Money and Portfolio Management แบบวีไอเค้าทำกันยังไงครับ?
- Linzhi
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1464
- ผู้ติดตาม: 1
Money and Portfolio Management แบบวีไอเค้าทำกันยังไงครับ?
โพสต์ที่ 1
ผมก็ไม่มีประสบการณ์เท่าไหร่นะครับ แต่ถ้าจะให้ share
ข้อ 2. ผมใช้วิธีตีแตก ดร.นิเวศน์ให้คำจำกัดความดีมาก คือถ้าความเสี่ยงดูแล้วน้อย ผมใส่ทันที ถ้ามีลังเล ก็ใส่ 50% หรือ 30% ของเป้าหมาย จำกัดกระสุนไว้ 3 นัด ถ้าพอร์ต 1 ล้านบาท ก็ต้องยิงประมาณ 3-50,000 บาทต่อครั้งอย่างน้อย (ถ้าพอร์ตใหญ่จน 3 นัดเก็บไม่หมด ก็อีกเรื่อง ต้องขยันค่อย ๆ เก็บ) แต่ไม่แนะนำยิงบ่อย ๆ เพราะส่วนมากจะวิ่งหาย
ข้อ 3. ถ้าซื้อแล้วลง ผมจำกัดไว้ 5-10 ช่องต้องยิงกระสุนที่สอง (ภาษาง่ายๆ) ถ้ายิงกระสุนหมดแล้วก็รอ (แต่อย่ายิงเยอะเกินเพราะตลาดหุ้นไทย หุ้นขาลงน่ากลัวมากๆๆๆๆๆๆๆ) ถ้ายังลงอีกผมต้องทำการบ้านหนักมาก ๆ ว่าสาเหตุเพราะอะไร ต้องตอบให้ได้ และจะได้รู้ว่าจะขายตัวอื่นเพื่อมาซื้อตัวนี้ หรือจะ cut loss
อันนี้คือที่ทำมา แล้วค่อนข้างเวิร์ค
ข้อ 2. ผมใช้วิธีตีแตก ดร.นิเวศน์ให้คำจำกัดความดีมาก คือถ้าความเสี่ยงดูแล้วน้อย ผมใส่ทันที ถ้ามีลังเล ก็ใส่ 50% หรือ 30% ของเป้าหมาย จำกัดกระสุนไว้ 3 นัด ถ้าพอร์ต 1 ล้านบาท ก็ต้องยิงประมาณ 3-50,000 บาทต่อครั้งอย่างน้อย (ถ้าพอร์ตใหญ่จน 3 นัดเก็บไม่หมด ก็อีกเรื่อง ต้องขยันค่อย ๆ เก็บ) แต่ไม่แนะนำยิงบ่อย ๆ เพราะส่วนมากจะวิ่งหาย
ข้อ 3. ถ้าซื้อแล้วลง ผมจำกัดไว้ 5-10 ช่องต้องยิงกระสุนที่สอง (ภาษาง่ายๆ) ถ้ายิงกระสุนหมดแล้วก็รอ (แต่อย่ายิงเยอะเกินเพราะตลาดหุ้นไทย หุ้นขาลงน่ากลัวมากๆๆๆๆๆๆๆ) ถ้ายังลงอีกผมต้องทำการบ้านหนักมาก ๆ ว่าสาเหตุเพราะอะไร ต้องตอบให้ได้ และจะได้รู้ว่าจะขายตัวอื่นเพื่อมาซื้อตัวนี้ หรือจะ cut loss
อันนี้คือที่ทำมา แล้วค่อนข้างเวิร์ค
-
- Verified User
- โพสต์: 593
- ผู้ติดตาม: 0
Money and Portfolio Management แบบวีไอเค้าทำกันยังไงครับ?
โพสต์ที่ 2
ผมมาแชร์ด้วยนะ
ถ้ามีหุ้นวิ่งผ่านมาหา
ผมจะเริ่มจากการศึกษาธุรกิจ ว่าทำอะไร และผมชอบหรือไม่
ถ้าชอบราคาไม่แพงเกินไป ผมก็ซัดเลยไม่รอ
แล้วเลือกบรรจุว่าจะอยู่ในพอร์ตไหน (ครอบครัวหรือส่วนตัว)
พอร์ตครอบครัว ลงทุนในหุ้นประเภทไม่น่าจะมีการก้าวกระโดด
โตไปเรื่อย ๆ เล็กน้อย แต่มีปันผล ราคาไม่แพงมาก
สภาพคล่องต่ำ และไม่น่าจะมีเหตุการณ์ ทำให้หุ้นรูดลงแบบน่าตกใจ
ปีนึงปรับพอร์ตซัก 3-4 ครั้ง ทุกตัวอยู่ในสัดส่วนไล่ ๆ กัน
ถ้ามีตัวใหม่ที่เข้าข่าย ผมก็จะขายตัวนึงออกให้พอร์ตส่วนตัว
แต่ไม่ขายออกข้างนอก เพราะทุกตัวมักจะขายได้ราคายาก ในเวลาอันสั้น
และไม่อยากขาย
พอร์ตนี้มีหุ้นอยู่ 4 ตัว ประกันภัยจะเยอะกว่าตัวอื่นเล็กน้อย
กระสุนของพอร์ตนี้ก็มีเงินปันผล กับเงินฝากที่ยังเหลืออยู่นิดหน่อย
+ การขายให้พอร์ตส่วนตัว
พอร์ตส่วนตัว โยกหุ้นตามใจ หลักการ์ณน้อยลง
หลัง ๆ จะเน้นหุ้นที่ผมสนใจทีมบริหาร และคาดหวังการ เติบโต
ของรายได้มากกว่า 15 %
ถูก แพง ยังเป็นเรื่องรองสำหรับ พอร์ตนี้
ถ้าชอบ แล้ว แพง (วิ่งมาไกลแล้ว) ก็ซื้อน้อยหน่อย
ถ้าชอบ พึ่งเริ่มวิ่ง หรือยังไม่วิ่ง ก็ซื้อเยอะหน่อย
น้ำหนักแต่ละตัวไม่เท่ากัน ขอให้ชอบซื้อหมด
แต่จะอั้นตัวที่แพงให้ถือไม่เกิน 15 % ของพอร์ต
ทุกตัวพร้อมขายทำกำไร และ cut loss
กระสุนของพอร์ตนี้ เอาแน่นอนไม่ได้
เงินเดือนเหลือ โบนัส โยกหุ้น เล่นรอบ มีหมด
ทำแบบนี้สนุกแต่ไม่ค่อยได้ตังค์ครับ
พอร์ตครอบครัวล่าสุดปีนี้น่าจะได้ผลตอบแทนซัก 6-10 %
ส่วนตัวยังติดลบอยู่ 5-10 % ครับ
ถ้ามีหุ้นวิ่งผ่านมาหา
ผมจะเริ่มจากการศึกษาธุรกิจ ว่าทำอะไร และผมชอบหรือไม่
ถ้าชอบราคาไม่แพงเกินไป ผมก็ซัดเลยไม่รอ
แล้วเลือกบรรจุว่าจะอยู่ในพอร์ตไหน (ครอบครัวหรือส่วนตัว)
พอร์ตครอบครัว ลงทุนในหุ้นประเภทไม่น่าจะมีการก้าวกระโดด
โตไปเรื่อย ๆ เล็กน้อย แต่มีปันผล ราคาไม่แพงมาก
สภาพคล่องต่ำ และไม่น่าจะมีเหตุการณ์ ทำให้หุ้นรูดลงแบบน่าตกใจ
ปีนึงปรับพอร์ตซัก 3-4 ครั้ง ทุกตัวอยู่ในสัดส่วนไล่ ๆ กัน
ถ้ามีตัวใหม่ที่เข้าข่าย ผมก็จะขายตัวนึงออกให้พอร์ตส่วนตัว
แต่ไม่ขายออกข้างนอก เพราะทุกตัวมักจะขายได้ราคายาก ในเวลาอันสั้น
และไม่อยากขาย
พอร์ตนี้มีหุ้นอยู่ 4 ตัว ประกันภัยจะเยอะกว่าตัวอื่นเล็กน้อย
กระสุนของพอร์ตนี้ก็มีเงินปันผล กับเงินฝากที่ยังเหลืออยู่นิดหน่อย
+ การขายให้พอร์ตส่วนตัว
พอร์ตส่วนตัว โยกหุ้นตามใจ หลักการ์ณน้อยลง
หลัง ๆ จะเน้นหุ้นที่ผมสนใจทีมบริหาร และคาดหวังการ เติบโต
ของรายได้มากกว่า 15 %
ถูก แพง ยังเป็นเรื่องรองสำหรับ พอร์ตนี้
ถ้าชอบ แล้ว แพง (วิ่งมาไกลแล้ว) ก็ซื้อน้อยหน่อย
ถ้าชอบ พึ่งเริ่มวิ่ง หรือยังไม่วิ่ง ก็ซื้อเยอะหน่อย
น้ำหนักแต่ละตัวไม่เท่ากัน ขอให้ชอบซื้อหมด
แต่จะอั้นตัวที่แพงให้ถือไม่เกิน 15 % ของพอร์ต
ทุกตัวพร้อมขายทำกำไร และ cut loss
กระสุนของพอร์ตนี้ เอาแน่นอนไม่ได้
เงินเดือนเหลือ โบนัส โยกหุ้น เล่นรอบ มีหมด
ทำแบบนี้สนุกแต่ไม่ค่อยได้ตังค์ครับ
พอร์ตครอบครัวล่าสุดปีนี้น่าจะได้ผลตอบแทนซัก 6-10 %
ส่วนตัวยังติดลบอยู่ 5-10 % ครับ
ต้องเรียนรู้ให้ได้
Li .. Zhi .. Ren
Li .. Zhi .. Ren
-
- Verified User
- โพสต์: 593
- ผู้ติดตาม: 0
Money and Portfolio Management แบบวีไอเค้าทำกันยังไงครับ?
โพสต์ที่ 3
ฉะนั้นถ้าเป็นเงิน 1 ล้านบาท
ผมคงแบ่งเป็นพอร์ตครอบครับ ซัก 700000 บาท
หุ้น 1-4 ตัวแล้วแต่อัธยาศัย
ส่วนพอร์ตส่วนตัว แค่ 300000 ครับ
ลงทุนแบบผมปีนี้ยังแพ้เงินเฟ้อเลย
ผมคงแบ่งเป็นพอร์ตครอบครับ ซัก 700000 บาท
หุ้น 1-4 ตัวแล้วแต่อัธยาศัย
ส่วนพอร์ตส่วนตัว แค่ 300000 ครับ
ลงทุนแบบผมปีนี้ยังแพ้เงินเฟ้อเลย
ต้องเรียนรู้ให้ได้
Li .. Zhi .. Ren
Li .. Zhi .. Ren
- tenkafubu
- Verified User
- โพสต์: 224
- ผู้ติดตาม: 0
Money and Portfolio Management แบบวีไอเค้าทำกันยังไงครับ?
โพสต์ที่ 6
ผมขอตอบแบบมือใหม่เหมือนกันครับ..
หลักการบริหาพอร์ตแบบของผมน่ะครับ..(ที่จำๆ มาและท่องไว้ๆๆ)
เนื่องจากผมมีเงินเก็บไม่มากครับ ซึ่งมาจากการทำงาน แต่ก็เก็บทุกเดือนครับ
สมมติ ผมคิดจะซื้อหุ้น 1 ตัวเพิ่มจากที่มีอยู่
สมมติว่าผมประเมินมูลค่าที่ควรจะเป็นของมันได้ และสูงกว่าราคาที่ซื้อมา โดยมีส่วนเผื่อปลอดภัยประมาณ 20%
หุ้น จำนวน EPS SES BV Cost Mrk.
A 200 6 70 30 60 55
B 300 2.5 25 10 15 16
พอร์ตของผม เป็นดังนี้
ยอดขายทั้งสิ้น 14000+7500 = 21500 บาท
ได้กำไร 1200+ 750 = 1950 บาท
ส่วนของจ้าของ 6000+3000 = 9000 บาท
ต้นทุน 12000+4500 = 16500 บาท
ราคาตลาด 11000+4800 = 15800 บาท
ผลตอบแทน P/E 15800 / 1950 = 8.1
P/BV 15800 / 9000 = 1.8
ROE 1950 / 9000 = 21.7%
Yearly Return 1950 / 16500 = 11.8%
หากเป็นเช่นนี้ ผมก็จะซื้อหุ้น ที่ เมื่อนำราคา และผลกำไรมาคิดรวมแล้วทำให้ ROE ผมสูงขึ้น Yr. Return ผมสูงขึ้น
หลักการบริหาพอร์ตแบบของผมน่ะครับ..(ที่จำๆ มาและท่องไว้ๆๆ)
เนื่องจากผมมีเงินเก็บไม่มากครับ ซึ่งมาจากการทำงาน แต่ก็เก็บทุกเดือนครับ
สมมติ ผมคิดจะซื้อหุ้น 1 ตัวเพิ่มจากที่มีอยู่
สมมติว่าผมประเมินมูลค่าที่ควรจะเป็นของมันได้ และสูงกว่าราคาที่ซื้อมา โดยมีส่วนเผื่อปลอดภัยประมาณ 20%
หุ้น จำนวน EPS SES BV Cost Mrk.
A 200 6 70 30 60 55
B 300 2.5 25 10 15 16
พอร์ตของผม เป็นดังนี้
ยอดขายทั้งสิ้น 14000+7500 = 21500 บาท
ได้กำไร 1200+ 750 = 1950 บาท
ส่วนของจ้าของ 6000+3000 = 9000 บาท
ต้นทุน 12000+4500 = 16500 บาท
ราคาตลาด 11000+4800 = 15800 บาท
ผลตอบแทน P/E 15800 / 1950 = 8.1
P/BV 15800 / 9000 = 1.8
ROE 1950 / 9000 = 21.7%
Yearly Return 1950 / 16500 = 11.8%
หากเป็นเช่นนี้ ผมก็จะซื้อหุ้น ที่ เมื่อนำราคา และผลกำไรมาคิดรวมแล้วทำให้ ROE ผมสูงขึ้น Yr. Return ผมสูงขึ้น
3M Only...
Market Cap.
Market Cap.
- tenkafubu
- Verified User
- โพสต์: 224
- ผู้ติดตาม: 0
Money and Portfolio Management แบบวีไอเค้าทำกันยังไงครับ?
โพสต์ที่ 7
ทีนี้ ต่อนะครับ..ผมจะซื้อ หุ้น A เพิ่มหรือไม่เมื่อราคาลดลง???
สมมติ ผมเก็บเงินได้อีก 22000 บาท หากซื้อหุ้น A จะได้ 400 หุ้น ซึ่งพอร์ตของผมจะเป็นดังนี้ครับ
พอร์ตใหม่ (กลุ่มบริษัทในเครือ)
ยอดขายทั้งสิ้น 42000+7500 = 49500 บาท
กำไร 3600+750 = 4350 บาท
ส่วนเจ้าของ 18000+3000 = 21000 บาท
ต้นทุน 12000+4500+22000 = 38500 บาท
ราคาตลาด 33000+4800 = 37800 บาท
ผลตอบแทน P/E 37800 / 4350 = 8.7
P/BV 37800 / 21000 = 1.8
ROE 4350 / 21000 = 20.7%
Yearly Return 4350 / 38500 = 11.2%
คำตอบ ผมอาจจะซื้อ เพราะ ROE และ Return ยังสูงอยู่ แต่หากผลตอบแทนรวมลดต่ำลงมาก ผมอาจจะหยุด แล้วขายมันซะ
ทีนี้ หากมีตัวอื่น ที่ทำให้ ผลตอบแทนผมสูงขึ้น ผมก็จะซื้อครับ..
ถามว่าหุ้น B ผมจะซื้อเพิ่มหรือไม่แม้ว่าราคาขึ้นมาแล้ว ผมก็จะคิดเช่นเดียวกันครับ
เพราะผมคิดว่า หากอนาคตยังโตอีก โดยดูจากยอดขายและกำไรที่เพิ่มขึ้นครับ ผมก็จะนำมาคิดรวมครับ..มือใหม่ครับ ทำตามท่าว่ามา
สมมติ ผมเก็บเงินได้อีก 22000 บาท หากซื้อหุ้น A จะได้ 400 หุ้น ซึ่งพอร์ตของผมจะเป็นดังนี้ครับ
พอร์ตใหม่ (กลุ่มบริษัทในเครือ)
ยอดขายทั้งสิ้น 42000+7500 = 49500 บาท
กำไร 3600+750 = 4350 บาท
ส่วนเจ้าของ 18000+3000 = 21000 บาท
ต้นทุน 12000+4500+22000 = 38500 บาท
ราคาตลาด 33000+4800 = 37800 บาท
ผลตอบแทน P/E 37800 / 4350 = 8.7
P/BV 37800 / 21000 = 1.8
ROE 4350 / 21000 = 20.7%
Yearly Return 4350 / 38500 = 11.2%
คำตอบ ผมอาจจะซื้อ เพราะ ROE และ Return ยังสูงอยู่ แต่หากผลตอบแทนรวมลดต่ำลงมาก ผมอาจจะหยุด แล้วขายมันซะ
ทีนี้ หากมีตัวอื่น ที่ทำให้ ผลตอบแทนผมสูงขึ้น ผมก็จะซื้อครับ..
ถามว่าหุ้น B ผมจะซื้อเพิ่มหรือไม่แม้ว่าราคาขึ้นมาแล้ว ผมก็จะคิดเช่นเดียวกันครับ
เพราะผมคิดว่า หากอนาคตยังโตอีก โดยดูจากยอดขายและกำไรที่เพิ่มขึ้นครับ ผมก็จะนำมาคิดรวมครับ..มือใหม่ครับ ทำตามท่าว่ามา
3M Only...
Market Cap.
Market Cap.
- tenkafubu
- Verified User
- โพสต์: 224
- ผู้ติดตาม: 0
Money and Portfolio Management แบบวีไอเค้าทำกันยังไงครับ?
โพสต์ที่ 8
ต่ออีกครับ..ก่อนอื่นต้องบอกว่า ทั้งหมดนี้ มาจากความคิดของท่าน ดร. ที่แนะนำมาผ่านทางหนังสือของท่านที่ผมซื้อมา รวมทั้ง เฮียอีกหลายท่านในที่นี้ ที่ผมจับมารวมๆ กันครับ..
ขอขอบคุณมากครับ...
แต่ผมเองยังไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงในระยะยาวน่ะครับ..
มาดูหุ้น A ครับ หากสมมติ เงินจำนวนเท่าเดิม 22000 บาท ซื้อหุ้น A ได้ 1375 หุ้น
พอร์ตใหม่จะเป็นดังนี้ ครับ..กลุ่มบริษัทใหม่
ยอดขายรวม 55875 บาท
กำไร 5387.5 บาท
เจ้าของ 22750 บาท
ต้นทุน 38500 บาท
ราคาตลาด 37800 บาท
P/S 0.7
P/E 7
P/BV 1.7
ROE 23.7%
Yr. Return 14 %
หากมองที่ gain ผมคงแดงครับ...
ขอขอบคุณมากครับ...
แต่ผมเองยังไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงในระยะยาวน่ะครับ..
มาดูหุ้น A ครับ หากสมมติ เงินจำนวนเท่าเดิม 22000 บาท ซื้อหุ้น A ได้ 1375 หุ้น
พอร์ตใหม่จะเป็นดังนี้ ครับ..กลุ่มบริษัทใหม่
ยอดขายรวม 55875 บาท
กำไร 5387.5 บาท
เจ้าของ 22750 บาท
ต้นทุน 38500 บาท
ราคาตลาด 37800 บาท
P/S 0.7
P/E 7
P/BV 1.7
ROE 23.7%
Yr. Return 14 %
หากมองที่ gain ผมคงแดงครับ...
3M Only...
Market Cap.
Market Cap.
-
- Verified User
- โพสต์: 2266
- ผู้ติดตาม: 0
Money and Portfolio Management แบบวีไอเค้าทำกันยังไงครับ?
โพสต์ที่ 9
ประเมินเทรนด์ของธุรกิจครับ
ผมถือหลักว่า ในพอร์ตไม่ให้มีเกิน 7ตัว เพราะมากกว่านี้ดูแลไม่ทั่วถึง
แบ่งเป็น 2 ส่วนครับ
ส่วนหลัก 60-70% ของพอร์ต ไม่เกิน 3 ตัว
พวกนี้ดูธุรกิจว่าเป็นอย่างไร
ดูละเอียด ติดตามข่าวสารอยู่เสมอ
ทำว่าปัจจัยอะไรจะทำให้รายได้หด หรือเพิ่ม
มีเวลาจะเดินดูตลาด แวะไปที่ร้าน ถามพนักงานที่ทำงานอยู่
พวกนี้จะหาข้อมูลค่อนข้างละเอียดครับ
ส่วนที่เหลือ เป็นตัวที่ไม่เน้นมาก 2-5 ตัว พวกนี้รวมหุ้นเก็งกำไรผลประกอบการระยะสั้นด้วยครับ
เน้นอ่านข่าว ดูเทรนด์ธุรกิจระยะสั้น และยาว
อ่านรายงาน ดูว่าผลประกอบการเป็นอย่างไร
พวกนี้ส่วนใหญ่ ผมหาๆ เอาในเว๊ปนี่แหละครับ :lol:
และก็อาจพัฒนาเป็น พอร์ตหลักได้ถ้ารู้สึกว่า biz model ถูกใจครับ
เวลาซื้อ ผมยังหา safety margin ยังไม่เป็น ผมก็ซื้อทันทีที่คิดว่า p/e ไม่แพงเกินไปนัก และในระยะ ครึ่งปี ถึง หนึ่งปีน่าจะมีข่าวดีให้เห็น หรือว่า กำไรโตอย่างก้าวกระโดดครับ
ส่วนใหญ่ ไม่ต่อราคาเท่าไหร่ครับ หลังจากคิดว่าดีแล้ว
ซื้อเป็นซื้อ ตามจำนวนที่ต้องการ
ผมถือหลักว่า ในพอร์ตไม่ให้มีเกิน 7ตัว เพราะมากกว่านี้ดูแลไม่ทั่วถึง
แบ่งเป็น 2 ส่วนครับ
ส่วนหลัก 60-70% ของพอร์ต ไม่เกิน 3 ตัว
พวกนี้ดูธุรกิจว่าเป็นอย่างไร
ดูละเอียด ติดตามข่าวสารอยู่เสมอ
ทำว่าปัจจัยอะไรจะทำให้รายได้หด หรือเพิ่ม
มีเวลาจะเดินดูตลาด แวะไปที่ร้าน ถามพนักงานที่ทำงานอยู่
พวกนี้จะหาข้อมูลค่อนข้างละเอียดครับ
ส่วนที่เหลือ เป็นตัวที่ไม่เน้นมาก 2-5 ตัว พวกนี้รวมหุ้นเก็งกำไรผลประกอบการระยะสั้นด้วยครับ
เน้นอ่านข่าว ดูเทรนด์ธุรกิจระยะสั้น และยาว
อ่านรายงาน ดูว่าผลประกอบการเป็นอย่างไร
พวกนี้ส่วนใหญ่ ผมหาๆ เอาในเว๊ปนี่แหละครับ :lol:
และก็อาจพัฒนาเป็น พอร์ตหลักได้ถ้ารู้สึกว่า biz model ถูกใจครับ
เวลาซื้อ ผมยังหา safety margin ยังไม่เป็น ผมก็ซื้อทันทีที่คิดว่า p/e ไม่แพงเกินไปนัก และในระยะ ครึ่งปี ถึง หนึ่งปีน่าจะมีข่าวดีให้เห็น หรือว่า กำไรโตอย่างก้าวกระโดดครับ
ส่วนใหญ่ ไม่ต่อราคาเท่าไหร่ครับ หลังจากคิดว่าดีแล้ว
ซื้อเป็นซื้อ ตามจำนวนที่ต้องการ
การลงทุนคือความเสี่ยง
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
- Tongue
- Verified User
- โพสต์: 725
- ผู้ติดตาม: 0
Money and Portfolio Management แบบวีไอเค้าทำกันยังไงครับ?
โพสต์ที่ 10
ผมแบ่งเงินนะพี่
ได้เงินมา จะมีหลายก๊อก
ส่วนหนึ่งเก็บไว้ใช้ทั่วไป อีกส่วนเก็บเป็นเงินสดไว้เพื่อสภาพคล่อง
ที่เกินมาก็เก็บไว้ซื้อหุ้น
2. เวลาซื้อผมซื้อตอนมันถูกๆครับ ส่วนใหญ่ก็ตูมเดียวแหละครับเพราะเงินไม่เยอะมาก ซื้อแล้วไม่ค่อยคิดมาก
3.ตอนแรกที่ซื้อ ตอนนั้น 10 ตัว ครับ กระจายทุกกลุ่ม
ราคามันขึ้นบ้าง ลงบ้างครับ ถัวๆกันไป แต่พอเวลาผ่านไป ก็เริ่มเข้าใจมากขึ้นครับว่าแต่ละตัวแต่ละกลุ่มเป็นอย่างไร ก็ค่อยๆคัดออกครับ
4. ผมจำกัดความเสี่ยงด้วยการ พยายามทำเงินให้มันเย็นๆ แล้วเอามันไปอยู่ที่เย็นๆครับ
แต่ก็มีบ้างครับ ที่เอาเงินเย็น ไปอยู่ที่ร้อนๆ ไหม้ทุกทีพี่ :lol: :lol:
ได้เงินมา จะมีหลายก๊อก
ส่วนหนึ่งเก็บไว้ใช้ทั่วไป อีกส่วนเก็บเป็นเงินสดไว้เพื่อสภาพคล่อง
ที่เกินมาก็เก็บไว้ซื้อหุ้น
2. เวลาซื้อผมซื้อตอนมันถูกๆครับ ส่วนใหญ่ก็ตูมเดียวแหละครับเพราะเงินไม่เยอะมาก ซื้อแล้วไม่ค่อยคิดมาก
3.ตอนแรกที่ซื้อ ตอนนั้น 10 ตัว ครับ กระจายทุกกลุ่ม
ราคามันขึ้นบ้าง ลงบ้างครับ ถัวๆกันไป แต่พอเวลาผ่านไป ก็เริ่มเข้าใจมากขึ้นครับว่าแต่ละตัวแต่ละกลุ่มเป็นอย่างไร ก็ค่อยๆคัดออกครับ
4. ผมจำกัดความเสี่ยงด้วยการ พยายามทำเงินให้มันเย็นๆ แล้วเอามันไปอยู่ที่เย็นๆครับ
แต่ก็มีบ้างครับ ที่เอาเงินเย็น ไปอยู่ที่ร้อนๆ ไหม้ทุกทีพี่ :lol: :lol:
- Simply
- Verified User
- โพสต์: 150
- ผู้ติดตาม: 0
Money and Portfolio Management แบบวีไอเค้าทำกันยังไงครับ?
โพสต์ที่ 11
ถ้าผมลองเปลี่ยนคำถามใหม่ว่า"มีเงิน 1 ล้านบาท จะทำลงทุนอย่างไรให้ได้ผลตอบแทนได้มากที่สุด???"....คำตอบที่เกิดตามมาย่อมขึ้นกับ
1.ผลตอบแทนที่คาดหวัง
2.ความรู้และความชำนาญ
การมองผลตอบแทนในแต่ละคนที่ต่างกัน จะเป็นสิ่งที่จำกัดเครื่องมือที่ตอบสนองความต้องการ ส่วนความรู้ความชำนาญจะเป็นสิ่งกำหนดปริมาณการลงทุนในแต่ละส่วน....หุ้นเป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่คำตอบทั้งหมด
ในคนที่มีความชำนาญในการดูเพชรดูพลอย เขาก็ต้องบอกว่าการซื้อขายเพชรพลอยทำกำไรดีที่สุด เพราะเขาชำนาญที่สุด.ถ้าไปถามคนซื้อขายที่ดิน เขาก็ต้องบอกว่าการซื้อขายที่ดินดีที่สุด เพราะเขาชำนาญที่สุด...
...ในคำถามคือ มุ่งว่าการลงทุนในหุ้นอย่างเดียว
...คำตอบที่ถามคือหุ้นAที่สงสัย โดนMr.Marketปั่นหัวแกล้งทดสอบกำลังใจ
ในหนังสือกุญแจห้าดอก เขียนไว้ว่า"เวลานักลงทุนรายย่อย ทำการวิเคราะห์ข้อมูลจนสรุปได้แล้ว มักจะสงสัยในข้อสรุปของตัวเอง ไม่มั่นใจในการวิเคราะห์ของตัวเอง"...ผมว่าตรงนี้เป็นจุดเปิดให้Mr.Marketเข้ามาปั่นหัวเล่น
ผมขอถามเจ้าของหุ้นAกลับว่า ลองถามตัวเองใหม่ว่า คุณซื้อหุ้นAเพราะว่าอะไร นั่งตอบตัวเองให้ได้เป็นข้อๆนะครับ และถ้าสุขภาพหุ้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากที่คุณวิเคราะห์ แล้วมีเหตุผลอะไรที่คุณจะไม่ซื้อหุ้นเพิ่มและเป็นหุ้นตัวที่คุณดูเองแล้วดีล่ะครับ สำหรับผมมีข้อเดียวคือ ตังค์ไม่พอครับ
...อย่าลืมซิครับว่า การลงทุนในหุ้นเป็นการลงทุนระยะยาวครับ ไม่จำเป็นว่าต้องซื้อวันนี้แล้วพรุ่งนี้ สัปดาห์หน้า เดือนหน้า ราคาต้องขึ้น ธุรกิจต้องใช้เวลากว่าจะโต ที่สำคัญคือเราต้องรู้ว่าบริษัทของเราเป็นต้นไม้ชนิดไหน ไม้ล้มลุก ไม้ยืนต้น หรือว่าเป็นวัชพืชครับ...บางครั้งก็ต้องซื้ออนาคตบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ว่าหุ้นทุกตัวในพอร์ต รออนาคตทุกตัว อันนี้ก็แย่ครับ
1.ผลตอบแทนที่คาดหวัง
2.ความรู้และความชำนาญ
การมองผลตอบแทนในแต่ละคนที่ต่างกัน จะเป็นสิ่งที่จำกัดเครื่องมือที่ตอบสนองความต้องการ ส่วนความรู้ความชำนาญจะเป็นสิ่งกำหนดปริมาณการลงทุนในแต่ละส่วน....หุ้นเป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่คำตอบทั้งหมด
ในคนที่มีความชำนาญในการดูเพชรดูพลอย เขาก็ต้องบอกว่าการซื้อขายเพชรพลอยทำกำไรดีที่สุด เพราะเขาชำนาญที่สุด.ถ้าไปถามคนซื้อขายที่ดิน เขาก็ต้องบอกว่าการซื้อขายที่ดินดีที่สุด เพราะเขาชำนาญที่สุด...
...ในคำถามคือ มุ่งว่าการลงทุนในหุ้นอย่างเดียว
...คำตอบที่ถามคือหุ้นAที่สงสัย โดนMr.Marketปั่นหัวแกล้งทดสอบกำลังใจ
ในหนังสือกุญแจห้าดอก เขียนไว้ว่า"เวลานักลงทุนรายย่อย ทำการวิเคราะห์ข้อมูลจนสรุปได้แล้ว มักจะสงสัยในข้อสรุปของตัวเอง ไม่มั่นใจในการวิเคราะห์ของตัวเอง"...ผมว่าตรงนี้เป็นจุดเปิดให้Mr.Marketเข้ามาปั่นหัวเล่น
ผมขอถามเจ้าของหุ้นAกลับว่า ลองถามตัวเองใหม่ว่า คุณซื้อหุ้นAเพราะว่าอะไร นั่งตอบตัวเองให้ได้เป็นข้อๆนะครับ และถ้าสุขภาพหุ้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากที่คุณวิเคราะห์ แล้วมีเหตุผลอะไรที่คุณจะไม่ซื้อหุ้นเพิ่มและเป็นหุ้นตัวที่คุณดูเองแล้วดีล่ะครับ สำหรับผมมีข้อเดียวคือ ตังค์ไม่พอครับ
...อย่าลืมซิครับว่า การลงทุนในหุ้นเป็นการลงทุนระยะยาวครับ ไม่จำเป็นว่าต้องซื้อวันนี้แล้วพรุ่งนี้ สัปดาห์หน้า เดือนหน้า ราคาต้องขึ้น ธุรกิจต้องใช้เวลากว่าจะโต ที่สำคัญคือเราต้องรู้ว่าบริษัทของเราเป็นต้นไม้ชนิดไหน ไม้ล้มลุก ไม้ยืนต้น หรือว่าเป็นวัชพืชครับ...บางครั้งก็ต้องซื้ออนาคตบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ว่าหุ้นทุกตัวในพอร์ต รออนาคตทุกตัว อันนี้ก็แย่ครับ
Margin Of Safety+Intrinsic Value+Mr.Market
ขอบคุณอ.เกรแฮมที่ทำให้เกิด Value Investing
ขอบคุณบรรดาเหล่าVIทั้งหลายที่พิสูจน์คุณค่าที่แท้จริงของVI
ขอบคุณท่านดร.นิเวศน์ที่พิสูจน์ให้เห็นว่าVIใช้ได้กับบ้านเรา
ขอบคุณอ.เกรแฮมที่ทำให้เกิด Value Investing
ขอบคุณบรรดาเหล่าVIทั้งหลายที่พิสูจน์คุณค่าที่แท้จริงของVI
ขอบคุณท่านดร.นิเวศน์ที่พิสูจน์ให้เห็นว่าVIใช้ได้กับบ้านเรา