตต์ และ โครงการปรับปรุงโรงงานน้ำตาลเพื่อเพิ่มความสามารถในการหีบอ้อยได้เพิ่มขึ้น 8,000 ตันอ้อย/วัน จากเดิมอยู่ที่ 27,000 ตันอ้อย/วัน มูลค่าเงินลงทุนในการก่อสร้างประมาณ 3,360 ล้านบาท โดยใช้แหล่งเงินทุนและกำไรสะสมของบริษัทและบริษัทย่อย ส่วนเงินกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงิน และ/หรือ การออกหุ้นกู้
ทั้ง 2 โครงการดำเนินการลงทุนที่โรงงานอ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน และความสามารถในการทำกำไรของบริท
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 210
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 685
ไทยออยล์โหมลงทุน4.65หมื่นล้าน5ปี
บริษัท ไทยออยล์ จำกัด(มหาชน) ถือเป็นบริษัทชั้นนำที่ดำเนินงานด้านโรงกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมีที่ต่อเนื่องครบรงจรในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และเป็นหัวหอกสำคัญของกลุ่มบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน)ในการกลั่นน้ำมัน
เพื่อป้อนความต้องการให้กับประเทศ ในภาวะที่เศรษฐกิจของโลกและราคาน้ำมันที่มีความผันผวน ย่อมส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของไทยออยล์ตามมาด้วย โดยเฉพาะการที่นายบารัก โอบามา เข้ามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี สหรัฐอเมริกาเป็นสมัยที่ 2 ทุกฝ่ายต่างจับตาว่านโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจที่สานต่อ จะมีผลต่อภาวะเศรษฐกิจโลกอย่างไร
นายวีรศักดิ์ โฆสิตไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ได้ให้สัมภาษณ์กับ"ฐานเศรษฐกิจ"ถึงทิศทางการดำเนินงานหลังจากนี้ไว้อย่างน่าสนใจ
+++ความต้องการใช้น้ำมันยังเติบโต
จากนี้ไปการใช้พลังงานในสหรัฐฯจะเติบโตขึ้น หลังจากที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจประสบความสำเร็จ และเชื่อว่าจะส่งผลดีมายังประเทศไทยด้วย โดยสหรัฐฯมีความได้เปรียบด้านราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่ถูกกว่าประเทศอื่นๆ เนื่องจากพบแหล่งก๊าซในชั้นหิน(เชลล์แก๊ส) ส่งผลให้มีปริมาณก๊าซใช้ในประเทศมากขึ้น จากที่เคยเป็นประเทศนำเข้าพลังงานจำนวนมาก ก็จะลดการนำเข้าลง
ทั้งนี้ ประมาณการความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกปีนี้จะเติบโต 8 แสนบาร์เรลต่อวัน จากปีก่อนที่ใช้อยู่ที่ประมาณ 90 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งในส่วนของน้ำมันที่เติบโตขึ้น จะมาจากสหรัฐฯ 50% และอีกส่วนหนึ่งจะมาจากประเทศต่างๆ ขณะที่การผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปกจะยังคงปริมาณที่ 30-31 ล้านบาร์เรลต่อวัน ไม่จำเป็นต้องผลิตน้ำมันเพื่อป้อนให้กับตลาดทั่วโลกเพิ่ม เพราะมีกำลังการผลิตจากสหรัฐฯเข้ามาทดแทนส่วนหนึ่งแล้ว ดังนั้นราคาน้ำมันจะไม่ผันผวนมากนัก คาดว่าในปี 2556 จะทรงตัวอยู่ที่ 100-110 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล
"ผมเชื่อว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในสหรัฐฯจะต่อเนื่องหลังจากที่โอบามา เป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ซึ่งย่อมส่งผลดีจ่อเศรษฐกิจของไทยด้วย เพราะหากเศรษฐกิจโลกก้าวไปในทิศทางที่ดี ก็เป็นตัวผลักดันเศรษฐกิจของไทยด้วย ขณะที่ภาพรวมการผลิตน้ำมัน ก๊าซ และปิโตรเคมี ก็รับผลดีตามไปด้วย"
++++ไทยออยล์ทุ่ม4.65หมื่นล้านบาท
ส่วนการเตรียมตัวรับมือกับทิศทางเศรษฐกิจนั้น เป็นเรื่องสำคัญ ที่ไทยออยล์ต้องวางแผนระยะยาวเพื่อให้สามารถแข่งขันกับผู้ประกอบการรายอื่นๆได้ โดยในช่วง 5 ปีนี้ (2555-2559) ไทยออยล์จะใช้เงินลงทุนประมาณ 4.65 หมื่นล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละ 9.3 พันล้านบาท เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่แล้ว ทำให้กำไรขั้นต้นเฉลี่ยทุกผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้น
ในปลายปีนี้โครงการเพิ่มกำลังการผลิตพาราไซลีนอีก 1 แสนตันจะแล้วเสร็จ ใช้เงินลงทุนประมาณ 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จะส่งผลให้ปี 2556 ไทยออยล์จะมีกำลังการผลิตพาราไซลีนเพิ่มเป็นกว่า 5 แสนตันต่อปี ขณะที่โครงการผลิตแอลเอบี (Linear Alkyl Benzene) กำลังการผลิต 1 แสนตันต่อปี ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตผงซักฟอกและสารซักล้าง จะใช้เงินลงทุนประมาณ 300-350 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการออกแบบ ซึ่งนับว่าเป็นโครงการแห่งแรกของไทย เพื่อทดแทนการนำเข้าสารดังกล่าว ที่จะป้อนความต้องการใช้ในประเทศ 6 หมื่นตันต่อปี ส่วนกำลังการผลิตที่เหลือจะส่งออกไปต่างประเทศ
"ภายหลังจากที่โครงการขยายกำลังการผลิตพาราไซลีนเสร็จ ไทยออยล์เตรียมแผนขยายคอขวดเพื่อปรับปรุงกระบวนการกลั่น ซึ่งจะดึงน้ำมันดีเซลออกจากน้ำมันเตาได้มากขึ้น ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ จะใช้เงินลงทุน 270 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีแผนจะซื้อเรือ VLCC เพิ่มอีก 1 ลำ เพื่อขยายกองเรือรองรับความต้องการใช้เรือขนส่งน้ำมันของกลุ่มปตท.ได้เพิ่มเป็น 30%"
+++มั่นใจรายได้ปี 2559โตเท่าตัว
โครงการส่วนใหญ่จะเสร็จในช่วงปี 2557-2559 แต่ปีหน้าจะมีเพียงโครงการเพิ่มกำลังการผลิตพาราไซลีนเท่านั้นที่แล้วเสร็จ จึงไม่ได้ส่งผลต่อรายได้ให้เติบโตมากนัก แต่เชื่อว่าในปี 2559 ไทยออยล์จะมีรายได้เติบโตอย่างก้าวกระโดด ภายใต้ราคาน้ำมันดิบที่ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล เพราะรับรู้รายได้เต็มจากโครงการใหม่ โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทมีกำไรกว่า 1 หมื่นล้านบาท เทียบกับปี 2554 บริษัทมีกำไรกว่า 8 พันล้านบาท ซึ่งประมาณการค่าการกลั่นเฉลี่ยปีนี้อยู่ที่ 6-7 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล เทียบกับไตรมาสก่อนที่ 7 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม ไทยออยล์จะยังไม่มีแผนเพิ่มกำลังการกลั่นน้ำมันในขณะนี้ จากปัจจุบันอยู่ที่ 2.75 แสนบาร์เรลต่อวัน เพราะยังกังวลเกี่ยวกับความต้องการใช้น้ำมันในประเทศที่ไม่เติบโตขึ้นมากนัก ขณะเดียวกันกระทรวงพลังงานได้ประกาศยกเลิกจำหน่ายน้ำมันเบนซิน 91 ภายในวันที่ 1 มกราคม 2556 ดังนั้นโรงกลั่นน้ำมันทุกแห่งจะต้องประสบปัญหาน้ำมันเบนซินส่วนเกิน โดยไทยออยล์ผลิตน้ำมันเพื่อขายในประเทศกว่า 80% ส่วนอีกกว่า 15% จะส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้นหลังจากเลิกจำหน่ายเบนซิน 91 แล้ว ไทยออยล์ก็ต้องเพิ่มสัดส่วนการส่งออกมากขึ้น
+++ดันรัฐหนุนแก๊สโซฮอล์อี20
สำหรับการยกเลิกเบนซิน 91 อาจทำให้น้ำมันเบนซินพื้นฐาน(จีเบส) ตึงตัว ซึ่งยอมรับว่าโรงกลั่นไทยออยล์ไม่ได้ถูกออกแบบมา เพื่อรองรับการผลิตแก๊สโซฮอล์มากนัก จึงต้องไปปรับขบวนการผลิตใหม่ ซึ่งผู้ประกอบการกลุ่มโรงกลั่นได้หารือร่วมกับภาครัฐ พบว่าทางออกในการเพิ่มสัดส่วนการใช้เอทานอล และเป็นประโยชน์กับโรงกลั่น คือการส่งเสริมแก๊สโซฮอล์อี20 ซึ่งจะช่วยให้ความต้องการใช้เอทานอลเพิ่มขึ้นอีก 1 ล้านลิตรต่อวัน จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.5 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มเป็น 2.5 ล้านลิตรต่อวัน และแม้ว่าความต้องการเอทานอลจะเติบโตขึ้นอีก เชื่อว่าเอทานอลจะไม่ขาดแคลน เนื่องจากขณะนี้มีกำลังการผลิตรวม 4 ล้านลิตรต่อวัน
+++อ้อนรัฐลอยตัวแอลพีจีหน้าโรงกลั่น
ส่วนกรณีสถานการณ์การผลิตก๊าซหุงต้มหรือแอลพีจีนั้น ต้องยอมรับว่ามีค่อนข้างจำกัด ซึ่งภาครัฐต้องการให้โรงกลั่นน้ำมันผลิตแอลพีจีเพื่อป้อนเข้าระบบมากขึ้น เพื่อลดปริมาณการนำเข้า เป็นภาระให้กับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างมาก โดยในส่วนของไทยออยล์ยอมรับว่าคงผลิตแอลพีจีเพิ่มขึ้นอีกไม่ได้มากจากปัจจุบันผลิตอยู่ที่ 1 หมื่นตันต่อเดือน หรือคิดเป็นประมาณ 5% ของกำลังการผลิตทั้งหมด เพราะต้องยอมรับว่าวัตถุดิบที่ใช้ผลิตแอลพีจีคือน้ำมันดิบ และไทยออยล์ต้องซื้อน้ำมันราคาตลาดโลก แต่เมื่อผลิตเป็นแอลพีจีกลับต้องขายราคาควบคุม ดังนั้นโปรแกรมคอมพิวเตอร์จึงไม่เลือกที่จะผลิตแอลพีจีออกมามากนัก
ดังนั้นหากภาครัฐต้องการจูงใจให้โรงกลั่นน้ำมันผลิตแอลพีจีออกมามากขึ้น เพื่อลดการนำเข้า ควรพิจารณาลอยตัวราคาแอลพีจีให้เป็นราคาตลาดโลก เพราะคงไม่มีโรงกลั่นรายใดอยากผลิตสินค้าออกมาขายแล้วขาดทุน ปัจจุบันโรงกลั่นน้ำมันซื้อน้ำมันดิบ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล แต่ขายเป็นแอลพีจีอยู่ที่ 80 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล เพราะไม่เช่นนั้นแล้วการนำเข้าจะยังมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อไปมากยิ่งขึ้น
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 32 ฉบับที่ 2,793 วันที่ 18-21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
บริษัท ไทยออยล์ จำกัด(มหาชน) ถือเป็นบริษัทชั้นนำที่ดำเนินงานด้านโรงกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมีที่ต่อเนื่องครบรงจรในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และเป็นหัวหอกสำคัญของกลุ่มบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน)ในการกลั่นน้ำมัน
เพื่อป้อนความต้องการให้กับประเทศ ในภาวะที่เศรษฐกิจของโลกและราคาน้ำมันที่มีความผันผวน ย่อมส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของไทยออยล์ตามมาด้วย โดยเฉพาะการที่นายบารัก โอบามา เข้ามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี สหรัฐอเมริกาเป็นสมัยที่ 2 ทุกฝ่ายต่างจับตาว่านโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจที่สานต่อ จะมีผลต่อภาวะเศรษฐกิจโลกอย่างไร
นายวีรศักดิ์ โฆสิตไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ได้ให้สัมภาษณ์กับ"ฐานเศรษฐกิจ"ถึงทิศทางการดำเนินงานหลังจากนี้ไว้อย่างน่าสนใจ
+++ความต้องการใช้น้ำมันยังเติบโต
จากนี้ไปการใช้พลังงานในสหรัฐฯจะเติบโตขึ้น หลังจากที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจประสบความสำเร็จ และเชื่อว่าจะส่งผลดีมายังประเทศไทยด้วย โดยสหรัฐฯมีความได้เปรียบด้านราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่ถูกกว่าประเทศอื่นๆ เนื่องจากพบแหล่งก๊าซในชั้นหิน(เชลล์แก๊ส) ส่งผลให้มีปริมาณก๊าซใช้ในประเทศมากขึ้น จากที่เคยเป็นประเทศนำเข้าพลังงานจำนวนมาก ก็จะลดการนำเข้าลง
ทั้งนี้ ประมาณการความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกปีนี้จะเติบโต 8 แสนบาร์เรลต่อวัน จากปีก่อนที่ใช้อยู่ที่ประมาณ 90 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งในส่วนของน้ำมันที่เติบโตขึ้น จะมาจากสหรัฐฯ 50% และอีกส่วนหนึ่งจะมาจากประเทศต่างๆ ขณะที่การผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปกจะยังคงปริมาณที่ 30-31 ล้านบาร์เรลต่อวัน ไม่จำเป็นต้องผลิตน้ำมันเพื่อป้อนให้กับตลาดทั่วโลกเพิ่ม เพราะมีกำลังการผลิตจากสหรัฐฯเข้ามาทดแทนส่วนหนึ่งแล้ว ดังนั้นราคาน้ำมันจะไม่ผันผวนมากนัก คาดว่าในปี 2556 จะทรงตัวอยู่ที่ 100-110 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล
"ผมเชื่อว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในสหรัฐฯจะต่อเนื่องหลังจากที่โอบามา เป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ซึ่งย่อมส่งผลดีจ่อเศรษฐกิจของไทยด้วย เพราะหากเศรษฐกิจโลกก้าวไปในทิศทางที่ดี ก็เป็นตัวผลักดันเศรษฐกิจของไทยด้วย ขณะที่ภาพรวมการผลิตน้ำมัน ก๊าซ และปิโตรเคมี ก็รับผลดีตามไปด้วย"
++++ไทยออยล์ทุ่ม4.65หมื่นล้านบาท
ส่วนการเตรียมตัวรับมือกับทิศทางเศรษฐกิจนั้น เป็นเรื่องสำคัญ ที่ไทยออยล์ต้องวางแผนระยะยาวเพื่อให้สามารถแข่งขันกับผู้ประกอบการรายอื่นๆได้ โดยในช่วง 5 ปีนี้ (2555-2559) ไทยออยล์จะใช้เงินลงทุนประมาณ 4.65 หมื่นล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละ 9.3 พันล้านบาท เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่แล้ว ทำให้กำไรขั้นต้นเฉลี่ยทุกผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้น
ในปลายปีนี้โครงการเพิ่มกำลังการผลิตพาราไซลีนอีก 1 แสนตันจะแล้วเสร็จ ใช้เงินลงทุนประมาณ 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จะส่งผลให้ปี 2556 ไทยออยล์จะมีกำลังการผลิตพาราไซลีนเพิ่มเป็นกว่า 5 แสนตันต่อปี ขณะที่โครงการผลิตแอลเอบี (Linear Alkyl Benzene) กำลังการผลิต 1 แสนตันต่อปี ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตผงซักฟอกและสารซักล้าง จะใช้เงินลงทุนประมาณ 300-350 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการออกแบบ ซึ่งนับว่าเป็นโครงการแห่งแรกของไทย เพื่อทดแทนการนำเข้าสารดังกล่าว ที่จะป้อนความต้องการใช้ในประเทศ 6 หมื่นตันต่อปี ส่วนกำลังการผลิตที่เหลือจะส่งออกไปต่างประเทศ
"ภายหลังจากที่โครงการขยายกำลังการผลิตพาราไซลีนเสร็จ ไทยออยล์เตรียมแผนขยายคอขวดเพื่อปรับปรุงกระบวนการกลั่น ซึ่งจะดึงน้ำมันดีเซลออกจากน้ำมันเตาได้มากขึ้น ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ จะใช้เงินลงทุน 270 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีแผนจะซื้อเรือ VLCC เพิ่มอีก 1 ลำ เพื่อขยายกองเรือรองรับความต้องการใช้เรือขนส่งน้ำมันของกลุ่มปตท.ได้เพิ่มเป็น 30%"
+++มั่นใจรายได้ปี 2559โตเท่าตัว
โครงการส่วนใหญ่จะเสร็จในช่วงปี 2557-2559 แต่ปีหน้าจะมีเพียงโครงการเพิ่มกำลังการผลิตพาราไซลีนเท่านั้นที่แล้วเสร็จ จึงไม่ได้ส่งผลต่อรายได้ให้เติบโตมากนัก แต่เชื่อว่าในปี 2559 ไทยออยล์จะมีรายได้เติบโตอย่างก้าวกระโดด ภายใต้ราคาน้ำมันดิบที่ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล เพราะรับรู้รายได้เต็มจากโครงการใหม่ โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทมีกำไรกว่า 1 หมื่นล้านบาท เทียบกับปี 2554 บริษัทมีกำไรกว่า 8 พันล้านบาท ซึ่งประมาณการค่าการกลั่นเฉลี่ยปีนี้อยู่ที่ 6-7 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล เทียบกับไตรมาสก่อนที่ 7 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม ไทยออยล์จะยังไม่มีแผนเพิ่มกำลังการกลั่นน้ำมันในขณะนี้ จากปัจจุบันอยู่ที่ 2.75 แสนบาร์เรลต่อวัน เพราะยังกังวลเกี่ยวกับความต้องการใช้น้ำมันในประเทศที่ไม่เติบโตขึ้นมากนัก ขณะเดียวกันกระทรวงพลังงานได้ประกาศยกเลิกจำหน่ายน้ำมันเบนซิน 91 ภายในวันที่ 1 มกราคม 2556 ดังนั้นโรงกลั่นน้ำมันทุกแห่งจะต้องประสบปัญหาน้ำมันเบนซินส่วนเกิน โดยไทยออยล์ผลิตน้ำมันเพื่อขายในประเทศกว่า 80% ส่วนอีกกว่า 15% จะส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้นหลังจากเลิกจำหน่ายเบนซิน 91 แล้ว ไทยออยล์ก็ต้องเพิ่มสัดส่วนการส่งออกมากขึ้น
+++ดันรัฐหนุนแก๊สโซฮอล์อี20
สำหรับการยกเลิกเบนซิน 91 อาจทำให้น้ำมันเบนซินพื้นฐาน(จีเบส) ตึงตัว ซึ่งยอมรับว่าโรงกลั่นไทยออยล์ไม่ได้ถูกออกแบบมา เพื่อรองรับการผลิตแก๊สโซฮอล์มากนัก จึงต้องไปปรับขบวนการผลิตใหม่ ซึ่งผู้ประกอบการกลุ่มโรงกลั่นได้หารือร่วมกับภาครัฐ พบว่าทางออกในการเพิ่มสัดส่วนการใช้เอทานอล และเป็นประโยชน์กับโรงกลั่น คือการส่งเสริมแก๊สโซฮอล์อี20 ซึ่งจะช่วยให้ความต้องการใช้เอทานอลเพิ่มขึ้นอีก 1 ล้านลิตรต่อวัน จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.5 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มเป็น 2.5 ล้านลิตรต่อวัน และแม้ว่าความต้องการเอทานอลจะเติบโตขึ้นอีก เชื่อว่าเอทานอลจะไม่ขาดแคลน เนื่องจากขณะนี้มีกำลังการผลิตรวม 4 ล้านลิตรต่อวัน
+++อ้อนรัฐลอยตัวแอลพีจีหน้าโรงกลั่น
ส่วนกรณีสถานการณ์การผลิตก๊าซหุงต้มหรือแอลพีจีนั้น ต้องยอมรับว่ามีค่อนข้างจำกัด ซึ่งภาครัฐต้องการให้โรงกลั่นน้ำมันผลิตแอลพีจีเพื่อป้อนเข้าระบบมากขึ้น เพื่อลดปริมาณการนำเข้า เป็นภาระให้กับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างมาก โดยในส่วนของไทยออยล์ยอมรับว่าคงผลิตแอลพีจีเพิ่มขึ้นอีกไม่ได้มากจากปัจจุบันผลิตอยู่ที่ 1 หมื่นตันต่อเดือน หรือคิดเป็นประมาณ 5% ของกำลังการผลิตทั้งหมด เพราะต้องยอมรับว่าวัตถุดิบที่ใช้ผลิตแอลพีจีคือน้ำมันดิบ และไทยออยล์ต้องซื้อน้ำมันราคาตลาดโลก แต่เมื่อผลิตเป็นแอลพีจีกลับต้องขายราคาควบคุม ดังนั้นโปรแกรมคอมพิวเตอร์จึงไม่เลือกที่จะผลิตแอลพีจีออกมามากนัก
ดังนั้นหากภาครัฐต้องการจูงใจให้โรงกลั่นน้ำมันผลิตแอลพีจีออกมามากขึ้น เพื่อลดการนำเข้า ควรพิจารณาลอยตัวราคาแอลพีจีให้เป็นราคาตลาดโลก เพราะคงไม่มีโรงกลั่นรายใดอยากผลิตสินค้าออกมาขายแล้วขาดทุน ปัจจุบันโรงกลั่นน้ำมันซื้อน้ำมันดิบ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล แต่ขายเป็นแอลพีจีอยู่ที่ 80 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล เพราะไม่เช่นนั้นแล้วการนำเข้าจะยังมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อไปมากยิ่งขึ้น
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 32 ฉบับที่ 2,793 วันที่ 18-21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 686
สนสร้างโรงไฟฟ้าในทวาย เพ้งชี้ไม่บังคับ'ปตท.-กฟผ.'
Source ไทยโพสต์ (Th), Saturday, November 10, 2012
กระทรวงพลังงานสั่งสำรวจแนวทางลงทุนโรงไฟฟ้า ท่อส่งน้ำมันและคลังเก็บน้ำมันในพื้นที่นิคมฯ ทวาย ด้าน “เพ้ง” ยืนยันยังไม่ส่ง ปตท.และ กฟผ.ไปลงทุน รอผลศึกษาความคุ้มค่าลงทุนให้ชัดเจนก่อน
แหล่งข่าวกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า นายณอคุณ สิทธิพงศ์ ปลัดกระทรวงพลังงาน ได้สั่งการให้สำนักนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ไปศึกษาแนวทางการลงทุนโครงการต่างๆ ด้านพลังงานในนิคมอุตสาหกรรมทวาย ในประเทศสหภาพพม่า โดยศึกษาทั้งด้านการลงทุนสร้างโรงไฟฟ้า คลังเก็บน้ำมันและท่อส่งน้ำมัน เป็นต้น เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่เชื่อมติดไทยและสะดวกต่อการคมนาคม
นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวภายหลังมอบนโยบายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ว่า การลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมทวายนั้น กระทรวงยังไม่ได้ผลักดันให้ ปตท.และ กฟผ.ไปลงทุน เพราะทั้ง 2 หน่วยงานอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ เมื่อการศึกษาแล้วเสร็จจะระบุได้ว่าสามารถลงทุนได้หรือไม่ และลงทุนในโครงการใดบ้าง
นายพงษ์ศักดิ์กล่าวถึงการตรวจเยี่ยม บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ด้วยว่า ได้มอบนโยบายให้ ปตท.นำผลกำไรของบริษัทมาใช้ดูแลสังคมให้มากขึ้น ส่วนกรณีที่ ปตท.ต้องรับภาระค่าก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ หรือเอ็นจีวี และก๊าซปิโตรเลียมเหลว หรือแอลพีจีในช่วงที่ผ่านมา จะต้องมีการประชุมเพื่อหาข้อมูลว่ามีผู้ใช้จำนวนเท่าใด และมีผลกระทบอย่างไร ก่อนจะนำมาหารือกันอีกครั้งเพื่อแก้ปัญหา ส่วนการนำเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาจ่ายชดเชยส่วนต่างราคาให้ ปตท. ไม่น่าจะมีปัญหา เพราะกองทุนฯ มีกลไกในการจ่ายเงินอยู่แล้ว
นายสุทัศน์ ปัทมสิริวัฒน์ ผู้ว่า กฟผ. กล่าวว่า ในส่วนของโครงการโรงไฟฟ้าทวาย หากรัฐบาลพม่าตัดสินใจที่จะใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงก็คงทำให้โครงการคืบหน้ารวดเร็วขึ้น โดยโครงการนี้ บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด (มหาชน) ได้เข้าไปถือหุ้นร่วมด้วย และ กฟผ.พร้อมรับซื้อไฟฟ้าหากมีกำลังผลิตเหลือส่ง และสายส่งในประเทศพร้อมก็จะรับไฟฟ้าดังกล่าว
สำหรับ กฟผ.ได้ให้บริษัทลูก คือ บมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง ร่วมศึกษาโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาด 4,000 เมกะวัตต์ ร่วมกับ บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ (ไอทีดี) ในนิคมฯ ทวาย ซึ่ง กฟผ.สนับสนุนให้เดินหน้าต่อ แต่ก็ต้องรอผลการศึกษาต่อไป
นายสุทัศน์กล่าวถึงกรณีที่นายพงษ์ศักดิ์มอบนโยบายให้ กฟผ. ว่า นายพงษ์ศักดิ์เป็นห่วงเรื่องต้นทุนไฟฟ้าที่จะเพิ่มขึ้นจากการใช้ก๊าซฯ ซึ่งเป็นแนวคิดที่ถูกต้องที่ควรมีการกระจายเชื้อเพลิงจากก๊าซฯ เป็นถ่านหิน และไฟฟ้าพลังน้ำ.
Source ไทยโพสต์ (Th), Saturday, November 10, 2012
กระทรวงพลังงานสั่งสำรวจแนวทางลงทุนโรงไฟฟ้า ท่อส่งน้ำมันและคลังเก็บน้ำมันในพื้นที่นิคมฯ ทวาย ด้าน “เพ้ง” ยืนยันยังไม่ส่ง ปตท.และ กฟผ.ไปลงทุน รอผลศึกษาความคุ้มค่าลงทุนให้ชัดเจนก่อน
แหล่งข่าวกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า นายณอคุณ สิทธิพงศ์ ปลัดกระทรวงพลังงาน ได้สั่งการให้สำนักนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ไปศึกษาแนวทางการลงทุนโครงการต่างๆ ด้านพลังงานในนิคมอุตสาหกรรมทวาย ในประเทศสหภาพพม่า โดยศึกษาทั้งด้านการลงทุนสร้างโรงไฟฟ้า คลังเก็บน้ำมันและท่อส่งน้ำมัน เป็นต้น เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่เชื่อมติดไทยและสะดวกต่อการคมนาคม
นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวภายหลังมอบนโยบายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ว่า การลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมทวายนั้น กระทรวงยังไม่ได้ผลักดันให้ ปตท.และ กฟผ.ไปลงทุน เพราะทั้ง 2 หน่วยงานอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ เมื่อการศึกษาแล้วเสร็จจะระบุได้ว่าสามารถลงทุนได้หรือไม่ และลงทุนในโครงการใดบ้าง
นายพงษ์ศักดิ์กล่าวถึงการตรวจเยี่ยม บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ด้วยว่า ได้มอบนโยบายให้ ปตท.นำผลกำไรของบริษัทมาใช้ดูแลสังคมให้มากขึ้น ส่วนกรณีที่ ปตท.ต้องรับภาระค่าก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ หรือเอ็นจีวี และก๊าซปิโตรเลียมเหลว หรือแอลพีจีในช่วงที่ผ่านมา จะต้องมีการประชุมเพื่อหาข้อมูลว่ามีผู้ใช้จำนวนเท่าใด และมีผลกระทบอย่างไร ก่อนจะนำมาหารือกันอีกครั้งเพื่อแก้ปัญหา ส่วนการนำเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาจ่ายชดเชยส่วนต่างราคาให้ ปตท. ไม่น่าจะมีปัญหา เพราะกองทุนฯ มีกลไกในการจ่ายเงินอยู่แล้ว
นายสุทัศน์ ปัทมสิริวัฒน์ ผู้ว่า กฟผ. กล่าวว่า ในส่วนของโครงการโรงไฟฟ้าทวาย หากรัฐบาลพม่าตัดสินใจที่จะใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงก็คงทำให้โครงการคืบหน้ารวดเร็วขึ้น โดยโครงการนี้ บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด (มหาชน) ได้เข้าไปถือหุ้นร่วมด้วย และ กฟผ.พร้อมรับซื้อไฟฟ้าหากมีกำลังผลิตเหลือส่ง และสายส่งในประเทศพร้อมก็จะรับไฟฟ้าดังกล่าว
สำหรับ กฟผ.ได้ให้บริษัทลูก คือ บมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง ร่วมศึกษาโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาด 4,000 เมกะวัตต์ ร่วมกับ บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ (ไอทีดี) ในนิคมฯ ทวาย ซึ่ง กฟผ.สนับสนุนให้เดินหน้าต่อ แต่ก็ต้องรอผลการศึกษาต่อไป
นายสุทัศน์กล่าวถึงกรณีที่นายพงษ์ศักดิ์มอบนโยบายให้ กฟผ. ว่า นายพงษ์ศักดิ์เป็นห่วงเรื่องต้นทุนไฟฟ้าที่จะเพิ่มขึ้นจากการใช้ก๊าซฯ ซึ่งเป็นแนวคิดที่ถูกต้องที่ควรมีการกระจายเชื้อเพลิงจากก๊าซฯ เป็นถ่านหิน และไฟฟ้าพลังน้ำ.
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 687
'พงษ์ศักดิ์'เร่งพลังงานวางท่อส่งน้ำมัน
Source - กรุงเทพธุรกิจ (Th), Tuesday, November 13, 2012
"พงษ์ศักดิ์"จี้กรมธุรกิจพลังงาน เร่งวางท่อส่งน้ำมันสายเหนือ - อีสาน มูลค่ากว่า 1.7 หมื่นล้านบาท หวังขายน้ำมันราคาเดียวทั่วประเทศ รองรับเออีซี ยันโครงการมีความคุ้มค่าแม้ใช้เงินลงทุนสูง
นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยภายหลังตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายกรมธุรกิจพลังงาน และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน วานนี้ (12 พ.ย.) ว่า กรมฯต้องศึกษาแนวทางการ วางท่อขนส่งน้ำมันเพื่อให้จำหน่ายน้ำมันราคาเดียวกันทั่วประเทศ โดยกรมฯได้ศึกษาการขยายแนวท่อส่งน้ำมัน 2 สาย คือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จากจ.สระบุรีไปยังจ.นครราชสีมา และจ.ของแก่น และสายเหนือ จากจ.สระบุรีไปยังจ.พิษณุโลก และจ.ลำปาง คาดว่าจะใช้เงินลงทุน 1.7 หมื่นล้านบาท เป็นค่าท่อส่งน้ำมัน 13,700 ล้านบาท และค่าสร้างคลังน้ำมัน 3,700 ล้านบาท
"แม้มูลค่าการลงทุนจะสูง แต่เมื่อเปรียบเทียบกับมูลค่าตลอดอายุสัญญาโครงการ 25 ปี สามารถลดต้นทุนการขนส่งทางถนนได้ปีละ 2 พันล้านบาท หรือมีมูลค่ารวมกว่า 6 หมื่นล้านบาท ถ้ารวมกับมูลค่าความสูญเสียจากการขนส่งทางถนน จะยิ่งเพิ่มความคุ้มค่าได้อีกมาก"
ทั้งนี้ การสร้างท่อส่งน้ำมันยังเป็นการรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) เพราะประเทศเพื่อนบ้านจะมีความต้องการใช้น้ำมันมากขึ้น ส่งผลให้ไทยขยายปริมาณการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปได้มากขึ้น ส่วนเงินที่จะนำมาลงทุน ประกอบด้วย 1.การให้ภาคเอกชนลงทุนและบริหารโครงการ และ 2.รัฐบาลลงทุนสร้างท่อขนส่งน้ำมัน และว่าจ้างเอกชนบริหารจัดการ
ส่วนสถานะกองทุนพลังงาน ปัจจุบันเป็นหนี้ประมาณ 6 พันล้านบาท ติดลบ 1.9 หมื่นล้านบาท และเป็นหนี้บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) อีก 1.3 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่เกิดจากการนำเงินกองทุนฯมาอุดหนุนราคาแอลพีจีภาคครัวเรือน แต่คาดว่าปีหน้าสถานการณ์กองทุนฯจะดีกว่าปีนี้ เพราะความต้องการแอลพีจีในตลาดโลกลดลง ส่งผลให้ราคาแอลพีจีลดลงอยู่ในกรอบ 800 ดอลลาร์ต่อตัน หรือกิโลกรัมละ 24 บาท
"การแก้ไขปัญหาแอลพีจีระยะยาว ต้องปรับโครงสร้างราคาแอลพีจีทั้งระบบ ยืนยันว่าเดือนม.ค.ปีหน้า จะยังไม่ปรับขึ้นราคาแอลพีจีภาคครัวเรือน"
ด้าน นายวีระพล จิรประดิษฐกุล อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กล่าวว่า การขยาย แนวท่อส่งน้ำมันสายเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือนั้น ได้กำชับให้ตั้งคณะกรรมการศึกษาแนวทางการลงทุนอย่างรอบคอบ รวมทั้งประสานความร่วมมือกับ บริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด (แทปไลน์) เพราะเป็นเจ้าของท่อส่งน้ำมันจากท่าเรือ ฝั่งตะวันออกไปยังจ.สระบุรี โดยจะใช้เวลาศึกษาอีก 1 เดือน
การวางท่อ ส่งน้ำมันแม้ต้องใช้เงินลงทุนสูง แต่คุ้มค่า การลงทุน--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
Source - กรุงเทพธุรกิจ (Th), Tuesday, November 13, 2012
"พงษ์ศักดิ์"จี้กรมธุรกิจพลังงาน เร่งวางท่อส่งน้ำมันสายเหนือ - อีสาน มูลค่ากว่า 1.7 หมื่นล้านบาท หวังขายน้ำมันราคาเดียวทั่วประเทศ รองรับเออีซี ยันโครงการมีความคุ้มค่าแม้ใช้เงินลงทุนสูง
นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยภายหลังตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายกรมธุรกิจพลังงาน และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน วานนี้ (12 พ.ย.) ว่า กรมฯต้องศึกษาแนวทางการ วางท่อขนส่งน้ำมันเพื่อให้จำหน่ายน้ำมันราคาเดียวกันทั่วประเทศ โดยกรมฯได้ศึกษาการขยายแนวท่อส่งน้ำมัน 2 สาย คือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จากจ.สระบุรีไปยังจ.นครราชสีมา และจ.ของแก่น และสายเหนือ จากจ.สระบุรีไปยังจ.พิษณุโลก และจ.ลำปาง คาดว่าจะใช้เงินลงทุน 1.7 หมื่นล้านบาท เป็นค่าท่อส่งน้ำมัน 13,700 ล้านบาท และค่าสร้างคลังน้ำมัน 3,700 ล้านบาท
"แม้มูลค่าการลงทุนจะสูง แต่เมื่อเปรียบเทียบกับมูลค่าตลอดอายุสัญญาโครงการ 25 ปี สามารถลดต้นทุนการขนส่งทางถนนได้ปีละ 2 พันล้านบาท หรือมีมูลค่ารวมกว่า 6 หมื่นล้านบาท ถ้ารวมกับมูลค่าความสูญเสียจากการขนส่งทางถนน จะยิ่งเพิ่มความคุ้มค่าได้อีกมาก"
ทั้งนี้ การสร้างท่อส่งน้ำมันยังเป็นการรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) เพราะประเทศเพื่อนบ้านจะมีความต้องการใช้น้ำมันมากขึ้น ส่งผลให้ไทยขยายปริมาณการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปได้มากขึ้น ส่วนเงินที่จะนำมาลงทุน ประกอบด้วย 1.การให้ภาคเอกชนลงทุนและบริหารโครงการ และ 2.รัฐบาลลงทุนสร้างท่อขนส่งน้ำมัน และว่าจ้างเอกชนบริหารจัดการ
ส่วนสถานะกองทุนพลังงาน ปัจจุบันเป็นหนี้ประมาณ 6 พันล้านบาท ติดลบ 1.9 หมื่นล้านบาท และเป็นหนี้บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) อีก 1.3 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่เกิดจากการนำเงินกองทุนฯมาอุดหนุนราคาแอลพีจีภาคครัวเรือน แต่คาดว่าปีหน้าสถานการณ์กองทุนฯจะดีกว่าปีนี้ เพราะความต้องการแอลพีจีในตลาดโลกลดลง ส่งผลให้ราคาแอลพีจีลดลงอยู่ในกรอบ 800 ดอลลาร์ต่อตัน หรือกิโลกรัมละ 24 บาท
"การแก้ไขปัญหาแอลพีจีระยะยาว ต้องปรับโครงสร้างราคาแอลพีจีทั้งระบบ ยืนยันว่าเดือนม.ค.ปีหน้า จะยังไม่ปรับขึ้นราคาแอลพีจีภาคครัวเรือน"
ด้าน นายวีระพล จิรประดิษฐกุล อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กล่าวว่า การขยาย แนวท่อส่งน้ำมันสายเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือนั้น ได้กำชับให้ตั้งคณะกรรมการศึกษาแนวทางการลงทุนอย่างรอบคอบ รวมทั้งประสานความร่วมมือกับ บริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด (แทปไลน์) เพราะเป็นเจ้าของท่อส่งน้ำมันจากท่าเรือ ฝั่งตะวันออกไปยังจ.สระบุรี โดยจะใช้เวลาศึกษาอีก 1 เดือน
การวางท่อ ส่งน้ำมันแม้ต้องใช้เงินลงทุนสูง แต่คุ้มค่า การลงทุน--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 688
มองอนาคตโลก ในอีก 30 ปีข้างหน้า
Source - โพสต์ ทูเดย์ (Th), Tuesday, November 13, 2012
โชติชัย สุวรรณาภรณ์
[email protected]
ผู้ช่วยกรรมการ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.
ฉบับที่แล้วผมเชิญชวนให้คุณผู้อ่านร่วมกันคิดว่าในอนาคตอีก 30-40 ปีข้างหน้า โลกของเรา ประเทศไทยของเราจะเป็นอย่างไร โดยได้นำเสนอใน 2 ประเด็นคือ เศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนไปกับการท่องเที่ยวไทยที่ต้องปรับตัว วันนี้เรามาดูในเรื่องอื่นกันต่อนะครับ
สำหรับในด้านราคาพลังงานโลกจะต้องสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ โดยมาจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรโลก ส่งผลให้ความต้องการบริโภคพลังงานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยพลังงานที่ได้มาจากเชื้อเพลิงฟอสซิล (Fossil Fuel) ซึ่งได้แก่ น้ำมัน(Oil) ก๊าซธรรมชาติ (Natural Gas) และถ่านหิน (Coal)ยังคงมีบทบาทสำคัญต่อโลกและต่อภูมิภาคเอเชีย โดยสัดส่วนการบริโภคพลังงานที่ได้มาจากเชื้อเพลิงฟอสซิลสูงถึง 80% ในปี ค.ศ. 2035 ราคาน้ำมันดิบจะอยู่ในช่วง110 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ถึง 130 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล (ณ ราคาคงที่หรือ Real Terms) ขณะที่ราคาของก๊าซธรรมชาติ (Natural Gas) จะมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ และเป็นที่น่าสังเกตว่า ช่องว่างระหว่างราคาน้ำมันดิบกับราคาก๊าซธรรมชาติจะลดลงอย่างต่อเนื่องโดยในช่วงก่อนปี 2035 ราคาของก๊าซธรรมชาติจะแพงกว่าราคาน้ำมันดิบอยู่เล็กน้อย สำหรับราคาถ่านหิน (Coal) จะเคลื่อนไหวอยู่ในช่วงแคบๆเมื่อเปรียบเทียบกับน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ
ในด้านการเงินการคลัง ประเทศต่างๆ จะมีหนี้สาธารณะมากขึ้น เนื่องจากเป้าหมายนโยบายการคลังนั้นต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่องรวมทั้งปัญหาต่างๆ ที่ส่งผลทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นของประเทศ รัฐบาลประเทศต่างๆ ส่วนใหญ่จึงมีแนวโน้มการดำเนินนโยบายขาดดุลงบประมาณอย่างต่อเนื่องเป็นเหตุให้รัฐบาลต้องจัดหาแหล่งกู้เงินให้เพียงพอต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจส่งผลให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น จากข้อมูลแนวโน้มหนี้สาธารณะโลกจะเพิ่มขึ้นจาก 54% ของจีดีพีในปัจจุบันเป็น 98% ในปี ค.ศ. 2035 ในส่วนของประเทศไทยนั้นมีหนี้สาธารณะอยู่ที่ประมาณ 4.6 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 42% ของจีดีพีภายใต้หลักการก่อหนี้สาธารณะต้องไม่เกิน 60% ของจีดีพี ดังนั้นรัฐบาลจึงสามารถก่อหนี้ได้อีก 12.5% หรือประมาณ 7.2 ล้านล้านบาท ซึ่งมีแนวโน้มหนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้น เช่น การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานประเทศ
ในการพัฒนาเศรษฐกิจและยกระดับคุณภาพชีวิตในอนาคต การเพิ่มผลิตภาพของแรงงานเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด ผลวิจัยของธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชียพบว่าปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในช่วงปี ค.ศ.2010-2030 มากที่สุดคือผลิตภาพของแรงงาน และอธิบายว่า การพัฒนาฝีมือแรงงานส่งผลต่ออัตราการเพิ่มขึ้นของรายได้และมีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ดังนั้นความเจริญรุ่งเรืองที่ยั่งยืนจะสามารถถูกสร้างขึ้นได้บนพื้นฐานของฝีมือและมีประสิทธิผลของกำลังแรงงาน กำลังแรงงานมีแนวโน้มสอดคล้องกับจำนวนประชากร ทั้งนี้จากการคาดการณ์ของ UN แนวโน้มของกำลังแรงงานกับแนวโน้มจำนวนประชากรของโลกพบว่ามีแนวโน้มสอดคล้องกันโดยกำลังแรงงานมีทิศทางเพิ่มขึ้นจนถึงปี ค.ศ. 2015 และเริ่มลดลงตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 2025-2050 สำหรับแนวโน้มกำลังแรงงานของประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในช่วงปี ค.ศ. 2009-2030 พบว่า สาธารณรัฐประชาชนจีน ฮ่องกง สาธารณรัฐเกาหลี สิงคโปร์ และไต้หวันจะเพิ่มขึ้นใน 2 ทศวรรษแรก แต่ในที่สุดก็ลดลง เนื่องจากระดับอัตราการเพิ่มของประชากรลดต่ำลง ส่วนประเทศอินเดีย อินโดนีเซียมาเลเซีย ปากีสถาน และฟิลิปปินส์ จะมีกำลังแรงงานเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงปีค.ศ. 2009-2030 ในขณะที่กำลังแรงงานของประเทศไทยและเวียดนามคาดว่าจะเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลงและมาถึงจุดสูงสุดหรือจุดวกกลับในปี ค.ศ. 2030
ในด้านโครงสร้างพื้นฐาน พบว่า จะมีความต้องการใช้บริการด้านขนส่ง (อากาศ เรือ ระบบราง) มากขึ้นจากความต้องการใช้บริการด้านขนส่ง (อากาศ เรือระบบราง) ที่มากขึ้น โดยมูลค่าการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านขนส่งระบบรางจะสูงที่สุด ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนให้มีแนวโน้มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านขนส่งมากขึ้นด้วย เพื่อให้เพียงพอกับความต้องการ
ในบทความครั้งต่อไป ผมจะขอสรุปทิศทางด้านสังคมในอนาคตนะครับ ลองมาดูกันอีกทีครับ เพราะจะเกี่ยวข้องกับพวกเราทุกคนครับ.--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
Source - โพสต์ ทูเดย์ (Th), Tuesday, November 13, 2012
โชติชัย สุวรรณาภรณ์
[email protected]
ผู้ช่วยกรรมการ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.
ฉบับที่แล้วผมเชิญชวนให้คุณผู้อ่านร่วมกันคิดว่าในอนาคตอีก 30-40 ปีข้างหน้า โลกของเรา ประเทศไทยของเราจะเป็นอย่างไร โดยได้นำเสนอใน 2 ประเด็นคือ เศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนไปกับการท่องเที่ยวไทยที่ต้องปรับตัว วันนี้เรามาดูในเรื่องอื่นกันต่อนะครับ
สำหรับในด้านราคาพลังงานโลกจะต้องสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ โดยมาจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรโลก ส่งผลให้ความต้องการบริโภคพลังงานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยพลังงานที่ได้มาจากเชื้อเพลิงฟอสซิล (Fossil Fuel) ซึ่งได้แก่ น้ำมัน(Oil) ก๊าซธรรมชาติ (Natural Gas) และถ่านหิน (Coal)ยังคงมีบทบาทสำคัญต่อโลกและต่อภูมิภาคเอเชีย โดยสัดส่วนการบริโภคพลังงานที่ได้มาจากเชื้อเพลิงฟอสซิลสูงถึง 80% ในปี ค.ศ. 2035 ราคาน้ำมันดิบจะอยู่ในช่วง110 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ถึง 130 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล (ณ ราคาคงที่หรือ Real Terms) ขณะที่ราคาของก๊าซธรรมชาติ (Natural Gas) จะมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ และเป็นที่น่าสังเกตว่า ช่องว่างระหว่างราคาน้ำมันดิบกับราคาก๊าซธรรมชาติจะลดลงอย่างต่อเนื่องโดยในช่วงก่อนปี 2035 ราคาของก๊าซธรรมชาติจะแพงกว่าราคาน้ำมันดิบอยู่เล็กน้อย สำหรับราคาถ่านหิน (Coal) จะเคลื่อนไหวอยู่ในช่วงแคบๆเมื่อเปรียบเทียบกับน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ
ในด้านการเงินการคลัง ประเทศต่างๆ จะมีหนี้สาธารณะมากขึ้น เนื่องจากเป้าหมายนโยบายการคลังนั้นต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่องรวมทั้งปัญหาต่างๆ ที่ส่งผลทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นของประเทศ รัฐบาลประเทศต่างๆ ส่วนใหญ่จึงมีแนวโน้มการดำเนินนโยบายขาดดุลงบประมาณอย่างต่อเนื่องเป็นเหตุให้รัฐบาลต้องจัดหาแหล่งกู้เงินให้เพียงพอต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจส่งผลให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น จากข้อมูลแนวโน้มหนี้สาธารณะโลกจะเพิ่มขึ้นจาก 54% ของจีดีพีในปัจจุบันเป็น 98% ในปี ค.ศ. 2035 ในส่วนของประเทศไทยนั้นมีหนี้สาธารณะอยู่ที่ประมาณ 4.6 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 42% ของจีดีพีภายใต้หลักการก่อหนี้สาธารณะต้องไม่เกิน 60% ของจีดีพี ดังนั้นรัฐบาลจึงสามารถก่อหนี้ได้อีก 12.5% หรือประมาณ 7.2 ล้านล้านบาท ซึ่งมีแนวโน้มหนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้น เช่น การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานประเทศ
ในการพัฒนาเศรษฐกิจและยกระดับคุณภาพชีวิตในอนาคต การเพิ่มผลิตภาพของแรงงานเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด ผลวิจัยของธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชียพบว่าปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในช่วงปี ค.ศ.2010-2030 มากที่สุดคือผลิตภาพของแรงงาน และอธิบายว่า การพัฒนาฝีมือแรงงานส่งผลต่ออัตราการเพิ่มขึ้นของรายได้และมีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ดังนั้นความเจริญรุ่งเรืองที่ยั่งยืนจะสามารถถูกสร้างขึ้นได้บนพื้นฐานของฝีมือและมีประสิทธิผลของกำลังแรงงาน กำลังแรงงานมีแนวโน้มสอดคล้องกับจำนวนประชากร ทั้งนี้จากการคาดการณ์ของ UN แนวโน้มของกำลังแรงงานกับแนวโน้มจำนวนประชากรของโลกพบว่ามีแนวโน้มสอดคล้องกันโดยกำลังแรงงานมีทิศทางเพิ่มขึ้นจนถึงปี ค.ศ. 2015 และเริ่มลดลงตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 2025-2050 สำหรับแนวโน้มกำลังแรงงานของประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในช่วงปี ค.ศ. 2009-2030 พบว่า สาธารณรัฐประชาชนจีน ฮ่องกง สาธารณรัฐเกาหลี สิงคโปร์ และไต้หวันจะเพิ่มขึ้นใน 2 ทศวรรษแรก แต่ในที่สุดก็ลดลง เนื่องจากระดับอัตราการเพิ่มของประชากรลดต่ำลง ส่วนประเทศอินเดีย อินโดนีเซียมาเลเซีย ปากีสถาน และฟิลิปปินส์ จะมีกำลังแรงงานเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงปีค.ศ. 2009-2030 ในขณะที่กำลังแรงงานของประเทศไทยและเวียดนามคาดว่าจะเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลงและมาถึงจุดสูงสุดหรือจุดวกกลับในปี ค.ศ. 2030
ในด้านโครงสร้างพื้นฐาน พบว่า จะมีความต้องการใช้บริการด้านขนส่ง (อากาศ เรือ ระบบราง) มากขึ้นจากความต้องการใช้บริการด้านขนส่ง (อากาศ เรือระบบราง) ที่มากขึ้น โดยมูลค่าการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านขนส่งระบบรางจะสูงที่สุด ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนให้มีแนวโน้มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านขนส่งมากขึ้นด้วย เพื่อให้เพียงพอกับความต้องการ
ในบทความครั้งต่อไป ผมจะขอสรุปทิศทางด้านสังคมในอนาคตนะครับ ลองมาดูกันอีกทีครับ เพราะจะเกี่ยวข้องกับพวกเราทุกคนครับ.--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 689
ยูนิเวอร์แซลทุ่มพันล.สร้างรง.ผลิตก๊าซมีเทนซีบีจี
Source - ประชาชาติธุรกิจ (Th), Wednesday, November 14, 2012
นายกิตติ ชีวะเกตุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูนิเวอร์แซล แอดซอร์บเบ้นท์ แอนด์ เคมิคัลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ UAC เปิดเผยกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ถึงการลงทุนโครงการตั้งโรงงานผลิตก๊าซไบโอมีเทนอัดสำหรับยานยนต์ หรือ CBG ว่า จากความสำเร็จการก่อสร้างโรงงานต้นแบบผลิตก๊าซ CBG ที่ผ่านมา บริษัทยูนิเวอร์แซลฯมีแผนที่จะขยายโรงงานผลิตก๊าซ CBG กระจายในเขตภาคเหนืออีกประมาณ 10 แห่ง กำลังการผลิต 6 ตัน/วัน จะใช้เงินลงทุนรวม 1,000 ล้านบาท หรือลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท/โรง ในเบื้องต้นจะตั้งในเขตจังหวัดเชียงใหม่ 2 แห่ง กำลังอยู่ในขั้นตอนการจัดสรรที่ดินและการออกแบบก่อสร้าง
ทั้งนี้โรงงานต้นแบบการผลิตก๊าซ CBG ที่ใช้หญ้าเลี้ยงช้างและมูลสุกรมาเป็นวัตถุดิบตั้งที่จังหวัดเชียงใหม่ บริษัทได้ใช้เงินลงทุนไปแล้ว 110 ล้านบาท กำลัง การผลิต 6 ตัน/วัน ล่าสุดอยู่ในระหว่างทดสอบประสิทธิภาพก๊าซ ร่วมกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) คาดว่าจะสามารถเดินเครื่องเชิงพาณิชย์และจัดส่งให้กับ ปตท.ได้ภายในต้นเดือนธันวาคม 2555
"หญ้าเลี้ยงช้าง 20 กิโลกรัม ผลิตก๊าซ CBG ได้ 1 กิโลกรัม ทดแทนการนำเข้าน้ำมันดีเซลได้ปีละ 1.2 ล้านตัน โดยก๊าซ CBG ทั้งหมดจะจำหน่ายให้กับบริษัท ปตท.และคาดว่าจะคืนทุนภายใน 5 ปี รวมทั้งมีรายได้เสริมจากการขายปุ๋ยหมักที่เป็นผลพลอยได้อีก 30 ตัน/วัน" นายกิตติกล่าว
ด้านนายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวว่า สนพ.อยู่ในระหว่างเร่งศึกษาและพัฒนาโครงการผลิตก๊าซ CBG อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมีต้นทุนเหมาะสม โดยต้นทุนเฉลี่ยสูงกว่าเชื้อเพลิงชนิดอื่นเพียง 30 สตางค์/หน่วย ขณะนี้ได้มีการว่าจ้างมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ศึกษาเพิ่มเติมเพื่อพัฒนามาใช้ในภาคครัวเรือน คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงต้นปี 2556
"สามารถต่อยอดนำก๊าซ CBG อัดลงถังทดแทนการใช้ก๊าซหุงต้มในครัวเรือน ช่วยลดการนำเข้าได้อีกทางหนึ่ง"
หากรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมด้านราคาแล้ว ภายในปี 2557 จะมีโรงงานผลิตก๊าซ CBG แห่งใหม่ไม่ต่ำกว่า 50 แห่ง ทั่วประเทศ และคาดว่าจะเพิ่มอีก 100 แห่งในปี 2558 ซึ่งการส่งเสริมดังกล่าวจะช่วยทดแทนการนำเข้าก๊าซธรรมชาติและลดการใช้น้ำมันดีเซลในภาคขนส่ง
ด้านบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้รับซื้อก๊าซ CBG กล่าวว่า ยังไม่สามารถระบุราคารับซื้อได้ เพราะต้องคำนวณจากระยะห่างระหว่างโรงงานผลิตก๊าซ CBG และสถานีบริการก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ หรือ NGV ของ ปตท. หากระยะทางยิ่งห่างมากจะได้ราคาจำหน่ายที่มีความคุ้มทุนกว่า เนื่องจากราคาต้นทุนในการจำหน่ายอิงกับราคาก๊าซ NGV ที่ประกอบด้วย ราคาเนื้อก๊าซ การอัดก๊าซลงถัง และค่าขนส่งทางบก--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 15 - 18 พ.ย. 2555--
Source - ประชาชาติธุรกิจ (Th), Wednesday, November 14, 2012
นายกิตติ ชีวะเกตุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูนิเวอร์แซล แอดซอร์บเบ้นท์ แอนด์ เคมิคัลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ UAC เปิดเผยกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ถึงการลงทุนโครงการตั้งโรงงานผลิตก๊าซไบโอมีเทนอัดสำหรับยานยนต์ หรือ CBG ว่า จากความสำเร็จการก่อสร้างโรงงานต้นแบบผลิตก๊าซ CBG ที่ผ่านมา บริษัทยูนิเวอร์แซลฯมีแผนที่จะขยายโรงงานผลิตก๊าซ CBG กระจายในเขตภาคเหนืออีกประมาณ 10 แห่ง กำลังการผลิต 6 ตัน/วัน จะใช้เงินลงทุนรวม 1,000 ล้านบาท หรือลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท/โรง ในเบื้องต้นจะตั้งในเขตจังหวัดเชียงใหม่ 2 แห่ง กำลังอยู่ในขั้นตอนการจัดสรรที่ดินและการออกแบบก่อสร้าง
ทั้งนี้โรงงานต้นแบบการผลิตก๊าซ CBG ที่ใช้หญ้าเลี้ยงช้างและมูลสุกรมาเป็นวัตถุดิบตั้งที่จังหวัดเชียงใหม่ บริษัทได้ใช้เงินลงทุนไปแล้ว 110 ล้านบาท กำลัง การผลิต 6 ตัน/วัน ล่าสุดอยู่ในระหว่างทดสอบประสิทธิภาพก๊าซ ร่วมกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) คาดว่าจะสามารถเดินเครื่องเชิงพาณิชย์และจัดส่งให้กับ ปตท.ได้ภายในต้นเดือนธันวาคม 2555
"หญ้าเลี้ยงช้าง 20 กิโลกรัม ผลิตก๊าซ CBG ได้ 1 กิโลกรัม ทดแทนการนำเข้าน้ำมันดีเซลได้ปีละ 1.2 ล้านตัน โดยก๊าซ CBG ทั้งหมดจะจำหน่ายให้กับบริษัท ปตท.และคาดว่าจะคืนทุนภายใน 5 ปี รวมทั้งมีรายได้เสริมจากการขายปุ๋ยหมักที่เป็นผลพลอยได้อีก 30 ตัน/วัน" นายกิตติกล่าว
ด้านนายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวว่า สนพ.อยู่ในระหว่างเร่งศึกษาและพัฒนาโครงการผลิตก๊าซ CBG อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมีต้นทุนเหมาะสม โดยต้นทุนเฉลี่ยสูงกว่าเชื้อเพลิงชนิดอื่นเพียง 30 สตางค์/หน่วย ขณะนี้ได้มีการว่าจ้างมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ศึกษาเพิ่มเติมเพื่อพัฒนามาใช้ในภาคครัวเรือน คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงต้นปี 2556
"สามารถต่อยอดนำก๊าซ CBG อัดลงถังทดแทนการใช้ก๊าซหุงต้มในครัวเรือน ช่วยลดการนำเข้าได้อีกทางหนึ่ง"
หากรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมด้านราคาแล้ว ภายในปี 2557 จะมีโรงงานผลิตก๊าซ CBG แห่งใหม่ไม่ต่ำกว่า 50 แห่ง ทั่วประเทศ และคาดว่าจะเพิ่มอีก 100 แห่งในปี 2558 ซึ่งการส่งเสริมดังกล่าวจะช่วยทดแทนการนำเข้าก๊าซธรรมชาติและลดการใช้น้ำมันดีเซลในภาคขนส่ง
ด้านบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้รับซื้อก๊าซ CBG กล่าวว่า ยังไม่สามารถระบุราคารับซื้อได้ เพราะต้องคำนวณจากระยะห่างระหว่างโรงงานผลิตก๊าซ CBG และสถานีบริการก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ หรือ NGV ของ ปตท. หากระยะทางยิ่งห่างมากจะได้ราคาจำหน่ายที่มีความคุ้มทุนกว่า เนื่องจากราคาต้นทุนในการจำหน่ายอิงกับราคาก๊าซ NGV ที่ประกอบด้วย ราคาเนื้อก๊าซ การอัดก๊าซลงถัง และค่าขนส่งทางบก--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 15 - 18 พ.ย. 2555--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 690
ปตท.สผ.ปักธงแหล่งบงกชต่อรอสรุปภาครัฐหลังจบสัญญาปี65
Source - ASTV ผู้จัดการรายวัน (Th), Wednesday, November 14, 2012
ASTVผู้จัดการรายวัน -ปตท.สผ.ย้ำสนใจลงทุนแหล่งบงกชอยู่แม้อายุสัมปทานสิ้นสุดลงปี 65 คงต้องรอความชัดเจนจากนโยบายภาครัฐ เผยขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษารูปแบบการต่อสัมปทานจากประเทศอื่นๆ
นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียมจำกัด (มหาชน)(ปตท.สผ.) กล่าวถึงกรณีแปลงสัมปทานปิโตรเลียมแหล่งบงกชจะหมดอายุสัมปทานในปี 2565 ว่า บริษัทฯยังคงสนใจที่จะลงทุนในปิโตรเลียมในแหล่งบงกชที่จะสิ้นสุดอายุสัญญาใน 10 ปีข้างหน้า เนื่องจากแหล่งดังกล่าวยังมีปริมาณสำรองก๊าซฯอยู่ ทั้งนี้คงต้องรอความชัดเจนจากนโยบายกระทรวงพลังงานว่าจะออกมาในลักษณะใด
นอกจากนี้ บริษัทฯอยู่ระหว่างการศึกษาการต่ออายุสัญญาสัมปทานปิโตรเลียมจากประเทศอื่นๆ ว่าดำเนินการอย่างไร เพื่อเสนอต่อคณะทำงานที่กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติได้ตั้งขึ้น ก่อนนำเสนอ รมว.พลังงานต่อไป
นายเทวินทร์ กล่าวต่อไปว่า โดยหลักการแล้วรัฐต้องมีความชัดเจนก่อนที่สัญญาจะสิ้นสุดลงเพื่อไม่ให้กระทบต่อภาพรวมการลงทุนและความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการด้วย ทั้งนี้ บริษัทฯมีเป้าหมายที่จะรักษาระดับการผลิตปิโตรเลียมในอ่าวไทยไม่ให้ลดลงเพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน พร้อมกับหาแหล่งปิโตรเลียมเพิ่มเติม เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการผลิตปิโตรเลียม 9แสนบาร์เรล/วันในปี 2563
ทั้งนี้ สัญญาสัมปทานการผลิตและสำรวจปิโตรเลียม 2 ฉบับ ที่กำลังจะสิ้นสุดลงในปี 2565 คือ สัญญากับบริษัท เชฟรอนประเทศไทย สำรวจและผลิต จำกัด กำลังการผลิต 1,240 ล้านลูกบาศก์ฟุต และสัญญากับ ปตท.สผ. ที่ได้รับผลิตจากแหล่งบงกชผลิตวันละ 630 ล้านลูกบาศก์ฟุต และแหล่งบงกชใต้ผลิตวันละ 320 ลูกบาศก์ฟุตซึ่งตามพระราชบัญญัติปิโตรเลียมได้มีการกำหนดเงื่อนไขไว้ว่าคู่สัญญาที่ดำเนินธุรกิจทางด้านนี้จะต่ออายุได้เพียงครั้งเดียว ซึ่งเชฟรอน และปตท.สผ.ต่างก็ได้รับการต่ออายุสัญญาครบตามข้อกำหนดไปแล้ว
--จบ--
Source - ASTV ผู้จัดการรายวัน (Th), Wednesday, November 14, 2012
ASTVผู้จัดการรายวัน -ปตท.สผ.ย้ำสนใจลงทุนแหล่งบงกชอยู่แม้อายุสัมปทานสิ้นสุดลงปี 65 คงต้องรอความชัดเจนจากนโยบายภาครัฐ เผยขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษารูปแบบการต่อสัมปทานจากประเทศอื่นๆ
นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียมจำกัด (มหาชน)(ปตท.สผ.) กล่าวถึงกรณีแปลงสัมปทานปิโตรเลียมแหล่งบงกชจะหมดอายุสัมปทานในปี 2565 ว่า บริษัทฯยังคงสนใจที่จะลงทุนในปิโตรเลียมในแหล่งบงกชที่จะสิ้นสุดอายุสัญญาใน 10 ปีข้างหน้า เนื่องจากแหล่งดังกล่าวยังมีปริมาณสำรองก๊าซฯอยู่ ทั้งนี้คงต้องรอความชัดเจนจากนโยบายกระทรวงพลังงานว่าจะออกมาในลักษณะใด
นอกจากนี้ บริษัทฯอยู่ระหว่างการศึกษาการต่ออายุสัญญาสัมปทานปิโตรเลียมจากประเทศอื่นๆ ว่าดำเนินการอย่างไร เพื่อเสนอต่อคณะทำงานที่กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติได้ตั้งขึ้น ก่อนนำเสนอ รมว.พลังงานต่อไป
นายเทวินทร์ กล่าวต่อไปว่า โดยหลักการแล้วรัฐต้องมีความชัดเจนก่อนที่สัญญาจะสิ้นสุดลงเพื่อไม่ให้กระทบต่อภาพรวมการลงทุนและความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการด้วย ทั้งนี้ บริษัทฯมีเป้าหมายที่จะรักษาระดับการผลิตปิโตรเลียมในอ่าวไทยไม่ให้ลดลงเพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน พร้อมกับหาแหล่งปิโตรเลียมเพิ่มเติม เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการผลิตปิโตรเลียม 9แสนบาร์เรล/วันในปี 2563
ทั้งนี้ สัญญาสัมปทานการผลิตและสำรวจปิโตรเลียม 2 ฉบับ ที่กำลังจะสิ้นสุดลงในปี 2565 คือ สัญญากับบริษัท เชฟรอนประเทศไทย สำรวจและผลิต จำกัด กำลังการผลิต 1,240 ล้านลูกบาศก์ฟุต และสัญญากับ ปตท.สผ. ที่ได้รับผลิตจากแหล่งบงกชผลิตวันละ 630 ล้านลูกบาศก์ฟุต และแหล่งบงกชใต้ผลิตวันละ 320 ลูกบาศก์ฟุตซึ่งตามพระราชบัญญัติปิโตรเลียมได้มีการกำหนดเงื่อนไขไว้ว่าคู่สัญญาที่ดำเนินธุรกิจทางด้านนี้จะต่ออายุได้เพียงครั้งเดียว ซึ่งเชฟรอน และปตท.สผ.ต่างก็ได้รับการต่ออายุสัญญาครบตามข้อกำหนดไปแล้ว
--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."