ขอบทวิเคราะห์จากพี่ ๆ ผู้รู้ ว่า หุ้น NFS, TOC, BAY, และ ACL ดีจริงไหมครับ.
ขอบทวิเคราะห์หุ้น NFS, TOC, BAY, ACL จากพี่ ๆด้วยครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2266
- ผู้ติดตาม: 0
ขอบทวิเคราะห์หุ้น NFS, TOC, BAY, ACL จากพี่ ๆด้วยครับ
โพสต์ที่ 2
ลองหาข้อมูลก่อนดีไหมครับ แล้วเอามานั่งคุยกัน แบบเอาข้อมูลมาแลกเปลี่ยนกัน
คำถามแรกน่าจะเป็นว่า ทำไมถึงสนใจหุ้นที่ว่ามาครับ
ถ้าอยากอ่านบทวิเคราะห์ จริงๆ แนะนำให้อ่าน จากที่โบรกทำใน เซ็ตเทรดครับ
คำถามแรกน่าจะเป็นว่า ทำไมถึงสนใจหุ้นที่ว่ามาครับ
ถ้าอยากอ่านบทวิเคราะห์ จริงๆ แนะนำให้อ่าน จากที่โบรกทำใน เซ็ตเทรดครับ
การลงทุนคือความเสี่ยง
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
-
- Verified User
- โพสต์: 5
- ผู้ติดตาม: 0
ขอบทวิเคราะห์จากพี่ ๆ ผู้รู้ ว่า หุ้น NFS, TOC, BAY, และ
โพสต์ที่ 3
ผมเห็นว่า P/E และ P/BV ต่ำ อีกทั้งมีผลประกอบการดี จึงสนใจเพราะคิดว่าไม่เสี่ยงครับ
ไม่ทราบว่าผมเข้าใจผิดหรือไม่ ขอให้พี่ ๆ ช่วยเสริมความเห็นด้านอื่นให้ด้วยนะครับ ขอบคุณมากครับ.
ไม่ทราบว่าผมเข้าใจผิดหรือไม่ ขอให้พี่ ๆ ช่วยเสริมความเห็นด้านอื่นให้ด้วยนะครับ ขอบคุณมากครับ.
nirota
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6447
- ผู้ติดตาม: 0
ขอบทวิเคราะห์หุ้น NFS, TOC, BAY, ACL จากพี่ ๆด้วยครับ
โพสต์ที่ 5
jiras เขียน:คงต้องดูอนาคตประกอบด้วยนะครับ แต่ละบริษัทว่ามีแนวโน้มเป็นอย่างไร
มีการเติบโตหรือไม่, มีจุดแข็งตรงไหน,อื่นๆอีกมากมาย
คงเป็นอย่างที่คุณจิรัชพูดมาครับ
แนะนำว่าลองเข้ามาอ่านในเวป tvi สัก 1/2 ปี
คุณนิโรตะ อาจจะลืมหุ้นเหล่านี้ไปเลยครับ
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
- Hero_man
- Verified User
- โพสต์: 270
- ผู้ติดตาม: 0
ขอบทวิเคราะห์หุ้น NFS, TOC, BAY, ACL จากพี่ ๆด้วยครับ
โพสต์ที่ 6
จะขอบทวิเคราะห์ ของหุ้นเหล่านี้ผมว่าหาจากโบรกเกอร์ทั่ว ๆ ไปไม่ยากครับ หาได้จาก
www.settrade.com
www.efinancethai.com
.....
ที่อื่น ๆ ไม่แน่ใจว่าต้องสมัครสมาชิกหรือเปล่า
ผมว่าที่นี่มีความคิดเห็นของบรรดาท่าน ๆ ทั้งหลายที่น่าสนใจกว่ามากครับ
แนะนำว่าลองเข้ามาอ่านในเวป tvi สัก 1/2 ปี
คุณนิโรตะ อาจจะลืมหุ้นเหล่านี้ไปเลยครับ
อย่างที่ท่านลูกอิสานว่านะครับ ผมเห็นด้วยครับ
www.settrade.com
www.efinancethai.com
.....
ที่อื่น ๆ ไม่แน่ใจว่าต้องสมัครสมาชิกหรือเปล่า
ผมว่าที่นี่มีความคิดเห็นของบรรดาท่าน ๆ ทั้งหลายที่น่าสนใจกว่ามากครับ
แนะนำว่าลองเข้ามาอ่านในเวป tvi สัก 1/2 ปี
คุณนิโรตะ อาจจะลืมหุ้นเหล่านี้ไปเลยครับ
อย่างที่ท่านลูกอิสานว่านะครับ ผมเห็นด้วยครับ
กระแสน้ำเปลี่ยนใจปลา..
กาลเวลาเปลี่ยนใจคน...
กาลเวลาเปลี่ยนใจคน...
- margoods
- Verified User
- โพสต์: 29
- ผู้ติดตาม: 0
ขอบทวิเคราะห์หุ้น NFS, TOC, BAY, ACL จากพี่ ๆด้วยครับ
โพสต์ที่ 7
ผมหาให้2ตัวล่ะกันครับ
........................................
TOC
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่1. บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) 410,570,440 หุ้น 50.00%2. บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) 35,530,085 หุ้น 4.33%3. บริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) 29,096,690 หุ้น 3.54%4. OMAN OIL COMPANY S.A.O.C. 25,109,100 หุ้น 3.06%5. บริษัท วีนิไทย จำกัด (มหาชน) 22,437,535 หุ้น 2.73%คณะกรรมการ1. นายมนู เลียวไพโรจน์ ประธานกรรมการ 2. นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ รองประธานกรรมการ3. นายอดิเทพ พิศาลบุตร์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ 4. นายพละ สุขเวช กรรมการ5. นายชลณัฐ ญาณารณพ กรรมการ
บริษัท ไทยโอเลฟินส์ จำกัด(มหาชน) จำกัด หรือ TOC ผู้ผลิตและจำหน่ายเอทิลีนและโพรพิลีนเป็นปิโตรเคมีภัณฑ์ต้นน้ำ ที่ใช้ในการผลิตเม็ดพลาสติกต่างๆ รวมทั้งเป็นผู้ผลิตโอเลฟินส์รายใหญ่อันดับสามของประเทศ ยังคงโชว์ผลการดำเนินงานได้อย่างน่าประทับใจ
แม้ผลประกอบการไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2548 ของ TOC จะทำกำไรสุทธิได้เป็นจำนวน 2,048 ล้านบาท หรือ 2.50 บาทต่อหุ้น ปรับลดลง 17% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 2,475 ล้านบาท หรือ 3.01 บาทต่อหุ้น แต่นั้นถือเป็นผลการดำเนินงานที่ดีมากๆ ในภาวะเช่นนี้
เนื่องจากถ้ามองผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนจะพบว่า TOC มีกำไรสุทธิรวม 6,333 ล้านบาท หรือ 7.71 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 53% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 4,127ล้านบาท หรือ 5.03 บาทต่อหุ้น
โดยกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นมาจากยอดรายได้จากการขายที่เพิ่มมาที่ 26,994 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 64% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 16,448 ล้านบาท เนื่องมาจากกำลังการผลิตที่เพิ่มมากขึ้น ประกอบกับยอดขายโอลิฟินส์ที่เพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้ยังได้รับผลประโยชน์จากอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนสูงถึง 134 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งประสบผลขาดทุนสูงถึง121 ล้านบาท
ด้านต้นทุนขายก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 19,350 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีเพียง 11,632 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้น 85% เนื่องจากการขยายกำลังการผลิตที่เพิ่มมากขึ้นขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่ายสูงเพิ่มไปด้วย
ส่วนภาระดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้นถึง 68% มาอยู่ที่ระดับ 384 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีเพียง 228 ล้านบาท ล้วนเกิดจากยอดเงินกู้ยืมระยะยาวที่มีเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้บริษัทมีภาระดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
สำหรับสภาพคล่องในการดำเนินงานพบว่า ดีมากๆ หลังบริษัทมีสินทรัพย์หมุนเวียนเพิ่มขึ้นเป็น 17,859 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันมีเพียง 8,672 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดิมเป็น 2 เท่าตัว ขณะที่มีหนี้สินมหุนเวียนมีอยู่เพียง 7,929 ล้านบาท ส่งผลให้ค่าCurrent Ratio ออกมาเท่ากับ 2.25 เท่า จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 1.56 เท่าแสดงให้เห็นว่า บริษัทมีเงินทุนหมุนเวียนคล่องตัวเป็นอย่างมาก
ส่วนหนี้สินรวมที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 23,688 ล้านบาท จากก่อนหน้านี้มีเพียง 12,259ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการเงินกู้ยืมเพื่อใช้ลงทุนสำหรับการขยายงานและเพิ่มกำลังการผลิต
ทางด้านส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 29,286 ล้านบาท จากเดิมอยู่ที่ระดับ 25,915.62 ล้านบาท คือแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ ค่า D/E Ratio ทรงตัวอยู่ที่ระดับ 0.80 เท่าทั้งที่ภาระหนี้สินเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก
ประกอบกับเร็วๆ นี้ TOC และ NPC จะมีการควบรวมกิจการเพื่อความคล่องตัวในการดำเนินงาน ย่อมเป็นข่าวดีสำหรับคนที่ถือหุ้นเพื่อนำไปแลกเป็นหุ้นใหม่ หลังเห็นกันชัดๆว่า ภายหลังการควบรวมประสิทธิภาพในหการทำกำไรจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
........................................
TOC
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่1. บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) 410,570,440 หุ้น 50.00%2. บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) 35,530,085 หุ้น 4.33%3. บริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) 29,096,690 หุ้น 3.54%4. OMAN OIL COMPANY S.A.O.C. 25,109,100 หุ้น 3.06%5. บริษัท วีนิไทย จำกัด (มหาชน) 22,437,535 หุ้น 2.73%คณะกรรมการ1. นายมนู เลียวไพโรจน์ ประธานกรรมการ 2. นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ รองประธานกรรมการ3. นายอดิเทพ พิศาลบุตร์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ 4. นายพละ สุขเวช กรรมการ5. นายชลณัฐ ญาณารณพ กรรมการ
บริษัท ไทยโอเลฟินส์ จำกัด(มหาชน) จำกัด หรือ TOC ผู้ผลิตและจำหน่ายเอทิลีนและโพรพิลีนเป็นปิโตรเคมีภัณฑ์ต้นน้ำ ที่ใช้ในการผลิตเม็ดพลาสติกต่างๆ รวมทั้งเป็นผู้ผลิตโอเลฟินส์รายใหญ่อันดับสามของประเทศ ยังคงโชว์ผลการดำเนินงานได้อย่างน่าประทับใจ
แม้ผลประกอบการไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2548 ของ TOC จะทำกำไรสุทธิได้เป็นจำนวน 2,048 ล้านบาท หรือ 2.50 บาทต่อหุ้น ปรับลดลง 17% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 2,475 ล้านบาท หรือ 3.01 บาทต่อหุ้น แต่นั้นถือเป็นผลการดำเนินงานที่ดีมากๆ ในภาวะเช่นนี้
เนื่องจากถ้ามองผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนจะพบว่า TOC มีกำไรสุทธิรวม 6,333 ล้านบาท หรือ 7.71 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 53% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 4,127ล้านบาท หรือ 5.03 บาทต่อหุ้น
โดยกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นมาจากยอดรายได้จากการขายที่เพิ่มมาที่ 26,994 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 64% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 16,448 ล้านบาท เนื่องมาจากกำลังการผลิตที่เพิ่มมากขึ้น ประกอบกับยอดขายโอลิฟินส์ที่เพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้ยังได้รับผลประโยชน์จากอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนสูงถึง 134 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งประสบผลขาดทุนสูงถึง121 ล้านบาท
ด้านต้นทุนขายก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 19,350 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีเพียง 11,632 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้น 85% เนื่องจากการขยายกำลังการผลิตที่เพิ่มมากขึ้นขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่ายสูงเพิ่มไปด้วย
ส่วนภาระดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้นถึง 68% มาอยู่ที่ระดับ 384 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีเพียง 228 ล้านบาท ล้วนเกิดจากยอดเงินกู้ยืมระยะยาวที่มีเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้บริษัทมีภาระดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
สำหรับสภาพคล่องในการดำเนินงานพบว่า ดีมากๆ หลังบริษัทมีสินทรัพย์หมุนเวียนเพิ่มขึ้นเป็น 17,859 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันมีเพียง 8,672 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดิมเป็น 2 เท่าตัว ขณะที่มีหนี้สินมหุนเวียนมีอยู่เพียง 7,929 ล้านบาท ส่งผลให้ค่าCurrent Ratio ออกมาเท่ากับ 2.25 เท่า จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 1.56 เท่าแสดงให้เห็นว่า บริษัทมีเงินทุนหมุนเวียนคล่องตัวเป็นอย่างมาก
ส่วนหนี้สินรวมที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 23,688 ล้านบาท จากก่อนหน้านี้มีเพียง 12,259ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการเงินกู้ยืมเพื่อใช้ลงทุนสำหรับการขยายงานและเพิ่มกำลังการผลิต
ทางด้านส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 29,286 ล้านบาท จากเดิมอยู่ที่ระดับ 25,915.62 ล้านบาท คือแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ ค่า D/E Ratio ทรงตัวอยู่ที่ระดับ 0.80 เท่าทั้งที่ภาระหนี้สินเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก
ประกอบกับเร็วๆ นี้ TOC และ NPC จะมีการควบรวมกิจการเพื่อความคล่องตัวในการดำเนินงาน ย่อมเป็นข่าวดีสำหรับคนที่ถือหุ้นเพื่อนำไปแลกเป็นหุ้นใหม่ หลังเห็นกันชัดๆว่า ภายหลังการควบรวมประสิทธิภาพในหการทำกำไรจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
- margoods
- Verified User
- โพสต์: 29
- ผู้ติดตาม: 0
ขอบทวิเคราะห์หุ้น NFS, TOC, BAY, ACL จากพี่ ๆด้วยครับ
โพสต์ที่ 8
ASL
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่1.นายอำนาจ คิ้วคชา 25,299,915 หุ้น 7.85%2.นายฤทธิ์ คิ้วคชา 20,800,000 หุ้น 6.45%3.บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด 12,590,213 หุ้น 3.91%4.นายสมศักดิ์ คุปตเมธี 8,726,100 หุ้น 2.71%5.นายพายัพ ชินวัตร 7,774,400 หุ้น 2.41%คณะกรรมการ1.นายอุดม วิชยาภัย ประธานกรรมการ 2.นางอาภา คิ้วคชา กรรมการผู้จัดการใหญ่3.ดร.ศัลยา จารุจินดา กรรมการ 4.นางสาวอมรา เตชะรัตนไชย กรรมการ5.นายวันชัย หงษ์เหิน กรรมการ
ดูเหมือนว่าตัวเลขผลประกอบการไตรมาสที่ 3 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2548 ซึ่งมีผลขาดทุนสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 69.73 ล้านบาท หรือ 0.22 บาทต่อหุ้น จากช่วงเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 18.65 ล้านบาท หรือ 0.06 บาทต่อหุ้น เท่ากับเป็นการย้ำเตือนว่าทิศทางการดำเนินงานของบริษัทยังไม่กระเตื้องขึ้นจากก่อนหน้านี้สักเท่าไหร่
เนื่องจากเมื่อรวมผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน ASL มีผลขาดทุนสุทธิสูงถึง 159.75 ล้านบาท หรือ 0.50 บาทต่อหุ้น จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 43.11 ล้านบาท หรือ 0.14 บาทต่อหุ้น ยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของบริษัทดูย่ำแย่ลงไปเป็นกอง
แม้ว่าที่ผ่านมาราคาหุ้น ASL จะปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรง รวมทั้งมีนักลงทุนหลายรายให้ความสนใจเข้ามาลงทุนเป็นจำนวนมาก แต่นั้นเป็นผลมาจากกระแสการเข้ามาเล่นเก็งกำไรสั้นๆ หาใช่เกิดจากพื้นฐานของบริษัทที่ดีขึ้น
รวมทั้งที่ผ่านมามีข่าวคราวเกี่ยวกับการเทคโอเว่อร์กิจมาโดยตลอด เลยทำให้นักลงทุนเข้ามาไล่ราคาหุ้นกันอย่างเอาเป็นเอาตาย โดยไม่สนใจใยดีว่าข่าวดังกล่าวจะเป็นจริงที่ร่ำลือกันหรือไม่
ขณะที่ข่าวเรื่องแก๊งปั่นหุ้นเข้ามาเล่นหุ้น ASL เป็นอีกฉวนเหตุที่ทำให้มีแรงเก็งกำไรไหลเข้ามาเป็นจำนวนมาก จนทำให้ตลาดหลักทรัพย์สั่งห้ามการซื้อขายแบบหักลบกลบหนี้และเล่นมาร์จิ้นในทันที
เนื่องจากเห็นว่าวิธีการเล่นหุ้นดังกล่าวอาจสร้างความเสียหายแก่นักลงทุน และทำให้ภาพพจน์ของตลาดหุ้นเป็นแหล่งมั่วสุมการพนันมากกว่าเป็นการพัฒนาตลาดทุนเพื่อเศรษฐกิจของประเทศ
ด้วยเหตุนี้ถึงทำให้การเคลื่อนไหวของราคาหุ้น ASL ในพักหลังลดความร้อนแรงอย่างเห็นได้ชัด ถึงกระนั้นราคาหุ้นก็ยังสามารถทรงตัวอยู่ในระดับสูงได้อยู่ดี ซึ่งถือเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดเป็นอย่างมาก เพราะที่ผ่านมาหุ้นที่มีปัญหาเรื่องการขาดทุนเรื้อรังมักจะโดนเทขายทิ้งทันทีที่หุ้นหมดสตอรี่ใหม่ๆ มาหล่อเลี้ยง
การที่ ASL ยังคงยืนหยัดและแกว่งตัวไปมาที่บริเวณ 9 บาทได้ ถือเป็นความเสี่ยงของนักลงทุนที่คิดจะเข้าซื้อหุ้นตัวนี้ เพราะราคาหุ้นมีโอกาสอ่อนตัวลงอย่างรวดเร็ว หากนักลงทุนขาใหญ่เทขายหุ้นออกมาเพื่อโยกเงินไปเล่นหุ้นตัวอื่นๆ เป็นการทดแทน
หากจะพิจารณาสาเหตุของการขาดทุนบานเบะจะพบว่า เกิดจากรายได้ค่านายหน้าลดลงเหลือเพียง 408.43 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 641.99 ล้านบาท ในขณะที่ต้นทุนค่าใช้จ่ายกลับทรงตัวอยู่ถึงในระดับ 635.18 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 633.55 ล้านบาท
ประเด็นเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า เป็นการยากที่บริษัทจะพลิกฟื้นกลับมาทำกำไรได้ในเร็ววันเพราะการสร้างรายได้เป็นจำนวนมากในภาวะที่ธุรกิจแข่งขันกันรุนแรงเป็นเรื่องเพ้อฝันเกินความเป็นจริงอย่างมากนั่นเอง
เพียงแต่ปัญหาการขาดทุนที่เกิดขึ้นไม่ได้ทำให้ฐานะของบริษัทย่ำแย่จนน่าวิตกกังวลเหมือนที่ใครๆ เข้าใจ หลังบริษัทมีส่วนของผู้ถือหุ้นสูงถึง 3,782.75 ล้านบาท และมูลค่าทางบัญชียังอยู่สูงถึงระดับ 11 บาท
ทั้งนี้อย่าลืมว่ามูลค่าทางบัญชีอาจปรับตัวลดลงอีก หากบริษัทยังขาดทุนเรื้อรังเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่1.นายอำนาจ คิ้วคชา 25,299,915 หุ้น 7.85%2.นายฤทธิ์ คิ้วคชา 20,800,000 หุ้น 6.45%3.บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด 12,590,213 หุ้น 3.91%4.นายสมศักดิ์ คุปตเมธี 8,726,100 หุ้น 2.71%5.นายพายัพ ชินวัตร 7,774,400 หุ้น 2.41%คณะกรรมการ1.นายอุดม วิชยาภัย ประธานกรรมการ 2.นางอาภา คิ้วคชา กรรมการผู้จัดการใหญ่3.ดร.ศัลยา จารุจินดา กรรมการ 4.นางสาวอมรา เตชะรัตนไชย กรรมการ5.นายวันชัย หงษ์เหิน กรรมการ
ดูเหมือนว่าตัวเลขผลประกอบการไตรมาสที่ 3 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2548 ซึ่งมีผลขาดทุนสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 69.73 ล้านบาท หรือ 0.22 บาทต่อหุ้น จากช่วงเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 18.65 ล้านบาท หรือ 0.06 บาทต่อหุ้น เท่ากับเป็นการย้ำเตือนว่าทิศทางการดำเนินงานของบริษัทยังไม่กระเตื้องขึ้นจากก่อนหน้านี้สักเท่าไหร่
เนื่องจากเมื่อรวมผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน ASL มีผลขาดทุนสุทธิสูงถึง 159.75 ล้านบาท หรือ 0.50 บาทต่อหุ้น จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 43.11 ล้านบาท หรือ 0.14 บาทต่อหุ้น ยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของบริษัทดูย่ำแย่ลงไปเป็นกอง
แม้ว่าที่ผ่านมาราคาหุ้น ASL จะปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรง รวมทั้งมีนักลงทุนหลายรายให้ความสนใจเข้ามาลงทุนเป็นจำนวนมาก แต่นั้นเป็นผลมาจากกระแสการเข้ามาเล่นเก็งกำไรสั้นๆ หาใช่เกิดจากพื้นฐานของบริษัทที่ดีขึ้น
รวมทั้งที่ผ่านมามีข่าวคราวเกี่ยวกับการเทคโอเว่อร์กิจมาโดยตลอด เลยทำให้นักลงทุนเข้ามาไล่ราคาหุ้นกันอย่างเอาเป็นเอาตาย โดยไม่สนใจใยดีว่าข่าวดังกล่าวจะเป็นจริงที่ร่ำลือกันหรือไม่
ขณะที่ข่าวเรื่องแก๊งปั่นหุ้นเข้ามาเล่นหุ้น ASL เป็นอีกฉวนเหตุที่ทำให้มีแรงเก็งกำไรไหลเข้ามาเป็นจำนวนมาก จนทำให้ตลาดหลักทรัพย์สั่งห้ามการซื้อขายแบบหักลบกลบหนี้และเล่นมาร์จิ้นในทันที
เนื่องจากเห็นว่าวิธีการเล่นหุ้นดังกล่าวอาจสร้างความเสียหายแก่นักลงทุน และทำให้ภาพพจน์ของตลาดหุ้นเป็นแหล่งมั่วสุมการพนันมากกว่าเป็นการพัฒนาตลาดทุนเพื่อเศรษฐกิจของประเทศ
ด้วยเหตุนี้ถึงทำให้การเคลื่อนไหวของราคาหุ้น ASL ในพักหลังลดความร้อนแรงอย่างเห็นได้ชัด ถึงกระนั้นราคาหุ้นก็ยังสามารถทรงตัวอยู่ในระดับสูงได้อยู่ดี ซึ่งถือเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดเป็นอย่างมาก เพราะที่ผ่านมาหุ้นที่มีปัญหาเรื่องการขาดทุนเรื้อรังมักจะโดนเทขายทิ้งทันทีที่หุ้นหมดสตอรี่ใหม่ๆ มาหล่อเลี้ยง
การที่ ASL ยังคงยืนหยัดและแกว่งตัวไปมาที่บริเวณ 9 บาทได้ ถือเป็นความเสี่ยงของนักลงทุนที่คิดจะเข้าซื้อหุ้นตัวนี้ เพราะราคาหุ้นมีโอกาสอ่อนตัวลงอย่างรวดเร็ว หากนักลงทุนขาใหญ่เทขายหุ้นออกมาเพื่อโยกเงินไปเล่นหุ้นตัวอื่นๆ เป็นการทดแทน
หากจะพิจารณาสาเหตุของการขาดทุนบานเบะจะพบว่า เกิดจากรายได้ค่านายหน้าลดลงเหลือเพียง 408.43 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 641.99 ล้านบาท ในขณะที่ต้นทุนค่าใช้จ่ายกลับทรงตัวอยู่ถึงในระดับ 635.18 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 633.55 ล้านบาท
ประเด็นเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า เป็นการยากที่บริษัทจะพลิกฟื้นกลับมาทำกำไรได้ในเร็ววันเพราะการสร้างรายได้เป็นจำนวนมากในภาวะที่ธุรกิจแข่งขันกันรุนแรงเป็นเรื่องเพ้อฝันเกินความเป็นจริงอย่างมากนั่นเอง
เพียงแต่ปัญหาการขาดทุนที่เกิดขึ้นไม่ได้ทำให้ฐานะของบริษัทย่ำแย่จนน่าวิตกกังวลเหมือนที่ใครๆ เข้าใจ หลังบริษัทมีส่วนของผู้ถือหุ้นสูงถึง 3,782.75 ล้านบาท และมูลค่าทางบัญชียังอยู่สูงถึงระดับ 11 บาท
ทั้งนี้อย่าลืมว่ามูลค่าทางบัญชีอาจปรับตัวลดลงอีก หากบริษัทยังขาดทุนเรื้อรังเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 5
- ผู้ติดตาม: 0
ขอบทวิเคราะห์หุ้น NFS, TOC, BAY, ACL จากพี่ ๆด้วยครับ
โพสต์ที่ 12
เรียน พี่ jiras
ขอบคุณมากในความมีน้ำใจและความเป็นห่วงครับ
ผมแนะนำตัวเองเพื่อขอบทวิเคราะห์งบการเงินและด้านพื้นฐานของหุ้นที่ผมเลือกสรรแล้ว
จากพี่ๆ Value Investors ครับ
เป้าหมายของผมคือการเก็งกำไรหุ้นในกรอบเวลา 1 ถึง 3 เดือนต่อรอบ
การเก็งกำไรหุ้นในระยะสั้นเช่นนี้ย่อมมีความเสี่ยงสูงมาก ผมจึงต้องบริหารความเสี่ยงให้อยู่
ในระดับที่ยอมรับได้ครับ
ผมขอคำชี้แนะจากพี่เพิ่มเติมอีกนะครับ
ขอบคุณมากในความมีน้ำใจและความเป็นห่วงครับ
ผมแนะนำตัวเองเพื่อขอบทวิเคราะห์งบการเงินและด้านพื้นฐานของหุ้นที่ผมเลือกสรรแล้ว
จากพี่ๆ Value Investors ครับ
เป้าหมายของผมคือการเก็งกำไรหุ้นในกรอบเวลา 1 ถึง 3 เดือนต่อรอบ
การเก็งกำไรหุ้นในระยะสั้นเช่นนี้ย่อมมีความเสี่ยงสูงมาก ผมจึงต้องบริหารความเสี่ยงให้อยู่
ในระดับที่ยอมรับได้ครับ
ผมขอคำชี้แนะจากพี่เพิ่มเติมอีกนะครับ
nirota
-
- Verified User
- โพสต์: 222
- ผู้ติดตาม: 0
ขอบทวิเคราะห์หุ้น NFS, TOC, BAY, ACL จากพี่ ๆด้วยครับ
โพสต์ที่ 13
...เป้าหมายของผมคือการเก็งกำไรหุ้นในกรอบเวลา 1 ถึง 3 เดือนต่อรอบ
-
- Verified User
- โพสต์: 222
- ผู้ติดตาม: 0
ขอบทวิเคราะห์หุ้น NFS, TOC, BAY, ACL จากพี่ ๆด้วยครับ
โพสต์ที่ 14
ผมว่าอาจจะมาผิดเวปนะครับ ผมกล้าพูดได้เลยว่าพี่ๆในเวปนี้มีคนที่สามารถแนะนำการเก็งกำไรระยะสั้นแบบที่คุณว่า มีไม่เกิน 5% หรืออาจจะไม่มีด้วยซ้ำ
ไม่ได้ตั้งใจจะว่าอะไรนะครับ แต่ผมว่าลองไปดูๆแถวสินธรอาจจะได้ประโยชน์กว่าครับ
ไม่ได้ตั้งใจจะว่าอะไรนะครับ แต่ผมว่าลองไปดูๆแถวสินธรอาจจะได้ประโยชน์กว่าครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 185
- ผู้ติดตาม: 0
ขอบทวิเคราะห์หุ้น NFS, TOC, BAY, ACL จากพี่ ๆด้วยครับ
โพสต์ที่ 16
พวก โอเลฟิินส์ ก็เป็น commodity คล้ายกับพวกข้าว เหล็ก ซึ่งจะใช้ในการทำพวกวัตถุที่เป็นพลาสติก ไม่แน่ใจว่าเป็นวัฏจักรหรือเปล่า แต่เท่าที่ผมเคยคุยกับฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ของ TOC เขาบอกว่าบ.กำลังขยายเข้าไปดำเนินงานในธุรกิิจปลายน้ำครับ