CEO ไทย ท่านไหนเก่งกว่าหรือพอๆ กับ Steve Jobs บ้างครับ?

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: CEO ไทย ท่านไหนเก่งกว่าหรือพอๆ กับ Steve Jobs บ้างครับ?

โพสต์ที่ 31

โพสต์

คอลัมน์: Mission CEO ภารกิจพิชิตเป้า
Source - กรุงเทพธุรกิจ (Th), Monday, September 17, 2012

Mission CEO ฉบับที่ 431 วันที่ 17-23 กันยายน 2555

จอน เอ็ดดี้ อับดุลลาห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น เปิดเผยว่า ดีแทคกำหนดวงเงินสำหรับประมูลไลเซ่น และขยายโครงข่าย 3G ในปีแรกไว้ที่ 4 หมื่นล้านบาท แหล่งเงินส่วนหนึ่งมาจากกระแสเงินสดของบริษัท ซึ่งในปี 2555 ตั้งเป้าไว้ที่ 18,000 ล้านบาท รวมกับที่มีกระแสเงินสดเดิมสะสมไว้ก็น่าจะเพียงพอ ส่วนที่เหลือจะมาจากการเปิดวงเงินกู้กับสถาบันทางการเงินในประเทศ บริษัทมั่นใจว่าประเด็นการถือครองหุ้นของบุคคลต่างด้าวจะไม่มีผลต่อบริษัท ภายหลังการประมูลคาดว่าจะเปิดบริการ 3G ในย่านความถี่ 2.1 กิกะเฮิรตซ์ได้อย่างเร็วไตรมาส 1 ปี 2556 หรืออย่างช้าต้นไตรมาสที่ 2 สำหรับเป้าหมายของดีแทคคือการพัฒนาเครือข่าย 3G คลื่นความถี่เดิมให้ครอบคลุมทุกอำเภอทั่วประเทศไทย ภายในปี 2556 โดยคาดว่าสิ้นปี 2555 ดีแทคจะมีลูกค้า 3G ประมาณ 2.5 ล้านราย จากปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 1.1 ล้านราย

อาลก โลเฮีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท บมจ.อินโดรามา เวนเจอร์ส เปิดเผยว่า ในแผน 4 ปีข้างหน้า (2557-2560) บริษัทจะเน้นผลิตสินค้าเกรดพิเศษมีอัตรากำไรมากกว่าสินค้าทั่วไป เบื้องต้นมีแผนจะเข้าไปลงทุนในอินเดีย สร้างโรงงาน PET, PTA และ PSF มีกำลังการผลิตรวมกัน 5 ล้านตันต่อปี จากนั้นจะเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 1.5 ล้านตันต่อปีในระยะยาว และมีแผนขยายการลงทุนในประเทศแถบตะวันออกกลาง ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาสร้างโรงงานพาราไซลีน บริษัทได้วางเป้าเพิ่มสัดส่วนยอดขายสินค้าเกรดพิเศษเพิ่มเป็น 15% ใน 5 ปี จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนยอดขายสินค้าเกรดพิเศษ 7% โดยบริษัทวางเป้าหมายว่าทุกๆ 5 ปี ยอดขายจะเพิ่มขึ้น 2 เท่าตัว และกำไรจะเพิ่มขึ้น 3 เท่าตัว โดยสิ้นปี 2557 มีเป้าหมายจะมีรายได้รวม 1 หมื่นล้านดอลลาร์

วีรวัฒน์ ขอไพบูลย์ กรรมการ บมจ.ไทยสโตเรจ แบตเตอรี่ เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดแบตเตอรี่รถยนต์ในช่วงครึ่งปีหลังมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด โดยบริษัทไม่ได้นิ่งนอนใจเตรียมกลยุทธ์ทางการตลาดหลากหลายรูปแบบเพื่อกระตุ้นยอดขาย และเพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสที่ 3K แบตเตอรี่ดำเนินธุรกิจมาครบ 25 ปี จึงเปิดตัวแบตเตอรี่รุ่นใหม่ 3 รุ่น คือ NS-100, NS-120 และ 105D31 มีราคาจำหน่ายเริ่มต้น 2,000 กว่าบาทถึง 3,000 กว่าบาท ตั้งเป้าขายเพิ่มขึ้น 10% หรือเกือบ 6,000 ลูกต่อเดือน จากรุ่นปกติที่ทำยอดขายได้ร่วม 50,000 ลูกต่อเดือน สำหรับภาพรวมยอดขายของ 3K แบตเตอรี่ช่วงครึ่งปีแรก ที่ผ่านมาทำรายได้เกือบ 3,000 ล้านบาท ใกล้เคียงกับที่ตั้งเป้า ไว้ ส่วนทั้งปี 2555 คาดว่าตัวเลขยอดขายของ BAT-3K จะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้กว่า 5,800 ล้านบาทได้สำเร็จ

โอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ. แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ เปิดเผยว่า ในปี 2556 บริษัท มีแผนลงทุนพัฒนาคอนโดมิเนียมใหม่ 10 โครงการ มูลค่ารวม 1.7 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้รายได้ของแอลพีเอ็นปีหน้า จะเติบโตประมาณ 10% ส่วนผลการดำเนินงานปีนี้ คาดว่า จะมีรายได้รวม 1.3 หมื่นล้านบาท โดยครึ่งปีแรกทำรายได้ 3,300 ล้านบาท กำไรสุทธิ 441 ล้านบาท ในช่วงครึ่งปีหลัง จะมีการโอนส่งมอบให้ลูกค้าอีก 5 โครงการ มูลค่ารวม 1 หมื่นล้านบาท โดยเป็นยอดโอนในไตรมาส 3 ราว 3,000 ล้านบาท และเป็นยอดโอนในไตรมาสสุดท้าย 7,000 ล้านบาท ทำให้รายได้ปีนี้จะทำได้ตามเป้าเติบโต 5% จากปี 2554 โดยบริษัทเตรียมเงินทุนกว่า 3,000 ล้านบาท สำหรับซื้อที่ดินเพื่อนำมาพัฒนาโครงการใหม่ รวมถึงทำเลในต่างจังหวัดที่ชลบุรี พัทยา หัวหิน และชะอำ

สาทิส ตัตวธร กรรมการผู้จัดการ บมจ.สาลี่อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ธุรกิจทั้งในส่วนของสาลี่ อุตสาหกรรม และ พาโก้ สาลี่ พริ้นท์ติ้ง ถือว่ายังเติบโตได้ดีทั้งคู่ ขณะนี้บริษัททำงานและเดินเครื่องจักร 24 ชั่วโมงเต็ม เพื่อให้กำลังการผลิตเพียงพอกับออเดอร์จากลูกค้าเก่าและลูกค้ารายใหม่ๆ ที่มีเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 คาดว่ามีโอกาสเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 2 ที่มียอดขายประมาณ 288 ล้านบาท สำหรับรายได้รวมปีนี้ น่าจะแตะที่ระดับ 1,000 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 30% จากปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 750 ล้านบาท ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นทั้งปีจะรักษาไว้ได้ อยู่ที่ 30-40% สูงกว่าปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 25-30% โดยทุกปีบริษัทจะตั้งงบลงทุนสำหรับซื้อเครื่องจักรขยายกำลังการผลิตไว้ปีละประมาณ 150 ล้านบาท

ประเสริฐ มริตตนะพร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ อาวุโส กลุ่มงานบริหาร บมจ.ช.การช่าง เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่ารายได้ในปี 2556 จะอยู่ที่ระดับ 2-2.2 หมื่นล้านบาท เติบโต 10-15% จากปีนี้ที่คาดว่าจะมีรายได้รวม 1.8 หมื่นล้านบาท เนื่องจากในปีหน้าจะถือเป็น "ปีทอง" ของอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้าง เพราะภาครัฐจะมีการเปิดประมูลโครงการใหม่จำนวนมาก ทั้งโครงการรถไฟฟ้า และ โครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ขณะที่ภาษีเงินได้นิติบุคคลและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยก็จะปรับลดลง ทั้งนี้บริษัทคาดว่าจะได้งานประมาณ 20-25% ของมูลค่างาน ที่เปิดประมูลทั้งหมด ส่งผลให้ทั้งรายได้ และงานในมือ รอรับรู้รายได้ (Backlog) เพิ่มขึ้นมากกว่าปีนี้ หรือทำสถิติ สูงสุดใหม่อีกครั้ง จากปีนี้ที่คาดว่าจะมีแบ็คล็อกประมาณ 1.2 แสนล้านบาท ทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา

เชษฐ มังคโลดม รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป เปิดเผยว่า รายได้ของบริษัทในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มดีกว่าครึ่งปีแรกที่มี รายได้รวม 1.78 พันล้านบาท ลดลงกว่า 10% เมื่อเทียบกับ ช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะจะมีหนังดังเข้าฉายเพิ่มขึ้น ประกอบกับบริษัทหาคอนเทนท์อื่นนอกจากรายได้จากภาพยนตร์มาลง โดยล่าสุดได้ร่วมมือกับทรูวิชั่นถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีก และได้เปิดให้ใช้พื้นที่โรงหนังสำหรับกิจกรรมอบรมสัมมนาจุได้สูงสุดถึง 600 คน โดยในปีนี้ตั้งเป้าจะมีรายได้จากกิจกรรมเหล่านี้ประมาณ 200 ล้านบาท ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทยังมีแผนจะเปิดสาขาใหม่อีก 3 แห่ง ทำให้มีสาขาเพิ่มเป็น 57 สาขา มีโรงภาพยนตร์กว่า 400 โรงภายในปีนี้ ขณะที่ในปี 2556 ตั้งเป้าจะเปิดสาขาเพิ่มขึ้นอีก 10 สาขา และมีโรงภาพยนตร์เพิ่มเป็น 600 โรงภายในสิ้นปีหน้า

ปรีชา เอกคุณากูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาแผนการลงทุนในต่างประเทศ คาดว่าจะสรุปความชัดเจนภายในปี 2556 ส่วนภาพรวมธุรกิจครึ่งปีหลังคาดว่า จะเติบโตได้ไม่ดีเหมือนครึ่งปีแรก โดยเฉพาะไตรมาส 3 กำลังซื้อเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวในสาขากทม. แต่ต่างจังหวัดยังอยู่ในระดับปกติ แต่คาดว่าในไตรมาสสุดท้ายก็น่าจะกลับมาคึกคัก ในครึ่งปีหลังบริษัทเตรียมเปิด สาขาใหม่อีก 3 สาขา ส่งผลให้สิ้นปีนี้จะมีสาขารวม 30 สาขา ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าเปิดสาขาใหม่ปีละ 5 สาขา โดยใช้เงินลงทุน 500-1,000 ล้านบาทต่อสาขา ในปีนี้บริษัทยังมั่นใจว่า ยอดขายทั้งปีจะเติบโตที่ 22% ตามเป้าหมายเดิม ในส่วน สาขารัชดาจะเปิดให้บริการถึงเดือนมีนาคม 2556 เนื่องจากไม่มีการต่อสัญญา

อนันต์ มนัสชินอภิสิทธิ์ กรรมการ บมจ.โลหะกิจ เม็ททอล เปิดเผยว่า รายได้รวมปีนี้ คาดว่าจะเติบโต ประมาณ 15-20% จากปีก่อนที่ทำได้ประมาณ 2.32 พันล้านบาท เนื่องจากอุตสาหกรรมยานยนต์เติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทคาดว่ายอดขายในกลุ่มยานยนต์จะปรับตัวเพิ่มขึ้นตามอุตสาหกรรม บริษัทเตรียมงบลงทุนปีนี้ ไว้ 70-80 ล้านบาท เพื่อซื้อเครื่องจักรสำหรับตัดในกลุ่มธุรกิจยานยนต์ โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 50 ล้านบาท ส่วนงบลงทุนที่เหลือประมาณ 20-30 ล้านบาท บริษัทจะใช้ซื้อเครื่องดัดในส่วนของธุรกิจโลหะกิจ สำหรับอัตรากำไรขั้นต้นปีนี้ คาดว่าจะยังคงเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก ปัจจุบันอยู่ที่ 11.8% ส่วนอัตรากำไรสุทธิ คาดว่าอยู่ที่ระดับ 6%

สุรงค์ บูลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บมจ.ปตท. เปิดเผยว่า ปีนี้เป็นปีที่ ปตท.ระมัดระวังในการ ลงทุนอย่างมาก โดยทุกบริษัทในเครือได้รับสัญญาณ ให้ลดต้นทุนลง 5-10% ในส่วนของปตท.ได้ลดงบลงทุนปีนี้ 20,000 ล้านบาท จากประมาณ 90,000 ล้านบาท เหลือ 70,000 ล้านบาท ส่วนแผนระยะยาวขณะนี้ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งปตท.ยังเน้นลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ รวมถึงพลังงานทดแทน เช่น ปาล์ม รวมถึงการลงทุนในกิจการถ่านหินในต่างประเทศ และพุ่งเป้าการลงทุนในอาเซียน โดยเฉพาะพม่า อินโดนีเซีย และกัมพูชา สำหรับการลงทุนซื้อกิจการในต่างประเทศจะพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนทำให้ ปตท.ไม่ต้องการรีบตัดสินใจ

วีระยุทธ กิตะพาณิชย์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่า ปีนี้จะมีรายได้อยู่ที่ 9.5 พันล้านบาท เติบโต 48% จากปีก่อน ถือเป็นการปรับเพิ่มเป้าหมายรายได้ใหม่เป็นครั้งที่ 2 จากเดิมที่วางไว้เติบโต 40% และครั้งก่อนหน้านั้น 35% ทั้งนี้ ประเมินว่าในครึ่งปีหลังยอดขายของบริษัทจะเติบโตขึ้นอีก 17-18% จากครึ่งปีแรกที่มียอดขาย 4.45 พันล้านบาท บริษัทคาดว่าตัวเลขการผลิตรถยนต์ในครึ่งปีหลังจะอยู่ที่ 1.3 ล้านคัน ส่งผลให้ทั้งปีนี้มีการผลิตรถยนต์ทั้งสิ้น 2.3 ล้านคัน หรือคิดเป็นการเติบโต 46% จากปีก่อน ขณะที่แนวโน้มอุตสาหกรรมยานยนต์ในปี 2556 มองว่าจะยังคง เติบโตต่อเนื่องในอัตราที่ชะลอลงเหลือประมาณ 15%

อธิคม เติบศิริ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ไออาร์พีซี เปิดเผยว่า ในช่วง 3 ปีจากนี้ บริษัทอยู่ในช่วง เดินหน้าลงทุนตามโครงการ "ฟีนิกซ์" จะแล้วเสร็จทั้งหมดในปี 2557 และสร้างผลประโยชน์ให้บริษัทได้เต็มที่ในปี 2558 วงเงินลงทุนรวม 1.4 พันล้านดอลลาร์ หรือกว่า 4 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะช่วยสร้างรายได้ให้เติบโตเฉลี่ยปีละ 10% แต่ EBITDA จะโตเฉลี่ยมากกว่า 15% ต่อปี หรือประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท ในปี 2558 เพิ่มขึ้นเท่าตัว จากปีที่ผ่านมา ที่มี EBITDA อยู่ที่ประมาณ 6 พันล้านบาท หลังโครงการฟีนิกซ์เสร็จ จะทำให้นักลงทุนเห็นทิศทางการเติบโตของบริษัทชัดเจนขึ้น แนวโน้มผลการดำเนินงาน ในปีนี้ มีโอกาสที่บริษัทจะไม่มีขาดทุนจากสต็อกจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ได้ปรับเพิ่มขึ้น ส่วนแนวโน้มกำไรจากการดำเนินงานปกติน่าจะทรงตัว

วิทวัส พรกุล ประธานกรรมการบริหาร บมจ. ดีคอนโปรดักส์ เปิดเผยว่า ภาพรวมผลประกอบการปีนี้ น่าจะเติบโตได้ตามเป้า 20% ส่วนแนวโน้มไตรมาส 3 ปีนี้ ยอดขายยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ที่ผ่านมาบริษัทได้ลงทุนปรับปรุงกระบวนการผลิตทำให้เครื่องจักรทำงานได้มากขึ้น คาดว่าปีนี้ กำลังการผลิตจะอยู่ที่ 80% สามารถรองรับคำสั่งซื้อ ของลูกค้าได้เต็มที่ ส่วนปี 2556 บริษัทคาดรายได้จะเติบโตก้าวกระโดด 50% จากปีนี้ เพราะได้รับแรงหนุนจากโครงการคอนโดมิเนียม 8 ชั้น บนถนนงามวงศ์วาน จำนวน 900 ยูนิต มีมูลค่าโครงการรวม 900 ล้านบาท จะเริ่มมีรายได้เข้ามาช่วงปลายปี 2556 ถึงต้นปี 2557

ปสันน สวัสดิ์บุรี รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บมจ.เนาวรัตน์พัฒนาการ เปิดเผยว่า ภาพรวมกลุ่มธุรกิจรับเหมาปีนี้ มีทิศทางที่ดีขึ้นและคาดปี 2556 ผลประกอบการจะมีทิศทางที่ดีขึ้นกว่าปีนี้ เนื่องจากงานในมือรอรับรู้ รายได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุดมีงานในมือทะลุเป้าหมายที่ 1.4 หมื่นล้านบาทจะทยอยรับรู้รายได้ 18 เดือน โดยมีสัดส่วนงานภาครัฐ 65% ที่เหลือเป็นงานเอกชน 35% คาดว่า ปีนี้จะมีรายได้รวมอยู่ที่ 5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนอยู่ที่ 4.4 พันล้านบาท รวมถึงกำไรขั้นต้นเกิน 6% บริษัทตั้งเป้าสร้างรายได้เติบโตปีละ 5% เนื่องจากยังมีงานในมือรอรับรู้รายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง และในปีนี้ คาดว่าจะมีกำไรจากโครงการที่อยู่อาศัยเข้ามาประมาณ 100 ล้านบาท

อนิลรัตน์ นิติสาโรจน์ ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจและกฎหมาย บมจ.เอสทีพี แอนด์ ไอ เปิดเผยว่า แนวโน้มรายได้ในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะใกล้เคียงกับช่วงครึ่งปีแรกที่ทำได้ 1,267 ล้านบาท บริษัทคาดปี 2556 จะมีรายได้อยู่ที่ 6-8 พันล้านบาท เติบโตก้าวกระโดด เพราะขณะนี้ บริษัทมีงานในมือรอรับรู้รายได้มูลค่า 2.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งคาดจะรับรู้รายได้ในปีนี้ 5% และที่เหลือทั้งหมดจะรับรู้ รายได้ใน 3 ปีข้างหน้า ขณะที่บริษัทยังมีโอกาสจะได้รับงานใหม่เข้ามาอีก โดยบริษัทตั้งเป้าอัตรากำไรขั้นต้นในการ รับงานใหม่จะต้องไม่ต่ำกว่า 23-25%



ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
melbourne
Verified User
โพสต์: 75
ผู้ติดตาม: 0

Re: CEO ไทย ท่านไหนเก่งกว่าหรือพอๆ กับ Steve Jobs บ้างครับ?

โพสต์ที่ 32

โพสต์

คนไทยคนไหนเก่งกว่าjobหรอ

คิดว่าคงมีคนไทยหลายๆคนเก่งกว่าjobในหลายๆด้านอยู่ว่าเราดูด้านไหน

ประเด็นคงอยู่ที่ว่าคนไหนจะรักในผลิตภัณฑ์เท่าjobมากกว่า นี่คือสิ่งที่ผมคิดว่าทำให้jobแตกต่างจริงๆ

เค้าตั้งใจและฝืนมากในการถล่มโลกทั้งใบด้วยproductชิ้นเดียว ลองยกตัวอย่างสิครับว่ามีสินค้าอะไรที่สามารถ

ถล่มโลกได้ยังงี้ มันเป็นโจทย์ที่ยากมากๆสำหรับคนทำนะครับ(ลองคิดถ้าเป็นเรานะครับ เราจะผลิตอะไรให้คนทั้งโลกปลื้มดี? เราก็คงคิดconceptได้บ้างอันที่จริงผมว่าทุกคนคงเคยคิดแหละ แต่คนที่ทำได้จริงๆในกรณีนี้นะถึงควรเอามาเทียบกับjob ไม่งั้นก็ไม่มีประโยชน์ที่จะเอาjobไปเทียบในด้านที่มีหลายคนทำได้ดีกว่าเค้าเช่นการจัดการองกรณ์ การตลาด การบริหาร บลาๆๆๆ)

ความรักและความเป็นศิลปินของเค้าน่าจะเป็นkey มากกว่านะครับ
stevejob
Verified User
โพสต์: 100
ผู้ติดตาม: 0

Re: CEO ไทย ท่านไหนเก่งกว่าหรือพอๆ กับ Steve Jobs บ้างครับ?

โพสต์ที่ 33

โพสต์

ในฐานะแฟนคลับ steve jobs(ตามชื่อ log in อิอิ) เราว่า ceo แต่ละท่านมีความเก่งแตกต่างกันค่ะ

อย่าง jack welch,bill gates. ของไทยก็ คุณธนินทร์, คุณเจริญ คุณเฉลียว คุณเทียม ,เครือ central
อาลก โลเฮีย (นับเป็นไทยหรือเปล่า)

แต่ jobs เป็นคนที่มีความเป็นนักการตลาด ศิลปิน นักประดิษฐ์ ผสมกันในตัวเอง สูงมาก เป็นจุดเด่นที่ ceo คนอื่นไม่มี และเค้าเน้นการสร้างสรรค์ผลงาน มากกว่าการบริหารองค์กร. ข้อเสียคือ brand จะผูกติดกับตัว ceo
( เหมือนอย่างของคุณตัน). ก็ไม่รู้ว่าหลังจากยุคที่ jobs ไม่อยู่แล้ว apple จะเป็นยังไงต่อไป เพราะ tim cooks ก็ยังห่างไกลกับ jobs อีกเยอะเลย
นักดูดาว
Verified User
โพสต์: 2513
ผู้ติดตาม: 0

Re: CEO ไทย ท่านไหนเก่งกว่าหรือพอๆ กับ Steve Jobs บ้างครับ?

โพสต์ที่ 34

โพสต์

ไม่มีซักคน
เสรีภาพก็เหมือนอากาศที่เราไม่อาจมองเห็นด้วยตา แต่จะรู้สึกได้ในทันทีหากมีมันอยู่เบาบางหรือขาดหายไป

-จีรนุช เปรมชัยพร
นักดูดาว
Verified User
โพสต์: 2513
ผู้ติดตาม: 0

Re: CEO ไทย ท่านไหนเก่งกว่าหรือพอๆ กับ Steve Jobs บ้างครับ?

โพสต์ที่ 35

โพสต์

ผมเข้าใจว่า Market Cap ของ AAPL มีขนาดพอๆกับ SET การเอา CEO ไทยไปเปรียบค่อนข้างจะผิดฝาผิดตัวเป็นอย่างมากครับ
เสรีภาพก็เหมือนอากาศที่เราไม่อาจมองเห็นด้วยตา แต่จะรู้สึกได้ในทันทีหากมีมันอยู่เบาบางหรือขาดหายไป

-จีรนุช เปรมชัยพร
chitadisai
Verified User
โพสต์: 483
ผู้ติดตาม: 0

Re: CEO ไทย ท่านไหนเก่งกว่าหรือพอๆ กับ Steve Jobs บ้างครับ?

โพสต์ที่ 36

โพสต์

red bull กับ cp
o-bo-ja-ma
Verified User
โพสต์: 1601
ผู้ติดตาม: 0

Re: CEO ไทย ท่านไหนเก่งกว่าหรือพอๆ กับ Steve Jobs บ้างครับ?

โพสต์ที่ 37

โพสต์

ผมว่าไม่มีครับ ถ้ามี apple ก็จะเป็นบริษัทที่ร่ำรวยอันดับ 2 รองจากบริษัทในไทยบริษัทนี้ และ/หรือถ้ามีก็จะมีคนต้องการตัวบนสวรรค์ ตามโฆษณาครับ 55..
sorawitch
Verified User
โพสต์: 152
ผู้ติดตาม: 0

Re: CEO ไทย ท่านไหนเก่งกว่าหรือพอๆ กับ Steve Jobs บ้างครับ?

โพสต์ที่ 38

โพสต์

bill gates steve jobs steve ballmer.jpg
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
เราจะรวยแร้วววววววววว
Quantum of Solace
Verified User
โพสต์: 155
ผู้ติดตาม: 0

Re: CEO ไทย ท่านไหนเก่งกว่าหรือพอๆ กับ Steve Jobs บ้างครับ?

โพสต์ที่ 39

โพสต์

ธรรมชโย นะจ๊ะ
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: CEO ไทย ท่านไหนเก่งกว่าหรือพอๆ กับ Steve Jobs บ้างครับ?

โพสต์ที่ 40

โพสต์

3ซีอีโอแนะธุรกิจไทยปรับตัวแข่งเวทีโลก
Source - กรุงเทพธุรกิจ (Th), Thursday, September 20, 2012


3 ผู้นำองค์กรใหญ่"เอสซีจี-ปตท.-อินทัช"เปิดวิสัยทัศน์ยกระดับประเทศ เชื่ออาเซียนผนึกจีนคืออนาคตของโลก แนะผู้ประกอบการเร่งปรับตัวลงทุนในภูมิภาค เพิ่มเทคโนโลยี สร้างแบรนด์ เกาะกระแสสิ่งแวดล้อมสร้างความแข็งแกร่งแบบยั่งยืน ลดพึ่งพาแรงงานราคาถูก "ไพรินทร์" ระบุไทยขาดแคลนการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ต้นเหตุฉุดความสามารถการแข่งขันลดลง เร่งพัฒนา CSV เบิกทางแข่งขันเวทีโลก ด้าน"สมประสงค์"หนุนสร้างมืออาชีพทุกหน่วยงาน

3 ผู้นำองค์กรธุรกิจชั้นนำของไทย นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย หรือ เอสซีจี นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ นายสมประสงค์ บุญยะชัย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)หรือ อินทัช ร่วมแสดงวิสัยทัศน์ ในหัวข้อ "Great CEO Great Vision...The Challengers of Thailand’s New Frontier" ในงานเปิดตัว "กรุงเทพธุรกิจทีวี"อย่างเป็นทางการ 18 ก.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งมี ประเด็นที่น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวทางการดำเนินธุรกิจของไทย เพื่อรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในหลายๆ ด้าน ทั้งเศรษฐกิจโลก ภาวะการแข่งขัน หรือการเปลี่ยนแปลงของภาคสังคม

อาเซียน จีน อนาคตของโลก
นายกานต์ กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจโลกกำลังเปลี่ยนแปลง ผู้เล่นรายใหญ่ที่เคยครองเวทีมายาวนานอยู่ในสถานการณ์ไม่ดี ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา หรือว่ายุโรป โดยเฉพาะยุโรปที่ ส่วนสหรัฐ เชื่อว่าใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่งจะกลับมาได้ จากพื้นฐานการเป็นประเทศใหญ่ และมีนวัตกรรมจำนวนมาก
ขณะที่ประเทศดาวรุ่งที่เคยได้รับความสนใจมากในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา คือ กลุ่ม BRIC (บราซิล รัสเซีย อินเดีย และ จีน) ก็ส่งสัญญาณชะลอตัวลง เช่น อินเดีย ที่เคยคาดการณ์ว่าจีดีพีจะเติบโต 7-8% ก็ลดลงเหลือ 5.3% ขณะที่จีนช่วง 7-8 เดือนที่ผ่านมาก็ชะลอตัวเช่นกัน แต่ภูมิภาคที่ยังเติบโตดี และได้รับความสนใจจากทั่วโลก ก็คือ อาเซียน ขณะที่ไทยเอง หากมองภาพเชื่อมกับพม่า ก็เป็นภาพที่ดีมากในสายตาต่างชาติ
"อาเซียน ตอนนี้เป็นภาพบวกมากๆ และหากรวมกับจีน ซึ่งผมเชื่อว่าไตรมาส 4 จีนจะดีขึ้น นี่คืออนาคตของโลก"
ความแข็งแกร่งของอาเซียน ผลักดันให้ขณะนี้เกิดการเคลื่อนย้ายการลงทุนเข้ามายังภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้น รวมถึงองค์กรระดับโลก ซึ่งจะทำให้เกิดการแข่งขันที่รุนแรงตามมา และธุรกิจไทยก็จะต้องปรับตัวเพราะคู่แข่งเปลี่ยนไป ไม่ใช่แข่งกับเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซีย หรือเวียดนาม เช่นเดิมอีกต่อไป

ชู 3 แนวทาง รับมือ
แนวทางการปรับตัวของธุรกิจไทย จะต้องเลิกแนวทางในอดีตที่อาศัยข้อได้เปรียบจากแรงงานราคาถูก หรือลดต้นทุนด้วยวิธีการผลิตจำนวนมาก แต่จะต้องหันมาให้ความสำคัญกับการนำนวัตกรรมเข้ามาใช้มากขึ้น ทั้งภาคการผลิต และการบริการ โดยมี 3 สิ่งที่จะต้องดำเนินการ ก็คือ การพัฒนาเทคโนโลยี การสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ และการทำธุรกิจที่เป็นมิตรกับ สิ่งแวดล้อม แต่การจะทำในส่วนนี้ได้ จำเป็นต้องมีการวิจัย ที่สามารถนำมาปฏิบัติได้จริง
นายกานต์กล่าวว่าในส่วนของเอสซีจี ซึ่งปัจจุบันเข้าไปลงทุนในอาเซียนจำนวนมาก ก็จะใช้แนวทางนี้เพื่อก้าวไปสู่การเป็นผู้นำธุรกิจแบบยั่งยืน โดยการใช้เทคโนโลยีพัฒนาสินค้าให้มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น ต่างจากเดิมที่เป็นสินค้าพื้นฐานทั่วไป ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่มีความเสี่ยงในการแข่งขัน ตัดราคา
"การเปิด กรุงเทพธุรกิจทีวี ก็เรียกได้ว่าเป็นตัวอย่างหนึ่งของการนำนวัตกรรมมาใช้ คือเป็น บิซิเนส โมเดล อินโนเวชั่น"

ปตท.ชี้ไทยขาดแคลนงานวิจัย
สอดคล้องกับนายไพรินทร์ ที่ระบุว่าปัจจุบันไทยขาดแคลนงานวิจัย โดยเฉพาะงานจากมหาวิทยาลัยซึ่งถือว่ามีความสำคัญอย่างมาก แต่พบว่าปัจจุบันส่วนใหญ่ทำงานวิจัยเป็นงานอดิเรก นอกจากนี้ก็ยังขาดแคลนในด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี
"ความสามารถในการแข่งขันของไทยลดลงเรื่อยๆ ซึ่งเราพบว่าความอ่อนแอเกิดจากการไม่ใช้วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีเป็นตัวนำในการพัฒนาประเทศ"
ดังนั้น ปตท. จึงมีแผนการที่จะลดจุดอ่อนส่วนนี้ โดยเตรียมตั้งมหาวิทยาลัยที่จังหวัดระยอง และจะเน้นเรื่องงานวิจัยเป็นหลัก นอกจากนี้ก็จะสร้างโรงเรียนมัธยมที่เน้นด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ให้มีคุณภาพเทียบเท่าหรือดีกว่า โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์
แนวทางการพัฒนาการศึกษาของปตท.นอกจากจะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวแล้ว ยังตอบสนองแต่แนวทางการทำธุรกิจที่ยั่งยืนขององค์กรอีกด้วย เนื่องจากปัจจุบันปตท.ได้ชื่อว่าเป็นองค์กรระดับโลก ทำธุรกิจใน 14 ประเทศ ยอดขายรวมปีนี้คาดว่าจะทำได้ 3 ล้านล้านบาท แต่ปัญหาหลักขององค์กรระดับโลกก็คือ จำเป็นจะต้องมีสิ่งที่เรียกว่า ใบอนุญาตในการประกอบธุรกิจในสังคม หรือ License to Operate
ทั้งนี้ ปตท.เห็นว่าการเป็นองค์กรใหญ่จะเป็นเป้าโจมตีได้ง่าย โดยเฉพาะด้านสังคม ดังนั้นแนวทางแก้ไขอย่างหนึ่งก็คือ องค์กรจะต้องมี CSV (Creating Shared Value) หรือ การสร้างประโยชน์ร่วมกับสังคม ซึ่งจะมีความสำคัญกว่า CSR (Corporate Social Responsibility) หรือการทำประโยชน์ให้สังคมเท่านั้น แต่ CSV เป็นการเติบโตร่วมกัน ทำให้ได้รับการยอมรับมากขึ้น ซึ่งในส่วนของปตท. ปัจจุบันมีธุรกิจใหญ่อยู่ภาคตะวันออก โดยเฉพาะจังหวัดระยอง ทำให้เกิดโครงการด้านการศึกษาขึ้นมา

สร้างองค์ความรู้ควบนวัตกรรม
นายสมประสงค์ กล่าวว่า วิสัยทัศน์ของ ผู้บริหารเครือเนชั่น ที่ชัดเจนคือ การกำหนดทิศทางการทำงานที่แตกต่าง และมีการวางแผนการทำงานอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เหมือนที่อย่างที่คุณสุทธิชัย หยุ่น บอกว่า "เราไม่ได้ขายหนังสือพิมพ์ แต่เราขายข่าว" สิ่งนี้เป็นตัวบ่งชี้ว่า การพัฒนาของบริษัท หรือองค์กรใหญ่ๆ ระดับประเทศควรต้องมีความชัดเจนในตัวเอง
ในส่วนของเครืออินทัช ทั้ง บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (เอไอเอส) และ บมจ.ไทยคม ได้กำหนดแนวทางสู่ความสำเร็จ (breakthrough) ใน 5 สายงานธุรกิจคือ โทรคมนาคมโอเปอเรเตอร์ มีเดีย ไอที ดิจิทัล คอนเทนท์ และโครงการร่วมลงทุนในรูปแบบเวนเจอร์ แคปปิตอล ซึ่งทั้ง 5 สายธุรกิจ จะต้องดำเนินอยู่ให้ได้ภายใต้บริบทการเปลี่ยน 3 ปัจจัยสำคัญคือ กฎระเบียบ และการกำกับดูแล เทคโนโลยี และพฤติกรรมของผู้บริโภค ซึ่งในทุกองค์ประกอบจะต้องพัฒนาศักยภาพของบริษัทให้มีความยั่งยืน สามารถดำรงอยู่ได้ เมื่อสภาพแวดล้อมรอบนอกจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งหากทำได้ก็ถือเป็นความสำเร็จในฐานะซีอีโอที่ผลักดันองค์กรให้ อยู่รอด
แนวคิดสำคัญต่อการสร้างความสำเร็จให้แก่บริษัท คือ เสริมสร้างจินตนาการ ผสมการสื่อสารที่มีหลากหลาย ให้เกิดองค์ความรู้ควบคู่ไปกับนวัตกรรม การสร้างให้เกิดการยอมรับของทุกองค์ประกอบการในบริษัท รวมถึงพัฒนาและเสริมสร้างทรัพยากรบุคคลซึ่งมี 3 องค์ประกอบสำคัญ คือ 1.สร้างความเชี่ยวชาญแต่ละสายงาน สายงานที่ให้บริการเป็นธุรกิจหลักต้องมีผู้เชี่ยวชาญที่เป็นมืออาชีพอย่างแท้จริง
2.ผลักดันให้แต่ละสายงาน แสดงศักยภาพตัวเองออกมาให้ได้มากที่สุด 3.แลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างสายงานภายใต้โครงสร้างของบริษัท ต้องไม่คิดว่าสายงานตัวเองสำคัญกว่าสายงานส่วนอื่น "เหมือนทฤษฎี เอส เคิร์ฟ มีเกิด เติบโต และ ถดถอย การทำธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป เราจำเป็นต้องเลือกว่า จะเก็บเอาอะไรไว้ หรือยอมให้อะไรเปลี่ยนแปลงไปตามเทคโนโลยี สภาพแวดล้อม เป้าหมายสูงสุดของธุรกิจที่แท้จริงไม่ใช่การเป็นผู้นำตลาด มีส่วนแบ่งที่ใหญ่ที่สุด แต่คือ ความอยู่รอดภายใต้บริบทที่เปลี่ยนแปลงไป"

เป็นมืออาชีพเพื่อธุรกิจยั่งยืน
การทำงานอินทัช และบริษัทในเครือ จะพยายามให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ พนักงานทุกคนต้องสามารถดึงความรู้ความสามารถของตัวเองมาใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และต้องมีการต่อยอดพัฒนาเสริมได้อย่างไม่หยุดนิ่ง เพื่อให้เกิดทักษะการทำงานในหลายๆ ด้านที่มีความหลากหลาย สามารถนำมาต่อยอดให้แก่ตัวเอง และตัวบริษัทได้
"ต้องการให้บริษัทเป็นเหมือนสถาบันของมืออาชีพ ทำงานแบบมืออาชีพ เพื่อรักษาความยั่งยืนของธุรกิจให้คงอยู่ ภายใต้บริบทการเปลี่ยนทางสังคม"
ขณะเดียวกัน แผนธุรกิจในปี 2555 ของกลุ่มอินทัช นอกจากจะมุ่งไปที่ธุรกิจร่วมลงทุนในรูปแบบเวนเจอร์ แคปปิตอล ในชื่อ "อินเวนท์" เปิดกว้างรับข้อเสนอของเอสเอ็มอีทุกบริษัทที่ทำธุรกิจด้านเทคโนโลยี โทรคมนาคม และสื่อ ตลอดจนธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับกลุ่มอินทัช และจะทำการพิจารณาคัดเลือกอีกครั้ง โดยแต่ละปีบริษัทเตรียมวงเงินไว้ปีละ 200 ล้านบาท และมีวงเงินขั้นต่ำในการลงทุน 5 ล้านบาท/บริษัท มีเวลาดำเนินธุรกิจประมาณ 3-5 ปี ตอนนี้มี ผู้บริษัทที่เข้ามาเสนอตัวประมาณ 10 ราย
โดยกลุ่มธุรกิจที่จะเข้าไปร่วมลงทุน จะมุ่งเน้นในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ โทรคมนาคมและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับอินทัช เนื่องจากมองว่าทีมงานมีความสามารถและเชี่ยวชาญในเรื่องดังกล่าว ซึ่งจะมีส่วนผลักดันและโอกาสในการขยายธุรกิจได้มากกว่าด้านอื่นๆ ทั้งนี้ นอกจากประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับกลุ่มธุรกิจที่เข้าไปร่วมลงทุนแล้ว ยังส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศเกิดการขยายตัวตามไปด้วย" นาย สมประสงค์ กล่าว
"สหรัฐและยุโรป กำลังแย่ แต่อาเซียนเมื่อรวมกับจีนคืออนาคตโลก"
กานต์ ตระกูลฮุน
" เป้าหมายสูงสุดไม่ใช่ผู้นำตลาด แต่คือความอยู่รอดภายใต้บริบทที่เปลี่ยนแปลง"
สมประสงค์ บุญยะชัย
"ความสามารถแข่งขันของไทยลดลง เพราะไม่ใช้เทคโนโลยี"
ไพรินทร์ ชูโชติถาวร

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
ซากคน
Verified User
โพสต์: 1400
ผู้ติดตาม: 0

Re: CEO ไทย ท่านไหนเก่งกว่าหรือพอๆ กับ Steve Jobs บ้างครับ?

โพสต์ที่ 41

โพสต์

Quantum of Solace เขียน:ธรรมชโย นะจ๊ะ
:rofl: :rofl: :rofl: :rofl: :rofl: :rofl: :rofl: :rofl: :rofl:
เราต่างตื่นขึ้นมาทุกวัน เพื่อสร้างผลงานให้ได้ เราควรรู้ว่า ในทุกวันมีอะไรที่ต้องทำเพื่อให้เกิดผลงาน หากการตื่นขึ้นมา ไม่ได้เป็นไปเพื่อผลงาน เราก็ไม่สมควรที่จะตื่นขึ้นมาให้รกหูรกตาคนรอบข้าง
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: CEO ไทย ท่านไหนเก่งกว่าหรือพอๆ กับ Steve Jobs บ้างครับ?

โพสต์ที่ 42

โพสต์

คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."