คอลัมน์: จับข่าวมาเล่า: 'โจ ลูกอีสาน'ถือเงินสด 20%
-
- Verified User
- โพสต์: 40089
- ผู้ติดตาม: 1
คอลัมน์: จับข่าวมาเล่า: 'โจ ลูกอีสาน'ถือเงินสด 20%
โพสต์ที่ 1
คอลัมน์: จับข่าวมาเล่า: 'โจ ลูกอีสาน'ถือเงินสด 20%
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Monday, October 29, 2012 07:02
ตะวัน BizWeek
ไกลจากหาดใหญ่ เพื่อมาอัดรายการที่ กรุงเทพธุรกิจ ทีวี "โจ" อนุรักษ์ บุญแสวง เซียนหุ้นวีไอ วัยเพียง 38 ปี พอร์ตใหญ่เลข 9 หลัก คนนี้จัดเป็นหนึ่ง ในยอดฝีมือที่มีแฟนๆ ติดตามผลงานกันมากมาย หลังจาก คุณพ่อเสียชีวิตตั้งแต่ยังเรียนอยู่ชั้นป.6 แม่ต้องยึดอาชีพ ขายของชำเล็กๆ เลี้ยงดูครอบครัว 5 ชีวิต ทุกคนมีหัวใจเดียวกัน "ชีวิตต้องสู้" ในวัยเด็กโจมีชีวิตค่อนข้างลำบาก นี่เองที่ทำให้เขามุ่งมั่นตั้งแต่เด็ก ชาตินี้ต้องประสบความสำเร็จให้ได้
ความเก่งของโจ เริ่มต้นลงทุนด้วยเงิน 800,000 บาท ด้วยหลักการลงทุน "กำไรทบต้น" พอร์ตขยายตัวเฉลี่ยปีละ 60% ทำกำไร 400 เท่า ภายในระยะเวลา 12 ปี โจเป็น "นักอ่าน"ช่วงเรียนปริญญาตรีอยู่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เขาใช้เวลาทุกเย็นคลุกอยู่ในห้องสมุดอ่านหนังสือพิมพ์และ นิตยสารเกี่ยวกับธุรกิจ ก่อนจะสำเร็จโจเคยล้มเหลวจาก ความพยายามเล่นหุ้นครั้งแรก และตามภรรยาไปอเมริกา ไปเป็นผู้ช่วยกุ๊กในร้านอาหารเกาหลี 1 ปีครึ่ง ก่อนจะกลับมา พิชิตความฝันที่รอคอยจนมีเงิน "หลักร้อนล้าน" ในปัจจุบัน เพียงแนะนำตัว "ตะวัน BizWeek" โจจำหนังสือ "16 สูตรสำเร็จรวยด้วยหุ้น" ขึ้นมาทันที่ "พี่! เล่มนี้ ผมชอบมาก" นั่งคุยกันเพียงเวลาสั้นๆ ก็สัมผัสถึงความเก่งฉกาจ ของเซียนหุ้นหนุ่มผู้นี้ โจระมัดระวังที่จะพูดถึงรายชื่อหุ้นหลังจาก "บิซวีค" โทรไปขอความเห็นที่ลงในบทความ "เจริญ Effect ปรากฏการณ์หุ้น...ทะลุจุดเดือด" ฉบับวันที่ 1 ตุลาคม 2555 ตอนนั้นไม่มีใครรู้เลยว่าหุ้นอาหารสยาม (SFP) เป็นของ "เจ้าสัวเจริญ" พอโจแนะนำว่าหุ้น SFP น่าสนใจตรงที่มีที่ดินเป็น 10,000 ไร่ ราคาหุ้นไม่แพง แถมผลประกอบการขยายตัวทุกปี เท่านั้นแหละ! ราคาหุ้น SFP ทะยานจาก 138 บาท ขึ้นไปสูงสุด 502 บาท ภายในเวลาเพียง 5 วัน
"แนะนำหุ้น SFP ไปตัวเดียวผมเดือดร้อนเลย! คือผมไม่ได้มีซักหุ้นเลยนะ ไม่มีส่วนได้เสีย...แนะนำตามจรรยาบรรณเท่านั้นเอง ขอยืนยันผมไม่ได้มีผลประโยชน์ทับซ้อน"
ถามว่าโจมองตลาดหุ้นช่วงนี้ยังไง!!! ผมระวังมากกว่าปกติ ปกติจะถือเงินสดไม่เยอะ 5% ไม่เกิน 10% แต่ตอนนี้ ถือเงินสดประมาณ 20% เมื่อไรที่เราหาหุ้นลงทุนได้ยาก ก็แสดงว่าตลาดหุ้นน่าจะ "เริ่มแพง"...โจบอก จริงๆ ไม่อยากเก็งทิศทางตลาด มันสำคัญที่ว่าหุ้นที่เราถืออยู่ถ้ายังต่ำกว่ามูลค่าก็ยังถือต่อไป ส่วนทิศทางตลาดเป็นเรื่องที่เราคาดเดายาก
วิธีการลงทุนของโจจะไม่มองหุ้นเป็นกลุ่ม ตอนนี้ในพอร์ตมีหุ้นประมาณ 20 บริษัท แต่ตัวหลักๆ จะถืออยู่แค่ 6-7 ตัว เขาจะวางน้ำหนักหุ้นไม่กระจุกตัวกันเกินไป เขามี ความคิดว่า "นั่งเก้าอี้หลายขาดีกว่าสองขา" ช่วงที่ผ่านมา นอกจากถือเงินสดเยอะขึ้นแล้ว ถ้าตัวไหนมี Margin of Safety น้อยก็ขายไป เน้นตัวที่มีเงินปันผลรองรับ ธุรกิจไม่ผันผวนมาก เขาแพลมๆว่า จะเน้นกลุ่มที่ทำธุรกิจกับ"รากหญ้า" หน่อย! มีประกันบ้าง ลิสซิ่งบ้าง ไม่มีตัวไหนแนะนำเป็นพิเศษกลัวเหมือนคราวที่แล้ว (กรณีหุ้น SFP)
แต่ "บิซวีค" แอบรู้มาว่าโจถือหุ้น SENA จำนวน 11.31 ล้านหุ้น สัดส่วน 1.58% หุ้น GL จำนวน 571,000 หุ้น สัดส่วน 0.83% หุ้น TKS จำนวน 1.88 ล้านหุ้น สัดส่วน 0.76% และหุ้น KTC จำนวน 1.72 ล้านหุ้น สัดส่วน 0.67% เฉพาะหุ้น 4 ตัวนี้ มีมูลค่ารวมกันประมาณ 130 ล้านบาทแล้ว
"ผมจะไม่ดูหุ้นเป็นกลุ่ม จะดูเป็นตัวๆ ไป ตัวไหนราคาต่ำผมก็ซื้อ โดยไม่สนใจว่าจะอยู่ในกลุ่มไหน ตราบใด ที่ยังหาหุ้นได้ก็ลงทุน แต่เมื่อไรที่หาไม่ได้ก็จะถือเงินสด ตอนนี้ก็ยังพอหาได้แต่หายากนิดนึงคือตอนนี้อยากให้นักลงทุนระมัดระวัง เพราะว่ามีหุ้นที่ราคาหวือหวาค่อนข้างเยอะ การเลือหุ้นในจังหวะเวลานี้ควรต้องเลือกหุ้นที่ปลอดภัยพวก Defensive Stock มีปันผลระดับหนึ่ง เวลาลงอาจจะไม่ลงมาก แต่หุ้นที่ให้หลีกเลี่ยงเลยคือ หุ้นร้อน หุ้นปั่น ไม่ว่าสภาวะตลาดเป็นยังไงก็อย่าเข้าไปยุ่ง"
โจบอกว่า ถ้าดูข้อมูลย้อนหลังตลาดหุ้นไทยไม่เคยขึ้น มาติดต่อกันมากเท่านี้มาก่อน ขึ้นมาตั้งแต่หลังวิกฤติ ซับไพร์ม 4 ปีนี้ขึ้นมาตลอด ดังนั้นแทนที่เราจะมองโอกาสที่หุ้นจะขึ้นเยอะๆ เราควรต้องมองตลาดหุ้น ด้วยความระมัดระวังมากกว่า แต่ก็ไม่ถึงกับต้องล้างพอร์ต ถือเงินสด ตราบใดที่ยังหาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าได้เราก็ควรจะถือต่อไป
เซียนหุ้นร้อยล้าน ชี้ว่า โดยปกตินักลงทุนวีไอจะหา หุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าประมาณ 30% ขึ้นไป สมมติว่าหุ้นมีมูลค่าประมาณ 10 บาท ถ้าราคา 7 บาท เราซื้อได้ ถ้า 5 บาท ยิ่งต้องซื้อ แต่ถ้าเจอหุ้นราคา 3 บาท เราอาจจะใส่เต็มที่เลย ยังไงก็ควรจะมี "อัพไซด์" ประมาณ 30% ขึ้นไป ถ้าหุ้น มีอัพไซด์ 20% หรือต่ำกว่านั้น คิดว่าเป็นการลงทุนที่ "ไม่คุ้มกับความเสี่ยง"
ข้อสำคัญของการลงทุนที่ทำให้พอร์ตหุ้นของโจเติบโต ขึ้นอย่างรวดเร็ว เขามีความเชื่อว่ากำไรเป็นเสมือน "มือที่มอง ไม่เห็น" กำไรคือ "เจ้ามือตัวจริง" ที่จะผลักดันราคาหุ้น "ผมจะชอบหุ้นที่มีแนวโน้มว่ากำไรสุทธิจะเติบโต มากๆ อย่างน้อยต้องขยายตัว 20-30% ต่อปี นั่นแปลว่า บริษัทนั้นมีสตอรี่ที่ดีมารองรับแล้ว"
นอกจากนี้เขาจะเลือกหุ้นที่มีโอกาสชนะสูงๆ ถ้าเขาคิดว่า ซื้อหุ้นแล้วมีโอกาสได้กำไรแค่ 50% โอกาสขาดทุน 50% ถ้าเป็นแบบนั้น "จะยังไม่ซื้อ" เพราะโอกาสชนะแค่ 50% เหมือนว่าเรา "เล่นการพนัน" จะซื้อก็ต่อเมื่อโอกาสชนะต้องมากถึง 80-90% เท่านั้น
"ปกติผมจะถือเงินสดไม่เยอะ 5% ไม่เกิน 10% แต่ตอนนี้ถือเงินสดประมาณ 20% เมื่อไรที่เราหาหุ้นลงทุนได้ยากก็แสดงว่าตลาดหุ้นน่าจะ "เริ่มแพง" แล้ว!!!"
บรรยายใต้ภาพ
อนุรักษ์ บุญแสวง--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Monday, October 29, 2012 07:02
ตะวัน BizWeek
ไกลจากหาดใหญ่ เพื่อมาอัดรายการที่ กรุงเทพธุรกิจ ทีวี "โจ" อนุรักษ์ บุญแสวง เซียนหุ้นวีไอ วัยเพียง 38 ปี พอร์ตใหญ่เลข 9 หลัก คนนี้จัดเป็นหนึ่ง ในยอดฝีมือที่มีแฟนๆ ติดตามผลงานกันมากมาย หลังจาก คุณพ่อเสียชีวิตตั้งแต่ยังเรียนอยู่ชั้นป.6 แม่ต้องยึดอาชีพ ขายของชำเล็กๆ เลี้ยงดูครอบครัว 5 ชีวิต ทุกคนมีหัวใจเดียวกัน "ชีวิตต้องสู้" ในวัยเด็กโจมีชีวิตค่อนข้างลำบาก นี่เองที่ทำให้เขามุ่งมั่นตั้งแต่เด็ก ชาตินี้ต้องประสบความสำเร็จให้ได้
ความเก่งของโจ เริ่มต้นลงทุนด้วยเงิน 800,000 บาท ด้วยหลักการลงทุน "กำไรทบต้น" พอร์ตขยายตัวเฉลี่ยปีละ 60% ทำกำไร 400 เท่า ภายในระยะเวลา 12 ปี โจเป็น "นักอ่าน"ช่วงเรียนปริญญาตรีอยู่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เขาใช้เวลาทุกเย็นคลุกอยู่ในห้องสมุดอ่านหนังสือพิมพ์และ นิตยสารเกี่ยวกับธุรกิจ ก่อนจะสำเร็จโจเคยล้มเหลวจาก ความพยายามเล่นหุ้นครั้งแรก และตามภรรยาไปอเมริกา ไปเป็นผู้ช่วยกุ๊กในร้านอาหารเกาหลี 1 ปีครึ่ง ก่อนจะกลับมา พิชิตความฝันที่รอคอยจนมีเงิน "หลักร้อนล้าน" ในปัจจุบัน เพียงแนะนำตัว "ตะวัน BizWeek" โจจำหนังสือ "16 สูตรสำเร็จรวยด้วยหุ้น" ขึ้นมาทันที่ "พี่! เล่มนี้ ผมชอบมาก" นั่งคุยกันเพียงเวลาสั้นๆ ก็สัมผัสถึงความเก่งฉกาจ ของเซียนหุ้นหนุ่มผู้นี้ โจระมัดระวังที่จะพูดถึงรายชื่อหุ้นหลังจาก "บิซวีค" โทรไปขอความเห็นที่ลงในบทความ "เจริญ Effect ปรากฏการณ์หุ้น...ทะลุจุดเดือด" ฉบับวันที่ 1 ตุลาคม 2555 ตอนนั้นไม่มีใครรู้เลยว่าหุ้นอาหารสยาม (SFP) เป็นของ "เจ้าสัวเจริญ" พอโจแนะนำว่าหุ้น SFP น่าสนใจตรงที่มีที่ดินเป็น 10,000 ไร่ ราคาหุ้นไม่แพง แถมผลประกอบการขยายตัวทุกปี เท่านั้นแหละ! ราคาหุ้น SFP ทะยานจาก 138 บาท ขึ้นไปสูงสุด 502 บาท ภายในเวลาเพียง 5 วัน
"แนะนำหุ้น SFP ไปตัวเดียวผมเดือดร้อนเลย! คือผมไม่ได้มีซักหุ้นเลยนะ ไม่มีส่วนได้เสีย...แนะนำตามจรรยาบรรณเท่านั้นเอง ขอยืนยันผมไม่ได้มีผลประโยชน์ทับซ้อน"
ถามว่าโจมองตลาดหุ้นช่วงนี้ยังไง!!! ผมระวังมากกว่าปกติ ปกติจะถือเงินสดไม่เยอะ 5% ไม่เกิน 10% แต่ตอนนี้ ถือเงินสดประมาณ 20% เมื่อไรที่เราหาหุ้นลงทุนได้ยาก ก็แสดงว่าตลาดหุ้นน่าจะ "เริ่มแพง"...โจบอก จริงๆ ไม่อยากเก็งทิศทางตลาด มันสำคัญที่ว่าหุ้นที่เราถืออยู่ถ้ายังต่ำกว่ามูลค่าก็ยังถือต่อไป ส่วนทิศทางตลาดเป็นเรื่องที่เราคาดเดายาก
วิธีการลงทุนของโจจะไม่มองหุ้นเป็นกลุ่ม ตอนนี้ในพอร์ตมีหุ้นประมาณ 20 บริษัท แต่ตัวหลักๆ จะถืออยู่แค่ 6-7 ตัว เขาจะวางน้ำหนักหุ้นไม่กระจุกตัวกันเกินไป เขามี ความคิดว่า "นั่งเก้าอี้หลายขาดีกว่าสองขา" ช่วงที่ผ่านมา นอกจากถือเงินสดเยอะขึ้นแล้ว ถ้าตัวไหนมี Margin of Safety น้อยก็ขายไป เน้นตัวที่มีเงินปันผลรองรับ ธุรกิจไม่ผันผวนมาก เขาแพลมๆว่า จะเน้นกลุ่มที่ทำธุรกิจกับ"รากหญ้า" หน่อย! มีประกันบ้าง ลิสซิ่งบ้าง ไม่มีตัวไหนแนะนำเป็นพิเศษกลัวเหมือนคราวที่แล้ว (กรณีหุ้น SFP)
แต่ "บิซวีค" แอบรู้มาว่าโจถือหุ้น SENA จำนวน 11.31 ล้านหุ้น สัดส่วน 1.58% หุ้น GL จำนวน 571,000 หุ้น สัดส่วน 0.83% หุ้น TKS จำนวน 1.88 ล้านหุ้น สัดส่วน 0.76% และหุ้น KTC จำนวน 1.72 ล้านหุ้น สัดส่วน 0.67% เฉพาะหุ้น 4 ตัวนี้ มีมูลค่ารวมกันประมาณ 130 ล้านบาทแล้ว
"ผมจะไม่ดูหุ้นเป็นกลุ่ม จะดูเป็นตัวๆ ไป ตัวไหนราคาต่ำผมก็ซื้อ โดยไม่สนใจว่าจะอยู่ในกลุ่มไหน ตราบใด ที่ยังหาหุ้นได้ก็ลงทุน แต่เมื่อไรที่หาไม่ได้ก็จะถือเงินสด ตอนนี้ก็ยังพอหาได้แต่หายากนิดนึงคือตอนนี้อยากให้นักลงทุนระมัดระวัง เพราะว่ามีหุ้นที่ราคาหวือหวาค่อนข้างเยอะ การเลือหุ้นในจังหวะเวลานี้ควรต้องเลือกหุ้นที่ปลอดภัยพวก Defensive Stock มีปันผลระดับหนึ่ง เวลาลงอาจจะไม่ลงมาก แต่หุ้นที่ให้หลีกเลี่ยงเลยคือ หุ้นร้อน หุ้นปั่น ไม่ว่าสภาวะตลาดเป็นยังไงก็อย่าเข้าไปยุ่ง"
โจบอกว่า ถ้าดูข้อมูลย้อนหลังตลาดหุ้นไทยไม่เคยขึ้น มาติดต่อกันมากเท่านี้มาก่อน ขึ้นมาตั้งแต่หลังวิกฤติ ซับไพร์ม 4 ปีนี้ขึ้นมาตลอด ดังนั้นแทนที่เราจะมองโอกาสที่หุ้นจะขึ้นเยอะๆ เราควรต้องมองตลาดหุ้น ด้วยความระมัดระวังมากกว่า แต่ก็ไม่ถึงกับต้องล้างพอร์ต ถือเงินสด ตราบใดที่ยังหาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าได้เราก็ควรจะถือต่อไป
เซียนหุ้นร้อยล้าน ชี้ว่า โดยปกตินักลงทุนวีไอจะหา หุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าประมาณ 30% ขึ้นไป สมมติว่าหุ้นมีมูลค่าประมาณ 10 บาท ถ้าราคา 7 บาท เราซื้อได้ ถ้า 5 บาท ยิ่งต้องซื้อ แต่ถ้าเจอหุ้นราคา 3 บาท เราอาจจะใส่เต็มที่เลย ยังไงก็ควรจะมี "อัพไซด์" ประมาณ 30% ขึ้นไป ถ้าหุ้น มีอัพไซด์ 20% หรือต่ำกว่านั้น คิดว่าเป็นการลงทุนที่ "ไม่คุ้มกับความเสี่ยง"
ข้อสำคัญของการลงทุนที่ทำให้พอร์ตหุ้นของโจเติบโต ขึ้นอย่างรวดเร็ว เขามีความเชื่อว่ากำไรเป็นเสมือน "มือที่มอง ไม่เห็น" กำไรคือ "เจ้ามือตัวจริง" ที่จะผลักดันราคาหุ้น "ผมจะชอบหุ้นที่มีแนวโน้มว่ากำไรสุทธิจะเติบโต มากๆ อย่างน้อยต้องขยายตัว 20-30% ต่อปี นั่นแปลว่า บริษัทนั้นมีสตอรี่ที่ดีมารองรับแล้ว"
นอกจากนี้เขาจะเลือกหุ้นที่มีโอกาสชนะสูงๆ ถ้าเขาคิดว่า ซื้อหุ้นแล้วมีโอกาสได้กำไรแค่ 50% โอกาสขาดทุน 50% ถ้าเป็นแบบนั้น "จะยังไม่ซื้อ" เพราะโอกาสชนะแค่ 50% เหมือนว่าเรา "เล่นการพนัน" จะซื้อก็ต่อเมื่อโอกาสชนะต้องมากถึง 80-90% เท่านั้น
"ปกติผมจะถือเงินสดไม่เยอะ 5% ไม่เกิน 10% แต่ตอนนี้ถือเงินสดประมาณ 20% เมื่อไรที่เราหาหุ้นลงทุนได้ยากก็แสดงว่าตลาดหุ้นน่าจะ "เริ่มแพง" แล้ว!!!"
บรรยายใต้ภาพ
อนุรักษ์ บุญแสวง--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
-
- Verified User
- โพสต์: 9
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คอลัมน์: จับข่าวมาเล่า: 'โจ ลูกอีสาน'ถือเงินสด 20%
โพสต์ที่ 2
พอร์ทเราไม่ถึง 1% ของคุณโจเลย ขอบคุณสำหรับบทความครับกระตุ้นต่อมเรียนรู้ได้มากครับ
- theerasak24
- Verified User
- โพสต์: 614
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คอลัมน์: จับข่าวมาเล่า: 'โจ ลูกอีสาน'ถือเงินสด 20%
โพสต์ที่ 6
ขอบคุณครับ
"เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะยังคงทำสิ่งต่างๆ ต่อไปตราบใดที่มันยังให้ความรื่นรมย์และคุณก็ทำมันได้ดี"
-
- Verified User
- โพสต์: 409
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คอลัมน์: จับข่าวมาเล่า: 'โจ ลูกอีสาน'ถือเงินสด 20%
โพสต์ที่ 8
ขอบคุณแนวคิดดีๆจาก อ.โจ ที่ทำให้ผมจับปลากินเองได้ในระดับหนึ่งครับ
หลักการของการลงทุนแบบ VI คือการซื้อหุ้นที่มูลค่าต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ดังนั้นไม่ว่าหุ้นนั้นจะเป็นหุ้นประเภทใดก็ตามควรจะได้รับการพิจารณาเหมือนๆกันในแง่ความคุ้มค่าเมื่อเปรียบเทียบกับราคาที่นักลงทุนจะจ่าย ...เครดิต อ.โจ ลูกอีสาน
-
- Verified User
- โพสต์: 297
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คอลัมน์: จับข่าวมาเล่า: 'โจ ลูกอีสาน'ถือเงินสด 20%
โพสต์ที่ 9
พี่โจมีข้อมูลหุ้นในมือเยอะมาก เกิดจากการอ่าน อ่าน แล้วก็อ่าน มาตลอดสิบกว่าปี
นับถือจากใจจริงครับ
นับถือจากใจจริงครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 262
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คอลัมน์: จับข่าวมาเล่า: 'โจ ลูกอีสาน'ถือเงินสด 20%
โพสต์ที่ 10
ท่านโจนี่สุดยอดจริงๆครับ ขอคารวะ
- dome@perth
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4740
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คอลัมน์: จับข่าวมาเล่า: 'โจ ลูกอีสาน'ถือเงินสด 20%
โพสต์ที่ 11
เดี๋ยวหนักเข้าๆ ก็จะกลายเป็น วีไอ ปลีกวิเวก
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
-
- Verified User
- โพสต์: 1047
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คอลัมน์: จับข่าวมาเล่า: 'โจ ลูกอีสาน'ถือเงินสด 20%
โพสต์ที่ 12
"บิซวีค" แอบรู้มาว่าโจถือหุ้น SENA จำนวน 11.31 ล้านหุ้น สัดส่วน 1.58% หุ้น GL จำนวน 571,000 หุ้น สัดส่วน 0.83% หุ้น TKS จำนวน 1.88 ล้านหุ้น สัดส่วน 0.76% และหุ้น KTC จำนวน 1.72 ล้านหุ้น
ตัวที่สีแดงนี่ไม่น่าใช่ตามไสตล์ของพี่ลูกอีสานนะ
ตัวที่สีแดงนี่ไม่น่าใช่ตามไสตล์ของพี่ลูกอีสานนะ
เลือกเด็กที่เรียนดี แล้วให้เค้าพาเราไป
- dome@perth
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4740
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คอลัมน์: จับข่าวมาเล่า: 'โจ ลูกอีสาน'ถือเงินสด 20%
โพสต์ที่ 13
http://www.set.or.th/set/companyholder. ... country=THDavid TON เขียน:"บิซวีค" แอบรู้มาว่าโจถือหุ้น SENA จำนวน 11.31 ล้านหุ้น สัดส่วน 1.58% หุ้น GL จำนวน 571,000 หุ้น สัดส่วน 0.83% หุ้น TKS จำนวน 1.88 ล้านหุ้น สัดส่วน 0.76% และหุ้น KTC จำนวน 1.72 ล้านหุ้น
ตัวที่สีแดงนี่ไม่น่าใช่ตามไสตล์ของพี่ลูกอีสานนะ
มีครับ
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
-
- Verified User
- โพสต์: 1047
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คอลัมน์: จับข่าวมาเล่า: 'โจ ลูกอีสาน'ถือเงินสด 20%
โพสต์ที่ 14
dome@perth เขียน:http://www.set.or.th/set/companyholder. ... country=THDavid TON เขียน:"บิซวีค" แอบรู้มาว่าโจถือหุ้น SENA จำนวน 11.31 ล้านหุ้น สัดส่วน 1.58% หุ้น GL จำนวน 571,000 หุ้น สัดส่วน 0.83% หุ้น TKS จำนวน 1.88 ล้านหุ้น สัดส่วน 0.76% และหุ้น KTC จำนวน 1.72 ล้านหุ้น
ตัวที่สีแดงนี่ไม่น่าใช่ตามไสตล์ของพี่ลูกอีสานนะ
มีครับ
จริงด้วย ขอบคุณครับ
แต่ผมชักสงสัยว่าทำไมพี่เค้าถึงเลือกหุ้นตัวนี้ เหตุผลอะไรน้อ.....
หรือว่าพี่ลูกอีสานจะมาดูกระทู้นี้แล้วตอบให้เป็นวิทยาทานก็จะเป็นพระคุณยิ่งครับ
เลือกเด็กที่เรียนดี แล้วให้เค้าพาเราไป
-
- Verified User
- โพสต์: 249
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คอลัมน์: จับข่าวมาเล่า: 'โจ ลูกอีสาน'ถือเงินสด 20%
โพสต์ที่ 17
ปันผลสูง pe ต่ำDavid TON เขียน:dome@perth เขียน:http://www.set.or.th/set/companyholder. ... country=THDavid TON เขียน:"บิซวีค" แอบรู้มาว่าโจถือหุ้น SENA จำนวน 11.31 ล้านหุ้น สัดส่วน 1.58% หุ้น GL จำนวน 571,000 หุ้น สัดส่วน 0.83% หุ้น TKS จำนวน 1.88 ล้านหุ้น สัดส่วน 0.76% และหุ้น KTC จำนวน 1.72 ล้านหุ้น
ตัวที่สีแดงนี่ไม่น่าใช่ตามไสตล์ของพี่ลูกอีสานนะ
มีครับ
จริงด้วย ขอบคุณครับ
แต่ผมชักสงสัยว่าทำไมพี่เค้าถึงเลือกหุ้นตัวนี้ เหตุผลอะไรน้อ.....
หรือว่าพี่ลูกอีสานจะมาดูกระทู้นี้แล้วตอบให้เป็นวิทยาทานก็จะเป็นพระคุณยิ่งครับ
เดาล้วนๆครับ
http://www.settrade.com/C04_01_stock_qu ... lectPage=1