รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 631

โพสต์

วันที่/เวลา 22 ต.ค. 2555 08:00:51
หัวข้อข่าว การลงนามในสัญญาสัมปทานของโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเซเปียน-เซน้ำน้อย
หลักทรัพย์ RATCH
แหล่งข่าว RATCH
รายละเอียดแบบเต็ม ที่ http://www.set.or.th/set/newsdetails.do ... country=TH
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 632

โพสต์

คอลัมน์: แวดวง ลงทุน&อุตสาหกรรม
Source - ฐานเศรษฐกิจ (Th), Saturday, October 20, 2012
[email protected]



ข่าวดีสำหรับวงการอ้อย ล่าสุด วัลยารีย์ ไพสุขศานติวัฒนาเลขานุการคณะทำงานด้านประชาสัมพันธ์ 3 สมาคมโรงงานน้ำตาลทราย บอกว่าจากการเก็บข้อมูลสถานการณ์ปัญหาอ้อยไฟไหม้และอ้อยปนเปื้อนของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลของไทยในช่วง 2 ฤดูการผลิตที่ผ่านมา (ฤดูการผลิตปี 2553/2554 และ 2554/2555) สถานการณ์ดีขึ้น หลังจากที่โรงงานน้ำตาลทรายและหน่วยงานภาครัฐได้ร่วมรณรงค์สร้างความเข้าใจถึงผลเสียของการผลิตน้ำตาลจากอ้อยไฟไหม้และอ้อยปนเปื้อน ตลอดจนการสนับสนุนสินเชื่อรถตัดอ้อย เพื่อให้จัดเก็บผลผลิตอ้อยสดส่งโรงงานมากขึ้น โดยสัดส่วนอ้อยไฟไหม้ในฤดูการผลิตปี 2554/55 คิดเป็น 65.53% จากปริมาณอ้อยเข้าหีบ 97.97 ล้านตันอ้อย ลดลงเมื่อเทียบกับฤดูการผลิตปี 2553/54 ที่มีสัดส่วนอ้อยไฟไหม้อยู่ที่ 66.77%จากปริมาณอ้อยเข้าหีบ 95.35 ล้านตันอ้อย

แถมฝากข่าวบอกต่ออีกว่า การประชุมเชิงปฏิบัติการของ 3 สมาคมโรงงานน้ำตาลทราย เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดหีบอ้อยฤดูการผลิตปี 2555/56 ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 29-30 ตุลาคมนี้ ที่จังหวัดนครนายก ในหัวข้อ "การจัดการสิ่งปนเปื้อนในอ้อยของปีที่ผ่านมา" จะเป็นประเด็นหนึ่งในการหารือ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันด้วย โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มผลผลิตน้ำตาลต่อตันอ้อยให้มากขึ้น และสร้างรายได้ที่มั่นคงให้แก่ชาวไร่อ้อย รวมถึงสร้างความมั่นคงของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายของไทยได้ดียิ่งขึ้น

ขอแสดงความยินดีกับ "บุญชัย ไชยธีรัตต์" แม่ทัพใหญ่แห่งค่ายบมจ. ชัยวัฒนา แทนเนอรี่ กรุ๊ป หรือ CWT ที่เพิ่งได้รับการประกาศเกียรติคุณให้เป็น "บุคคลคุณภาพแห่งปี 2012 ภาคธุรกิจยานยนต์" โดยมูลนิธิสภาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (มสวท.) เพิ่งเข้ารับโล่รางวัลประกาศเกียรติคุณไปเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2555 ที่ผ่านมา. งานนี้แว่วว่าบอสใหญ่ยิ้มปลื้มสุดๆ และหายเหนื่อยจากการทำงานหนักเป็นปลิดทิ้ง

ด้านนายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ออกมาเผยถึงผลการสำรวจความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมไทย ในเดือนกันยายน 2555 จำนวน 1,045 ราย ครอบคลุม 42 กลุ่มอุตสาหกรรมของส.อ.ท. แยกเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดย่อม อุตสาหกรรมขนาดกลาง และอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ พบว่า ค่าดัชนีความเชื่อมั่นในเดือนกันยายน อยู่ที่ระดับ 94.1 ลดลงจากระดับ 98.5 ในเดือนสิงหาคม ค่าดัชนีที่ลดลงเกิดจากองค์ประกอบยอดคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต ต้นทุนประกอบการและผลประกอบการ ทั้งนี้ค่าดัชนีปรับตัวลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 และค่าดัชนีต่ำกว่า 100 เป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน สะท้อนว่าความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการอยู่ในระดับที่ไม่ดี โดยปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการในเดือนกันยายนลดลง ได้แก่ ความกังวลต่อเศรษฐกิจโลก การชะลอตัวของภาคการส่งออก ในขณะเดียวกันต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้นจากราคาวัตถุดิบและค่าจ้างแรงงาน ได้ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SMEs รวมทั้งปัญหาอุทกภัยในหลายพื้นที่ในเดือนกันยายน

ช่วงนี้กระแสข่าวปรับครม.รัฐบาล "ยิ่งลักษณ์" หนาหูขึ้นทุกวัน มีทั้งข่าวปล่อย ข่าวลวงและข่าวสลับขาหลอกรายชื่อผู้ที่จะถูกเสนอนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีจนฝุ่นคลุ้งตลบไปทั่วทำเนียบรัฐบาล มีทั้งชื่อนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล อดีตรมว.คมนาคม สมาชิกบ้านเลขที่ 111 และยังพ่วงด้วย นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ อดีตซีอีโอ ปตท. เป็นหนึ่งในข่าวปล่อยที่ได้ถูกทาบทามเข้ามานั่งเก้าอี้รมว.กระทรวงพลังงานคนใหม่ โดยเฉพาะคนหลังนี้ ดูจากประวัติการทำงานอันยาวนานกว่า 30 ปีในแวดวงพลังงานแล้ว ถือว่าคุณสมบัติเบื้องต้นสอบผ่านฉลุย ที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการผลักดันปตท.จนกลายเป็นยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมน้ำมันของประเทศ สร้างชื่อเสียงในต่างประเทศก้าวขึ้นสู่ทำเนียบฟอร์จูนใน 100 อันดับบริษัทชั้นนำของโลกได้สำเร็จ หากอดีตบิ๊กปตท.รายนี้เข้ามานั่งบริหารกระทรวงพลังงานได้จริง คงจะได้เห็นการปรับโครงสร้างราคาพลังงานให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงสำเร็จลงได้
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 633

โพสต์

ก.พลังงานใจป้ายกโรงไฟฟ้าให้พม่า ปตท.ช่วยปัดฝุ่นของเก่าที่หนองจอก หนุนจัดซีเกมส์ครั้งที่27กรุงเนปยีดอว์
Source - มติชน (Th), Saturday, October 20, 2012


รายงานข่าวจากที่ประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 4 (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ที่มีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมเห็นชอบเรื่องการให้ความช่วยเหลือเครื่องกำเนิดไฟฟ้าแก่ประเทศ เมียนมาร์ (พม่า) ตามที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เสนอ โดย กฟผ.ให้เหตุผลว่าในปี 2556 ประเทศเมียนมาร์ จะเป็นเจ้าภาพในการจัดกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 27 ณ กรุงเนปยีดอว์ ซึ่งกำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศเมียนมาร์ที่มีอยู่อาจไม่เพียงพอ การให้ความช่วยเหลือครั้งนี้จึงเป็นการเพิ่มสัมพันธภาพที่ดีต่อประเทศเมียนมาร์อีกด้วย ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติให้นำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) จังหวัดสุราษฎร์ธานี ในวันที่ 22 ตุลาคมนี้ เพื่อให้ความเห็นชอบต่อไป

ข่าวแจ้งว่า อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมได้สั่งการให้กระทรวงพลังงานและ กฟผ.ไปหาแนวทางดำเนินการที่ถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กฟผ.กำหนดไว้ว่า กฟผ.ไม่สามารถให้ความช่วยเหลือต่างประเทศได้ การยกเครื่องกำเนิดไฟฟ้าให้แก่เมียนมาร์จึงไม่สามารถทำได้

แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงานกล่าวว่า ล่าสุดปัญหาดังกล่าวได้ข้อยุติแล้ว โดย กฟผ.จะโอนเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่เตรียมให้กับเมียนมาร์คือ โรงไฟฟ้าหนองจอก กำลังการผลิต 300 เมกะวัตต์ เชื้อเพลิงดีเซล แก่กระทรวงพลังงาน จากนั้นกระทรวงจะเป็น ผู้ส่งมอบให้รัฐบาล โดยจะให้บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ปรับปรุงโรงไฟฟ้าให้มีสภาพพร้อมใช้งาน เนื่องจากโรงไฟฟ้าที่มีอยู่อายุค่อนข้างมากแล้ว

"เมียนมาร์มีความต้องการผลิตไฟฟ้าให้มากขึ้นเพื่อใช้จัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ แต่ไม่มีเทคโนโลยี ประกอบกับสามารถใช้น้ำมันดีเซลในประเทศผลิตไฟฟ้าได้ ไม่ติดปัญหาเรื่องต้นทุนสูง ประเทศไทยจึงให้ความช่วยเหลือดังกล่าว" แหล่งข่าวกล่าว

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 634

โพสต์

ปตท.ลุยเพิ่มคลังก๊าซLPG-ปี'56ตั้งบริษัทลูกบุกธุรกิจใหม่ในเวียดนาม
Source - ประชาชาติธุรกิจ (Th), Saturday, October 20, 2012


ปตท.เดินหน้าจ้าง "ฟอสเตอร์ วีลเลอร์" ที่ปรึกษาโปรเจ็กต์ขยายคลังก๊าซเขาบ่อยา รองรับนำเข้าแอลพีจีเพิ่มเท่าตัว ลั่นตั้ง "บริษัทลูก" ยึดหัวหาดในเวียดนามทั้งก๊าซและธุรกิจใหม่ น้ำมันหล่อลื่น ยางมะตอย ถ่านหิน

นายสรัญ รังคสิริ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจน้ำมัน บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า โครงการขยายระบบคลังและท่าเรือนำเข้าบริเวณคลังก๊าซเขาบ่อยา จังหวัดชลบุรี ล่าสุด ปตท.ได้ว่าจ้าง บริษัท ฟอสเตอร์ วีลเลอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมการขยายความสามารถในการรับจ่ายก๊าซแอลพีจี ระยะที่ 1 ให้มีกำลังนำเข้าก๊าซสูงสุดเพิ่มอีก 1 เท่า คือเดือนละ 2.5 แสนตัน จากเดิม 1.32 แสนตัน รวมทั้งจะดำเนินการขยายระบบคลังจ่ายก๊าซบ้านโรงโป๊ะ และคลังก๊าซภูมิภาค ให้มีความสามารถเพิ่มให้เพียงพอกับความต้องการใช้แอลพีจีของประเทศ ทั้งหมดจะเร่งให้แล้วเสร็จภายในปี 2558

ตามแผนระหว่างนี้หากนำเข้าเกินกว่ากำลังนำสูงสุดเดือนละ 1.3 แสนตัน ก็จะใช้วิธีบริหารจัดการแบบชั่วคราวด้วยการผ่องถ่ายก๊าซใส่เรือเล็กแล้วลอยลำกลางทะเลชั่วคราว ซึ่งวิธีการดังกล่าวมีความเสี่ยงสูงเนื่องจากคลื่นลมทะเลและมีค่าเสียเวลา จึงควรจูงใจให้มีการผลิตในประเทศเพิ่มขึ้นเพื่อลดการนำเข้า

ส่วนโครงการจะขยายธุรกิจก๊าซแอลพีจีของ ปตท.ในเวียดนาม ภายหลังบรรลุข้อตกลงกับบริษัทพันธมิตรแล้ว โดยทั้ง 2 ฝ่ายจะขยายสัญญาการลงทุนร่วมกันอีก 20 ปี พร้อมกันนี้ ปตท.มีแผนสร้างคลังเก็บแอลพีจีขนาดความจุมากกว่า 2,000 ตันขึ้นอีก 1 แห่ง เพื่อรองรับปริมาณขนส่งแอลพีจีจากเรือขนาดใหญ่ได้ 1 ลำ รวมทั้งจะขยายสถานีบรรจุก๊าซในพื้นที่เวียดนามกลางไปจนถึงเวียดนามใต้ให้มากขึ้น และจะขยายตลาดไปให้ครอบคลุมทุกกลุ่มตั้งแต่ภาคครัวเรือน อุตสาหกรรม และขนส่ง

สำหรับวงเงินลงทุนคาดจะใช้หลักร้อยล้านบาท เป็นเงินสะสมจากผลกำไรที่เกิดขึ้นจากธุรกิจในเวียดนาม ซึ่งปัจจุบัน ยอดขายแอลพีจีในเวียดนามมียอดขายเดือนละ 4,000 ตัน ปตท.มีส่วนแบ่งการตลาด 7-8% แต่มั่นใจภายหลังทำโครงการขยายคลังและโรงบรรจุก๊าซแอลพีจี ปี 2556 จะเพิ่มมีส่วนแบ่งตลาดมากขึ้น

"ภายในปีหน้าจะตั้งบริษัทลูกในเวียดนาม เพื่อดูแลธุรกิจต่าง ๆ ของ ปตท. เวียดนามอย่างจริงจัง พร้อมกับจะขยายธุรกิจใหม่ ๆ เช่น น้ำมันหล่อลื่น ยางมะตอย ถ่านหิน"

ทั้งนี้ ปตท.ระบุไม่มีนโยบายขยายสถานีบริการก๊าซแอลพีจีสำหรับรถยนต์ คงมีเพียงตัวแทนจำหน่ายก๊าซแอลพีจีรถยนต์มาขอซื้อก๊าซแอลพีจีจาก ปตท. แล้วใช้วิธีขึ้นป้ายเป็นแบรนด์ ปตท. ซึ่งขณะนี้ทั่วประเทศมีอยู่ราว 2,000 แห่ง โดย ปตท.เพียงแต่เข้าไปดูแลเรื่องมาตรฐานความปลอดภัย ความสะดวกสบาย และความสะอาดของสถานีบริการเท่านั้น

กรมธุรกิจพลังงานรายงานว่า ปัจจุบันมีสถานีบริการก๊าซแอลพีจีทั่วประเทศ 1,000 แห่ง แบ่งเป็นสยามแก๊ส 400 แห่ง สถานีบริการปิคนิค 200 แห่ง เวิลด์แก๊สประมาณ 200 แห่ง และ ปตท. 200 แห่ง

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 635

โพสต์

ชงตั้งกองทุนฯ1.7หมื่นล.ทำท่อน้ำมัน
Source - ฐานเศรษฐกิจ (Th), Saturday, October 20, 2012


กระทรวงพลังงาน เตรียมชงกพช. พ.ย.นี้ ตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน ดึงเอกชนเข้าร่วมถือหุ้น เพื่อระดมเงิน 1.7 หมื่นล้านบาท ลงทุนท่อส่งน้ำมันไปเหนือและอีสาน สถาบันปิโตรเลียมฯศึกษาแล้ว มีความเป็นไปได้ รับความต้องการใช้พุ่งหลังเปิดเออีซี ขณะที่ปตท.ยันไม่จำเป็นต้องมีกองทุนมาลงทุน พร้อมหารือแทปไลน์ มีเงินทำเองได้ รอความชัดเจนนโยบายเท่านั้น

ดร.ศิริ จิระพงษ์พันธ์ ผู้อำนวยการสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า จากที่กรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน ได้ว่าจ้างสถาบันทำการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนโครงการก่อสร้างท่อน้ำมันจากสระบุรีพิษณุโลก-ลำปาง และท่อส่งน้ำมันจากสระบุรี-นครราชสีมา-ขอนแก่น รวมถึงรูปแนวทางการลงทุนในช่วงที่ผ่านมานั้น ล่าสุดทางสถาบันได้สรุปผลและส่งให้กรมธุรกิจพลังงานพิจารณาแล้ว

โดยโครงการดังกล่าวจะใช้เงินลง ทุนประมาณ 1.6-1.7 หมื่นล้านบาท ทำการก่อสร้างท่อและคลังจ่ายน้ำมันในเส้นภาคเหนือมีระยะทางยาว 613 กิโล เมตร และเส้นภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีระยะทางยาว 345 กิโลเมตร ซึ่งหากพิจาร ณาผลตอบแทนทางเศรษฐศาสตร์จะอยู่ที่ 15.08% เนื่องจากช่วยประเทศประหยัดน้ำมันในการขนส่งน้ำมันกระจายไปยังภาคต่างๆ ได้ 4.2 หมื่นล้านบาทต่อปี ประหยัดค่าซ่อมรถบรรทุกน้ำมันได้ 1.7 หมื่นล้านบาท ลดการสูญเสียน้ำมันในการขนส่ง 4.82 พันล้านบาทต่อปี และลดความสูญเสียทางอุบัติเหตุได้ 294 ล้านบาทต่อปี

เสนอตั้งกองทุนระดมเงิน

ขณะที่ผลตอบแทนทางการเงินนั้นจะอยู่ที่ 11.05% ซึ่งถือว่าต่ำไม่จูงใจให้เอกชนเข้ามาลงทุน ประกอบกับบริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด ซึ่งดำเนินการท่อส่งน้ำมันจากจังหวัดระยองมายังสระบุรีอยู่แล้ว อาจจะไม่สนใจเข้าลงทุนในโครงการนี้ เนื่องจากยังมีปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน และหากจะให้ภาครัฐเป็นผู้ลงทุน อาจมีปัญหาในเรื่องของที่มาของแหล่งเงินทุน การจะให้โครงการเกิดขึ้นได้ ทางสถาบันจึงได้เสนอแนวทางการลงทุน โดยให้มีการจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานขึ้นมา ตามกฎระเบียบของตลาดหลักทรัพย์แห่งประ เทศไทย พร้อมดึงภาคเอกชนที่มีความเชี่ยวชาญด้านท่อส่งน้ำมันอยู่แล้วเข้ามาร่วมถือหุ้นด้วย เช่น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด หรือแทปไลน์บริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จำกัด หรือเอฟพีที เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน ส่วนการบริหารจัด การอาจจะจ้างให้บริษัท แทปไลน์ฯ เข้ามาดูแล เพราะเป็นการบริหารท่อส่วนต่อขยาย จากของเดิมที่มีอยู่แล้ว

5 ปีโครงการแล้วเสร็จ

ดร.ศิริ กล่าวอีกว่า หากรัฐบาลเห็นชอบอนุมัติการก่อสร้างและแนวทางการลงทุนดังกล่าว คาดว่าจะใช้ระยะเวลาในการดำเนินงานประมาณ 5 ปี เพราะจะต้องใช้ระยะเวลาจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานประมาณ 6-12 เดือน ในการทำ ความเข้าใจกับนักลงทุน การออกหนังสือ ชี้ชวน เสมือนหนึ่งการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ พร้อมจัดตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาดูแล หลังจากนั้นจะต้องไปออกแบบการก่อสร้าง การจัดทำรายงานศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมหรืออีไอเออีก 12-18 เดือน และใช้ระยะเวลาก่อสร้างอีก 3 ปี

ทั้งนี้ มองว่าโครงการท่อส่งน้ำมันไปเหนือและอีสาน จะเป็นประโยชน์กับประเทศอย่างมาก โดยเฉพาะหลังการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 แล้ว จะทำให้ปริมาณการขนส่งน้ำมันทางรถยนต์ไปภาคเหนือและอีสานลดลง จากปัจจุบันภาคอีสานมีความต้องการใช้น้ำมันทั้งเบนซินและดีเซลอยู่ประมาณ 4.2 พันล้านลิตรต่อปี และจะเติบโตปีละ 5.7% และจะเป็นประตูส่งออกน้ำมันไปประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มขึ้น จากที่ปีที่ผ่านมา ได้ส่งออกไปสปป.ลาวประมาณ 733 ล้านลิตร ไปเวียดนาม 579 ล้านลิตร และกัมพูชา 432 ล้านลิตร ขณะที่ความต้องการใช้ในภาคเหนือมีการใช้น้ำมันอยู่ประมาณ 2.9 พันล้านลิตรต่อปี หากมีท่อน้ำมันไปถึงลำปางได้ จะช่วยทำให้ส่งออกน้ำมันไปเมียนมาร์ได้เพิ่มขึ้น จากที่ปีก่อนส่งออกไปราว 409 ล้านลิตร

รัฐเร่งหาทางเดินหน้า

นายวีระพล จิระประดิษฐกุล อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมได้รับผลการศึกษาความเป็นไปได้โครงการท่อส่งน้ำมันไปภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมถึงรูปแบบการลงทุน จากสถาบันปิโตร เลียม แล้ว และอยู่ระหว่างการพิจารณารูปแบบการลงทุนว่าจะเลือกแบบใด เพราะอาจไม่จำเป็นต้องใช้แนวทางของสถาบันปิโตรเลียมฯทั้งหมดก็ได้

เนื่องจากการลงทุนดำเนินการได้หลายแนวทาง ตั้งแต่การมอบหมายให้บริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัดหรือแทปไลน์ ซึ่งมีบริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่รับไปดำเนินการ แต่หากแทปไลน์ไม่สนใจลงทุน เนื่องจากผลตอบแทนทางการเงินอยู่ในระดับต่ำเพียง 11% ประกอบกับยังมีปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน อาจจะจำเป็นต้องหาผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาดำเนินการแทน หรือตั้งเป็นกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน นำเงินมาลงทุนและจ้างแทปไลน์เป็นผู้บริหาร ซึ่งเวลานี้ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าจะเลือกวิธีไหน เพราะยังต้องมีการหารือกับหลายๆ ฝ่าย ก่อนที่จะนำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลัง งาน

ส่วนเม็ดเงินการลงทุนนั้นอาจจะเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ตั้งไว้ประมาณ 1.52 หมื่นล้านบาท แยกเป็นค่าก่อสร้างท่อส่งน้ำมัน 9.858 พันล้านบาท และค่าก่อสร้างคลังจ่ายน้ำมัน 5.37 พันล้านบาท เนื่องจากกำลังพิจารณาว่าจะเพิ่มขนาดของคลังจ่ายน้ำมันต่างๆที่อยู่ตามแนวท่อเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับความต้องการใช้น้ำมันหลังจากที่มีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซีในปี 2558 รวมถึงการสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ ที่กระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างดำเนินการ ว่าจะสามารถร่วมใช้พื้นที่คลังตามแนวท่อสำรองน้ำมันเพิ่มขึ้นได้หรือไม่ด้วย

ชงกพช.อนุมัติพ.ย.นี้

แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า โครงการท่อส่งน้ำมันไปเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นนโยบาย เร่งด่วนของรัฐบาลชุดนี้ ที่จะรีบดำเนินการ โดยเฉพาะปลัดกระทรวงพลังงาน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้เร่งรัดให้สถาบันปิโตรเลียมฯ สรุปผลการศึกษาส่งมาให้พิจารณา เพื่อให้ทันเสนอวาระการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ที่จะมีขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ ซึ่งแนวทางการลงทุนโดยการจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานขึ้นมาดำเนินการ เป็นทางหนึ่งที่ผู้บริหารกระทรวงพลังงานตั้งโจทย์ไว้ในใจอยู่แล้ว

ปตท.เชื่อเอกชนพร้อมลงทุน

นายณัฐชาติ จารุจินดา ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (บมจ.) กล่าวว่า การจัดตั้งกองทุนโครง สร้างพื้นฐาน เพื่อระดมทุนมาใช้ในการก่อสร้างท่อส่งน้ำมันส่วนต่อขยายเส้นเหนือและอีสาน มองว่าอาจไม่มีความจำเป็น อาจเกิดความยุ่งยาก และที่ผ่านมายังไม่มีความสำเร็จในการจัดตั้งกองทุนดังกล่าว ซึ่งอาจเกิดความล่าช้าในการตัด สินใจลงทุน หากโครงการมีผลตอบแทนการลงทุนที่ระดับเหมาะสม เอกชนก็พร้อมลงทุนอยู่แล้ว โดยเฉพาะเส้นอีสานที่มีปริมาณขนส่งน้ำมันจำนวนมากอยู่แล้ว

ทั้งนี้ มองว่าผลตอบแทนการลง ทุนที่ 11.05% ยังต่ำเกินไป ซึ่งเป็นการคำนวณจากการลงทุนท่อส่งน้ำมัน 2 เส้นรวมกัน หากต้องการให้ท่อส่วนขยายเกิดได้เร็ว ควรพิจารณาสร้างเส้นอีสานก่อน เพราะมีผลตอบแทนที่ดีกว่า และช่วยลดปัญหาปริมาณรถบรรทุกขนส่งน้ำมันที่มีจำนวนมาก และควรปล่อยให้บริษัทที่มีความเชี่ยวชาญการลงทุนท่อส่งน้ำมันเป็นผู้ดำเนินการน่าจะเหมาะสมกว่า ซึ่ง ปตท.ในฐานะรัฐวิสาหกิจ พร้อมดำเนินการตามนโยบายของภาครัฐ และหากมีความชัดเจน ก็พร้อมหารือร่วมกับแทปไลน์

"หากจะให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน ต้องไม่เป็นภาระของเอกชนมากเกินไป ภาครัฐอาจหาแนวทางช่วยเหลือ อาทิ การหาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ และการเจรจาพื้นที่แนวท่อ ซึ่งเชื่อว่าแทปไลน์ในฐานะผู้ดำเนิน โครงการท่อส่งน้ำมันพร้อมดำเนินการอยู่แล้ว"

แทปไลน์มั่นใจลงทุนเองได้

แหล่งข่าวจากคณะกรรมการบริหาร (บอร์ด) บริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด (แทปไลน์) กล่าวว่า การศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งกองทุนเพื่อใช้ในการก่อสร้างท่อน้ำมันส่วนต่อขยาย มองว่ายังเป็นไปได้ยาก เนื่องจากยังมีความซับซ้อน และการลงทุนโครงการ ผู้ถือหุ้นก็ต้อง การผลตอบแทนที่เหมาะสม แต่ภาครัฐต้องการลดค่าขนส่งให้ต่ำที่สุด ขณะเดียว กันเงื่อนไขของกองทุนจะต้องถือหุ้นในสัดส่วน 75% แต่จะให้แทปไลน์ซึ่งถือหุ้นไม่เกิน 25% เข้าไปมีอำนาจในการบริหารจัดการ ตนมองว่ายังไม่สอดคล้องกัน

โดยแนวทางที่ดีที่สุด คือให้แทปไลน์เป็นผู้ลงทุนโครงการท่อส่วนต่อขยาย แต่ภาครัฐจะต้องให้ความชัดเจนด้านนโยบายที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น อาทิ การกำหนดกรอบลงทุนที่ชัดเจน การหาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ รวมทั้งให้อัตราผลตอบ แทนลงทุนที่เหมาะสม เนื่องจากที่ผ่านมาบริษัทเคยเสนอแนวทางต่อกระทรวงพลัง งานแล้ว แต่ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนออกมา ส่วนการจัดตั้งกองทุนเพื่อระดมทุนนั้น อาจไม่จำเป็น เนื่องจากแทปไลน์ลงทุนเองได้ มีเงินสะสม และสถาบันการเงินก็พร้อมปล่อยกู้ ปัจจุบันบริษัทมีกำไรจากการดำเนิน งานแล้ว ซึ่งระหว่างนี้ได้มีการหารือกับผู้ถือหุ้นไปบ้างแล้ว รอเพียงความชัดเจนจากภาครัฐเท่านั้น

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 636

โพสต์

กบง.หนุนอี20ชดเชยให้เพิ่มถูกกว่าใช้โซฮอล์91ถึง3บาท
Source - มติชน (Th), Sunday, October 21, 2012

นายณอคุณ สิทธิพงศ์ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) วันที่ 19 ตุลาคม ว่า ที่ประชุมเห็นชอบปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงโดยเฉพาะน้ำมันแก๊สโซฮอล์ อี20 เพื่อจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้เพิ่มขึ้น โดยปรับอัตราเงินชดเชยเพิ่ม 50 สตางค์ต่อลิตร จากเดิมชดเชย 2.30 บาทต่อลิตร เป็น 2.80 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ราคาขายปลีก อี20 ลดลงอีก 1 บาทต่อลิตร ถูกกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 เป็น 3 บาทต่อลิตร

นายณอคุณกล่าวว่า กบง.ได้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯของน้ำมันเบนซิน 95 เบนซิน 91 และน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ขึ้น 50 สตางค์ต่อลิตร ลดการชดเชยแก๊สโซฮอล์ 91 ลง 50 สตางค์ต่อลิตร และปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯของดีเซล 30 สตางค์ต่อลิตร จากเดิมชดเชย 10 สตางค์ต่อลิตร เป็นจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ 20 สตางค์ต่อลิตร ส่วน อี85 ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด มีผลตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2555

รายงานข่าวจากบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) แจ้งว่า วันที่ 20 ตุลาคม ได้ปรับลดราคาน้ำมัน อี20 ลงอีก 1 บาทต่อลิตร จำหน่ายอยู่ที่ 32.18 บาทต่อลิตร ถูกกว่าแก๊สโซฮอล์ 91 ขายที่ 35.18 บาทต่อลิตร

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 637

โพสต์

ทิศทางพลังงานไทย ในเออีซี
Source - เดลินิวส์ (Th), Monday, October 22, 2012


พูดกันเยอะ และตื่นตัวกันมากจริง ๆ กับการที่ไทยจะก้าวเข้าสู่การเป็นสมาชิกประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ เออีซี ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ปตท. ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านความมั่นคงทางพลังงานของประเทศไทยมีการเตรียมพร้อมที่จะแข่งขันกับประเทศอื่น ๆอย่างไร..? ทิศทางด้านพลังงานในอนาคตจะเป็นอย่างไร...? ทุกคนคงอยากรู้ดร.ไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) บอกว่า หัวใจ หรือ คอนเซ็ปต์ของเออีซี ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบ คือ 1. การยอมรับในระบบเศรษฐกิจการตลาดซึ่งถือว่าสำคัญที่สุด เพราะการแข่งขันในเออีซีจะเป็นการแข่งขันแบบแพ้คัดออก ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ก่อนหน้านี้แต่ละประเทศมีกฎกติกาของตัวเอง แต่เมื่อเข้าสู่เออีซี เส้นเขตแดนจะหายไป กติกาทุกอย่างจะต้องถูกปรับเป็นกติกาเดียว คือ กติกาสากล ใครที่ไม่แข็งแรงพอ ก็ต้องแพ้ไป ฉะนั้นเราทุกคนจะต้องปรับตัวให้เข้ากับกติกาให้ได้ 2. เพื่อแลกกับขนาดตลาดที่ใหญ่ขึ้น จาก 60 ล้านคน ในประเทศไทย เป็น 600 ล้านคน ใน 10 ประเทศอาเซียน และนำไปสู่ข้อที่ 3. โดยหวังว่าจะชนะในการแข่งขัน หวังว่าจะร่ำรวย มีจีดีพีเพิ่มขึ้น ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง แต่สำหรับคนที่แข่งขันแล้วชนะเท่านั้น

และถามต่อว่า...เรารู้ได้อย่างไรว่าเราจะชนะคู่แข่งในลาว เขมร มาเลเซีย สิงคโปร์หรือประเทศอื่น ๆ วันนี้เรารู้แล้วหรือว่าคนทำธุรกิจเดียวกัน เราเก่งกว่าเขา วันนี้เราหมายมั่นปั้นมือว่าเข้าเออีซี เราจะได้ประโยชน์ทันที ในทางกลับกัน เมื่อเข้าเออีซี ถ้าเราไม่แกร่ง ไม่เก่งพอ เราเกิดแพ้ เราจะเสียผลประโยชน์ทันทีเช่นกัน

เออีซีเป็นตลาดใหญ่มากก็จริง แต่การจะได้ประโยชน์จากตลาดที่ใหญ่ขึ้นเราต้องแข่งขันเป็น และต้องแข่งขันอย่างเสรี ถ้ามองในแง่ความได้เปรียบ อย่างประเทศสิงคโปร์ที่ผ่านมาได้เข้าสู่เวทีการแข่งขันภายใต้กติกาของตลาดโลกอยู่แล้ว สิงคโปร์เข้าไปทำธุรกิจในหลายประเทศ ประเทศไทยก็มีบริษัทจากสิงคโปร์เข้ามาทำธุรกิจมากมาย ดังนั้น เมื่อเข้าสู่เออีซี สิงคโปร์ก็ไม่เสียเปรียบประเทศอื่นเพราะมีประสบการณ์การแข่งขันมาก่อน

ดร.ไพรินทร์ บอกว่า ประสบการณ์การทำธุรกิจในต่างประเทศถือเป็นสิ่งสำคัญ ที่ผ่านมา ปตท. เข้าไปทำธุรกิจในหลายประเทศ และมีอีกหลายบริษัทของไทยที่เข้าไปทำธุรกิจในต่างประเทศมานาน อย่าง เอสซีจี บ้านปูซีพี ประเทศไทยจะเข้าเออีซีหรือไม่ก็ได้ บริษัทเหล่านี้มีความพร้อม เพราะเขาแข่งขันอยู่แล้วเขาต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด และตอนนี้เขาก็มีประสบการณ์แล้ว อย่างที่บอกว่าเออีซีจะเกิดการแข่งขันอย่างเสรี แต่ในหลายประเทศยังมีการอุดหนุนจากภาครัฐในหลายธุรกิจ ทำให้ไม่เป็นไปตามกลไกตลาด ประเทศไทยก็เช่นกัน เราอยู่ท่ามกลาง "คอมฟอร์ตโซน"เราอุดหนุนแทบทุกธุรกิจ ตัวอย่าง เกษตร คมนาคม ไม่มีการแข่งขัน มีแต่การอุดหนุน เรามีสภาพธุรกิจที่ดีมาก เราไม่เคยรู้กลไกตลาดที่แท้จริงเลย แต่สภาพเหล่านี้จะหมดไปและการแข่งขันกันอย่างเสรีมาแทนที่

แล้วเราจะสู้เขาได้ไหม...? เป็นคำถามที่น่าคิด

ปัจจุบัน ปตท. เข้าไปทำธุรกิจด้านพลังงานและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องในหลายประเทศ อาทิ สำรวจและขุดเจาะแหล่งพลังงาน โรงกลั่น ธุรกิจน้ำมัน ก๊าซ ปั๊มน้ำมัน ธุรกิจปาล์มน้ำมันถ่านหิน ธุรกิจปิโตรเคมี ทุกประเทศในอาเซียนโดยเฉพาะที่พม่าถือว่าประสบความสำเร็จมาตลอด 20 ปี เพราะเราได้รับสัมปทานหลุมสำรวจและสามารถนำพลังงานขึ้นมาใช้ได้มากมาย ที่สิงคโปร์เราก็มีเทรดดิ้งคอมพานีฐานการทำธุรกิจการค้าสากลที่ใหญ่มาก นอกจากนี้ยังมีธุรกิจในภูมิภาคอื่น ๆ ของโลก และในอนาคตก็จะขยายไปสู่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องด้วย หากมีศักยภาพเพียงพอ และนี่ก็เป็นคำตอบว่า ปตท. นำกำไรไปไหน ส่วนหนึ่งเราจำเป็นต้องใช้เป็นงบประมาณไปลงทุนในประเทศต่าง ๆ เพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานให้กับประเทศ

"ถือได้ว่า ปตท. มีฐาน มีประสบการณ์การแข่งขันในตลาดโลกอยู่แล้ว ในแง่ของการแข่งขันเมื่อต้องเข้าสู่เออีซี เราไม่กลัวใคร แต่สำหรับคนที่ยังกล้า ๆ กลัว ๆ ยังไม่เคยไปเรียนรู้การแข่งขันจริง ๆ ยังไม่เคยไปลองลิ้มชิมรสเลยว่าการแข่งขันในอาเซียนเป็นอย่างไร แต่คิดว่า ไปแล้วจะชนะ ความคิดนี้ถือว่าน่ากลัวมาก" ดร.ไพรินทร์ กล่าว สำหรับธุรกิจพลังงานของ ปตท. อยู่ภายใต้เงื่อนไขระบบสากล ยกเว้น 3 ผลิตภัณฑ์ คือแอลพีจี เอ็นจีวี และดีเซล ที่ยังได้รับการอุดหนุนจากรัฐบาล ทำให้ไม่เป็นไปตามกลไกตลาด ต้นทุนแพงแต่เราใช้ราคาถูก การที่ราคาพลังงานไม่ได้สะท้อนความเป็นจริงของตลาด และมีความเหลื่อมล้ำของราคาในแต่ละประเทศ ทำให้เกิดการลักลอบนำเข้าอย่างผิดกฎหมาย อย่างราคาก๊าซและน้ำมันของไทยต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ก็เข้ามาเติมน้ำมัน มาใช้ก๊าซของเรา ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ

ปล่อยเสรี แอลพีจี เอ็นจีวี และดีเซล เป็นไปได้ไหม....?

ดร.ไพรินทร์ กล่าวว่า ประเทศที่เจริญแล้วอย่างในอเมริกา ยุโรป หรือประเทศในอาเซียนอย่าง สิงคโปร์ ภาครัฐจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยว จะปล่อยให้ราคาสะท้อนความเป็นจริงของตลาดส่วนประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน ด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่าง รัฐบาลยังเข้ามาแทรกแซงราคาประเทศมาเลเซียแม้รัฐบาลจะเข้ามาอุดหนุนเยอะ แต่มาเลเซียถือเป็นประเทศที่ 2 ที่ออกมาประกาศว่าจะไม่อุดหนุนพลังงาน เพื่อรองรับเออีซี ส่วนของไทยก็ถือว่าน่าเป็นห่วงเพราะยังมีแอลพีจี เอ็นจีวี และดีเซลที่ยังไม่เสรี เรื่องนี้ ปตท. คงไม่มีคำตอบว่าจะทำอย่างไร เพราะไม่ได้เป็นผู้กำหนดนโยบาย

"เราคงต้องถามตัวเองว่าวันนี้เราพร้อมหรือยังที่จะเข้าเออีซี สิ่งแรก คือ เราต้องเข้าใจและจับหัวใจของเออีซีให้ได้ และเดินตามคอนเซ็ปต์บางคนบอกเออีซีเหมือนเราซื้อบ้านใหม่ ถอยรถคันใหม่ แต่ที่จริงไม่ใช่ เราเปลี่ยนจากเดิมอยู่ในประเทศไทยไปอยู่อเมริกาหรือญี่ปุ่นเลยต่างหาก เพราะเราต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่หมดเคยขับรถพวงมาลัยขวาก็ต้องเปลี่ยนเป็นขับพวงมาลัยซ้าย ประเด็นก็คือ เราเคยหัดขับรถแบบพวงมาลัยซ้ายหรือยัง อย่าคิดว่าเราจะได้ประโยชน์จากเออีซีเพียงอย่างเดียว เพราะหากเราอยู่ในกติกาไม่ได้ เราก็เสียประโยชน์ ดูอย่างประเทศกรีซเป็นอุทาหรณ์ที่เข้ายูโรโซนแต่ปฏิบัติตามกฎกติกาไม่ได้ ตอนนี้เกิดปัญหาจนลามไปทั้งระบบ หากบอกว่า วันที่1 มกราคม 2558 เราเข้าเออีซีแล้วเราจะมีความสุข เราจะได้ประโยชน์จากเออีซี คำถามคือ เรารู้ได้อย่างไรว่าจะมีความสุข และได้ประโยชน์... ? เพราะเรายังไม่ได้เตรียมตัว เรายังไม่มีประสบการณ์ระบบเศรษฐกิจการค้าแบบเสรีเลย"

ซีอีโอ ปตท. ย้ำว่า ปตท. รับผิดชอบความมั่นคงด้านพลังงานใน 2 มิติ มิติแรก คือ การจัดหาพลังงานให้เพียงพอต่อการใช้ในวันนี้ และมิติที่ 2. คือ หาให้เพียงพอต่อการใช้ในอนาคต เท่ากับว่าผลิตเท่าไหร่ต้องมีปริมาณวัตถุดิบที่รองรับได้ถึง 10 ปี ข้างหน้า ดังนั้น ปตท. จึงได้พยายามขยายธุรกิจไปในหลาย ๆ ประเทศ และหลาย ๆ ภูมิภาคของโลก เนื่องจากปัจจุบันมีแนวโน้มความต้องการใช้พลังงานเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ประกอบกับแหล่งพลังงานใกล้ ๆ ก็เริ่มหมดเราจึงต้องแสวงหาในแหล่งที่ไกลออกไปอีกทั้งไม่สามารถพึ่งพิงพลังงานเพียงอย่างเดียวได้ปตท. จึงต้องกระจายสัดส่วนการลงทุนทางด้านพลังงานในหลายรูปแบบ ทั้ง ก๊าซ ถ่านหิน น้ำมันดิบ ปาล์มน้ำมัน อย่างไรก็ตาม มักจะมีการนำเสนอข้อมูลที่บิดเบือนออกมาเผยแพร่อย่างเช่น บอกว่า ปตท. สามารถผลิตน้ำมันได้มากถึงวันละ 8 แสนบาร์เรล ซึ่งที่จริงแล้วผลิตได้เพียง 2 แสนบาร์เรลเท่านั้น แต่เวลากำหนดเป็นตัวเลขเพื่อให้เข้าใจง่าย จะมีการนำพลังงานอื่น ๆ เช่น ก๊าซมาคำนวณเป็นสัดส่วนด้วย ทำให้ดูเหมือน ปตท. สามารถผลิตน้ำมันได้มาก และหากคำนวณการใช้พลังงานทุกชนิดของคนไทยเป็นน้ำมัน เราใช้สูงถึง 2 ล้านบาร์เรล ซึ่งข้อเท็จจริง คือ ทุกวันนี้เรายังต้องนำเข้าพลังงานทุกชนิด

ดร.ไพรินทร์ กล่าวว่า พื้นฐานกลไกที่ถูกต้องคือ ทุกคนมีทางเลือกสำหรับพลังงานที่เหมาะสมสามารถเลือกได้เอง ภายใต้ราคาที่สมเหตุสมผลการนำตัวเลขที่บิดเบือนออกมาเปิดเผยและการใช้พลังงานในราคาถูกกว่าความเป็นจริงไม่สะท้อนราคาตลาด ยิ่งทำให้เกิดการใช้พลังงานอย่างสิ้นเปลือง ไม่เห็นคุณค่าของพลังงาน ซึ่งนั่นเป็นพื้นฐานทางความคิดแบบง่าย ๆ คือ ของถูกคนก็ใช้มากอย่างไม่รู้คุณค่า

จึงอยากให้ทุกคนรู้เท่าทันว่า วันนี้ไม่มีพลังงานไหนที่เราไม่นำเข้าหากเรายังใช้อย่างสิ้นเปลือง ในอนาคต เราอาจไม่เหลือพลังงานไว้ให้ลูกหลานใช้อีกต่อไป !!

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 638

โพสต์

‘ไออาร์พีซี’ผลงานQ3เริ่ด
Source - ข่าวหุ้น (Th), Monday, October 22, 2012


ลุ้นกำไรสุทธิ 2.26พันล้าน แรงหนุนสต๊อกเกน

IRPC เผยไตรมาส 3/55 กำไรสุทธิ 2.2 พันล้านบาท เหตุมีกำไรสต๊อกน้ำมัน จากราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น ส่งผลทั้งปีรายได้แตะ 2.76 แสนล้านบาท โต 15% เหตุไม่มีปิดซ่อมบำรุง โบรกฯแนะ “ซื้อลงทุน” ราคาเป้าหมาย 4.92 บาท

นายอธิคม เติบศิริ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าไตรมาส 3/55 รายได้ดีกว่าไตรมาส 2/55 ที่ขาดทุน เนื่องจากราคาน้ำมันสูงกว่าช่วงไตรมาส 2/55 และบริษัทคาดรายได้ทั้งปีจะเป็นไปตามเป้า 2.76 แสนล้านบาท หรือเติบโต 15% จากปีก่อน โดยปีนี้บริษัทไม่มีการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นจากปีที่แล้วที่ปิดซ่อมบำรุงประมาณ 30-40 วัน ขณะที่แนวโน้มกำไรทั้งปีน่าจะเป็นบวกได้ แม้ไตรมาส 2 จะขาดทุน เนื่องจากราคาน้ำมันในตลาดโลกช่วงครึ่งปีหลังน่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก

อย่างไรก็ตาม คาดว่าอัตราค่าการกลั่น และส่วนต่างปิโตรเคมี (GIM) ในช่วงครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก โดยคาดว่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 7 เหรียญต่อบาร์เรล จากครึ่งปีแรกที่ติดลบประมาณ 3 เหรียญต่อบาร์เรล แต่คาดว่าทั้งปี GIM จะเป็นบวกได้

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนีตี้ จำกัด ระบุว่า แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 3/55 ของ IRPC คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 2,267 ล้านบาท จากกำไรสต๊อกน้ำมันราว 2.2 พันล้านบาท หลังราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวสูงขึ้นกว่า 16 เหรียญต่อบาร์เรล จากไตรมาสก่อน ส่งผลให้มีกำไรจากสต๊อกน้ำมันรวมการกลับรายการค่าเผื่อการลดมูลค่าลงเหลือ (LCM loss) ราว 2,253 ล้านบาท

สำหรับธุรกิจปิโตรเคมี คาดว่ากำลังการผลิตใกล้เคียงกับไตรมาส 2/55 ในขณะที่ส่วนต่างราคาของปิโตรเคมีภัณฑ์โดยเฉลี่ย (Product to feed margin) เราประเมินว่าอ่อนแอลงจากไตรมาสก่อน โดยเฉพาะ Propylene และ HDPE หลังต้นทุนราคา Naphtha ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ

อย่างไรก็ตาม คาดว่า EBITDA ไม่รวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมัน อยู่ที่ 1,476 ล้านบาท ลดลง 9% จากไตรมาสก่อน ประเมินส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนใน UBE Chemical ราว 125 ล้าน จากการถือหุ้น 25% กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนราว 330 ล้านบาท หลังค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น จากเงินกู้สกุลดอลลาร์สหรัฐคงค้างสิ้นงวดที่ 413 ล้านเหรียญ มีกำไรจาก Mark-to-Market จากการถือหุ้น TOP 18 ล้านหุ้น ราว 140 ล้านบาท หลังจากราคาหุ้น TOP ปรับเพิ่มขึ้น 7.75 บาท จากไตรมาสก่อน

โครงการ Phoenix ปัจจุบันโครงการนี้แล้วเสร็จราว 30% เราคาดว่า ในไตรมาส 4/55 กำลังการผลิต Propylene เพิ่มขึ้นจาก 312 KTA เป็น 412 KTA TDAE เพิ่มขึ้นจาก 22 KTA เป็น 50 KTA และ น้ำมันหล่อลื่น (150-BS) เพิ่มขึ้นจาก 95 KTA เป็น 120 KTA ซึ่งสามารถช่วยหนุนรายได้และผลประกอบการให้สูงขึ้นในระยะยาว เบื้องต้นเราประเมินว่าจะสร้างรายได้เพิ่มในไตรมาส 4/55 ราว 600 ล้านบาท

โครงการในอนาคต บริษัทมีแผนที่จะสร้างรายได้เพื่อลดความผันผวนของผลประกอบการจากธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมี จาก (1) ธุรกิจ ที่ดินราว 1.50 พันไร่ที่ อ.บ้านค่าย ซึ่งได้รับการอนุมัติจาก EIA และ กนอ. แล้ว อยู่ในระหว่างการศึกษาและพัฒนา roadmap เพิ่มสร้างมูลค่าเพิ่ม (value added) ให้แก่สินทรัพย์ (2) ธุรกิจโรงไฟฟ้า บริษัทได้ชนะการประมูลโรงไฟฟ้า SPP ขนาด 180 เมกะวัตต์ ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงหา contractor ซึ่งคาดว่าจะลุล่วงในปี 57 และจำหน่ายได้ในปี 60 นอกจากนี้บริษัท อยู่ในระหว่างการศึกษา Solar farm และ Wind farm ร่วมกับ ปตท. ในที่ดินราว 3 พันไร่ ที่ อ. จะนะ จ.สงขลา

ทั้งนี้ ยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2555 ไว้ที่ 1,687 ล้านบาท โดยผลประกอบการ 9 เดือน คาดว่ายังขาดทุนอยู่ ประมาณ 850 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นปรับตัวถึงราคาเป้าหมายปี 2555 ที่ทำไว้ที่ 3.94 บาทต่อหุ้น จึงปรับมูลค่าเหมาะสมปี 2556 ที่ 4.92 บาท อิงวิธี DCF (WACC 9.31%, terminal growth rate 3%) แม้ยังคงมี upside ราว 18% ทั้งนี้ มองว่า IRPC เป็นหนึ่งในหุ้นกลุ่ม cyclical ที่ยังมี cheap valuation โดยเทรดที่ PBV 1.17 เท่า ซึ่งต่ำกว่า PBV ของ SET index และกลุ่มพลังงาน ที่ 2.24 เท่า และ 1.70 เท่า แนะนำ “ซื้อลงทุน”

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 639

โพสต์

(เพิ่มเติม) RATCH เซ็นสัญญาสัมปทานโรงไฟฟ้าเซเปียน-เซน้ำน้อยกับรัฐบาลลาวอายุ 27 ปี

อินโฟเควสท์ (22 ต.ค. 55)--บมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง(RATCH) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 19 ต.ค.บริษัทได้ลงนามในสัญญาสัมปทานโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเซเปียน-เซน้ำน้อยในประเทศลาว โดยมีอายุสัญญา 27 ปี นับตั้งแต่วันเดินเครื่องเชิงพาณิชย์

อนึ่ง โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำเซเปียน -เซน้ำน้อย เป็นการร่วมทุนระหว่าง บริษัทฯ ร้อยละ 25 SK Engineering & Construction Company Limited ร้อยละ 26 Korea Western Power Company Limited ร้อยละ 25 และรัฐบาลลาว ร้อยละ 24 ตั้งอยู่ในแขวงอัตตะปือ และแขวงจำปาสัก ของลาว กำลังการผลิตติดตั้งประมาณ 410 เมกะวัตต์ มีกำหนดการเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในปี 2561

นายนพพล มิลินทางกูร กรรมการผู้จัดการใหญ่ RATCH กล่าวว่า บริษัท ไฟฟ้าเซเปียน-เซน้ำน้อย จำกัด ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลลาวอย่างเป็นทางการให้ดำเนินการพัฒนา ก่อสร้าง และดำเนินงานโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำเซเปียน-เซน้ำน้อย ขนาดกำลังการผลิต 410 เมกะวัตต์ ซึ่งสัญญาจะมีผลผูกพันตั้งแต่ปี 2561-2588 ที่ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามสัญญา ต่อจากนี้ บริษัทฯ คาดว่าจะบรรลุข้อตกลงสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)ราวปลายปีนี้ และจะใช้เวลาในการก่อสร้างประมาณ 5 ปี

"โครงการเซเปียน-เซน้ำน้อยมีมูลค่าประมาณ 32,000 ล้านบาท โดยบริษัทฯ ใช้เงินลงทุนจากกระแสเงินสดของบริษัทฯ ประมาณ 2,400 ล้านบาท โครงการนี้พัฒนาขึ้นภายใต้กรอบความร่วมมือการพัฒนาพลังงานไฟฟ้าระหว่างไทยกับลาว ซึ่งกระแสไฟฟ้าส่วนใหญ่ที่ผลิตได้จะจำหน่ายให้กับ กฟผ.ผ่านระบบส่งไฟฟ้าของ กฟผ. ขนาด 500 กิโลโวลต์ที่บ้านนาบง จ.อุบลราชธานี เพื่อส่งกลับมาใช้ในประเทศไทย" นายนพพล กลาว

ทั้งนี้ ในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยปี 2533 ได้กำหนดให้โครงการเข้าระบบผลิตกระแสไฟฟ้าของประเทศในปี 2561 สำหรับไฟฟ้าส่วนที่เหลือจะจำหน่ายให้กับการไฟฟ้าลาว เพื่อรองรับความต้องการภายในประเทศที่เติบโตขึ้นตามความเจริญทางเศรษฐกิจและสังคมของสปป. ลาว บริษัทฯ คาดว่าโครงการฯ จะเริ่มลงมือก่อสร้างได้ในปี 2556

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
et al.
Verified User
โพสต์: 847
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 640

โพสต์

'โกลด์แมน แซคส์'ฟันธงหมดช่วงขาขึ้นราคาน้ำมันโลก
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ วันที่ 22 ตุลาคม 2555 06:46

โกลด์แมน แซคส์ ธนาคารขนาดใหญ่ที่สุดในการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ บอกว่า วัฎจักรช่วงขาขึ้นของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกได้สิ้นสุดลงแล้ว พร้อมทั้ง เปลี่ยนแปลงคำแนะนำด้านการลงทุนในเชิงบวกต่อราคาน้ำมันที่ดำเนินมานานหลายปี และระบุถึงปริมาณน้ำมันที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐและแคนาดา

โกลด์แมน แซคส์ เคยเป็นผู้คาดการณ์ราคาสูงสุดในบรรดาผู้คาดการณ์ราคารายใหญ่ แต่ขณะนี้ ออกมาฟันธงว่า ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ในระยะยาวหรือราว 5 ปีข้างหน้าอาจจะถูกตรึงอยู่ที่ระดับราว 90 ดอลลาร์/บาร์เรล แถมยังปรับลดคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปีหน้าลงสู่ 110 ดอลลาร์/บาร์เรลจาก 130 ดอลลาร์ โดยราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ล่าสุด อยู่ที่ระดับราว 112.41 ดอลลาร์

เจฟฟรีย์ เคอร์รี และเดวิด กรีลี นักวิเคราะห์ของโกลด์แมน แซคส์ บอกว่า "ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ราคาสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ล่วงหน้าแบบหลายเดือน ส่งสัญญาณเข้าสู่เสถียรภาพที่ระดับราว 90 ดอลลาร์/บาร์เรล และสิ่งนี้บ่งชี้ถึงการกลับเข้าสู่กรอบราคาในแบบเดียวกับในทศวรรษ 1990 เราคาดว่าในอนาคต ราคาสัญญาน้ำมันเดือนไกลจะได้รับแรงกดดันจากความเป็นไปได้ ที่ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเป็นการผลิตจากหินน้ำมันสหรัฐ, ทรายน้ำมันแคนาดา และจากเขตน้ำลึก ซึ่งโดยสุทธิแล้ว เราคาดว่า ตลาดน้ำมันจะกลับมามีโครงสร้างที่มีเสถียรภาพ แต่อยู่ในภาวะตึงตัวตามวัฏจักร"

ภาวะเฟื่องฟูในธุรกิจหินน้ำมันสหรัฐ ส่งผลให้ปริมาณการผลิตน้ำมันสหรัฐ พุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบกว่า 10 ปี และสร้างความประหลาดใจให้แก่นักวิเคราะห์ รวมทั้งส่งผลกระทบต่อกระแสการไหลเวียนของน้ำมันในตลาดโลกด้วย

ปัจจุบันนี้ สหรัฐ ลดการนำเข้าน้ำมันดิบจากภูมิภาคแอฟริกาตะวันตกและภูมิภาคตะวันออกกลาง ส่งผลให้ภูมิภาคดังกล่าวขายน้ำมันดิบให้แก่ทวีปเอเชียมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ นักวิเคราะห์บางรายยังคาดว่า ทวีปอเมริกาเหนือ ซึ่งครอบคลุมสหรัฐ, เม็กซิโก และแคนาดา จะกลายเป็นผู้ส่งออกน้ำมันสุทธิด้วย

โกลด์แมน แซคส์ เคยเป็นผู้นำด้านการคาดการณ์ราคาน้ำมันในช่วง ที่ราคาพุ่งขึ้นครั้งใหญ่ในปี 2546-2551 โดยในช่วงนั้นอุปสงค์น้ำมันในเอเชียพุ่งขึ้นแข็งแกร่งเกินคาด และเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าปริมาณอุปทานในตลาดโลก ในขณะที่กำลังการผลิตส่วนเกินในกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน(โอเปก) ลดลงจนเกือบหมด และอุตสาหกรรมกลั่นน้ำมันประสบความยากลำบากในการรองรับอุปสงค์

แต่หลังจากโกลด์แมน แซคส์ คาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันดิบอาจพุ่งขึ้นครั้งใหญ่สู่ 200 ดอลลาร์/บาร์เรลในปี 2551 เศรษฐกิจโลกก็ประสบกับวิกฤติการเงิน และส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบทรุดตัวลงจากสถิติสูงสุดที่ 147 ดอลลาร์ในเดือนก.ค. 2551 สู่ระดับต่ำกว่า 40 ดอลลาร์

ในปีนี้ โกลด์แมน แซคส์ ดำเนินการอย่างล่าช้าที่จะยอมรับว่า ราคาน้ำมันดิบสหรัฐ ประเภทที่มีความหนาแน่นต่ำ (light) มีแนวโน้มอยู่ในช่วงขาลง และส่งผลให้โกลด์แมน แซคส์ ปิดคำแนะนำในการเข้าซื้อสัญญาน้ำมันดิบสหรัฐ ประเภทที่มีความหนาแน่นต่ำและกำมะถันต่ำ (sweet) ประจำเดือน ก.ย. 2555 ด้วยยอดขาดทุนทางบัญชีที่ 10.8 %

เกรกอรี เคน ผู้จัดการพอร์ทลงทุนของกองทุน Ebullio's eFED Commodity Fund กล่าวว่า ขณะนี้ตลาดตระหนักดีว่าอุปทานน้ำมันกำลังเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งการพุ่งขึ้นส่วนใหญ่ของราคาน้ำมันในปีนี้ เกิดจากสภาพคล่อง และราคาน้ำมันก็ได้ปรับตัวรับปัจจัยนี้ไปหมดแล้ว

ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบสหรัฐ พุ่งขึ้นสู่ระดับสูงกว่า 6.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2538 โดยได้รับแรงหนุนสำคัญจากเทคโนโลยีใหม่ ซึ่งเปิดโอกาสให้การผลิตน้ำมันจากหินน้ำมันสามารถกระทำได้ด้วยต้นทุนที่ถูกลง

ปัจจัยดังกล่าว กระตุ้นให้มีการคาดการณ์กันว่า ทวีปอเมริกาเหนือ อาจจะไม่ต้องนำเข้าพลังงานจากนอกทวีปอีกต่อไป ซึ่งจะส่งผลให้ราคาน้ำมันดิ่งลง

นางอัมริตา เซน จากบริษัทเอ็นเนอร์จี แอสเปคท์ กล่าวว่า "การขยายตัวของปริมาณน้ำมัน มีแนวโน้มที่จะจำกัดราคาในระยะยาว และส่งผลให้เป็นเรื่องที่ยากขึ้นมากที่ราคาน้ำมันจะพุ่งขึ้นเหนือ 110-115 ดอลลาร์/บาร์เรล ถ้าหากไม่ได้รับแรงหนุนจากปัจจัยทางเศรษฐกิจหรือเหตุการณ์ไม่สงบในตะวันออกกลาง"

ธนาคารที่ใหญ่ที่สุด ที่ทำธุรกิจสินค้าโภคภัณฑ์ประกอบด้วยโกลด์แมน แซคส์,บาร์เคลย์ส, ดอยช์ แบงก์, มอร์แกน สแตนเลย์ และเจพี มอร์แกน โดยธนาคารทั้ง 5 แห่ง ต่างก็ปรับลดตัวเลขคาดการณ์ราคาน้ำมันประจำปี 2556 ลงมาแล้ว

ธนาคารทำเงินจากสินค้าโภคภัณฑ์โดยผ่านทางการให้บริการประกันความเสี่ยงแก่ลูกค้า โดยโกลด์แมน แซคส์ ให้คำแนะนำแก่ลูกค้าที่เป็นผู้ใช้น้ำมัน,ผู้ผลิตน้ำมัน และผู้กลั่นน้ำมันด้วย

นางเซน กล่าวว่า ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ไม่มีแนวโน้มที่จะร่วงผ่านระดับ 90 ดอลลาร์ลงไปมากนัก เพราะว่าราคาน้ำมันที่ต่ำลงจะส่งผลให้การพัฒนาแหล่งหินน้ำมันใหม่ เป็นสิ่งที่ไม่คุ้มค่าต่อการลงทุนและถ้าหากราคาน้ำมันดิบเบรนท์ร่วงผ่าน 90 ดอลลาร์ลงไป การผลิตน้ำมันนอกกลุ่มโอเปก ก็จะเผชิญกับความยากลำบากอีกครั้ง
ตัวพ่อมาเองแล้ว
"Success is the sum of small efforts, repeated day in and day out" [Robert Collier]
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 641

โพสต์

ภาพยนตร์โฆษณาจากกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ
ภายใต้แนวคิด "การจัดหาพลังงานโดยเป็นมิตรกับชุมชนและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการใช้พลังงานอย่างรู้คุณค่า"
เผยแพร่เมื่อ 9 ก.ค. 2012

"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 642

โพสต์

วันที่/เวลา 22 ต.ค. 2555 20:30:00
หัวข้อข่าว แจ้งการประกาศสิ้นสุดการทำคำเสนอซื้อหุ้นสามัญทั้งหมดของ Sakari Resources Limited โดย PTT Mining Limited
หลักทรัพย์ PTT
แหล่งข่าว PTT
รายละเอียดแบบเต็ม

ที่ 80000059/601

22 ตุลาคม 2555

เรื่อง: แจ้งการประกาศสิ้นสุดการทำคำเสนอซื้อหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัท Sakari Resources Limited
ในประเทศสิงค์โปร์โดยบริษัท PTT Mining Limited ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ ปตท.
เรียน กรรมการผู้จัดการ
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ตามที่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ("ปตท.") ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม
2555 เรื่องคำเสนอซื้อหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัท Sakari Resources Limited ("SAR") โดยบริษัท PTT
Mining Limited ("PTTML") ปตท.
ขอแจ้งให้ทราบว่าระยะเวลาเสนอซื้อของคำเสนอซื้อดังกล่าวได้สิ้นสุดลงในวันนี้ PTTML
ได้รับการตอบรับขายหุ้นทั้งสิ้นจำนวน 299,479,730 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 26.3 ของหุ้นทั้งหมด หรือ
561.6 ล้านเหรียญสิงคโปร์ นอกจากนี้ PTTML ได้มาซึ่งหุ้น SAR จากการซื้อผ่านตลาดเป็นจำนวน 210,894,561
หุ้น คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 18.6 ของหุ้นทั้งหมด หรือ 397.8 ล้านเหรียญสิงคโปร์ฯ ทำให้ PTTML
มีสัดส่วนการถือหุ้น SAR รวมทั้งโดยตรงและโดยอ้อม จำนวน 1,025,053,511 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 90.2
ของหุ้นทั้งหมด

เนื่องจากสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อยของ SAR ได้ลดลงจนต่ำกว่าร้อยละ 10 ของหุ้นทั้งหมดของ
SAR
ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์ที่จะดำรงสถานะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ตามกฎตลาดหลักทรัพย์ของประเทศสิงคโปร์
PTTML ขอสงวนสิทธิในการพิจารณาดำเนินการเพิกถอนหุ้น SAR ออกจากตลาดหลักทรัพย์ของประเทศสิงคโปร์ ทั้งนี้
การเพิกถอนหุ้นดังกล่าวจะต้องได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการบริษัท SAR และจาก
ตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ก่อนดำเนินการ

เนื่องจากการเสนอซื้อหุ้นได้ทำให้ PTTML มีสัดส่วนการถือหุ้นไม่ต่ำกว่าร้อยละ 90 ของหุ้นทั้งหมดของ SAR
ภายใต้กฎหมายประเทศสิงค์โปร์ ผู้ถือหุ้น SAR ที่ยังไม่ได้ตอบรับคำเสนอซื้อจะได้รับสิทธิการขายหุ้น SAR
ให้ PTTML ในราคาและภายใต้เงื่อนไขเดียวกันกับคำเสนอซื้อ โดยมีระยะเวลาการขายหุ้น 3 เดือนนับจากวันที่
PTTML ได้ประกาศแจ้งสิทธิดังกล่าวต่อผู้ถือหุ้น SAR

การรายงานสารสนเทศในครั้งนี้ ไม่ใช่รายการที่เกี่ยวโยงกัน
และขนาดของรายการไม่เข้าข่ายที่จะต้องรายงานสารสนเทศตามหลักเกณฑ์การได้มาและจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ของบร
ิษัทจดทะเบียน แต่เป็นการรายงานการเข้าร่วมทุนกับบริษัทอื่น โดยสัดส่วนของการเข้าร่วมทุนตั้งแต่ร้อยละ
10 ของทุนชำระแล้วของบริษัทที่เข้าร่วมทุน

จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ

ขอแสดงความนับถือ


นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่



ฝ่ายผู้ลงทุนสัมพันธ์
โทร. 02 537 3518
โทรสาร 02 537 3948
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
ภาพประจำตัวสมาชิก
CHiNU_Vi
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 627
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 643

โพสต์

Always Smiling :)
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 644

โพสต์

ฟิทช์จับตาอันดับเครดิตเครือปตท.ห่วงลงทุนโครงการใหญ่เพิ่มบิ๊กสผ.ตุนเงิน600ล้านดอลล์
Source - โพสต์ ทูเดย์ (Th), Tuesday, October 23, 2012


โพสต์ทูเดย์ -ฟิทช์ลั่นตามติดกลุ่มปตท. หากลงทุนหนักหลังซื้อโคฟจนสะเทือนฐานะการเงิน

นายเลิศชัย กอเจริญรัตนกุล ผู้อำนวยการภาคธุรกิจ ฟิทช์เรทติ้งส์(ประเทศไทย) เปิดเผยว่าในช่วงที่ผ่านมากลุ่ม ปตท.มีการลงทุนจำนวนมาก โดยเฉพาะภายหลังการเข้าซื้อโคฟ เอนเนอร์ยี ของบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ ปตท.สผ. (PTTEP) แต่ทางฟิทช์ว่ายังคงอันดับเครดิตของปตท.ไว้ เนื่องจากการลงทุนดังกล่าวไม่ได้ส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินของ ปตท.อย่างมีนัยสำคัญ

หาก ปตท. หรือ ปตท.สผ. มีการลงทุนที่มีมูลค่าขนาดใหญ่หรือในระดับใกล้เคียงกับการเข้าซื้อโคฟจนกระทบให้ฐานะการเงินอ่อนแอลง และทำให้ความเสี่ยงต่อสถานะการเงินด้อยลง ทางฟิทช์อาจมีการพิจารณาแนวโน้มและอันดับเครดิตของ ปตท.ได้

"โดยปกติหากความเสี่ยงของปตท.สูงกว่าความเสี่ยงของประเทศ1 ขั้นยังถือว่าเป็นระดับปกติ ไม่ได้ปรับอันดับเครดิต แต่หากความเสี่ยงเกิน 2 ขั้นของความเสี่ยงของประเทศ ก็จะพิจารณาทบทวนอันดับเครดิต" นายเลิศชัย กล่าว

ทั้งนี้ ในช่วง 2-3 ปี พบว่าบริษัทน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของไทยและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเข้าไปซื้อกิจการในธุรกิจดังกล่าวจำนวนมากตามความต้องการที่เพิ่มขึ้น และเพื่อเพิ่มระดับปริมาณพลังงานสำรอง และต้นปีจนถึงเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา บริษัทในกลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิกเข้าไปซื้อกิจการคิดเป็นสัดส่วนของ 50% ของการซื้อทั่วโลก และยอดการซื้อกิจการเพียง 9 เดือนของปีนี้ คิดเป็น 90% ของมูลค่าการซื้อกิจการของในปีที่ผ่านมา และพบว่าบริษัทในจีนเป็นผู้ซื้อมากที่สุด สะท้อนให้เห็นความต้องการใช้พลังงานที่สูงของจีน จากระดับเศรษฐกิจมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก

อย่างไรก็ตาม ผลของการซื้อกิจการของบริษัทในกลุ่มภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกดังกล่าว แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่ออันดับเครดิต เนื่องจากบริษัทเหล่านี้มีฐานะการเงินแข็งแกร่งมาก และบางบริษัทมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรัฐบาลหรือมีรัฐบาลเป็นผู้ถือหุ้น ทำให้อันดับเครดิตของบริษัทเหล่านี้สอดคล้องกับอันดับเครดิตของประเทศนั้นๆ จึงไม่ได้มีการปรับลดอันดับเครดิตแต่อย่างใด

ด้านราคาหุ้น PTT ยังคงปรับตัวลง 1 บาท ปิดที่ 319 บาท มูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 767 ล้านบาท

น.ส.เพ็ญจันทร์ จริเกษม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มการเงินและการบัญชี ปตท.สผ. กล่าวว่าบริษัทรักษาวินัยทางการเงินโดยเคร่งครัด ในด้านโครงสร้างทางเงินทุนนั้น ประเมินว่าต้องมีเงินสดเพียงพอในการดำเนินงาน โดยจะรักษาเงินสดไว้ในระดับ 600 ล้านเหรียญสหรัฐ และรักษาอัตราหนี้สินต่อทุนไม่ให้เกิน 0.5 เท่า

"หากเราจะขยายงานแต่อันดับเครดิตรุ่งริ่ง ไปลงทุนที่ไหนคงไม่มีพันธมิตรที่ไหนอยากลงทุนกับเรา โดยมองว่าการเติบโตต้องไปพร้อมกับการรักษาอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทไว้"น.ส.เพ็ญจันทร์ กล่าว

นอกจากนี้ หลังการซื้อโคฟ เอนเนอร์ยี นั้น ได้มีการสื่อความกับบริษัทจัดอันดับเครดิตมาโดยตลอดทางสถาบันจัดอันดับไม่มีอะไรสอบถามมาเป็นพิเศษ เพราะบริษัทได้คุยได้อธิบายมาโดยตลอด

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 645

โพสต์

กลุ่ม ปตท. ร่วมงาน GASEX 2012 แลกเปลี่ยนข้อมูลการพัฒนาอุตสาหกรรมก๊าซธรรมชาติ
Source - ไทยโพสต์ (Th), Tuesday, October 23, 2012


กลุ่ม ปตท. และบริษัทพลังงานจาก 14 ประเทศในกลุ่มเอเชียแปซิฟิกตะวันตก ร่วมประชุมแลกเปลี่ยนข้อมูลการพัฒนาอุตสาหกรรมก๊าซธรรมชาติ และแสวงหาพันธมิตรทางธุรกิจในงาน GASEX 2012 ณ ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อเตรียมพร้อมรองรับการใช้พลังงานก๊าซธรรมชาติของโลกที่สูงขึ้น คาด 20 ปีข้างหน้าเอเชียจะเป็นภูมิภาคที่ใช้ก๊าซธรรมชาติสูงสุดของโลก ขณะที่ปริมาณสำรองก๊าซของประเทศไทยเริ่มลดลง ต้องเร่งจัดหาก๊าซ LNG จากต่างประเทศเพิ่มขึ้น เพื่อเสริมความมั่นคงทางพลังงานในระยะยาว

ชาครีย์ บูรณกานนท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กลุ่ม ปตท.ในฐานะกลุ่มบริษัทพลังงานแห่งชาติของไทย เข้าร่วมงานประชุมวิชาการและนิทรรศการระหว่างองค์กรอุตสาหกรรมก๊าซธรรมชาติในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกตะวันตก ครั้งที่ 12 (GASEX 2012 Conference & Exhibition) ระหว่างวันที่ 9-11 ตุลาคม 2555 ณ เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งนับเป็นโอกาสดีของไทยในการเข้าถึงข้อมูล และการขยายความร่วมมือด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมก๊าซ ร่วมกับบริษัทพลังงานชั้นนำจาก 14 ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกตะวันตก ซึ่งปัจจุบันยังคงมุ่งเน้นด้านการจัดหาก๊าซธรรมชาติเหลว หรือ LNG ให้เพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยคาดการณ์ว่าอีก 20 ปีข้างหน้า ก๊าซธรรมชาติจะเป็นพลังงานที่มีบทบาทเพิ่มขึ้น และมีความสำคัญเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากน้ำมัน โดยเฉพาะภูมิภาคเอเชียซึ่งจะเป็นตลาดที่มีความต้องการใช้ก๊าซสูงสุดในโลก โดยมีประเทศผู้บริโภคหลัก คือ จีน อินเดีย และญี่ปุ่น สำหรับประเทศไทยเริ่มนำเข้าก๊าซ LNG ตั้งแต่ปี 2554 โดยอิงราคาตลาดโลก เพื่อเป็นแหล่งพลังงานสำรองของประเทศรองรับความต้องการใช้ก๊าซที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเนื่องจากปริมาณก๊าซที่ผลิตได้ในประเทศไม่เพียงพอต่อความต้องการ รวมทั้งการนำเข้าก๊าซจากประเทศเพื่อนบ้านมีข้อจำกัดมากขึ้นทั้งนี้การร่วมงาน GASEX 2012 ของกลุ่ม ปตท. จึงนับเป็นโอกาสดีของไทยในการแสดงศักยภาพ และความพร้อมในการแสวงหาแหล่งก๊าซธรรมชาติใหม่ๆ ในต่างประเทศ โดยเฉพาะก๊าซ LNG ที่ถือเป็นพลังงานหลักของโลกในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งประเทศไทยมีข้อได้เปรียบด้านการมีสถานีรับ-จ่ายก๊าซ LNG เป็นแห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีภูมิศาสตร์ที่เป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาคที่สำคัญ

ทั้งนี้ กลุ่ม ปตท. ประกอบด้วย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน), บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) และบริษัท พีทีที อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เข้าร่วมงาน GASEX 2012 ซึ่งเป็นการประชุมองค์กรอุตสาหกรรมก๊าซธรรมชาติในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกตะวันตก จัดขึ้นทุก 2 ปี โดยมีสมาชิก 15 ประเทศ ประกอบด้วย ไทย ออสเตรเลีย บรูไน สาธารณรัฐประชาชนจีน ไต้หวัน ฮ่องกง อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เกาหลี มาเลเซีย นิวซีแลนด์ ปาปัวนิวกินี ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และเวียดนาม ทั้งนี้เพื่อเพิ่มความร่วมมือในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ พลังงาน และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกตะวันตก.

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 646

โพสต์

IRPCเดินหน้านิคมฯเชิงนิเวศน์ เพิ่มมูลค่าที่ดินเปล่า1.5หมื่นไร่
Source - ASTV ผู้จัดการรายวัน (Th), Wednesday, October 24, 2012


ASTVผู้จัดการรายวัน - นายอธิคม เติบศิริกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด(มหาชน) (IRPC) เปิดเผยแนวทางการจัดการสินทรัพย์ที่เป็นที่ดินเปล่ากว่า 1.5 หมื่นไร่เพื่อสร้างรายได้ว่า บริษัทมีแผนที่จะพัฒนาเป็นนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศน์รองรับอุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตร และพลังงานทดแทน

โดยที่ดินส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัดระยองกว่า 10,000 ไร่ ประกอบด้วย ที่ดินใน อ.บ้านค่าย2,200-2,500 ไร่, อ.วังจันทร์ อีก 3,000 กว่าไร่ต.เชิงเนิน 6,000-7000 ไร่ และยังมีที่ดินใน อ.จะนะ จังหวัดสงขลา 2,000 กว่าไร่ ซึ่งปัจจุบันการพัฒนานิคมฯที่บ้านค่ายได้ชะลอไปหลังจากศาลปกครองฯมีคำสั่งให้เพิกถอนประกาศการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.)ในการจัดตั้งเขตนิคมอุตสาหกรรมระยอง(บ้านค่าย)จนกว่าจะดำเนินการให้ครบถ้วนตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา 76 วรรค 2

ล่าสุดบริษัทฯได้รับ EHIA แล้วเมื่อเดือนเม.ย.-พ.ค. 2555 ซึ่ง กนอ.สามารถประกาศจัดตั้งนิคมฯใหม่อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ทางกนอ.จะอุทธรณ์คำสั่งศาลฯ เนื่องจากเห็นว่าขั้นตอนหรือกระบวนการปฏิบัติอาจก่อให้ปัญหาในอนาคต

สำหรับพื้นที่เชิงเนิน จ.ระยองนั้น ได้ดำเนินการในรูปแบบเขตประกอบการอุตสาหกรรมซึ่งรองรับการลงทุนโครงการต่อเนื่องภายใต้ฟินิกซ์ของไออาร์พีซี รวมทั้งมีการจัดสรรขายที่ดินให้กับผู้ประกอบการรายอื่นๆ ด้วยล่าสุดมีแผนจะสร้างคลังน้ำมันเพิ่มเติมเพื่อให้เช่าตามแผนสำรองน้ำมันยุทธศาสตร์ของรัฐบาล

ปัจจุบันเขตประกอบการฯเชิงเนินได้รับคัดเลือกเป็นพื้นที่ตัวอย่างจากกรมโรงงานเนื่องจากบริษัทฯดึงประชาชนในพื้นที่ นักวิชาการและเอ็นจีโอเข้ามามีส่วนร่วมในรูปแบบพหุภาคี และมีการประชุมร่วมมือกันตลอดทำให้เขตประกอบการดังกล่าวไม่มีปัญหามวลชนเหมือนในอดีต

ส่วนพื้นที่วังจันทร์นั้น เป็นพื้นที่เกษตรกรรมและใกล้แหล่งน้ำ ทางบริษัทฯมีแผนพัฒนาเป็นนิคมฯแปรรูปสินค้าเกษตร หรือทำเป็นศูนย์วิจัยด้านการเกษตร ซึ่งขณะนี้ได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์อยู่ระหว่างการศึกษาว่ามีพืชเกษตรใดบ้างที่เหมาะสม คุ้มค่าเชิงพาณิชย์บริษัทฯมีแผนจะพัฒนาพลังงานทดแทนในพื้นที่จะนะ จ.สงขลา โดยร่วมมือกับปตท.ในการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ รวมทั้งร่วมกับจีอีในการติดตั้งกังหันลม เพื่อทดสอบแรงลมในพื้นที่ดังกล่าว หากพบว่าศักยภาพดีก็จะพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังลมด้วย

นอกจากนี้ บริษัทยังมีการขายที่ดินที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ อาทิ ที่ดินปั๊มน้ำมันทีพีไอและอื่นๆ ทั้งในจังหวัดเชียงใหม่ ระยอง และกทม. ซึ่งมีพื้นที่รวมประมาณ 500 ไร่ด้วย

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 647

โพสต์

ปตท.เผยถือหุ้นรวม90.2%ธุรกิจถ่านหินในอินโดนีเซีย
Source กรุงเทพธุรกิจ (Th), Wednesday, October 24, 2012


บริษัทปตท.จำกัด(มหาชน) แจ้งตลาด หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)ว่าการทำคำเสนอซื้อหุ้นบริษัท Sakari Resources Limited (SAR) ซึ่งทำธุรกิจเหมืองถ่านหินในอินโดนีเซีย ได้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 22 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยได้เข้าถือหุ้นทั้งทางตรงและทางอ้อมรวม 90.2% จากเดิมที่ถืออยู่ 45.3% ใช้เงินลงทุน 960 ล้านเหรียญสิงคโปร์

การเสนอซื้อดังกล่าวโดยบริษัท PTT Mining Limited (PTTML) ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่ม PTT ได้ทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมดของ SAR ได้รับการตอบรับขายหุ้นทั้งสิ้นจำนวน 299.48 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน26.3% ของหุ้นทั้งหมด โดยใช้เงินลงทุน 561.6 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์

นอกจากนี้ PTTML ได้มาซึ่งหุ้น SAR จากการซื้อผ่านตลาดเป็นจำนวน 210.89 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 18.6% ของหุ้นทั้งหมด ใช้เงินลงทุน 397.8 ล้านเหรียญสิงคโปร์ ทำให้ PTTML มีสัดส่วนการถือหุ้น SAR รวมทั้งโดยตรงและโดยอ้อม คิดเป็นสัดส่วน 90.2% ของหุ้นทั้งหมด

เนื่องจากสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อยของ SAR ได้ลดลงจนต่ำกว่า 10% ของหุ้นทั้งหมดของ SAR ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์ที่จะดำรงสถานะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ตามกฎตลาดหลักทรัพย์ของประเทศสิงคโปร์

PTTML ขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาดำเนินการเพิกถอนหุ้น SAR ออกจากตลาดหลักทรัพย์ของประเทศสิงคโปร์ โดยการเพิกถอนหุ้นดังกล่าวจะต้องได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการบริษัทSAR และจากตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ก่อนดำเนินการ

ขณะที่ผู้ถือหุ้น SAR ที่ยังไม่ได้ตอบรับคำเสนอซื้อจะได้รับสิทธิการขายหุ้น SAR ให้ PTTML ในราคาและภายใต้เงื่อนไขเดียวกันกับคำเสนอซื้อ โดยมีระยะเวลาการขายหุ้น 3 เดือนนับจากวันที่ PTTML ได้ประกาศแจ้งสิทธิดังกล่าวต่อผู้ถือหุ้น SAR

ก่อนหน้านี้ บริษัท PTT Asia Pacific Mining Pty Ltd (PTTAPM) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ของ PTTML ถือหุ้นใน SAR คิดเป็นสัดส่วน 45.3% ของหุ้นทั้งหมด ขณะที่ SAR ทำเหมืองถ่านหิน Sebuku และ Jembayan ในอินโดนีเซีย ที่มีการผลิตแล้วและยังถือหุ้นในโครงการอื่นๆด้วย

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 648

โพสต์

TTCL ลุ้นซิวงาน 2 หมื่นล้าน สัญญาณเทคนิคแจ่ม-ต้าน 26 บ. [ ทันหุ้น, 24 ต.ค. 55 ]

TTCL ลุ้นผลประมูลงานไตรมาส 4/2555 อีก 17 โครงการ มูลค่ากว่า 7 หมื่นล้านบาท ตั้งเป้า
กวาดงานเข้ากระเป๋าไม่น้อยกว่า 30% ของมูลค่างานที่ร่วมประมูล หรือประมาณ 2 หมื่นล้านบาท เตรียม
รับรู้รายได้เพิ่มเติมอีก 10% จากงานในกาตาร์-พม่า โบรกจับสัญญาณเทคนิค ต้าน 26.00
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 649

โพสต์

QTC ทุ่ม 500 ล้านแตกไลน์ธุรกิจ ผุดพลังงานไฟฟ้า-ตั้งโรงงานพม่า ชี้รายได้ปีนี้โต 20%-ต้าน 4.60 บาท
ทันหุ้น, 24 ต.ค. 55

QTC คิดการณ์ใหญ่แตกไลน์ธุรกิจพลังงานไฟฟ้า วางงบลงทุนก้อนโต 400-500 ล้านบาท คาดได้ข้อ
สรุปต้นปีหน้าพร้อมศึกษาแผนลงทุนตั้งโรงงานหม้อแปลงเล็กในพม่า รองรับ AEC ด้านผู้บริหาร "พูลพิพัฒน์
ตันธนสิน" ลั่นปี 2555 รายได้พุ่งทะยาน 20% จากปีก่อน 717.79 ล้านบาท หลังมีแบ็กล็อกจ่อบุ๊กอื้อซ่าด้าน
โบรกเกอร์ ชี้ครึ่งปีหลังกำไรพุ่งกระฉูดเคาะเป้าไกล 4.60 บาท
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 650

โพสต์

SPPT ลุยธุรกิจพลังงาน ส่องหุ้นลุ้นต้าน 5.40 บาท [ ทันหุ้น, 26 ต.ค. 55 ]

SPPT จ้องฟาดกำไร Q3/2555 กระฉูดกว่า 130 ล้านบาท พร้อมเตรียมควักเงินทุนจับ
มือพันธมิตรลุยธุรกิจพลังงานขนาดใหญ่ คาดบอร์ดบริหารเตรียมแจกปันผลระหว่างกาลเอาใจผู้
ถือหุ้นอีก 0.25-0.30 บาทต่อหุ้น หลังประกาศงบไตรมาส 3/2555 พร้อมประเมินกำไรทั้งปี
2555 แตะระดับ 382.21 ล้านบาท


ปล.
SPPT - บริษัท ซิงเกิ้ล พอยท์ พาร์ท (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
ที่อยู่ : 41 หมู่ที่ 9 สวนอุตสาหกรรมโรจนะ ตำบลธนู อำเภออุทัย พระนครศรีอยุธยา
http://www.spp.co.th/
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 651

โพสต์

ปตท.สผ. Q3กำไรสุทธิ558ล้านดอลลาร์สรอ.สินทรัพย์รวม532,061ล้านบาท(17,258ล้านดอลล์)
Source - พิมพ์ไทย (Th), Friday, October 26, 2012


นายเทวินทร์ วงศ์วานิช (Mr. Tevin Vongvanich) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียมจำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 3 ปี2555 และผลการดำเนินงานตามแผนธุรกิจดังนี้

ปตท.สผ. และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 3 ปี 2555 รวม558 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 17,526 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 308 ล้านดอลลาร์ สรอ. หรือร้อยละ 123 เมื่อเปรียบเทียบกับกำไรสุทธิสำหรับไตรมาสก่อน จำนวน 250 ล้านดอลล่าร์ สรอ. (เทียบเท่า 7,733 ล้านบาท)โดยเป็นผลมาจากกำไรจากการดำเนินงานตามปกติ จำนวน 506 ล้านดอลลาร์สรอ. และกำไรจากรายการที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานปกติ (NonRecurring) จำนวน 52 ล้านดอลลาร์ สรอ.

สำหรับรายได้รวมของ ปตท.สผ. และบริษัทย่อยในไตรมาสนี้ มีจำนวน 1,820 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 57,083 ล้านบาท) เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อน จำนวน 1,667 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า52,164 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 153 ล้านดอลลาร์ สรอ. คิดเป็นเป็นร้อยละ9 โดยส่วนใหญ่เป็น ผลมาจากปริมาณการขายปิโตรเลียมเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น292,228 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณการขายเฉลี่ยสำหรับไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ที่ 263,441 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน โดยเป็นผลมาจากแหล่งบงกชใต้ซึ่งได้เริ่มการผลิตก๊าซฯ ตามกำหนดในสัญญาซื้อขายในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา รวมทั้งปริมาณการผลิตปิโตรเลียมที่เพิ่มขึ้นของแหล่งบงกชเหนือ และโครงการเวียดนาม 16-1

ผลการดำเนินงานงวดเก้าเดือนของ ปตท.สผ. และบริษัทย่อย ปี2555 มีกำไรสุทธิ 1,397 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 43,548 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 418 ล้านดอลลาร์ สรอ. หรือร้อยละ 43 เมื่อเปรียบเทียบกับกำไรสุทธิสำหรับงวดเก้าเดือนของปี 2554 จำนวน 979 ล้านดอลลาร์สรอ. (เทียบเท่า 29,599 ล้านบาท) โดยเป็นผลมาจากราคาขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ยที่เป็นเงินดอลลาร์ สรอ. สำหรับงวดเก้าเดือนของ ปี 2555 เพิ่มขึ้นเป็น 64.30 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบเมื่อเปรียบเทียบกับราคาขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ยสำหรับงวดเก้าเดือนของ ปี 2554 ที่ 53.68 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ

สำหรับปริมาณการขายปิโตรเลียมงวดเก้าเดือนของปี 2555 มีอัตราเฉลี่ย 269,776 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณการขายเฉลี่ยในงวดเก้าเดือนของปี 2554 ที่ 269,831 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน

สำหรับฐานะการเงินของ ปตท.สผ. และบริษัทย่อย ณ วันที่ 30 กันยายน 2555 มีสินทรัพย์รวมจำนวน 17,258 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 532,061 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นจำนวน 3,127 ล้านดอลลาร์ สรอ. เมื่อเปรียบเทียบกับ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2554 ซึ่งมีสินทรัพย์รวมจำนวน14,131 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 447,842 ล้านบาท)

ผลการดำเนินงานตามแผนธุรกิจ สามารถสรุปการดำเนินงานจากโครงการหลัก ๆ ได้ ดังนี้

ด้านการสำรวจ ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โครงการพีทีทีอีพีออสตราเลเซีย พบก๊าซธรรมชาติจากการเจาะหลุมประเมินผล Maple-2 ในแหล่ง Cash-Maple ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาวิเคราะห์ศักยภาพเชิงพาณิชย์ของโครงการ สำหรับ โครงการแอลจีเลีย ฮาสสิ เบอร์ ราเคซประสบความสำเร็จในการค้นพบน้ำมันดิบจากการเจาะหลุมสำรวจที่ 4 และ5 นอกจากนี้ โครงการพม่าเอ็ม 3 และ เอ็ม 11 อยู่ระหว่างการเตรียมการเจาะหลุมประเมินผลในแปลง M3 และหลุมสำรวจในแปลง M11

ด้านการพัฒนา การดำเนินงานก่อสร้างและการเตรียมความพร้อมสำหรับการผลิตโครงการมอนทารา มีความคืบหน้าตามลำดับ โดย ปตท.สผ.ได้รับการอนุมัติให้ดำเนินการเชื่อมต่อระบบและอุปกรณ์ผลิตที่เกี่ยวข้องในการผลิต ซึ่งคาดว่าจะสามารถเริ่มการผลิตน้ำมันดิบได้ในไตรมาสที่ 1 ปี2556 สำหรับการเรียกร้องค่าชดเชยจากเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลโดยรัฐบาลอินโดนีเซียนั้น ปตท.สผ.ยังคงเจรจากับรัฐบาลอินโดนีเซียอย่างต่อเนื่อง ซึ่งยึดหลักการที่จะพิสูจน์หลักฐานและผลกระทบ (หากมี) โดยใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์ต่อไป ส่วนการดำเนินคดีจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแหล่งมอนทาราที่ประเทศออสเตรเลียได้สิ้นสุดลงแล้ว โดย PTTEPAA ชำระค่าปรับตามกฎหมายจำนวน 510,000 ดอลลาร์ออสเตรเลีย (ประมาณ 15.3 ล้านบาท) ต่อหน่วยงานรัฐบาลออสเตรเลีย สำหรับ โครงการซอติก้า การก่อสร้างมีความคืบหน้ากว่าร้อยละ 38

ด้านการผลิต การดำเนินงาน โครงการบงกช นั้น แหล่งบงกชใต้สามารถผลิตก๊าซธรรมชาติตามสัญญาซื้อขายได้ในเดือนมิถุนายน 2555 ซึ่งทำให้อัตราการผลิตก๊าซฯโดยรวมของแหล่งบงกชเหนือและบงกชใต้ สูงขึ้นเป็นเฉลี่ยวันละ 900 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน สำหรับ โครงการแคนาดาออยล์ แซนด์ เคเคดี มีปริมาณการผลิต bitumen จากแหล่งเลสเมอร์ เฉลี่ยในไตรมาสนี้ประมาณ 16,300 บาร์เรลต่อวัน ส่วน โครงการโอมาน 44 ประสบความสำเร็จในการเจาะหลุมพัฒนาและหลุมประเมินผล ทำให้มีอัตราการผลิตน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 3 เท่า โดยคาดว่ามีอัตราการผลิตน้ำมันดิบและคอนเดนเสทโดยรวมของโครงการจะสูงขึ้นถึง 5,000 บาร์เรลต่อวัน โครงการเวียดนาม 16-1 ได้เริ่มการผลิตจากแท่นหลุมผลิตที่ 2 ของแหล่งเทจั๊กจั๋ง ทำให้สามารถเพิ่มการผลิตน้ำมันดิบจาก 41,000 บาร์เรลต่อวันเป็นประมาณ 55,000 บาร์เรลต่อวัน

การทำคำเสนอซื้อหุ้นในบริษัท Cove Energy Plc.PTTEP Africa Investment Limited หรือ PTTEP AI ประสบความสำเร็จในการซื้อหุ้นของบริษัท Cove โดยบรรลุเงื่อนไขตามคำเสนอซื้อครบถ้วนแล้ว รวมทั้งได้ขอเพิกถอนหุ้นของบริษัท Cove ออกจากตลาดหลักทรัพย์AIM เป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2555

การออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ ปตท.สผ.เมื่อวันที่ 27 กันยายน ที่ผ่านมา คณะกรรมการ ปตท.สผ. มีมติเป็นเอกฉันท์อนุมัติการเพิ่มทุนของบริษัทฯ โดยให้ดำเนินการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 650 ล้านหุ้น และกำหนดรูปแบบของการเพิ่มทุนโดยให้สิทธิผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ จองซื้อก่อน (Preferential Public Offering)ซึ่งผู้ที่มีสิทธิจองซื้อจะต้องมีชื่ออยู่ในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2555 ดังนั้น ผู้ที่สนใจสามารถซื้อหุ้นของบริษัทฯ ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2555 เพื่อจะได้มีชื่อในสมุดจดทะเบียนและมีสิทธิจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ ทั้งนี้การออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจะต้องได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 29 ตุลาคม 2555 นี้ เวลา 14.30 น. ณ ห้องบางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ลาดพร้าว

สำหรับราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจะเป็นราคาเดียวกันสำหรับผู้จองซื้อทุกราย ซึ่งจะกำหนดจากวิธีการสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์จากนักลงทุนสถาบัน (Bookbuilding) โดย ปตท. จะมิได้มีส่วนร่วมในการกำหนดราคาแต่อย่างใด

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 652

โพสต์

'อารักษ์'ฝากรมว.พลังงานคนใหม่เร่งมือปรับราคาแอลพีจี-เอ็นจีวี-ผุดโรงไฟฟ้า
Source - ข่าวสด (Th), Sunday, October 28, 2012


นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ รมว.พลังงาน กล่าวภายหลังเปิดงานแรลลี่ของสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ประจำปี 2555 "ZERO CARBON" ว่า มั่นใจว่านายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล ที่มีรายชื่อเป็น รมว.พลังงานคนใหม่ จะสามารถสานต่อนโยบายด้านพลังงานได้เป็นอย่างดี แม้ขณะนี้ยังไม่ได้มีการพูดคุยกัน แต่ส่วนตัวรู้จักกันดี ส่วนการทำงานที่ผ่านมาถือว่าได้ทำงานอย่างเต็มที่ และมองเรื่องการปรับเปลี่ยนตำแหน่งทางการเมืองเป็นเรื่องธรรมดา ที่จะปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม โดยขณะนี้ยังทำงานตามปกติ และยังไม่ได้หารือเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) กับนายกรัฐมนตรี

สำหรับงานที่ รมว.พลังงานคนใหม่จะต้องเร่งดำเนินการ คือเรื่องการปรับโครงสร้างราคาพลังงาน โดยเฉพาะราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ซึ่งกระทรวงพลังงานเตรียมข้อมูลไว้หมดแล้ว เหลือเพียงขั้นตอนการตัดสินใจในระดับนโยบายเท่านั้น ซึ่งต้องเร่งพิจารณาเพื่อให้ทันก่อนเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 หากดำเนินการได้เร็วจะทำให้ไทยเป็นผู้นำด้านพลังงานของภูมิภาค

นอกจากนี้ ต้องเพิ่มความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ ทั้งด้านการสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ การสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ตามแผนพัฒนาการผลิตไฟฟ้าระยะยาว (พีดีพี) ซึ่งจะต้องมีการประกาศประกวดราคาสำหรับโครงการไฟฟ้าภาคเอกชนรายใหญ่ (ไอพีพี) ที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จะต้องดำเนินการในเร็วๆ นี้

"ส่วนตัวยอมรับว่าห่วงในเรื่องการปรับโครงสร้างพลังงาน โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างเอ็นจีวีและแอลพีจี เพราะในปี 2558 ที่ก้าวเข้าสู่เออีซี หากไม่เร่งปรับโครงสร้างจะทำให้ไทยต้องใช้เงินไปอุดหนุนราคาพลังงานให้เพื่อนบ้านด้วย เพราะขณะนี้ไทยต้องสูญเสียงบประมาณแผ่นดินในการอุดหนุนราคาพลังงานมหาศาล โดยเฉพาะราคาแอลพีจีที่นำเข้า 1.5-17 แสนตัน/เดือน หรือประมาณ 2-3 พันล้านบาท/เดือน" นายอารักษ์กล่าว

ทั้งนี้ ไม่ว่าใครก็ตามจะมารับช่วงต่อเป็น รมว.พลังงาน ก็ต้องดำเนินการสานต่อในการปรับโครงสร้างราคาพลัง งาน ซึ่งนายพงษ์ศักดิ์ถือว่าเป็นรุ่นน้องคณะวิศวกรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถือเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถเป็นอย่างดี จึงเชื่อว่าเรื่องของพลังงานไม่น่าเป็นห่วง

สำหรับงานซีโร่คาร์บอนแรลลี่ ได้ใช้พื้นที่ ปตท. สำนักงานใหญ่ ปล่อยขบวนรถ โดยนายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท. ได้ร่วมงาน และกล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้เป็นไปตามกระแสโลกที่มีความเป็นห่วงเรื่องสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการที่สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจนำสมาชิกไปร่วมปลูกป่าโกงกาง ที่วิทยาลัยมหาดไทย อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ซึ่งช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ โดยการปลูกต้นไม้ 1 ต้น ดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 1 ตัน และในงานนี้ปลูก 600 ต้น จะดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้อย่างน้อย 600 ตัน

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 653

โพสต์

ปตท.เผยเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนการใช้พลังงานพุ่ง
Source กรุงเทพธุรกิจ (Th), Monday, October 29, 2012

ปตท. กังวลเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 อัตราการใช้พลังงานพุ่ง แนะทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเร่งให้ความรู้เรื่องโครงสร้างราคาพลังงาน เปิดข้อมูลจริงให้ประชาชนรับทราบ "ไพรินทร์ ชูโชติถาวร" ระบุ ปตท. พยายามขยายการลงทุนต่อเนื่อง สร้างความมั่นคงด้านแหล่งพลังงานให้ประเทศ ขยายตลาด-หาโอกาสการลงทุนใหม่ๆ ใน AEC

นับถอยหลังประเทศไทยและอีกหลายๆ ประเทศในกลุ่มอาเซียนจะรวมกลุ่มเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 เป็นประเด็นที่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ตระหนักอยู่เสมอในการเตรียมความพร้อมด้านพลังงานให้สอดคล้องกัน ระหว่างดีมานด์และซัพพลายของประเทศที่ตามอัตราการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจ

ดร.ไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)ระบุว่า การออกไปลงทุนของ ปตท. ในต่างประเทศส่วนหนึ่งเพื่อความเข้มแข็งของธุรกิจให้สามารถยืนหยัดต่อสู้ได้ในเวทีโลกแต่อีกมุมหนึ่งก็เพื่ออนาคตของประเทศไทยที่จะต้องมีพลังงานสำรองเพื่อความมั่นคง และเป็นหลักประกันที่สำคัญของการพัฒนาประเทศ เนื่องจากแหล่งพลังงานในประเทศไทยเริ่มมีปริมาณลดลงต่อเนื่องแหล่งน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยมีปริมาณสำรองที่ไม่มากนัก และไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้นตามการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจในอนาคต

"ก๊าซธรรมชาติจะเป็นพลังงานสำคัญที่จะขับเคลื่อนทั้งโลกต่อไปในอนาคต" ซีอีโอ ปตท. บอก

ดังนั้น ปตท. มีการเตรียมพร้อมแผนการจัดหาก๊าซฯไว้รองรับอยู่แล้ว โดยที่ผ่านมาได้ลงทุนสถานีรับจ่ายแอลเอ็นจีเฟสแรก ซึ่งถือเป็นแห่งแรกของภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ เบื้องต้นสามารถรองรับการนำเข้าแอลเอ็นจีได้ปีละ 5 ล้านตัน ซึ่งขณะนี้ได้เจรจาซื้อขายแอลเอ็นจีกับประเทศกาตาร์มาแล้ว 2 ล้านตัน และจะเจรจาเพิ่มกับประเทศออสเตรเลีย และ สหรัฐเพื่อให้ครบตามเป้าหมายที่กำหนดไว้

ขณะเดียวกัน ปตท. อยู่ระหว่างการดำเนินการทำแผนก่อสร้างสถานีรับแอลเอ็นจี ระยะที่ 2 ที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ใช้งบประมาณในการลงทุนประมาณ 25,000 ล้านบาท คาดว่าจะสร้างเสร็จในปี 2559 เพื่อรองรับการนำเข้าแอลเอ็นจีอีก 5 ล้านตันต่อปี จากนั้นก็จะมีการสร้างเฟสที่ 3 อีก แต่คงไปหาพื้นที่อื่นและอาจใช้วงเงินลงทุนมากกว่าเดิม เพราะต้องมีการสร้างสาธารณูปโภคใหม่ทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าขณะนี้ประเทศไทยจะยังไม่มีปัญหาการขาดแคลนพลังงาน แต่ในอนาคตเป็นความท้าทายอย่างมากในเรื่องการบริหารจัดการด้านพลังงาน เพราะมีการประเมินกันว่าไม่ช้าก็เร็วพลังงานฟอสซิลในโลกจะต้องหมดลงไป อย่างเช่น ถ่านหินที่แม้จะมีปริมาณสำรองใช้ได้อีกหลายร้อยปี ก๊าซธรรมชาติราวๆ 250 ปี หรือน้ำมันอีกไม่ถึง 100 ปี

สิ่งที่ทุกคนต้องตระหนักในวันนี้คือการใช้พลังงานอย่างรู้คุณค่า และที่สำคัญรัฐบาลควรจะให้การสนับสนุนให้ราคาพลังงานสอดคล้องกับต้นทุน เพื่อให้ประชาชนเกิดการใช้พลังงานอย่างประหยัด และรู้คุณค่า รัฐไม่ควรอุดหนุนราคาพลังงาน โดยไม่สะท้อนโครงสร้างและต้นทุนราคาพลังงานที่แท้จริง เพราะท้ายสุดแล้วจะทำให้ประชาชนไม่เกิดการตระหนักรู้ในเรื่องการประหยัดพลังงาน

ขณะเดียวกัน ควรจะมีการให้ข้อมูลที่ถูกต้องชัดเจนกับประชาชนเกี่ยวกับเรื่องราคาพลังงานในประเทศ และเหตุผลที่ประเทศไทยต้องอ้างอิงราคาน้ำมันในภูมิภาค ซึ่งเป็นรูปแบบการซื้อขายที่หลายๆ ประเทศในแถบนี้ใช้ปฏิบัติกันอยู่ ในส่วนของตลาดหลักของสหรัฐอเมริกา จะมีการซื้อขายในตลาดหลัก คือ เฮนรี่ ฮับ (Henry Hub) ที่มีลักษณะเป็นตลาดก๊าซเสรีที่การเปลี่ยนแปลงราคาขึ้นอยู่กับอุปสงค์-อุปทาน

เขาย้ำว่า การซื้อขายก๊าซธรรมชาติเหลวในภูมิภาคเอเชียนั้น ราคาก๊าซฯ ขึ้นอยู่กับอุปสงค์อุปทาน โดยญี่ปุ่นเป็นประเทศที่นำเข้าก๊าซแอลเอ็นจีมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือเกาหลีใต้ และจีนก็มีแผนเปิดสถานีรับแอนเอ็นจีขึ้น 3 แห่ง เพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหิน ซึ่งในอนาคตคาดการณ์ว่า จีนจะกลายเป็นประเทศที่เป็นผู้นำเข้าแอลเอ็นจีเป็นอันดับสองรองจากญี่ปุ่นในปี 2563

"ในเอเชียญี่ปุ่นเป็นผู้บริโภคก๊าซรายสำคัญ ทำไมเขาไม่อ้างอิงราคาจากเฮนรีฮับ ก็เหมือนเรากินพิชซ่าที่อเมริกา เราก็ต้องจ่ายแพงกว่ากินพิชซ่าในเมืองไทย เพราะมันคนละภูมิภาคกัน หรือเรากินข้าวในเมืองนอกทำไมถึงแพง แต่กินข้าวในเมืองไทยทำไมถึงถูกกว่า แล้วทำไมในเมืองนอกเขาไม่อิงราคาจากไทยล่ะ" เขาตั้งคำถามและบอกว่า

การลงทุนของ ปตท. แต่ละครั้งต้องใช้เม็ดเงินลงทุนที่ค่อนข้างสูง และไม่มีบริษัทอื่นๆ กล้าเข้ามาลงทุน เพราะธุรกิจนี้มีความเสี่ยงสูง เช่น ท่อส่งก๊าซคลังรับแอลเอ็นจี ซึ่งรัฐบาลเองได้มอบหมายให้เป็นภาระที่ ปตท. ต้องรับผิดชอบไป จึงไม่แปลกที่จะมีหลายๆ คนโจมตีว่า ปตท. ครองตลาดแต่เพียงผู้เดียวในไทย แต่อีกมุมหนึ่ง ปตท. เองก็ต้องแบกรับความเสี่ยงและต้องคอยบริหารความเสี่ยงให้ดีด้วย เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประเทศ และประชาชนผู้ใช้พลังงาน

ทั้งนี้ การที่หลายๆ ฝ่ายตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการลงทุนของ ปตท. ว่ามีลักษณะผูกขาดมากเกินไปจริงๆ แล้ว การลงทุนในไทยพร้อมเปิดกว้างให้รายอื่นๆ เข้ามาเป็นผู้เล่นด้วยเช่นกัน แต่ที่ผ่านมาก็ยังไม่มีใครกล้าเข้ามาลงทุน และ ปตท. ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาลโดยกระทรวงพลังงาน ก็ต้องรับภาระในส่วนนี้ไป

นอกจากนี้ ปตท. ก็เป็นบริษัทชั้นนำของไทยอีกหนึ่งบริษัทที่มีความพร้อมในด้านการแข่งขันกับบริษัทชั้นนำอื่นๆ ของโลก เพราะปัจจุบัน ปตท. มีการทำธุรกิจอยู่ในประเทศต่างๆ ทั่วโลกกว่า 30 ประเทศ และในโอกาสที่ใกล้การเปิดเสรีอาเซียนเข้ามาทุกขณะ ปตท. เองให้ความสนใจและตระหนักถึงความสำคัญของการที่ประเทศไทยจะเข้าร่วมเป็นหนึ่งในอาเซียน เพราะเป็นโอกาสและความท้าทายหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะการขยายตลาดเข้าสู่ตลาดใหม่ๆ ที่มีขนาดใหญ่จากจำนวนประชากรอาเซียนที่รวมกันแล้วกว่า 600 ล้านคน

ดร.ไพรินทร์ กล่าวว่า แม้ปัจจุบัน ปตท. จะมีการลงทุนอยู่ในประเทศต่างๆ ทั่วทุกภูมิภาคของโลก แต่อาเซียนก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ ปตท. ให้ความสนใจและจะให้น้ำหนักการลงทุนมากขึ้นนับจากนี้ เพราะเห็นว่าในหลายๆ ประเทศในกลุ่มอาเซียนนั้นมีศักยภาพและเป็นตลาดใหญ่

"ปตท. ตระหนักและเตรียมความพร้อมเรื่องนี้ไว้แล้ว เรามีการตั้งหน่วยงานใหม่ที่ดูแลเฉพาะเรื่องอาเซียนเป็นหลัก เพราะขณะนี้ทั่วโลกต่างมุ่งมาทางเอเชีย เนื่องจากเศรษฐกิจในยุโรปที่กำลังอยู่ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและอเมริกาที่ไม่ค่อยดีมากนัก ซึ่งภูมิภาคอาเซียนถือว่ากำลังได้รับความสนใจมากที่สุด เพราะที่มีประชากรรวมกันกว่า 600 ล้านคน ทำให้เราสามารถขยายตลาดได้มากขึ้นอีก"

ปัจจุบัน ปตท. ดำเนินธุรกิจอยู่ในธุรกิจหลักได้แก่ ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ธุรกิจน้ำมัน ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น อาเซียนจะช่วยสนับสนุนในเรื่องของการทำการเทรดดิ้งได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ปตท. เองก็จะสามารถเดินหน้าตามแผนได้ง่ายขึ้นและรวดเร็วยิ่งขึ้นโดยเฉพาะในส่วนของธุรกิจการค้าระหว่างประเทศที่มีสัดส่วนน้อยอยู่ในขณะนี้

การขยายธุรกิจไปยังอาเซียนนั้น ธุรกิจค้าปลีกน้ำมันจะมีการขยับขยายออกไปจากในประเทศมากขึ้น ซึ่งในลาว พม่า เป็นตลาดที่ ปตท. ให้ความสนใจเป็นพิเศษ ขณะที่ตลาดอินโดนีเซียก็มีความน่าสนใจในเรื่องของพลังงานทดแทน อย่างการปลูกปาล์มน้ำมันและธุรกิจถ่านหิน และก่อนหน้านี้ก็มีบริษัทในกลุ่ม ปตท. อย่าง ปตท.สผ. เข้าไปลงทุนในส่วนของธุรกิจก๊าซธรรมชาติ

"การลงทุนในอาเซียน ความตั้งใจของ ปตท. เองจะมีการเข้าไปลงทุนตั้งแต่ธุรกิจต้นน้ำถึงปลายน้ำ เพื่อให้การลงทุนของ ปตท. ครบวงจรมากยิ่งขึ้นในกลุ่มประเทศอาเซียน และรองรับกับการขยายตัวของตลาด"

อย่างไรก็ตาม หากประชาชนในประเทศไทยไม่ทำความเข้าใจเกี่ยวกับความจำเป็นและการจัดหาพลังงานจากทั่วโลกอย่างที่ ปตท. กำลังดำเนินการอยู่ และนับวันพลังงานจากทั่วโลกยิ่งหายากขึ้นๆ ทุกที ก็เชื่อว่าประเทศไทยจะต้องประสบปัญหาหลายๆ อย่างในอนาคต และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ประชาชนไม่เห็นคุณค่าของพลังงาน และตราบที่หลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องยังไม่ทำให้ราคาพลังงานสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง รวมทั้งยังมีการอุดหนุนราคาพลังงานอยู่ ยังจะยิ่งทำให้ประชาชนไม่ช่วยกันประหยัดพลังงาน รัฐบาลเองจะต้องประสบกับปัญหาการจัดหางบประมาณเพื่อใช้อุดหนุนเป็นจำนวนที่มากขึ้น ประเทศไทยก็จะมีปัญหาพลังงานไม่เพียงพอต่อความต้องการในอนาคตอย่างแน่นอน

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 654

โพสต์

ปตท.เปิดโฉมปั๊มใหม่นำร่อง สปป.ลาว ปั้นแบรนด์ค้าปลีก PTT บุกอาเซียนรับเออีซี

ปตท. เปิดปั๊มน้ำมันโฉมใหม่ บริการครบวงจรแห่งแรก ใน สปป.ลาว ด้วยรูปแบบ PTT Life Station ตอบสนองไลฟสไตล์ของคนรุ่นใหม่ เตรียมขยายเพิ่มเป็น 60 แห่ง ในปี 2560 พร้อมปั้นแบรนด์ ปตท. ขึ้นแท่นระดับชั้นนำในอาเซียน รองรับการขยายลงทุนเปิดเสรี เออีซี ปี 2558

วันนี้ (29 ต.ค.2555) บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน)ได้เปิดสถานีบริการน้ำมัน ปตท. ณ หนองแต่ง กรุงเวียงจันทน์ สปป.ลาว อย่างเป็นทางการ โดยมี ดร. นาม วิยะเกด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า สปป.ลาว และ ดร.ไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ร่วมเป็นประธาน สถานีบริการน้ำมันแห่งนี้ถือเป็นสถานีบริการน้ำมันในรูปแบบ Platinum ตามแนวคิด PTT Life Station แห่งแรกใน สปป.ลาว และในต่างประเทศ เพื่อสร้างแบรนด์ ปตท. ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นในภูมิภาค รองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน

ดร.ไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ประเทศเพื่อนบ้านและกลุ่มอาเซียนถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพสำหรับการขยายธุรกิจเพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายการเป็นบริษัทพลังงานไทยข้ามชาติชั้นนำที่ ปตท. ได้วางไว้ การเปิดสถานีบริการน้ำมันขนาดใหญ่ตามแนวคิด PTT Life Station ซึ่งประสบความสำเร็จมากในประเทศไทยขึ้นที่ สปป.ลาว ถือเป็นการนำร่องการลงทุนด้านค้าปลีกน้ำมันของ ปตท.ไปยังประเทศเพื่อนบ้านซึ่ง สปป.ลาว นับเป็นประเทศที่มีศักยภาพและมีความได้เปรียบในการเป็น Land Link เนื่องจากมีทำเลที่เชื่อมกับประเทศอื่น ๆทั้งเวียดนาม กัมพูชา และจีน ซึ่งเศรษฐกิจกำลังมีอัตราการเติบโตที่สูง โดยเฉพาะจีน ซึ่งถือว่าเป็นตลาดขนาดใหญ่ มีประชากรถึง 1,500 ล้านคน นอกจากนี้ ปตท. ยังสนใจลงทุนในประเทศที่ยังมีตลาดที่สามารถเติบโต อาทิ พม่าและฟิลิปปินส์อีกด้วย

ปตท.มีแผนที่จะลงทุนค้าปลีกน้ำมันในอาเซียนระยะ 5 ปีแรก (ปี 2555-2559) ประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาท โดยมีแผนขยายปั๊มใน สปป. ลาว จากปัจจุบันที่มีอยู่ 20 แห่งเป็น 60 แห่งภายในปี 2560 ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุนไม่น้อยกว่า 800 ล้านบาท และมีเป้าหมายที่จะขยายส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นเป็นอันดับที่ 2 จากปัจจุบันมียอดขาย 150 ล้านลิตรต่อปี หรือมีส่วนแบ่งการตลาดที่ 13% หรืออยู่ที่ 3 รองจากบริษัทเชื้อไฟลาวและปิโตรเวียดนาม

ดร.ไพรินทร์กล่าวว่า ปตท.มีนโยบายที่จะไปลงทุนธุรกิจค้าปลีกน้ำมันในอาเซียนนับจากนี้ไปอย่างชัดเจนมากขึ้น โดยมีเป้าหมายจะต้องเป็น1 ใน 3 อันดับแรกของแบรนด์ค้าปลีกน้ำมันในประเทศนั้นๆ ซึ่งไม่ได้มองแค่การทำตลาดน้ำมันและน้ำมันหล่อลื่นหากแต่ยังมองค้าปลีกอื่นที่จะไปทำตลาดพร้อมกับสถานีบริการน้ำมัน เช่น ร้าน Café Amazon ร้านสะดวกซื้อจิฟฟี่ เป็นต้น

สำหรับสถานีบริการน้ำมัน ปตท. ที่หนองแต่งนี้ ถือเป็นสถานีบริการน้ำมันครบวงจรรูปแบบ PTT Life Station หรือ “สถานีเติมความสุข” แห่งแรกที่ ปตท. ดำเนินการนอกประเทศไทย และถือเป็นแห่งแรกใน สปป.ลาว ซึ่งไม่เพียงแต่จะให้บริการผลิตภัณฑ์น้ำมันเชื้อเพลิงคุณภาพ ด้วยการบริการที่มีมาตรฐานเดียวกับสถานีบริการน้ำมัน ปตท. ในประเทศไทยแล้ว ยังสามารถเป็นจุดแวะพักเพื่อเติมความสุขสำหรับผู้เดินทางด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและร้านค้าครบวงจร ไม่ว่าจะเป็น ศูนย์บริการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ศูนย์บริการล้างอัดฉีดและตรวจเช็คระบบแอร์รถ และระบบการควบคุมตู้จ่ายน้ำมันด้วยระบบคอมพิวเตอร์ที่ทันสมัยและได้มาตรฐานจากประเทศไทย รวมทั้ง ร้าน กาแฟอเมซอน (Cafe Amazon) จากเมืองไทย รวมทั้งยังมีร้านค้าและบริการที่เป็นแบรนด์ท้องถิ่น อาทิ บริการด้านการเงินและร้านค้าสะดวกซื้อ เป็นต้น

นอกจากนี้ ปตท. ยังให้ความสำคัญกับการดูแลชุมชนและสิ่งแวดล้อมด้วยการนำโครงการจากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเข้ามาปรับใช้ที่สถานีบริการแห่งนี้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการปลูกหญ้าแฝกเพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์และบำรุงดิน และการติดตั้งกังหันน้ำชัยพัฒนาเพื่อปรับปรุงคุณภาพน้ำในสระด้านหน้าสถานีบริการซึ่งถือเป็นการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ให้เป็นที่รับรู้อย่างกว้างขวางในต่างประเทศ โดย สปป.ลาวเป็นประเทศที่ 4 ที่ได้นำกังหันน้ำชัยพัฒนาไปติดตั้ง และ ปตท. ยังได้มอบกรวยยางจราจรเพื่อสนับสนุนการจัดการจราจรในนครเวียงจันทน์อีกด้วย
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 655

โพสต์

ปตท.สผ.หั่นเป้าผลิตเหลือ6แสนบาร์เรล/วัน
Source กรุงเทพธุรกิจ (Th), Tuesday, October 30, 2012


ผู้ถือหุ้น ปตท.สผ. อนุมัติเพิ่มทุน ไม่เกิน 650 ล้านหุ้น มั่นใจเพิ่มทุนสำเร็จในปีนี้ ระดมเงิน 9.8 หมื่นล้านบาท เพื่อนำเงินไปชำระค่าหุ้นโคฟ เอ็นเนอร์ยี่ เล็งหั่นเป้ากำลังผลิตปิโตรเลียมปี 2563 เหลือ 6 แสนบาร์เรลต่อวัน จากเดิม 9 แสนบาร์เรลต่อวัน

นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (หรือ ปตท.สผ.) เปิดเผยว่าการประชุมผู้ถือหุ้นวานนี้ (29 ต.ค.) อนุมัติแผนเพิ่มทุนไม่เกิน 650 ล้านหุ้น โดยเสนอขายผู้ถือหุ้นเดิม

ทั้งนี้ สัดส่วนและราคาขายหุ้นจะกำหนดภายหลัง โดยหลังเพิ่มทุนจะทำให้ทุนจดทะเบียนเพิ่มเป็น 3.97 พันล้านบาท จากเดิมที่ 3.32 พันล้านบาท

นายเทวินทร์กล่าวว่าการเพิ่มทุนครั้งนี้ เพื่อระดมทุนราว 9.8 หมื่นล้านบาท จะสำเร็จในปีนี้ ซึ่งการระดมทุนดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของแผนที่วางไว้ว่าจะช่วยผลักดันให้การผลิตปิโตรเลียม เป็นไปตามเป้าหมายที่ 9 แสนบาร์เรล/วัน ในปี 2563

"เป้าหมายการผลิตปิโตรเลียมที่ระดับ 9 แสนบาร์เรลต่อวัน นั้น มีความเป็นไปได้ประมาณ 15-20% เป็นเป้าหมายของเรา โอกาสจะไปถึงได้นั้นก็มี แต่ต้องใช้กำลังค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างทางการเงินที่แข็งแกร่ง คนที่มีความสามารถ และโอกาสซื้อกิจการ ขณะนี้มองปี 2020 กำลังผลิตที่ 6 แสนบาร์เรลต่อวัน เป็นไปได้ค่อนข้างมากกว่า" นายเทวินทร์ กล่าว

สำหรับแผนระดมทุนดังกล่าว ปตท.สผ. คาดว่าจะได้เม็ดเงินราว 9.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งนำเงินส่วนหนึ่งไปชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินซึ่งใช้ซื้อหุ้น Cove Energy Plc. และชำระค่าใช้จ่ายโดยมีวงเงินกู้ 950 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง ส่วนที่เหลือจะนำไปใช้เพื่อการดำเนินธุรกิจโดยทั่วไปของบริษัท ทั้งในการสำรวจพัฒนาและผลิตปิโตรเลียม ตลอดจนการขยายกิจการ

ทั้งนี้ การซื้อกิจการโคฟด้วยวงเงินสูงถึงราว 6 หมื่นล้านบาท เป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันให้มีการผลิตปิโตรเลียมให้ได้ตามเป้าหมาย 9 แสนบาร์เรลต่อวัน ในปี 2563 จากประมาณ 3 แสนบาร์เรลต่อวัน ในปัจจุบัน เนื่องจากสินทรัพย์ของโคฟถือว่าดี แต่ ปตท.สผ. ยังต้องลงทุนอีกมากสำหรับการพัฒนาแหล่งผลิตปิโตรเลียมที่จะเริ่มใน 7-8 ปีข้างหน้า

นายเทวินทร์ กล่าวอีกว่า หาก ปตท.สผ.เพิ่มทุนเสร็จภายในปลายปีนี้ จะส่งผลให้หนี้สินต่อทุนลดลง จากระดับ 0.77 เท่า เหลือ 0.35 เท่า เพราะจะนำเงินบางส่วนที่ได้จากการเพิ่มทุน ไปชำระหนี้ระยะสั้นที่ใช้ในการซื้อหุ้นโคฟ

สำหรับเป้าหมายการผลิตและจำหน่ายปิโตรเลียมในปีนี้ จะยังอยู่ระดับใกล้เคียง 2.8 แสนบาร์เรลต่อวัน ซึ่งเป็นเป้าหมายของบริษัท เนื่องจากมีการผลิตเพิ่มขึ้นจากแหล่งบงกชใต้และเวียดนาม แต่ก็ได้รับผลกระทบจากการผลิตของโครงการมอนทารา ในออสเตรเลียที่ล่าช้าไปเป็นช่วงเดือนก.พ. 2556 จากเดิมที่คาดว่าจะผลิตในปลายปีนี้

ราคาหุ้น ปตท.สผ. หรือ PTTEP ปิดตลาดเมื่อวานนี้ (29 ต.ค.) เพิ่มขึ้น 5.50 บาท หรือ 3.53% อยู่ที่ 161.50 บาท มูลค่าการซื้อขายสูงสุด 1,846.43 ล้านบาท ในขณะที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ปรับลดลง 2.24 จุด หรือ 0.17% อยู่ที่ 1,279.57 จุด

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 656

โพสต์

PTTGCงบครึ่งปีหลังเริ่ด
Source - ข่าวหุ้น (Th), Tuesday, October 30, 2012
กรุงเทพฯ--30 ต.ค.--ข่าวหุ้น



กำไรQ3พุ่ง1.18หมื่นล.

"บวร" ส่งซิกกำไรครึ่งปีหลังสูงกว่าครึ่งปีแรก ภายใต้เงื่อนไขไม่มีสต๊อกลอสและราคาน้ำมันทรงตัวที่ 100เหรียญฯ ย้ำรายได้ปีนี้เข้าเป้า 4 แสนล้านบาท โบรกฯปรับคำแนะนำเป็นซื้อ คาดQ3 พลิกขาดทุนเป็นกำไรสุทธิ 1.18 หมื่นล้านบาท

นายบวร วงศ์สินอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC เปิดเผยว่า บริษัทคาดการณ์ว่าในช่วงครึ่งปีหลังหากไม่มีปัญหาเรื่องขาดทุนสต๊อกน้ำมัน (Stock Loss) และราคาน้ำมันยังทรงตัวอยู่ในสมมติฐานที่ 100 เหรียญสหรัฐขึ้นไป รวมถึงราคาผลิตภัณฑ์ยังทรงตัวอยู่ในระดับปัจจุบัน บริษัทน่าจะมีกำไรในช่วงครึ่งปีหลังมากกว่าครึ่งปีแรก

ขณะที่รายได้ปีนี้ยังเป็นไปตามเป้าหมายเดิมคือ 4 แสนล้านบาท ส่วนการปรับสูตรราคาก๊าซระหว่าง PTT และ IRPC ส่งผลกระทบต่อต้นทุนเพียงเล็กน้อย และบริษัทยังสามารถแข่งขันในธุรกิจได้เหมือนเดิม ทั้งนี้ มองว่าการปรับสูตรราคาใหม่ทำให้เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น โดยบริษัทจะใช้สูตรราคาใหม่ไปจนถึงปี 2563

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) ระบุว่า คาดกำไรสุทธิงวดไตรมาส 3/55 เท่ากับ 1.18 หมื่นล้านบาท เติบโตอย่างมีนัยเทียบกับในงวดไตรมาส 2/55 ที่มีกำไรสุทธิเพียง 851 ล้านบาท โดยการปรับตัวเพิ่มขึ้นของกำไรในงวดไตรมาส 3/55 เป็นผลมาจากการบันทึกกำไรจากสต๊อกน้ำมันและผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ (stock gain) รวมถึงบันทึกกลับการตีมูลค่าสต๊อกน้ำมันคงคลังโดยวิธี Lower Cost or Market (LCM) รวมเป็นจำนวน 3.1 พันล้านบาท เทียบกับบันทึกขาดทุนจากรายการดังกล่าวในงวดไตรมาส 2/55 ที่ 6.2 พันล้านบาท

อีกทั้งคาดจะมีการบันทึกรายการพิเศษกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนอีกราว 850 ล้านบาท ตามค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น หากพิจารณาแนวโน้มกำไรจากการดำเนินงานปกติโดยรวมในงวดไตรมาส 3/55 พบว่าปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน ซึ่งเป็นผลมาจากค่าการกลั่นตลาด (Market GRM) ที่คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ในระดับ 6 เหรียญต่อบาร์เรล เทียบกับ 4.3 เหรียญต่อบาร์เรล ในงวดที่ผ่านมา

ขณะที่ส่วนต่างราคา (Spread) ผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ที่ปรับตัวสูงขึ้นถึง 21% จากไตรมาสก่อน มาอยู่ที่ 230 เหรียญต่อตัน (Market to Feed Margin) ส่วนปริมาณขายผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ทรงตัว และปริมาณการขายผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์ที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ LLDPE และ LDPE ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ Spread ผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์โดยเฉลี่ยยังคงอ่อนตัวลงเล็กน้อย

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) คาดการณ์ PTTGC จะมีกำไรสุทธิไตรมาส 3/55 เพิ่มขึ้น 1,317% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 94% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ได้แรงหนุนจากธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันที่ฟื้นตัวจากค่าการกลั่นพื้นฐานที่เพิ่มตามอุปทานน้ำมันสำเร็จรูปที่ขาดแคลนจากฤดูกาลปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นในภูมิภาค และเหตุการณ์เพลิงไหม้โรงกลั่น Amuay ในประเทศเวเนซุเอลา รวมถึงราคาน้ำมันดิบสูงขึ้นเป็นผลให้มีการบันทึกกำไรจากสต๊อกน้ำมัน

นอกจากนี้ ผลประกอบการยังได้ผลบวกจากธุรกิจปิโตรเคมีสายโอเลฟินส์มีปริมาณการผลิตและจำหน่ายเม็ดพลาสติก LLDPE เพิ่มขึ้นจาก 77% ในไตรมาส 2/55 เป็น 110% และเม็ดพลาสติก LDPE จาก 98% เป็น 110% ตามความต้องการใช้จากผู้ผลิตปลายน้ำที่เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการผลิตในปลายปี แม้ว่าเม็ดพลาสติก HDPE ลดลงเล็กน้อยจาก 101% เหลือ 95% จากการปิดซ่อมบำรุงตามแผนงาน 20 วัน และส่วนต่างราคาอ่อนตัวเล็กน้อยโดย LLDPE กับแนฟทาอยู่ที่ 426 เหรียญ/ตัน (ลดลง5% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 12% จากงวดเดียวกันปีก่อน) LDPE กับแนฟทา 412 เหรียญต่อตัน HDPE กับ แนฟทา 428 เหรียญตัน

สำหรับธุรกิจปิโตรเคมีสายอะโรเมติกส์ดีขึ้นจากส่วนต่างราคาพาราไซลีนกับคอนเดนเสทที่เพิ่มเป็น 517 เหรียญต่อตันจากแรงหนุนของผลิต PTA เบนซีนกับคอนเดนเสท 264 เหรียญ/ตันจากอุปทานลดลงและความต้องการของโรงงาน SM ฟื้นตัว ประกอบกับราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายระดับต่ำเพียง 8.1 เท่า P/E ratio ปี 2556 ถูกกว่าอย่างมีนัยสำคัญจากค่าเฉลี่ยในภูมิภาคที่ 12.3 เท่า ขณะที่ PTTGC ยังมีความได้เปรียบคู่แข่งจากการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตสารโอเลฟินส์ อีกทั้งยังมีแผนขยายกำลังการผลิตสารโอเลฟินส์และเม็ดพลาสติกภายในปี 2556 ในด้านเงินปันผลอยู่ในระดับน่าสนใจด้วยผลตอบแทน 4.6% ปี 2555 และ 4.9% ปี 2556ดังนั้น ปรับคำแนะนำจาก “ถือ" เป็น “ซื้อ" เปลี่ยนมูลค่าพื้นฐานเป็นปี 2556 ที่ 75 บาท

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 657

โพสต์

เซอร์ไพรส์ไทยงัดแผนขยายคลังแก๊สแอลพีจีเขาบ่อยา-สระบุรี
Source - ประชาชาติธุรกิจ (Th), Wednesday, October 31, 2012


ปตท.เดินหน้าขยายคลังแอลพีจี เร่งศึกษาวางระบบท่อขนส่ง "เขาบ่อยา" เชื่อม "คลังสระบุรี" ปี’56 ได้ข้อสรุปชัวร์ พร้อมอัดงบฯ 3,000 ล้านบาท ปรับปรุงปัมทั่วประเทศให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน

นายสรัญ รังคสิริ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจน้ำมัน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การขยายคลังก๊าซปิโตรเลียมเหลว หรือแอลพีจี ขณะนี้มีความคืบหน้าได้ข้อสรุปแล้ว จะแบ่งดำเนินงานเป็น 2 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 การขยายคลังแอลพีจี "เขาบ่อยา" จังหวัดชลบุรี จะขยายท่าเรือและสร้างถังเย็นเก็บแอลพีจี 20,000 ตัน เพิ่มขึ้นอีก 2 ใบ ใช้เวลาก่อสร้าง 3 ปี ระยะที่ 2 อยู่ระหว่างการศึกษาถึงความคุ้มค่าการลงทุนระหว่างการสร้างคลังแอลพีจีแห่งใหม่ หรือวางท่อขนส่งแอลพีจีจากเขาบ่อยามายังคลังแอลพีจี จังหวัดสระบุรี โดยขยายคลังสระบุรีเพิ่มเพื่อรองรับความต้องการแอลพีจีเพิ่มในภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ

ซึ่งการวางท่อไปยังคลังสระบุรีเป็นแนวทางที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด เนื่องจากมีต้นทุนต่ำกว่าการสร้างคลังแห่งใหม่เกือบครึ่งหนึ่ง ไม่ต้องสร้างท่าเรือหรือซื้อหัวจักรกับโบกี้ขนส่งทางรถไฟเพิ่ม มีเพียงต้นทุนการวางท่อ และสร้างถังเก็บแอลพีจีขนาด 3,000 ตัน เพิ่มอีก 3 ใบ ส่วนการเวนคืนที่ดินเพื่อวางท่อแอลพีจีนั้นจะมีไม่มาก เพราะเป็นการวางท่อในที่ดินของรัฐประมาณ 80-90% ผลการศึกษาจะแล้วเสร็จปี 2556 จากนั้นจึงจะสามารถหาข้อสรุปได้

นายสรัญกล่าวว่า แผนการลงทุนปี 2556 ปตท.จะยังไม่เน้นเปิดสถานีบริการแอลพีจีในประเทศเพิ่มเติม แต่จะเน้นปรับปรุงคุณภาพน้ำมันและสถานีบริการที่มีอยู่เดิมให้มีมาตรฐานใหม่และรูปลักษณ์ทันสมัย ปัจจุบันได้ปรับปรุงสถานีบริการไปแล้ว 70% จากทั้งหมดที่มีอยู่ทั่วประเทศ 1,300 แห่ง ส่วนที่เหลือจะทยอยปรับปรุงให้แล้วเสร็จโดยเร็ว รวมถึงเน้นแผนต่อยอดธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน (น็อนออยล์) ให้มากขึ้น ได้เตรียมงบประมาณไว้ 2,000-3,000 ล้านบาท ปรับปรุงสถานีบริการภายในประเทศให้มีมาตรฐานเดียวกัน

ทั้งนี้กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ได้รายงานปริมาณการใช้แอลพีจีในประเทศ 9 เดือนแรก ระหว่างมกราคม-กันยายน 2555 ยังคงขยายตัวจากเดียวกันกับปีก่อน 7% หรือใช้เฉลี่ยเดือนละ 6.05 แสนตัน ทำให้ประเทศต้องนำเข้าเฉลี่ยเดือนละ 1.48 แสนตัน เพิ่มขึ้น 34.5% ดังนั้นจึงได้พยายามวางแผนควบคุมปริมาณการนำช่วงไตรมาส 4 ระหว่าง ตุลาคม-ธันวาคม นี้ ไม่ให้เกินเดือนละ 1.8 แสนตัน เนื่องจากคลังจัดเก็บ ของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ที่เขาบ่อยา มีจำกัด สามารถรองรับได้เพียงเดือนละ 1.3 แสนตัน ส่วนที่เหลืออีก 5 แสนตัน โดยใช้เรือลอยลำนำเข้ามาและหากต้องนำเข้ามากกว่านี้จะส่งผลถึงค่าใช้จ่ายจะเพิ่มมากขึ้นด้วย

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 658

โพสต์

นำเข้าLPGปีหน้าทะลุ2ล้านตัน ใช้เรือเป็นคลังลอยลำ/จับตาก๊าซเอ็นจีวีขาดแคลน
Source - ฐานเศรษฐกิจ (Th), Wednesday, October 31, 2012


กระทรวงพลังงานประเมินยอดนำเข้าแอลพีจีปีหน้าพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ทะลุ 2 ล้านตัน ยอมรับการจัดหาเหนื่อยแน่ ต้องใช้เรือเป็นคลังลอยลำทุกเดือน ภาระตกหนักที่ปตท.ต้องแบกต้นทุนการเงินในการจ่ายชดเชยล่าช้า พร้อมจับตาก๊าซเอ็นจีวี มีสิทธิ์เกิดขาดแคลน หลังกำลังการผลิตเริ่มเต็มเพดาน ปตท.ยังไม่มีแผนลงทุนจัดหาเพิ่ม รอความชัดเจนนโยบายให้เอกชนลงทุนแทน

นายวีระพล จิรประดิษฐกุล อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า จากการประเมินความต้องการใช้ก๊าซหุงต้มหรือแอลพีจีในทุกภาคส่วนที่เกิดขึ้นขณะนี้ ทำให้คาดการณ์ว่าในปีหน้าประเทศจะประสบปัญหาในการจัดหาก๊าซแอลพีจีอย่างหนัก หากรัฐบาลไม่มีมาตรการปรับราคาแอลพีจีในภาคครัวเรือนที่ตรึงอยู่ 18.13 บาทต่อกิโลกรัม และภาคขนส่ง 21.38 บาทต่อกิโลกรัม จะส่งผลให้ต้องนำเข้าก๊าซแอลพีจีเพิ่มขึ้นในระดับอย่างต่ำเดือนละ 1.8 แสนตัน หรือทั้งปีจะอยู่ที่ประมาณ 2.16 ล้านตัน จากที่ปีนี้นำเข้าเฉลี่ยเดือนละประมาณ 1.49 แสนตัน หรือทั้งปีประมาณ 1.7-1.8 ล้านตัน เมื่อเทียบกับปีก่อนนำเข้า 1.43 ล้านตัน

"จากระดับปริมาณการนำเข้าแอลพีจีดังกล่าว จะส่งผลให้ต้องเช่าเรือขนาด 4.4 หมื่นตันมาเป็นคลังแอลพีจีลอยน้ำทุกเดือน เนื่องจากคลังที่เขาบ่อยา จังหวัดชลบุรี รองรับการนำเข้าได้เพียง 1.3 แสนตันต่อเดือนเท่านั้น ซึ่งหากบริหารจัดการไม่ดีหรือเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝัน จะส่งผลให้เกิดการขาดแคลนก๊าซแอลพีจีขึ้นได้ ขณะเดียวกันจะสร้างภาระให้กับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง จากการชดเชยส่วนต่างราคานำเข้าเพิ่มขึ้นด้วย จากที่ปีนี้ประเมินว่าไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นล้านบาท"

นอกจากนี้ยังจะสร้างภาระทางการเงินให้กับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้นำเข้าก๊าซแอลพีจีเพิ่มมากขึ้นตามด้วย โดยในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมามีมูลค่าการนำเข้า 4.1 หมื่นล้านบาท แม้ว่าการนำเข้าจะได้รับเงินชดเชยส่วนต่างราคาของเนื้อก๊าซก็ตาม แต่ต้องแบกรับภาระดอก เบี้ยเอง ซึ่งกว่าจะได้เงินคืนต้องใช้เวลาในการตรวจสอบเอกสารหลายขั้นตอนไม่ต่ำกว่า 2-3 เดือน ทำให้ปตท.ต้องแบกรับภาระทางการเงินเป็นเวลานาน ยิ่งต้องใช้เรือลอยลำทุกเดือน จะส่งผลให้แบกรับภาระเพิ่มขึ้นอีก เมื่อเทียบกับปีนี้ที่มีบางเดือนเท่านั้นที่ใช้เรือลอยลำ

"เวลานี้แม้ว่าระเบียบจะเปิดให้เอกชนนำเข้าแอลพีจีแล้วก็ตาม เพื่อแก้ปัญหาคลังแอลพีจีที่เขาบ่อยาไม่เพียงพอ แต่ไม่มีเอกชนรายใดสนใจนำเข้า เนื่องจากระยะเวลาในการเบิกจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างราคานำเข้ากินระยะเวลานาน ต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยเอง ซึ่งทางกระทรวงพลังงานพยายามแก้ไขในจุดนี้ จากเดิมที่ใช้เวลาพิจารณา 6 เดือน ปรับลดลงมาเหลือ 2-3 เดือน ก็ตาม"

นายวีระพล กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ในปีหน้าอาจจะได้เห็นสัญญาณว่าปริมาณก๊าซแอลพีจีที่นำไปใช้ในภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมีอาจจะไม่เพียงพอ เนื่องจากเวลานี้โรงแยกก๊าซธรรมชาติ หน่วยที่ 6 ซึ่งออกแบบมาเพื่อรองรับปิโตรเคมี กำลังการผลิตใกล้จะเต็ม 100% รองรับปิโตรเคมีได้เท่าที่มีอยู่ในปัจจุบันเท่านั้น หากจะมีโรงงานปิโตรเคมีเกิดขึ้นไป คงต้องไปใช้แอลพีจีนำเข้าหรือแนฟทาเป็นวัตถุดิบแทน

ส่วนความต้องการใช้ก๊าซเอ็นจีวีในรถยนต์นั้น ขณะนี้เพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับ 7.9 - 8 พันตันต่อวัน หรือเติบโตจากช่วงปีก่อน 18% ซึ่งเต็มความสามารถในการจัดหาของปตท.ที่ดำเนินการอยู่ในเวลานี้ ขณะที่กระทรวงพลังงานยังไม่เห็นแผน การลงทุนในการจัดหาก๊าซเอ็นจีวีเพิ่มเติมว่าจะรองรับความต้องการใช้ในปีหน้าได้อย่างไร หากปริมาณรถยนต์เอ็นจีวีเพิ่มขึ้น ก็อาจจะได้เห็นปัญหาการขาดแคลนเอ็นจีวีในปีหน้า

แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ขณะนี้กระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างหารือนโยบายการปล่อยเสรีในการดำเนินธุรกิจก๊าซเอ็นจีวี ที่จะให้เอกชนเข้ามาดำเนินการแทน โดยปตท.จะเป็นเพียงผู้จำหน่ายแต่เนื้อก๊าซเท่านั้น เพื่อลดภาระในการลงทุนก่อ สร้างสถานีบริการเอ็นจีวี และแก้ปัญหาขาดแคลน รวมถึงราคาขายปลีกเอ็นจีวีที่แท้จริง ซึ่งทำให้ ปตท.ชะลอการลงทุนก่อสร้างสถานีแม่ ที่เป็นหัวใจหลักในการป้อนก๊าซให้กับสถานีลูกออกไป

ดังนั้น เมื่อกำลังการจัดหาเอ็นจีวีใกล้จะเต็ม ในขณะที่ความต้องการใช้เพิ่มขึ้น ก็จะส่งผลให้ก๊าซเอ็นจีวีเกิดการขาดแคลนในปีหน้าได้ เพราะขณะการหารือเรื่องโครงสร้างราคาก๊าซเอ็นจีวีที่ปตท.จะจำหน่ายให้กับเอกชนยังไม่ได้ข้อยุติ



ที่มา: หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับวันที่ 1 - 3 พ.ย. 2555--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 659

โพสต์

โรงไฟฟ้าเทคโนโลยีถ่านหินสะอาดทางรอดวิกฤติพลังงานชาติไทย

อาจารย์สุรพันธ์ วงษ์โอภาสี นักวิชาการด้านพลังงานและเลขาธิการศูนย์พัฒนาการใช้ถ่านหินแห่งประเทศไทย ได้อธิบายยุทธศาสตร์การพัฒนาพลังงานในภาพรวมว่า มีเรื่องที่ควรพิจารณาอยู่ 4 ด้าน ได้แก่
1.ด้านเศรษฐศาสตร์ ที่คำนึงถึงต้นทุนการผลิตเพื่อให้ผู้ใช้ได้ใช้ไฟที่คุ้มค่าราคาถูก
2.ด้านสิ่งแวดล้อม มุ่งเน้นการผลิตไฟฟ้าที่ไม่ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม
3.ด้านเทคโนโลยี เน้นความพร้อมและสามารถนำมาใช้ได้จริง และ
4.ด้านความมั่นคงทางพลังงาน เชื้อเพลิงต้องมีปริมาณสำรองมากพอที่จะผลิตไฟฟ้าได้อย่างมั่นคง

การกำหนดยุทธศาสตร์พลังงาน จึงควรมองให้ครบทั้ง 4 ด้าน ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละประเทศจะมุ่งเน้นเรื่องไหน สำหรับประเทศไทยมีการใช้ก๊าซธรรมชาติผลิตไฟฟ้าสูงถึงเกือบ 70% และมีอัตราการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 4-5% พบว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดเพิ่มขึ้นจาก 23,900 เมกะวัตต์ ในปี 2554 เป็น 26,121 เมกะวัตต์ ในปี 2555 ในขณะที่ปริมาณกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองลดลงจาก 24.17% ในปี 2554 เหลือ 16.95% ในปี 2555 หากไม่มีการสร้างโรงไฟฟ้าเพื่อรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น อีกประมาณ 3-4 ปี ประเทศไทยก็จะมีไฟฟ้าไม่พอใช้และเกิดไฟฟ้าดับในวงกว้าง (Blackout) ด้วยเหตุผลนี้ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องมีโรงไฟฟ้าจากการใช้เชื้อเพลิงที่หลากหลาย เพื่อความมั่นคงทางด้านพลังงาน รวมถึงการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเพิ่มขึ้น เนื่องจากการสร้างโรงไฟฟ้าประเภทอื่นไม่สามารถผลิตไฟฟ้าให้เพียงพอกับความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งถ่านหินมีปริมาณสำรองที่มากพอสำหรับรองรับการผลิตไฟฟ้าในระยะยาว
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 660

โพสต์

การประชุมวิชาการ 2012 ESI Conference and Exhibition
สมาคมอุตสาหกรรมไฟฟ้าแห่งประเทศไทย จะจัดงานประชุมวิชาการ 2012 ESI Conference and Exhibition ขึ้นระหว่างวันที่ 6 – 7 พฤศจิกายน 2555 ณ สำนักงานใหญ่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย โดยจะจัดบรรยายในห้วข้อเรื่อง “Power Management Beyond Tomorrow” เพื่อพัฒนาความรู้ความก้าวหน้าทางวิศวกรรมด้านการผลิต ส่งและจำหน่ายไฟฟ้า รวมถึงส่งเสริมประสบการณ์และพัฒนาทางด้านวิศวกรรมของสมาชิก เพื่อให้เกิดสาธารณประโยชน์แก่หน่วยงานและสังคม
http://www.eng.kmutnb.ac.th/home/images ... 1012_6.pdf



การเสวนานโยบายเศรษฐกิจพลังงานเพื่อสังคมประจำปี เรื่อง อนาคตพลังงานไทยกับการเข้าสู่ AEC: เพียงพอ หรือขาดแคลน?
บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ ศูนย์บริการวิชาการ มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒนจะจัดการเสวนานโยบายเศรษฐกิจพลังงานเพื่อสังคมประจำปี เรื่อง อนาคตพลังงานไทยกับการเข้าสู่ AEC: เพียงพอ หรือขาดแคลน? ในวันพุธที่ 21 พฤศจิกายน 2555 เวลา 8.00 -12.00 น. ณ ห้องแลนด์มาร์ค บอลรูม ชั้น 7 โรงแรมแลนด์มาร์ค กรุงเทพฯ เพื่อเป็นการสื่อความกับสาธารณะชนในประเด็นด้านนโยบายพลังงานที่ได้รับความสนใจและส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง เพื่อแสวงหาแนวทางร่วมกันในการนำเสนอวิธีการบริหารจัดการและลดการใช้พลังงาน (Demand Side Management) อย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพสูงสุดและเพื่อเป็นเวทีอิสระในการแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแนวทางการกำหนดนโยบายพลังงานของประเทศที่เหมาะสม
http://www.eng.kmutnb.ac.th/home/images ... 1012_3.pdf
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."