
พี่ Mon อย่าเอาไปลง BizWeek นะครับ เดี๋ยวคนอ่านหัวแตกตาย
ข้าน้อยขอคารวะจิงๆ
แนวคิดนี้เป็นการประเมิณตลาดโดยรวม เรื่องอัตราดอกเบี้ยที่ขึ้นหรือลงก็จะอยู่ใน Risk Free Rate บางคนอาจถามแต่ดอกกู้สูงกว่าดอกฝาก ส่วนนั้นก็อยู่ใน Market Risk ดูคำอธิบายเรื่องความเสี่ยงในกระทู้ก่อนหน้าของท่านแม่ทัพQuote:
การที่ไม่เอา cost of debt มาก็เป็นอย่างที่ท่านแม่ทัพว่า เราไม่ได้หาว่า กิจการมีมูลค่าเท่าไร แต่เรากำลังหาว่า นักลงทุนคาดหวังว่าจะได้ผลตอบแทนเท่าไหร่ (expected return)
นักลงทุนคาดหวังผลตอบแทนจาก มูลค่าของกิจการนะครับ
ใช่แล้วครับMon money เขียน: ท่านแม่ทัพกำลังอธิบายว่า ที่เอาเอาเฉพาะต้นทุนของทุน(ที่จริงก็คือต้นทุนของผู้ที่ซื้อหุ้น)มาคิดเพราะ net income หักดอกเบี้ยจ่ายไปแล้วครับ คือว่าได้หักต้นทุนของหนี้ไปแล้วเรียบร้อย ฉนั้นearning จึงเป็นส่วนที่ผู้ถือหุ้นจะได้รับ
อืม ๆๆๆๆ อย่างงี้ เราควรจะต้อง rate risk premium ให้ต่ำลงหน่อยนะครับ ไม่ควรเกิน 2% ถ้าเราคิดแบบระยะยาว ในฐานะ going cocern firmการไม่เอา cost of debt เข้ามาอยู่ในสมการเลยไม่ได้แปลว่า debt ไม่มีผลอะไรเลยกับ PE เพราะ Net income เกิดจาก Operating Income - Interest expense - Tax expense บริษัทที่มีหนี้มากจะทำให้ Net Income น้อยกว่าบริษัทที่มีหนี้น้อย ดังนั้นหนี้จึงส่งผลอย่างยิ่งต่อ
ลองคิดดูในดีกว่า P/E คืออะไร คือ Price/Net Income ใช่ไหมครับ แล้ว Price คืออะไร Price คือ Price of stock ส่วน Net Income คืออะไร คือ Return of stock ใช่ไหมครับ อย่างนี้แล้วเราจะเอา WACC มา discount ได้อย่างไร ในเมื่อ WACC ของ cost of capital เฉลี่ยของ debt กับ stock