รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 481
ไทยใช้พลังงานเพิ่มตาม ศก.โต
Source - บ้านเมือง (Th), Tuesday, September 04, 2012
นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า แนวโน้มการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ขั้นต้นทั้งปี 55 อยู่ที่ 1.94 ล้านบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ/วัน เพิ่มขึ้น 5.2% เมื่อเทียบกับปี 2554 โดยประเมินจากภาวะเศรษฐกิจไทยปี 55 ที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวในอัตรา 5.5-6.5% ซึ่งมีปัจจัยขับเคลื่อนจากการเร่งตัวของการผลิตภาคอุตสาหกรรม การฟื้นตัวของการบริโภคและการลงทุนในประเทศ ถึงแม้ว่าจะยังมีความเสี่ยงเรื่องวิกฤติเศรษฐกิจยุโรปแต่คาดว่าเศรษฐกิจโลกโดยรวมยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ความต้องการใช้พลังงานเพิ่มสูงขึ้นเกือบทุกประเภท โดยก๊าซธรรมชาติมีการใช้เพิ่มขึ้น 4.9% เมื่อเทียบกับปีก่อนเช่นเดียวกับไฟฟ้าพลังน้ำและไฟฟ้านำเข้าใช้เพิ่มขึ้น 25.9% ส่วนน้ำมันทั้งปีจะมีการใช้เพิ่มขึ้น 4.1% การใช้ถ่านหินเพิ่มขึ้น 13.1% เนื่องจากมีโรงผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่ (IPP) ซึ่งใช้ถ่านหินในการผลิตไฟฟ้าได้เข้ามาเพิ่มในระบบ ในขณะที่ลิกไนต์จะลดลง 11.2% ซึ่งเป็นผลจากช่วงปลายปีแหล่งสัมปทานที่ใช้ในการผลิตลิกไนต์ลดกำลังการผลิตลง
สถานการณ์พลังงานในช่วง 6 เดือนแรก (ม.ค.- มิ.ย.) พบว่า การใช้พลังงานพาณิชย์ขั้นต้นเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน 4.2% อยู่ที่ระดับ 1.96 ล้านบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ/วัน โดยการใช้ก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้น 2.5% น้ำมันสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น 5.1% ถ่านหินนำเข้าใช้เพิ่มขึ้น 7.2% การใช้ไฟฟ้าพลังงานน้ำ/ไฟฟ้านำเข้าเพิ่ม 53.7% เนื่องจากมีการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำมากขึ้นในช่วงที่แหล่งเยตากุนหยุดจ่ายก๊าซ เพราะมีการซ่อมบำรุงประจำปีในช่วงเดือน ธ.ค.54 ถึง ม.ค.55 ส่วนลิกไนต์การใช้ลดลง 14.9% มูลค่าการใช้พลังงานขั้นสุดท้ายช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น 9.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2554 อยู่ที่ประมาณ 1.1 ล้านล้านบาท
นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกขณะนี้ยังยากที่จะประเมิน ซึ่งราคามีการปรับขึ้นลงตามสถานการณ์ ค่าการตลาดน้ำมันในปัจจุบัน ยอมรับว่าอยู่ในระดับต่ำ จากการตรึงราคาขายปลีก และนโยบายปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน แต่ถือว่าเป็นการช่วยเหลือผู้บริโภคให้สามารถใช้น้ำมันได้ในราคาที่เหมาะสม
--จบ--
Source - บ้านเมือง (Th), Tuesday, September 04, 2012
นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า แนวโน้มการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ขั้นต้นทั้งปี 55 อยู่ที่ 1.94 ล้านบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ/วัน เพิ่มขึ้น 5.2% เมื่อเทียบกับปี 2554 โดยประเมินจากภาวะเศรษฐกิจไทยปี 55 ที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวในอัตรา 5.5-6.5% ซึ่งมีปัจจัยขับเคลื่อนจากการเร่งตัวของการผลิตภาคอุตสาหกรรม การฟื้นตัวของการบริโภคและการลงทุนในประเทศ ถึงแม้ว่าจะยังมีความเสี่ยงเรื่องวิกฤติเศรษฐกิจยุโรปแต่คาดว่าเศรษฐกิจโลกโดยรวมยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ความต้องการใช้พลังงานเพิ่มสูงขึ้นเกือบทุกประเภท โดยก๊าซธรรมชาติมีการใช้เพิ่มขึ้น 4.9% เมื่อเทียบกับปีก่อนเช่นเดียวกับไฟฟ้าพลังน้ำและไฟฟ้านำเข้าใช้เพิ่มขึ้น 25.9% ส่วนน้ำมันทั้งปีจะมีการใช้เพิ่มขึ้น 4.1% การใช้ถ่านหินเพิ่มขึ้น 13.1% เนื่องจากมีโรงผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่ (IPP) ซึ่งใช้ถ่านหินในการผลิตไฟฟ้าได้เข้ามาเพิ่มในระบบ ในขณะที่ลิกไนต์จะลดลง 11.2% ซึ่งเป็นผลจากช่วงปลายปีแหล่งสัมปทานที่ใช้ในการผลิตลิกไนต์ลดกำลังการผลิตลง
สถานการณ์พลังงานในช่วง 6 เดือนแรก (ม.ค.- มิ.ย.) พบว่า การใช้พลังงานพาณิชย์ขั้นต้นเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน 4.2% อยู่ที่ระดับ 1.96 ล้านบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ/วัน โดยการใช้ก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้น 2.5% น้ำมันสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น 5.1% ถ่านหินนำเข้าใช้เพิ่มขึ้น 7.2% การใช้ไฟฟ้าพลังงานน้ำ/ไฟฟ้านำเข้าเพิ่ม 53.7% เนื่องจากมีการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำมากขึ้นในช่วงที่แหล่งเยตากุนหยุดจ่ายก๊าซ เพราะมีการซ่อมบำรุงประจำปีในช่วงเดือน ธ.ค.54 ถึง ม.ค.55 ส่วนลิกไนต์การใช้ลดลง 14.9% มูลค่าการใช้พลังงานขั้นสุดท้ายช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น 9.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2554 อยู่ที่ประมาณ 1.1 ล้านล้านบาท
นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกขณะนี้ยังยากที่จะประเมิน ซึ่งราคามีการปรับขึ้นลงตามสถานการณ์ ค่าการตลาดน้ำมันในปัจจุบัน ยอมรับว่าอยู่ในระดับต่ำ จากการตรึงราคาขายปลีก และนโยบายปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน แต่ถือว่าเป็นการช่วยเหลือผู้บริโภคให้สามารถใช้น้ำมันได้ในราคาที่เหมาะสม
--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 482
สผ.ดึงสหรัฐ-ญี่ปุ่นถือแปลงพม่า
Source - โพสต์ ทูเดย์ (Th), Tuesday, September 04, 2012
โพสต์ทูเดย์ -PTTEP ดึงยักษ์สหรัฐ-ญี่ปุ่นร่วมถือหุ้นแปลงสัมปทาน M11 เมียนมาร์ ลุยเจาะแหล่งน้ำลึกปลายไตรมาส 3 ปีหน้าโบรกเกอร์ลุ้นไตรมาส 3 มีกำไรพิเศษมอนทารา
นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม(PTTEP) เปิดเผยว่า บริษัท ปตท.สผ.อินเตอร์เนชั่นแนล (ปตท.สผ.อ.) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยผู้ดำเนินการและถือหุ้นทั้งหมดในแปลงเอ็ม 11 ซึ่งมีพื้นที่ 5,373 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่บริเวณน้ำลึกในอ่าวเมาะตะมะสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ได้บรรลุข้อตกลงในการดึงบริษัท Total E&P Myanmar (Total) และ JX Nippon Oil &Gas Exploration (Myanmar) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ JX Nippon Oil & Gas Exploration Corporation เข้าเป็นผู้ร่วมทุนในแปลงเอ็ม11 ในสัดส่วน 40% และ 15% ตามลำดับ
ทั้งนี้ ปตท.สผ.อ. จะยังคงเป็นผู้ดำเนินการและถือสิทธิการร่วมทุนในสัดส่วน 45%ในโครงการนี้ต่อไป โดยการเข้าร่วมทุนดังกล่าวจะมีผลบังคับเมื่อได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลสหภาพเมียนมาร์ โดย ปตท.สผ.อ.และผู้ร่วมทุนมีแผนงานเจาะหลุมสำรวจในแปลงเอ็ม 11 จำนวน 1 หลุม ภายในไตรมาส3 ปี 2556
อย่างไรก็ตาม การหาผู้ร่วมทุนเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ในการบริหารและกลั่นกรองการลงทุน เพื่อให้การลงทุนมีความเหมาะสมทั้งในด้านการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่โครงการและการบริหารความเสี่ยง
นักวิเคราะห์จาก บล.ดีบีเอสวิคเคอร์สระบุว่า ฝ่ายวิจัยยังคงเป้าหมายกำไรของPTTEP ปีนี้ที่ 5.39 หมื่นล้านบาทเพิ่มขึ้น19.6% จากปีที่ผ่านมา และมองว่าในไตรมาส3 นี้ บริษัทจะบันทึกกำไรพิเศษจากผลการสำรองจากแหล่งมอนทารา และจะมีเงินชดเชยประกันจากไฟไหม้แท่นขุดเจาะประมาณ 72 ล้านเหรียญสหรัฐ
บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า จากการสัมภาษณ์ผู้บริหาร ปตท. (PTT) ยืนยันว่า บริษัทไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุน แม้ว่าจะใช้เงินลงทุนจำนวนมากในปีนี้ และแผน 5 ปี (2555-2559) จะใช้งบลงทุน 3.97 แสนล้านบาท ซึ่งรวมเพิ่มทุน ปตท.สผ.ด้วย โดย 42% เป็นงบเพื่อซื้อกิจการ33% ลงทุนในก๊าซรวมถึงถ่านหินด้วย ซึ่งบริษัทคาดหวังว่าในปี 2563 กำไรจากถ่านหินจะขยับมาอยู่ที่ 63% จาก2% เมื่อปี2554
--จบ--
Source - โพสต์ ทูเดย์ (Th), Tuesday, September 04, 2012
โพสต์ทูเดย์ -PTTEP ดึงยักษ์สหรัฐ-ญี่ปุ่นร่วมถือหุ้นแปลงสัมปทาน M11 เมียนมาร์ ลุยเจาะแหล่งน้ำลึกปลายไตรมาส 3 ปีหน้าโบรกเกอร์ลุ้นไตรมาส 3 มีกำไรพิเศษมอนทารา
นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม(PTTEP) เปิดเผยว่า บริษัท ปตท.สผ.อินเตอร์เนชั่นแนล (ปตท.สผ.อ.) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยผู้ดำเนินการและถือหุ้นทั้งหมดในแปลงเอ็ม 11 ซึ่งมีพื้นที่ 5,373 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่บริเวณน้ำลึกในอ่าวเมาะตะมะสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ได้บรรลุข้อตกลงในการดึงบริษัท Total E&P Myanmar (Total) และ JX Nippon Oil &Gas Exploration (Myanmar) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ JX Nippon Oil & Gas Exploration Corporation เข้าเป็นผู้ร่วมทุนในแปลงเอ็ม11 ในสัดส่วน 40% และ 15% ตามลำดับ
ทั้งนี้ ปตท.สผ.อ. จะยังคงเป็นผู้ดำเนินการและถือสิทธิการร่วมทุนในสัดส่วน 45%ในโครงการนี้ต่อไป โดยการเข้าร่วมทุนดังกล่าวจะมีผลบังคับเมื่อได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลสหภาพเมียนมาร์ โดย ปตท.สผ.อ.และผู้ร่วมทุนมีแผนงานเจาะหลุมสำรวจในแปลงเอ็ม 11 จำนวน 1 หลุม ภายในไตรมาส3 ปี 2556
อย่างไรก็ตาม การหาผู้ร่วมทุนเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ในการบริหารและกลั่นกรองการลงทุน เพื่อให้การลงทุนมีความเหมาะสมทั้งในด้านการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่โครงการและการบริหารความเสี่ยง
นักวิเคราะห์จาก บล.ดีบีเอสวิคเคอร์สระบุว่า ฝ่ายวิจัยยังคงเป้าหมายกำไรของPTTEP ปีนี้ที่ 5.39 หมื่นล้านบาทเพิ่มขึ้น19.6% จากปีที่ผ่านมา และมองว่าในไตรมาส3 นี้ บริษัทจะบันทึกกำไรพิเศษจากผลการสำรองจากแหล่งมอนทารา และจะมีเงินชดเชยประกันจากไฟไหม้แท่นขุดเจาะประมาณ 72 ล้านเหรียญสหรัฐ
บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า จากการสัมภาษณ์ผู้บริหาร ปตท. (PTT) ยืนยันว่า บริษัทไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุน แม้ว่าจะใช้เงินลงทุนจำนวนมากในปีนี้ และแผน 5 ปี (2555-2559) จะใช้งบลงทุน 3.97 แสนล้านบาท ซึ่งรวมเพิ่มทุน ปตท.สผ.ด้วย โดย 42% เป็นงบเพื่อซื้อกิจการ33% ลงทุนในก๊าซรวมถึงถ่านหินด้วย ซึ่งบริษัทคาดหวังว่าในปี 2563 กำไรจากถ่านหินจะขยับมาอยู่ที่ 63% จาก2% เมื่อปี2554
--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 483
**DEMCO ปรับเป้ารายได้ปีนี้แตะ 6 พันลบ.จากเดิม 5.3 พันลบ.
อินโฟเควสท์ (4 ก.ย. 55)--บมจ.เด็มโก้ (DEMCO)ปรับเป้ารายได้ปี 55 สูงขึ้นเป็น 6 พันล้านบาท จากเดิม 5.3 พันล้านบาท พร้อมตั้งเป้าปีนี้มีอัตรากำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 6-6.5% จาก 4.2% ในปี 54
ขณะนี้บริษัทมีงานในมือ(backlog)รวมมูลค่าประมาณ 6 พันล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้เป็นรายได้ในปีนี้ประมาณ 2.8 พันล้านบาท ส่วนที่เหลือรับรู้ฯในปี 56 และบริษัทจะยื่นประมูลงานโซลาร์ฟาร์ม 3 โครงการ รวมมูลค่า 860 ล้านบาท จะรู้ผลภายในเดือน ต.ค.-พ.ย.55 พร้อมทั้งจะเข้าประมูลงานของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)ทั้งหมดรวม 7 พันล้านบาท โดยได้เข้ายื่นประมูลไปแล้ว 4 พันล้านบาท คาดว่าจะได้งานไม่ต่ำกว่า 20-25%--จบ--
--อินโฟเควสท์ โดย จำเนียร พรทวีทรัพย์/ศศิธร/รัชดา โทร.02-2535000 ต่อ 317 อีเมล์: [email protected]--
อินโฟเควสท์ (4 ก.ย. 55)--บมจ.เด็มโก้ (DEMCO)ปรับเป้ารายได้ปี 55 สูงขึ้นเป็น 6 พันล้านบาท จากเดิม 5.3 พันล้านบาท พร้อมตั้งเป้าปีนี้มีอัตรากำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 6-6.5% จาก 4.2% ในปี 54
ขณะนี้บริษัทมีงานในมือ(backlog)รวมมูลค่าประมาณ 6 พันล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้เป็นรายได้ในปีนี้ประมาณ 2.8 พันล้านบาท ส่วนที่เหลือรับรู้ฯในปี 56 และบริษัทจะยื่นประมูลงานโซลาร์ฟาร์ม 3 โครงการ รวมมูลค่า 860 ล้านบาท จะรู้ผลภายในเดือน ต.ค.-พ.ย.55 พร้อมทั้งจะเข้าประมูลงานของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)ทั้งหมดรวม 7 พันล้านบาท โดยได้เข้ายื่นประมูลไปแล้ว 4 พันล้านบาท คาดว่าจะได้งานไม่ต่ำกว่า 20-25%--จบ--
--อินโฟเควสท์ โดย จำเนียร พรทวีทรัพย์/ศศิธร/รัชดา โทร.02-2535000 ต่อ 317 อีเมล์: [email protected]--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 484
กฟผ.ขู่เลิกสร้างโรงไฟฟ้ากระบี่ ชี้รับภาระเอฟที2หมื่นล.กระทบฐานะเงินลงทุน
Source - ไทยโพสต์ (Th), Wednesday, September 05, 2012
กฟผ.เตรียมมาตรการรัดเข็มขัดทั้งองค์กรหากต้องแบกภาระค่าเอฟทีเกิน 20,000 ล้านบาท ระบุเสี่ยงกระทบ 2 เด้ง ทั้งแผนก่อสร้างโรงไฟฟ้ากระบี่ปี 2556 กว่า 5 หมื่นล้านบาทส่อเลื่อนทำคนใต้ขาดแคลนไฟฟ้าในอีก 7 ปีข้างหน้า และเสี่ยงกระทบแผนพัฒนาสายส่งไฟฟ้ารองรับพลังงานทดแทน หวั่นเกิดปัญหาระบบสายส่งไฟฟ้าเสียหายทั้งประเทศ ด้าน ปตท.เผยมาตรการผู้ค้าแบกภาระดีเซลทำสูญรายได้แล้ว 294 ล้านบาท
แหล่งข่าวจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า การพิจารณาปรับขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) งวดปลายปี 2555 (ก.ย.-ธ.ค.) ของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) หรือเรกูเลเตอร์ ที่มีนายดิเรก ลาวัณย์ศิริ เป็นประ ธาน มีแนวโน้มจะปรับขึ้นค่าเอฟทีเพียง 9-15 สตางค์ต่อหน่วย ทำ ให้ค่าเอฟที ก.ย.-ธ.ค.อยู่ที่ประมาณ 39-45 สตางค์ต่อหน่วย จากที่แท้จริงควรอยู่ประมาณ 68 สตางค์ต่อหน่วย โดยส่วนต่างที่เหลือคาดว่าจะให้ กฟผ.แบกรับภาระต่อไปก่อน จากปัจจุบันที่แบกไว้ แล้วคิดเป็นเงิน 14,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ หากเรกูเลเตอร์สั่งให้ กฟผ.แบกภาระเพิ่มเกินกว่า 20,000 ล้านบาท จะส่งผลให้ กฟผ.ต้องดำเนินมาตรการรัดเข็มขัดภายในองค์กร รวมทั้งจะกระทบต่อเงินลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้ากระบี่ ซึ่งตามแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า พ.ศ.2553-2573 หรือพีดีพี 2010 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 3 กฟผ.จะสร้างโรงไฟฟ้ากระบี่ขนาด กำลังการผลิต 800 เมกะวัตต์ ใน ปี 2556 และให้เสร็จในปี 2562 เพื่อรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าภาคใต้ในอีก 7 ปี (พ.ศ.2562) ที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 6% จากปัจจุบันที่ใช้ 2,200 เมกะ วัตต์ เป็นกว่า 3,000 เมกะวัตต์ ต้องใช้เงินลงทุน 50,000 ล้านบาท โดย กฟผ.จะลงทุนเอง 20,000 ล้านบาท และกู้สถาบันการเงินอีก 30,000-40,000 ล้านบาท
"หากต้องแบกรับภาระค่า เอฟทีเพิ่มขึ้น จะส่งผลกระทบต่อ สภาพคล่องทางการเงิน และทำ ให้ กฟผ.ต้องกู้เงินเพิ่มมากกว่าเดิมมาลงทุน หรืออาจต้องเลื่อนแผนการลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าออกไป ซึ่งจะทำให้ภาคใต้ประ สบปัญหาขาดแคลนไฟฟ้าในช่วง 7 ปีข้างหน้าทันที" แหล่งข่าวกล่าว
นอกจากนี้ ยังจะกระทบกับแผนพัฒนาระบบสายส่งไฟ ฟ้าของประเทศ ซึ่งเมื่อปี2554 คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติให้กฟผ.ใช้เงินลงทุนพัฒนาระบบสายส่งไฟฟ้า 20,000 ล้านบาท ดังนั้น หาก กฟผ.ต้องแบกรับภา ระค่าเอฟทีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจะทำ ให้ขาดเงินเพื่อพัฒนาสายส่งไฟฟ้าอย่างไรก็ตาม การพัฒนาระบบสายส่งนั้นเป็นเรื่องเร่งด่วนที่กฟผ. ต้องดำเนินการ เนื่องจากตามแผนพีดีพีจะมีไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนเข้าระบบประมาณ 500-1,000 เมกะวัตต์ต่อปี หาก กฟผ.ไม่เร่งปรับปรุงและเพิ่มสายส่งไฟ ฟ้าให้เพียงพอต่อกระแสไฟฟ้าที่จะเพิ่มเข้ามาตั้งแต่ปี 2556 จะทำให้ระบบสายส่งไฟฟ้าเสียหายทั้งประเทศได้
แหล่งข่าวกล่าวว่า กรณี กระแสข่าวที่ว่า กฟผ.ให้สวัสดิการ พนักงาน เช่น โบนัส และการใช้ไฟฟ้าฟรี มีส่วนทำให้ค่าเอฟทีปรับขึ้น เพราะ กฟผ.ได้บวกรวมไปเป็นต้นทุนการผลิตไฟฟ้านั้น ทาง กฟผ.ยืนยันว่าสวัสดิการพนักงานที่ได้คิดเป็น 10% ของเงินเดือน แต่ไม่ได้มีการบวกรวมไปในค่าเอฟทีแต่อย่างใด เพราะค่าเอฟทีเป็นการคิดจากอัตราค่าเชื้อเพลิงอย่างแท้จริงเท่านั้น แต่ยอมรับว่าค่าสวัสดิการดังกล่าวไปรวมอยู่ในค่าไฟฟ้าฐานที่เรกูเล เตอร์เป็นผู้กำกับดูแลไม่ให้ได้ประ โยชน์เกินไป ส่วนระบบการใช้ไฟ ฟ้าฟรีสำหรับพนักงานนั้น ปัจจุบัน ได้ปรับแก้ไข โดยให้พนักงานใหม่ที่เข้าทำงานตั้งแต่ปี 2549 ได้รับการปรับโครงสร้างอัตราเงินเดือนใหม่ แต่จะไม่ให้ใช้ไฟฟ้าฟรีอีกต่อไป
นายสรัญ รังคสิริ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุร กิจน้ำมัน บมจ.ปตท. กล่าวว่า มาตรการให้ผู้ค้าน้ำมันช่วยตรึงราคาดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตรของภาครัฐ ส่งผลให้ ปตท.ต้องแบกรับภาระค่าดีเซลไปแล้ว 294 ล้านบาท ซึ่ง ปตท.จะพยา ยามแบกรับภาระดังกล่าวให้นาน ที่สุดเพื่อลดภาระค่าครองชีพของประชาชน อย่างไรก็ตาม คาดว่าปัญหาเศรษฐกิจประเทศจีนที่ถดถอยจะทำให้ความต้องการใช้น้ำมันลดลง และช่วยให้ราคาน้ำ มันโลกลดลงตามในไม่ช้า.
ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
Source - ไทยโพสต์ (Th), Wednesday, September 05, 2012
กฟผ.เตรียมมาตรการรัดเข็มขัดทั้งองค์กรหากต้องแบกภาระค่าเอฟทีเกิน 20,000 ล้านบาท ระบุเสี่ยงกระทบ 2 เด้ง ทั้งแผนก่อสร้างโรงไฟฟ้ากระบี่ปี 2556 กว่า 5 หมื่นล้านบาทส่อเลื่อนทำคนใต้ขาดแคลนไฟฟ้าในอีก 7 ปีข้างหน้า และเสี่ยงกระทบแผนพัฒนาสายส่งไฟฟ้ารองรับพลังงานทดแทน หวั่นเกิดปัญหาระบบสายส่งไฟฟ้าเสียหายทั้งประเทศ ด้าน ปตท.เผยมาตรการผู้ค้าแบกภาระดีเซลทำสูญรายได้แล้ว 294 ล้านบาท
แหล่งข่าวจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า การพิจารณาปรับขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) งวดปลายปี 2555 (ก.ย.-ธ.ค.) ของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) หรือเรกูเลเตอร์ ที่มีนายดิเรก ลาวัณย์ศิริ เป็นประ ธาน มีแนวโน้มจะปรับขึ้นค่าเอฟทีเพียง 9-15 สตางค์ต่อหน่วย ทำ ให้ค่าเอฟที ก.ย.-ธ.ค.อยู่ที่ประมาณ 39-45 สตางค์ต่อหน่วย จากที่แท้จริงควรอยู่ประมาณ 68 สตางค์ต่อหน่วย โดยส่วนต่างที่เหลือคาดว่าจะให้ กฟผ.แบกรับภาระต่อไปก่อน จากปัจจุบันที่แบกไว้ แล้วคิดเป็นเงิน 14,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ หากเรกูเลเตอร์สั่งให้ กฟผ.แบกภาระเพิ่มเกินกว่า 20,000 ล้านบาท จะส่งผลให้ กฟผ.ต้องดำเนินมาตรการรัดเข็มขัดภายในองค์กร รวมทั้งจะกระทบต่อเงินลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้ากระบี่ ซึ่งตามแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า พ.ศ.2553-2573 หรือพีดีพี 2010 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 3 กฟผ.จะสร้างโรงไฟฟ้ากระบี่ขนาด กำลังการผลิต 800 เมกะวัตต์ ใน ปี 2556 และให้เสร็จในปี 2562 เพื่อรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าภาคใต้ในอีก 7 ปี (พ.ศ.2562) ที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 6% จากปัจจุบันที่ใช้ 2,200 เมกะ วัตต์ เป็นกว่า 3,000 เมกะวัตต์ ต้องใช้เงินลงทุน 50,000 ล้านบาท โดย กฟผ.จะลงทุนเอง 20,000 ล้านบาท และกู้สถาบันการเงินอีก 30,000-40,000 ล้านบาท
"หากต้องแบกรับภาระค่า เอฟทีเพิ่มขึ้น จะส่งผลกระทบต่อ สภาพคล่องทางการเงิน และทำ ให้ กฟผ.ต้องกู้เงินเพิ่มมากกว่าเดิมมาลงทุน หรืออาจต้องเลื่อนแผนการลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าออกไป ซึ่งจะทำให้ภาคใต้ประ สบปัญหาขาดแคลนไฟฟ้าในช่วง 7 ปีข้างหน้าทันที" แหล่งข่าวกล่าว
นอกจากนี้ ยังจะกระทบกับแผนพัฒนาระบบสายส่งไฟ ฟ้าของประเทศ ซึ่งเมื่อปี2554 คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติให้กฟผ.ใช้เงินลงทุนพัฒนาระบบสายส่งไฟฟ้า 20,000 ล้านบาท ดังนั้น หาก กฟผ.ต้องแบกรับภา ระค่าเอฟทีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจะทำ ให้ขาดเงินเพื่อพัฒนาสายส่งไฟฟ้าอย่างไรก็ตาม การพัฒนาระบบสายส่งนั้นเป็นเรื่องเร่งด่วนที่กฟผ. ต้องดำเนินการ เนื่องจากตามแผนพีดีพีจะมีไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนเข้าระบบประมาณ 500-1,000 เมกะวัตต์ต่อปี หาก กฟผ.ไม่เร่งปรับปรุงและเพิ่มสายส่งไฟ ฟ้าให้เพียงพอต่อกระแสไฟฟ้าที่จะเพิ่มเข้ามาตั้งแต่ปี 2556 จะทำให้ระบบสายส่งไฟฟ้าเสียหายทั้งประเทศได้
แหล่งข่าวกล่าวว่า กรณี กระแสข่าวที่ว่า กฟผ.ให้สวัสดิการ พนักงาน เช่น โบนัส และการใช้ไฟฟ้าฟรี มีส่วนทำให้ค่าเอฟทีปรับขึ้น เพราะ กฟผ.ได้บวกรวมไปเป็นต้นทุนการผลิตไฟฟ้านั้น ทาง กฟผ.ยืนยันว่าสวัสดิการพนักงานที่ได้คิดเป็น 10% ของเงินเดือน แต่ไม่ได้มีการบวกรวมไปในค่าเอฟทีแต่อย่างใด เพราะค่าเอฟทีเป็นการคิดจากอัตราค่าเชื้อเพลิงอย่างแท้จริงเท่านั้น แต่ยอมรับว่าค่าสวัสดิการดังกล่าวไปรวมอยู่ในค่าไฟฟ้าฐานที่เรกูเล เตอร์เป็นผู้กำกับดูแลไม่ให้ได้ประ โยชน์เกินไป ส่วนระบบการใช้ไฟ ฟ้าฟรีสำหรับพนักงานนั้น ปัจจุบัน ได้ปรับแก้ไข โดยให้พนักงานใหม่ที่เข้าทำงานตั้งแต่ปี 2549 ได้รับการปรับโครงสร้างอัตราเงินเดือนใหม่ แต่จะไม่ให้ใช้ไฟฟ้าฟรีอีกต่อไป
นายสรัญ รังคสิริ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุร กิจน้ำมัน บมจ.ปตท. กล่าวว่า มาตรการให้ผู้ค้าน้ำมันช่วยตรึงราคาดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตรของภาครัฐ ส่งผลให้ ปตท.ต้องแบกรับภาระค่าดีเซลไปแล้ว 294 ล้านบาท ซึ่ง ปตท.จะพยา ยามแบกรับภาระดังกล่าวให้นาน ที่สุดเพื่อลดภาระค่าครองชีพของประชาชน อย่างไรก็ตาม คาดว่าปัญหาเศรษฐกิจประเทศจีนที่ถดถอยจะทำให้ความต้องการใช้น้ำมันลดลง และช่วยให้ราคาน้ำ มันโลกลดลงตามในไม่ช้า.
ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 485
SPRCเลื่อนเข้าตลาดปี'56 2ผู้ถือหุ้นใหญ่ถกไม่จบลดสัดส่วนถือหุ้น
Source - ประชาชาติธุรกิจ (Th), Wednesday, September 05, 2012
หุ้น SPRC เจอโรคเลื่อนเข้าตลาดหุ้นเป็นปี’56 ปรับจากแผนเดิมขายไอพีโอเดือน ก.ย.นี้ คณะทำงานแจงปัญหา ผู้ถือหุ้นใหญ่ถกไม่ลงประเด็นลดสัดส่วน หลังเข้าตลาดหุ้น ขณะที่ข้อสัญญาระบุให้เชฟรอนลดถือเหลือ 45% จากปัจจุบัน 64% ฝั่ง ปตท.ลดเหลือ 25% จากถืออยู่ 36% ลุ้นหากเข้าตลาดหุ้นได้ มาร์เก็ตแคปสูง 5 หมื่นล้าน ติด 1 ใน SET 100 หุ้นเด่น
นายวีระพล จิรประดิษฐกุล อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ในฐานะคณะทำงานกำกับและติดตามการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯของ บมจ.โรงกลั่นน้ำมันสตาร์ปิโตรเลียมรีไฟน์นิ่ง (SPRC) ว่า แผนกระจายหุ้นขายประชาชน (IPO) ของโรงกลั่น SPRC จะไม่ทันตามแผนที่กำหนด 30 ก.ย.นี้ และเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯในไตรมาส 4/55
เนื่องจากว่าผู้ถือหุ้น SPRC ทั้ง 2 ฝ่ายปัจจุบันคือ กลุ่มเชฟรอนที่ถือหุ้นสัดส่วน 64% และ ปตท.ถือหุ้น 36% ยังไม่สามารถได้ข้อสรุปการเจรจาจากประเด็นหลัก เกี่ยวกับสัญญาทางธุรกิจและสัดส่วน Dilution ของโครงสร้างการถือหุ้นที่ต้องเปลี่ยนแปลง ภายหลังจากที่ SPRC เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งตามสัญญาระหว่างรัฐกับผู้รับสัมปทานในการออกใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงกลั่นเดิมได้กำหนดไว้ว่า หลังจากที่โรงกลั่น SPRC มีความพร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยกระจายหุ้นให้ประชาชนทั่วไปถือสัดส่วน 30% ขณะที่กลุ่มเชฟรอนจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 45% และ ปตท.ลดลงเหลือ 25%
"ประเด็นที่เป็นอุปสรรคหลักข้างต้น ยังอยู่ในขั้นตอนการเจรจาของผู้ถือหุ้นทั้ง 2 ฝ่ายของ SPRC จึงคาดว่าแผนการนำ SPRC เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯจะเลื่อนไปเป็นในปีหน้าแทน เพื่อปฏิบัติตามสัญญาที่กำหนดไว้ ซึ่งจะมีคณะกรรมการกำกับและติดตามการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ชุดที่มีปลัดกระทรวงพลังงานเป็นประธาน โดยยังคงเดินหน้าในเรื่องดังกล่าวเพื่อปฏิบัติข้อสัญญาที่กำหนดไว้" นายวีระพลกล่าว
ขณะที่แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงานรายหนึ่งกล่าวว่า SPRC ได้แต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงิน 6 ราย ประกอบด้วยที่ปรึกษาทางการเงินในไทย 4 ราย คือ บล.ฟินันซ่า, บล.ภัทร, ธนาคารไทยพาณิชย์, ธนาคารกรุงเทพ ส่วนที่ปรึกษาทางการเงินของต่างชาติ คือ บล.เจพี มอร์แกน และ บล.เมอร์ลิน ลินช์ หากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลัดทรัพย์ฯ SPRC ก็มีโอกาสติดอยู่ใน SET 100 เพราะมีมูลค่าราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) จะสูงกว่า 5 หมื่นล้านบาท
ด้านนายสุรงค์ บูลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บมจ.ปตท. (PTT) กล่าวว่า เกิดจากปัญหาทางเทคนิคของการตีความโครงสร้างสัดส่วนการถือหุ้นของสัญญาที่ระบุไว้เดิมระหว่าง SPRC กับกระทรวงพลังงานที่ต้องมีการเจรจากัน
แหล่งข่าวจาก บล.ภัทร ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) ร่วมรายหนึ่งของ SPRC กล่าวยอมรับว่า แผนการยื่นไฟลิ่งของ SPRC ไม่ทันในไตรมาส 3/55 นี้ และไม่สามารถเข้าจดทะเบียนซื้อขายได้ภายในไตรมาส 4/55 ที่กำหนดแผนไว้ เนื่องจากติดอุปสรรคการปรับโครงสร้างการถือหุ้นภายในผู้ถือหุ้นเดิม
ด้านแหล่งข่าวจากวงการตลาดทุนกล่าวว่า แผนการเข้าตลาดหุ้นของหลักทรัพย์ของ SPRC จะเลื่อนไปแบบไม่มีกำหนด เนื่องจากติดปัญหาโครงสร้างสัดส่วนการถือหุ้นของทั้ง 2 ฝ่ายที่มีความเห็นไม่ตรงกัน คือกลุ่มเชฟรอนและ ปตท.ที่ยังสรุปสัดส่วนการขายหุ้นไม่ได้ ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาเดิมที่เกิดขึ้นมาต่อเนื่อง ส่งผลให้ที่ปรึกษาทางการเงินที่แต่งตั้งมาเพื่อดูแลดีลนี้ต้องหยุดทำงานเพื่อรอผลการสรุปเจรจาของผู้ถือหุ้นทั้ง 2 ฝ่ายของ SPRC
ที่มา: หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 6 - 9 ก.ย. 2555--
Source - ประชาชาติธุรกิจ (Th), Wednesday, September 05, 2012
หุ้น SPRC เจอโรคเลื่อนเข้าตลาดหุ้นเป็นปี’56 ปรับจากแผนเดิมขายไอพีโอเดือน ก.ย.นี้ คณะทำงานแจงปัญหา ผู้ถือหุ้นใหญ่ถกไม่ลงประเด็นลดสัดส่วน หลังเข้าตลาดหุ้น ขณะที่ข้อสัญญาระบุให้เชฟรอนลดถือเหลือ 45% จากปัจจุบัน 64% ฝั่ง ปตท.ลดเหลือ 25% จากถืออยู่ 36% ลุ้นหากเข้าตลาดหุ้นได้ มาร์เก็ตแคปสูง 5 หมื่นล้าน ติด 1 ใน SET 100 หุ้นเด่น
นายวีระพล จิรประดิษฐกุล อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ในฐานะคณะทำงานกำกับและติดตามการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯของ บมจ.โรงกลั่นน้ำมันสตาร์ปิโตรเลียมรีไฟน์นิ่ง (SPRC) ว่า แผนกระจายหุ้นขายประชาชน (IPO) ของโรงกลั่น SPRC จะไม่ทันตามแผนที่กำหนด 30 ก.ย.นี้ และเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯในไตรมาส 4/55
เนื่องจากว่าผู้ถือหุ้น SPRC ทั้ง 2 ฝ่ายปัจจุบันคือ กลุ่มเชฟรอนที่ถือหุ้นสัดส่วน 64% และ ปตท.ถือหุ้น 36% ยังไม่สามารถได้ข้อสรุปการเจรจาจากประเด็นหลัก เกี่ยวกับสัญญาทางธุรกิจและสัดส่วน Dilution ของโครงสร้างการถือหุ้นที่ต้องเปลี่ยนแปลง ภายหลังจากที่ SPRC เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งตามสัญญาระหว่างรัฐกับผู้รับสัมปทานในการออกใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงกลั่นเดิมได้กำหนดไว้ว่า หลังจากที่โรงกลั่น SPRC มีความพร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยกระจายหุ้นให้ประชาชนทั่วไปถือสัดส่วน 30% ขณะที่กลุ่มเชฟรอนจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 45% และ ปตท.ลดลงเหลือ 25%
"ประเด็นที่เป็นอุปสรรคหลักข้างต้น ยังอยู่ในขั้นตอนการเจรจาของผู้ถือหุ้นทั้ง 2 ฝ่ายของ SPRC จึงคาดว่าแผนการนำ SPRC เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯจะเลื่อนไปเป็นในปีหน้าแทน เพื่อปฏิบัติตามสัญญาที่กำหนดไว้ ซึ่งจะมีคณะกรรมการกำกับและติดตามการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ชุดที่มีปลัดกระทรวงพลังงานเป็นประธาน โดยยังคงเดินหน้าในเรื่องดังกล่าวเพื่อปฏิบัติข้อสัญญาที่กำหนดไว้" นายวีระพลกล่าว
ขณะที่แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงานรายหนึ่งกล่าวว่า SPRC ได้แต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงิน 6 ราย ประกอบด้วยที่ปรึกษาทางการเงินในไทย 4 ราย คือ บล.ฟินันซ่า, บล.ภัทร, ธนาคารไทยพาณิชย์, ธนาคารกรุงเทพ ส่วนที่ปรึกษาทางการเงินของต่างชาติ คือ บล.เจพี มอร์แกน และ บล.เมอร์ลิน ลินช์ หากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลัดทรัพย์ฯ SPRC ก็มีโอกาสติดอยู่ใน SET 100 เพราะมีมูลค่าราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) จะสูงกว่า 5 หมื่นล้านบาท
ด้านนายสุรงค์ บูลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บมจ.ปตท. (PTT) กล่าวว่า เกิดจากปัญหาทางเทคนิคของการตีความโครงสร้างสัดส่วนการถือหุ้นของสัญญาที่ระบุไว้เดิมระหว่าง SPRC กับกระทรวงพลังงานที่ต้องมีการเจรจากัน
แหล่งข่าวจาก บล.ภัทร ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) ร่วมรายหนึ่งของ SPRC กล่าวยอมรับว่า แผนการยื่นไฟลิ่งของ SPRC ไม่ทันในไตรมาส 3/55 นี้ และไม่สามารถเข้าจดทะเบียนซื้อขายได้ภายในไตรมาส 4/55 ที่กำหนดแผนไว้ เนื่องจากติดอุปสรรคการปรับโครงสร้างการถือหุ้นภายในผู้ถือหุ้นเดิม
ด้านแหล่งข่าวจากวงการตลาดทุนกล่าวว่า แผนการเข้าตลาดหุ้นของหลักทรัพย์ของ SPRC จะเลื่อนไปแบบไม่มีกำหนด เนื่องจากติดปัญหาโครงสร้างสัดส่วนการถือหุ้นของทั้ง 2 ฝ่ายที่มีความเห็นไม่ตรงกัน คือกลุ่มเชฟรอนและ ปตท.ที่ยังสรุปสัดส่วนการขายหุ้นไม่ได้ ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาเดิมที่เกิดขึ้นมาต่อเนื่อง ส่งผลให้ที่ปรึกษาทางการเงินที่แต่งตั้งมาเพื่อดูแลดีลนี้ต้องหยุดทำงานเพื่อรอผลการสรุปเจรจาของผู้ถือหุ้นทั้ง 2 ฝ่ายของ SPRC
ที่มา: หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 6 - 9 ก.ย. 2555--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 486
'โททาล'ซื้อหุ้นพลังงานพม่า
Source - โลกวันนี้ (Th), Wednesday, September 05, 2012
ปารีส : "โททาล" บริษัทน้ำมันและ ก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ของฝรั่งเศส เปิดเผยว่า ได้เข้าถือหุ้นในการสำรวจแหล่งพลังงานในอ่าวมะตะบันนอกชายฝั่งพม่าของบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. เป็นการลงทุนในพม่าอีกครั้งหลังจากชาติตะวันตกผ่อนคลายการคว่ำบาตรพม่า
โททาลเข้าไปลงทุนในพม่าตั้งแต่ปี 1992 ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อน ที่นานาชาติจะเข้มงวดกับมาตรการคว่ำบาตรพม่า และผลิตก๊าซจากบ่อยาดานาป้อนโรงไฟฟ้าในไทย ล่า สุดได้ซื้อหุ้น 40% จาก ปตท. สผ. ในการสำรวจแปลงเอ็ม 11 ในอ่าวมะตะบัน โดยที่ ปตท.สผ. ยังคงเป็นผู้ดำเนินงานอยู่ โททาล แถลงว่าจะใช้ความเชี่ยวชาญในการสำรวจแหล่งพลังงานลึกนอก ชายฝั่งและเทคโนโลยีชั้นสูงช่วย กิจกรรมสำรวจพลังงานของพม่า
โททาลถูกกลุ่มสิทธิมนุษย- ชนตำหนิมาตลอดว่าทำให้รัฐบาลทหารพม่าร่ำรวยจากการให้สัมปทานสำรวจพลังงาน แต่ นางออง ซาน ซู จี แกนนำฝ่ายค้านพม่า กล่าวชมโททาลระหว่าง เยือนฝรั่งเศสเมื่อเดือนมิถุนายนว่าเป็นนักลงทุนที่มีความรับผิดชอบ และได้จ่ายค่าชดเชยมากพอสมควรแก่ชาวพม่าที่ต้องอพยพ เพราะการเวนคืนที่ดินเพื่อวางท่อก๊าซจากบ่อยาดานา--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
Source - โลกวันนี้ (Th), Wednesday, September 05, 2012
ปารีส : "โททาล" บริษัทน้ำมันและ ก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ของฝรั่งเศส เปิดเผยว่า ได้เข้าถือหุ้นในการสำรวจแหล่งพลังงานในอ่าวมะตะบันนอกชายฝั่งพม่าของบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. เป็นการลงทุนในพม่าอีกครั้งหลังจากชาติตะวันตกผ่อนคลายการคว่ำบาตรพม่า
โททาลเข้าไปลงทุนในพม่าตั้งแต่ปี 1992 ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อน ที่นานาชาติจะเข้มงวดกับมาตรการคว่ำบาตรพม่า และผลิตก๊าซจากบ่อยาดานาป้อนโรงไฟฟ้าในไทย ล่า สุดได้ซื้อหุ้น 40% จาก ปตท. สผ. ในการสำรวจแปลงเอ็ม 11 ในอ่าวมะตะบัน โดยที่ ปตท.สผ. ยังคงเป็นผู้ดำเนินงานอยู่ โททาล แถลงว่าจะใช้ความเชี่ยวชาญในการสำรวจแหล่งพลังงานลึกนอก ชายฝั่งและเทคโนโลยีชั้นสูงช่วย กิจกรรมสำรวจพลังงานของพม่า
โททาลถูกกลุ่มสิทธิมนุษย- ชนตำหนิมาตลอดว่าทำให้รัฐบาลทหารพม่าร่ำรวยจากการให้สัมปทานสำรวจพลังงาน แต่ นางออง ซาน ซู จี แกนนำฝ่ายค้านพม่า กล่าวชมโททาลระหว่าง เยือนฝรั่งเศสเมื่อเดือนมิถุนายนว่าเป็นนักลงทุนที่มีความรับผิดชอบ และได้จ่ายค่าชดเชยมากพอสมควรแก่ชาวพม่าที่ต้องอพยพ เพราะการเวนคืนที่ดินเพื่อวางท่อก๊าซจากบ่อยาดานา--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 487
BCPอีบิทด้าเพิ่ม700ล้าน
Source - ข่าวหุ้น (Th), Wednesday, September 05, 2012
บุ๊คโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์
BCP เปิดตัวโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ กำลังการผลิต 44 เมกะวัตต์ หนุน EBITDA เพิ่มปีละ 700 ล้านบาท "อนุสรณ์" ลั่นลงทุนรวม 1.3 หมื่นล้านบาท ดันกำลังการผลิต 170 เมกะวัตต์ ปันผลระหว่างกาล 35 สตางค์ ขึ้น XD วันที่ 7 ก.ย.นี้
นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ BCP กล่าวว่า กรณีการเปิดตัวโครงการผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ SUNNY BANGCHAK ระยะที่ 1 บางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จะมีกำลังการผลิตติดตั้ง 44 เมกะวัตต์
โดยจำหน่ายให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ตั้งแต่ต้นเดือนเม.ย. ที่ผ่านมา ดังนั้น จะส่งผลให้ BCP สามารถรับรู้กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายตัดจ่าย หรือ EBITDA ได้เพิ่มขึ้นอีกปีละ 700 ล้านบาท
สำหรับโครงการ SUNNY BANGCHAK จะดำเนินการภายใต้กลไกการพัฒนาที่สะอาด เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือ CDM ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานมงกุฎไทย จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) จึงถือเป็นโครงการที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม และเป็นศูนย์เรียนรู้ด้านพลังงานทดแทนให้กับเยาวชนหรือประชาชนที่สนใจได้
นอกจากนี้ ในปัจจุบันบางจากยังได้เข้าลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ กำลังการผลิตติดตั้งประมาณ 170 เมกะวัตต์ ใช้เงินลงทุนประมาณ 13,000 ล้านบาท แบ่งเป็นระยะที่ 1 อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ขนาด 44 เมกะวัตต์ ระยะที่ 2 อำเภอบำเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ และอำเภอบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อีก 50 เมกะวัตต์ และระยะที่ 3 ภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนืออีก 75 เมกะวัตต์
ส่วนวัตถุดิบเซลล์แสงอาทิตย์จะเป็นชนิด POLY CRYSTALLINE SILICON ของบริษัทซันเทค ซึ่งเป็นผู้ผลิตแผงเซลล์แสงอาทิตย์รายใหญ่อันดับต้นของโลก และดำเนินการก่อสร้างโดยบริษัท โซลาร์ตรอน จำกัด (มหาชน) ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานแสงอาทิตย์
ทั้งนี้ BCP มีกำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD หรือผู้ซื้อไม่มีสิทธิ์ได้รับเงินปันผล ของงวดระหว่างกาลจำนวน 0.35 บาทต่อหุ้น ในวันศุกร์ที่ 7 ก.ย. 55 นี้ โดยทางบริษัทได้กำหนดวันปิดสมุดทะเบียนวันที่ 12 ก.ย.55 และกำหนดวันจ่ายปันผลวันที่ 21 ก.ย.55
ด้านนายวีระพล จิรประดิษฐกุล อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน ในสังกัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า สำหรับหุ้นบริษัท สตาร์ปิโตรเลียมรีไฟน์นิ่ง จำกัด หรือ SPRC ซึ่งเป็นผู้ดำเนินธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันจะสามารถเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯอย่างเร็วในช่วงปี 2556 จึงถือว่าล่าช้าแผนการเดิมที่ประเมินไว้ในไตรมาส 3 ปี 2555
โดยทางบริษัทจะต้องปรับแผนการกระจายหุ้นใหม่ หลังจากกลุ่มเชฟรอนมีความต้องการถือหุ้นใน SPRC มากกว่า 50% เพื่อให้มีอำนาจการบริหารบริษัท จากเดิมที่จะกระจายหุ้นเสนอขายให้ประชาชนทั่วไปครั้งแรก หรือ IPO ในสัดส่วน 30% และกรณีดังกล่าวจะทำให้กลุ่มเชฟรอน ลดสัดส่วนถือหุ้นเหลือ 45% จากเดิมที่ 64% ส่วนบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) จะลดสัดส่วนเหลือ 25% จากเดิมที่ถือหุ้น 36% ซึ่งการดำเนินธุรกิจในขณะนี้เป็นไปอย่างเสรี ทางภาครัฐจึงคงไม่สามารถบังคับให้เอกชนกระจายหุ้นได้รวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ได้มีการส่งสัญญาณให้ภาคเอกชนควรดำเนินการตามที่มีข้อตกลงกับภาครัฐไว้ก่อนหน้าแล้ว
ทั้งนี้ SPRC เป็นผู้ดำเนินธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันราว 1.6 แสนบาร์เรลต่อวัน โดยมีกลุ่มเชฟรอน ถือหุ้น 64% และ PTT ถือหุ้น 36% โดยการนำหุ้นโรงกลั่นน้ำมันเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถือเป็นหนึ่งในเงื่อนไขการตั้งโรงกลั่นน้ำมันในประเทศไทย และในปัจจุบันเหลือเพียง SPRC รายเดียวที่ยังไม่ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น
--จบ--
Source - ข่าวหุ้น (Th), Wednesday, September 05, 2012
บุ๊คโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์
BCP เปิดตัวโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ กำลังการผลิต 44 เมกะวัตต์ หนุน EBITDA เพิ่มปีละ 700 ล้านบาท "อนุสรณ์" ลั่นลงทุนรวม 1.3 หมื่นล้านบาท ดันกำลังการผลิต 170 เมกะวัตต์ ปันผลระหว่างกาล 35 สตางค์ ขึ้น XD วันที่ 7 ก.ย.นี้
นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ BCP กล่าวว่า กรณีการเปิดตัวโครงการผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ SUNNY BANGCHAK ระยะที่ 1 บางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จะมีกำลังการผลิตติดตั้ง 44 เมกะวัตต์
โดยจำหน่ายให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ตั้งแต่ต้นเดือนเม.ย. ที่ผ่านมา ดังนั้น จะส่งผลให้ BCP สามารถรับรู้กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายตัดจ่าย หรือ EBITDA ได้เพิ่มขึ้นอีกปีละ 700 ล้านบาท
สำหรับโครงการ SUNNY BANGCHAK จะดำเนินการภายใต้กลไกการพัฒนาที่สะอาด เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือ CDM ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานมงกุฎไทย จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) จึงถือเป็นโครงการที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม และเป็นศูนย์เรียนรู้ด้านพลังงานทดแทนให้กับเยาวชนหรือประชาชนที่สนใจได้
นอกจากนี้ ในปัจจุบันบางจากยังได้เข้าลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ กำลังการผลิตติดตั้งประมาณ 170 เมกะวัตต์ ใช้เงินลงทุนประมาณ 13,000 ล้านบาท แบ่งเป็นระยะที่ 1 อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ขนาด 44 เมกะวัตต์ ระยะที่ 2 อำเภอบำเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ และอำเภอบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อีก 50 เมกะวัตต์ และระยะที่ 3 ภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนืออีก 75 เมกะวัตต์
ส่วนวัตถุดิบเซลล์แสงอาทิตย์จะเป็นชนิด POLY CRYSTALLINE SILICON ของบริษัทซันเทค ซึ่งเป็นผู้ผลิตแผงเซลล์แสงอาทิตย์รายใหญ่อันดับต้นของโลก และดำเนินการก่อสร้างโดยบริษัท โซลาร์ตรอน จำกัด (มหาชน) ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานแสงอาทิตย์
ทั้งนี้ BCP มีกำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD หรือผู้ซื้อไม่มีสิทธิ์ได้รับเงินปันผล ของงวดระหว่างกาลจำนวน 0.35 บาทต่อหุ้น ในวันศุกร์ที่ 7 ก.ย. 55 นี้ โดยทางบริษัทได้กำหนดวันปิดสมุดทะเบียนวันที่ 12 ก.ย.55 และกำหนดวันจ่ายปันผลวันที่ 21 ก.ย.55
ด้านนายวีระพล จิรประดิษฐกุล อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน ในสังกัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า สำหรับหุ้นบริษัท สตาร์ปิโตรเลียมรีไฟน์นิ่ง จำกัด หรือ SPRC ซึ่งเป็นผู้ดำเนินธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันจะสามารถเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯอย่างเร็วในช่วงปี 2556 จึงถือว่าล่าช้าแผนการเดิมที่ประเมินไว้ในไตรมาส 3 ปี 2555
โดยทางบริษัทจะต้องปรับแผนการกระจายหุ้นใหม่ หลังจากกลุ่มเชฟรอนมีความต้องการถือหุ้นใน SPRC มากกว่า 50% เพื่อให้มีอำนาจการบริหารบริษัท จากเดิมที่จะกระจายหุ้นเสนอขายให้ประชาชนทั่วไปครั้งแรก หรือ IPO ในสัดส่วน 30% และกรณีดังกล่าวจะทำให้กลุ่มเชฟรอน ลดสัดส่วนถือหุ้นเหลือ 45% จากเดิมที่ 64% ส่วนบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) จะลดสัดส่วนเหลือ 25% จากเดิมที่ถือหุ้น 36% ซึ่งการดำเนินธุรกิจในขณะนี้เป็นไปอย่างเสรี ทางภาครัฐจึงคงไม่สามารถบังคับให้เอกชนกระจายหุ้นได้รวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ได้มีการส่งสัญญาณให้ภาคเอกชนควรดำเนินการตามที่มีข้อตกลงกับภาครัฐไว้ก่อนหน้าแล้ว
ทั้งนี้ SPRC เป็นผู้ดำเนินธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันราว 1.6 แสนบาร์เรลต่อวัน โดยมีกลุ่มเชฟรอน ถือหุ้น 64% และ PTT ถือหุ้น 36% โดยการนำหุ้นโรงกลั่นน้ำมันเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถือเป็นหนึ่งในเงื่อนไขการตั้งโรงกลั่นน้ำมันในประเทศไทย และในปัจจุบันเหลือเพียง SPRC รายเดียวที่ยังไม่ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น
--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 488
หุ้นกลุ่มก่อสร้างฟื้นตัว ตั้งแต่ปีนี้กินยาวถึงปี 2557 รับเหมาฯขนาดเล็ก-MILL [ โพสต์ทูเดย์, 6 ก.ย. 55 ]
ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง-วัสดุก่อสร้างขนาดเล็ก TRC-NWR ได้ดีงานในประเทศ STPI หวังสถิติปี
2557 MILL ฟื้นปีนี้
นายภาสิต ลี้สกุล ผู้อำนวยการสายงานพัฒนาโครงการและการลงทุน บริษัท ทีอาร์ซี คอนสตรัคชั่น
(TRC) กล่าวว่า บริษัทจะกลับมาฟื้นตัวในปี 2556 แม้ขณะนี้รายได้และกำไรเริ่มกลับมาเติบโตจากปีที่ผ่านมา
และการที่บริษัทศึกษาเข้าไปลงทุนในโรงไฟฟ้าในกัมพูชา ซึ่งกำลังหารืออยู่ 2-3 ราย ถ้าได้ผลตอบแทนเกิน
20% ก็พร้อมลงทุนทันที รวมถึงการทำธุรกิจพลังงานทดแทนน่าจะเป็นโอกาสย้ายจากตลาดหลักทรัพย์
เอ็ม เอ ไอ ไป ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง-วัสดุก่อสร้างขนาดเล็ก TRC-NWR ได้ดีงานในประเทศ STPI หวังสถิติปี
2557 MILL ฟื้นปีนี้
นายภาสิต ลี้สกุล ผู้อำนวยการสายงานพัฒนาโครงการและการลงทุน บริษัท ทีอาร์ซี คอนสตรัคชั่น
(TRC) กล่าวว่า บริษัทจะกลับมาฟื้นตัวในปี 2556 แม้ขณะนี้รายได้และกำไรเริ่มกลับมาเติบโตจากปีที่ผ่านมา
และการที่บริษัทศึกษาเข้าไปลงทุนในโรงไฟฟ้าในกัมพูชา ซึ่งกำลังหารืออยู่ 2-3 ราย ถ้าได้ผลตอบแทนเกิน
20% ก็พร้อมลงทุนทันที รวมถึงการทำธุรกิจพลังงานทดแทนน่าจะเป็นโอกาสย้ายจากตลาดหลักทรัพย์
เอ็ม เอ ไอ ไป ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 489
พม่าเลื่อนประมูลแหล่งน้ำมันหลังบริษัทยักษ์ระดับโลกรุมตอม
มติชน, วันที่ 06 กันยายน พ.ศ. 2555 เวลา 13:25:56 น.
เมื่อวันที่ 5 กันยายน สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงในกระทรวงพลังงานของพม่า เปิดเผยว่า การเปิดรับข้อเสนอเพื่อลงทุนในแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติทั้งพื้นที่บนบกและนอกชายฝั่ง ซึ่งเดิมจะมีขึ้นในช่วงระหว่างเดือนสิงหาคม-กันยายนของทุกปี จำเป็นต้องเลื่อนออกไป หลังจากที่มีบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่จากตะวันตกจำนวนมาก ติดต่อขอเข้าร่วมในการประมูล อาทิ โคโนโค่ฟิลิปส์, เฮสส์ คอร์ป., รอยัล ดัตช์ เชลล์, บีพี, บีจี, และวูดไซด์ ปิโตรเลียม ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันจากออสเตรเลีย โดยเชลล์นั้นแสดงความสนใจที่จะเข้าดำเนินการขุดเจาะในอย่างน้อย 8 หลุม จากจำนวนทั้งหมด 20 หลุม ที่เปิดประมูล
เจ้าหน้าที่ระดับสูงรายนี้ระบุว่า บริษัทจากตะวันตกหลายราย เช่น เชลล์ มีมาตรฐานเข้มงวดในการลงทุนระหว่างประเทศ อย่างเช่นเรื่องของความโปร่งใส เรื่องการศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ต่อสังคมและต่อความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นเหตุให้ผู้นำพม่ามีคำสั่งให้มีการปรับปรุงรายละเอียดการประมูลให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ซึ่งจำเป็นต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งทำให้ต้องเลื่อนการประมูลออกไป โดยจะมีการเปิดให้มีการประมูลใหม่รอบที่ 2 ได้ในตอนสิ้นปีนี้
รายงานข่าวระบุว่า ทางการพม่าเตรียมเปิดประมูลการลงทุนขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในทะเล 10 หลุม และบนพื้นดินอีก 10 หลุม ให้กับบริษัทต่างชาติ ซึ่งนับเป็นการเปิดประมูลครั้งใหญ่ที่สุดอีกครั้ง หลังจากที่เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2554 ที่ผ่านมา พม่าเคยเปิดให้มีการประมูลแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติไปรวม 18 บล็อก ถือเป็นครั้งใหญ่ที่สุดในเวลานั้น โดยผลลงเอยที่ 9 ใน 18 บล็อก ดังกล่าวตกเป็นของบริษัทจากต่างประเทศ
รอยเตอร์ระบุด้วยว่า ในระหว่างการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 4 กันยายนที่ผ่านมา นายถั่น ฮเทย์ รัฐมนตรีพลังงานพม่า ยืนยันว่ารัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งของพม่าต้องการความโปร่งใสและการบริหารจัดการตามกฎหมาย ดังนั้น อุตสาหกรรมปิโตรเลียมของพม่าเองก็ต้องมีความโปร่งใสในทำนองเดียวกันกับวิธีปฏิบัติสากลที่ใช้กันอยู่ทั่วไป อย่างไรก็ตาม รอยเตอร์ระบุว่า การปรับเปลี่ยนข้อกำหนดต่างๆ ในครั้งนี้ เป็นไปเพราะทางการพม่าต้องการให้ได้ผลประโยชน์สูงสุดจากการประมูล เพราะมีผู้ให้ความสนใจมากกว่าเดิมมาก โดยที่ก่อนหน้านี้มีเพียงบริษัทน้ำมันจากไทย จีน และอินเดีย เท่านั้นที่เข้าไปประมูลเพื่อดำเนินการในพม่า แม้ว่า เชฟรอนและโททาล จะมีแหล่งน้ำมันอยู่ในพม่าด้วยก็ตามที
การเข้าร่วมในการประมูลในครั้งนี้ของหลายบริษัทน้ำมันจากตะวันตกมีขึ้นหลังจากที่เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกาผ่อนคลายความเข้มงวดในมาตรการแซงก์
ชั่นต่อพม่าลง รวมทั้งการเปิดทางให้มีการลงทุนใหม่ๆ ในพม่าโดยบริษัทสัญชาติอเมริกันอีกด้วย ทั้งนี้แหล่งก๊าซธรรมชาติของพม่านั้นประเมินกันว่ามีปริมาณสำรองอยู่ระหว่าง 1 ล้านล้าน ถึง 23 ล้านล้านคิวบิกฟุต
มติชน, วันที่ 06 กันยายน พ.ศ. 2555 เวลา 13:25:56 น.
เมื่อวันที่ 5 กันยายน สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงในกระทรวงพลังงานของพม่า เปิดเผยว่า การเปิดรับข้อเสนอเพื่อลงทุนในแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติทั้งพื้นที่บนบกและนอกชายฝั่ง ซึ่งเดิมจะมีขึ้นในช่วงระหว่างเดือนสิงหาคม-กันยายนของทุกปี จำเป็นต้องเลื่อนออกไป หลังจากที่มีบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่จากตะวันตกจำนวนมาก ติดต่อขอเข้าร่วมในการประมูล อาทิ โคโนโค่ฟิลิปส์, เฮสส์ คอร์ป., รอยัล ดัตช์ เชลล์, บีพี, บีจี, และวูดไซด์ ปิโตรเลียม ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันจากออสเตรเลีย โดยเชลล์นั้นแสดงความสนใจที่จะเข้าดำเนินการขุดเจาะในอย่างน้อย 8 หลุม จากจำนวนทั้งหมด 20 หลุม ที่เปิดประมูล
เจ้าหน้าที่ระดับสูงรายนี้ระบุว่า บริษัทจากตะวันตกหลายราย เช่น เชลล์ มีมาตรฐานเข้มงวดในการลงทุนระหว่างประเทศ อย่างเช่นเรื่องของความโปร่งใส เรื่องการศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ต่อสังคมและต่อความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นเหตุให้ผู้นำพม่ามีคำสั่งให้มีการปรับปรุงรายละเอียดการประมูลให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ซึ่งจำเป็นต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งทำให้ต้องเลื่อนการประมูลออกไป โดยจะมีการเปิดให้มีการประมูลใหม่รอบที่ 2 ได้ในตอนสิ้นปีนี้
รายงานข่าวระบุว่า ทางการพม่าเตรียมเปิดประมูลการลงทุนขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในทะเล 10 หลุม และบนพื้นดินอีก 10 หลุม ให้กับบริษัทต่างชาติ ซึ่งนับเป็นการเปิดประมูลครั้งใหญ่ที่สุดอีกครั้ง หลังจากที่เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2554 ที่ผ่านมา พม่าเคยเปิดให้มีการประมูลแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติไปรวม 18 บล็อก ถือเป็นครั้งใหญ่ที่สุดในเวลานั้น โดยผลลงเอยที่ 9 ใน 18 บล็อก ดังกล่าวตกเป็นของบริษัทจากต่างประเทศ
รอยเตอร์ระบุด้วยว่า ในระหว่างการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 4 กันยายนที่ผ่านมา นายถั่น ฮเทย์ รัฐมนตรีพลังงานพม่า ยืนยันว่ารัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งของพม่าต้องการความโปร่งใสและการบริหารจัดการตามกฎหมาย ดังนั้น อุตสาหกรรมปิโตรเลียมของพม่าเองก็ต้องมีความโปร่งใสในทำนองเดียวกันกับวิธีปฏิบัติสากลที่ใช้กันอยู่ทั่วไป อย่างไรก็ตาม รอยเตอร์ระบุว่า การปรับเปลี่ยนข้อกำหนดต่างๆ ในครั้งนี้ เป็นไปเพราะทางการพม่าต้องการให้ได้ผลประโยชน์สูงสุดจากการประมูล เพราะมีผู้ให้ความสนใจมากกว่าเดิมมาก โดยที่ก่อนหน้านี้มีเพียงบริษัทน้ำมันจากไทย จีน และอินเดีย เท่านั้นที่เข้าไปประมูลเพื่อดำเนินการในพม่า แม้ว่า เชฟรอนและโททาล จะมีแหล่งน้ำมันอยู่ในพม่าด้วยก็ตามที
การเข้าร่วมในการประมูลในครั้งนี้ของหลายบริษัทน้ำมันจากตะวันตกมีขึ้นหลังจากที่เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกาผ่อนคลายความเข้มงวดในมาตรการแซงก์
ชั่นต่อพม่าลง รวมทั้งการเปิดทางให้มีการลงทุนใหม่ๆ ในพม่าโดยบริษัทสัญชาติอเมริกันอีกด้วย ทั้งนี้แหล่งก๊าซธรรมชาติของพม่านั้นประเมินกันว่ามีปริมาณสำรองอยู่ระหว่าง 1 ล้านล้าน ถึง 23 ล้านล้านคิวบิกฟุต
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 490
เปิดOil & Gas Thailand 2012 โชว์ศักยภาพอุตฯเทคโนฯพลังงาน
Source - ASTV ผู้จัดการรายวัน (Th), Friday, September 07, 2012
ASTVผู้จัดการรายวัน - เปิดมหกรรมการแสดงสินค้า อุตฯน้ำมันและก๊าซในงาน "Oil & Gas Thailand (OGET) 2012 and Petrochemical Asia 2012" ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 5-7 กันยายนนี้ที่ไบเทค บางนา ดึงผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซทั้งใน และนอกร่วมด้วย พร้อมโชว์ผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีใหม่ ออกสู่สาธารณชน และเชื่อมโยงเอาผู้ทำธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำมารวมไว้ด้วยกัน
นายชัยวุฒิ อรรถเวทยวรวุฒิ กรรมการกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมการตลาดในประเทศ สำนักงานส่งเสริมการประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) นายวิชัย พรกีรติวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้นและก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) และ มร. เคนนี่ ยง ประธานกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไฟร์เวิร์คสมีเดีย (ไทยแลนด์) จำกัด ร่วมกันเปิดงาน "Oil & Gas Thailand (OGET)2012 and Petrochemical Asia 2012" ครั้งที่ 2 ของงานแสดงสินค้าด้านอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ "Oil & Gas Thailand (OGET) 2012 and Petrochemical Asia 2012" ซึ่งเป็นการรวมตัวครั้งยิ่งใหญ่ของผู้ประกอบการและผู้ที่ต้องการจัดหาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่ออุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซรวมถึงการเชื่อมโยงผู้ทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องทุกส่วนมารวมตัวกัน พร้อมทั้งการจัดประชุมสัมมนา และสาธิตเกี่ยวกับเทคโนโลยีล่าสุดในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ
"Oil & Gas Thailand (OGET) 2012 and Petrochemical Asia 2012" ครั้งที่ 2 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-7 กันยายนนี้ ที่ ฮอลล์ 105 ไบเทคบางนา บนพื้นที่กว่า 6,000 ตร.ม.
--จบ--
Source - ASTV ผู้จัดการรายวัน (Th), Friday, September 07, 2012
ASTVผู้จัดการรายวัน - เปิดมหกรรมการแสดงสินค้า อุตฯน้ำมันและก๊าซในงาน "Oil & Gas Thailand (OGET) 2012 and Petrochemical Asia 2012" ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 5-7 กันยายนนี้ที่ไบเทค บางนา ดึงผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซทั้งใน และนอกร่วมด้วย พร้อมโชว์ผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีใหม่ ออกสู่สาธารณชน และเชื่อมโยงเอาผู้ทำธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำมารวมไว้ด้วยกัน
นายชัยวุฒิ อรรถเวทยวรวุฒิ กรรมการกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมการตลาดในประเทศ สำนักงานส่งเสริมการประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) นายวิชัย พรกีรติวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้นและก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) และ มร. เคนนี่ ยง ประธานกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไฟร์เวิร์คสมีเดีย (ไทยแลนด์) จำกัด ร่วมกันเปิดงาน "Oil & Gas Thailand (OGET)2012 and Petrochemical Asia 2012" ครั้งที่ 2 ของงานแสดงสินค้าด้านอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ "Oil & Gas Thailand (OGET) 2012 and Petrochemical Asia 2012" ซึ่งเป็นการรวมตัวครั้งยิ่งใหญ่ของผู้ประกอบการและผู้ที่ต้องการจัดหาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่ออุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซรวมถึงการเชื่อมโยงผู้ทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องทุกส่วนมารวมตัวกัน พร้อมทั้งการจัดประชุมสัมมนา และสาธิตเกี่ยวกับเทคโนโลยีล่าสุดในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ
"Oil & Gas Thailand (OGET) 2012 and Petrochemical Asia 2012" ครั้งที่ 2 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-7 กันยายนนี้ ที่ ฮอลล์ 105 ไบเทคบางนา บนพื้นที่กว่า 6,000 ตร.ม.
--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
- CHiNU_Vi
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 627
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 491
Abundant Natural Gas and Oil Are Putting the Kibosh on Clean Energy
BY PETER SCHWARTZEMAIL AUTHOR 08.21.12 6:30 AM (Wired)
http://www.wired.com/business/2012/08/m ... algas/all/
US Oil Consumption Is Down, Production Up
One of the main features of America’s changing energy landscape is the new abundance of natural gas. Shale gas.
But as the technique (FRACKING) matured and the price of gas rose, major energy companies moved aggressively to exploit these new fields. The result has been an explosion in natural gas production, which has led to a 70 percent fall in gas prices since 2008 and a near collapse of the natural gas import business.
Natural Gas Is Becoming a Major US Export (CHECK GRAPH)
Cheap domestic gas will ultimately have three effects. First it will delay or kill most new competing sources of electricity production—be they coal, nuclear, solar, or anything else. Gas is now incredibly cheap and easy to acquire, while other energy sources remain expensive or hard to get (or both). Not surprisingly, gas is already winning: Coal is being pushed out, nuclear has stalled, and wind and solar projects are being canceled.
Second, natural gas has become so cheap that it will win over some transportation markets.
The third impact will be on greenhouse gas emissions. Most new power plants will run on natural gas.
And what cheap gas is doing to renewable energy sources, abundant oil will do to hybrid and electric vehicles.
When it comes to generating power for US homes and businesses, coal has long dominated all other sources. But natural gas has become so cheap and plentiful, it will soon challenge coal as the dominant fuel for producing electricity. (CHECK GRAPH)
For the first time in decades, net US oil imports are falling.
Renewables Can’t Compete
The declining cost of solar panels and wind turbines, combined with the rising cost of fossil fuels, was supposed to make renewable sources of electricity generation cost-competitive. But thanks to a 70 percent drop in the cost of natural gas, greener sources like solar and wind aren’t catching on. (CHECK GRAPH)
BY PETER SCHWARTZEMAIL AUTHOR 08.21.12 6:30 AM (Wired)
http://www.wired.com/business/2012/08/m ... algas/all/
US Oil Consumption Is Down, Production Up
One of the main features of America’s changing energy landscape is the new abundance of natural gas. Shale gas.
But as the technique (FRACKING) matured and the price of gas rose, major energy companies moved aggressively to exploit these new fields. The result has been an explosion in natural gas production, which has led to a 70 percent fall in gas prices since 2008 and a near collapse of the natural gas import business.
Natural Gas Is Becoming a Major US Export (CHECK GRAPH)
Cheap domestic gas will ultimately have three effects. First it will delay or kill most new competing sources of electricity production—be they coal, nuclear, solar, or anything else. Gas is now incredibly cheap and easy to acquire, while other energy sources remain expensive or hard to get (or both). Not surprisingly, gas is already winning: Coal is being pushed out, nuclear has stalled, and wind and solar projects are being canceled.
Second, natural gas has become so cheap that it will win over some transportation markets.
The third impact will be on greenhouse gas emissions. Most new power plants will run on natural gas.
And what cheap gas is doing to renewable energy sources, abundant oil will do to hybrid and electric vehicles.
When it comes to generating power for US homes and businesses, coal has long dominated all other sources. But natural gas has become so cheap and plentiful, it will soon challenge coal as the dominant fuel for producing electricity. (CHECK GRAPH)
For the first time in decades, net US oil imports are falling.
Renewables Can’t Compete
The declining cost of solar panels and wind turbines, combined with the rising cost of fossil fuels, was supposed to make renewable sources of electricity generation cost-competitive. But thanks to a 70 percent drop in the cost of natural gas, greener sources like solar and wind aren’t catching on. (CHECK GRAPH)
Always Smiling 

-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 492
PTT:ราคาถ่านหินส่อฟื้นตัว
Source - กรุงเทพธุรกิจ (Th), Monday, September 10, 2012
เพิ่ม Portfolio ถ่านหิน : บริษัท ปตท. หรือ PTT เตรียมทุ่มเงิน 1,200 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ซื้อหุ้นส่วนที่เหลือของ SAR (ปัจจุบัน PTT ถือหุ้นอยู่ 45.27%) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนเพิ่มกำลังผลิตถ่านหินเป็น 70 ล้านตันในปี 2563 (ใช้เกณฑ์เงินทุน)
ปัจจุบัน PTT มีปริมาณถ่านหินสำรองในอินโดนีเซียและออสเตรเลียที่ 146.4 ล้านตัน ส่วนกำลังการผลิตอยู่ที่ 12 ล้านตันต่อปี อีกทั้งยังมีเหมืองอีก 2 แห่งที่กำลังพัฒนา คือ เหมืองมาดากัสการ์ (ถือหุ้น 100%) และเหมืองบรูไน (ถือหุ้น 35%)
เล็กแต่มีแววเติบโตสูง : ปัจจุบัน SAR มีปริมาณถ่านหินสำรองและแหล่งถ่านหินที่ 146 ล้านตัน และ 1,505 ล้านตันตามลำดับ โดยเปิดดำเนินการเหมืองถ่านหิน Sebuku ขนาด 18,000HA บนเกาะSebuku ทางใต้ของ Kalimantan และเหมือง Jembayan ขนาด 12,000HA ใน Kalimantan ทางตะวันออกของอินโดนีเซีย SAR มีแผนเพิ่มกำลังผลิตจาก 12 ล้านตันในปัจจุบัน เป็น 14 ล้านตันต่อปีภายในปี 2556
ราคาถ่านหินส่อฟื้นตัวในทิศทางเดียวกับน้ำมัน : ปัจจุบันราคาถ่านหิน (Barlow Jonker INDEX Spot Price) ดีดตัวขึ้น 7.6% จากระดับต่ำสุดที่ 84.65 ดอลลาร์ต่อตันช่วงกลางเดือน มิ.ย. มาอยู่ที่ 91.05 ดอลลาร์ต่อตัน แต่เราคิดว่าราคาอาจขยับขึ้นอีกในช่วง 2 เดือนหน้า เพราะฟื้นตัวขึ้นเพียง 7.6% เมื่อเทียบกับราคาน้ำมัน NYMEX ซึ่งปรับขึ้น 22% นับตั้งแต่แตะระดับต่ำสุดช่วงกลางเดือน มิ.ย. (BRENT ขยับขึ้น 30%)
มูลค่าผู้ถือหุ้นจะเพิ่มขึ้นเป็น 29 ล้านดอลลาร์ : เราประเมินว่า ราคาหุ้น SAR อิงด้วย DCF (WACC ที่ 10.22% และ Terminal Growth ที่ 1%) ที่ 1.60 ดอลลาร์ต่อหุ้น หรือ 2.00 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อหุ้น เราคาดการณ์ราคาถ่านหิน ในปี 2555 และ 2556 ที่ 90 ดอลลาร์ต่อตัน และ 85 ดอลลาร์ต่อตัน ตามลำดับ ถ้าการซื้อกิจการครั้งนี้สำเร็จ SAR จะเพิ่มมูลค่า NAV ของ PTT จาก 6.10 Source: PTT บาทต่อหุ้น เป็น 20.00 บาทต่อหุ้น โดยหุ้น 54.4% ซื้อขายที่ 960 ล้านดอลลาร์ เราเชื่อว่า มูลค่าผู้ถือหุ้นของ PTT จะเพิ่มขึ้นเป็น29 ล้านดอลลาร์ (0.32 บาท/หุ้น) หลังหักค่าใช้จ่ายในการซื้อกิจการ
คงคำแนะนำ ซื้อ ด้วยราคาเป้าหมาย ที่ 405.00 บาท : คงคำแนะนำ ซื้อ ด้วยราคาเป้าหมายที่ 405.00 บาท อิงด้วยวิธี SOTP ราคาหุ้น ณ ปัจจุบันซื้อขายด้วย 2012F PE ที่ 8.7 เท่า หรือน้อยกว่าคู่แข่งรายอื่นในกลุ่มที่ 42%
--จบ--
Source - กรุงเทพธุรกิจ (Th), Monday, September 10, 2012
เพิ่ม Portfolio ถ่านหิน : บริษัท ปตท. หรือ PTT เตรียมทุ่มเงิน 1,200 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ซื้อหุ้นส่วนที่เหลือของ SAR (ปัจจุบัน PTT ถือหุ้นอยู่ 45.27%) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนเพิ่มกำลังผลิตถ่านหินเป็น 70 ล้านตันในปี 2563 (ใช้เกณฑ์เงินทุน)
ปัจจุบัน PTT มีปริมาณถ่านหินสำรองในอินโดนีเซียและออสเตรเลียที่ 146.4 ล้านตัน ส่วนกำลังการผลิตอยู่ที่ 12 ล้านตันต่อปี อีกทั้งยังมีเหมืองอีก 2 แห่งที่กำลังพัฒนา คือ เหมืองมาดากัสการ์ (ถือหุ้น 100%) และเหมืองบรูไน (ถือหุ้น 35%)
เล็กแต่มีแววเติบโตสูง : ปัจจุบัน SAR มีปริมาณถ่านหินสำรองและแหล่งถ่านหินที่ 146 ล้านตัน และ 1,505 ล้านตันตามลำดับ โดยเปิดดำเนินการเหมืองถ่านหิน Sebuku ขนาด 18,000HA บนเกาะSebuku ทางใต้ของ Kalimantan และเหมือง Jembayan ขนาด 12,000HA ใน Kalimantan ทางตะวันออกของอินโดนีเซีย SAR มีแผนเพิ่มกำลังผลิตจาก 12 ล้านตันในปัจจุบัน เป็น 14 ล้านตันต่อปีภายในปี 2556
ราคาถ่านหินส่อฟื้นตัวในทิศทางเดียวกับน้ำมัน : ปัจจุบันราคาถ่านหิน (Barlow Jonker INDEX Spot Price) ดีดตัวขึ้น 7.6% จากระดับต่ำสุดที่ 84.65 ดอลลาร์ต่อตันช่วงกลางเดือน มิ.ย. มาอยู่ที่ 91.05 ดอลลาร์ต่อตัน แต่เราคิดว่าราคาอาจขยับขึ้นอีกในช่วง 2 เดือนหน้า เพราะฟื้นตัวขึ้นเพียง 7.6% เมื่อเทียบกับราคาน้ำมัน NYMEX ซึ่งปรับขึ้น 22% นับตั้งแต่แตะระดับต่ำสุดช่วงกลางเดือน มิ.ย. (BRENT ขยับขึ้น 30%)
มูลค่าผู้ถือหุ้นจะเพิ่มขึ้นเป็น 29 ล้านดอลลาร์ : เราประเมินว่า ราคาหุ้น SAR อิงด้วย DCF (WACC ที่ 10.22% และ Terminal Growth ที่ 1%) ที่ 1.60 ดอลลาร์ต่อหุ้น หรือ 2.00 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อหุ้น เราคาดการณ์ราคาถ่านหิน ในปี 2555 และ 2556 ที่ 90 ดอลลาร์ต่อตัน และ 85 ดอลลาร์ต่อตัน ตามลำดับ ถ้าการซื้อกิจการครั้งนี้สำเร็จ SAR จะเพิ่มมูลค่า NAV ของ PTT จาก 6.10 Source: PTT บาทต่อหุ้น เป็น 20.00 บาทต่อหุ้น โดยหุ้น 54.4% ซื้อขายที่ 960 ล้านดอลลาร์ เราเชื่อว่า มูลค่าผู้ถือหุ้นของ PTT จะเพิ่มขึ้นเป็น29 ล้านดอลลาร์ (0.32 บาท/หุ้น) หลังหักค่าใช้จ่ายในการซื้อกิจการ
คงคำแนะนำ ซื้อ ด้วยราคาเป้าหมาย ที่ 405.00 บาท : คงคำแนะนำ ซื้อ ด้วยราคาเป้าหมายที่ 405.00 บาท อิงด้วยวิธี SOTP ราคาหุ้น ณ ปัจจุบันซื้อขายด้วย 2012F PE ที่ 8.7 เท่า หรือน้อยกว่าคู่แข่งรายอื่นในกลุ่มที่ 42%
--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 493
สัมภาษณ์พิเศษ: ไทยออยล์สนผุดโรงกลั่นอาเซียน กำหนดแผนยุทธศาสตร์ระยะยาว 18 ปี
Source - กรุงเทพธุรกิจ (Th), Monday, September 10, 2012
วรินทร์ ตริโน
ระบุระยะสั้นเน้นสร้างมูลค่าเพิ่มโรงกลั่นภายในประเทศ
ไทยออยล์เตรียมทำแผนธุรกิจระยะยาว 18 ปี จากปี 2555-2573 กำหนดทิศทางลงทุนของบริษัทให้สอดคล้องกับเครือ ปตท. คาดได้ข้อสรุปสิ้นปีนี้ แย้มสนใจลงทุนตั้งโรงกลั่นแห่งใหม่ในอาเซียน รองรับความต้องการใช้น้ำมันที่เชื่อว่ายังมีสูง เผยมี 3 ประเทศที่น่าสนใจ คืออินโดนีเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์
เป็นเวลากว่า 4 เดือนแล้ว ที่ "วีรศักดิ์ โฆสิตไพศาล" เข้ามารับตำแหน่งประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร หรือ "ซีอีโอ" ของบริษัท ไทยออยล์ (TOP) หลังบริษัท ปตท. (PTT) มีการโยกย้ายตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของบริษัทในเครือเมื่อต้นเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา
ในการสลับตำแหน่งผู้บริหารในครั้งนี้ ปตท.ในฐานะบริษัทแม่ให้เหตุผลว่าเพื่อเหมาะสม และเปิดโอกาสให้ผู้บริหารเรียนรู้การบริหารงานในหลายส่วน แต่มีจำนวนไม่น้อยที่เชื่อว่าส่วนหนึ่งมาจากความขัดแย้งภายในของบริษัทไทยออยล์
จนเป็นเหตุให้ต้องโยก "วีรศักดิ์" ที่รั้งตำแหน่งซีอีโอของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) ซึ่งมีความใกล้เคียงกับธุรกิจของไทยออยล์มากที่สุด มานั่งบริหารแทน "สุรงค์ บูลกุล" ที่ถูกโยกไปเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน หรือซีเอฟโอ ของ ปตท. จึงเป็นธรรมดาที่ตำแหน่งซีอีโอของไทยออยล์คนใหม่ จะถูกมองว่าเป็นงานที่ "ท้าทาย" เพราะต้องบริหารงานภายในที่ถูกมองว่ามีความขัดแย้ง ขณะเดียวกันยังต้องเผชิญกับปัญหาจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะความผันผวนของราคาน้ำมัน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ให้ทุกโรงกลั่นในประเทศ ต้องประสบปัญหาการขาดทุนจากสต็อกน้ำมันในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา
"กรุงเทพธุรกิจ" จึงสัมภาษณ์พิเศษ "วีรศักดิ์ โฆสิตไพศาล" ถึงนโยบายการบริหารงาน และทิศทางการเติบโตของบริษัท โดย เจ้าตัวเล่าว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการจัดทำแผนธุรกิจระยะยาว ถึงปี 2573 เพื่อกำหนดทิศทางการเติบโตของบริษัทว่าจะไปในทิศทางใด ต้องมีการลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตใหม่ๆ หรือไม่ เนื่องจากการลงทุนในธุรกิจโรงกลั่นใช้เงินลงทุนสูง เวลามองธุรกิจจึงต้องมองยาว และมีความมั่นใจว่า หลังจากที่ลงทุนไปแล้ว ธุรกิจจะต้องอยู่ได้ถึง 20 ปี
ทั้งนี้มองว่า ในระยะยาว การใช้พลังงานในรูปปิโตรเลียม ก็ยังคงเป็นพลังงานหลัก แม้ว่าพลังงานที่ได้จากธรรมชาติจะค่อยๆ มาทดแทนในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่สามารถทดแทนได้ทั้งหมด อย่างไรก็ตามอัตราการใช้น้ำมันจะโตลดลง จากประสิทธิภาพการพลังงานที่เพิ่มขึ้น
"ในระยะยาว 10-20 ปีข้างหน้า เชื่อว่าจะต้องมีโรงกลั่นขนาดใหญ่เกิดใหม่ เพื่อรองรับความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้น แต่จะเป็น โรงกลั่นที่มีประสิทธิภาพสูง ทำให้โรงกลั่นเดิมที่ไม่มีการปรับปรุงประสิทธิภาพการกลั่นไม่สามารถอยู่ได้"
บริษัทก็มีความสนใจ ที่จะลงทุนตั้งโรงกลั่นแห่งใหม่ในอาเซียน โดยจะดูประเทศที่มีความต้องการใช้น้ำมันโตต่อเนื่อง และมีกำลังการกลั่นในประเทศไม่เพียงพอ ซึ่งปัจจุบันมี 3 ประเทศที่น่าสนใจ คือ อินโดนีเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์
ส่วนอินโดนีเซียนั้น มีความน่าสนใจสูงสุด เพราะมีการใช้น้ำมันจำนวนมาก ขณะที่โรงกลั่นในประเทศผลิตไม่เพียงพอ จนต้องมีการนำเข้า ปัจจุบันอินโดนีเซียยังมีการอุดหนุนราคาน้ำมันอยู่ ทำให้โครงสร้างราคาขายในประเทศไม่มีความชัดเจน ไม่คุ้มค่า ต่างประเทศจึงไม่มีใครเข้าไปลงทุนตั้งโรงกลั่นในอินโดนีเซีย
เชื่อว่าหลังจากเปิดประชาคมอาเซียน (เออีซี) ทางรัฐบาลอินโดนีเซีย จะต้องมีการปรับนโยบาย เพื่อให้สอดคล้องกับประเทศอื่นๆ ซึ่งจะทำให้การลงทุนโรงกลั่นในอินโดนีเซีย น่าสนใจ แต่หากยังคงมีการอุดหนุนราคาน้ำมันอยู่ ก็คงไม่เข้าไป
ส่วนประเทศพม่านั้น ก็น่าสนใจแต่การเข้าไปลงทุนคงจะพิจารณาเข้าไปเป็นกลุ่ม ปตท. และคงเป็นแผนระยะยาว เพราะต้องให้เวลาเศรษฐกิจของประเทศพม่าค่อยๆ เติบโต ในช่วงแรกๆ กลุ่ม ปตท. คงจะเข้าไปช่วยเหลือในบางเรื่องที่ทางพม่าต้องการก่อน เช่น กา รปรับปรุงประสิทธิภาพการกลั่นเดิมที่ทางพม่ามีอยู่ เป็นต้น
"แผนธุรกิจระยะยาวของบริษัท คงต้องทำให้สอดคล้องกับแผนระยะยาวของกลุ่ม ปตท. เพื่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกัน โดยเฉพาะการไปลงทุนต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำแผน คาดจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้"
เขากล่าวว่า สำหรับการลงทุนในช่วง 5 ปีจากนี้ คณะกรรมการ (บอร์ด) ของบริษัท ให้ความสำคัญกับการคุมต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพการกลั่น เพื่อให้บริษัทมีความสามารถทางการแข่งขันสูงที่สุด การลงทุนส่วนใหญ่จึงเป็นการลงทุน เพื่อปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพ การผลิตเดิมที่มีอยู่
ช่วง 5 ปีนี้ บริษัทจะใช้งบประมาณ 500-600 ล้านดอลลาร์ หรือเฉลี่ยปีละ 100 ล้านดอลลาร์ อาจจะมีการทบทวนเงินลงทุนในส่วนอื่นๆ ดูว่ามีส่วนใดปรับลด หรือชะลอออกไปก่อนได้ แต่จะไม่ชะลอในส่วนที่เป็นการลงทุนปรับปรุงตามกฎหมาย และไม่ลดงบที่เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการกลั่น
แนวโน้มราคาน้ำมันเฉลี่ยของปีนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยไตรมาส 3 ปีนี้ ราคาได้ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 110-111 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ค่าการกลั่นก็ปรับตัวดีขึ้น ทำให้ไตรมาสนี้จะมีกำไรจากสต็อกน้ำมัน หรือมีสต็อกเกน (Stock Gain) จากช่วงไตรมาสก่อนหน้าที่มีการขาดทุนจากสต็อก จากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับลดลงแรง ในการบริหารความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาน้ำมัน บริษัทจะปรับลดสต็อกน้ำมันให้เหลือน้อยที่สุด แต่ก็เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด พร้อมกับใช้เครื่องมือทางการเงินในการบริหารความเสี่ยง แต่ทำในระดับที่เหมาะสม ไม่ให้เป็นการเก็งกำไร
"การบริหารภายใน ผมใช้หลักยุติธรรม หรือกฎ กติกาที่ชัดเจน สามารถอธิบายได้ เคยมีคนมาถามผมถึงการแก้ปัญหาภายในแบบ อ้อมๆ ว่า ถ้าลูกๆ ทะเลาะกันจะทำอย่างไร ผมตอบไปว่า ก็ใช้หลักความยุติธรรมในการตัดสิน ซึ่งถ้าเรามีหลักเกณฑ์ที่เป็นธรรม มีเหตุมีผลที่อธิบายได้ คนส่วนใหญ่จะยอมรับ"
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
Source - กรุงเทพธุรกิจ (Th), Monday, September 10, 2012
วรินทร์ ตริโน
ระบุระยะสั้นเน้นสร้างมูลค่าเพิ่มโรงกลั่นภายในประเทศ
ไทยออยล์เตรียมทำแผนธุรกิจระยะยาว 18 ปี จากปี 2555-2573 กำหนดทิศทางลงทุนของบริษัทให้สอดคล้องกับเครือ ปตท. คาดได้ข้อสรุปสิ้นปีนี้ แย้มสนใจลงทุนตั้งโรงกลั่นแห่งใหม่ในอาเซียน รองรับความต้องการใช้น้ำมันที่เชื่อว่ายังมีสูง เผยมี 3 ประเทศที่น่าสนใจ คืออินโดนีเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์
เป็นเวลากว่า 4 เดือนแล้ว ที่ "วีรศักดิ์ โฆสิตไพศาล" เข้ามารับตำแหน่งประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร หรือ "ซีอีโอ" ของบริษัท ไทยออยล์ (TOP) หลังบริษัท ปตท. (PTT) มีการโยกย้ายตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของบริษัทในเครือเมื่อต้นเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา
ในการสลับตำแหน่งผู้บริหารในครั้งนี้ ปตท.ในฐานะบริษัทแม่ให้เหตุผลว่าเพื่อเหมาะสม และเปิดโอกาสให้ผู้บริหารเรียนรู้การบริหารงานในหลายส่วน แต่มีจำนวนไม่น้อยที่เชื่อว่าส่วนหนึ่งมาจากความขัดแย้งภายในของบริษัทไทยออยล์
จนเป็นเหตุให้ต้องโยก "วีรศักดิ์" ที่รั้งตำแหน่งซีอีโอของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) ซึ่งมีความใกล้เคียงกับธุรกิจของไทยออยล์มากที่สุด มานั่งบริหารแทน "สุรงค์ บูลกุล" ที่ถูกโยกไปเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน หรือซีเอฟโอ ของ ปตท. จึงเป็นธรรมดาที่ตำแหน่งซีอีโอของไทยออยล์คนใหม่ จะถูกมองว่าเป็นงานที่ "ท้าทาย" เพราะต้องบริหารงานภายในที่ถูกมองว่ามีความขัดแย้ง ขณะเดียวกันยังต้องเผชิญกับปัญหาจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะความผันผวนของราคาน้ำมัน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ให้ทุกโรงกลั่นในประเทศ ต้องประสบปัญหาการขาดทุนจากสต็อกน้ำมันในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา
"กรุงเทพธุรกิจ" จึงสัมภาษณ์พิเศษ "วีรศักดิ์ โฆสิตไพศาล" ถึงนโยบายการบริหารงาน และทิศทางการเติบโตของบริษัท โดย เจ้าตัวเล่าว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการจัดทำแผนธุรกิจระยะยาว ถึงปี 2573 เพื่อกำหนดทิศทางการเติบโตของบริษัทว่าจะไปในทิศทางใด ต้องมีการลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตใหม่ๆ หรือไม่ เนื่องจากการลงทุนในธุรกิจโรงกลั่นใช้เงินลงทุนสูง เวลามองธุรกิจจึงต้องมองยาว และมีความมั่นใจว่า หลังจากที่ลงทุนไปแล้ว ธุรกิจจะต้องอยู่ได้ถึง 20 ปี
ทั้งนี้มองว่า ในระยะยาว การใช้พลังงานในรูปปิโตรเลียม ก็ยังคงเป็นพลังงานหลัก แม้ว่าพลังงานที่ได้จากธรรมชาติจะค่อยๆ มาทดแทนในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่สามารถทดแทนได้ทั้งหมด อย่างไรก็ตามอัตราการใช้น้ำมันจะโตลดลง จากประสิทธิภาพการพลังงานที่เพิ่มขึ้น
"ในระยะยาว 10-20 ปีข้างหน้า เชื่อว่าจะต้องมีโรงกลั่นขนาดใหญ่เกิดใหม่ เพื่อรองรับความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้น แต่จะเป็น โรงกลั่นที่มีประสิทธิภาพสูง ทำให้โรงกลั่นเดิมที่ไม่มีการปรับปรุงประสิทธิภาพการกลั่นไม่สามารถอยู่ได้"
บริษัทก็มีความสนใจ ที่จะลงทุนตั้งโรงกลั่นแห่งใหม่ในอาเซียน โดยจะดูประเทศที่มีความต้องการใช้น้ำมันโตต่อเนื่อง และมีกำลังการกลั่นในประเทศไม่เพียงพอ ซึ่งปัจจุบันมี 3 ประเทศที่น่าสนใจ คือ อินโดนีเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์
ส่วนอินโดนีเซียนั้น มีความน่าสนใจสูงสุด เพราะมีการใช้น้ำมันจำนวนมาก ขณะที่โรงกลั่นในประเทศผลิตไม่เพียงพอ จนต้องมีการนำเข้า ปัจจุบันอินโดนีเซียยังมีการอุดหนุนราคาน้ำมันอยู่ ทำให้โครงสร้างราคาขายในประเทศไม่มีความชัดเจน ไม่คุ้มค่า ต่างประเทศจึงไม่มีใครเข้าไปลงทุนตั้งโรงกลั่นในอินโดนีเซีย
เชื่อว่าหลังจากเปิดประชาคมอาเซียน (เออีซี) ทางรัฐบาลอินโดนีเซีย จะต้องมีการปรับนโยบาย เพื่อให้สอดคล้องกับประเทศอื่นๆ ซึ่งจะทำให้การลงทุนโรงกลั่นในอินโดนีเซีย น่าสนใจ แต่หากยังคงมีการอุดหนุนราคาน้ำมันอยู่ ก็คงไม่เข้าไป
ส่วนประเทศพม่านั้น ก็น่าสนใจแต่การเข้าไปลงทุนคงจะพิจารณาเข้าไปเป็นกลุ่ม ปตท. และคงเป็นแผนระยะยาว เพราะต้องให้เวลาเศรษฐกิจของประเทศพม่าค่อยๆ เติบโต ในช่วงแรกๆ กลุ่ม ปตท. คงจะเข้าไปช่วยเหลือในบางเรื่องที่ทางพม่าต้องการก่อน เช่น กา รปรับปรุงประสิทธิภาพการกลั่นเดิมที่ทางพม่ามีอยู่ เป็นต้น
"แผนธุรกิจระยะยาวของบริษัท คงต้องทำให้สอดคล้องกับแผนระยะยาวของกลุ่ม ปตท. เพื่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกัน โดยเฉพาะการไปลงทุนต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำแผน คาดจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้"
เขากล่าวว่า สำหรับการลงทุนในช่วง 5 ปีจากนี้ คณะกรรมการ (บอร์ด) ของบริษัท ให้ความสำคัญกับการคุมต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพการกลั่น เพื่อให้บริษัทมีความสามารถทางการแข่งขันสูงที่สุด การลงทุนส่วนใหญ่จึงเป็นการลงทุน เพื่อปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพ การผลิตเดิมที่มีอยู่
ช่วง 5 ปีนี้ บริษัทจะใช้งบประมาณ 500-600 ล้านดอลลาร์ หรือเฉลี่ยปีละ 100 ล้านดอลลาร์ อาจจะมีการทบทวนเงินลงทุนในส่วนอื่นๆ ดูว่ามีส่วนใดปรับลด หรือชะลอออกไปก่อนได้ แต่จะไม่ชะลอในส่วนที่เป็นการลงทุนปรับปรุงตามกฎหมาย และไม่ลดงบที่เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการกลั่น
แนวโน้มราคาน้ำมันเฉลี่ยของปีนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยไตรมาส 3 ปีนี้ ราคาได้ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 110-111 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ค่าการกลั่นก็ปรับตัวดีขึ้น ทำให้ไตรมาสนี้จะมีกำไรจากสต็อกน้ำมัน หรือมีสต็อกเกน (Stock Gain) จากช่วงไตรมาสก่อนหน้าที่มีการขาดทุนจากสต็อก จากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับลดลงแรง ในการบริหารความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาน้ำมัน บริษัทจะปรับลดสต็อกน้ำมันให้เหลือน้อยที่สุด แต่ก็เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด พร้อมกับใช้เครื่องมือทางการเงินในการบริหารความเสี่ยง แต่ทำในระดับที่เหมาะสม ไม่ให้เป็นการเก็งกำไร
"การบริหารภายใน ผมใช้หลักยุติธรรม หรือกฎ กติกาที่ชัดเจน สามารถอธิบายได้ เคยมีคนมาถามผมถึงการแก้ปัญหาภายในแบบ อ้อมๆ ว่า ถ้าลูกๆ ทะเลาะกันจะทำอย่างไร ผมตอบไปว่า ก็ใช้หลักความยุติธรรมในการตัดสิน ซึ่งถ้าเรามีหลักเกณฑ์ที่เป็นธรรม มีเหตุมีผลที่อธิบายได้ คนส่วนใหญ่จะยอมรับ"
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 494
SOLAR กำลังเทิร์นอะราวนด์ราคาต่ำบุ๊ก-ลุ้นแตะ2.70บ. [ ทันหุ้น, 10 ก.ย. 55 ]
SOLAR ผลงานฟื้นตัวเด่นเซียนหุ้นคาดกำไรเริ่มมีเสถียรภาพหลังจากชนะประมูลก่อสร้างโรงไฟฟ้า
แสงอาทิตย์ของ BCP ขนาด 25 เมกะวัตต์ ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยามูลค่า 620 ล้านบาท คาดเสร็จ
มกราคม 2556 แต่ราคาหุ้นยังต่ำกว่าบุ๊ก 2.44 บาท ไม่สอดรับปัจจัยบวก แถมอยู่ระหว่างเจรจาพันธมิตร
ดึงเงินลงทุนสานธุรกิจพลังงานทดแทนในอนาคต แนะ "ซื้อเก็งกำไร" ลุ้นทดสอบต้าน 2.70 บาท
SOLAR ผลงานฟื้นตัวเด่นเซียนหุ้นคาดกำไรเริ่มมีเสถียรภาพหลังจากชนะประมูลก่อสร้างโรงไฟฟ้า
แสงอาทิตย์ของ BCP ขนาด 25 เมกะวัตต์ ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยามูลค่า 620 ล้านบาท คาดเสร็จ
มกราคม 2556 แต่ราคาหุ้นยังต่ำกว่าบุ๊ก 2.44 บาท ไม่สอดรับปัจจัยบวก แถมอยู่ระหว่างเจรจาพันธมิตร
ดึงเงินลงทุนสานธุรกิจพลังงานทดแทนในอนาคต แนะ "ซื้อเก็งกำไร" ลุ้นทดสอบต้าน 2.70 บาท
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 495
ADIPEC 2012 - The Total Oil and Gas Show: ADIPEC
http://www.adipec.com
ADIPEC 2012 - Under the patronage of the President of the United Arab Emirates, H. H. Sheikh Khalifa Bin Zayed Al Nahyan, the 15th edition of the Abu Dhabi International Petroleum Exhibition and Conference (ADIPEC) takes place on 11 - 14 November 2012 at the Abu Dhabi National Exhibition Centre (ADNEC)
Another exciting event coming up with huge exhibition covering the entire industry, technical conference, CEO Summit, glittering awards ceremony and graduate fair. Not to be missed! This year we are adding new features to the show to include marine, helicopter and pipeline sectors. Something for everyone: learning, debating, social networking, meeting new and old colleagues, product search and comparisons and lots more.....
As the largest exhibition for the Middle East oil and gas industry, ADIPEC is supported by Abu Dhabi National Oil Company (ADNOC) and the UAE's Ministry of Energy and hosts over 1,500 exhibitions and attracts more than 45,000 attendees and is the place where oil and gas industry professionals get together to experience, discover, network, discuss and debate core industry issues.
Book your space at http://www.adipec.com/page.cfm/Action=Form/FormID=1/t=m or register online at http://www.adipec.com/page.cfm/link=118
http://www.adipec.com
ADIPEC 2012 - Under the patronage of the President of the United Arab Emirates, H. H. Sheikh Khalifa Bin Zayed Al Nahyan, the 15th edition of the Abu Dhabi International Petroleum Exhibition and Conference (ADIPEC) takes place on 11 - 14 November 2012 at the Abu Dhabi National Exhibition Centre (ADNEC)
Another exciting event coming up with huge exhibition covering the entire industry, technical conference, CEO Summit, glittering awards ceremony and graduate fair. Not to be missed! This year we are adding new features to the show to include marine, helicopter and pipeline sectors. Something for everyone: learning, debating, social networking, meeting new and old colleagues, product search and comparisons and lots more.....
As the largest exhibition for the Middle East oil and gas industry, ADIPEC is supported by Abu Dhabi National Oil Company (ADNOC) and the UAE's Ministry of Energy and hosts over 1,500 exhibitions and attracts more than 45,000 attendees and is the place where oil and gas industry professionals get together to experience, discover, network, discuss and debate core industry issues.
Book your space at http://www.adipec.com/page.cfm/Action=Form/FormID=1/t=m or register online at http://www.adipec.com/page.cfm/link=118
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
- CHiNU_Vi
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 627
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 496
Shale Boom Cuts Gulf Oil Premium to 24-Year Low: Energy Markets
http://www.bloomberg.com/news/2012-09-0 ... rkets.html
The U.S. shale boom has driven the cost of Gulf Coast light, sweet oil to its lowest level versus Brent crude in almost a quarter century as the nation’s dependence on foreign supplies wanes..................
..................................
“Unconventional oils and gas are changing everything about our competitiveness in the United States,” Bill Klesse, Valero Energy Corp.’s chief executive officer, said yesterday at the Barclays CEO Energy/Power Conference in New York. “Before you know it, we’re going to have so much light, sweet crude that in the U.S. Gulf Coast we’re not going to be importing light, sweet crude, and we think that happens next year.”...............
...............
Cushing inventories surged to 47.8 million barrels in June, the highest level since Energy Department records for the hub began in 2004. The WTI-Brent spread reached a record $27.88 in October. It was at $18.03 a barrel today....................
........................
The shift in the U.S. market could have lasting repercussions on global markets as well.
...........................
“People think that U.S. supply growth is sort of disconnected or irrelevant because it can’t export, but it can back out imports and we believe that will have a significant impact on the global oil markets,” Garcia said.
http://www.bloomberg.com/news/2012-09-0 ... rkets.html
The U.S. shale boom has driven the cost of Gulf Coast light, sweet oil to its lowest level versus Brent crude in almost a quarter century as the nation’s dependence on foreign supplies wanes..................
..................................
“Unconventional oils and gas are changing everything about our competitiveness in the United States,” Bill Klesse, Valero Energy Corp.’s chief executive officer, said yesterday at the Barclays CEO Energy/Power Conference in New York. “Before you know it, we’re going to have so much light, sweet crude that in the U.S. Gulf Coast we’re not going to be importing light, sweet crude, and we think that happens next year.”...............
...............
Cushing inventories surged to 47.8 million barrels in June, the highest level since Energy Department records for the hub began in 2004. The WTI-Brent spread reached a record $27.88 in October. It was at $18.03 a barrel today....................
........................
The shift in the U.S. market could have lasting repercussions on global markets as well.
...........................
“People think that U.S. supply growth is sort of disconnected or irrelevant because it can’t export, but it can back out imports and we believe that will have a significant impact on the global oil markets,” Garcia said.
Always Smiling 

-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 497
บีเอชพีประกาศปิดเหมืองถ่านหินออสซี่หลังราคาทรุด,ต้นทุนพุ่ง
ทันหุ้น, 10 กันยายน 2555
บริษัทบีเอชพี บิลลิตัน ซึ่งเป็นบริษัทเหมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลก เปิดเผย ในวันนี้ว่า ทางบริษัทจะระงับการผลิตที่เหมืองถ่านหินเกรกอรี่ในรัฐควีนส์แลนด์ ตั้งแต่วันที่ 10 ต.ค.นี้เป็นต้นไปเนื่องจากราคาถ่านหินที่ตกต่ำ, ต้นทุนสูง และดอลลาร์ออสเตรเลียที่แข็งค่า
ทั้งนี้ ราคาถ่านหิน, สินแร่เหล็ก และสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆต่างทรุดตัวลง ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวของจีน
เหมืองดังกล่าวเป็นของบริษัทบีเอชพี และมิตซูบิชิ คอร์ป และอยู่ภายใต้ การดำเนินการของบีเอชพี บิลลิตัน-มิตซูบิชิ อัลไลอันซ์ (BMA)
"BMA จะยังคงทบทวนสินทรัพย์ที่เหลือในพอร์ทต่อไปเพื่อรับรองว่า การดำเนินงานในแต่ละธุรกิจจะมีความได้เปรียบด้านราคา และสามารถทำกำไร ได้ทั่วทั้งวงจรราคา"
ทันหุ้น, 10 กันยายน 2555
บริษัทบีเอชพี บิลลิตัน ซึ่งเป็นบริษัทเหมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลก เปิดเผย ในวันนี้ว่า ทางบริษัทจะระงับการผลิตที่เหมืองถ่านหินเกรกอรี่ในรัฐควีนส์แลนด์ ตั้งแต่วันที่ 10 ต.ค.นี้เป็นต้นไปเนื่องจากราคาถ่านหินที่ตกต่ำ, ต้นทุนสูง และดอลลาร์ออสเตรเลียที่แข็งค่า
ทั้งนี้ ราคาถ่านหิน, สินแร่เหล็ก และสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆต่างทรุดตัวลง ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวของจีน
เหมืองดังกล่าวเป็นของบริษัทบีเอชพี และมิตซูบิชิ คอร์ป และอยู่ภายใต้ การดำเนินการของบีเอชพี บิลลิตัน-มิตซูบิชิ อัลไลอันซ์ (BMA)
"BMA จะยังคงทบทวนสินทรัพย์ที่เหลือในพอร์ทต่อไปเพื่อรับรองว่า การดำเนินงานในแต่ละธุรกิจจะมีความได้เปรียบด้านราคา และสามารถทำกำไร ได้ทั่วทั้งวงจรราคา"
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
- CHiNU_Vi
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 627
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 498
Old News
Daniel Yergin: Why shale gas is like Walmart
NOVEMBER 8, 2011
The breakthrough energy innovation of the 21st century is not thin-film solar, sophisticated wind turbines, advanced biofuels or small-scale nukes.
It’s shale gas.
So says Daniel Yergin, the energy guru and author of The Quest: Energy, Security and the Remaking of the Modern World (Penguin, $35), who was interviewed today (Nov. 8) by Walter Isaacson at the Aspen Institute in Washington. Yergin, the best-selling author, consultant and all-around energy guru, is right: The ability to extract natural gas from shale, using a controversial technique known as fracking, is reshaping America’s energy landscape.
“So far this century, this is the biggest innovation in energy, in terms of scale and impact,” Yergin said. He likened its impact on the energy business to the arrival of a new Walmart in town, which shakes up competitors, big and small.
The impact of cheap, abundant natural gas on energy usage has enormous implications for the climate crisis.
Cleaner-burning gas could replace dirty coal as a fuel to generate electricity. Then again, Yergin said: “It’s does create a more challenging marketplace for wind and solar and everything else.”
I’ve just started reading Yergin’s book, and it’s fascinating. He knows his stuff, did lots of research and writes well, although it must be said that he’s an establishment figure who some critics (like David Roberts of Grist) say is too industry-friendly.
Be that as it may, there’s no doubt that shale gas is a forced to be reckoned with: Shale gas production grew by 17 percent from 2000 to 2006, which isn’t bad, and then it really took off. Better fracking technology (and higher prices) drove the average annual growth rates to 48% between 2006 and 2010, according to the U.S. Energy Information Administration. Currently, the EIA says, about 23% of U.S. electricity is generated by burning natural gas; by comparison, about 45% comes from coal and just 3.6% comes from all non-hydropower renewables, i.e., wind, solar, geothermal and waste. The U.S. now appears to have a 100-year supply of natural gas, says the American Petroleum Institute, citing the work of the Potential Gas Committee, a nonprofit group of industry experts.
“In the energy sector, it all comes down to scale,” Yergin said.
Yergin views the shale gas revolution as a boon. “This resource will grow and be very beneficial to our economy,” he said, because it will create hundreds of thousands of jobs, across many regions. Shale gas is found in Pennsylvania and Ohio, as well as in Louisiana, Texas and Wyoming. Petrochemical plants that left the U.S. when natural gas prices spiked could return. Consumers should benefit from lower electricity and heating costs.
He’s confident that the environmental issues around fracking can be resolved. Yergin, who served on an energy department advisory committee on shale gas, said: “The likelihood that fracking is going to affect the water supply is, as the scientists on the committee said, very, very, very unlikely.” Local air pollution and waste issues can also be managed, he said. “The need for environmental protection can be met if approached properly,” Yergin told a congressional hearing last month. This matches what I’ve been hearing from companies like Shell.
Yergin does not disparage cleaner forms of energy. Costs of solar are coming down because of low-cost manufacturing in China. Wind, he said, is entering the mainstream. “It’s a conventional form of energy,” he said. Can wind compete with coal or natural gas without subsidies, he was asked. “There’s a lot of argument about that.”
I asked Yergin whether he thought some combination of technological breakthroughs and political developments could bring down greenhouse gas emissions dramatically, which is what scientists say needs to happen to avert climate instability. He replied that regulations such as California’s renewable portfolio standard, which requires that 33% of the state’s energy be provided by renewables by 2020, and the Obama administration’s automobile fuel efficiency standards, which require cars to average 54 MPG by 2025, will have a major impact.
But, he said, such regulations are “a second-best answer.” A price on carbon would be better, giving a clear signal to consumers and spurring the most cost-efficient low-carbon alternatives.
“Wouldn’t the simplest answer to be to put a tax on carbon?” Isaacson asked.
“After seeing what happened with cap and trade, I think the answer is yes,” Yergin replied.
But, he added, “there’s not a big taste right now for raising taxes.” Climate could get back on the political agenda if the economy improves.
But climate is a global problem, and even if the U.S. moves to a low-carbon economy, China and India will continue to burn fossil fuels. “Twenty years from now, on a global basis, our energy mix won’t look too different than it does today,” Yergin said.
If he’s right about that. we’re all in big trouble.
Fortunately, as the saying goes, predictions are hard…especially about the future.
Daniel Yergin: Why shale gas is like Walmart
NOVEMBER 8, 2011
The breakthrough energy innovation of the 21st century is not thin-film solar, sophisticated wind turbines, advanced biofuels or small-scale nukes.
It’s shale gas.
So says Daniel Yergin, the energy guru and author of The Quest: Energy, Security and the Remaking of the Modern World (Penguin, $35), who was interviewed today (Nov. 8) by Walter Isaacson at the Aspen Institute in Washington. Yergin, the best-selling author, consultant and all-around energy guru, is right: The ability to extract natural gas from shale, using a controversial technique known as fracking, is reshaping America’s energy landscape.
“So far this century, this is the biggest innovation in energy, in terms of scale and impact,” Yergin said. He likened its impact on the energy business to the arrival of a new Walmart in town, which shakes up competitors, big and small.
The impact of cheap, abundant natural gas on energy usage has enormous implications for the climate crisis.
Cleaner-burning gas could replace dirty coal as a fuel to generate electricity. Then again, Yergin said: “It’s does create a more challenging marketplace for wind and solar and everything else.”
I’ve just started reading Yergin’s book, and it’s fascinating. He knows his stuff, did lots of research and writes well, although it must be said that he’s an establishment figure who some critics (like David Roberts of Grist) say is too industry-friendly.
Be that as it may, there’s no doubt that shale gas is a forced to be reckoned with: Shale gas production grew by 17 percent from 2000 to 2006, which isn’t bad, and then it really took off. Better fracking technology (and higher prices) drove the average annual growth rates to 48% between 2006 and 2010, according to the U.S. Energy Information Administration. Currently, the EIA says, about 23% of U.S. electricity is generated by burning natural gas; by comparison, about 45% comes from coal and just 3.6% comes from all non-hydropower renewables, i.e., wind, solar, geothermal and waste. The U.S. now appears to have a 100-year supply of natural gas, says the American Petroleum Institute, citing the work of the Potential Gas Committee, a nonprofit group of industry experts.
“In the energy sector, it all comes down to scale,” Yergin said.
Yergin views the shale gas revolution as a boon. “This resource will grow and be very beneficial to our economy,” he said, because it will create hundreds of thousands of jobs, across many regions. Shale gas is found in Pennsylvania and Ohio, as well as in Louisiana, Texas and Wyoming. Petrochemical plants that left the U.S. when natural gas prices spiked could return. Consumers should benefit from lower electricity and heating costs.
He’s confident that the environmental issues around fracking can be resolved. Yergin, who served on an energy department advisory committee on shale gas, said: “The likelihood that fracking is going to affect the water supply is, as the scientists on the committee said, very, very, very unlikely.” Local air pollution and waste issues can also be managed, he said. “The need for environmental protection can be met if approached properly,” Yergin told a congressional hearing last month. This matches what I’ve been hearing from companies like Shell.
Yergin does not disparage cleaner forms of energy. Costs of solar are coming down because of low-cost manufacturing in China. Wind, he said, is entering the mainstream. “It’s a conventional form of energy,” he said. Can wind compete with coal or natural gas without subsidies, he was asked. “There’s a lot of argument about that.”
I asked Yergin whether he thought some combination of technological breakthroughs and political developments could bring down greenhouse gas emissions dramatically, which is what scientists say needs to happen to avert climate instability. He replied that regulations such as California’s renewable portfolio standard, which requires that 33% of the state’s energy be provided by renewables by 2020, and the Obama administration’s automobile fuel efficiency standards, which require cars to average 54 MPG by 2025, will have a major impact.
But, he said, such regulations are “a second-best answer.” A price on carbon would be better, giving a clear signal to consumers and spurring the most cost-efficient low-carbon alternatives.
“Wouldn’t the simplest answer to be to put a tax on carbon?” Isaacson asked.
“After seeing what happened with cap and trade, I think the answer is yes,” Yergin replied.
But, he added, “there’s not a big taste right now for raising taxes.” Climate could get back on the political agenda if the economy improves.
But climate is a global problem, and even if the U.S. moves to a low-carbon economy, China and India will continue to burn fossil fuels. “Twenty years from now, on a global basis, our energy mix won’t look too different than it does today,” Yergin said.
If he’s right about that. we’re all in big trouble.
Fortunately, as the saying goes, predictions are hard…especially about the future.
Always Smiling 

-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 499
'5บิ๊กธุรกิจ'รุกเวียดนามเร่งขยายธุรกิจเชื่อศักยภาพสูงกว่าพม่า - เพิ่มกำลังผลิตรับตลาดโต
Source - กรุงเทพธุรกิจ (Th), Tuesday, September 11, 2012
ธ.กรุงเทพเผยนักลงทุนสร้างฐานผลิต ป้อนตลาดโลก-ตลาดภายใน
ธุรกิจไทยรายใหญ่ "แบงก์กรุงเทพเอสซีจี-ซีพี-ไทยเบฟ-ปตท." เดินหน้ารุกลงทุนในเวียดนาม แม้เผชิญเศรษฐกิจผันผวน เชื่อมีศักยภาพสูงกว่าพม่า ด้วยจำนวนประชากรมากถึง 90 ล้านและติดต่อกับเพื่อนบ้านหลายประเทศ แบงก์กรุงเทพแนะต้องถือหุ้น 100% ยอมเสี่ยงขาดทุน 3 ปีแรก ชี้เวียดนามได้เปรียบ ตลาดภายในใหญ่ ค่าแรงถูก นักลงทุนต่างชาติเริ่มปักหลักใช้เป็นฐานผลิต
ธนาคารกรุงเทพถือเป็นธุรกิจไทยยุคแรกที่เริ่มเข้าไปลงทุนในเวียดนาม โดยเริ่มเปิดสาขาไซ่งอนในปี 2504 ก่อนหยุดให้บริการเนื่องจากภาวะสงครามในปี 2518 แต่หลังจากสงครามสิ้นสุดลง ธนาคารกรุงเทพถือเป็นธนาคารต่างประเทศแห่งแรกที่สามารถกลับไปเปิดให้บริการที่สาขาโฮจิมินห์ซิตี้ในปี 2535 และสาขาฮานอย ในปี 2537
ล่าสุดธนาคารกรุงเทพ สาขาเวียดนามได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการธนาคารในเวียดนามนาน 99 ปี ถือเป็นธนาคารต่างประเทศที่ได้รับใบอนุญาตเป็นระยะเวลายาวนานที่สุด หลังจากใบอนุญาตฉบับก่อนหน้านี้ 20 ปี ครบอายุในปีนี้
นายไชยฤทธิ์ อนุชิตวรวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าธนาคารกรุงเทพทั้ง 2 สาขาในเวียดนาม คือ สาขาโฮจิมินห์ซิตี้ และสาขาฮานอย สามารถให้บริการลูกค้าภายใต้ใบอนุญาตฉบับนี้ถึงปี 2654
ธนาคารกรุงเทพ สาขาเวียดนาม ให้บริการลูกค้าอย่างครบวงจร ครอบคลุมทั้งลูกค้าชาวไทยที่อาศัย อยู่ในเวียดนาม ลูกค้าชาวเวียดนาม และนักลงทุนต่างประเทศที่ต้องการใช้โอกาสการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ขยายกิจการสู่เวียดนาม
การขยายเครือข่ายสาขาในต่างประเทศ นับเป็น หนึ่งในนโยบายหลักของธนาคาร ขณะนี้ มีเครือข่าย สาขาจำนวน 26 แห่ง ใน 13 เขตเศรษฐกิจ ทั่วโลก ทำให้ธนาคารกรุงเทพ เป็นหนึ่งในธนาคารชั้นนำของภูมิภาคที่มีความพร้อมสูงสุด สำหรับรองรับการหลอมรวมกันทางเศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียนในอนาคต
ด้าน นายธาราบดี ซึ้งอดิชัยวิทย์ ผู้จัดการทั่วไป ธนาคารกรุงเทพ สาขาประเทศเวียดนาม กล่าวว่า ผลการดำเนินธุรกิจออกมาในทิศทางดี ยอดปล่อยสินเชื่อเติบโตขึ้นทุกปี ขณะนี้มียอดสินเชื่อคงค้างประมาณ 20,000 ล้านบาท ส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล)มีไม่ถึง 2% ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับเอ็นพีแอลทั้งระบบของประเทศที่มีสูงถึง 8.4%
สำหรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 เชื่อว่าจะเป็นผลดีต่อเวียดนาม ด้วยปัจจัยบวกหลายอย่างที่ทำให้นักลงทุนประเทศเลือกเวียดนามในการสร้างฐานกำลังผลิตเพื่อป้อนตลาดโลกและตลาดภายในประเทศเวียดนามเอง เนื่องจาก ประชากรของประเทศนี้มีสูงถึง 90 ล้านคน ส่งผลให้ความต้องการทางด้านอุปโภคบริโภคยังมีช่องว่างทางการตลาดอีกมาก ประกอบกับค่าแรงงานต่ำเฉลี่ยไม่เกิน 7,000-8,000 บาท/เดือน โดยเฉพาะค่าแรงของคนงานระดับล่างเฉลี่ยไม่เกิน 5,000 บาท/เดือน
แนะธุรกิจไทยลงทุนถือหุ้น100%
นายธาราบดี กล่าวว่า นักลงทุนไทยที่เข้ามาลงทุนในเวียดนาม แนะว่า ควรเข้าลงทุนในธุรกิจนั้นๆ แบบถือหุ้น 100% เพราะจะได้ประโยชน์กว่าการตัดสินใจเข้าร่วมทุนกับบริษัทสัญชาติเวียดนาม และนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในช่วง 3 ปีแรกจะขาดทุนทุกราย แต่พอหลังจากนั้นธุรกิจจะเติบโตดีมีกำไรคุ้มทุนแน่นอน ทั้งนี้ จะสังเกตได้ว่าลูกค้าธนาคารที่เป็นคนไทยและเข้ามาลงทุนในประเทศนี้ ธุรกิจขณะนี้เติบโตอย่างต่อเนื่องและมีกำไรทุกปี
"ฐานลูกค้าของแบงก์กรุงเทพที่เวียดนาม 30%เป็นนักลงทุนไทย 30% เป็นนักลงทุนต่างชาติ เช่น เกาหลี ซึ่งเป็นลูกค้าที่เคยใช้บริการที่แบงก์กรุงเทพมาก่อน อีกกว่า30%เป็นลูกค้าในประเทศเวียดนาม แบงก์กรุงเทพที่เวียดนามไม่ได้ทำธุรกิจรายย่อย ทำเฉพาะรายใหญ่อย่างเดียว ส่วนเงินทุนที่นำมาปล่อยสินเชื่อนั้น มาจากสำนักงานใหญ่เพียง10% ที่เหลือเป็นการระดมทุนในประเทศเวียดนาม"
ซีพีชี้เวียดนามพร้อมกว่าพม่า
เครือซีพี ถือเป็นกลุ่มธุรกิจไทยที่เข้าไปลงทุนเวียดนามในยุคแรก ยังเห็นว่าเวียดนามน่าสนใจในการลงทุน แม้จะมีอุปสรรคด้านกฎหมายและความผันผวนของเศรษฐกิจภายในประเทศ
นายสุขสันต์ เจียมใจสว่างฤกษ์ รองกรรมการผู้จัดการบริหาร บริษัท ซี.พี.เวียดนาม คอร์ปอเรชั่น จำกัด เครือซีพี กล่าวว่าเศรษฐกิจเวียดนามในช่วง 5 ปี ที่ผ่านมา ค่อนข้างผันผวน โดยอัตราเงินเฟ้อของเวียดนามเคยสูงถึง 19.9% ในปี 2551 แต่ลดต่ำลงเหลือ 6.5% ในปี 2552 เพราะรัฐบาลเวียดนามเร่งเข้ามาแก้ปัญหาเศรษฐกิจ รวมทั้งมีการลดค่าเงินหลายครั้งและทำให้ค่าเงินในช่วง 1-2 ปี ที่ผ่านมาค่อนข้างนิ่ง
"ขณะนี้นักธุรกิจต่างชาติสนใจการลงทุนในพม่ามาก หลังจากที่พม่าเปิดประเทศ ซึ่งบริษัท ซี.พี.เวียดนาม คอร์ปอเรชั่น เข้ามาลงทุนในเวียดนามแล้ว 20 ปี มองเห็นว่าปัจจุบันเวียดนามมีความพร้อมด้านการลงทุนมากกว่าพม่า ที่ผ่านมาเวียดนามมีปัญหาเศรษฐกิจ แต่ในภาพรวมแล้วยังน่าลงทุน เพียงแต่มีหลายปัญหาที่รัฐบาลเวียดนามควรแก้ไข เช่น กฎหมายที่มีการปรับเปลี่ยนบ่อย"
นายสุขสันต์เห็นว่าการลงทุนในเวียดนามน่าสนใจมากกว่า เพราะว่าสามารถขยายตลาดไปลาว กัมพูชาและจีนตอนใต้ ที่มีชายแดนติดเวียดนามได้ ดังนั้นธุรกิจไม่จำกัดเฉพาะตลาดในเวียดนามที่มีประชากร 90 ล้านคน
บริษัท ซี.พี.เวียดนามฯ มองเห็นศักยภาพ ดังกล่าว จึงมีมีแผนขยายการผลิตสินค้ากลุ่มอาหารแปรรูปให้มากขึ้น ซึ่งปัจจุบัน การผลิตส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มอาหารสัตว์และการเลี้ยงสัตว์ 80-90% ของกำลังการผลิตทั้งหมด โดยการผลิตอาหารแปรรูปจะทำให้สร้างแบรนด์ของซี.พี.ด้วยและจะทำให้ธุรกิจอยู่ได้อย่างยั่งยืน
ในช่วง 5 ปี ที่ผ่านมา รายได้ของบริษัทขยายตัวเฉลี่ยปีละ 29% และในปีนี้พยายามที่จะบริหารงานให้มีรายได้มากกว่าอัตราเฉลี่ยที่ผ่านมา เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ถือหุ้น
เอสซีจีลงทุนครบทุกกลุ่มธุรกิจ
เช่นเดียวกับเครือเอสซีจี ที่มีแผนขยายการลงทุนในเวียดนามอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น ปัจจุบัน เอสซีจีเข้ามาลงทุนในเวียดนามครบทุกกลุ่มธุรกิจของเครือคือ กระดาษ ปิโตรเคมี ซีเมนต์ วัสดุก่อสร้างและการกระจายสินค้า ซึ่งเอสซีจีเข้าไปร่วมถือหุ้นบริษัทในเวียดนาม 17 บริษัท และมีสินทรัพย์รวม 11,000 ล้านบาท
นายโฉลกพร ผลชีวิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท วีนาคราฟท์ เปเปอร์ จำกัด กล่าวว่าธุรกิจกระดาษเป็นธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดของเอสซีจีในเวียดนาม โดยมีที่ตั้งโรงงานอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมหมีเฟื๊อก จังหวัดบิ่นเยือง โดยในช่วง 5 ปี ที่ผ่านมาความต้องการใช้กระดาษเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 10% ในขณะที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) เวียดนามขยายตัวเฉลี่ยปีละ 7%
ความต้องการใช้กระดาษลูกฟูกสูง เป็นส่วนหนึ่งทำให้เอสซีจีตัดสินใจมาลงทุนในเวียดนาม ซึ่งในปี 2555 มีความต้องการใช้กระดาษลูกฟูก 1 ล้านตัน แต่มีกำลังการผลิตรวม 900,000 ตัน ทำให้เวียดนามยังต้องนำเข้ามาใช้ส่วนหนึ่ง
นายโฉลกพร กล่าวว่า เอสซีจียังไม่มีแผนตั้งโรงงานผลิตกระดาษแห่งที่ 2 ในเวียดนาม โดยต้องการขยายการลงทุนในเวียดนามแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่ความต้องการใช้กระดาษที่อยู่ในระดับสูงทำให้คณะกรรมการเอสซีจีอนุมัติให้บริษัท วีนาคราฟท์ เปเปอร์ลงทุนปรับปรุงเครื่องจักรเพิ่มเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต 600 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้มีกำลังการผลิตปีละ 250,000 ตัน เพิ่มจากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตปีละ 220,000 ตัน และคาดว่าจะดำเนินการเสร็จในกลางปี 2556
เครือไทยเบฟเตรียมผุดห้างระบายสินค้า
ธุรกิจอีกกลุ่มที่เริ่มขยายการลงทุนอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คือ กลุ่มไทยเบฟ โดยมีการลงทุนตั้งแต่การผลิตไปจนถึงการจัดจำหน่าย ซึ่งบริษัท ไทยคอร์ป อินเตอร์เนชั่นแนล เวียดนาม จำกัด เป็นหนึ่งในธุรกิจของกลุ่มไทยเบฟที่เริ่มขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัทเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ 75% และ มงคลกรุ๊ป 25%
นายมงคล บัณฑูรรุ่งโรจน์ รองประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัทไทยคอร์ปฯ กล่าวว่าบริษัทฯทำธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าแบรนด์ไทยในเวียดนาม เช่น ปลากระป๋อง 3 ครัว กระทิงแดง โดยมีแผนจะลงทุนสร้างห้างค้าปลีกในเวียดนามและให้ห้างนี้ขายสินค้าไทย 70% เพื่อเป็นช่องทางในการทำตลาดสินค้าแบรนด์ไทยให้เข้มแข็งขึ้นและช่วยเหลือเอสเอ็มอีให้มีช่องทางในการขายสินค้าในเวียดนาม ซึ่งจะเหมือนกับห้างอิเซตันในไทยที่เน้นขายสินค้าจากญี่ปุ่นเป็นส่วนใหญ่
"ขณะนี้ กำลังศึกษารูปแบบการลงทุนห้าง ดังกล่าวและคาดว่าเร็วที่สุดจะวางแผนเสร็จภายใน 6 เดือน ก็จะรู้ว่าจะมีใครร่วมลงทุนบ้าง โดยการดำเนินธุรกิจจะใช้จุดแข็งด้านเงินทุนของบริษัทเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ กับจุดแข็งด้านการทำตลาดสินค้าในเวียดนามของมงคลกรุ๊ปที่มีประสบการณ์ในเวียดนามมา 19 ปี"
นายมงคลกล่าวว่าบริษัทไทยคอร์ปต้องการให้สินค้าไทยเข้ามาขายในเวียดนามมากขึ้นเพื่อให้มีโอกาสจากประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) มากขึ้น เพราะถ้านำสินค้าไปวางขายที่อื่นจะทำให้ขายได้ช้า และบริษัทไทยคอร์ปยังสนใจลงทุนในธุรกิจร้านสะดวกซื้อด้วย รวมทั้งมองเรื่องการเทคโอเวอร์ธุรกิจในเวียดนามด้วยแต่อยู่ระหว่างการศึกษา
ในช่วง 5 ปี ที่ผ่านมา บริษัทไทยคอร์ปมีรายได้รวม 5,000 ล้านบาท และคาดว่าปีนี้จะมีรายได้ที่ 2,000 ล้านบาท
ปตท.สผ.เตรียมลงทุนเพิ่ม
ด้านบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ซึ่งเข้าไปลงทุนในเวียดนามมานาน มีแผนจะขยายการลงทุนเช่นกัน โดยกำลังเจรจาเข้าไปสำรวจและขุดเจาะในทะเลทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
นายจิรพงศ์ ธราภพ ผู้จัดการอาวุโส โครงการร่วมทุนประเทศเวียดนาม สายงานโครงการต่างประเทศ ปตท.สผ. กล่าวว่าปัจจุบัน ปตท.สผ. พัฒนาและผลิตปิโตรเลียมในเวียดนาม 4 โครงการ แบ่งเป็นระยะการผลิต 2 โครงการ และระยะการพัฒนา 2 โครงการ ซึ่งมีแผนที่จะลงทุนในเวียดนามเพิ่มเติมทั้งต้นน้ำและปลายน้ำ
"ถ้ามีโอกาสให้เข้าไปเจรจาธุรกิจก็พร้อมดำเนินการทันที และมีหน่วยที่ศึกษาข้อมูลแปลงสำรวจต่างๆ ของเวียดนามว่าแปลงไหนที่มีศักยภาพ ซึ่งเวียดนามมีแผนที่จะเปิดให้สำรวจและขุดเจาะปิโตรเลียมเพิ่มมากขึ้นเพื่อให้มีปริมาณเพียงพอกับความต้องการในปัจจุบันวันละ 400,000 บาร์เรล และ ในอีก 3 ปี ข้างหน้าความต้องการจะเพิ่มมากกว่านี้"
นายจิรพงศ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาเวียดนามเปิดให้สำรวจและขุดเจาะในทะเลทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ไปมาก และขณะนี้ ปตท.สผ.กำลังเจรจาเพื่อขอเข้าไปสำรวจและขุดเจาะในทะเลทางด้านภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเชื่อว่า ปตท.สผ.ยังมีโอกาสในเวียดนามเพราะคุ้นเคยกับบริษัทปิโตรเลียมเวียดนามทำให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันเสมอ
พื้นที่ชายฝั่งภาคกลางและภาคเหนือจะมีศักยภาพน้อยกว่าชายฝั่งภาคใต้ แต่รัฐบาลเวียดนามกำลังเชิญชวนให้ผู้ประกอบการเข้าไปลงทุน แต่การลงทุนในเวียดนามจะต้องมีรัฐบาลเวียดนามร่วมถือหุ้นด้วย 40-50 %
--จบ--
Source - กรุงเทพธุรกิจ (Th), Tuesday, September 11, 2012
ธ.กรุงเทพเผยนักลงทุนสร้างฐานผลิต ป้อนตลาดโลก-ตลาดภายใน
ธุรกิจไทยรายใหญ่ "แบงก์กรุงเทพเอสซีจี-ซีพี-ไทยเบฟ-ปตท." เดินหน้ารุกลงทุนในเวียดนาม แม้เผชิญเศรษฐกิจผันผวน เชื่อมีศักยภาพสูงกว่าพม่า ด้วยจำนวนประชากรมากถึง 90 ล้านและติดต่อกับเพื่อนบ้านหลายประเทศ แบงก์กรุงเทพแนะต้องถือหุ้น 100% ยอมเสี่ยงขาดทุน 3 ปีแรก ชี้เวียดนามได้เปรียบ ตลาดภายในใหญ่ ค่าแรงถูก นักลงทุนต่างชาติเริ่มปักหลักใช้เป็นฐานผลิต
ธนาคารกรุงเทพถือเป็นธุรกิจไทยยุคแรกที่เริ่มเข้าไปลงทุนในเวียดนาม โดยเริ่มเปิดสาขาไซ่งอนในปี 2504 ก่อนหยุดให้บริการเนื่องจากภาวะสงครามในปี 2518 แต่หลังจากสงครามสิ้นสุดลง ธนาคารกรุงเทพถือเป็นธนาคารต่างประเทศแห่งแรกที่สามารถกลับไปเปิดให้บริการที่สาขาโฮจิมินห์ซิตี้ในปี 2535 และสาขาฮานอย ในปี 2537
ล่าสุดธนาคารกรุงเทพ สาขาเวียดนามได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการธนาคารในเวียดนามนาน 99 ปี ถือเป็นธนาคารต่างประเทศที่ได้รับใบอนุญาตเป็นระยะเวลายาวนานที่สุด หลังจากใบอนุญาตฉบับก่อนหน้านี้ 20 ปี ครบอายุในปีนี้
นายไชยฤทธิ์ อนุชิตวรวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าธนาคารกรุงเทพทั้ง 2 สาขาในเวียดนาม คือ สาขาโฮจิมินห์ซิตี้ และสาขาฮานอย สามารถให้บริการลูกค้าภายใต้ใบอนุญาตฉบับนี้ถึงปี 2654
ธนาคารกรุงเทพ สาขาเวียดนาม ให้บริการลูกค้าอย่างครบวงจร ครอบคลุมทั้งลูกค้าชาวไทยที่อาศัย อยู่ในเวียดนาม ลูกค้าชาวเวียดนาม และนักลงทุนต่างประเทศที่ต้องการใช้โอกาสการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ขยายกิจการสู่เวียดนาม
การขยายเครือข่ายสาขาในต่างประเทศ นับเป็น หนึ่งในนโยบายหลักของธนาคาร ขณะนี้ มีเครือข่าย สาขาจำนวน 26 แห่ง ใน 13 เขตเศรษฐกิจ ทั่วโลก ทำให้ธนาคารกรุงเทพ เป็นหนึ่งในธนาคารชั้นนำของภูมิภาคที่มีความพร้อมสูงสุด สำหรับรองรับการหลอมรวมกันทางเศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียนในอนาคต
ด้าน นายธาราบดี ซึ้งอดิชัยวิทย์ ผู้จัดการทั่วไป ธนาคารกรุงเทพ สาขาประเทศเวียดนาม กล่าวว่า ผลการดำเนินธุรกิจออกมาในทิศทางดี ยอดปล่อยสินเชื่อเติบโตขึ้นทุกปี ขณะนี้มียอดสินเชื่อคงค้างประมาณ 20,000 ล้านบาท ส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล)มีไม่ถึง 2% ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับเอ็นพีแอลทั้งระบบของประเทศที่มีสูงถึง 8.4%
สำหรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 เชื่อว่าจะเป็นผลดีต่อเวียดนาม ด้วยปัจจัยบวกหลายอย่างที่ทำให้นักลงทุนประเทศเลือกเวียดนามในการสร้างฐานกำลังผลิตเพื่อป้อนตลาดโลกและตลาดภายในประเทศเวียดนามเอง เนื่องจาก ประชากรของประเทศนี้มีสูงถึง 90 ล้านคน ส่งผลให้ความต้องการทางด้านอุปโภคบริโภคยังมีช่องว่างทางการตลาดอีกมาก ประกอบกับค่าแรงงานต่ำเฉลี่ยไม่เกิน 7,000-8,000 บาท/เดือน โดยเฉพาะค่าแรงของคนงานระดับล่างเฉลี่ยไม่เกิน 5,000 บาท/เดือน
แนะธุรกิจไทยลงทุนถือหุ้น100%
นายธาราบดี กล่าวว่า นักลงทุนไทยที่เข้ามาลงทุนในเวียดนาม แนะว่า ควรเข้าลงทุนในธุรกิจนั้นๆ แบบถือหุ้น 100% เพราะจะได้ประโยชน์กว่าการตัดสินใจเข้าร่วมทุนกับบริษัทสัญชาติเวียดนาม และนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในช่วง 3 ปีแรกจะขาดทุนทุกราย แต่พอหลังจากนั้นธุรกิจจะเติบโตดีมีกำไรคุ้มทุนแน่นอน ทั้งนี้ จะสังเกตได้ว่าลูกค้าธนาคารที่เป็นคนไทยและเข้ามาลงทุนในประเทศนี้ ธุรกิจขณะนี้เติบโตอย่างต่อเนื่องและมีกำไรทุกปี
"ฐานลูกค้าของแบงก์กรุงเทพที่เวียดนาม 30%เป็นนักลงทุนไทย 30% เป็นนักลงทุนต่างชาติ เช่น เกาหลี ซึ่งเป็นลูกค้าที่เคยใช้บริการที่แบงก์กรุงเทพมาก่อน อีกกว่า30%เป็นลูกค้าในประเทศเวียดนาม แบงก์กรุงเทพที่เวียดนามไม่ได้ทำธุรกิจรายย่อย ทำเฉพาะรายใหญ่อย่างเดียว ส่วนเงินทุนที่นำมาปล่อยสินเชื่อนั้น มาจากสำนักงานใหญ่เพียง10% ที่เหลือเป็นการระดมทุนในประเทศเวียดนาม"
ซีพีชี้เวียดนามพร้อมกว่าพม่า
เครือซีพี ถือเป็นกลุ่มธุรกิจไทยที่เข้าไปลงทุนเวียดนามในยุคแรก ยังเห็นว่าเวียดนามน่าสนใจในการลงทุน แม้จะมีอุปสรรคด้านกฎหมายและความผันผวนของเศรษฐกิจภายในประเทศ
นายสุขสันต์ เจียมใจสว่างฤกษ์ รองกรรมการผู้จัดการบริหาร บริษัท ซี.พี.เวียดนาม คอร์ปอเรชั่น จำกัด เครือซีพี กล่าวว่าเศรษฐกิจเวียดนามในช่วง 5 ปี ที่ผ่านมา ค่อนข้างผันผวน โดยอัตราเงินเฟ้อของเวียดนามเคยสูงถึง 19.9% ในปี 2551 แต่ลดต่ำลงเหลือ 6.5% ในปี 2552 เพราะรัฐบาลเวียดนามเร่งเข้ามาแก้ปัญหาเศรษฐกิจ รวมทั้งมีการลดค่าเงินหลายครั้งและทำให้ค่าเงินในช่วง 1-2 ปี ที่ผ่านมาค่อนข้างนิ่ง
"ขณะนี้นักธุรกิจต่างชาติสนใจการลงทุนในพม่ามาก หลังจากที่พม่าเปิดประเทศ ซึ่งบริษัท ซี.พี.เวียดนาม คอร์ปอเรชั่น เข้ามาลงทุนในเวียดนามแล้ว 20 ปี มองเห็นว่าปัจจุบันเวียดนามมีความพร้อมด้านการลงทุนมากกว่าพม่า ที่ผ่านมาเวียดนามมีปัญหาเศรษฐกิจ แต่ในภาพรวมแล้วยังน่าลงทุน เพียงแต่มีหลายปัญหาที่รัฐบาลเวียดนามควรแก้ไข เช่น กฎหมายที่มีการปรับเปลี่ยนบ่อย"
นายสุขสันต์เห็นว่าการลงทุนในเวียดนามน่าสนใจมากกว่า เพราะว่าสามารถขยายตลาดไปลาว กัมพูชาและจีนตอนใต้ ที่มีชายแดนติดเวียดนามได้ ดังนั้นธุรกิจไม่จำกัดเฉพาะตลาดในเวียดนามที่มีประชากร 90 ล้านคน
บริษัท ซี.พี.เวียดนามฯ มองเห็นศักยภาพ ดังกล่าว จึงมีมีแผนขยายการผลิตสินค้ากลุ่มอาหารแปรรูปให้มากขึ้น ซึ่งปัจจุบัน การผลิตส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มอาหารสัตว์และการเลี้ยงสัตว์ 80-90% ของกำลังการผลิตทั้งหมด โดยการผลิตอาหารแปรรูปจะทำให้สร้างแบรนด์ของซี.พี.ด้วยและจะทำให้ธุรกิจอยู่ได้อย่างยั่งยืน
ในช่วง 5 ปี ที่ผ่านมา รายได้ของบริษัทขยายตัวเฉลี่ยปีละ 29% และในปีนี้พยายามที่จะบริหารงานให้มีรายได้มากกว่าอัตราเฉลี่ยที่ผ่านมา เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ถือหุ้น
เอสซีจีลงทุนครบทุกกลุ่มธุรกิจ
เช่นเดียวกับเครือเอสซีจี ที่มีแผนขยายการลงทุนในเวียดนามอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น ปัจจุบัน เอสซีจีเข้ามาลงทุนในเวียดนามครบทุกกลุ่มธุรกิจของเครือคือ กระดาษ ปิโตรเคมี ซีเมนต์ วัสดุก่อสร้างและการกระจายสินค้า ซึ่งเอสซีจีเข้าไปร่วมถือหุ้นบริษัทในเวียดนาม 17 บริษัท และมีสินทรัพย์รวม 11,000 ล้านบาท
นายโฉลกพร ผลชีวิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท วีนาคราฟท์ เปเปอร์ จำกัด กล่าวว่าธุรกิจกระดาษเป็นธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดของเอสซีจีในเวียดนาม โดยมีที่ตั้งโรงงานอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมหมีเฟื๊อก จังหวัดบิ่นเยือง โดยในช่วง 5 ปี ที่ผ่านมาความต้องการใช้กระดาษเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 10% ในขณะที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) เวียดนามขยายตัวเฉลี่ยปีละ 7%
ความต้องการใช้กระดาษลูกฟูกสูง เป็นส่วนหนึ่งทำให้เอสซีจีตัดสินใจมาลงทุนในเวียดนาม ซึ่งในปี 2555 มีความต้องการใช้กระดาษลูกฟูก 1 ล้านตัน แต่มีกำลังการผลิตรวม 900,000 ตัน ทำให้เวียดนามยังต้องนำเข้ามาใช้ส่วนหนึ่ง
นายโฉลกพร กล่าวว่า เอสซีจียังไม่มีแผนตั้งโรงงานผลิตกระดาษแห่งที่ 2 ในเวียดนาม โดยต้องการขยายการลงทุนในเวียดนามแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่ความต้องการใช้กระดาษที่อยู่ในระดับสูงทำให้คณะกรรมการเอสซีจีอนุมัติให้บริษัท วีนาคราฟท์ เปเปอร์ลงทุนปรับปรุงเครื่องจักรเพิ่มเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต 600 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้มีกำลังการผลิตปีละ 250,000 ตัน เพิ่มจากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตปีละ 220,000 ตัน และคาดว่าจะดำเนินการเสร็จในกลางปี 2556
เครือไทยเบฟเตรียมผุดห้างระบายสินค้า
ธุรกิจอีกกลุ่มที่เริ่มขยายการลงทุนอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คือ กลุ่มไทยเบฟ โดยมีการลงทุนตั้งแต่การผลิตไปจนถึงการจัดจำหน่าย ซึ่งบริษัท ไทยคอร์ป อินเตอร์เนชั่นแนล เวียดนาม จำกัด เป็นหนึ่งในธุรกิจของกลุ่มไทยเบฟที่เริ่มขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัทเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ 75% และ มงคลกรุ๊ป 25%
นายมงคล บัณฑูรรุ่งโรจน์ รองประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัทไทยคอร์ปฯ กล่าวว่าบริษัทฯทำธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าแบรนด์ไทยในเวียดนาม เช่น ปลากระป๋อง 3 ครัว กระทิงแดง โดยมีแผนจะลงทุนสร้างห้างค้าปลีกในเวียดนามและให้ห้างนี้ขายสินค้าไทย 70% เพื่อเป็นช่องทางในการทำตลาดสินค้าแบรนด์ไทยให้เข้มแข็งขึ้นและช่วยเหลือเอสเอ็มอีให้มีช่องทางในการขายสินค้าในเวียดนาม ซึ่งจะเหมือนกับห้างอิเซตันในไทยที่เน้นขายสินค้าจากญี่ปุ่นเป็นส่วนใหญ่
"ขณะนี้ กำลังศึกษารูปแบบการลงทุนห้าง ดังกล่าวและคาดว่าเร็วที่สุดจะวางแผนเสร็จภายใน 6 เดือน ก็จะรู้ว่าจะมีใครร่วมลงทุนบ้าง โดยการดำเนินธุรกิจจะใช้จุดแข็งด้านเงินทุนของบริษัทเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ กับจุดแข็งด้านการทำตลาดสินค้าในเวียดนามของมงคลกรุ๊ปที่มีประสบการณ์ในเวียดนามมา 19 ปี"
นายมงคลกล่าวว่าบริษัทไทยคอร์ปต้องการให้สินค้าไทยเข้ามาขายในเวียดนามมากขึ้นเพื่อให้มีโอกาสจากประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) มากขึ้น เพราะถ้านำสินค้าไปวางขายที่อื่นจะทำให้ขายได้ช้า และบริษัทไทยคอร์ปยังสนใจลงทุนในธุรกิจร้านสะดวกซื้อด้วย รวมทั้งมองเรื่องการเทคโอเวอร์ธุรกิจในเวียดนามด้วยแต่อยู่ระหว่างการศึกษา
ในช่วง 5 ปี ที่ผ่านมา บริษัทไทยคอร์ปมีรายได้รวม 5,000 ล้านบาท และคาดว่าปีนี้จะมีรายได้ที่ 2,000 ล้านบาท
ปตท.สผ.เตรียมลงทุนเพิ่ม
ด้านบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ซึ่งเข้าไปลงทุนในเวียดนามมานาน มีแผนจะขยายการลงทุนเช่นกัน โดยกำลังเจรจาเข้าไปสำรวจและขุดเจาะในทะเลทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
นายจิรพงศ์ ธราภพ ผู้จัดการอาวุโส โครงการร่วมทุนประเทศเวียดนาม สายงานโครงการต่างประเทศ ปตท.สผ. กล่าวว่าปัจจุบัน ปตท.สผ. พัฒนาและผลิตปิโตรเลียมในเวียดนาม 4 โครงการ แบ่งเป็นระยะการผลิต 2 โครงการ และระยะการพัฒนา 2 โครงการ ซึ่งมีแผนที่จะลงทุนในเวียดนามเพิ่มเติมทั้งต้นน้ำและปลายน้ำ
"ถ้ามีโอกาสให้เข้าไปเจรจาธุรกิจก็พร้อมดำเนินการทันที และมีหน่วยที่ศึกษาข้อมูลแปลงสำรวจต่างๆ ของเวียดนามว่าแปลงไหนที่มีศักยภาพ ซึ่งเวียดนามมีแผนที่จะเปิดให้สำรวจและขุดเจาะปิโตรเลียมเพิ่มมากขึ้นเพื่อให้มีปริมาณเพียงพอกับความต้องการในปัจจุบันวันละ 400,000 บาร์เรล และ ในอีก 3 ปี ข้างหน้าความต้องการจะเพิ่มมากกว่านี้"
นายจิรพงศ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาเวียดนามเปิดให้สำรวจและขุดเจาะในทะเลทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ไปมาก และขณะนี้ ปตท.สผ.กำลังเจรจาเพื่อขอเข้าไปสำรวจและขุดเจาะในทะเลทางด้านภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเชื่อว่า ปตท.สผ.ยังมีโอกาสในเวียดนามเพราะคุ้นเคยกับบริษัทปิโตรเลียมเวียดนามทำให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันเสมอ
พื้นที่ชายฝั่งภาคกลางและภาคเหนือจะมีศักยภาพน้อยกว่าชายฝั่งภาคใต้ แต่รัฐบาลเวียดนามกำลังเชิญชวนให้ผู้ประกอบการเข้าไปลงทุน แต่การลงทุนในเวียดนามจะต้องมีรัฐบาลเวียดนามร่วมถือหุ้นด้วย 40-50 %
--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 500
กกพ.ตั้งเป้าประมูล'ไอพีพี'ปลายปีหน้าเล็งจ้างไพร้ซวอเตอร์เฮาส์ฯร่างทีโออาร์
Source - กรุงเทพธุรกิจ (Th), Tuesday, September 11, 2012
"ปตท.-ราชบุรีฯ-เอ็กโก- ไออาร์พีซี"ลั่นพร้อมแข่งประมูล
กกพ.ตั้งเป้าเปิดประมูลโรงไฟฟ้าไอพีพีรอบใหม่ปลายปี 56 เตรียมจ้างไพร้ซวอเตอร์เฮาส์ฯ ศึกษารายละเอียดพร้อมจัดทำเงื่อนไขทีโออาร์ เหตุเคยเป็นที่ปรึกษาประมูลครั้งที่แล้ว เปิดกว้างเอกชนเลือกสถานที่ก่อสร้าง กำหนดเฉพาะพื้นที่โครงข่ายระบบสายส่งเชื่อมโรงไฟฟ้า
นางพัลลภา เรืองรอง กรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยถึงการเปิดประมูล โรงไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (Independent Power Producers) หรือ IPPs รอบใหม่ ตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าล่าสุด PDP2010 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 3 (2553-2573) ซึ่งผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ว่า กกพ.อยู่ระหว่างขั้นตอนการคัดเลือกบริษัทที่ปรึกษา เพื่อดำเนินการศึกษารายละเอียดและข้อเสนอที่จะให้ผู้ประกอบการไฟฟ้าเอกชนยื่นข้อเสนอประมูล
ทั้งนี้ กกพ.อาจว่าจ้างบริษัท ไพร้ซวอเตอร์เฮาส์ คูเปอร์ส จำกัด (PWC) ซึ่งมีประสบการณ์เป็นที่ปรึกษาการประมูลไอพีพีรอบก่อนหน้านี้ มาทำหน้าที่อีกครั้ง โดยจะใช้เวลาประมาณ 12 เดือนในการศึกษาและจัดทำข้อเสนอ ส่งผลให้การเปิดประมูลไอพีพีรอบใหม่สามารถออกประกาศเชิญชวนผู้ประกอบการเอกชนได้เร็วที่สุดในช่วงปลายปี 2556
อย่างไรก็ตาม แม้การเปิดประมูลไอพีพีจะอยู่ในความสนใจของผู้ประกอบการกิจการไฟฟ้าเอกชนหลายราย โดยต้องการเร่งรัดให้เปิดประมูลโดยเร็ว แต่ กกพ.เห็นว่าเรื่องดังกล่าวควรต้องศึกษาและดำเนินการตามขั้นตอนและกระบวนการที่ถูกต้อง และเห็นว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าในประเทศจากข้อมูลของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) พบว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้นมากนัก
เพราะภาคอุตสาหกรรมโดยเฉพาะอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกยังไม่ฟื้นตัวดีนัก จึงมีเวลาเหลือพอสำหรับการเปิดประมูลไอพีพี รอบใหม่ ซึ่งต้องพิจารณาว่าจะเปิดประมูลอย่างไร เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศในอนาคต
สำหรับแนวทางเบื้องต้นเพื่อความเป็นธรรมในการแข่งขันนั้น การประมูลไอพีพี รอบใหม่จะไม่มีการกำหนดพื้นที่ เพียงแต่จะกำหนดพื้นที่โครงข่ายของระบบสายส่งที่จะเชื่อมโยงถึงโรงไฟฟ้า เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถเลือกสถานที่ดำเนินการโรงไฟฟ้าของตัวเองได้อย่างเหมาะสม และการเปิดประมูล โรงไฟฟ้าไอพีพีรอบใหม่ จะเป็นโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง จำนวน 6 โรง ขนาดโรงละ 900 เมกะวัตต์ รวม 5,400 เมกะวัตต์ โดยจะทยอยเข้าสู่ระบบหลังปี 2563
แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ขณะนี้ผู้ประกอบกิจการไฟฟ้าหลายรายได้ประกาศเตรียมความพร้อมเข้าร่วมประมูลไอพีพีครั้งนี้ เช่น บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรี โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) บริษัท ผลิตไฟฟ้าจำกัด (มหาชน) หรือเอ็กโก กรุ๊ป กลุ่ม ปตท.จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีการควบรวมกิจการของบริษัท ผลิตไฟฟ้าอิสระ (ประเทศไทย) จำกัด หรือไอพีที ในเครือบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) กับบริษัท พีทีที ยูทิลิตี้ จำกัด (พีทีทียูที) ในเครือบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) เข้าเป็นบริษัทเดียวกัน เพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าประมูลไอพีพี
ส่วนบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) และกลุ่มบริษัทกัลฟ์ เจพี ได้ส่งพนักงานลงพื้นที่เพื่อเตรียมความพร้อมด้านมวลชนสัมพันธ์แล้ว โดยพื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็นภาคตะวันออก เพราะอยู่ใกล้ระบบสายส่งและแนวท่อก๊าซธรรมชาติ
Source - กรุงเทพธุรกิจ (Th), Tuesday, September 11, 2012
"ปตท.-ราชบุรีฯ-เอ็กโก- ไออาร์พีซี"ลั่นพร้อมแข่งประมูล
กกพ.ตั้งเป้าเปิดประมูลโรงไฟฟ้าไอพีพีรอบใหม่ปลายปี 56 เตรียมจ้างไพร้ซวอเตอร์เฮาส์ฯ ศึกษารายละเอียดพร้อมจัดทำเงื่อนไขทีโออาร์ เหตุเคยเป็นที่ปรึกษาประมูลครั้งที่แล้ว เปิดกว้างเอกชนเลือกสถานที่ก่อสร้าง กำหนดเฉพาะพื้นที่โครงข่ายระบบสายส่งเชื่อมโรงไฟฟ้า
นางพัลลภา เรืองรอง กรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยถึงการเปิดประมูล โรงไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (Independent Power Producers) หรือ IPPs รอบใหม่ ตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าล่าสุด PDP2010 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 3 (2553-2573) ซึ่งผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ว่า กกพ.อยู่ระหว่างขั้นตอนการคัดเลือกบริษัทที่ปรึกษา เพื่อดำเนินการศึกษารายละเอียดและข้อเสนอที่จะให้ผู้ประกอบการไฟฟ้าเอกชนยื่นข้อเสนอประมูล
ทั้งนี้ กกพ.อาจว่าจ้างบริษัท ไพร้ซวอเตอร์เฮาส์ คูเปอร์ส จำกัด (PWC) ซึ่งมีประสบการณ์เป็นที่ปรึกษาการประมูลไอพีพีรอบก่อนหน้านี้ มาทำหน้าที่อีกครั้ง โดยจะใช้เวลาประมาณ 12 เดือนในการศึกษาและจัดทำข้อเสนอ ส่งผลให้การเปิดประมูลไอพีพีรอบใหม่สามารถออกประกาศเชิญชวนผู้ประกอบการเอกชนได้เร็วที่สุดในช่วงปลายปี 2556
อย่างไรก็ตาม แม้การเปิดประมูลไอพีพีจะอยู่ในความสนใจของผู้ประกอบการกิจการไฟฟ้าเอกชนหลายราย โดยต้องการเร่งรัดให้เปิดประมูลโดยเร็ว แต่ กกพ.เห็นว่าเรื่องดังกล่าวควรต้องศึกษาและดำเนินการตามขั้นตอนและกระบวนการที่ถูกต้อง และเห็นว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าในประเทศจากข้อมูลของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) พบว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้นมากนัก
เพราะภาคอุตสาหกรรมโดยเฉพาะอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกยังไม่ฟื้นตัวดีนัก จึงมีเวลาเหลือพอสำหรับการเปิดประมูลไอพีพี รอบใหม่ ซึ่งต้องพิจารณาว่าจะเปิดประมูลอย่างไร เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศในอนาคต
สำหรับแนวทางเบื้องต้นเพื่อความเป็นธรรมในการแข่งขันนั้น การประมูลไอพีพี รอบใหม่จะไม่มีการกำหนดพื้นที่ เพียงแต่จะกำหนดพื้นที่โครงข่ายของระบบสายส่งที่จะเชื่อมโยงถึงโรงไฟฟ้า เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถเลือกสถานที่ดำเนินการโรงไฟฟ้าของตัวเองได้อย่างเหมาะสม และการเปิดประมูล โรงไฟฟ้าไอพีพีรอบใหม่ จะเป็นโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง จำนวน 6 โรง ขนาดโรงละ 900 เมกะวัตต์ รวม 5,400 เมกะวัตต์ โดยจะทยอยเข้าสู่ระบบหลังปี 2563
แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ขณะนี้ผู้ประกอบกิจการไฟฟ้าหลายรายได้ประกาศเตรียมความพร้อมเข้าร่วมประมูลไอพีพีครั้งนี้ เช่น บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรี โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) บริษัท ผลิตไฟฟ้าจำกัด (มหาชน) หรือเอ็กโก กรุ๊ป กลุ่ม ปตท.จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีการควบรวมกิจการของบริษัท ผลิตไฟฟ้าอิสระ (ประเทศไทย) จำกัด หรือไอพีที ในเครือบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) กับบริษัท พีทีที ยูทิลิตี้ จำกัด (พีทีทียูที) ในเครือบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) เข้าเป็นบริษัทเดียวกัน เพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าประมูลไอพีพี
ส่วนบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) และกลุ่มบริษัทกัลฟ์ เจพี ได้ส่งพนักงานลงพื้นที่เพื่อเตรียมความพร้อมด้านมวลชนสัมพันธ์แล้ว โดยพื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็นภาคตะวันออก เพราะอยู่ใกล้ระบบสายส่งและแนวท่อก๊าซธรรมชาติ
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 501
เล็งระดมทุนสร้างท่อส่งน้ำมัน 1.5 หมื่นล. [ โพสต์ทูเดย์, 11 ก.ย. 55 ]
กรมธุรกิจพลังงานเล็งตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานรับโครงการท่อขนส่งน้ำมันอีสาน-เหนือ 1.5 หมื่น
ล้านบาท คาดสรุปเดือน ก.ย.นี้
นายสมนึก บำรุงสาลี รองอธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน เปิดเผยว่า สถาบันปิโตรเลียมได้ศึกษาแนวทาง
การลงทุนโครงการท่อขนส่งน้ำมันไปยังภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) มูลค่า 1.52 หมื่น
ล้านบาท ไว้หลายกรณี โดยแนวทางเป็นไปได้คือการตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อระดมทุนจากนักลงทุน
และประชาชนในการลงทุนโครงการ
--จบ--
กรมธุรกิจพลังงานเล็งตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานรับโครงการท่อขนส่งน้ำมันอีสาน-เหนือ 1.5 หมื่น
ล้านบาท คาดสรุปเดือน ก.ย.นี้
นายสมนึก บำรุงสาลี รองอธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน เปิดเผยว่า สถาบันปิโตรเลียมได้ศึกษาแนวทาง
การลงทุนโครงการท่อขนส่งน้ำมันไปยังภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) มูลค่า 1.52 หมื่น
ล้านบาท ไว้หลายกรณี โดยแนวทางเป็นไปได้คือการตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อระดมทุนจากนักลงทุน
และประชาชนในการลงทุนโครงการ
--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 502
DEMCO ปรับโครงสร้างธุรกิจโอนงานไม่เกี่ยวข้องด้านพลังงานให้บริษัทย่อย [ ทันหุ้น, 11 กันยายน 2555 ]
บมจ.เด็มโก้ (DEMCO) แจ้งว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ ครั้งที่ 5/2555 เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2555 มีมติให้โอนกิจการส่วนที่เกี่ยวกับงานขาย ประกอบด้วย การผลิตและจำหน่ายเสาโครงเหล็ก ซึ่งได้รับการส่งเสริมการลงทุน การจำหน่ายอุปกรณ์สำหรับระบบจำหน่าย ระบบสายส่งและสถานีไฟฟ้าย่อย และการจำหน่ายวัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้าง ให้แก่ บริษัท เด็มโก้ เพาเวอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้น 99.99% และให้เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติต่อไป
นอกจากนี้ คณะกรรมการยังได้มีมติอนุมัติให้บริษัทจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนในบริษัท เด็มโก้ เพาเวอร์ จำกัด จำนวน 129,000,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 1บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 129,000,000 บาท เพื่อใช้ในการรับโอนกิจการดังกล่าว และ อนุมัติให้ลดทุนจดทะเบียนของบริษัท จำนวน 363,538,157 บาท โดยตัดหุ้นสามัญที่ยังไม่ได้จำหน่าย จำนวน 363,538,157 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 1 บาท
คณะกรรมการฯ มีมติให้เรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2555 ในวันที่ 17 ตุลาคม 2555 โดยกำหนดให้วันที่ 25 กันยายน 2555 เป็นวันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิเข้าร่วมประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2555 และให้รวบรวมรายชื่อตามมาตรา 225 ของ พรบ.หลักทรัพย์ โดยวิธีปิดสมุดทะเบียน ในวันที่ 26 กันยายน 2555
อนึ่ง การโอนกิจการบางส่วนให้แก่กันเป็นการปรับโครงสร้างการดำเนินธุรกิจภายในกลุ่มบริษัทฯ จึงไม่มีผลกระทบที่มีนัยสำคัญต่อสินทรัพย์รวมสุทธิและการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม กิจการผลิตเสาโครงเหล็กเป็นกิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนซึ่งการโอนและรับโอนกิจการจึงต้องได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นของทั้งสองบริษัท
ทั้งนี้ การปรับโครงสร้างธุรกิจของกลุ่มบริษัทให้ชัดเจน โดยแยกธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับพลังงานไปยังบริษัทย่อย เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและประสิทธิภาพในการบริหารจัดการของลักษณะธุรกิจที่แตกต่างกัน และเพื่อเพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจและศักยภาพในการแข่งขันของบริษัทเด็มโก้ พาวเวอร์ จำกัดในอนาคต
บมจ.เด็มโก้ (DEMCO) แจ้งว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ ครั้งที่ 5/2555 เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2555 มีมติให้โอนกิจการส่วนที่เกี่ยวกับงานขาย ประกอบด้วย การผลิตและจำหน่ายเสาโครงเหล็ก ซึ่งได้รับการส่งเสริมการลงทุน การจำหน่ายอุปกรณ์สำหรับระบบจำหน่าย ระบบสายส่งและสถานีไฟฟ้าย่อย และการจำหน่ายวัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้าง ให้แก่ บริษัท เด็มโก้ เพาเวอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้น 99.99% และให้เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติต่อไป
นอกจากนี้ คณะกรรมการยังได้มีมติอนุมัติให้บริษัทจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนในบริษัท เด็มโก้ เพาเวอร์ จำกัด จำนวน 129,000,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 1บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 129,000,000 บาท เพื่อใช้ในการรับโอนกิจการดังกล่าว และ อนุมัติให้ลดทุนจดทะเบียนของบริษัท จำนวน 363,538,157 บาท โดยตัดหุ้นสามัญที่ยังไม่ได้จำหน่าย จำนวน 363,538,157 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 1 บาท
คณะกรรมการฯ มีมติให้เรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2555 ในวันที่ 17 ตุลาคม 2555 โดยกำหนดให้วันที่ 25 กันยายน 2555 เป็นวันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิเข้าร่วมประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2555 และให้รวบรวมรายชื่อตามมาตรา 225 ของ พรบ.หลักทรัพย์ โดยวิธีปิดสมุดทะเบียน ในวันที่ 26 กันยายน 2555
อนึ่ง การโอนกิจการบางส่วนให้แก่กันเป็นการปรับโครงสร้างการดำเนินธุรกิจภายในกลุ่มบริษัทฯ จึงไม่มีผลกระทบที่มีนัยสำคัญต่อสินทรัพย์รวมสุทธิและการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม กิจการผลิตเสาโครงเหล็กเป็นกิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนซึ่งการโอนและรับโอนกิจการจึงต้องได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นของทั้งสองบริษัท
ทั้งนี้ การปรับโครงสร้างธุรกิจของกลุ่มบริษัทให้ชัดเจน โดยแยกธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับพลังงานไปยังบริษัทย่อย เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและประสิทธิภาพในการบริหารจัดการของลักษณะธุรกิจที่แตกต่างกัน และเพื่อเพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจและศักยภาพในการแข่งขันของบริษัทเด็มโก้ พาวเวอร์ จำกัดในอนาคต
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 503
PTTEP คาดประชุมบอร์ดปลายก.ย.พิจารณาแผนเพิ่มทุน,ขายหุ้นก่อนสิ้นปีนี้ [ ทันหุ้น, 11 กันยายน 2555 ]
นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ของ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม คาดประชุมคณะกรรมการบริษัทในปลายเดือน ก.ย.นี้ เพื่อพิจารณาแผนการเพิ่มทุน ก่อนจะนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมผู้ถือหุ้นในปลายเดือน ต.ค.นี้
หลังจากนั้น คาดว่าน่าจะสามารถเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนได้ก่อนวันที่ 20 ธ.ค.55
ก่อนหน้านี้ PTTEP ได้ยกเลิกการประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 24 ส.ค.ออกไป ซึ่งเดิม จะมีการพิจารณาแผนเพิ่มทุน เพื่อระดมทุนราว 9.8 หมื่นล้านบาท เพื่อทำความเข้าใจกับ ผู้ถือหุ้นเกี่ยวกับแผนเพิ่มทุนเป็นเวลาประมาณ 1 เดือน
หุ้น PTTEP ปิดตลาดเมื่อวานนี้ อยู่ที่ 150 บาท
นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ของ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม คาดประชุมคณะกรรมการบริษัทในปลายเดือน ก.ย.นี้ เพื่อพิจารณาแผนการเพิ่มทุน ก่อนจะนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมผู้ถือหุ้นในปลายเดือน ต.ค.นี้
หลังจากนั้น คาดว่าน่าจะสามารถเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนได้ก่อนวันที่ 20 ธ.ค.55
ก่อนหน้านี้ PTTEP ได้ยกเลิกการประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 24 ส.ค.ออกไป ซึ่งเดิม จะมีการพิจารณาแผนเพิ่มทุน เพื่อระดมทุนราว 9.8 หมื่นล้านบาท เพื่อทำความเข้าใจกับ ผู้ถือหุ้นเกี่ยวกับแผนเพิ่มทุนเป็นเวลาประมาณ 1 เดือน
หุ้น PTTEP ปิดตลาดเมื่อวานนี้ อยู่ที่ 150 บาท
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 504
**HILITE:IRPC พุ่ง 4.57% โบรกฯ มองโอกาสสูงควบรวม PTTGC-มีที่ดินเปล่าในมือมาก
อินโฟเควสท์ (11 ก.ย. 55)--หุ้น IRPC ราคาพุ่งขึ้น 4.57% มาอยู่ที่ 4.12 บาท เพิ่มขึ้น 0.18 บาท มูลค่าซื้อขาย 533.10 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.33 น. โดยเปิดตลาดที่ 3.94 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 4.14 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 3.92 บาท
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย)ระบุในบทวิเคราะห์ฯแนะ"ซื้อลงทุน"หุ้น บมจ.ไออาร์พีซี(IRPC)ให้ราคาพื้นฐาน 5.30 บาท ณ ราคาหุ้นปัจจุบันดูเหมือนว่าจะมี Valuation สูง แต่เกิดจากการที่อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ยังไม่มาก แต่มีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่องในระยะยาว เพราะที่มีอยู่เป็นสินทรัพย์ที่ปรับปรุงและพัฒนาให้มีมูลค่าเพิ่มได้ นอกจากนั้นยังมี Hidden value จากที่ดินเปล่าจำนวนมากด้วย ประเมินราคาพื้นฐานที่อิงกับ P/BV ปี 56 เท่ากับ 1.3 เท่า ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 8 ปี
ปัจจัยกระตุ้นเป็นเป้าหมายของการควบรวมกิจการและขายที่ดินเปล่า มองว่ามีโอกาสสูงที่จะมีการควบรวมกิจการระหว่าง IRPC กับ PTTGC ซึ่งจะเป็นการ Unlock hidden value ของบริษัท และก่อให้เกิด Synergies มากขึ้น ทั้งในด้านการลดต้นทุน, การร่วมกันลงทุนในโครงการปลายน้ำของโพลีโพพีลีน(PP)ที่ IRPC กำลังศึกษาการลงทุนใน PP และพาราไซลีน (PX)เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในห่วงโซ่การผลิต(Value Chains)ประเมินเงินลงทุนไว้ที่ 500-700 ล้านUS$ เมื่อพิจารณาจากฐานะการเงินที่ดี โดยสิ้นปี 54 มีสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนต่ำเพียง 0.4 เท่า คาดว่าบริษัทจะสามารถจัดหาเงินมาลงทุนได้ทั้งจากกระแสเงินสดและการกู้ยืม
นอกจากนั้นบริษัทยังมีที่ดินเปล่าประมาณ 6 พันไร่ที่ จ.ระยอง ซึ่งความต้องการซื้อที่ดินในแถบภาคตะวันออกสูงขึ้นมากหลังจากเกิดน้ำท่วมรุนแรงเมื่อปี 54 หากขายที่ดินเปล่าก็จะบันทึกกำไรก้อนโต เพราะราคาที่ดินที่บันทึกไว้ในงบดุลต่ำกว่าราคาตลาดมาก--จบ--
--อินโฟเควสท์ โดย พรเพ็ญ ดวงเฉลิมวงศ์/ศศิธร โทร.02-2535000 ต่อ 345 อีเมล์: [email protected]--
อินโฟเควสท์ (11 ก.ย. 55)--หุ้น IRPC ราคาพุ่งขึ้น 4.57% มาอยู่ที่ 4.12 บาท เพิ่มขึ้น 0.18 บาท มูลค่าซื้อขาย 533.10 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.33 น. โดยเปิดตลาดที่ 3.94 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 4.14 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 3.92 บาท
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย)ระบุในบทวิเคราะห์ฯแนะ"ซื้อลงทุน"หุ้น บมจ.ไออาร์พีซี(IRPC)ให้ราคาพื้นฐาน 5.30 บาท ณ ราคาหุ้นปัจจุบันดูเหมือนว่าจะมี Valuation สูง แต่เกิดจากการที่อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ยังไม่มาก แต่มีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่องในระยะยาว เพราะที่มีอยู่เป็นสินทรัพย์ที่ปรับปรุงและพัฒนาให้มีมูลค่าเพิ่มได้ นอกจากนั้นยังมี Hidden value จากที่ดินเปล่าจำนวนมากด้วย ประเมินราคาพื้นฐานที่อิงกับ P/BV ปี 56 เท่ากับ 1.3 เท่า ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 8 ปี
ปัจจัยกระตุ้นเป็นเป้าหมายของการควบรวมกิจการและขายที่ดินเปล่า มองว่ามีโอกาสสูงที่จะมีการควบรวมกิจการระหว่าง IRPC กับ PTTGC ซึ่งจะเป็นการ Unlock hidden value ของบริษัท และก่อให้เกิด Synergies มากขึ้น ทั้งในด้านการลดต้นทุน, การร่วมกันลงทุนในโครงการปลายน้ำของโพลีโพพีลีน(PP)ที่ IRPC กำลังศึกษาการลงทุนใน PP และพาราไซลีน (PX)เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในห่วงโซ่การผลิต(Value Chains)ประเมินเงินลงทุนไว้ที่ 500-700 ล้านUS$ เมื่อพิจารณาจากฐานะการเงินที่ดี โดยสิ้นปี 54 มีสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนต่ำเพียง 0.4 เท่า คาดว่าบริษัทจะสามารถจัดหาเงินมาลงทุนได้ทั้งจากกระแสเงินสดและการกู้ยืม
นอกจากนั้นบริษัทยังมีที่ดินเปล่าประมาณ 6 พันไร่ที่ จ.ระยอง ซึ่งความต้องการซื้อที่ดินในแถบภาคตะวันออกสูงขึ้นมากหลังจากเกิดน้ำท่วมรุนแรงเมื่อปี 54 หากขายที่ดินเปล่าก็จะบันทึกกำไรก้อนโต เพราะราคาที่ดินที่บันทึกไว้ในงบดุลต่ำกว่าราคาตลาดมาก--จบ--
--อินโฟเควสท์ โดย พรเพ็ญ ดวงเฉลิมวงศ์/ศศิธร โทร.02-2535000 ต่อ 345 อีเมล์: [email protected]--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 505
สวทช.ชวนนักลงทุนพบนักวิจัยติดปีกเศรษฐกิจไทยสู่อาเซียนติดปีกเศรษฐกิจไทยสู่อาเซียน
Source - ข่าวสด (Th), Wednesday, September 12, 2012
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จะเปิดตัวงาน NSTDA Investors’ Day ประจำปี 2555 วันพฤหัสบดีที่ 20 ก.ย. เวลา 08.00-16.30 น. ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ ภายใต้แนวคิด "นักวิจัยคิด นักธุรกิจลงทุน หนุนเศรษฐกิจไทยสู่ AEC"
ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทยา ศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่าเราต้องเร่งสร้างผลงานวิจัยเพื่อนำออกสู่อุตสาหกรรมเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันกับชาติอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เราคิดขึ้นมาได้ หรือจะเป็นการต่อยอดงานวิจัยที่มีอยู่แล้ว แต่ยังไม่ลงตัว หรือไม่ตรงกับความต้องการของตลาด หรือไม่สามารถผลิตออกสู่เชิงพาณิชย์ได้ เราก็สามารถเอามาต่อยอดให้ทันสมัย และถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ภาคอุตสาหกรรมได้ โดยให้ตอบรับกับกระแสสังคม
สวทช.จัดงานต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ในปีนี้มีเจ้าภาพร่วมประกอบด้วย สมาคมไทยผู้ประกอบ ธุรกิจเงินร่วมลงทุน สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) มหา วิทยาลัยขอนแก่น (มข.) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุรนารี (มทส.) มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลัก ทรัพย์ (กลต.)
ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า จุดเด่นภายในงานได้แก่ การเจรจาธุรกิจแบบ One on One Matching เพื่อให้เกิดการลงทุนจริงในเชิงพาณิชย์ และกิจกรรมนำเสนอผลงาน วิจัยและเทคโนโลยีต่อนักลงทุนในช่วง Investment Pitching โดยเฉพาะการนำเสนอ 5 ผลงานเด่นจาก สวทช. ที่มีศักยภาพพร้อมสำหรับ การลงทุนในปีนี้ซึ่งได้แก่ แผ่นแปะรักษาสิว (Q ACNES) ตัวเร่งปฏิกิริยาของแข็งจากเปลือกไข่เพื่อการผลิตไบโอดีเซล (Eco--Catal) เครื่องมือตรวจวินิจฉัยไส้เดือนฝอย (F4-KIT) (From Farm to Fine Fork KIT) ชุดทดสอบออกซิเจน ละลายน้ำแบบพกพา (DO-DEE) เครื่องวัด และวิเคราะห์ฝุ่นละอองขนาดเล็กในอากาศ (DustDETEC)
สำหรับผลงานที่น่าสนใจจากหน่วยงานพันธมิตรอื่นๆ ได้แก่ ระบบผลิตก๊าซชีวภาพจากเศษอาหาร เทคโนโลยีการผลิตโลหะ กึ่งของแข็งด้วยการปล่อยฟองแก๊ส คลังแอนติบอดีมนุษย์ และครีมนวดสลายเซลลูไลต์ เป็นต้น
ภายในงานยังมีบรรยายพิเศษเรื่องความสำคัญของตลาดทุนกับการขับเคลื่อนธุรกิจเทคโนโลยีของไทย และ 10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามองสำหรับธุรกิจ รวมทั้งการเสวนาให้ความรู้ในหัวข้อธุรกิจมั่งคั่งด้วยเทคโนโลยี รับมือเปิดเสรีทางการค้าและนักวิจัยคิด นักธุรกิจลงทุน หนุนเศรษฐกิจไทยสู่ AEC
--จบ--
Source - ข่าวสด (Th), Wednesday, September 12, 2012
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จะเปิดตัวงาน NSTDA Investors’ Day ประจำปี 2555 วันพฤหัสบดีที่ 20 ก.ย. เวลา 08.00-16.30 น. ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ ภายใต้แนวคิด "นักวิจัยคิด นักธุรกิจลงทุน หนุนเศรษฐกิจไทยสู่ AEC"
ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทยา ศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่าเราต้องเร่งสร้างผลงานวิจัยเพื่อนำออกสู่อุตสาหกรรมเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันกับชาติอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เราคิดขึ้นมาได้ หรือจะเป็นการต่อยอดงานวิจัยที่มีอยู่แล้ว แต่ยังไม่ลงตัว หรือไม่ตรงกับความต้องการของตลาด หรือไม่สามารถผลิตออกสู่เชิงพาณิชย์ได้ เราก็สามารถเอามาต่อยอดให้ทันสมัย และถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ภาคอุตสาหกรรมได้ โดยให้ตอบรับกับกระแสสังคม
สวทช.จัดงานต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ในปีนี้มีเจ้าภาพร่วมประกอบด้วย สมาคมไทยผู้ประกอบ ธุรกิจเงินร่วมลงทุน สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) มหา วิทยาลัยขอนแก่น (มข.) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุรนารี (มทส.) มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลัก ทรัพย์ (กลต.)
ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า จุดเด่นภายในงานได้แก่ การเจรจาธุรกิจแบบ One on One Matching เพื่อให้เกิดการลงทุนจริงในเชิงพาณิชย์ และกิจกรรมนำเสนอผลงาน วิจัยและเทคโนโลยีต่อนักลงทุนในช่วง Investment Pitching โดยเฉพาะการนำเสนอ 5 ผลงานเด่นจาก สวทช. ที่มีศักยภาพพร้อมสำหรับ การลงทุนในปีนี้ซึ่งได้แก่ แผ่นแปะรักษาสิว (Q ACNES) ตัวเร่งปฏิกิริยาของแข็งจากเปลือกไข่เพื่อการผลิตไบโอดีเซล (Eco--Catal) เครื่องมือตรวจวินิจฉัยไส้เดือนฝอย (F4-KIT) (From Farm to Fine Fork KIT) ชุดทดสอบออกซิเจน ละลายน้ำแบบพกพา (DO-DEE) เครื่องวัด และวิเคราะห์ฝุ่นละอองขนาดเล็กในอากาศ (DustDETEC)
สำหรับผลงานที่น่าสนใจจากหน่วยงานพันธมิตรอื่นๆ ได้แก่ ระบบผลิตก๊าซชีวภาพจากเศษอาหาร เทคโนโลยีการผลิตโลหะ กึ่งของแข็งด้วยการปล่อยฟองแก๊ส คลังแอนติบอดีมนุษย์ และครีมนวดสลายเซลลูไลต์ เป็นต้น
ภายในงานยังมีบรรยายพิเศษเรื่องความสำคัญของตลาดทุนกับการขับเคลื่อนธุรกิจเทคโนโลยีของไทย และ 10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามองสำหรับธุรกิจ รวมทั้งการเสวนาให้ความรู้ในหัวข้อธุรกิจมั่งคั่งด้วยเทคโนโลยี รับมือเปิดเสรีทางการค้าและนักวิจัยคิด นักธุรกิจลงทุน หนุนเศรษฐกิจไทยสู่ AEC
--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 506
PTTEPยันเพิ่มทุนฉลุย
Source - ข่าวหุ้น (Th), Wednesday, September 12, 2012
นักลงทุนนอกไม่ติดใจ
PTTEP เผยเรียกประชุมผู้ถือหุ้นปลายเดือนต.ค.นี้ วาระเพิ่มทุน 650 ล้านหุ้น หวังเสนอขายก่อนวันที่ 20 ธ.ค.55 ได้เงินระดมทุนราว 9.8 หมื่นล้านบาท เดินสายชี้แจงนักลงทุนต่างชาติสร้างความเชื่อมั่น แย้มเพิ่มทุนเสร็จดันรายได้โตก้าวกระโดด
นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าจะเรียกประชุมคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) เพื่อพิจารณาผลการทบทวนรายละเอียดของแผนเพิ่มทุนจดทะเบียนในช่วงปลายเดือนก.ย.นี้ จากนั้นในช่วงปลายเดือนต.ค.น่าจะสามารถจัดการประชุมผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติแผนเพิ่มทุนได้ เพื่อที่บริษัทจะได้เสนอขายหุ้นเพิ่มทุนก่อนวันที่ 20 ธ.ค.55
ทั้งนี้ ในช่วงนี้อยู่ระหว่างการเดินทางเพื่อชี้แจงกับนักลงทุนต่างประเทศ อาทิ สหรัฐฯ และยุโรป เพื่อสร้างความมั่นใจเรื่องแผนการเพิ่มทุน และโครงสร้างการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุน จากก่อนหน้านี้ที่นักลงทุนไม่เข้าใจ ทำให้การเพิ่มทุนล่าช้าออกไป ซึ่งบริษัทยังไม่ได้รับผลกระทบจากการเพิ่มทุนล่าช้า เพียงอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) จะอยู่ที่ 0.7 เท่านานขึ้น และหลังการเพิ่มทุนจะลดลงมาที่ 0.3-0.4 เท่า โดยบริษัทจัดอันดับเครดิตเข้าใจประเด็นนี้แล้ว
ขณะที่การเพิ่มทุนจะช่วยทำให้บริษัทเติบโตแบบก้าวกระโดด จากในช่วง 14 ปีที่ผ่านมา บริษัทมีปริมาณสำรองเติบโตขึ้น และหลังการเข้าซื้อกิจการ Cove Energy หากสามารถทำสัญญาซื้อขายก๊าซ LNG จากแหล่งในโมซัมบิก จะทำให้บริษัทสามารถบันทึกเป็นปริมาณสำรองเพิ่มขึ้นได้อีก ซึ่งบริษัทจะเร่งทำการตลาดภายในปีนี้และปีหน้า
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ศึกษาแผนการเงินเพื่อรองรับการขยายธุรกิจแบบก้าวกระโดดในการเพิ่มกำลังการผลิตตามเป้าหมาย 900,000 บาร์เรลต่อวันในปี 2563 และได้ข้อสรุปว่า เพื่อให้โครงสร้างเงินทุนมีความเข้มแข็ง บริษัทควรเพิ่มทุนประมาณ 98,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการสำรวจ พัฒนา รวมทั้งการผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ และขยายการลงทุนไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลกในการหาแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ เพื่อเป็นการตอบสนองต่อการเพิ่มขึ้นของความต้องการใช้พลังงานของประเทศไทย
ในการกำหนดจำนวนหุ้นสุดท้ายในการเสนอขาย บริษัทพิจารณาจากจำนวนเงินทุนที่ต้องการและราคาเสนอขายสุดท้าย ดังนั้น จำนวนหุ้นเพิ่มทุนที่บริษัทต้องออกเพิ่มอาจไม่ถึงจำนวน 650 ล้านหุ้น แต่จะเป็นจำนวนที่ทำให้บริษัทได้รับเงินจำนวนประมาณ 98,000 ล้านบาท ซึ่งขึ้นกับราคาเสนอขายหุ้นที่จะได้มีการกำหนดต่อไป
"เงินทุนที่จะได้รับจากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งและความคล่องตัวทางการเงิน ทำให้บริษัทมีความสามารถในการลงทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว ให้สามารถบรรลุเป้าหมายที่จะเป็นบริษัทสำรวจและผลิตปิโตรเลียมชั้นนำของภูมิภาคเอเชีย ที่มุ่งมั่นสร้างมูลค่าเพิ่มและเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมีมาตรฐานการดำเนินงานที่เป็นเลิศ ลงทุนตามแผนยุทธศาสตร์ และคล่องตัวในการเปลี่ยนแปลง" นายเทวินทร์ กล่าว
ทั้งนี้ จากแผนการผลิตของบริษัทซึ่งมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในระยะ 2-3 ปีนี้ ทำให้การเพิ่มทุนครั้งนี้เป็นเวลาที่เหมาะสม เพราะจะสามารถรักษาผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นในระยะสั้นและเสริมสร้างการเติบโตได้ในระยะยาว
โดยก่อนหน้านี้ที่ประชุมคณะกรรมการมีมติอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนและจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 650 ล้านหุ้น ซึ่งบริษัทจะจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนเสนอขายให้แก่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT จำนวนไม่เกิน 403,395,000 หุ้น ในราคาเสนอขายที่ได้จากกระบวนการสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์จากนักลงทุนสถาบัน (Book Building) และจำนวนไม่เกิน 214,443,000 หุ้น ให้แก่ประชาชนทั่วไป ในราคาเสนอขายที่ได้จากกระบวนการ Book Building
รวมทั้งจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจานวนไม่เกิน 32,162,000 หุ้น เสนอขายให้แก่ผู้จัดหาหุ้นส่วนเกิน (over-allotment agent) ในราคาเสนอขายที่ได้จากกระบวนการ Book Building โดยผู้จัดหาหุ้นส่วนเกินได้รับสิทธิที่จะซื้อหุ้นเพิ่มเติมจากบริษัทเพื่อประโยชน์ในการรักษาระดับราคาของหุ้นที่เสนอขาย (Stabilization) ซึ่งผู้จัดหาหุ้นส่วนเกิน (over-allotment agent) สามารถใช้สิทธิในการซื้อหุ้นเพิ่มเติมดังกล่าวจากบริษัทได้ภายใน 30 วันนับแต่วันถัดจากวันปิดการเสนอขายหุ้นทั้งหมด
บริษัทจะลดทุนจดทะเบียนของบริษัทจาก 3,322,000,000 บาท เป็น 3,319,985,400 บาท โดยวิธีการตัดหุ้นจดทะเบียนที่ยังไม่ได้นำออกจำหน่าย 2,014,600 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท จากนั้นจึงเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัท 3,319,985,400 บาท เป็น 3,969,985,400 บาท โดยการออกหุ้นสามัญใหม่จำนวน 650,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท
--จบ--
Source - ข่าวหุ้น (Th), Wednesday, September 12, 2012
นักลงทุนนอกไม่ติดใจ
PTTEP เผยเรียกประชุมผู้ถือหุ้นปลายเดือนต.ค.นี้ วาระเพิ่มทุน 650 ล้านหุ้น หวังเสนอขายก่อนวันที่ 20 ธ.ค.55 ได้เงินระดมทุนราว 9.8 หมื่นล้านบาท เดินสายชี้แจงนักลงทุนต่างชาติสร้างความเชื่อมั่น แย้มเพิ่มทุนเสร็จดันรายได้โตก้าวกระโดด
นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าจะเรียกประชุมคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) เพื่อพิจารณาผลการทบทวนรายละเอียดของแผนเพิ่มทุนจดทะเบียนในช่วงปลายเดือนก.ย.นี้ จากนั้นในช่วงปลายเดือนต.ค.น่าจะสามารถจัดการประชุมผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติแผนเพิ่มทุนได้ เพื่อที่บริษัทจะได้เสนอขายหุ้นเพิ่มทุนก่อนวันที่ 20 ธ.ค.55
ทั้งนี้ ในช่วงนี้อยู่ระหว่างการเดินทางเพื่อชี้แจงกับนักลงทุนต่างประเทศ อาทิ สหรัฐฯ และยุโรป เพื่อสร้างความมั่นใจเรื่องแผนการเพิ่มทุน และโครงสร้างการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุน จากก่อนหน้านี้ที่นักลงทุนไม่เข้าใจ ทำให้การเพิ่มทุนล่าช้าออกไป ซึ่งบริษัทยังไม่ได้รับผลกระทบจากการเพิ่มทุนล่าช้า เพียงอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) จะอยู่ที่ 0.7 เท่านานขึ้น และหลังการเพิ่มทุนจะลดลงมาที่ 0.3-0.4 เท่า โดยบริษัทจัดอันดับเครดิตเข้าใจประเด็นนี้แล้ว
ขณะที่การเพิ่มทุนจะช่วยทำให้บริษัทเติบโตแบบก้าวกระโดด จากในช่วง 14 ปีที่ผ่านมา บริษัทมีปริมาณสำรองเติบโตขึ้น และหลังการเข้าซื้อกิจการ Cove Energy หากสามารถทำสัญญาซื้อขายก๊าซ LNG จากแหล่งในโมซัมบิก จะทำให้บริษัทสามารถบันทึกเป็นปริมาณสำรองเพิ่มขึ้นได้อีก ซึ่งบริษัทจะเร่งทำการตลาดภายในปีนี้และปีหน้า
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ศึกษาแผนการเงินเพื่อรองรับการขยายธุรกิจแบบก้าวกระโดดในการเพิ่มกำลังการผลิตตามเป้าหมาย 900,000 บาร์เรลต่อวันในปี 2563 และได้ข้อสรุปว่า เพื่อให้โครงสร้างเงินทุนมีความเข้มแข็ง บริษัทควรเพิ่มทุนประมาณ 98,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการสำรวจ พัฒนา รวมทั้งการผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ และขยายการลงทุนไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลกในการหาแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ เพื่อเป็นการตอบสนองต่อการเพิ่มขึ้นของความต้องการใช้พลังงานของประเทศไทย
ในการกำหนดจำนวนหุ้นสุดท้ายในการเสนอขาย บริษัทพิจารณาจากจำนวนเงินทุนที่ต้องการและราคาเสนอขายสุดท้าย ดังนั้น จำนวนหุ้นเพิ่มทุนที่บริษัทต้องออกเพิ่มอาจไม่ถึงจำนวน 650 ล้านหุ้น แต่จะเป็นจำนวนที่ทำให้บริษัทได้รับเงินจำนวนประมาณ 98,000 ล้านบาท ซึ่งขึ้นกับราคาเสนอขายหุ้นที่จะได้มีการกำหนดต่อไป
"เงินทุนที่จะได้รับจากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งและความคล่องตัวทางการเงิน ทำให้บริษัทมีความสามารถในการลงทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว ให้สามารถบรรลุเป้าหมายที่จะเป็นบริษัทสำรวจและผลิตปิโตรเลียมชั้นนำของภูมิภาคเอเชีย ที่มุ่งมั่นสร้างมูลค่าเพิ่มและเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมีมาตรฐานการดำเนินงานที่เป็นเลิศ ลงทุนตามแผนยุทธศาสตร์ และคล่องตัวในการเปลี่ยนแปลง" นายเทวินทร์ กล่าว
ทั้งนี้ จากแผนการผลิตของบริษัทซึ่งมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในระยะ 2-3 ปีนี้ ทำให้การเพิ่มทุนครั้งนี้เป็นเวลาที่เหมาะสม เพราะจะสามารถรักษาผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นในระยะสั้นและเสริมสร้างการเติบโตได้ในระยะยาว
โดยก่อนหน้านี้ที่ประชุมคณะกรรมการมีมติอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนและจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 650 ล้านหุ้น ซึ่งบริษัทจะจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนเสนอขายให้แก่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT จำนวนไม่เกิน 403,395,000 หุ้น ในราคาเสนอขายที่ได้จากกระบวนการสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์จากนักลงทุนสถาบัน (Book Building) และจำนวนไม่เกิน 214,443,000 หุ้น ให้แก่ประชาชนทั่วไป ในราคาเสนอขายที่ได้จากกระบวนการ Book Building
รวมทั้งจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจานวนไม่เกิน 32,162,000 หุ้น เสนอขายให้แก่ผู้จัดหาหุ้นส่วนเกิน (over-allotment agent) ในราคาเสนอขายที่ได้จากกระบวนการ Book Building โดยผู้จัดหาหุ้นส่วนเกินได้รับสิทธิที่จะซื้อหุ้นเพิ่มเติมจากบริษัทเพื่อประโยชน์ในการรักษาระดับราคาของหุ้นที่เสนอขาย (Stabilization) ซึ่งผู้จัดหาหุ้นส่วนเกิน (over-allotment agent) สามารถใช้สิทธิในการซื้อหุ้นเพิ่มเติมดังกล่าวจากบริษัทได้ภายใน 30 วันนับแต่วันถัดจากวันปิดการเสนอขายหุ้นทั้งหมด
บริษัทจะลดทุนจดทะเบียนของบริษัทจาก 3,322,000,000 บาท เป็น 3,319,985,400 บาท โดยวิธีการตัดหุ้นจดทะเบียนที่ยังไม่ได้นำออกจำหน่าย 2,014,600 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท จากนั้นจึงเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัท 3,319,985,400 บาท เป็น 3,969,985,400 บาท โดยการออกหุ้นสามัญใหม่จำนวน 650,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท
--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 507
ไทยออยล์คาดการณ์เดิมหลังนโยบายรัฐเดินหน้าคาดส่งออกน้ำมันต่ำ
Source - พิมพ์ไทย (Th), Wednesday, September 12, 2012
นายวีรศักดิ์ โฆสิตไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยออยล์จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากการใช้พลังงานที่ยังเพิ่มขึ้น ตามอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจของไทยรวมถึงนโยบายรถคันแรกของรัฐบาล จึงคาดว่าการส่งออกน้ำมันภาพรวมของประเทศจะลดลงจากเดิมที่มีการคาดการณ์ว่า การส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปของไทยจะมีสัดส่วนร้อยละ 10-15
"โครงการรถคันแรกที่คาดว่าจะออกมาหลายแสนคัน ประกอบกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ รถรุ่นใหม่ยังออกมาต่อเนื่อง จึงเห็นได้ว่าการใช้น้ำมันยังเติบโต แม้จะมีการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนเพิ่มขึ้นด้วยก็ตาม"นายวีรศักดิ์ กล่าว
ทั้งนี้กระทรวงพลังงานสรุปแนวโน้มการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ขั้นต้นทั้งปี 2555 อยู่ที่ประมาณ 1.94 ล้านบาร์เรลต่อวัน เทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวันเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.2 เมื่อเทียบกับปี 2554โดยประเมินจากภาวะเศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวในอัตราร้อยละ 5.5-6.5 โดยคาดว่าการใช้น้ำมันทั้งปีจะมีการใช้เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.1
นายวีรศักดิ์ กล่าวด้วยว่า กลุ่มไทยออยล์พร้อมสำรองน้ำมันระยะยาวของรัฐบาล ซึ่งหากจะมีการเพิ่มสำรองทางกฎหมายจากร้อยละ 5 เป็นร้อยละ 6 โดยในแผนการสำรองน้ำมันประเทศในระดับ 90 วันนั้น นับเป็นสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ ส่วนพื้นที่ของไทยออยล์นั้น ก็ยังสามารถสร้างโรงไฟฟ้าไอพีพี ได้อีก 1 โรง ซึ่งหลังจากปรับโครงสร้างโรงไฟฟ้าไอพีทีไปอยู่ใน ปตท.ยูทิลิตี้ แล้วก็ไม่ได้สร้างปัญหาในการเข้าประมูลแต่อย่างใด
นายวีรศักดิ์ กล่าวว่า ในขณะนี้ กลุ่ม ปตท.กำลังทำแผนงานระยะยาวโดยดูภาพรวมการลงทุนถึงปี ค.ศ. 2030 โดยในส่วนของไทยออยล์ ซึ่งเป็นบริษัทการลงทุนด้านโรงกลั่นน้ำมันของ กลุ่ม ปตท. กำลังปรับแผนลงทุนไปถึงปีดังกล่าวคาดว่าปลายปีจะศึกษาเสร็จ โดยจะดูถึงการลงทุนในและต่างประเทศ ความต้องการพลังงานในอนาคต โดยในส่วนของประเทศไทย คงจะไม่ขยายกำลังผลิตน้ำมันเพราะปัจจุบันกำลังผลิตของประเทศมีประมาณ 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ขณะที่มีความต้องการ 800,000 บาร์เรลต่อวัน แต่จะมีการลงทุนปรับปรุงระบบผลิตให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ส่วนการลงทุนในต่างประเทศกำลังศึกษาถึงการลงทุนในอาเซียน ซึ่งความต้องการน้ำมันกำลังเติบโตตามเศรษฐกิจ โดยโฟกัสไปที่เวียดนาม และพม่า ส่วนอินโดนีเซีย ในขณะนี้โรงกลั่นยังไม่เปิดเสรี และมีการอุดหนุนราคาพลังงานเป็นจำนวนมากหากประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) มีผลในปี 2558 หากกฎเกณฑ์ของอินโดนีเซียปรับเปลี่ยน ทางไทยออยล์ก็จะเข้าไปลงทุนแน่นอนเพราะมีประชากรจำนวนมากและมีการนำเข้าน้ำมันปริมาณสูง
--จบ--
Source - พิมพ์ไทย (Th), Wednesday, September 12, 2012
นายวีรศักดิ์ โฆสิตไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยออยล์จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากการใช้พลังงานที่ยังเพิ่มขึ้น ตามอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจของไทยรวมถึงนโยบายรถคันแรกของรัฐบาล จึงคาดว่าการส่งออกน้ำมันภาพรวมของประเทศจะลดลงจากเดิมที่มีการคาดการณ์ว่า การส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปของไทยจะมีสัดส่วนร้อยละ 10-15
"โครงการรถคันแรกที่คาดว่าจะออกมาหลายแสนคัน ประกอบกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ รถรุ่นใหม่ยังออกมาต่อเนื่อง จึงเห็นได้ว่าการใช้น้ำมันยังเติบโต แม้จะมีการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนเพิ่มขึ้นด้วยก็ตาม"นายวีรศักดิ์ กล่าว
ทั้งนี้กระทรวงพลังงานสรุปแนวโน้มการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ขั้นต้นทั้งปี 2555 อยู่ที่ประมาณ 1.94 ล้านบาร์เรลต่อวัน เทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวันเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.2 เมื่อเทียบกับปี 2554โดยประเมินจากภาวะเศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวในอัตราร้อยละ 5.5-6.5 โดยคาดว่าการใช้น้ำมันทั้งปีจะมีการใช้เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.1
นายวีรศักดิ์ กล่าวด้วยว่า กลุ่มไทยออยล์พร้อมสำรองน้ำมันระยะยาวของรัฐบาล ซึ่งหากจะมีการเพิ่มสำรองทางกฎหมายจากร้อยละ 5 เป็นร้อยละ 6 โดยในแผนการสำรองน้ำมันประเทศในระดับ 90 วันนั้น นับเป็นสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ ส่วนพื้นที่ของไทยออยล์นั้น ก็ยังสามารถสร้างโรงไฟฟ้าไอพีพี ได้อีก 1 โรง ซึ่งหลังจากปรับโครงสร้างโรงไฟฟ้าไอพีทีไปอยู่ใน ปตท.ยูทิลิตี้ แล้วก็ไม่ได้สร้างปัญหาในการเข้าประมูลแต่อย่างใด
นายวีรศักดิ์ กล่าวว่า ในขณะนี้ กลุ่ม ปตท.กำลังทำแผนงานระยะยาวโดยดูภาพรวมการลงทุนถึงปี ค.ศ. 2030 โดยในส่วนของไทยออยล์ ซึ่งเป็นบริษัทการลงทุนด้านโรงกลั่นน้ำมันของ กลุ่ม ปตท. กำลังปรับแผนลงทุนไปถึงปีดังกล่าวคาดว่าปลายปีจะศึกษาเสร็จ โดยจะดูถึงการลงทุนในและต่างประเทศ ความต้องการพลังงานในอนาคต โดยในส่วนของประเทศไทย คงจะไม่ขยายกำลังผลิตน้ำมันเพราะปัจจุบันกำลังผลิตของประเทศมีประมาณ 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ขณะที่มีความต้องการ 800,000 บาร์เรลต่อวัน แต่จะมีการลงทุนปรับปรุงระบบผลิตให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ส่วนการลงทุนในต่างประเทศกำลังศึกษาถึงการลงทุนในอาเซียน ซึ่งความต้องการน้ำมันกำลังเติบโตตามเศรษฐกิจ โดยโฟกัสไปที่เวียดนาม และพม่า ส่วนอินโดนีเซีย ในขณะนี้โรงกลั่นยังไม่เปิดเสรี และมีการอุดหนุนราคาพลังงานเป็นจำนวนมากหากประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) มีผลในปี 2558 หากกฎเกณฑ์ของอินโดนีเซียปรับเปลี่ยน ทางไทยออยล์ก็จะเข้าไปลงทุนแน่นอนเพราะมีประชากรจำนวนมากและมีการนำเข้าน้ำมันปริมาณสูง
--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 508
บทบาทบริษัทน้ำมันแห่งชาติในตลาดโลก
Source - สยามธุรกิจ (Th), Wednesday, September 12, 2012
เวลาเราพูดถึงว่าใครเป็นผู้ครอบครองส่วนแบ่งการตลาดหรือการผลิตน้ำมันในตลาดโลกมากที่สุด แน่นอนว่าเรามักจะคิดไปถึงบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ข้ามชาติต่างๆ อย่างเช่น บรรษัท เอ็กซอนโมบิล หรือ บรรษัท รอยัลดัชเชลล์ ซึ่งเป็น บริษัทน้ำมันข้ามชาติ หรือ International Oil Companies (OIC’s) ที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งและอันดับสองของโลก
แต่ความจริงแล้วตามรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงาน (EIA) ของกระทรวงพลังงานของสหรัฐฯ (DOE) ในปี 2010 สัดส่วนการครอบครองแหล่ง สำรองที่พิสูจน์แล้ว (proven oil reserves) และสัดส่วนการผลิตน้ำมันในปัจจุบัน กลับตกเป็นของบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ (National Oil Companies-NOC’s) ถึง 85% และ 55% ตามลำดับ
จากตัวเลขของ Energy Intelligence ที่ได้ทำการสำรวจ 100 บริษัทน้ำมันทั่วโลกในปี 2010 พบว่าบริษัทน้ำมันทั้ง 100 แห่งผลิตน้ำมันได้ 87% ของการผลิต น้ำมันทั้งโลก แต่ NOC’s ผลิตได้ 55% โดยบริษัทที่ผลิตได้สูงสุดอันคับ 1-4 ล้วน แต่เป็น NOC’s ทั้งสิ้น คือ
1. Saudi Aramco ของประเทศซาอุดีอาระเบียผลิตได้ในสัดส่วนสูงที่สุดถึง 12%
2. National Iranian Oil Company ของอิหร่านผลิตได้ 5%
3. Petroleos de Venezuela S.A. (PdVSA) ของเวเนซูเอล่า ผลิตได้ 4%
4. China National Petroleum Corp. (CNPC) ของจีน ผลิตได้ 3%
ส่วนอันดับ 5-6 เป็นของ IOC’s คือ BP และ ExxonMobil ผลิตได้ 3% เท่ากัน และอันดับที่ 7 เป็น Royal Dutch Shell ผลิตได้ในสัดส่วน 2%
ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมประเทศต่างๆ โดยเฉพาะในประเทศที่กำลังพัฒนาและประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติทางพลังงาน จึงต้องมีบริษัทน้ำมันแห่งชาติ เอาไว้เป็นเครื่องมือในการดำเนินนโยบายด้านพลังงาน แต่การจัดตั้ง NOC’s ในประเทศต่างๆ ก็มีลักษณะแตกต่างกันออกไปแล้วแต่นโยบายของแต่ละประเทศ โดยอาจแยกออกได้เป็นสองประเภทคือ
1.NOC’s ที่มีลักษณะเป็นส่วนขยายของรัฐบาลหรือเป็นรัฐวิสาหกิจ อย่างเช่น Saudi Aramco ของซาอุดีอาระเบีย PdVSA ของเวเนซูเอล่า และ Pemex ของเม็กซิโก เป็นต้น บริษัทเหล่านี้จะทำหน้าที่สนับสนุนนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านพลัง งานของรัฐบาลเป็นหลัก โดยจะเน้นการจัดหาพลังงานให้กับประชาชนในประเทศได้บริโภคในราคาถูกกว่าราคาในตลาดโลก ดังนั้นจึงไม่เน้นผลประกอบการในเชิงธุรกิจมากนัก ซึ่งประเทศในกลุ่ม OPEC ทุกประเทศจะมี NOC’s แบบนี้ เพราะไม่ต้องกังวลกับเรื่องการขาดทุน เนื่องจากรัฐบาลมีรายได้มหาศาลจากการส่งออกน้ำมันมาสนับสนุน
2.NOC’s ที่มีลักษณะการบริหารงานเชิงธุรกิจและไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลหรือเป็นรัฐวิสาหกิจเต็มที่ มีอิสระในการบริหารงานเป็นของตนเอง มีปรัชญา การทำงานในเชิงธุรกิจ แต่ก็ต้องสนองตอบต่อเป้าหมายของประเทศในส่วนรวมด้วย บริษัทในลักษณะนี้ได้แก่ Petrobas ของบราซิล และ Statoil ของนอร์เวย์ รวมทั้ง PTT ของไทยก็น่าจะเข้าข่าย NOC’s ในกลุ่มนี้ด้วยเหมือนกัน
ถ้าจะถามว่าสองแบบนี้แบบไหนดีกว่ากัน ผมว่ามันขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของแต่ละประเทศมากกว่า ถ้าเราเป็นประเทศผู้ส่งออกพลังงาน มีรายได้จากการส่งออก พลังงานมากมาย NOC’s แบบแรกก็ดีสำหรับรัฐบาลที่จะมีเครื่องมือในการบริหารนโยบายพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และประชาชนจะได้บริโภคพลังงานในราคาถูก
แต่ถ้าเราเป็นประเทศผู้นำเข้าพลังงาน ผมว่า NOC’s แบบที่สองน่าจะมีประโยชน์ต่อประเทศชาติมากกว่า เพราะจะช่วยถ่วงดุลราคาพลังงานไม่ให้สูงจนเกินไป ในขณะเดียวกันก็ไม่ถูกรัฐบาลใช้เป็นเครื่องมือในการอุดหนุนราคาพลังงานจนต่ำเกินไปอย่างไร้เหตุผล และทำให้เกิดการบริโภคพลังงานอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมในระยะยาว และยังก่อให้เกิดมลภาวะแก่ชาวโลก โดยทำให้ภาวะโลกร้อนเลวร้ายยิ่งขึ้นไปอีก
ผมทราบดีว่ามีหลายคนที่ไม่พอใจบทบาทของปตท.ในฐานะ NOC’s ในปัจจุบันและต้องการทบทวนฐานะของปตท.ใหม่ให้เป็น NOC’s ในแบบที่หนึ่ง เรื่อง นี้ผมอยากให้คิดให้ดีๆ นะครับ ผมว่าทิ้งให้ปตท.เป็นบริษัทมหาชน จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์อย่างนี้ก็ดีอยู่แล้ว
ชั่วๆ ดีๆ ก็ติติงกันไป เสนอแนะกันไป แก้ไขกันไป ถ้าเป็นอย่างทุกวันนี้อย่างน้อยมีอะไรก็ยังมีหลายฝ่ายคอยช่วยกันดูแล แต่ถ้าเป็นแบบแรกละก็เสร็จนักการเมือง 100%
ระวังจะเตะหมูเข้าปากสุนัขนะครับ!!!
--จบ--
Source - สยามธุรกิจ (Th), Wednesday, September 12, 2012
เวลาเราพูดถึงว่าใครเป็นผู้ครอบครองส่วนแบ่งการตลาดหรือการผลิตน้ำมันในตลาดโลกมากที่สุด แน่นอนว่าเรามักจะคิดไปถึงบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ข้ามชาติต่างๆ อย่างเช่น บรรษัท เอ็กซอนโมบิล หรือ บรรษัท รอยัลดัชเชลล์ ซึ่งเป็น บริษัทน้ำมันข้ามชาติ หรือ International Oil Companies (OIC’s) ที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งและอันดับสองของโลก
แต่ความจริงแล้วตามรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงาน (EIA) ของกระทรวงพลังงานของสหรัฐฯ (DOE) ในปี 2010 สัดส่วนการครอบครองแหล่ง สำรองที่พิสูจน์แล้ว (proven oil reserves) และสัดส่วนการผลิตน้ำมันในปัจจุบัน กลับตกเป็นของบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ (National Oil Companies-NOC’s) ถึง 85% และ 55% ตามลำดับ
จากตัวเลขของ Energy Intelligence ที่ได้ทำการสำรวจ 100 บริษัทน้ำมันทั่วโลกในปี 2010 พบว่าบริษัทน้ำมันทั้ง 100 แห่งผลิตน้ำมันได้ 87% ของการผลิต น้ำมันทั้งโลก แต่ NOC’s ผลิตได้ 55% โดยบริษัทที่ผลิตได้สูงสุดอันคับ 1-4 ล้วน แต่เป็น NOC’s ทั้งสิ้น คือ
1. Saudi Aramco ของประเทศซาอุดีอาระเบียผลิตได้ในสัดส่วนสูงที่สุดถึง 12%
2. National Iranian Oil Company ของอิหร่านผลิตได้ 5%
3. Petroleos de Venezuela S.A. (PdVSA) ของเวเนซูเอล่า ผลิตได้ 4%
4. China National Petroleum Corp. (CNPC) ของจีน ผลิตได้ 3%
ส่วนอันดับ 5-6 เป็นของ IOC’s คือ BP และ ExxonMobil ผลิตได้ 3% เท่ากัน และอันดับที่ 7 เป็น Royal Dutch Shell ผลิตได้ในสัดส่วน 2%
ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมประเทศต่างๆ โดยเฉพาะในประเทศที่กำลังพัฒนาและประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติทางพลังงาน จึงต้องมีบริษัทน้ำมันแห่งชาติ เอาไว้เป็นเครื่องมือในการดำเนินนโยบายด้านพลังงาน แต่การจัดตั้ง NOC’s ในประเทศต่างๆ ก็มีลักษณะแตกต่างกันออกไปแล้วแต่นโยบายของแต่ละประเทศ โดยอาจแยกออกได้เป็นสองประเภทคือ
1.NOC’s ที่มีลักษณะเป็นส่วนขยายของรัฐบาลหรือเป็นรัฐวิสาหกิจ อย่างเช่น Saudi Aramco ของซาอุดีอาระเบีย PdVSA ของเวเนซูเอล่า และ Pemex ของเม็กซิโก เป็นต้น บริษัทเหล่านี้จะทำหน้าที่สนับสนุนนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านพลัง งานของรัฐบาลเป็นหลัก โดยจะเน้นการจัดหาพลังงานให้กับประชาชนในประเทศได้บริโภคในราคาถูกกว่าราคาในตลาดโลก ดังนั้นจึงไม่เน้นผลประกอบการในเชิงธุรกิจมากนัก ซึ่งประเทศในกลุ่ม OPEC ทุกประเทศจะมี NOC’s แบบนี้ เพราะไม่ต้องกังวลกับเรื่องการขาดทุน เนื่องจากรัฐบาลมีรายได้มหาศาลจากการส่งออกน้ำมันมาสนับสนุน
2.NOC’s ที่มีลักษณะการบริหารงานเชิงธุรกิจและไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลหรือเป็นรัฐวิสาหกิจเต็มที่ มีอิสระในการบริหารงานเป็นของตนเอง มีปรัชญา การทำงานในเชิงธุรกิจ แต่ก็ต้องสนองตอบต่อเป้าหมายของประเทศในส่วนรวมด้วย บริษัทในลักษณะนี้ได้แก่ Petrobas ของบราซิล และ Statoil ของนอร์เวย์ รวมทั้ง PTT ของไทยก็น่าจะเข้าข่าย NOC’s ในกลุ่มนี้ด้วยเหมือนกัน
ถ้าจะถามว่าสองแบบนี้แบบไหนดีกว่ากัน ผมว่ามันขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของแต่ละประเทศมากกว่า ถ้าเราเป็นประเทศผู้ส่งออกพลังงาน มีรายได้จากการส่งออก พลังงานมากมาย NOC’s แบบแรกก็ดีสำหรับรัฐบาลที่จะมีเครื่องมือในการบริหารนโยบายพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และประชาชนจะได้บริโภคพลังงานในราคาถูก
แต่ถ้าเราเป็นประเทศผู้นำเข้าพลังงาน ผมว่า NOC’s แบบที่สองน่าจะมีประโยชน์ต่อประเทศชาติมากกว่า เพราะจะช่วยถ่วงดุลราคาพลังงานไม่ให้สูงจนเกินไป ในขณะเดียวกันก็ไม่ถูกรัฐบาลใช้เป็นเครื่องมือในการอุดหนุนราคาพลังงานจนต่ำเกินไปอย่างไร้เหตุผล และทำให้เกิดการบริโภคพลังงานอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมในระยะยาว และยังก่อให้เกิดมลภาวะแก่ชาวโลก โดยทำให้ภาวะโลกร้อนเลวร้ายยิ่งขึ้นไปอีก
ผมทราบดีว่ามีหลายคนที่ไม่พอใจบทบาทของปตท.ในฐานะ NOC’s ในปัจจุบันและต้องการทบทวนฐานะของปตท.ใหม่ให้เป็น NOC’s ในแบบที่หนึ่ง เรื่อง นี้ผมอยากให้คิดให้ดีๆ นะครับ ผมว่าทิ้งให้ปตท.เป็นบริษัทมหาชน จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์อย่างนี้ก็ดีอยู่แล้ว
ชั่วๆ ดีๆ ก็ติติงกันไป เสนอแนะกันไป แก้ไขกันไป ถ้าเป็นอย่างทุกวันนี้อย่างน้อยมีอะไรก็ยังมีหลายฝ่ายคอยช่วยกันดูแล แต่ถ้าเป็นแบบแรกละก็เสร็จนักการเมือง 100%
ระวังจะเตะหมูเข้าปากสุนัขนะครับ!!!
--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 509
*PTTEP พร้อมผลิตน้ำมันดิบแหล่งโอมาน 44 เพิ่มเป็น 5พันบาร์เรล/วันต.ค.นี้ [ ทันหุ้น, 12 กันยายน 2555 ]
นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ ปตท.สผ. (PTTEP) เปิดเผยว่า PTTEP Oman Company Limited ซึ่งเป็นบริษัทลูกเตรียมพร้อมที่จะผลิตน้ำมันดิบในโครงการโอมาน 44 เพิ่มเติม มีอัตราการผลิตน้ำมันดิบและคอนเดนเสทโดยรวมเพิ่มขึ้นเป็น 5,000 บาร์เรล/วันในเดือนตุลาคมนี้
อัตราการผลิตที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นผลมาจากความสำเร็จในการเจาะหลุมพัฒนาและหลุมประเมินผล จำนวน 7 หลุม ตามแผนงานปี 2554-2555 โดยจะมาจากการผลิตน้ำมันดิบจากหลุมพัฒนาในแหล่งมูร์ฮาเมียร์ ในอัตราประมาณ 2,500 บาร์เรล/วัน ซึ่งจะเริ่มการผลิตในเดือนกันยายนนี้ และจะมาจากผลจากการเจาะหลุมประเมินซึ่งค้นพบน้ำมันดิบแหล่งใหม่ทางตอนใต้ของโครงสร้างชามส์-อี (Shams-E South) อีกประมาณ 1,000 บาร์เรล/วัน เริ่มการผลิตในเดือนตุลาคมนี้ การค้นพบน้ำมันดิบจากทั้ง 2 แหล่งนี้ จะทำให้อัตราการผลิตโดยรวมของโครงการโอมาน 44 เพิ่มสูงขึ้นจากประมาณ 1,500 บาร์เรล/วันเป็นประมาณ 5,000 บาร์เรล/วัน และก๊าซธรรมชาติประมาณ 50 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน
“การเจาะหลุมพัฒนาและหลุมประเมินผลประสบความสำเร็จโดยค้นพบน้ำมันดิบเพิ่มเติม นับเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มที่สำคัญให้กับโครงการโอมาน 44 และสามารถทำให้อัตราการผลิตน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 3 เท่า ด้านความปลอดภัย ก็สามารถปฏิบัติงานได้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ไม่มีการสูญเสียเวลาทำงาน (Lost Time Incident) ตลอดระยะเวลาการทำงานกว่า 453,600 ชั่วโมง"นายเทวินทร์ กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนสำรวจน้ำมันดิบในแหล่งกักเก็บรูปแบบใหม่ในแปลงนี้ (New play type in the block) โดยจะทำการสำรวจคลื่นไหวสะเทือนแบบ 3 มิติในพื้นที่ฝั่งตะวันตกของแปลง เพื่อประเมินศักยภาพเพิ่มเติมต่อไป
อนึ่ง โครงการโอมาน 44 มีพื้นที่ประมาณ 1,162 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่ห่างจากกรุงมัสกัต เมืองหลวงของรัฐสุลต่านโอมานไปทางตะวันตกประมาณ 300 กิโลเมตร โดยมีบริษัท PTTEP Oman Company Limited ซึ่งเป็นบริษัทลูกเป็นผู้ดำเนินการและถือสัดส่วนการลงทุนทั้งหมด
นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ ปตท.สผ. (PTTEP) เปิดเผยว่า PTTEP Oman Company Limited ซึ่งเป็นบริษัทลูกเตรียมพร้อมที่จะผลิตน้ำมันดิบในโครงการโอมาน 44 เพิ่มเติม มีอัตราการผลิตน้ำมันดิบและคอนเดนเสทโดยรวมเพิ่มขึ้นเป็น 5,000 บาร์เรล/วันในเดือนตุลาคมนี้
อัตราการผลิตที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นผลมาจากความสำเร็จในการเจาะหลุมพัฒนาและหลุมประเมินผล จำนวน 7 หลุม ตามแผนงานปี 2554-2555 โดยจะมาจากการผลิตน้ำมันดิบจากหลุมพัฒนาในแหล่งมูร์ฮาเมียร์ ในอัตราประมาณ 2,500 บาร์เรล/วัน ซึ่งจะเริ่มการผลิตในเดือนกันยายนนี้ และจะมาจากผลจากการเจาะหลุมประเมินซึ่งค้นพบน้ำมันดิบแหล่งใหม่ทางตอนใต้ของโครงสร้างชามส์-อี (Shams-E South) อีกประมาณ 1,000 บาร์เรล/วัน เริ่มการผลิตในเดือนตุลาคมนี้ การค้นพบน้ำมันดิบจากทั้ง 2 แหล่งนี้ จะทำให้อัตราการผลิตโดยรวมของโครงการโอมาน 44 เพิ่มสูงขึ้นจากประมาณ 1,500 บาร์เรล/วันเป็นประมาณ 5,000 บาร์เรล/วัน และก๊าซธรรมชาติประมาณ 50 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน
“การเจาะหลุมพัฒนาและหลุมประเมินผลประสบความสำเร็จโดยค้นพบน้ำมันดิบเพิ่มเติม นับเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มที่สำคัญให้กับโครงการโอมาน 44 และสามารถทำให้อัตราการผลิตน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 3 เท่า ด้านความปลอดภัย ก็สามารถปฏิบัติงานได้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ไม่มีการสูญเสียเวลาทำงาน (Lost Time Incident) ตลอดระยะเวลาการทำงานกว่า 453,600 ชั่วโมง"นายเทวินทร์ กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนสำรวจน้ำมันดิบในแหล่งกักเก็บรูปแบบใหม่ในแปลงนี้ (New play type in the block) โดยจะทำการสำรวจคลื่นไหวสะเทือนแบบ 3 มิติในพื้นที่ฝั่งตะวันตกของแปลง เพื่อประเมินศักยภาพเพิ่มเติมต่อไป
อนึ่ง โครงการโอมาน 44 มีพื้นที่ประมาณ 1,162 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่ห่างจากกรุงมัสกัต เมืองหลวงของรัฐสุลต่านโอมานไปทางตะวันตกประมาณ 300 กิโลเมตร โดยมีบริษัท PTTEP Oman Company Limited ซึ่งเป็นบริษัทลูกเป็นผู้ดำเนินการและถือสัดส่วนการลงทุนทั้งหมด
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
โพสต์ที่ 510
ปตท.เดินหน้าขยายคลังLPG
Source - โลกวันนี้ (Th), Thursday, September 13, 2012
กรุงเทพฯ : นายณัฐชาติ จารุจินดา ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ช่วงต้นปี 2557 ส่วนขยายคลังก๊าซแอลพีจีที่ศรีราชา จ.ชลบุรี จาก 130,000 ตันต่อเดือน เป็น 250,000 ตันต่อเดือนจะแล้วเสร็จ เร็วขึ้นจากเดิมที่มีกำหนดแล้วเสร็จปี 2558 โดยปัจจุบันมีการนำเข้าก๊าซแอลพีจีประมาณ 150,000-170,000 ตันต่อเดือน
สำหรับคลังก๊าซแอลพีจีแห่งที่ 2 ความจุ 250,000 ตันต่อเดือน อยู่ระหว่างการหา สถานที่ตั้ง คาดว่าจะใช้พื้นที่บริเวณภาคตะวันออก ซึ่งจะต้องผ่านการประชาพิจารณ์ คาดว่าต้องใช้เวลาประมาณ 5 ปี
--จบ--
Source - โลกวันนี้ (Th), Thursday, September 13, 2012
กรุงเทพฯ : นายณัฐชาติ จารุจินดา ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ช่วงต้นปี 2557 ส่วนขยายคลังก๊าซแอลพีจีที่ศรีราชา จ.ชลบุรี จาก 130,000 ตันต่อเดือน เป็น 250,000 ตันต่อเดือนจะแล้วเสร็จ เร็วขึ้นจากเดิมที่มีกำหนดแล้วเสร็จปี 2558 โดยปัจจุบันมีการนำเข้าก๊าซแอลพีจีประมาณ 150,000-170,000 ตันต่อเดือน
สำหรับคลังก๊าซแอลพีจีแห่งที่ 2 ความจุ 250,000 ตันต่อเดือน อยู่ระหว่างการหา สถานที่ตั้ง คาดว่าจะใช้พื้นที่บริเวณภาคตะวันออก ซึ่งจะต้องผ่านการประชาพิจารณ์ คาดว่าต้องใช้เวลาประมาณ 5 ปี
--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."