ร่วมสนุกชิงรางวัล
- Mon money
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 3134
- ผู้ติดตาม: 0
ร่วมสนุกชิงรางวัล
โพสต์ที่ 1
เนื่องจากในงาน TVI meeting ครั้งที่2 ได้มีการแจกหนังสือ Value Investing Made Easy ของ Jannet Lowe ไปหนึ่งเล่ม ทางทีมงานมีอีกหนึ่งเล่ม จึงมีความประสงค์จะสมนาคุณสมาชิกของทางwebsite ในการนี้จึงขอเชิญสมาชิกที่ลงทะเบียนแล้วทุกท่านร่วมกัน
- เขียนบทความในหัวข้อเรื่อง "ได้อะไรจากการลงทุน" ไม่จำกัดว่าเป็นการลงทุนแบบใด
- รูปแบบการเขียน Free style อย่างไรก็ได้ ตามความคิดเห็นของท่าน
- ความยาวของบทความไม่เกิน 2 หน้ากระดาษ A4 โดยประมาณ โดยเขียนลงในกระทู้นี้
- ปิดส่งบทความในวันที่ 30 ตุลาคม 2546
- บทความของท่านใดได้รับการVoteจากเหล่าสมาชิกด้วยกัน(หลังจากปิดรับบทความแล้ว จะทำVoteโดยให้เวลา 2 อาทิตย์) จะได้รับหนังสือValue Investing Made Easy ของ Jannet Lowe ไปครอบครอง พร้อมด้วยความภูมิใจเล็ก
-ขอย้ำว่าท่านสามารถเขียนตามความเห็นของท่าน ไม่จำเป็นต้องใส่เนื้อหาทางวิชาการใดๆลงไป เขียนตามความรู้สึกนึกคิดของท่านเอง
-มีข้อสงสัยประการใด สอบถามได้ที่ [email protected]
หวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะมีเพื่อนสมาชิกเข้ามาร่วมสนุกกับเรานะครับ
- เขียนบทความในหัวข้อเรื่อง "ได้อะไรจากการลงทุน" ไม่จำกัดว่าเป็นการลงทุนแบบใด
- รูปแบบการเขียน Free style อย่างไรก็ได้ ตามความคิดเห็นของท่าน
- ความยาวของบทความไม่เกิน 2 หน้ากระดาษ A4 โดยประมาณ โดยเขียนลงในกระทู้นี้
- ปิดส่งบทความในวันที่ 30 ตุลาคม 2546
- บทความของท่านใดได้รับการVoteจากเหล่าสมาชิกด้วยกัน(หลังจากปิดรับบทความแล้ว จะทำVoteโดยให้เวลา 2 อาทิตย์) จะได้รับหนังสือValue Investing Made Easy ของ Jannet Lowe ไปครอบครอง พร้อมด้วยความภูมิใจเล็ก
-ขอย้ำว่าท่านสามารถเขียนตามความเห็นของท่าน ไม่จำเป็นต้องใส่เนื้อหาทางวิชาการใดๆลงไป เขียนตามความรู้สึกนึกคิดของท่านเอง
-มีข้อสงสัยประการใด สอบถามได้ที่ [email protected]
หวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะมีเพื่อนสมาชิกเข้ามาร่วมสนุกกับเรานะครับ
แก้ไขล่าสุดโดย Mon money เมื่อ จันทร์ พ.ย. 24, 2003 11:11 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
- ปรัชญา1
- Verified User
- โพสต์: 1092
- ผู้ติดตาม: 0
ร่วมสนุกชิงรางวัล
โพสต์ที่ 2
ลองเขียน ไม่อยากได้รางวัลนะครับ
อ่อนภาษาอังกฤษอ่านลำบากไม่อยากแปลครับ
เก็บเอาความทรงจำเก่าๆ มาเล่าต่อ
การลงทุนได้อะไร
ในชีวิตผมนะครับ การลงทุนเริ่มแรกสมัยนั้นก็ได้...
1. รู้จัก บริษัทหลักทรัพย์ รู้จักมาร์เก็ตติ้ง และรู้จักนิสัยใจคอคนเรามากขึ้น เมื่อก่อนตอนดัชนีสูงๆและหลายๆคนที่เป็นเพื่อนก็เล่นมาร์จิ้น
หลายคนติดหนี้บริษัทหลักทรัพย์ เอาตั๋วเงินฝากค้ำ เอาบ้านมาค้ำ เอาที่ดินว่างเปล่ามาค้ำ หรือจะพูดตามภาษาชาวบ้านขนทรัพย์สินที่มีมาวางเล่นมาร์จิ้น ตอนหุ้นขึ้นไม่มีปัญหาหรอกครับ ตอนหุ้นลงนี่ล่ะ เราจะได้เห็นนิสัยคนรอบข้างได้ดี เริ่มจากมาร์เก็ตติ้ง คนที่เคยพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน ก็เริ่มจะออกอาการห้วนๆหรือบางทีไม่ยอมรับโทรศัพท์เราเลย
ผู้จัดการห้องค้าก็เชิญเพื่อนเราไปประนอมหนี้เกลี้ยกล่อม ทั้งขู่
ทั้งปลอบ จากคนเคยสนิทกัน-กินข้าวด้วยกัน เป็นเพื่อนกัน ก็เริ่มกลับทางเหมือนหน้ามือเป็นหลังเท้า หนี้หลังจากจับหุ้นขายแล้ว ยึดทรัพย์แล้ว เหลือมูลหนี้น้อยก็ทำสัญญาผ่อนเอาเป็นรายเดือนละเท่าไหร่
ก็ว่ากันไป ถ้าหนี้เยอะก็ขึ้นศาลฟ้องร้องดำเนินคดีกันไป ซึ่งผมก็ไม่ได้ตามข่าว กลัวว่าไปถามเซ้าซี้จะเป็นการไปทำให้คนรู้จักกันเขาคิดว่า...เราไปเยาะเย้ยถากถางและซ้ำเติมเขาทำนองนั้น
สุภาษิตมีอยู่ ของใครไม่รุ้ขอยืมมาหน่อย
ยามมั่งมี มิตรมากมาย มุ่งหมายมอง
ยามมัวหมอง มิตรหมางเมิน เหมือนหมูหมา
เมื่อยามจน หมดมิตร มุ่งมองมา
ไม่มีเงิน แม้นหมูหมา ไม่มามอง
ก็คนเหล่านั้น รวมถึงผมด้วยเป็นนักเก็งกำไร แต่..ลืมเก็งขาดทุนพวกนักวิเคราะห์บรรดาอาจารย์หุ้นผู้มีวิชาแก่กล้าสมัยนั้น
เขาไม่ได้สอนให้คนเล่นหุ้นตามห้องค้าบ้านนอกคัตล๊อต
แต่เขาสอนให้ถัวเฉลี่ย เมื่อหุ้นลงมา10% 20% 30% 40%
ก็เข้าไปถัวเฉลี่ยกันจนเงินหรือวงเงินเต็ม
พอวงเงินเต็มไม่มีเงินมาซื้อถัวเฉลี่ย บัญชีมาร์จิ้น
เมื่อมูลค่าหุ้นลดลงถึงระดับ ไม่มีเงินมาวางเพิ่ม
ไม่มีทรัพย์สินมาวางเพิ่ม ก็ถึงระดับเวลาที่จะจับหุ้น
ของ...นักเล่นทุน นำหุ้นออกขาย จากการจับขายของคนที่1
เมื่อหุ้นลดลงอีก ก็ถึงคิวคนที่2. -3. -4. -5. -10 -100
หุ้นก็ลงกันไปเรื่อยๆ
จะไปโทษใครได้
นอกจากโทษตัวเอง
ว่าดันโง่ไปเชื่อการสอนของบรรดา นักวิเคราะห์ อาจารย์กราฟทั้งหลาย
ถึงแนวรับ ก็โดดเข้าไปรับ หลุดแนวรับ ก็ขายทิ้ง
บอกขายช๊อตได้เงินทอน แต่หุ้นยังเหลือเท่าเดิม
น่าจะถามตัวเองว่า ..พวกที่บอกเราสอนเราทั้งหลาย
มีใครกำเงินมาร่วมลงทุนกับเราบ้าง
พวกนี้น่าจะตั้งสมญานามให้ว่า....เซียนข้างกระดาน
การลงทุนเหมือนการเดินทาง ออกล่าสมบัติ
ตลอดเส้นทาง เราอาจได้ยิน....
เสียงหมาเห่า (พวกขี้อิจฉามันด่าเราต่อหน้าและลับหลัง)
เสียงจิ้งจก(ร้องทัก-อ้าว...ระวังตัวด้วย)
เสียงนกแก้วเจื้อยแจ้ว(เสียงยกย่อชมเชยประจบสอพลอ)
เสียงฟ้าร้อง(การส่งสัญญาณของทางหน่วยงานราชการ)
และเสียงกระซิบจากสายลม(คือข่าวอินไซด์ ข่าวลือ ข่าวโครมลอย)
มีความอยาก ความโลภ ความกลัว ความเชื่อ ความเกลียด
สุดท้ายความจดจำ เป็นตำนานของการเดินทาง
--------------------------------------------------------------------------
เขียนเรียงความไม่เป็นครับ คุณมนตรี
ขอเขียนแค่นี้ละ
ร่วมสนับสนุนรายการครับ
ถ้าผู้อ่านไม่อยากเจอเหตุการณ์แบบข้างบน
ควรระมัดระวังการลงทุน
ถ้าเป็นไปได้ควรลงทุน แนววอเรนบัฟเฟ่
จะปลอดภัยเงินต้นและได้ดอกผลตามกาลเวลาที่เหมาะสม
ถึงจะกำไรช้าหรือแพ้ดัชนี
แต่ระยะยาวน่าจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า.......นักผจญภัย
ด้วยความหวังจะได้เห็นเพื่อนๆนักลงทุน
ประสบความสำเร็จในการลงทุนทุกท่าน
---------------------------------------------------------------------------
หากไม่ตรงตามเจตนาของผู้ตั้งกระทู้ ลบข้อความนี้ทิ้งด้วยครับ
ขอบคุณ
อ่อนภาษาอังกฤษอ่านลำบากไม่อยากแปลครับ
เก็บเอาความทรงจำเก่าๆ มาเล่าต่อ
การลงทุนได้อะไร
ในชีวิตผมนะครับ การลงทุนเริ่มแรกสมัยนั้นก็ได้...
1. รู้จัก บริษัทหลักทรัพย์ รู้จักมาร์เก็ตติ้ง และรู้จักนิสัยใจคอคนเรามากขึ้น เมื่อก่อนตอนดัชนีสูงๆและหลายๆคนที่เป็นเพื่อนก็เล่นมาร์จิ้น
หลายคนติดหนี้บริษัทหลักทรัพย์ เอาตั๋วเงินฝากค้ำ เอาบ้านมาค้ำ เอาที่ดินว่างเปล่ามาค้ำ หรือจะพูดตามภาษาชาวบ้านขนทรัพย์สินที่มีมาวางเล่นมาร์จิ้น ตอนหุ้นขึ้นไม่มีปัญหาหรอกครับ ตอนหุ้นลงนี่ล่ะ เราจะได้เห็นนิสัยคนรอบข้างได้ดี เริ่มจากมาร์เก็ตติ้ง คนที่เคยพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน ก็เริ่มจะออกอาการห้วนๆหรือบางทีไม่ยอมรับโทรศัพท์เราเลย
ผู้จัดการห้องค้าก็เชิญเพื่อนเราไปประนอมหนี้เกลี้ยกล่อม ทั้งขู่
ทั้งปลอบ จากคนเคยสนิทกัน-กินข้าวด้วยกัน เป็นเพื่อนกัน ก็เริ่มกลับทางเหมือนหน้ามือเป็นหลังเท้า หนี้หลังจากจับหุ้นขายแล้ว ยึดทรัพย์แล้ว เหลือมูลหนี้น้อยก็ทำสัญญาผ่อนเอาเป็นรายเดือนละเท่าไหร่
ก็ว่ากันไป ถ้าหนี้เยอะก็ขึ้นศาลฟ้องร้องดำเนินคดีกันไป ซึ่งผมก็ไม่ได้ตามข่าว กลัวว่าไปถามเซ้าซี้จะเป็นการไปทำให้คนรู้จักกันเขาคิดว่า...เราไปเยาะเย้ยถากถางและซ้ำเติมเขาทำนองนั้น
สุภาษิตมีอยู่ ของใครไม่รุ้ขอยืมมาหน่อย
ยามมั่งมี มิตรมากมาย มุ่งหมายมอง
ยามมัวหมอง มิตรหมางเมิน เหมือนหมูหมา
เมื่อยามจน หมดมิตร มุ่งมองมา
ไม่มีเงิน แม้นหมูหมา ไม่มามอง
ก็คนเหล่านั้น รวมถึงผมด้วยเป็นนักเก็งกำไร แต่..ลืมเก็งขาดทุนพวกนักวิเคราะห์บรรดาอาจารย์หุ้นผู้มีวิชาแก่กล้าสมัยนั้น
เขาไม่ได้สอนให้คนเล่นหุ้นตามห้องค้าบ้านนอกคัตล๊อต
แต่เขาสอนให้ถัวเฉลี่ย เมื่อหุ้นลงมา10% 20% 30% 40%
ก็เข้าไปถัวเฉลี่ยกันจนเงินหรือวงเงินเต็ม
พอวงเงินเต็มไม่มีเงินมาซื้อถัวเฉลี่ย บัญชีมาร์จิ้น
เมื่อมูลค่าหุ้นลดลงถึงระดับ ไม่มีเงินมาวางเพิ่ม
ไม่มีทรัพย์สินมาวางเพิ่ม ก็ถึงระดับเวลาที่จะจับหุ้น
ของ...นักเล่นทุน นำหุ้นออกขาย จากการจับขายของคนที่1
เมื่อหุ้นลดลงอีก ก็ถึงคิวคนที่2. -3. -4. -5. -10 -100
หุ้นก็ลงกันไปเรื่อยๆ
จะไปโทษใครได้
นอกจากโทษตัวเอง
ว่าดันโง่ไปเชื่อการสอนของบรรดา นักวิเคราะห์ อาจารย์กราฟทั้งหลาย
ถึงแนวรับ ก็โดดเข้าไปรับ หลุดแนวรับ ก็ขายทิ้ง
บอกขายช๊อตได้เงินทอน แต่หุ้นยังเหลือเท่าเดิม
น่าจะถามตัวเองว่า ..พวกที่บอกเราสอนเราทั้งหลาย
มีใครกำเงินมาร่วมลงทุนกับเราบ้าง
พวกนี้น่าจะตั้งสมญานามให้ว่า....เซียนข้างกระดาน
การลงทุนเหมือนการเดินทาง ออกล่าสมบัติ
ตลอดเส้นทาง เราอาจได้ยิน....
เสียงหมาเห่า (พวกขี้อิจฉามันด่าเราต่อหน้าและลับหลัง)
เสียงจิ้งจก(ร้องทัก-อ้าว...ระวังตัวด้วย)
เสียงนกแก้วเจื้อยแจ้ว(เสียงยกย่อชมเชยประจบสอพลอ)
เสียงฟ้าร้อง(การส่งสัญญาณของทางหน่วยงานราชการ)
และเสียงกระซิบจากสายลม(คือข่าวอินไซด์ ข่าวลือ ข่าวโครมลอย)
มีความอยาก ความโลภ ความกลัว ความเชื่อ ความเกลียด
สุดท้ายความจดจำ เป็นตำนานของการเดินทาง
--------------------------------------------------------------------------
เขียนเรียงความไม่เป็นครับ คุณมนตรี
ขอเขียนแค่นี้ละ
ร่วมสนับสนุนรายการครับ
ถ้าผู้อ่านไม่อยากเจอเหตุการณ์แบบข้างบน
ควรระมัดระวังการลงทุน
ถ้าเป็นไปได้ควรลงทุน แนววอเรนบัฟเฟ่
จะปลอดภัยเงินต้นและได้ดอกผลตามกาลเวลาที่เหมาะสม
ถึงจะกำไรช้าหรือแพ้ดัชนี
แต่ระยะยาวน่าจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า.......นักผจญภัย
ด้วยความหวังจะได้เห็นเพื่อนๆนักลงทุน
ประสบความสำเร็จในการลงทุนทุกท่าน
---------------------------------------------------------------------------
หากไม่ตรงตามเจตนาของผู้ตั้งกระทู้ ลบข้อความนี้ทิ้งด้วยครับ
ขอบคุณ
ฝันถึง วัน ฟ้าสวย...... อยากร่ำรวย-ด้วยเล่นหุ้น
ฝัน เป็น นักลงทุน..... ลุ้นความหวัง-ความตั้งใจ
ฝัน เป็น นักลงทุน..... ลุ้นความหวัง-ความตั้งใจ
-
- Verified User
- โพสต์: 27
- ผู้ติดตาม: 0
ร่วมสนุกชิงรางวัล
โพสต์ที่ 3
ขอร่วมสนุกด้วยคนน่ะครับ ไม่ได้เขียนโดยใช้หลักวิชาการใด ๆ มาอ้างอิง เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนบุคคลในการมองชีวิตกับการลงทุน และไม่ใช่เรื่องซีเรียส แต่เป็นเพียงเรื่องเล่าตามความรู้สึกนึกคิดเท่านั้นเอง...
ได้อะไรจากการลงทุน ?
ก่อนที่จะกล่าวถึงผลลัพธ์ที่ได้จากการลงทุน เราควรที่จะหันมาพินิจพิจารณาถึงคำว่า การลงทุน ให้เป็นที่เข้าใจตรงกันเสียก่อน และแน่นอนย่อมเป็นความหมายที่กำหนดขึ้นตามความรู้สึกนึกคิดของกระผมเอง เมื่อพูดถึงคำว่า ลงทุน นั่นหมายถึงการที่ต้องสูญเสียสิ่งใดสิ่งหนึ่งก่อนที่จะได้รับกลับคืน และไม่ได้หมายความว่าผลลัพธ์ที่ได้รับกลับมานั้นจะคุ้มค่าเสมอไป มันอาจจะไม่ได้รับสิ่งใดกลับคืนมาเลย มันอาจจะได้รับกลับมาน้อยกว่าที่เสีย หรือมันอาจจะได้รับกลับมามากกว่าที่เสียไป แต่ทุกคนเมื่อตัดสินใจลงทุนแล้วก็มักที่จะหวังให้ผลลัพธ์ที่ได้กลับคืนมามากกว่าที่เสียไป ดังนั้น การลงทุน จึงหมายถึง การนำสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สิน เงินทอง กำลังความคิด แรงกาย และ/หรือแรงใจ ไปดำเนินกิจกรรมหนึ่ง เพื่อ ความหวัง ที่จะได้รับ ผลตอบแทน ที่คุ้มค่า จากคำนิยามข้างต้นจึงพอสรุปได้ว่า สิ่งที่ได้จากการลงทุน คือ ความหวัง และ ผลตอบแทนจากการลงทุน
ที่นี้เราลองมาศึกษาความสัมพันธ์ของคำว่า การลงทุน ความหวัง และผลตอบแทนจากการลงทุน ว่า มีความเชื่อมโยงกันอย่างไร กระผมขอฟันธงไปเลยว่าการลงทุนจะเกิดขึ้นได้ยาก หรือประสบความสำเร็จได้ลำบากมาก หากไม่มีความหวังมากำหนดกรอบและทิศทางของการลงทุน และความหวังที่ว่านั้นก็จะยังคงอยู่ต่อไปตลอดระยะเวลาของการดำเนินกิจกรรมทางการลงทุน เพียงแต่อาจจะเพิ่ม ลด หรือสิ้นหวังแล้วแต่ว่าการดำเนินกิจกรรมทางการลงทุนนั้นราบรื่น หรืออุปสรรคมากน้อยเพียงใด โดยมีผลตอบแทนจากการลงทุนเป็นดัชนีชี้วัดความสำเร็จ ซึ่งดัชนีชี้วัดนี้จะถูกวิเคราะห์ และคาดการณ์ล่วงหน้าเพื่อใช้เป็นเป้าหมายก่อนการตัดสินใจเลือกรูปแบบทางการลงทุน ต่อจากนั้นจะมีการปรับค่าดัชนีชี้วัดนี้เป็นระยะตลอดระยะเวลาดำเนินการลงทุน เพื่อประเมินถึงความสำเร็จว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้หรือไม่ การลงทุนนั้น เกี่ยวข้องกับชีวิตคนเรามาตั้งแต่เกิดจนกระทั่งวันสุดท้าย ซึ่งมันเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิต โดยคนเราได้พัฒนาความหวังต่าง ๆ ไปสู่การลงทุนที่หลากหลาย และกำหนดดัชนีวัดผลที่ได้จากการลงทุนในลักษณะต่าง ๆ กัน
เริ่มต้นจากยามเมื่อเรากำเนิดเป็นทารก ความหวังนั้นไม่ยุ่งยากซับซ้อน นั่นก็คือ เราหวังที่จะได้ความรักจากพ่อแม่ เราหวังที่จะได้อาหารที่เพียงพอ เราหวังที่จะไม่เจ็บป่วย เราหวังที่จะได้เครื่องนุ่งห่มที่สะอาดไม่เปียกชื้น ดังนั้นเมื่อเราหิว เราโดดเดี่ยว เราไม่สบาย หรือเปียกชื้น เราจึงลงทุนด้วยการร้องกระจองงอแง ผลที่ได้จากการลงทุนนี้ คือ เราได้กินนม เราได้เพื่อนเล่น เราได้ความอบอุ่น เราได้ผ้าอ้อมผืนใหม่ และแน่นอนครับเราสมหวัง เรายิ้ม และหลับอย่างมีความสุขในที่สุด
เมื่อเราโตขึ้น เราพูดได้ เราเดินได้ เราวิ่งได้ ด้วยความเป็นเด็ก ความหวังของเราก็ยังคงไม่ยุ่งยากซับซ้อนเช่นเคย นั่นคือ เราหวังที่ได้ได้เล่นสนุก อยู่ตลอดเวลา ดังนั้นสิ่งที่ตอบสนองความหวังของเรา คือ ของเล่น การ์ตูน เกมส์ต่าง ๆ และเพื่อให้สมหวัง เราจึงลงทุนร้องกระจองงอแงอีกครั้งเหมือนเมื่อเราเป็นทารก แต่คราวนี้การร้องของเราอาจจะไม่ได้ผลเสมอไป เราจึงต้องเปลี่ยนรูปแบบการลงทุนให้ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น นั่นคือ เราต้องพูดอธิบาย เราต้องใช้ภาษากายควบคู่ไปด้วย ตลอดจนเราต้องทรมานทำการบ้าน หรืออ่านหนังสือให้เสร็จเสียก่อน และส่วนใหญ่เราก็มักจะสมหวังอีกเช่นเคย
ต่อมาเมื่อเราเติบใหญ่เป็นวัยรุ่น ความหวังและการลงทุนของเราก็ได้แปรเปลี่ยนไป รูปแบบมีความซับซ้อนและหลากหลายมากขึ้น ด้านสังคมเราเริ่มที่จะมีความหวังที่จะให้ได้รับการยอมรับจากเพื่อนฝูง และในด้านอนาคตเราเริ่มที่จะคิดและกำหนดวิถีชีวิตของตนเอง เราเริ่มที่จะวางแผนการศึกษา โดยมองจากสิ่งที่เราถนัด ชอบ หรือมองจากเพื่อนฝูง หรือแม้กระทั่งคำแนะนำจากพ่อแม่ ผู้หลักผู้ใหญ่ และคุณครูของเรา แต่เราก็มีความคิดของตนเองและมักให้ความสำคัญกับตนเองเป็นหลัก เราเริ่มลงทุนที่จะขัดแย้งทางความคิดกับพ่อแม่ และ/หรือเกลี่ยกล่อมให้พ่อแม่เชื่อ เราต้องลงทุนแต่งกายให้ตามยุคตามสมัย เราต้องใช้อุปกรณ์และวัสดุต่าง ๆ ให้ทันกับแฟชั่น เพื่อเราจะได้เป็นส่วนหนึ่งของสังคมเพื่อนฝูงได้อย่างเต็มรูปแบบ เราเริ่มที่จะต้องมุ่งมั่นและศึกษาเพิ่มเติมตลอดเวลา เพื่อให้สามารถเข้าเรียนในสถาบันการศึกษาที่ต้องการ และที่สุดแล้วดัชนีชี้วัดของเราก็คือการยอมรับและชื่นชมจากบุคคลอื่นที่ห้อมล้อมตัวเรา
และเมื่อเราสำเร็จการศึกษาก้าวเข้าสู่ชีวิตการทำงาน เราจะมีความหวังกับอนาคตที่หลากหลายมากมายยิ่งขึ้น เราหวังที่จะได้รับความก้าวหน้าในอาชีพการงาน เราหวังในความสำเร็จ การเปลี่ยนงานที่ให้ผลตอบแทนในรูปของรายได้และตำแหน่งหน้าที่ ตลอดจนลักษณะงานที่ท้าทายความสามารถเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของชีวิต การลงทุนของเราก็มีรูปแบบที่ซับซ้อน ตลอดจนมีทางเลือกในการลงทุนอย่างมากมาย เราจึงจำเป็นที่จะต้องเลือกอาชีพ เราต้องลงทุนสร้างผลงานให้ได้มากที่สุด เราต้องเริ่มเก็บออมเงินทอง ดังนั้นเราจึงต้องเลือกลงทุนเก็บออมในรูปแบบต่าง ๆ โดยเฉพาะความมั่งคั่งทางด้านทรัพย์สิน เราจำเป็นที่จะต้องมีบ้านเป็นของตนเอง เราจำเป็นที่จะต้องบริหารเงินออมของเราในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง หรือหลายรูปแบบ เช่น การฝากธนาคาร การซื้อพันธบัตร การซื้อหุ้นกู้ การซื้อหุ้นสามัญ และการเปิดธุรกิจของตนเอง ดังนั้นดัชนีชี้วัดการลงทุน จึงอยู่ในรูปเปอร์เซ็นต์ของผลตอบแทนต่าง ๆ เช่น เปอร์เซ็นต์ของดอกเบี้ย กำไรจากมูลค่าการลงทุนต่าง ๆ ซึ่งมีวิธีการคำนวณที่ซับซ้อน
ก้าวต่อไปของชีวิตเริ่มเมื่อเราก้าวเข้าสู่ประตูวิวาห์ การสร้างครอบครัวให้ยั่งยืนจึงเริ่มอุบัติขึ้น เราจำเป็นที่จะต้องพัฒนาความหวังกับอนาคตอีกเช่นเคย แต่คราวนี้ไม่เพียงเป็นอนาคตของตนเองเท่านั้น ยังต้องวางแผนอนาคตให้แก่บุตรหลานด้วย ดังนั้นการลงทุนในรอบนี้จึงยิ่งใหญ่นักและจะต้องใช้ระยะเวลายาวนานมาก การสร้างรายได้ที่มั่นคงเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตและสมาชิกในครอบครัว การเปลี่ยนงานกลับกลายเป็นสิ่งที่ต้องคิดหนัก การดำเนินธุรกิจของตนเองต้องใช้ความระมัดระวังรอบคอบยิ่งขึ้น เราจึงจำเป็นที่จะต้องลงทุนศึกษาให้ถ่องแท้ในเชิงธุรกิจที่เราเกี่ยวข้องอยู่ เราต้องลงทุนเพื่อการศึกษาแก่บุตร เราต้องสร้างหลักประกันให้แก่ครอบครัว เราจำเป็นต้องเก็บออมในรูปแบบของตราสารทางการเงินในระยะยาว เราต้องมีทรัพย์สินให้มากเพียงพอและเหลือให้แก่บุตรหลานของเรา ดังนั้นผลตอบแทนในครั้งนี้จึงมิใช่ตัวเลขทางการเงินหรือเปอร์เซ็นต์ต่าง ๆ แต่ยังหมายถึงผลตอบแทนในรูปอื่น ๆ อีก เช่น ความชื่นชมยินดีกับความสำเร็จทางการศึกษาและอาชีพการงานของบุตร และเมื่อเราชราภาพ สิ่งที่เราลงทุนมาทั้งหมดในชีวิตนั้น ผลตอบแทนที่ได้รับน่าจะเป็นในรูปของการได้ใช้ชีวิตบั้นปลายกับบุตรหลาน และดำเนินชีวิตพักผ่อนอย่างสงบก่อนที่จะสิ้นลมหายใจ
สุดท้ายเมื่อเราพินิจพิเคราะห์กันอย่างถี่ถ้วนแล้ว สิ่งที่ได้รับจากการลงทุนนั้น คือ ความหวัง หรือผลตอบแทนจากการลงทุนในแต่ละครั้งอย่างนั้นหรือ คำตอบสำหรับกระผม คือ ไม่ใช่ แต่มันคือ ระดับความพึงพอใจของแต่ละบุคคลที่ได้รับจากการลงทุนเพื่อตอบสนองความหวังของเราเอง
------------------------------------
ขอให้ทุกท่านพบกับความพึงพอใจสูงสุดที่ได้จากการลงทุน และมีความสุขความสำเร็จในชีวิตทุกช่วงเวลาครับ......
ได้อะไรจากการลงทุน ?
ก่อนที่จะกล่าวถึงผลลัพธ์ที่ได้จากการลงทุน เราควรที่จะหันมาพินิจพิจารณาถึงคำว่า การลงทุน ให้เป็นที่เข้าใจตรงกันเสียก่อน และแน่นอนย่อมเป็นความหมายที่กำหนดขึ้นตามความรู้สึกนึกคิดของกระผมเอง เมื่อพูดถึงคำว่า ลงทุน นั่นหมายถึงการที่ต้องสูญเสียสิ่งใดสิ่งหนึ่งก่อนที่จะได้รับกลับคืน และไม่ได้หมายความว่าผลลัพธ์ที่ได้รับกลับมานั้นจะคุ้มค่าเสมอไป มันอาจจะไม่ได้รับสิ่งใดกลับคืนมาเลย มันอาจจะได้รับกลับมาน้อยกว่าที่เสีย หรือมันอาจจะได้รับกลับมามากกว่าที่เสียไป แต่ทุกคนเมื่อตัดสินใจลงทุนแล้วก็มักที่จะหวังให้ผลลัพธ์ที่ได้กลับคืนมามากกว่าที่เสียไป ดังนั้น การลงทุน จึงหมายถึง การนำสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สิน เงินทอง กำลังความคิด แรงกาย และ/หรือแรงใจ ไปดำเนินกิจกรรมหนึ่ง เพื่อ ความหวัง ที่จะได้รับ ผลตอบแทน ที่คุ้มค่า จากคำนิยามข้างต้นจึงพอสรุปได้ว่า สิ่งที่ได้จากการลงทุน คือ ความหวัง และ ผลตอบแทนจากการลงทุน
ที่นี้เราลองมาศึกษาความสัมพันธ์ของคำว่า การลงทุน ความหวัง และผลตอบแทนจากการลงทุน ว่า มีความเชื่อมโยงกันอย่างไร กระผมขอฟันธงไปเลยว่าการลงทุนจะเกิดขึ้นได้ยาก หรือประสบความสำเร็จได้ลำบากมาก หากไม่มีความหวังมากำหนดกรอบและทิศทางของการลงทุน และความหวังที่ว่านั้นก็จะยังคงอยู่ต่อไปตลอดระยะเวลาของการดำเนินกิจกรรมทางการลงทุน เพียงแต่อาจจะเพิ่ม ลด หรือสิ้นหวังแล้วแต่ว่าการดำเนินกิจกรรมทางการลงทุนนั้นราบรื่น หรืออุปสรรคมากน้อยเพียงใด โดยมีผลตอบแทนจากการลงทุนเป็นดัชนีชี้วัดความสำเร็จ ซึ่งดัชนีชี้วัดนี้จะถูกวิเคราะห์ และคาดการณ์ล่วงหน้าเพื่อใช้เป็นเป้าหมายก่อนการตัดสินใจเลือกรูปแบบทางการลงทุน ต่อจากนั้นจะมีการปรับค่าดัชนีชี้วัดนี้เป็นระยะตลอดระยะเวลาดำเนินการลงทุน เพื่อประเมินถึงความสำเร็จว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้หรือไม่ การลงทุนนั้น เกี่ยวข้องกับชีวิตคนเรามาตั้งแต่เกิดจนกระทั่งวันสุดท้าย ซึ่งมันเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิต โดยคนเราได้พัฒนาความหวังต่าง ๆ ไปสู่การลงทุนที่หลากหลาย และกำหนดดัชนีวัดผลที่ได้จากการลงทุนในลักษณะต่าง ๆ กัน
เริ่มต้นจากยามเมื่อเรากำเนิดเป็นทารก ความหวังนั้นไม่ยุ่งยากซับซ้อน นั่นก็คือ เราหวังที่จะได้ความรักจากพ่อแม่ เราหวังที่จะได้อาหารที่เพียงพอ เราหวังที่จะไม่เจ็บป่วย เราหวังที่จะได้เครื่องนุ่งห่มที่สะอาดไม่เปียกชื้น ดังนั้นเมื่อเราหิว เราโดดเดี่ยว เราไม่สบาย หรือเปียกชื้น เราจึงลงทุนด้วยการร้องกระจองงอแง ผลที่ได้จากการลงทุนนี้ คือ เราได้กินนม เราได้เพื่อนเล่น เราได้ความอบอุ่น เราได้ผ้าอ้อมผืนใหม่ และแน่นอนครับเราสมหวัง เรายิ้ม และหลับอย่างมีความสุขในที่สุด
เมื่อเราโตขึ้น เราพูดได้ เราเดินได้ เราวิ่งได้ ด้วยความเป็นเด็ก ความหวังของเราก็ยังคงไม่ยุ่งยากซับซ้อนเช่นเคย นั่นคือ เราหวังที่ได้ได้เล่นสนุก อยู่ตลอดเวลา ดังนั้นสิ่งที่ตอบสนองความหวังของเรา คือ ของเล่น การ์ตูน เกมส์ต่าง ๆ และเพื่อให้สมหวัง เราจึงลงทุนร้องกระจองงอแงอีกครั้งเหมือนเมื่อเราเป็นทารก แต่คราวนี้การร้องของเราอาจจะไม่ได้ผลเสมอไป เราจึงต้องเปลี่ยนรูปแบบการลงทุนให้ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น นั่นคือ เราต้องพูดอธิบาย เราต้องใช้ภาษากายควบคู่ไปด้วย ตลอดจนเราต้องทรมานทำการบ้าน หรืออ่านหนังสือให้เสร็จเสียก่อน และส่วนใหญ่เราก็มักจะสมหวังอีกเช่นเคย
ต่อมาเมื่อเราเติบใหญ่เป็นวัยรุ่น ความหวังและการลงทุนของเราก็ได้แปรเปลี่ยนไป รูปแบบมีความซับซ้อนและหลากหลายมากขึ้น ด้านสังคมเราเริ่มที่จะมีความหวังที่จะให้ได้รับการยอมรับจากเพื่อนฝูง และในด้านอนาคตเราเริ่มที่จะคิดและกำหนดวิถีชีวิตของตนเอง เราเริ่มที่จะวางแผนการศึกษา โดยมองจากสิ่งที่เราถนัด ชอบ หรือมองจากเพื่อนฝูง หรือแม้กระทั่งคำแนะนำจากพ่อแม่ ผู้หลักผู้ใหญ่ และคุณครูของเรา แต่เราก็มีความคิดของตนเองและมักให้ความสำคัญกับตนเองเป็นหลัก เราเริ่มลงทุนที่จะขัดแย้งทางความคิดกับพ่อแม่ และ/หรือเกลี่ยกล่อมให้พ่อแม่เชื่อ เราต้องลงทุนแต่งกายให้ตามยุคตามสมัย เราต้องใช้อุปกรณ์และวัสดุต่าง ๆ ให้ทันกับแฟชั่น เพื่อเราจะได้เป็นส่วนหนึ่งของสังคมเพื่อนฝูงได้อย่างเต็มรูปแบบ เราเริ่มที่จะต้องมุ่งมั่นและศึกษาเพิ่มเติมตลอดเวลา เพื่อให้สามารถเข้าเรียนในสถาบันการศึกษาที่ต้องการ และที่สุดแล้วดัชนีชี้วัดของเราก็คือการยอมรับและชื่นชมจากบุคคลอื่นที่ห้อมล้อมตัวเรา
และเมื่อเราสำเร็จการศึกษาก้าวเข้าสู่ชีวิตการทำงาน เราจะมีความหวังกับอนาคตที่หลากหลายมากมายยิ่งขึ้น เราหวังที่จะได้รับความก้าวหน้าในอาชีพการงาน เราหวังในความสำเร็จ การเปลี่ยนงานที่ให้ผลตอบแทนในรูปของรายได้และตำแหน่งหน้าที่ ตลอดจนลักษณะงานที่ท้าทายความสามารถเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของชีวิต การลงทุนของเราก็มีรูปแบบที่ซับซ้อน ตลอดจนมีทางเลือกในการลงทุนอย่างมากมาย เราจึงจำเป็นที่จะต้องเลือกอาชีพ เราต้องลงทุนสร้างผลงานให้ได้มากที่สุด เราต้องเริ่มเก็บออมเงินทอง ดังนั้นเราจึงต้องเลือกลงทุนเก็บออมในรูปแบบต่าง ๆ โดยเฉพาะความมั่งคั่งทางด้านทรัพย์สิน เราจำเป็นที่จะต้องมีบ้านเป็นของตนเอง เราจำเป็นที่จะต้องบริหารเงินออมของเราในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง หรือหลายรูปแบบ เช่น การฝากธนาคาร การซื้อพันธบัตร การซื้อหุ้นกู้ การซื้อหุ้นสามัญ และการเปิดธุรกิจของตนเอง ดังนั้นดัชนีชี้วัดการลงทุน จึงอยู่ในรูปเปอร์เซ็นต์ของผลตอบแทนต่าง ๆ เช่น เปอร์เซ็นต์ของดอกเบี้ย กำไรจากมูลค่าการลงทุนต่าง ๆ ซึ่งมีวิธีการคำนวณที่ซับซ้อน
ก้าวต่อไปของชีวิตเริ่มเมื่อเราก้าวเข้าสู่ประตูวิวาห์ การสร้างครอบครัวให้ยั่งยืนจึงเริ่มอุบัติขึ้น เราจำเป็นที่จะต้องพัฒนาความหวังกับอนาคตอีกเช่นเคย แต่คราวนี้ไม่เพียงเป็นอนาคตของตนเองเท่านั้น ยังต้องวางแผนอนาคตให้แก่บุตรหลานด้วย ดังนั้นการลงทุนในรอบนี้จึงยิ่งใหญ่นักและจะต้องใช้ระยะเวลายาวนานมาก การสร้างรายได้ที่มั่นคงเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตและสมาชิกในครอบครัว การเปลี่ยนงานกลับกลายเป็นสิ่งที่ต้องคิดหนัก การดำเนินธุรกิจของตนเองต้องใช้ความระมัดระวังรอบคอบยิ่งขึ้น เราจึงจำเป็นที่จะต้องลงทุนศึกษาให้ถ่องแท้ในเชิงธุรกิจที่เราเกี่ยวข้องอยู่ เราต้องลงทุนเพื่อการศึกษาแก่บุตร เราต้องสร้างหลักประกันให้แก่ครอบครัว เราจำเป็นต้องเก็บออมในรูปแบบของตราสารทางการเงินในระยะยาว เราต้องมีทรัพย์สินให้มากเพียงพอและเหลือให้แก่บุตรหลานของเรา ดังนั้นผลตอบแทนในครั้งนี้จึงมิใช่ตัวเลขทางการเงินหรือเปอร์เซ็นต์ต่าง ๆ แต่ยังหมายถึงผลตอบแทนในรูปอื่น ๆ อีก เช่น ความชื่นชมยินดีกับความสำเร็จทางการศึกษาและอาชีพการงานของบุตร และเมื่อเราชราภาพ สิ่งที่เราลงทุนมาทั้งหมดในชีวิตนั้น ผลตอบแทนที่ได้รับน่าจะเป็นในรูปของการได้ใช้ชีวิตบั้นปลายกับบุตรหลาน และดำเนินชีวิตพักผ่อนอย่างสงบก่อนที่จะสิ้นลมหายใจ
สุดท้ายเมื่อเราพินิจพิเคราะห์กันอย่างถี่ถ้วนแล้ว สิ่งที่ได้รับจากการลงทุนนั้น คือ ความหวัง หรือผลตอบแทนจากการลงทุนในแต่ละครั้งอย่างนั้นหรือ คำตอบสำหรับกระผม คือ ไม่ใช่ แต่มันคือ ระดับความพึงพอใจของแต่ละบุคคลที่ได้รับจากการลงทุนเพื่อตอบสนองความหวังของเราเอง
------------------------------------
ขอให้ทุกท่านพบกับความพึงพอใจสูงสุดที่ได้จากการลงทุน และมีความสุขความสำเร็จในชีวิตทุกช่วงเวลาครับ......
- sirivajj
- Verified User
- โพสต์: 985
- ผู้ติดตาม: 0
ร่วมสนุกชิงรางวัล
โพสต์ที่ 4
ขอเขียนด้วยคนนะครับ ไม่ได้อยากจะเอารางวัลอะไร
อยากเขียนตามใจชอบในหัวข้อที่เกี่ยวกับการลงทุน
การลงทุนได้อะไร
คำถามว่า การลงทุนได้อะไร สำหรับผมแล้วก็ต้องตอบว่า
ได้ประสพการณ์ทางด้านอารมณ์ในหลายๆ มิติ
ซึ่งมีทั้งความเพลิดเพลินและสนุกสนานในหลายๆ โอกาส
และมีทั้งความวุ่นวาย ว้าวุ่นใจ ในหลายๆ ครั้ง เรื่องราวในส่วนข้างต้น
นี้มีที่มาและสั่งสมมาแต่ในอดีตจนปัจจุบัน ซึ่งผมก็ได้คิดและมองเห็นว่า การลงทุนของผมในระยะหลังนี้ ทำให้ผมได้ความเพลิดเพลินเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่า จะมีกำไร ขายหมู หรือติดดอยก็ตาม
ความเพลิดเพลินอีกอย่างของการลงทุนในพอร์ต (เล็กๆ) ของผม
ทำให้ผมได้ใช้เวลาว่างมาติดตามหุ้น และผมเปรียบเทียบการลงทุนในหุ้น
ของผมเหมือนกับการปลูกต้นไม้ กล่าวคือ
ก่อนจะปลุกต้นไม้ ต้องมีการเตรียมดิน และสถานที่ปลูก
(เปรียบเสมือนก่อนการจะลงทุนต้องทำการศึกษาหุ้นที่จะซื้อ)
จากนั้น ก็เลือกพันธ์ไม้ที่จะนำมาปลูก ซึ่งอาจเป็น ไม้ยืนต้น (หุ้นพื้นฐาน), ไม้ล้มลุก (หุ้นเก็งกำไรหรือซื้อขายเร็ว), และไม้ประดับพิเศษ อย่างกล้วยไม้ (หุ้นที่ซื้อเพราะความพอใจ)
การเลือกพันธ์ไม้ที่จะนำมาปลูกหรือปลูกเพิ่มในแต่ละช่วงก็ต้องขึ้นกับ
สภาพดิน ฟ้า ภูมิอากาศ แวดล้อม ว่า เหมาะสมหรือไม่อย่างไรกับพันธ์ไม้แต่ละชนิดในแต่ละช่วงเวลา
ในบางช่วง ผมอาจต้องการปลูกไม้ยืนต้น ที่มีความแข็งแกร่งและอดทนต่อสภาพอากาศได้ดี แต่มีระยะเวลาเก็บเกี่ยวหรือให้ผลที่ต้องรอเวลานาน
ในขณะที่บางช่วง ฟ้าฝนเป็นใจ ไม้ล้มลุก ที่จะเก็บเกี่ยวได้เร็ว แต่มีความ
อ่อนแอ เปราะบาง ต้องเอาใจใส่มาก อาจเหมาะสมที่จะนำมาปลูก
สำหรับไม้ประดับนั้น คงเป็นพันธ์ไม้ที่ปลูกไว้ตามความพอใจ
เหมือนกล้วยไม้ หรือบอนสี ที่ผมก็หวังลมๆ แล้งๆ ไว้ด้วยว่า
อาจติดพันธ์ ได้พันธ์ไม้ที่มีสีสรรแปลกใหม่ เป็นหนึ่งเดียวหรือรายแรกที่
เราอาจนำพันธ์ไปแบ่งจำหน่ายได้ราคาที่สูงลิบลิ่ว
แต่ถึงจะไม่ได้ในวันนี้ ก็ยังมีความสุขใจในการปลูกพันธ์ไม้นั้นๆ ไว้
การปลูกต้นไม้นั้น ถึงแม้จะเลือกปลูกไม้ยืนต้นไว้ด้วยก็ตาม ยังต้องอาศัยความเอาใจใส่ดูแล รดน้ำและให้ปุ๋ย กับคอยถอนวัชชพืชในแปลงออก
นอกจากนี้ ก็ต้องคอยดูแลต้นไม้ ควบคู่กับสภาพแวดล้อม อากาศ ฟ้า ฝน ให้ดี เพราะในบางคราวที่ที่ไม้ยืนต้นที่ปลูกไว้ก็อาจกลายพันธ์ไม่ออกดอกผลให้อย่างที่มันควรจะเป็น ซึ่งในกรณีนี้ ก็อาจจำต้องตัดแต่งหรือถอนออกเหมือนวัชชพืชเช่นกัน
หรือถ้าหากไม่สามารถถอนได้เพราะต้นไม้ได้หยั่งรากลึก หากถอนออกจะกระทบกระเทือนสภาพดิน กับต้นไม้อื่นที่ปลูกข้างเคียงล่ะก็
ดังนี้ ก็อาจต้องใช้วิธีหาไม้พันธ์ดีอื่นๆ มาปลูกเพิ่มเพื่อให้ได้ผลผลิตเท่าเดิม หรือ หาไม้พันธ์อื่นมาทาบกิ่งไว้ หรือใช้วิธีบำรุงพันธ์อย่างดี ซึ่งอาจทำให้ไม้ที่กลายพันธ์ไปนั้นอาจจะกลับมาดีได้
จากที่กล่าวมาพอสังเขป ก็จะเห็นว่า ทุกวันผมก็เพลิดเพลินกับการจัดสวน หรือแปลงต้นไม้ของผม ด้วยการศึกษาหาพันธ์ไม้ชนิดดีใหม่ๆ มาปลูกเพิ่ม ขณะเดียวกันก็ปรับแต่งพันธ์ไม้เดิมให้เหมาะกับฤดูกาลหรือสภาพอากาศ หมั่นบำรุงพันธ์ ถอนวัชชพืช ทาบและตอนกิ่งให้ไม้ที่ไม่แข็งแรง แต่ยังพอแก้ไขได้ให้ยืนต้นขึ้นมา หรือทำลายพันธ์ไม้ที่ไม่ดีทิ้ง
เรื่องที่ทำนี้ก็เพื่อพยายามที่จะให้ได้มีสวนที่มี ดอก ผล สำหรับ กิน, ขาย หรือชื่นชม เพื่อความเจริญใจ นานๆ จนถึงยามแก่เฒ่า และเป็นมรดกแก่คนอื่นๆ สืบไป
จบ (ไม่บริบูรณ์)
อยากเขียนตามใจชอบในหัวข้อที่เกี่ยวกับการลงทุน
การลงทุนได้อะไร
คำถามว่า การลงทุนได้อะไร สำหรับผมแล้วก็ต้องตอบว่า
ได้ประสพการณ์ทางด้านอารมณ์ในหลายๆ มิติ
ซึ่งมีทั้งความเพลิดเพลินและสนุกสนานในหลายๆ โอกาส
และมีทั้งความวุ่นวาย ว้าวุ่นใจ ในหลายๆ ครั้ง เรื่องราวในส่วนข้างต้น
นี้มีที่มาและสั่งสมมาแต่ในอดีตจนปัจจุบัน ซึ่งผมก็ได้คิดและมองเห็นว่า การลงทุนของผมในระยะหลังนี้ ทำให้ผมได้ความเพลิดเพลินเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่า จะมีกำไร ขายหมู หรือติดดอยก็ตาม
ความเพลิดเพลินอีกอย่างของการลงทุนในพอร์ต (เล็กๆ) ของผม
ทำให้ผมได้ใช้เวลาว่างมาติดตามหุ้น และผมเปรียบเทียบการลงทุนในหุ้น
ของผมเหมือนกับการปลูกต้นไม้ กล่าวคือ
ก่อนจะปลุกต้นไม้ ต้องมีการเตรียมดิน และสถานที่ปลูก
(เปรียบเสมือนก่อนการจะลงทุนต้องทำการศึกษาหุ้นที่จะซื้อ)
จากนั้น ก็เลือกพันธ์ไม้ที่จะนำมาปลูก ซึ่งอาจเป็น ไม้ยืนต้น (หุ้นพื้นฐาน), ไม้ล้มลุก (หุ้นเก็งกำไรหรือซื้อขายเร็ว), และไม้ประดับพิเศษ อย่างกล้วยไม้ (หุ้นที่ซื้อเพราะความพอใจ)
การเลือกพันธ์ไม้ที่จะนำมาปลูกหรือปลูกเพิ่มในแต่ละช่วงก็ต้องขึ้นกับ
สภาพดิน ฟ้า ภูมิอากาศ แวดล้อม ว่า เหมาะสมหรือไม่อย่างไรกับพันธ์ไม้แต่ละชนิดในแต่ละช่วงเวลา
ในบางช่วง ผมอาจต้องการปลูกไม้ยืนต้น ที่มีความแข็งแกร่งและอดทนต่อสภาพอากาศได้ดี แต่มีระยะเวลาเก็บเกี่ยวหรือให้ผลที่ต้องรอเวลานาน
ในขณะที่บางช่วง ฟ้าฝนเป็นใจ ไม้ล้มลุก ที่จะเก็บเกี่ยวได้เร็ว แต่มีความ
อ่อนแอ เปราะบาง ต้องเอาใจใส่มาก อาจเหมาะสมที่จะนำมาปลูก
สำหรับไม้ประดับนั้น คงเป็นพันธ์ไม้ที่ปลูกไว้ตามความพอใจ
เหมือนกล้วยไม้ หรือบอนสี ที่ผมก็หวังลมๆ แล้งๆ ไว้ด้วยว่า
อาจติดพันธ์ ได้พันธ์ไม้ที่มีสีสรรแปลกใหม่ เป็นหนึ่งเดียวหรือรายแรกที่
เราอาจนำพันธ์ไปแบ่งจำหน่ายได้ราคาที่สูงลิบลิ่ว
แต่ถึงจะไม่ได้ในวันนี้ ก็ยังมีความสุขใจในการปลูกพันธ์ไม้นั้นๆ ไว้
การปลูกต้นไม้นั้น ถึงแม้จะเลือกปลูกไม้ยืนต้นไว้ด้วยก็ตาม ยังต้องอาศัยความเอาใจใส่ดูแล รดน้ำและให้ปุ๋ย กับคอยถอนวัชชพืชในแปลงออก
นอกจากนี้ ก็ต้องคอยดูแลต้นไม้ ควบคู่กับสภาพแวดล้อม อากาศ ฟ้า ฝน ให้ดี เพราะในบางคราวที่ที่ไม้ยืนต้นที่ปลูกไว้ก็อาจกลายพันธ์ไม่ออกดอกผลให้อย่างที่มันควรจะเป็น ซึ่งในกรณีนี้ ก็อาจจำต้องตัดแต่งหรือถอนออกเหมือนวัชชพืชเช่นกัน
หรือถ้าหากไม่สามารถถอนได้เพราะต้นไม้ได้หยั่งรากลึก หากถอนออกจะกระทบกระเทือนสภาพดิน กับต้นไม้อื่นที่ปลูกข้างเคียงล่ะก็
ดังนี้ ก็อาจต้องใช้วิธีหาไม้พันธ์ดีอื่นๆ มาปลูกเพิ่มเพื่อให้ได้ผลผลิตเท่าเดิม หรือ หาไม้พันธ์อื่นมาทาบกิ่งไว้ หรือใช้วิธีบำรุงพันธ์อย่างดี ซึ่งอาจทำให้ไม้ที่กลายพันธ์ไปนั้นอาจจะกลับมาดีได้
จากที่กล่าวมาพอสังเขป ก็จะเห็นว่า ทุกวันผมก็เพลิดเพลินกับการจัดสวน หรือแปลงต้นไม้ของผม ด้วยการศึกษาหาพันธ์ไม้ชนิดดีใหม่ๆ มาปลูกเพิ่ม ขณะเดียวกันก็ปรับแต่งพันธ์ไม้เดิมให้เหมาะกับฤดูกาลหรือสภาพอากาศ หมั่นบำรุงพันธ์ ถอนวัชชพืช ทาบและตอนกิ่งให้ไม้ที่ไม่แข็งแรง แต่ยังพอแก้ไขได้ให้ยืนต้นขึ้นมา หรือทำลายพันธ์ไม้ที่ไม่ดีทิ้ง
เรื่องที่ทำนี้ก็เพื่อพยายามที่จะให้ได้มีสวนที่มี ดอก ผล สำหรับ กิน, ขาย หรือชื่นชม เพื่อความเจริญใจ นานๆ จนถึงยามแก่เฒ่า และเป็นมรดกแก่คนอื่นๆ สืบไป
จบ (ไม่บริบูรณ์)
What do you mean.?
-
- Verified User
- โพสต์: 22
- ผู้ติดตาม: 0
ร่วมสนุกชิงรางวัล
โพสต์ที่ 6
การลงทุนได้อะไร
ผมได้ประสบการณ์ ความรู้ เข้าใจในสิ่งต่าง ๆ รอบตัว สังคมมากกว่าในสมัยที่ยังเป็นนักเรียนระดับมัธยมและอุดมศึกษา
การลงทุนสำหรับผมเป็นการสร้างโอกาสให้เราได้ค้นหาตัวเองในหลาย ๆด้าน บางครั้งผมมองการลงทุนเป็นการลองผิดลองถูก เช่น การที่เราจีบใครสักคนได้สักคนด้วยวัยและประสบการณ์ตอนที่เรียนอยู่กับช่วงวัยทำงานผมคิดว่าต่างกันมากทั้งความรู้สึกและเหตุผล ถ้าเราอยากเก่งในด้านกีฬา แม้ว่าเราจะไม่รู้จัก ไม่เคยสัมผัสกีฬาชนิดนั้นมาก่อน แต่ความตั้งใจ ความพยายาม การฝึกฝนและเรียนรู้อย่างต่อเนื่องก็ทำให้เราเก่งได้ สิ่งที่ผมได้จากกีฬาที่ชอบและกีฬาใหม่ที่เพิ่งฝึกฝนคือผมได้ใช้เวลาที่มีค่าในช่วงเวลาที่ตัวเองสามารถทำได้และลงมือทำ ผลลัพธ์ผมได้ให้สุขภาพกาย สุขภาพจิตที่ดีกับตัวเอง เรียนรู้ประสบการณ์ทางตรงและทางอ้อมที่มีค่าจากคนรอบข้าง ถ้าเราอยากรู้ว่าหากต้องเปลี่ยนงานที่เกิดจากความรู้ ความเข้าใจที่เรียนจบมากับงานอื่น ๆชนิดใหม่แล้วผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรผมจึงใช้เวลาที่มีบ้างลองดู หลังจากที่ได้ลองทำแล้วพบว่า งานบางอย่างได้ผลตอบแทนเท่ากันแต่ต้องใช้แรงกายมากกว่าใช้ความคิดและความสามารถที่มี งานบางอย่างต้องมีทุน เช่น เงิน ทรัพย์สิน พอสมควรก่อนที่จะทำงานนั้นได้
ทำให้ผมคิดว่าแต่ละคนมีโอกาส ความพร้อม และความสามารถไม่เท่ากัน การพบกันของคนที่ลงทุนต่างรูปแบบกันสามารถเกิดขึ้นได้แม้ว่าระยะเวลาที่ใช้ต่างกันหากมีความตั้งใจจริง ความพยายาม ความอดทนมุ่งมั่น และมีเป้าหมายที่ชัดเจน
ขอให้การลงทุนของทุกท่านที่สร้างขึ้นประสพผลเพราะผมคิดว่าทุกคนมีเวลาในชีวิตโดยเฉลี่ยเท่า ๆ กัน
ผมได้ประสบการณ์ ความรู้ เข้าใจในสิ่งต่าง ๆ รอบตัว สังคมมากกว่าในสมัยที่ยังเป็นนักเรียนระดับมัธยมและอุดมศึกษา
การลงทุนสำหรับผมเป็นการสร้างโอกาสให้เราได้ค้นหาตัวเองในหลาย ๆด้าน บางครั้งผมมองการลงทุนเป็นการลองผิดลองถูก เช่น การที่เราจีบใครสักคนได้สักคนด้วยวัยและประสบการณ์ตอนที่เรียนอยู่กับช่วงวัยทำงานผมคิดว่าต่างกันมากทั้งความรู้สึกและเหตุผล ถ้าเราอยากเก่งในด้านกีฬา แม้ว่าเราจะไม่รู้จัก ไม่เคยสัมผัสกีฬาชนิดนั้นมาก่อน แต่ความตั้งใจ ความพยายาม การฝึกฝนและเรียนรู้อย่างต่อเนื่องก็ทำให้เราเก่งได้ สิ่งที่ผมได้จากกีฬาที่ชอบและกีฬาใหม่ที่เพิ่งฝึกฝนคือผมได้ใช้เวลาที่มีค่าในช่วงเวลาที่ตัวเองสามารถทำได้และลงมือทำ ผลลัพธ์ผมได้ให้สุขภาพกาย สุขภาพจิตที่ดีกับตัวเอง เรียนรู้ประสบการณ์ทางตรงและทางอ้อมที่มีค่าจากคนรอบข้าง ถ้าเราอยากรู้ว่าหากต้องเปลี่ยนงานที่เกิดจากความรู้ ความเข้าใจที่เรียนจบมากับงานอื่น ๆชนิดใหม่แล้วผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรผมจึงใช้เวลาที่มีบ้างลองดู หลังจากที่ได้ลองทำแล้วพบว่า งานบางอย่างได้ผลตอบแทนเท่ากันแต่ต้องใช้แรงกายมากกว่าใช้ความคิดและความสามารถที่มี งานบางอย่างต้องมีทุน เช่น เงิน ทรัพย์สิน พอสมควรก่อนที่จะทำงานนั้นได้
ทำให้ผมคิดว่าแต่ละคนมีโอกาส ความพร้อม และความสามารถไม่เท่ากัน การพบกันของคนที่ลงทุนต่างรูปแบบกันสามารถเกิดขึ้นได้แม้ว่าระยะเวลาที่ใช้ต่างกันหากมีความตั้งใจจริง ความพยายาม ความอดทนมุ่งมั่น และมีเป้าหมายที่ชัดเจน
ขอให้การลงทุนของทุกท่านที่สร้างขึ้นประสพผลเพราะผมคิดว่าทุกคนมีเวลาในชีวิตโดยเฉลี่ยเท่า ๆ กัน
- someOne
- Verified User
- โพสต์: 253
- ผู้ติดตาม: 0
ร่วมสนุกชิงรางวัล
โพสต์ที่ 7
คำว่าลงทุนในความหมายของผมคือการเสียครับ หลายๆ คนคงประหลาดใจหาว่าผม บ้า หรือเปล่า ลงทุนคือการเสีย แล้วใครจะไปลงทุน จริงๆ แล้วการลงทุนคือการเสียจริงๆ นะครับลองคิดดูให้ดี สิ่งแรกก่อนที่เราจะเกิดความคิดในการลงทุนคือ ความฝันครับ คนเราทุกคนผมเชื่อได้เลยว่า ต้องมีความฝันกันทุกคน ฝันว่าอยากเป็นโน่นเป็นนี่ ฝันว่าอยากได้โน่นได้นี่ นี่หละครับก้าวแรกของการลงทุน คงไม่มีใครปฎิเสธได้(หรือมีผมก็ไม่ว่านะครับ)ว่า คนเราลงทุนเพื่อความฝัน
เริ่มแรกเลยครับ ในวัยเด็ก เราต้องการความสนุกสนาน เราก็ต้องไปหาสถานที่เล่น ไปหาของเล่น ไปหาเพื่อนเล่น นี่หละครับ เราเสียแล้ว เสียทั้งเวลา เสียทั้งแรงงาน แต่สิ่งที่เราได้กลับมาจากการลงทุนเวลาและแรงงานคือ ความสนุกครับ พอโตขึ้นมาหน่อยนึงเข้าเรียนครับ นี่ก็เสียอีกแล้วครับ เสียมากด้วย เสียทั้งเวลา เสียทั้งแรงงาน เสียพลังงานสมอง เสียเงินเสียทอง ฯลฯ แต่สิ่งที่ทุกคนได้กลับมาจากการลงทุนในการเรียนนี่คุ้มไหมครับ ? คุ้มแน่นอนครับ เพราะเราไม่ได้เสียไปเปล่าๆ เราได้หลายอย่างกลับมาครับ ได้ความรู้ ได้ประสบการณ์ ได้ความคิด ได้มองเห็นโลกกว้าง มองว่าคนอื่นเค้าเป็นยังไง อะไรยังไง ถึงไหนกันแล้วบ้าง ได้แนวคิดใหม่ๆ เพื่อมาปรับปรุง และพัฒนา ตัวเองให้ดีขึ้น และอีกหลายๆ อย่างที่แล้วแต่คนเราจะคิดครับว่า เราได้อะไร และเสียอะไรบ้าง
นี่หละครับก้าวแรกของการลงทุน แต่ว่าเมื่อเรามีก้าวแรกแล้วใช่ว่าเราจะประสบความสำเร็จในความฝันกันทุกคนนะครับ คงไม่มีใครที่ก้าวเดียวถึงฝันหรอกนะครับ มันต้องมี ก้าวที่สอง ก้าวที่สาม ก้าวที่สี่ ก้าวที่.. และอีกหลายๆ ก้าวแล้วแต่ว่าความฝันเรามากน้อยแค่ไหน มันแสดงให้เห็นว่า หากเรามีการลงทุน แต่เราไม่มีการพัฒนา เราย่ำอยู่กับที่ มีแต่ก้าวแรก ก้าวแรก แล้วก็ก้าวแรก มันคงเดินไม่ถึงฝันแน่ครับ และแน่นอนครับ ก้าวอื่นๆ ย่อมมีพลาดครับ มีล้มลุก คลุกคลาน มีสนุกสนานปนความเศร้าครับ แต่ละก้าวที่เราได้มันเป็นประสบการณ์ที่ดี และ ไม่ดี มีหมดทั้งนั้นแหละครับแต่คนเราก็จะได้จดจำมันไว้และไปปรับปรุงเพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่ก้าวมาผิดทาง เพื่อที่จะสอนสั่งลูกๆ หลานๆ หรือคนอื่นๆ ต่อไปว่า ทางนี้เราลองมาแล้วมันไม่ดีนะ ไปทางโน้นดีกว่า นี่หละครับชีวิตเกิดมาต้องมีการลงทุน และสิ่งที่เราได้จากการลงทุนก็คือประสบการณ์ที่จะแนะนำสั่งสอนให้คนข้างหลังที่จะก้าวต่อจากเรา ก้าวในทางที่ถูก ที่ควร เพื่อให้มนุษยชาติมีความก้าวหน้าต่อไป.
พูดมาซะยืดยาวแล้วก็ไม่รู้ว่าเกี่ยวอะไรกับหัวข้อหรือเปล่า แค่อยากบ่นให้ฟังครับ
เริ่มแรกเลยครับ ในวัยเด็ก เราต้องการความสนุกสนาน เราก็ต้องไปหาสถานที่เล่น ไปหาของเล่น ไปหาเพื่อนเล่น นี่หละครับ เราเสียแล้ว เสียทั้งเวลา เสียทั้งแรงงาน แต่สิ่งที่เราได้กลับมาจากการลงทุนเวลาและแรงงานคือ ความสนุกครับ พอโตขึ้นมาหน่อยนึงเข้าเรียนครับ นี่ก็เสียอีกแล้วครับ เสียมากด้วย เสียทั้งเวลา เสียทั้งแรงงาน เสียพลังงานสมอง เสียเงินเสียทอง ฯลฯ แต่สิ่งที่ทุกคนได้กลับมาจากการลงทุนในการเรียนนี่คุ้มไหมครับ ? คุ้มแน่นอนครับ เพราะเราไม่ได้เสียไปเปล่าๆ เราได้หลายอย่างกลับมาครับ ได้ความรู้ ได้ประสบการณ์ ได้ความคิด ได้มองเห็นโลกกว้าง มองว่าคนอื่นเค้าเป็นยังไง อะไรยังไง ถึงไหนกันแล้วบ้าง ได้แนวคิดใหม่ๆ เพื่อมาปรับปรุง และพัฒนา ตัวเองให้ดีขึ้น และอีกหลายๆ อย่างที่แล้วแต่คนเราจะคิดครับว่า เราได้อะไร และเสียอะไรบ้าง
นี่หละครับก้าวแรกของการลงทุน แต่ว่าเมื่อเรามีก้าวแรกแล้วใช่ว่าเราจะประสบความสำเร็จในความฝันกันทุกคนนะครับ คงไม่มีใครที่ก้าวเดียวถึงฝันหรอกนะครับ มันต้องมี ก้าวที่สอง ก้าวที่สาม ก้าวที่สี่ ก้าวที่.. และอีกหลายๆ ก้าวแล้วแต่ว่าความฝันเรามากน้อยแค่ไหน มันแสดงให้เห็นว่า หากเรามีการลงทุน แต่เราไม่มีการพัฒนา เราย่ำอยู่กับที่ มีแต่ก้าวแรก ก้าวแรก แล้วก็ก้าวแรก มันคงเดินไม่ถึงฝันแน่ครับ และแน่นอนครับ ก้าวอื่นๆ ย่อมมีพลาดครับ มีล้มลุก คลุกคลาน มีสนุกสนานปนความเศร้าครับ แต่ละก้าวที่เราได้มันเป็นประสบการณ์ที่ดี และ ไม่ดี มีหมดทั้งนั้นแหละครับแต่คนเราก็จะได้จดจำมันไว้และไปปรับปรุงเพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่ก้าวมาผิดทาง เพื่อที่จะสอนสั่งลูกๆ หลานๆ หรือคนอื่นๆ ต่อไปว่า ทางนี้เราลองมาแล้วมันไม่ดีนะ ไปทางโน้นดีกว่า นี่หละครับชีวิตเกิดมาต้องมีการลงทุน และสิ่งที่เราได้จากการลงทุนก็คือประสบการณ์ที่จะแนะนำสั่งสอนให้คนข้างหลังที่จะก้าวต่อจากเรา ก้าวในทางที่ถูก ที่ควร เพื่อให้มนุษยชาติมีความก้าวหน้าต่อไป.
พูดมาซะยืดยาวแล้วก็ไม่รู้ว่าเกี่ยวอะไรกับหัวข้อหรือเปล่า แค่อยากบ่นให้ฟังครับ
ด้วยความเคารพ
From someOne
--------------------
Knowledge Access Investment
From someOne
--------------------
Knowledge Access Investment
-
- Verified User
- โพสต์: 107
- ผู้ติดตาม: 0
ร่วมสนุกชิงรางวัล
โพสต์ที่ 8
"ไม่ไหวแล้ว ทำยังไงกับเงินฝากดีน่ะ" คำถามมีขึ้นในใจเมื่อสองปีก่อน
พี่ผมซื้อหุ้นอยู่ก็มาคุยเรื่องหุ้นให้ฟังบ้าง จนกระทั่งวันหนึ่งก็ตัดสินใจเปิดพอร์ทด้วยความอนุเคราะห์ข้อมูลของเพื่อนร่วมงาน ...
ซึ่งก็เริ่มหาหนังสือมาอ่าน ก็ของดร.นิเวศน์ละครับ ...ตีแตก
"เอาว่ะ ค่อยๆซื้อแล้วกัน ว่าแต่ตัวไหนดีล่ะเพื่อน"
"ดีๆ มีปันผล สภาพคล่องก็ใช้ได้ ประเดิมเลยแล้วกัน"
สุดท้ายหุ้นตัวแรกก็ซื้อจากเพื่อนบอกมา
"ขึ้นแล้ว 15% แหนะ ทำไงดี ใจสั่น ดีใจ จัง"
"เออ ขายก่อนดีกว่า เอากำไรไว้ก่อน" ตอนนั้นเริ่มเข้าไปอ่านกระทู้ในพันธุ์ทิพย์บ้างแล้ว
take profit และ cut loss จึงเป็นคำขวัญที่อยู่ในใจ
scb-c1 เป็นหุ้นที่มาแรง ใครๆก็พูดถึง ยิ่งช่วงเวลาใกล้หมดอายุของ scb-c1 ใกล้เข้ามา
การผันผวนของราคาก็สูงมาก กำไรขาดทุนว่ากันเป็น 50-100% ในเวลาไม่กี่วัน ...ไม่กี่ชั่วโมง
สุดท้าย scb-c1 ก็มีจุดจบที่ใครๆก็คงเดาได้ คนที่บาดเจ็บก็คงเป็นแมงเม่าที่หลงระเริง
เสียงก่นด่าคนที่ให้ข้อมูลก็ดังขึ้นตามอารมณ์ที่ต้องเสียเงินไป
"ความผิดอยู่ที่คนให้ หรือ คนรับกันน่ะ" ผมสงสัย (นึกถึงคำ Circle of Competency ของคุณวิบูลย์)
ดีที่ผมไม่ได้ร่วมสนุกกับเขาด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่ได้มาคงต้องระวังให้มากขึ้น
"Banpu ก็ดีน่ะ" พรายกระซิบมาอีก เอาบ้านปูๆ แต่มี warrant ด้วยซื้อ warrant ด้วยดีกว่า
ตอนนั้นวิญญาณนักลงทุนมือทองกำลังเข้าสิง ซื้อหุ้นใบ้ และหุ้นโบรคแนะนำ
ซื้อๆขายๆ กลางปีได้กำไรกว่า 40% "โห เก่งแหะเรา"
เมื่ออ่านมากขึ้น ความต้องการจะถือยาวมีมากขึ้น คำขวัญใหม่เริ่มเข้ามา "ไม่ขายไม่ขาดทุน ของดีไม่ควรขาย..."
ตลาดเริ่มผันผวนอีกครั้ง เวลาดูแลพอร์ทน้อยลง พอร์ทเริ่มตก
สุดท้าย ณ.สิ้นปี ผมจึงมีพอร์ทที่มีผลขาดทุนไปเล็กน้อย
ต้นปีผมถือหุ้นที่แดงเกือบทั้งพอร์ทเป็นทุน แต่ยังไม่ทำอะไรทั้งนั้น
"ขาดอะไรไปน่ะ???? " เลยมานั่งคิด
สรุป... ผมลงทุนโดยอ่านความคิดคนอื่น แต่ไม่สามารถวิเคราะห์ได้ด้วยตัวเอง
..... ของดี ดีอย่างไรก็ไม่รู้ ของเสีย แย่ขนาดไหนก็ไม่เข้าใจ
..... ลงทุนบางครั้งใช้อารมณ์(ความโลภ) พาไป
แต่ถ้าถามว่า เสียดายเวลามั้ย? ก็ไม่ เสียดายเงินมั้ย? ก็ไม่
อย่างบอย โกสิยพงษ์ว่า ล้มบ้างก็ได้ แพ้บ้างก็ได้ ...ชนะคงไม่ยิ่งใหญ่ ถ้าไม่รู้จักคำว่าแพ้
ด้วยความอยากมีอิสระทางการเงิน (ฟังดูดีแหะ) ให้บริษัทดูแลเราไม่ใช่เราดูแลบริษัท ผมจึงต้องลงทุนบ้าง
ผมเป็นคนที่ซื้อหวยไม่ถูก ไม่เคยได้อะไรฟรี เลยไม่อาจคาดหวังว่าจะได้อะไรง่ายๆในชีวิต
การลงทุนทางการศึกษา จึงเป็นการลงทุนที่แท้จริง ของการลงทุนของผม
(ผมชอบคำขวัญวันเด็ก-ปีที่แล้วมั้ง-ที่ขึ้นต้นว่า ...เรียนรู้ตลอดชีวิต...)
คงได้ความบันเทิงกันบ้างน่ะครับ
ดูหนังดูละครแล้วย้อนดูตัว ...
ท่านผู้ชมทั้งหลายได้/เสียอะไรบ้างจากการลงทุน
พี่ผมซื้อหุ้นอยู่ก็มาคุยเรื่องหุ้นให้ฟังบ้าง จนกระทั่งวันหนึ่งก็ตัดสินใจเปิดพอร์ทด้วยความอนุเคราะห์ข้อมูลของเพื่อนร่วมงาน ...
ซึ่งก็เริ่มหาหนังสือมาอ่าน ก็ของดร.นิเวศน์ละครับ ...ตีแตก
"เอาว่ะ ค่อยๆซื้อแล้วกัน ว่าแต่ตัวไหนดีล่ะเพื่อน"
"ดีๆ มีปันผล สภาพคล่องก็ใช้ได้ ประเดิมเลยแล้วกัน"
สุดท้ายหุ้นตัวแรกก็ซื้อจากเพื่อนบอกมา
"ขึ้นแล้ว 15% แหนะ ทำไงดี ใจสั่น ดีใจ จัง"
"เออ ขายก่อนดีกว่า เอากำไรไว้ก่อน" ตอนนั้นเริ่มเข้าไปอ่านกระทู้ในพันธุ์ทิพย์บ้างแล้ว
take profit และ cut loss จึงเป็นคำขวัญที่อยู่ในใจ
scb-c1 เป็นหุ้นที่มาแรง ใครๆก็พูดถึง ยิ่งช่วงเวลาใกล้หมดอายุของ scb-c1 ใกล้เข้ามา
การผันผวนของราคาก็สูงมาก กำไรขาดทุนว่ากันเป็น 50-100% ในเวลาไม่กี่วัน ...ไม่กี่ชั่วโมง
สุดท้าย scb-c1 ก็มีจุดจบที่ใครๆก็คงเดาได้ คนที่บาดเจ็บก็คงเป็นแมงเม่าที่หลงระเริง
เสียงก่นด่าคนที่ให้ข้อมูลก็ดังขึ้นตามอารมณ์ที่ต้องเสียเงินไป
"ความผิดอยู่ที่คนให้ หรือ คนรับกันน่ะ" ผมสงสัย (นึกถึงคำ Circle of Competency ของคุณวิบูลย์)
ดีที่ผมไม่ได้ร่วมสนุกกับเขาด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่ได้มาคงต้องระวังให้มากขึ้น
"Banpu ก็ดีน่ะ" พรายกระซิบมาอีก เอาบ้านปูๆ แต่มี warrant ด้วยซื้อ warrant ด้วยดีกว่า
ตอนนั้นวิญญาณนักลงทุนมือทองกำลังเข้าสิง ซื้อหุ้นใบ้ และหุ้นโบรคแนะนำ
ซื้อๆขายๆ กลางปีได้กำไรกว่า 40% "โห เก่งแหะเรา"
เมื่ออ่านมากขึ้น ความต้องการจะถือยาวมีมากขึ้น คำขวัญใหม่เริ่มเข้ามา "ไม่ขายไม่ขาดทุน ของดีไม่ควรขาย..."
ตลาดเริ่มผันผวนอีกครั้ง เวลาดูแลพอร์ทน้อยลง พอร์ทเริ่มตก
สุดท้าย ณ.สิ้นปี ผมจึงมีพอร์ทที่มีผลขาดทุนไปเล็กน้อย
ต้นปีผมถือหุ้นที่แดงเกือบทั้งพอร์ทเป็นทุน แต่ยังไม่ทำอะไรทั้งนั้น
"ขาดอะไรไปน่ะ???? " เลยมานั่งคิด
สรุป... ผมลงทุนโดยอ่านความคิดคนอื่น แต่ไม่สามารถวิเคราะห์ได้ด้วยตัวเอง
..... ของดี ดีอย่างไรก็ไม่รู้ ของเสีย แย่ขนาดไหนก็ไม่เข้าใจ
..... ลงทุนบางครั้งใช้อารมณ์(ความโลภ) พาไป
แต่ถ้าถามว่า เสียดายเวลามั้ย? ก็ไม่ เสียดายเงินมั้ย? ก็ไม่
อย่างบอย โกสิยพงษ์ว่า ล้มบ้างก็ได้ แพ้บ้างก็ได้ ...ชนะคงไม่ยิ่งใหญ่ ถ้าไม่รู้จักคำว่าแพ้
ด้วยความอยากมีอิสระทางการเงิน (ฟังดูดีแหะ) ให้บริษัทดูแลเราไม่ใช่เราดูแลบริษัท ผมจึงต้องลงทุนบ้าง
ผมเป็นคนที่ซื้อหวยไม่ถูก ไม่เคยได้อะไรฟรี เลยไม่อาจคาดหวังว่าจะได้อะไรง่ายๆในชีวิต
การลงทุนทางการศึกษา จึงเป็นการลงทุนที่แท้จริง ของการลงทุนของผม
(ผมชอบคำขวัญวันเด็ก-ปีที่แล้วมั้ง-ที่ขึ้นต้นว่า ...เรียนรู้ตลอดชีวิต...)
คงได้ความบันเทิงกันบ้างน่ะครับ
ดูหนังดูละครแล้วย้อนดูตัว ...
ท่านผู้ชมทั้งหลายได้/เสียอะไรบ้างจากการลงทุน
- tenkafubu
- Verified User
- โพสต์: 224
- ผู้ติดตาม: 0
ขอร่วมส่งด้วยคนครับ
โพสต์ที่ 9
ได้อะไรจากการลงทุนเป็นคำถามที่ดีครับ....
ก่อนอื่นผมต้องขอบอกว่ามือใหม่ครับ
ผมว่า สิ่งที่ผมได้ คือความรู้และความอยากรู้ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิตเลยเกี่ยวกับเรื่องการลงทุน ตั้งแต่เรียนหนังสือมาจนจบ บางครั้งผมว่ามันเ้ป็นความรู้สึกที่แปลกครับ เดี๋ยวนี้เวลาจะเดินห้างหรือไปซื้อของก็ต้องสังเกตว่าเป็นของบริษัทอะไร?? บริษัทนั้นเขาขายอะไร?? มันอาจจะดูเว่อร์ไปครับ แต่จริงๆน่ะครับ เมื่อก่อนไม่เคยสนในสิ่งของต่างๆรอบตัวเท่าไหร่ จนได้มาอ่านหนังสือของปีเตอร์ลินท์ (ภาคไทย) มันเป็นอะไรที่สนุกน่ะ แต่เสียดายที่ต้องทำงานด้วยทำให้ไม่สามารถศึกษาสิ่งเหล่านี้ได้มากเท่าที่ควร เป็นความรู้รอบตัวที่น่าสนใจ อีกอย่างคือความรู้สึกที่ได้รับจากการลงทุนครับ ผมซื้อหุ้นไป 2-3 ตัว ทั้ง 3 ตัวนี้ทำให้ผมเกิดความรู้สึกอยากติดตาม ตื่นเต้น กลัวว่าราคาจะลดลง กลัวขาดทุน แต่ผมก็บอกกับตัวเองว่า กว่าจะเลือกได้ คิดหนักครับ มันอาจจะไม่เป็นหุ้น value ในมุมมองของคนอื่นๆ แต่ผมว่ามันใช่น่ะ สิ่งเหล่านี้ทั้งความรู้ ความรู้สึก เหตุผล ผลตอบแทน การตัดสินใจเลือก จะเกิดจากการที่ผมต้องซื้อหุ้นตัวใดตัวนึง ซึ่งต้องใช้เงินที่ผมหามาจากการทำงาน มันเป็นอะไรที่ผมต้องคิดมากครับ แต่ผมสนุกกับมันน่ะครับ
ผมว่า การลงทุนได้ในสิ่งที่ต้องการ แต่ว่ามันไม่ได้ในทันที ต้องใช้เวลาครับเป็นตัวขับเคลื่อนเป็นตัวสะท้อนความเป็นตัวตนของมันออกมา และยังสะท้อนความเป็นตัวเราอีกด้วย จนตอนนี้ผมมีคำพูดติดปากเกือบทุกเรื่องแล้วว่า มันต้องมองกันยาวๆ นานๆ ครับ
ขอให้พี่ๆ และเพื่อนๆ ทุกคนค้นพบกับสิ่งที่ต้องการจากการลงทุนครับ
สวัสดี
ก่อนอื่นผมต้องขอบอกว่ามือใหม่ครับ
ผมว่า สิ่งที่ผมได้ คือความรู้และความอยากรู้ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิตเลยเกี่ยวกับเรื่องการลงทุน ตั้งแต่เรียนหนังสือมาจนจบ บางครั้งผมว่ามันเ้ป็นความรู้สึกที่แปลกครับ เดี๋ยวนี้เวลาจะเดินห้างหรือไปซื้อของก็ต้องสังเกตว่าเป็นของบริษัทอะไร?? บริษัทนั้นเขาขายอะไร?? มันอาจจะดูเว่อร์ไปครับ แต่จริงๆน่ะครับ เมื่อก่อนไม่เคยสนในสิ่งของต่างๆรอบตัวเท่าไหร่ จนได้มาอ่านหนังสือของปีเตอร์ลินท์ (ภาคไทย) มันเป็นอะไรที่สนุกน่ะ แต่เสียดายที่ต้องทำงานด้วยทำให้ไม่สามารถศึกษาสิ่งเหล่านี้ได้มากเท่าที่ควร เป็นความรู้รอบตัวที่น่าสนใจ อีกอย่างคือความรู้สึกที่ได้รับจากการลงทุนครับ ผมซื้อหุ้นไป 2-3 ตัว ทั้ง 3 ตัวนี้ทำให้ผมเกิดความรู้สึกอยากติดตาม ตื่นเต้น กลัวว่าราคาจะลดลง กลัวขาดทุน แต่ผมก็บอกกับตัวเองว่า กว่าจะเลือกได้ คิดหนักครับ มันอาจจะไม่เป็นหุ้น value ในมุมมองของคนอื่นๆ แต่ผมว่ามันใช่น่ะ สิ่งเหล่านี้ทั้งความรู้ ความรู้สึก เหตุผล ผลตอบแทน การตัดสินใจเลือก จะเกิดจากการที่ผมต้องซื้อหุ้นตัวใดตัวนึง ซึ่งต้องใช้เงินที่ผมหามาจากการทำงาน มันเป็นอะไรที่ผมต้องคิดมากครับ แต่ผมสนุกกับมันน่ะครับ
ผมว่า การลงทุนได้ในสิ่งที่ต้องการ แต่ว่ามันไม่ได้ในทันที ต้องใช้เวลาครับเป็นตัวขับเคลื่อนเป็นตัวสะท้อนความเป็นตัวตนของมันออกมา และยังสะท้อนความเป็นตัวเราอีกด้วย จนตอนนี้ผมมีคำพูดติดปากเกือบทุกเรื่องแล้วว่า มันต้องมองกันยาวๆ นานๆ ครับ
ขอให้พี่ๆ และเพื่อนๆ ทุกคนค้นพบกับสิ่งที่ต้องการจากการลงทุนครับ
สวัสดี
3M Only...
Market Cap.
Market Cap.
-
- ผู้ติดตาม: 0
ร่วมสนุกชิงรางวัล
โพสต์ที่ 10
การลงทุนกับวิสัยทัศน์
เมื่อเริ่มแรกที่ตัดสินใจก้าวเข้าสู่สนามการลงทุน คงจะมีอะไรที่ไม่แตกต่างไปจากนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่เท่าใดนัก กับการคาดหวังผลตอบแทนในระดับที่สามารถตอบสนองกับความต้องการและในระยะเวลาที่ตั้งไว้ ทุกๆ วันข่าวสารต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้งในและนอกตลาดฯ จะถูกกลั่นกรอง กับการนั่งเฝ้าภาวะตลาดของแต่ละวันเท่าที่เวลาและโอกาสอำนวย ผสมผสานไปด้วยอารมณ์ ความรู้สึกตื่นเต้น หดหู่ และดีใจ กับภาวะตลาดที่กระทบ ที่สุดความเหนื่อยล้า เบื่อหน่าย และผิดหวัง เข้าจู่โจมเมื่อความคาดหวังเป็นเพียงความฝันลมๆ แล้งๆ เพียงเพราะความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนในความหมายที่แท้จริงของการลงทุน
ขอเริ่มต้นใหม่อีกสักครั้ง เมื่อได้เข้าสัมนาในหัวข้อ "เงินทองต้องใส่ใจ" ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่จัดขึ้นเมื่อปลายปีก่อน เข้าค้นหาข้อมูลใน เว็บไซต์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในตลาดฯ ความเข้าใจที่มีอยู่และคิดว่าถูกต้องนั้นถูกลบเลือนและแทนที่ด้วยความหมายของการลงทุนที่แท้จริง
ไม่เพียงแต่การเข้าไปมีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของกิจการ ถึงแม้นจะเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่น้อยนิดเมื่อเปรียบเทียบกับสัดส่วนของการถือครองหุ้นทุนในกิจการที่สนใจอยู่ นัยสำคัญอยู่ตรงที่ สิ่งที่เห็นจากการเป็นส่วนร่วมนั้นเป็นภาพเดียวกับเจ้าของกิจการที่ได้สิทธิเข้าไปบริหารนั้นหรือไม่และมีสิ่งอื่นใดที่ทำให้เห็นถึงโอกาส ของกิจการนั้นๆ ที่รออยู่ในอนาคต
ไม่เพียงแต่การพิจารณาปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจที่ตั้งใจจะลงทุน ตลอดรวมถึงปัจจัยทั้งภายนอกและภายในที่ส่งผลกระทบทั้งโดยตรงและโดยอ้อมอย่างใคร่ครวญ เครื่องมือที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าคือ ความสามารถในการเห็นภาพแนวโน้มของกิจการที่พึงจะเป็นตามปัจจัยต่างๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งคือ "วิสัยทัศน์" ในธุรกิจนั้นๆ
แน่นอนไม่ใช่การนั่งเทียน หรือการวาดภาพสวยหรูถึงผลประกอบการที่ดีเลิศ และการคาดหวังจากเงินปันผลและผลต่างของราคาของหลักทรัพย์ทุนที่ตัดสินใจลงทุน วิสัยทัศน์ ไม่ใช่ความฝัน แต่เป็นความสามารถที่สร้างขึ้นได้จากการเก็บเกี่ยวข้อมูลต่างๆ ที่ส่งผลกระทบทั้งโดยตรงและโดยอ้อมต่อกิจการในปัจจุบัน วิเคราะห์ อย่างมีหลักเกณฑ์ และนำไปประยุกต์ให้เข้ากับเหตุการณ์แวดล้อมที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตของกิจการซึ่งจะทำให้เห็นถึงช่องทาง และโอกาสที่คาดว่าจะเป็นไปได้อย่างมีเหตุมีผล
ที่สำคัญที่สุดในการพิสูจน์ถึงความสามารถในการมี "วิสัยทัศน์" คือเวลา ซึ่งนักลงทุนจำต้องใช้และมีความอดทนต่อแรงต้าน แรงเสียดทาน ตลอดรวมถึงอุปสรรคและโอกาสตลอดระยะเวลาที่จะพิสูจน์ถึง "วิสัยทัศน์" นั้นๆ ซึ่งไม่แตกต่างไปจากผู้เป็นเจ้าของกิจการเท่าใดนัก
สิ่งหนึ่งที่เก็บเกี่ยวได้จากการลงทุนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยและเป็นสิ่งที่ทรงคุณค่ามากไปกว่าการลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี ได้รับเงินปันผล และส่วนต่างของราคาหุ้นทุน และนักลงทุนทุกคนน่าที่จะได้เก็บไว้ คือ "วิสัยทัศน์" อาวุธที่สำคัญของนักลงทุน
เมื่อเริ่มแรกที่ตัดสินใจก้าวเข้าสู่สนามการลงทุน คงจะมีอะไรที่ไม่แตกต่างไปจากนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่เท่าใดนัก กับการคาดหวังผลตอบแทนในระดับที่สามารถตอบสนองกับความต้องการและในระยะเวลาที่ตั้งไว้ ทุกๆ วันข่าวสารต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้งในและนอกตลาดฯ จะถูกกลั่นกรอง กับการนั่งเฝ้าภาวะตลาดของแต่ละวันเท่าที่เวลาและโอกาสอำนวย ผสมผสานไปด้วยอารมณ์ ความรู้สึกตื่นเต้น หดหู่ และดีใจ กับภาวะตลาดที่กระทบ ที่สุดความเหนื่อยล้า เบื่อหน่าย และผิดหวัง เข้าจู่โจมเมื่อความคาดหวังเป็นเพียงความฝันลมๆ แล้งๆ เพียงเพราะความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนในความหมายที่แท้จริงของการลงทุน
ขอเริ่มต้นใหม่อีกสักครั้ง เมื่อได้เข้าสัมนาในหัวข้อ "เงินทองต้องใส่ใจ" ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่จัดขึ้นเมื่อปลายปีก่อน เข้าค้นหาข้อมูลใน เว็บไซต์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในตลาดฯ ความเข้าใจที่มีอยู่และคิดว่าถูกต้องนั้นถูกลบเลือนและแทนที่ด้วยความหมายของการลงทุนที่แท้จริง
ไม่เพียงแต่การเข้าไปมีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของกิจการ ถึงแม้นจะเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่น้อยนิดเมื่อเปรียบเทียบกับสัดส่วนของการถือครองหุ้นทุนในกิจการที่สนใจอยู่ นัยสำคัญอยู่ตรงที่ สิ่งที่เห็นจากการเป็นส่วนร่วมนั้นเป็นภาพเดียวกับเจ้าของกิจการที่ได้สิทธิเข้าไปบริหารนั้นหรือไม่และมีสิ่งอื่นใดที่ทำให้เห็นถึงโอกาส ของกิจการนั้นๆ ที่รออยู่ในอนาคต
ไม่เพียงแต่การพิจารณาปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจที่ตั้งใจจะลงทุน ตลอดรวมถึงปัจจัยทั้งภายนอกและภายในที่ส่งผลกระทบทั้งโดยตรงและโดยอ้อมอย่างใคร่ครวญ เครื่องมือที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าคือ ความสามารถในการเห็นภาพแนวโน้มของกิจการที่พึงจะเป็นตามปัจจัยต่างๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งคือ "วิสัยทัศน์" ในธุรกิจนั้นๆ
แน่นอนไม่ใช่การนั่งเทียน หรือการวาดภาพสวยหรูถึงผลประกอบการที่ดีเลิศ และการคาดหวังจากเงินปันผลและผลต่างของราคาของหลักทรัพย์ทุนที่ตัดสินใจลงทุน วิสัยทัศน์ ไม่ใช่ความฝัน แต่เป็นความสามารถที่สร้างขึ้นได้จากการเก็บเกี่ยวข้อมูลต่างๆ ที่ส่งผลกระทบทั้งโดยตรงและโดยอ้อมต่อกิจการในปัจจุบัน วิเคราะห์ อย่างมีหลักเกณฑ์ และนำไปประยุกต์ให้เข้ากับเหตุการณ์แวดล้อมที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตของกิจการซึ่งจะทำให้เห็นถึงช่องทาง และโอกาสที่คาดว่าจะเป็นไปได้อย่างมีเหตุมีผล
ที่สำคัญที่สุดในการพิสูจน์ถึงความสามารถในการมี "วิสัยทัศน์" คือเวลา ซึ่งนักลงทุนจำต้องใช้และมีความอดทนต่อแรงต้าน แรงเสียดทาน ตลอดรวมถึงอุปสรรคและโอกาสตลอดระยะเวลาที่จะพิสูจน์ถึง "วิสัยทัศน์" นั้นๆ ซึ่งไม่แตกต่างไปจากผู้เป็นเจ้าของกิจการเท่าใดนัก
สิ่งหนึ่งที่เก็บเกี่ยวได้จากการลงทุนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยและเป็นสิ่งที่ทรงคุณค่ามากไปกว่าการลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี ได้รับเงินปันผล และส่วนต่างของราคาหุ้นทุน และนักลงทุนทุกคนน่าที่จะได้เก็บไว้ คือ "วิสัยทัศน์" อาวุธที่สำคัญของนักลงทุน
-
- Verified User
- โพสต์: 67
- ผู้ติดตาม: 0
เราได้อะไรจากการลงทุน
โพสต์ที่ 11
การลงทุนนั้น เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เริ่มต้นตั้งแต่เรายังเด็กจนเข้าสู่วัยชรา โดยในช่วงวัยเด็ก พ่อแม่ ก็ลงทุนในการศึกษาของลูกๆ จนพวกเราเรียนจบ นักเรียน นักศึกษา ก็ต้องลงทุนศึกษา ใช้เวลาศึกษาหาความรู้ ต้องต่อสู้กับสิ่งล่อใจต่างๆ หรือ สิ่งที่ไม่ดี ต่างๆ รอบตัว จนวันหนึ่ง เรียนจบมหาวิทยาลัย แล้วออกสู่โลกแห่งการงาน บางคนก็ไม่หยุดอยู่นั้น ก็ขวนขวาย เรียนต่อปริญญาโท เอก ซึ่งเหล่านี้ ก็ถือว่า เป็นการลงทุนเช่นกัน เพราะกว่าจะเรียนจบ ต้องทุ่มเท เหน็ดเหนื่อย ทั้งอ่านตำรา ทำรายงาน ค้นคว้า วิจัย สารพัด เมื่อเรียนจบ คนเหล่านี้ ก็จะมีโอกาสมากขึ้น ในการที่จะได้งานที่ดี และ รายได้สูงตามมาด้วย แถมบางคนที่ไปเรียนต่างประเทศ พอจบปริญญาโท กลับมา ก็มีภาษีดีกว่า เพื่อนที่เรียนปริญญาโทในเมืองไทย ก็เป็นค่านิยมของสังคมอย่างหนึ่งที่ยังมีอยู่ ทำให้หลายๆคน ก็พยายามขวนขวายที่จะไป ผมเคยได้ยินเพื่อนบางคนเล่าให้ฟัง ว่าในยุคเศรษฐกิจบูม มีงานบางประเภทนะ รับเฉพาะคนจบต่างประเทศอย่างเดียวเลย แถมมีการแบ่งเกรด ออกเหยียดๆหน่อย จากตัวอย่างที่เล่ามา ก็เป็นเรื่องการลงทุนในการศึกษา ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี เพราะความรู้ สามารถทำให้เราหาเลี้ยงชีพได้ ยิ่งในยุคปัจจุบัน เป็นยุคของข้อมูลข่าวสาร และ มีความพยายามที่จะผลักดันให้สังคมเราก้าวไปสู่ knowledge based society มีความรู้เป็นอาวุธ ซึ่งเราทุกคนต้องพยายามเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ซึ่งต้องช่วยๆกันกระตุ้นให้คนไทย รักการอ่านมากๆ ยิ่งขึ้น การเรียนรู้ ก็มีหลายรูปแบบ จะเป็นคอร์สสั้นๆ ทั้ง ด้านภาษา , คอมพิวเตอร์ IT , หลักสูตรวิชาชีพ ซึ่งมีมากมายในตลาด จนบางที เราอาจงงๆเหมือนกันว่า จะเรียนที่ไหนดี ก็ค่อยๆเลือกกันนะครับ ที่สำคัญคือ เรียนในสิ่งที่สนใจ ทำให้ได้ผลดีที่สุด และค่าใช้จ่ายเหมาะสม ที่เขียนค่อนข้างยาว เพราะการศึกษาเป็นสิ่งที่สำคัญมากจริงๆนะครับ
เมื่อเราเข้าสู่ชิวิตการงาน หลายๆคนก็สนุกสนาน เริ่มมีรายได้ของตัวเอง ก็เพลิดเพลินกับการใช้จ่าย อยากซื้ออะไรก็ซื้อ ท่องเที่ยว สังสรรค์ เฮฮา กับเพื่อนฝูง เริ่มผ่อนรถ สักพัก ก็เริ่มผ่อนบ้าน แล้วเป็นอย่างไรครับ ปรา กฎว่า ค่าใช้จ่ายก็เริ่มสูงขึ้นเรื่อย หากไม่มีวินัย รายจ่ายเกินรายได้ ก็เริ่มมีปัญหาสิครับ เงินที่ต้องจ่ายเพิ่มจะมาจากไหน บางคนพอมีเงินสะสมในบัญชีตั้งแต่เด็ก ก็เบิกมาใช้ บางคนก็ยังขอพ่อแม่ แถม บางคนขอมากกว่าตอนเรียนอีก เพราะภาษีสังคมเยอะมากๆๆๆ พ่อแม่บางคน พอมีฐานะก็ให้ไป ทีนี้หากเป็นอย่างนี้ ไปเรื่อยๆก็แย่แน่ๆ รายรับน้อยกว่ารายจ่าย แล้วอนาคตจะทำอย่างไร ในเมื่อวันหนึ่ง ต้องมีครอบครัวอีก ผมคิดว่า หลายๆคน ตั้งหน้าตั้งตาทำงานหามรุ่งหามค่ำ แต่ไม่รู้วิธีบริหารเงินที่ดีพอ เงินเดือนเยอะแค่ไหน ก็หมดได้เหมือนกัน
หากเราตั้งใจที่จะลงทุน เราก็ต้องมีเงินเก็บและต้องมีวินัยในการออมอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ตรงนี้พูดง่ายแต่ทำยาก แต่ผมว่า เราทุกคนต้องพยายาม อย่าลืมถามตัวเอง ว่าเราต้องการออม หรือลงทุนไปเพื่ออะไร บางคนอยากอยู่สบายยามเกษียณ ไปท่องเที่ยว มีเงินใช้จ่ายโดยไม่เป็นภาระให้ ลูกหลานในเรื่องค่าใช้จ่าย บางคนก็ต้องการหาเงินมากๆ สร้างโอกาสให้ลูก ชดเชยในสิ่งที่ตนเองไม่เคยได้ เช่น บางคนอยากไปเรียนเมืองนอก แต่ไม่มีโอกาส เนื่องจาก ครอบครัวไม่ได้ร่ำรวย แต่เขารู้ว่า เพื่อนที่ได้ไปเรียน พอกลับมาเมืองไทย มีโอกาสทำงานที่ดี ได้เรียนรู้โลกกว้าง เหล่านี้ ก็อาจเป็นแรงผลักดันให้คนเหล้านี้ขยันขันแข็งหาเงินจนเป็นเศรษฐี อย่างที่เราเห็นตัวอย่างหลายๆคนในสังคมเรา
การลงทุนนั้น จะทำให้เราได้ประโยชน์หลายอย่างที่เดียว ผมขอสรุปเป็นข้อๆ ดังนี้
- ทำให้เราเป็นคนตื่นตัว ติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างสม่ำเสมอ อ่านหนังสือพิมพ์ ดูโทรศัพท์ ทำให้เราเป็นคนทันสมัย ไม่ว่า คุณจะลงทุนมากหรือน้อย
- การลงทุน ทำให้เราได้ฝึกฝนการวิเคราะห์ข้อมูล การคัดเลือก มีขั้นตอนมากมาย เช่น สมมุติ คุณมีเงินเก็บจำนวนหนึ่ง อยากนำมาลงทุน คุณก็ต้องวิเคราะห์เป้าหมายการลงทุน ดูว่าความเสี่ยงที่ยอมรับได้มากน้อยแค่ไหน นโยบายลงทุนเป็นอย่างไร มีเวลาติดตามข้อมูลข่าวสาร หรือ มีความรู้ในตราสารที่จะลงทุนมากน้อยแค่ไหน เจอไปแบบนี้ บางคนก็คิดหนัก เพราะ เงินเก็บมาชั่วชีวิต หากตัดสินใจผิด แล้วเงินสูญไป ก็เป็นที่เสียดายมากทีเดียว
- หากเราตั้งใจลงทุน เราต้องศึกษาข้อมูล หาความรู้ เข้าคอร์สฝึกอบรมสัมมนา เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจ ว่าเราควรเลือกลงทุนแบบใด เมื่อไหร่ และมากแค่ไหน
- ในการลงทุนแบบ value investment เป็นการฝึกให้นักลงทุน ไม่หวั่นไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาตราสาร ในระยะสั้น (หลักทรัพย์ที่มีคุณค่า) เป็นฝึกตัวเองที่ดีอย่างหนึ่ง ความโลภเป็นสิ่งที่เราต้องระวัง
- หากเรามุ่งมั่นในการลงทุนที่ถูกต้อง และทำอย่างสม่ำเสมอ เราก็สามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้
- มีโอกาสได้รู้จักคนมากขึ้น โดยปกติ เราก็จะรู้จักคนในอุตสาหกรรมเดียวกันกับที่เราทำงานอยู่ แต่เมื่อเราลงทุน ในตลาดหุ้น หรือกองทุนรวม เราก็มีโอกาสได้รู้เพื่อนต่างอาชีพเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ การมี website แบบนี้ ทำให้รู้สึกถึงความเป็นสังคมเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม การลงทุนก็มีข้อเสียเช่นกัน
- การลงทุนมีความเสี่ยง เราจึงต้องศึกษาให้ดีก่อนจะตัดสินใจลงทุน เพื่อรักษาผลประโยชน์ของเราให้มากที่สุด หากเงินต้นหดหายไป ก็ลำบากแย่เลย
- ทำให้เราเกิดความกังวล เกิดความเครียด ในยามที่หลักทรัพย์ที่ลงทุน มีความผันผวน หรือราคาลดลง บางคนอาจถึงกับนอนไม่หลับ
โดยสรุป ในปัจจุบันนั้น มีการส่งเสริม ให้คนลงทุนมากขึ้น โดยมีรูปแบบการลงทุนที่มากมาย แต่ละคน คงต้องแบ่งเวลาส่วนหนึ่งมาศึกษาหาข้อมูล เพื่อให้ตัดสินใจได้ถูกต้อง หรือมีความผิดพลาดน้อยที่สุด และการมีเป้าหมายในการลงทุนที่ชัดเจน ประกอบกับลงทุนแบบนักลงทุนจริงๆ ไม่ใช่เป็นนักเก็งกำไร วันหนึ่งท่านก็จะไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยไม่ยากนัก
ศุภชัย ลิมปนากร
เมื่อเราเข้าสู่ชิวิตการงาน หลายๆคนก็สนุกสนาน เริ่มมีรายได้ของตัวเอง ก็เพลิดเพลินกับการใช้จ่าย อยากซื้ออะไรก็ซื้อ ท่องเที่ยว สังสรรค์ เฮฮา กับเพื่อนฝูง เริ่มผ่อนรถ สักพัก ก็เริ่มผ่อนบ้าน แล้วเป็นอย่างไรครับ ปรา กฎว่า ค่าใช้จ่ายก็เริ่มสูงขึ้นเรื่อย หากไม่มีวินัย รายจ่ายเกินรายได้ ก็เริ่มมีปัญหาสิครับ เงินที่ต้องจ่ายเพิ่มจะมาจากไหน บางคนพอมีเงินสะสมในบัญชีตั้งแต่เด็ก ก็เบิกมาใช้ บางคนก็ยังขอพ่อแม่ แถม บางคนขอมากกว่าตอนเรียนอีก เพราะภาษีสังคมเยอะมากๆๆๆ พ่อแม่บางคน พอมีฐานะก็ให้ไป ทีนี้หากเป็นอย่างนี้ ไปเรื่อยๆก็แย่แน่ๆ รายรับน้อยกว่ารายจ่าย แล้วอนาคตจะทำอย่างไร ในเมื่อวันหนึ่ง ต้องมีครอบครัวอีก ผมคิดว่า หลายๆคน ตั้งหน้าตั้งตาทำงานหามรุ่งหามค่ำ แต่ไม่รู้วิธีบริหารเงินที่ดีพอ เงินเดือนเยอะแค่ไหน ก็หมดได้เหมือนกัน
หากเราตั้งใจที่จะลงทุน เราก็ต้องมีเงินเก็บและต้องมีวินัยในการออมอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ตรงนี้พูดง่ายแต่ทำยาก แต่ผมว่า เราทุกคนต้องพยายาม อย่าลืมถามตัวเอง ว่าเราต้องการออม หรือลงทุนไปเพื่ออะไร บางคนอยากอยู่สบายยามเกษียณ ไปท่องเที่ยว มีเงินใช้จ่ายโดยไม่เป็นภาระให้ ลูกหลานในเรื่องค่าใช้จ่าย บางคนก็ต้องการหาเงินมากๆ สร้างโอกาสให้ลูก ชดเชยในสิ่งที่ตนเองไม่เคยได้ เช่น บางคนอยากไปเรียนเมืองนอก แต่ไม่มีโอกาส เนื่องจาก ครอบครัวไม่ได้ร่ำรวย แต่เขารู้ว่า เพื่อนที่ได้ไปเรียน พอกลับมาเมืองไทย มีโอกาสทำงานที่ดี ได้เรียนรู้โลกกว้าง เหล่านี้ ก็อาจเป็นแรงผลักดันให้คนเหล้านี้ขยันขันแข็งหาเงินจนเป็นเศรษฐี อย่างที่เราเห็นตัวอย่างหลายๆคนในสังคมเรา
การลงทุนนั้น จะทำให้เราได้ประโยชน์หลายอย่างที่เดียว ผมขอสรุปเป็นข้อๆ ดังนี้
- ทำให้เราเป็นคนตื่นตัว ติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างสม่ำเสมอ อ่านหนังสือพิมพ์ ดูโทรศัพท์ ทำให้เราเป็นคนทันสมัย ไม่ว่า คุณจะลงทุนมากหรือน้อย
- การลงทุน ทำให้เราได้ฝึกฝนการวิเคราะห์ข้อมูล การคัดเลือก มีขั้นตอนมากมาย เช่น สมมุติ คุณมีเงินเก็บจำนวนหนึ่ง อยากนำมาลงทุน คุณก็ต้องวิเคราะห์เป้าหมายการลงทุน ดูว่าความเสี่ยงที่ยอมรับได้มากน้อยแค่ไหน นโยบายลงทุนเป็นอย่างไร มีเวลาติดตามข้อมูลข่าวสาร หรือ มีความรู้ในตราสารที่จะลงทุนมากน้อยแค่ไหน เจอไปแบบนี้ บางคนก็คิดหนัก เพราะ เงินเก็บมาชั่วชีวิต หากตัดสินใจผิด แล้วเงินสูญไป ก็เป็นที่เสียดายมากทีเดียว
- หากเราตั้งใจลงทุน เราต้องศึกษาข้อมูล หาความรู้ เข้าคอร์สฝึกอบรมสัมมนา เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจ ว่าเราควรเลือกลงทุนแบบใด เมื่อไหร่ และมากแค่ไหน
- ในการลงทุนแบบ value investment เป็นการฝึกให้นักลงทุน ไม่หวั่นไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาตราสาร ในระยะสั้น (หลักทรัพย์ที่มีคุณค่า) เป็นฝึกตัวเองที่ดีอย่างหนึ่ง ความโลภเป็นสิ่งที่เราต้องระวัง
- หากเรามุ่งมั่นในการลงทุนที่ถูกต้อง และทำอย่างสม่ำเสมอ เราก็สามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้
- มีโอกาสได้รู้จักคนมากขึ้น โดยปกติ เราก็จะรู้จักคนในอุตสาหกรรมเดียวกันกับที่เราทำงานอยู่ แต่เมื่อเราลงทุน ในตลาดหุ้น หรือกองทุนรวม เราก็มีโอกาสได้รู้เพื่อนต่างอาชีพเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ การมี website แบบนี้ ทำให้รู้สึกถึงความเป็นสังคมเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม การลงทุนก็มีข้อเสียเช่นกัน
- การลงทุนมีความเสี่ยง เราจึงต้องศึกษาให้ดีก่อนจะตัดสินใจลงทุน เพื่อรักษาผลประโยชน์ของเราให้มากที่สุด หากเงินต้นหดหายไป ก็ลำบากแย่เลย
- ทำให้เราเกิดความกังวล เกิดความเครียด ในยามที่หลักทรัพย์ที่ลงทุน มีความผันผวน หรือราคาลดลง บางคนอาจถึงกับนอนไม่หลับ
โดยสรุป ในปัจจุบันนั้น มีการส่งเสริม ให้คนลงทุนมากขึ้น โดยมีรูปแบบการลงทุนที่มากมาย แต่ละคน คงต้องแบ่งเวลาส่วนหนึ่งมาศึกษาหาข้อมูล เพื่อให้ตัดสินใจได้ถูกต้อง หรือมีความผิดพลาดน้อยที่สุด และการมีเป้าหมายในการลงทุนที่ชัดเจน ประกอบกับลงทุนแบบนักลงทุนจริงๆ ไม่ใช่เป็นนักเก็งกำไร วันหนึ่งท่านก็จะไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยไม่ยากนัก
ศุภชัย ลิมปนากร
- Meeja
- Verified User
- โพสต์: 333
- ผู้ติดตาม: 0
ร่วมสนุกชิงรางวัล
โพสต์ที่ 12
ลงทุนแล้วได้อะไร
ช่วงวันหยุดยาวหลังการประชุมของ ฯพณฯ ท่านๆ ทั้งหลาย ผมมีโอกาส
ไปพักผ่อนเมืองนอกช่วงเดียวกับที่ ฯพณฯ ท่านประจำผักชีนครก็ออกไป
เช่นกัน มาเลเซียคือปลายทางของผม ประเทศนี้มีเมืองหลวงชื่อ
กัวลาลัมเปอร์ ซึ่งชื่อไม่ใคร่ไพเราะเท่าไหร่ แปลได้ประมาณเมืองที่มี
แม่น้ำชนกันแล้วเป็นเลนโคลนขึ้นมา ชื่อเมืองหลวงนะครับนั่น!! ผิดกับชื่อ
อันงดงามและยาวเฟื้อยดังเช่นเมืองเทพ เมืองหลวงของผักชีนครเยอะ
ขณะที่ผมแวะชมสถานที่ต่างๆ เช่น KL Tower และตึกคู่เปโตรนาส
ประกอบกับความสวยงามของทัศนียภาพข้างทางซึ่งทำให้ผมประทับใจ
อย่างมาก เป็นความสวยงามที่คงทนถาวร ไม่จำเป็นต้องระดมกำลังปลูก
ผักชีกันบ่อยๆ ผมก็หวนกลับมาคิดถึงผักชีนครของเรา จะทำอะไรกันทีก็
ต้องแต่งตัวกันที งบประมาณที่มีก็นำมาปลูกผักชีเกลี้ยง ซักพักผักชีก็ตายไป
แล้วทุกอย่างก็เหมือนเดิม ทำไมไม่คิดลงทุนอะไรดีๆ แบบผู้บริหารประเทศ
มาเลเซียบ้าง
You are what you invest!! ลงทุนอย่างไรก็ได้ผลกลับมาอย่างนั้น!!
จากที่ผมไปเที่ยวชมเมืองมาก็ทำให้รู้ว่าหากเราคิดลงทุนอะไรดีๆ ซัก
อย่าง วางแผนอย่างรอบคอบ ก็จะได้เมืองสวยๆ แต่ชื่อไม่เพราะอย่าง
กัวลาลัมเปอร์มา หากจะสักลงทุนโดยคิดแต่ว่าจะลงทุน ได้นิดๆ หน่อยๆ
ก็ถอนทุนกัน ก็คงได้เมืองสวยประหลาด แถมนามอันเพราะพริ้งอย่างผักชี
นครของเรา
เงินนะครับ อย่าเอาไปเล่นเหมือนปาหินทิ้งน้ำ!! (ลอกคำพูดใครหว่า?)
วิสัยทัศน์เป็นเรื่องที่สำคัญก่อนการลงทุนใดๆ เป้าหมายที่มีอยู่ใน
ใจต้องตั้งไว้ก่อน ทันใดเส้นทางสดใสก็จะตามมา การลงทุนของผมก็เป็น
เช่นนั้น เป้าหมายในใจคืออิสรภาพการเงิน เส้นทางที่วางไว้คือ Value
Investing ลงทุนอย่าง ไม่ขาดทุน อย่างต่อเนื่อง ความปลอดภัยต้องมี
เพียงพอ ความสบายใจในการลงทุนก็จะตามมา เพราะ คุณลงทุนอย่าง
ไรก็ได้ผลกลับมาอย่างนั้น
ความขยันหมั่นเพียรใฝ่รู้เป็นคุณสมบัติของผู้ที่ต้องการพัฒนาตน
ไม่มีใครที่เกิดมาแล้วลงทุนเป็นเลย แม้แต่ท่านกูรูในวงการทั้งหลายทั้ง
แบบ VI และ VS ต่างก็ต้องศึกษาในแนวทางของตนทั้งสิ้น ตัวผมเองก็
เริ่มจากก้าวเล็กๆ ในการเรียนรู้ และเสาะหาความรู้ใหม่ๆ เสมอ จาก
หนังสือ ตีแตก ก็กลายเป็นหนังสืออีกมากมาย พยายามทำความเข้าใจ
กับศาสตร์แห่งการลงทุนอย่างมีคุณภาพ เมื่อความเข้าใจมากมายทวี ก็จะ
แยกของดีออกจากของทั่วๆ ไปได้ด้วยตนเอง เพราะ เงินนะครับ อย่าเอา
ไปเล่นเหมือนปาหินทิ้งน้ำ
มิตรภาพเป็นสิ่งที่ได้รับจากการให้และรับแก่กันและกัน เป็นสิ่งที่
ค้ำชูจิตใจของกลุ่มบุคคลที่มีเป้าหมายเดียวกัน เป็นสิ่งที่ผมได้รับจาก
หลายๆ ท่าน โดยเฉพาะในสังคม TVI แห่งนี้ ซึ่งมีการให้อย่างเห็นแก่
ประโยชน์ของอีกฝ่าย, ไม่เห็นแก่ผลตอบแทน, และไม่มีการทำร้ายกัน
เอง ทุกคนต่างช่วยกันดูแลรักษาสังคมแห่งนี้ ซึ่งหาได้ยากจากสังคม
ไหนๆ ผมหวังว่าสังคมดีๆ แห่งนี้จะธำรงคงอยู่ต่อๆ ไป
การลงทุนอย่าง Value investor ทำให้ผมมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลขึ้น, มี
ความขยันหมั่นเพียรใฝ่รู้มากขึ้น, มีมิตรภาพที่สวยงาม, และมีความเข้าใจ
ว่าจะจัดการเงินทุนของตัวเองอย่างไร เพื่อให้ก่อประโยชน์ทวีในภายภาค
หน้า
สักวัน ผมคงมีเมืองสวยๆ ในฝันบ้าง...
ช่วงวันหยุดยาวหลังการประชุมของ ฯพณฯ ท่านๆ ทั้งหลาย ผมมีโอกาส
ไปพักผ่อนเมืองนอกช่วงเดียวกับที่ ฯพณฯ ท่านประจำผักชีนครก็ออกไป
เช่นกัน มาเลเซียคือปลายทางของผม ประเทศนี้มีเมืองหลวงชื่อ
กัวลาลัมเปอร์ ซึ่งชื่อไม่ใคร่ไพเราะเท่าไหร่ แปลได้ประมาณเมืองที่มี
แม่น้ำชนกันแล้วเป็นเลนโคลนขึ้นมา ชื่อเมืองหลวงนะครับนั่น!! ผิดกับชื่อ
อันงดงามและยาวเฟื้อยดังเช่นเมืองเทพ เมืองหลวงของผักชีนครเยอะ
ขณะที่ผมแวะชมสถานที่ต่างๆ เช่น KL Tower และตึกคู่เปโตรนาส
ประกอบกับความสวยงามของทัศนียภาพข้างทางซึ่งทำให้ผมประทับใจ
อย่างมาก เป็นความสวยงามที่คงทนถาวร ไม่จำเป็นต้องระดมกำลังปลูก
ผักชีกันบ่อยๆ ผมก็หวนกลับมาคิดถึงผักชีนครของเรา จะทำอะไรกันทีก็
ต้องแต่งตัวกันที งบประมาณที่มีก็นำมาปลูกผักชีเกลี้ยง ซักพักผักชีก็ตายไป
แล้วทุกอย่างก็เหมือนเดิม ทำไมไม่คิดลงทุนอะไรดีๆ แบบผู้บริหารประเทศ
มาเลเซียบ้าง
You are what you invest!! ลงทุนอย่างไรก็ได้ผลกลับมาอย่างนั้น!!
จากที่ผมไปเที่ยวชมเมืองมาก็ทำให้รู้ว่าหากเราคิดลงทุนอะไรดีๆ ซัก
อย่าง วางแผนอย่างรอบคอบ ก็จะได้เมืองสวยๆ แต่ชื่อไม่เพราะอย่าง
กัวลาลัมเปอร์มา หากจะสักลงทุนโดยคิดแต่ว่าจะลงทุน ได้นิดๆ หน่อยๆ
ก็ถอนทุนกัน ก็คงได้เมืองสวยประหลาด แถมนามอันเพราะพริ้งอย่างผักชี
นครของเรา
เงินนะครับ อย่าเอาไปเล่นเหมือนปาหินทิ้งน้ำ!! (ลอกคำพูดใครหว่า?)
วิสัยทัศน์เป็นเรื่องที่สำคัญก่อนการลงทุนใดๆ เป้าหมายที่มีอยู่ใน
ใจต้องตั้งไว้ก่อน ทันใดเส้นทางสดใสก็จะตามมา การลงทุนของผมก็เป็น
เช่นนั้น เป้าหมายในใจคืออิสรภาพการเงิน เส้นทางที่วางไว้คือ Value
Investing ลงทุนอย่าง ไม่ขาดทุน อย่างต่อเนื่อง ความปลอดภัยต้องมี
เพียงพอ ความสบายใจในการลงทุนก็จะตามมา เพราะ คุณลงทุนอย่าง
ไรก็ได้ผลกลับมาอย่างนั้น
ความขยันหมั่นเพียรใฝ่รู้เป็นคุณสมบัติของผู้ที่ต้องการพัฒนาตน
ไม่มีใครที่เกิดมาแล้วลงทุนเป็นเลย แม้แต่ท่านกูรูในวงการทั้งหลายทั้ง
แบบ VI และ VS ต่างก็ต้องศึกษาในแนวทางของตนทั้งสิ้น ตัวผมเองก็
เริ่มจากก้าวเล็กๆ ในการเรียนรู้ และเสาะหาความรู้ใหม่ๆ เสมอ จาก
หนังสือ ตีแตก ก็กลายเป็นหนังสืออีกมากมาย พยายามทำความเข้าใจ
กับศาสตร์แห่งการลงทุนอย่างมีคุณภาพ เมื่อความเข้าใจมากมายทวี ก็จะ
แยกของดีออกจากของทั่วๆ ไปได้ด้วยตนเอง เพราะ เงินนะครับ อย่าเอา
ไปเล่นเหมือนปาหินทิ้งน้ำ
มิตรภาพเป็นสิ่งที่ได้รับจากการให้และรับแก่กันและกัน เป็นสิ่งที่
ค้ำชูจิตใจของกลุ่มบุคคลที่มีเป้าหมายเดียวกัน เป็นสิ่งที่ผมได้รับจาก
หลายๆ ท่าน โดยเฉพาะในสังคม TVI แห่งนี้ ซึ่งมีการให้อย่างเห็นแก่
ประโยชน์ของอีกฝ่าย, ไม่เห็นแก่ผลตอบแทน, และไม่มีการทำร้ายกัน
เอง ทุกคนต่างช่วยกันดูแลรักษาสังคมแห่งนี้ ซึ่งหาได้ยากจากสังคม
ไหนๆ ผมหวังว่าสังคมดีๆ แห่งนี้จะธำรงคงอยู่ต่อๆ ไป
การลงทุนอย่าง Value investor ทำให้ผมมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลขึ้น, มี
ความขยันหมั่นเพียรใฝ่รู้มากขึ้น, มีมิตรภาพที่สวยงาม, และมีความเข้าใจ
ว่าจะจัดการเงินทุนของตัวเองอย่างไร เพื่อให้ก่อประโยชน์ทวีในภายภาค
หน้า
สักวัน ผมคงมีเมืองสวยๆ ในฝันบ้าง...
-
- ผู้ติดตาม: 0
ร่วมสนุกชิงรางวัล
โพสต์ที่ 13
ขอร่วมสนุกด้วยคนครับ..............
เรา "ได้อะไรจากการลงทุน" ,การลงทุนให้อะไร ?
ผมนั่งอ่านคำถามนี้อยู่หลายรอบ แต่ไม่รู้ว่าจะตอบว่าอย่างไร? ทั้งๆที่
ในวิถีการดำเนินชีวิตของคนทุกคน ย่อมจะต้องเกี่ยวพันกับการลงทุนมาตลอด ตั้งแต่ก่อนคลอดไปจนจุดสุดท้ายของชีวิต และไม่ว่าจะกี่ชั่วรุ่น
บรรพบุรุษ ในขณะที่การลงทุนเป็นส่วนหนึ่งของการดำรงชีพ และมีทุกที่
ทุกแห่งไม่ว่าที่ใดๆในโลก แต่พอถึงเวลาต้องตอบว่า....เราได้อะไรจากการลงทุน....ผมถึงกับอึ้งไปพักใหญ่ทีเดียว...........
ผมเองก็เหมือนคนอื่นๆทั่วไป ที่มีความคิดอยู่บนพื้นฐานของความเป็น
ปุถุชน อยากได้-อยากมี-อยากเป็น บน 2 ประการ คือ
1.ทำอย่างไรให้มีเงิน
2.มีเงินแล้วทำอย่างไร
ข้อ 1. น่ะ เป็นที่รู้ๆกันอยู่ว่าจะต้องทำอย่างไร แต่พอมาถึงข้อ 2....
โดยการอบรมแต่โบราณมา ก็มักจะเน้นกันที่ "การออม" ด้วยการฝากไว้กับธนาคาร ซึ่งก็นับได้ว่าเป็นการลงทุนชนิดหนึ่ง แต่เมื่อถึงวันที่ ดอก-ผล
ที่ได้รับจากการฝาก ไม่สามารถให้คำตอบของความมั่งคั่งได้ ผมก็ต้องแสวงหาทางอื่นต่อไป จนถึงวันนี้ทางออกที่ชัดเจนก็คือ นำเงินที่ได้จากการทำงานไป"ลงทุน" ให้เงินทำงานแทนเรา ออกดอก- ออกผล โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ "อิสรภาพทางการเงิน" นั่นเอง แน่นอนกว่าจะถึงวันนั้น ผม
ว่า คนทุกคนฝันกันทั้งนั้นว่าหากตัวเองประสบความสำเร็จแล้ว จะนำเงินที่ได้ไปใช้จ่ายตามความต้องการของตนอย่างไร คำว่า "ความฝัน" นี่ดีนะครับ เป็นความสุขเล็กๆ ที่มีได้จากตัวเอง ไม่ต้องไปซื้อหา เป็นของขวัญจากธรรมชาติที่มอบให้กับมนุษย์ทุกคน และเพราะความฝันนี่แหละที่ทำให้มนุษย์ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้
เส้นทาง "การลงทุน" คำนี้ทำให้ผมนึกถึงภาพของการแข่งขันวิ่งมาราธอนระดับโลก ที่มีผู้เข้าร่วมกันมากมายจากทั่วทุกมุมโลก บางคนก็วิ่งอย่างจริงจัง บางคนก็วิ่งแบบเรื่อยๆ บางคนก็วิ่งไปคุยไป แต่ไม่ว่าจะเป็นใครก็ล้วนอยากพาตัวเองไปให้จุดหมายปลายทาง กันทั้งนั้น....การแข่งขันก็ไม่เห็นจะมีทีท่าว่าเมื่อไรจะสิ้นสุด และที่จุดแวะพักระหว่างทาง ผม
ก็มักจะสังเกตเห็นนักวิ่งที่มาถึงก่อนคอยรับมือ และส่งเครื่องดื่มให้กับคนที่ตามมาเป็นลำดับๆ แถมยังตะโกนส่งเสียงเชียร์กัน,ส่งแรงใจให้กับนักวิ่งคนท้ายๆให้มีกำลังใจ ว่าอย่าหยุด,วิ่งต่อไป ,วิ่งต่อไป,อย่าพึ่งท้อ ไม่ต้องห่วงเรื่องลำดับที่ มันเป็นเกมส์ที่ไม่มีการแพ้-ชนะ ขอเพียงอย่ายอมแพ้ตัวเอง เพราะคนที่เข้าใกล้จุดหมายรู้ดีว่าเป้าหมายที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ ชื่อเสียง ,สรรเสริญ แต่เป็นความภาคภูมิใจที่ตัวเองประสบความสำเร็จเพราะไม่ย่อท้อและสามารถข่มจิตใจ จนเอาชนะตนเองได้
มาถึงตรงนี้ผมต้องขอบคุณ "การลงทุน" ที่ช่วยให้ผม "กล้าที่จะฝัน"
และช่วยเติมไฟ ให้ได้คิด ได้ลงมือทำ พาตัวเองไปให้ถึงฝั่งฝัน ได้พบกับมิตรภาพจากเพื่อนร่วมทาง ที่ยังคอยปันความหวังดี ส่งแรงใจให้ถึงจุดหมายโดยเร็ว แม้ว่าวันนี้เราจะตอบไม่ได้ว่าจะประสบผลสำเร็จหรือไม่ มากน้อยเพียงใด และไม่รู้ว่าจะถึงจุดหมายหรือไม่ อย่างน้อยการลงทุน ก็ยังทำให้เราได้ค้นพบตัวเอง.......
สวัสดี
เรา "ได้อะไรจากการลงทุน" ,การลงทุนให้อะไร ?
ผมนั่งอ่านคำถามนี้อยู่หลายรอบ แต่ไม่รู้ว่าจะตอบว่าอย่างไร? ทั้งๆที่
ในวิถีการดำเนินชีวิตของคนทุกคน ย่อมจะต้องเกี่ยวพันกับการลงทุนมาตลอด ตั้งแต่ก่อนคลอดไปจนจุดสุดท้ายของชีวิต และไม่ว่าจะกี่ชั่วรุ่น
บรรพบุรุษ ในขณะที่การลงทุนเป็นส่วนหนึ่งของการดำรงชีพ และมีทุกที่
ทุกแห่งไม่ว่าที่ใดๆในโลก แต่พอถึงเวลาต้องตอบว่า....เราได้อะไรจากการลงทุน....ผมถึงกับอึ้งไปพักใหญ่ทีเดียว...........
ผมเองก็เหมือนคนอื่นๆทั่วไป ที่มีความคิดอยู่บนพื้นฐานของความเป็น
ปุถุชน อยากได้-อยากมี-อยากเป็น บน 2 ประการ คือ
1.ทำอย่างไรให้มีเงิน
2.มีเงินแล้วทำอย่างไร
ข้อ 1. น่ะ เป็นที่รู้ๆกันอยู่ว่าจะต้องทำอย่างไร แต่พอมาถึงข้อ 2....
โดยการอบรมแต่โบราณมา ก็มักจะเน้นกันที่ "การออม" ด้วยการฝากไว้กับธนาคาร ซึ่งก็นับได้ว่าเป็นการลงทุนชนิดหนึ่ง แต่เมื่อถึงวันที่ ดอก-ผล
ที่ได้รับจากการฝาก ไม่สามารถให้คำตอบของความมั่งคั่งได้ ผมก็ต้องแสวงหาทางอื่นต่อไป จนถึงวันนี้ทางออกที่ชัดเจนก็คือ นำเงินที่ได้จากการทำงานไป"ลงทุน" ให้เงินทำงานแทนเรา ออกดอก- ออกผล โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ "อิสรภาพทางการเงิน" นั่นเอง แน่นอนกว่าจะถึงวันนั้น ผม
ว่า คนทุกคนฝันกันทั้งนั้นว่าหากตัวเองประสบความสำเร็จแล้ว จะนำเงินที่ได้ไปใช้จ่ายตามความต้องการของตนอย่างไร คำว่า "ความฝัน" นี่ดีนะครับ เป็นความสุขเล็กๆ ที่มีได้จากตัวเอง ไม่ต้องไปซื้อหา เป็นของขวัญจากธรรมชาติที่มอบให้กับมนุษย์ทุกคน และเพราะความฝันนี่แหละที่ทำให้มนุษย์ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้
เส้นทาง "การลงทุน" คำนี้ทำให้ผมนึกถึงภาพของการแข่งขันวิ่งมาราธอนระดับโลก ที่มีผู้เข้าร่วมกันมากมายจากทั่วทุกมุมโลก บางคนก็วิ่งอย่างจริงจัง บางคนก็วิ่งแบบเรื่อยๆ บางคนก็วิ่งไปคุยไป แต่ไม่ว่าจะเป็นใครก็ล้วนอยากพาตัวเองไปให้จุดหมายปลายทาง กันทั้งนั้น....การแข่งขันก็ไม่เห็นจะมีทีท่าว่าเมื่อไรจะสิ้นสุด และที่จุดแวะพักระหว่างทาง ผม
ก็มักจะสังเกตเห็นนักวิ่งที่มาถึงก่อนคอยรับมือ และส่งเครื่องดื่มให้กับคนที่ตามมาเป็นลำดับๆ แถมยังตะโกนส่งเสียงเชียร์กัน,ส่งแรงใจให้กับนักวิ่งคนท้ายๆให้มีกำลังใจ ว่าอย่าหยุด,วิ่งต่อไป ,วิ่งต่อไป,อย่าพึ่งท้อ ไม่ต้องห่วงเรื่องลำดับที่ มันเป็นเกมส์ที่ไม่มีการแพ้-ชนะ ขอเพียงอย่ายอมแพ้ตัวเอง เพราะคนที่เข้าใกล้จุดหมายรู้ดีว่าเป้าหมายที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ ชื่อเสียง ,สรรเสริญ แต่เป็นความภาคภูมิใจที่ตัวเองประสบความสำเร็จเพราะไม่ย่อท้อและสามารถข่มจิตใจ จนเอาชนะตนเองได้
มาถึงตรงนี้ผมต้องขอบคุณ "การลงทุน" ที่ช่วยให้ผม "กล้าที่จะฝัน"
และช่วยเติมไฟ ให้ได้คิด ได้ลงมือทำ พาตัวเองไปให้ถึงฝั่งฝัน ได้พบกับมิตรภาพจากเพื่อนร่วมทาง ที่ยังคอยปันความหวังดี ส่งแรงใจให้ถึงจุดหมายโดยเร็ว แม้ว่าวันนี้เราจะตอบไม่ได้ว่าจะประสบผลสำเร็จหรือไม่ มากน้อยเพียงใด และไม่รู้ว่าจะถึงจุดหมายหรือไม่ อย่างน้อยการลงทุน ก็ยังทำให้เราได้ค้นพบตัวเอง.......
สวัสดี
-
- ผู้ติดตาม: 0
ร่วมสนุกชิงรางวัล
โพสต์ที่ 15
ขอร่วมสนุกด้วยคนครับ..............
เรา "ได้อะไรจากการลงทุน" ,การลงทุนให้อะไร ?
ผมนั่งอ่านคำถามนี้อยู่หลายรอบ แต่ไม่รู้ว่าจะตอบว่าอย่างไร? ทั้งๆที่
ในวิถีการดำเนินชีวิตของคนทุกคน ย่อมจะต้องเกี่ยวพันกับการลงทุนมาตลอด ตั้งแต่ก่อนคลอดไปจนจุดสุดท้ายของชีวิต และไม่ว่าจะกี่ชั่วรุ่น
บรรพบุรุษ ในขณะที่การลงทุนเป็นส่วนหนึ่งของการดำรงชีพ และมีทุกที่
ทุกแห่งไม่ว่าที่ใดๆในโลก แต่พอถึงเวลาต้องตอบว่า....เราได้อะไรจากการลงทุน....ผมถึงกับอึ้งไปพักใหญ่ทีเดียว...........
ผมเองก็เหมือนคนอื่นๆทั่วไป ที่มีความคิดอยู่บนพื้นฐานของความเป็น
ปุถุชน อยากได้-อยากมี-อยากเป็น บน 2 ประการ คือ
1.ทำอย่างไรให้มีเงิน
2.มีเงินแล้วทำอย่างไร
ข้อ 1. น่ะ เป็นที่รู้ๆกันอยู่ว่าจะต้องทำอย่างไร แต่พอมาถึงข้อ 2....
โดยการอบรมแต่โบราณมา ก็มักจะเน้นกันที่ "การออม" ด้วยการฝากไว้กับธนาคาร ซึ่งก็นับได้ว่าเป็นการลงทุนชนิดหนึ่ง แต่เมื่อถึงวันที่ ดอก-ผล
ที่ได้รับจากการฝาก ไม่สามารถให้คำตอบของความมั่งคั่งได้ ผมก็ต้องแสวงหาทางอื่นต่อไป จนถึงวันนี้ทางออกที่ชัดเจนก็คือ นำเงินที่ได้จากการทำงานไป"ลงทุน" ให้เงินทำงานแทนเรา ออกดอก- ออกผล โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ "อิสรภาพทางการเงิน" นั่นเอง แน่นอนกว่าจะถึงวันนั้น ผม
ว่า คนทุกคนฝันกันทั้งนั้นว่าหากตัวเองประสบความสำเร็จแล้ว จะนำเงินที่ได้ไปใช้จ่ายตามความต้องการของตนอย่างไร คำว่า "ความฝัน" นี่ดีนะครับ เป็นความสุขเล็กๆ ที่มีได้จากตัวเอง ไม่ต้องไปซื้อหา เป็นของขวัญจากธรรมชาติที่มอบให้กับมนุษย์ทุกคน และเพราะความฝันนี่แหละที่ทำให้มนุษย์ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้
เส้นทาง "การลงทุน" คำนี้ทำให้ผมนึกถึงภาพของการแข่งขันวิ่งมาราธอนระดับโลก ที่มีผู้เข้าร่วมกันมากมายจากทั่วทุกมุมโลก บางคนก็วิ่งอย่างจริงจัง บางคนก็วิ่งแบบเรื่อยๆ บางคนก็วิ่งไปคุยไป แต่ไม่ว่าจะเป็นใครก็ล้วนอยากพาตัวเองไปให้จุดหมายปลายทาง กันทั้งนั้น....การแข่งขันก็ไม่เห็นจะมีทีท่าว่าเมื่อไรจะสิ้นสุด และที่จุดแวะพักระหว่างทาง ผม
ก็มักจะสังเกตเห็นนักวิ่งที่มาถึงก่อนคอยรับมือ และส่งเครื่องดื่มให้กับคนที่ตามมาเป็นลำดับๆ แถมยังตะโกนส่งเสียงเชียร์กัน,ส่งแรงใจให้กับนักวิ่งคนท้ายๆให้มีกำลังใจ ว่าอย่าหยุด,วิ่งต่อไป ,วิ่งต่อไป,อย่าพึ่งท้อ ไม่ต้องห่วงเรื่องลำดับที่ มันเป็นเกมส์ที่ไม่มีการแพ้-ชนะ ขอเพียงอย่ายอมแพ้ตัวเอง เพราะคนที่เข้าใกล้จุดหมายรู้ดีว่าเป้าหมายที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ ชื่อเสียง ,สรรเสริญ แต่เป็นความภาคภูมิใจที่ตัวเองประสบความสำเร็จเพราะไม่ย่อท้อและสามารถข่มจิตใจ จนเอาชนะตนเองได้
มาถึงตรงนี้ผมต้องขอบคุณ "การลงทุน" ที่ช่วยให้ผม "กล้าที่จะฝัน"
และช่วยเติมไฟ ให้ได้คิด ได้ลงมือทำ พาตัวเองไปให้ถึงฝั่งฝัน ได้พบกับมิตรภาพจากเพื่อนร่วมทาง ที่ยังคอยปันความหวังดี ส่งแรงใจให้ถึงจุดหมายโดยเร็ว แม้ว่าวันนี้เราจะตอบไม่ได้ว่าจะประสบผลสำเร็จหรือไม่ มากน้อยเพียงใด และไม่รู้ว่าจะถึงจุดหมายหรือไม่ อย่างน้อยการลงทุน ก็ยังทำให้เราได้ค้นพบตัวเอง.......
สวัสดี
เรา "ได้อะไรจากการลงทุน" ,การลงทุนให้อะไร ?
ผมนั่งอ่านคำถามนี้อยู่หลายรอบ แต่ไม่รู้ว่าจะตอบว่าอย่างไร? ทั้งๆที่
ในวิถีการดำเนินชีวิตของคนทุกคน ย่อมจะต้องเกี่ยวพันกับการลงทุนมาตลอด ตั้งแต่ก่อนคลอดไปจนจุดสุดท้ายของชีวิต และไม่ว่าจะกี่ชั่วรุ่น
บรรพบุรุษ ในขณะที่การลงทุนเป็นส่วนหนึ่งของการดำรงชีพ และมีทุกที่
ทุกแห่งไม่ว่าที่ใดๆในโลก แต่พอถึงเวลาต้องตอบว่า....เราได้อะไรจากการลงทุน....ผมถึงกับอึ้งไปพักใหญ่ทีเดียว...........
ผมเองก็เหมือนคนอื่นๆทั่วไป ที่มีความคิดอยู่บนพื้นฐานของความเป็น
ปุถุชน อยากได้-อยากมี-อยากเป็น บน 2 ประการ คือ
1.ทำอย่างไรให้มีเงิน
2.มีเงินแล้วทำอย่างไร
ข้อ 1. น่ะ เป็นที่รู้ๆกันอยู่ว่าจะต้องทำอย่างไร แต่พอมาถึงข้อ 2....
โดยการอบรมแต่โบราณมา ก็มักจะเน้นกันที่ "การออม" ด้วยการฝากไว้กับธนาคาร ซึ่งก็นับได้ว่าเป็นการลงทุนชนิดหนึ่ง แต่เมื่อถึงวันที่ ดอก-ผล
ที่ได้รับจากการฝาก ไม่สามารถให้คำตอบของความมั่งคั่งได้ ผมก็ต้องแสวงหาทางอื่นต่อไป จนถึงวันนี้ทางออกที่ชัดเจนก็คือ นำเงินที่ได้จากการทำงานไป"ลงทุน" ให้เงินทำงานแทนเรา ออกดอก- ออกผล โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ "อิสรภาพทางการเงิน" นั่นเอง แน่นอนกว่าจะถึงวันนั้น ผม
ว่า คนทุกคนฝันกันทั้งนั้นว่าหากตัวเองประสบความสำเร็จแล้ว จะนำเงินที่ได้ไปใช้จ่ายตามความต้องการของตนอย่างไร คำว่า "ความฝัน" นี่ดีนะครับ เป็นความสุขเล็กๆ ที่มีได้จากตัวเอง ไม่ต้องไปซื้อหา เป็นของขวัญจากธรรมชาติที่มอบให้กับมนุษย์ทุกคน และเพราะความฝันนี่แหละที่ทำให้มนุษย์ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้
เส้นทาง "การลงทุน" คำนี้ทำให้ผมนึกถึงภาพของการแข่งขันวิ่งมาราธอนระดับโลก ที่มีผู้เข้าร่วมกันมากมายจากทั่วทุกมุมโลก บางคนก็วิ่งอย่างจริงจัง บางคนก็วิ่งแบบเรื่อยๆ บางคนก็วิ่งไปคุยไป แต่ไม่ว่าจะเป็นใครก็ล้วนอยากพาตัวเองไปให้จุดหมายปลายทาง กันทั้งนั้น....การแข่งขันก็ไม่เห็นจะมีทีท่าว่าเมื่อไรจะสิ้นสุด และที่จุดแวะพักระหว่างทาง ผม
ก็มักจะสังเกตเห็นนักวิ่งที่มาถึงก่อนคอยรับมือ และส่งเครื่องดื่มให้กับคนที่ตามมาเป็นลำดับๆ แถมยังตะโกนส่งเสียงเชียร์กัน,ส่งแรงใจให้กับนักวิ่งคนท้ายๆให้มีกำลังใจ ว่าอย่าหยุด,วิ่งต่อไป ,วิ่งต่อไป,อย่าพึ่งท้อ ไม่ต้องห่วงเรื่องลำดับที่ มันเป็นเกมส์ที่ไม่มีการแพ้-ชนะ ขอเพียงอย่ายอมแพ้ตัวเอง เพราะคนที่เข้าใกล้จุดหมายรู้ดีว่าเป้าหมายที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ ชื่อเสียง ,สรรเสริญ แต่เป็นความภาคภูมิใจที่ตัวเองประสบความสำเร็จเพราะไม่ย่อท้อและสามารถข่มจิตใจ จนเอาชนะตนเองได้
มาถึงตรงนี้ผมต้องขอบคุณ "การลงทุน" ที่ช่วยให้ผม "กล้าที่จะฝัน"
และช่วยเติมไฟ ให้ได้คิด ได้ลงมือทำ พาตัวเองไปให้ถึงฝั่งฝัน ได้พบกับมิตรภาพจากเพื่อนร่วมทาง ที่ยังคอยปันความหวังดี ส่งแรงใจให้ถึงจุดหมายโดยเร็ว แม้ว่าวันนี้เราจะตอบไม่ได้ว่าจะประสบผลสำเร็จหรือไม่ มากน้อยเพียงใด และไม่รู้ว่าจะถึงจุดหมายหรือไม่ อย่างน้อยการลงทุน ก็ยังทำให้เราได้ค้นพบตัวเอง.......
สวัสดี
- Mon money
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 3134
- ผู้ติดตาม: 0
ร่วมสนุกชิงรางวัล
โพสต์ที่ 17
ปิดรับการร่วมสนุกแล้วนะครับ แต่หากมีท่านใด อยากเขียนบทความก็เชิญเขียนลงได้ตามสบายเลยนะครับ
และขอเชิญสมาชิกทุกท่านร่วมVoteได้ที่ http://www.thaivalueinvestor.com/webboa ... 4103#14103
เป็นกำลังใจให้เพื่อนๆด้วยนะครับ
และขอเชิญสมาชิกทุกท่านร่วมVoteได้ที่ http://www.thaivalueinvestor.com/webboa ... 4103#14103
เป็นกำลังใจให้เพื่อนๆด้วยนะครับ
- ปรัชญา1
- Verified User
- โพสต์: 1092
- ผู้ติดตาม: 0
ร่วมสนุกชิงรางวัล
โพสต์ที่ 19
[quote="ปรัชญา"] ลองเขียน ไม่อยากได้รางวัลนะครับ
อ่อนภาษาอังกฤษอ่านลำบากไม่อยากแปลครับ
เก็บเอาความทรงจำเก่าๆ มาเล่าต่อ
การลงทุนได้อะไร
ในชีวิตผมนะครับ การลงทุนเริ่มแรกสมัยนั้นก็ได้...
1. รู้จัก บริษัทหลักทรัพย์ รู้จักมาร์เก็ตติ้ง และรู้จักนิสัยใจคอคนเรามากขึ้น เมื่อก่อนตอนดัชนีสูงๆและหลายๆคนที่เป็นเพื่อนก็เล่นมาร์จิ้น
หลายคนติดหนี้บริษัทหลักทรัพย์ เอาตั๋วเงินฝากค้ำ เอาบ้านมาค้ำ เอาที่ดินว่างเปล่ามาค้ำ หรือจะพูดตามภาษาชาวบ้านขนทรัพย์สินที่มีมาวางเล่นมาร์จิ้น ตอนหุ้นขึ้นไม่มีปัญหาหรอกครับ ตอนหุ้นลงนี่ล่ะ เราจะได้เห็นนิสัยคนรอบข้างได้ดี เริ่มจากมาร์เก็ตติ้ง คนที่เคยพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน ก็เริ่มจะออกอาการห้วนๆหรือบางทีไม่ยอมรับโทรศัพท์เราเลย
ผู้จัดการห้องค้าก็เชิญเพื่อนเราไปประนอมหนี้เกลี้ยกล่อม ทั้งขู่
ทั้งปลอบ จากคนเคยสนิทกัน-กินข้าวด้วยกัน เป็นเพื่อนกัน ก็เริ่มกลับทางเหมือนหน้ามือเป็นหลังเท้า หนี้หลังจากจับหุ้นขายแล้ว ยึดทรัพย์แล้ว เหลือมูลหนี้น้อยก็ทำสัญญาผ่อนเอาเป็นรายเดือนละเท่าไหร่
ก็ว่ากันไป ถ้าหนี้เยอะก็ขึ้นศาลฟ้องร้องดำเนินคดีกันไป ซึ่งผมก็ไม่ได้ตามข่าว กลัวว่าไปถามเซ้าซี้จะเป็นการไปทำให้คนรู้จักกันเขาคิดว่า...เราไปเยาะเย้ยถากถางและซ้ำเติมเขาทำนองนั้น
สุภาษิตมีอยู่ ของใครไม่รุ้ขอยืมมาหน่อย
ยามมั่งมี มิตรมากมาย มุ่งหมายมอง
ยามมัวหมอง มิตรหมางเมิน เหมือนหมูหมา
เมื่อยามจน หมดมิตร มุ่งมองมา
ไม่มีเงิน แม้นหมูหมา ไม่มามอง
ก็คนเหล่านั้น รวมถึงผมด้วยเป็นนักเก็งกำไร แต่..ลืมเก็งขาดทุนพวกนักวิเคราะห์บรรดาอาจารย์หุ้นผู้มีวิชาแก่กล้าสมัยนั้น
เขาไม่ได้สอนให้คนเล่นหุ้นตามห้องค้าบ้านนอกคัตล๊อต
แต่เขาสอนให้ถัวเฉลี่ย เมื่อหุ้นลงมา10% 20% 30% 40%
ก็เข้าไปถัวเฉลี่ยกันจนเงินหรือวงเงินเต็ม
พอวงเงินเต็มไม่มีเงินมาซื้อถัวเฉลี่ย บัญชีมาร์จิ้น
เมื่อมูลค่าหุ้นลดลงถึงระดับ ไม่มีเงินมาวางเพิ่ม
ไม่มีทรัพย์สินมาวางเพิ่ม ก็ถึงระดับเวลาที่จะจับหุ้น
ของ...นักเล่นทุน นำหุ้นออกขาย จากการจับขายของคนที่1
เมื่อหุ้นลดลงอีก ก็ถึงคิวคนที่2. -3. -4. -5. -10 -100
หุ้นก็ลงกันไปเรื่อยๆ
จะไปโทษใครได้
นอกจากโทษตัวเอง
ว่าดันโง่ไปเชื่อการสอนของบรรดา นักวิเคราะห์ อาจารย์กราฟทั้งหลาย
ถึงแนวรับ ก็โดดเข้าไปรับ หลุดแนวรับ ก็ขายทิ้ง
บอกขายช๊อตได้เงินทอน แต่หุ้นยังเหลือเท่าเดิม
น่าจะถามตัวเองว่า ..พวกที่บอกเราสอนเราทั้งหลาย
มีใครกำเงินมาร่วมลงทุนกับเราบ้าง
พวกนี้น่าจะตั้งสมญานามให้ว่า....เซียนข้างกระดาน
การลงทุนเหมือนการเดินทาง ออกล่าสมบัติ
ตลอดเส้นทาง เราอาจได้ยิน....
เสียงหมาเห่า (พวกขี้อิจฉามันด่าเราต่อหน้าและลับหลัง)
เสียงจิ้งจก(ร้องทัก-อ้าว...ระวังตัวด้วย)
เสียงนกแก้วเจื้อยแจ้ว(เสียงยกย่อชมเชยประจบสอพลอ)
เสียงฟ้าร้อง(การส่งสัญญาณของทางหน่วยงานราชการ)
และเสียงกระซิบจากสายลม(คือข่าวอินไซด์ ข่าวลือ ข่าวโครมลอย)
มีความอยาก ความโลภ ความกลัว ความเชื่อ ความเกลียด
สุดท้ายความจดจำ เป็นตำนานของการเดินทาง
--------------------------------------------------------------------------
เขียนเรียงความไม่เป็นครับ คุณมนตรี
ขอเขียนแค่นี้ละ
ร่วมสนับสนุนรายการครับ
ถ้าผู้อ่านไม่อยากเจอเหตุการณ์แบบข้างบน
ควรระมัดระวังการลงทุน
ถ้าเป็นไปได้ควรลงทุน แนววอเรนบัฟเฟ่ ปีเตอร์ลินซ์
จะปลอดภัยเงินต้นและได้ดอกผลตามกาลเวลาที่เหมาะสม
ถึงจะกำไรช้าหรือแพ้ดัชนี
แต่ระยะยาวน่าจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า.......นักผจญภัย
ด้วยความหวังจะได้เห็นเพื่อนๆนักลงทุน
ประสบความสำเร็จในการลงทุนทุกท่าน
------------------------------------------------------------------------
อ่อนภาษาอังกฤษอ่านลำบากไม่อยากแปลครับ
เก็บเอาความทรงจำเก่าๆ มาเล่าต่อ
การลงทุนได้อะไร
ในชีวิตผมนะครับ การลงทุนเริ่มแรกสมัยนั้นก็ได้...
1. รู้จัก บริษัทหลักทรัพย์ รู้จักมาร์เก็ตติ้ง และรู้จักนิสัยใจคอคนเรามากขึ้น เมื่อก่อนตอนดัชนีสูงๆและหลายๆคนที่เป็นเพื่อนก็เล่นมาร์จิ้น
หลายคนติดหนี้บริษัทหลักทรัพย์ เอาตั๋วเงินฝากค้ำ เอาบ้านมาค้ำ เอาที่ดินว่างเปล่ามาค้ำ หรือจะพูดตามภาษาชาวบ้านขนทรัพย์สินที่มีมาวางเล่นมาร์จิ้น ตอนหุ้นขึ้นไม่มีปัญหาหรอกครับ ตอนหุ้นลงนี่ล่ะ เราจะได้เห็นนิสัยคนรอบข้างได้ดี เริ่มจากมาร์เก็ตติ้ง คนที่เคยพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน ก็เริ่มจะออกอาการห้วนๆหรือบางทีไม่ยอมรับโทรศัพท์เราเลย
ผู้จัดการห้องค้าก็เชิญเพื่อนเราไปประนอมหนี้เกลี้ยกล่อม ทั้งขู่
ทั้งปลอบ จากคนเคยสนิทกัน-กินข้าวด้วยกัน เป็นเพื่อนกัน ก็เริ่มกลับทางเหมือนหน้ามือเป็นหลังเท้า หนี้หลังจากจับหุ้นขายแล้ว ยึดทรัพย์แล้ว เหลือมูลหนี้น้อยก็ทำสัญญาผ่อนเอาเป็นรายเดือนละเท่าไหร่
ก็ว่ากันไป ถ้าหนี้เยอะก็ขึ้นศาลฟ้องร้องดำเนินคดีกันไป ซึ่งผมก็ไม่ได้ตามข่าว กลัวว่าไปถามเซ้าซี้จะเป็นการไปทำให้คนรู้จักกันเขาคิดว่า...เราไปเยาะเย้ยถากถางและซ้ำเติมเขาทำนองนั้น
สุภาษิตมีอยู่ ของใครไม่รุ้ขอยืมมาหน่อย
ยามมั่งมี มิตรมากมาย มุ่งหมายมอง
ยามมัวหมอง มิตรหมางเมิน เหมือนหมูหมา
เมื่อยามจน หมดมิตร มุ่งมองมา
ไม่มีเงิน แม้นหมูหมา ไม่มามอง
ก็คนเหล่านั้น รวมถึงผมด้วยเป็นนักเก็งกำไร แต่..ลืมเก็งขาดทุนพวกนักวิเคราะห์บรรดาอาจารย์หุ้นผู้มีวิชาแก่กล้าสมัยนั้น
เขาไม่ได้สอนให้คนเล่นหุ้นตามห้องค้าบ้านนอกคัตล๊อต
แต่เขาสอนให้ถัวเฉลี่ย เมื่อหุ้นลงมา10% 20% 30% 40%
ก็เข้าไปถัวเฉลี่ยกันจนเงินหรือวงเงินเต็ม
พอวงเงินเต็มไม่มีเงินมาซื้อถัวเฉลี่ย บัญชีมาร์จิ้น
เมื่อมูลค่าหุ้นลดลงถึงระดับ ไม่มีเงินมาวางเพิ่ม
ไม่มีทรัพย์สินมาวางเพิ่ม ก็ถึงระดับเวลาที่จะจับหุ้น
ของ...นักเล่นทุน นำหุ้นออกขาย จากการจับขายของคนที่1
เมื่อหุ้นลดลงอีก ก็ถึงคิวคนที่2. -3. -4. -5. -10 -100
หุ้นก็ลงกันไปเรื่อยๆ
จะไปโทษใครได้
นอกจากโทษตัวเอง
ว่าดันโง่ไปเชื่อการสอนของบรรดา นักวิเคราะห์ อาจารย์กราฟทั้งหลาย
ถึงแนวรับ ก็โดดเข้าไปรับ หลุดแนวรับ ก็ขายทิ้ง
บอกขายช๊อตได้เงินทอน แต่หุ้นยังเหลือเท่าเดิม
น่าจะถามตัวเองว่า ..พวกที่บอกเราสอนเราทั้งหลาย
มีใครกำเงินมาร่วมลงทุนกับเราบ้าง
พวกนี้น่าจะตั้งสมญานามให้ว่า....เซียนข้างกระดาน
การลงทุนเหมือนการเดินทาง ออกล่าสมบัติ
ตลอดเส้นทาง เราอาจได้ยิน....
เสียงหมาเห่า (พวกขี้อิจฉามันด่าเราต่อหน้าและลับหลัง)
เสียงจิ้งจก(ร้องทัก-อ้าว...ระวังตัวด้วย)
เสียงนกแก้วเจื้อยแจ้ว(เสียงยกย่อชมเชยประจบสอพลอ)
เสียงฟ้าร้อง(การส่งสัญญาณของทางหน่วยงานราชการ)
และเสียงกระซิบจากสายลม(คือข่าวอินไซด์ ข่าวลือ ข่าวโครมลอย)
มีความอยาก ความโลภ ความกลัว ความเชื่อ ความเกลียด
สุดท้ายความจดจำ เป็นตำนานของการเดินทาง
--------------------------------------------------------------------------
เขียนเรียงความไม่เป็นครับ คุณมนตรี
ขอเขียนแค่นี้ละ
ร่วมสนับสนุนรายการครับ
ถ้าผู้อ่านไม่อยากเจอเหตุการณ์แบบข้างบน
ควรระมัดระวังการลงทุน
ถ้าเป็นไปได้ควรลงทุน แนววอเรนบัฟเฟ่ ปีเตอร์ลินซ์
จะปลอดภัยเงินต้นและได้ดอกผลตามกาลเวลาที่เหมาะสม
ถึงจะกำไรช้าหรือแพ้ดัชนี
แต่ระยะยาวน่าจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า.......นักผจญภัย
ด้วยความหวังจะได้เห็นเพื่อนๆนักลงทุน
ประสบความสำเร็จในการลงทุนทุกท่าน
------------------------------------------------------------------------
ฝันถึง วัน ฟ้าสวย...... อยากร่ำรวย-ด้วยเล่นหุ้น
ฝัน เป็น นักลงทุน..... ลุ้นความหวัง-ความตั้งใจ
ฝัน เป็น นักลงทุน..... ลุ้นความหวัง-ความตั้งใจ