เปิดเรียน วิธีอ่านและวิเคราะห์งบการเงินสำหรับนักลงทุน โอนเงินให้แล้วนะครับ วันที่ 1/03/2553 เวลา 17:00 ยอดเงิน 1,500.33 login name : strip เนื่องจากรายชื่อไม่ได้ปรากฏในลิสต์ข้างต้น ไม่ทราบว่าสามารถเข้าสัมมนาได้หรือไม่ เพราะเข้าใจจากกระทู้ว่า โอนเงินก่อนเท่ากับยืนยันก่อน อย่างไรรบกวนคุณชาญกรุณายืนยันด้วย ขอบคุณครับ โดย strip จันทร์ มี.ค. 01, 2010 8:10 pm

เปิดเรียน วิธีอ่านและวิเคราะห์งบการเงินสำหรับนักลงทุน ชื่อ login : strip ส่งข้อมูลไปทาง pm ครับ ยืนยันไปร่วมสัมมนา 3-4 Apr รบกวนส่งเลขที่บัญชี ชื่อบัญชี ธนาคาร ด้วยครับเพื่อโอนเงิน ถ้าจะกรุณาแจ้งเบอร๋มือถือ เพื่อ sms หลังโอนเงินจะขอบคุณมากครับ โดย strip เสาร์ ก.พ. 27, 2010 10:11 pm

แจก EPS16YEAR (งบดุล ย้อน 19 ปี,ราคา,Ratio,แบบเครดิตภาษี) รบกวน V.2007 ด้วยครับ ขอบคุณครับ [email protected] [email protected] โดย strip อาทิตย์ พ.ย. 01, 2009 3:28 pm

น่าสนใจ อีกนิดครับ คือ สุดท้ายไม่ว่าจะทำตลาดกลุ่มไหนก็ตาม สิ่งที่สำคัญเสมอ คือ "ทำเลที่ตั้ง"ครับ โดย strip พุธ ต.ค. 06, 2004 1:13 am

น่าสนใจ ถ้าสร้างตึกอพาร์เมนต์ให้เช่ากลุ่มลูกค้าแบบไหนเรียกว่าถาวร? ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นนะครับ คิดว่าน่าจะเป็นกลุ่ม"นักศึกษา"ตราบเท่าที่ 1) ทำเลที่ตั้งนั้นสามารถเดินทางได้สะดวก โดยมีระบบการเดินทางที่สนับสนุนได้นะครับ เช่น รถเมล์ รถไฟฟ้า มอเตอร์ไซด์ รถตู้ ฯลฯ 2) รัฐและสังคมยังเห็นว่า การศึกษา เป็นสิ่งที่สำคัญอยู่ 3) สถาบันการศึกษาที่อยู่ใกล้อพารต์เมนต์นั้น ยังมีการรับนักศึกษาในจำนวนที่เท่าเดิมอยู่(ไม่ว่านักศึกษาชั้นปีสุดท้ายจะจบภาคเรียนไปเท่าไหร่ นักศึกษาใหม่ก็เข้ามาแทนที่ เรียกได้ว่า Demand คงที่) แต่ถ้าจะให้ดี ถ้าทราบว่า สถาบันการศึกษาที่อยู่ใกล้เคียงมีแผนการขยายวิทยาเขต หรือ คณะ ย่อมเป็นผลบวกนะครับ และเช่นกัน ถ้ามีแผนลดขนาดวิทยาเขต หรือเปลี่ยนประเภทนักศึกษาเช่น จากกลุ่มปริญญาตรีเป็นปริญญาโท ย่อมทำให้ demand หดหายได้ ประเด็นที่ขออนุญาตถามคุณ hot คือ ทำไมคุณ hot ถึง Segmentation ตลาด เป็นตามที่ post ไว้หรือครับ คือ 1.นักศึกษา 2.คนงานโรงงาน 3.นักธุรกิจต่างชาติ 4.กลุ่มทั่วไป เพราะโดยความคิดเห็นส่วนตัว คิดว่า น่าสนใจ (เพราะกำลังศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมอยู่) มีอยู่บางประเด็นที่ไม่แน่ใจคือ 1.1 กลุ่มนักศึกษา น่าจะแบ่งย่อยๆออกได้อีกนะครับ เช่น 1) มหาวิทยาลัยเปิด (เช่น รามคำแหง หรือ สุโขทัยฯ) เป็นกลุ่มที่สามารถเพิกเฉยในเรื่อง ระยะทางที่ใกล้ไกลกับสถานศึกษาได้ (นักศึกษารามฯบางคนไม่จำเป็นที่จะอยู่ใกล้มหาวิทยาลัย เพราะไม่จำเป็นต้องเข้าเรียน) ผมคิดว่ากลุ่มนี้ "ราคา"และ"เงื่อนไขในสัญญาการเช่า"เป็นเรื่องที่ค่อนข้างสำคัญ นอกจากนั้น แล้ว โทรศัพท์สายตรงเพื่อใช้ internet ก็ยังเป็นสิ่งที่สำคัญเช่นกัน 2)มหาวิทยาลัยปิด (ไม่ว่าจะเป็นรัฐหรือเอกชน) ทำเล น่าจะเป็นเรื่องหลักเลย ปัจจัยรองมาน่าจะเป็น"ราคา"เมื่อเทียบกับราคาค่าเช่าตลาด 2.1 กลุ่มคนโรงงาน ขออนุญาตรวมกับ กลุ่มคนทั่วไป เป็น "กลุ่มคนทำงาน"ได้ไหมครับ โดยความคิดเห็นส่วนตัว กลุ่มนี้น่าจะแบ่งออกเป็น 1) กลุ่มทำงานกลางวัน ทีไม่มีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพหรือไม่มีญาติอยู่กรุงเทพ ส่วนมากทำงานสำนักงาน เป็นคนโสด และพร้อมที่จะย้ายงานเสมอ ตราบเท่าที่มีโอกาส 2)กลุ่มทำงานกลางวัน แต่อาศัยอยู่เป็นครอบครัว หรือเป็นกลุ่มเพื่อน ส่วนมากทำงานโรงงาน (เป็นเหตุผลที่ไม่สามารถ afford ค่าเช่าได้ ต้องแบ่งกับเพื่อน หรือ มีรายได้อื่นๆจากคนในครอบครัว) กลุ่มนี้โอกาสในการย้ายที่อยู่ต่ำกว่ากลุ่มข้างต้น แต่ถ้าจะเปลี่ยนก็จะเปลี่ยนเป็นที่อยู่อาศัยประเภทอื่นเลย เช่น คอนโดราคาถูก บ้านเช่า ทาวน์เฮ้าส์ (ในกรณีครอบครัว) หรือหากเป็นกลุ่มเพื่อนจะต้องเปลี่ยน"ตำแหน่งหน้าที่การงาน"ได้จนสามารถย้ายได้ 3)กลุ่มทำงานกลางคืน กลุ่มนี้จ่ายเท่าไหร่ก็ได้ ถ้า"พึงพอใจ"แต่ limit ในการจ่ายนั้นขึ้นอยู่กับ "ค่าใช้จ่ายส่วนตัว+ภาระผูกพันทางบ้าน" สำหรับระยะเวลาในการเช่านั้น"ไม่สั้นและไม่ยาว"เพราะไม่ต้องการอยู่ในธุรกิจนี้เป็นเวลานานหรือ"ไม่สามารถ"อยู่ในธุรกิจนี้เป็นเวลานาน เนื่องจาก อายุของผู้เช่า 3.1 กลุ่มต่างชาติ เป็นกลุ่มที่ช่วงความต่างของความสามารถในการจ่ายค่าเช่าของกลุ่มมากที่สุด คือ สูงสุด และต่ำสุดเลย(ราคาค่าเช่าอาจใกล้เคียงกับกลุ่มคนทำงานกลางวัน) กลุ่มสูงสุด สามารถอ่าน Report ของ CBRE หรือ JL ได้ครับว่า demand กับ supply ในตลาดเป็นอย่างไร ผมคิดว่าส่วนมาก ผู้อยู่อาศัย"ไม่ได้เป็นคนจ่าย"ส่วนมากบริษัทเป็นคนออกค่าใช้จ่ายให้ สำหรับอีกกลุ่ม คือกลุ่มต่ำสุดของชาวต่างชาติ ส่วนมากเชื่อว่า เป็นกลุ่มที่ทำธุรกิจส่วนตัว ซื้อมาขายไป จำเป็นต้องอยู่เมืองไทย 3-6 เดือน (จ่ายค่าที่พักอพารต์เมนต์คุ้มกว่าจ่ายโรงแรม) ไม่แน่ใจว่า เป็นข้อมูลที่มีประโยชน์กับคุณ hot หรือไม่นะครับ อย่างไรลองใช้เพื่อประกอบการตัดสินใจแล้วกันนะครับ โดย strip พุธ ต.ค. 06, 2004 1:10 am

วันส่งมอบหุ้นที่ short sell คือเมื่อไหร่ครับ ถ้าทำได้จริงอย่างที่คุณ strip ว่า short-selling แบบนี้ไม่ทำให้หุ้นตกครับ แต่ทำให้หุ้นไม่ขึ้นมากกว่า แล้วสงสัยอีกอย่างว่าถ้าวางตอน call market จะตรวจสอบอย่างไร โดยเฉพาะตอนเปิดตลาด แต่ผมคิดว่า ฝรั่งคงไม่ได้ทำ short sell โดยการยืมหุ้นจากโบร๊กเกอร์ครับ ถ้ายืมกันเองโดยมีการวาง collateral และเอาหุ้น (จริง) มาขายเลย ก็ไม่น่า จะติดเงื่อนไขที่ว่าครับ ส่วนเรื่องส่งมอบ คงจะเป็นการตกลงกันเองระหว่าง ผู้ให้ยืมกับผู้ยืม เช่น ต้องส่งมอบภายใน 3 เดือน ต้องจ่ายดอกเบี้ย XX% และต้องจ่าย dividend ให้กับเจ้าของหุ้นตามประกาศจริง ฯลฯ การยืมหุ้นมา short จากโบรกเกอร์ไม่สามารถทำได้ตอน call ครับ เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ ในเรื่องของฝรั่งที่จะยืมหุ้นกันเองครับ ซึ่งเงื่อนไขนั้นไม่มีใครจะทราบได้ ยกเว้นผู้ยืมกับผู้ให้ยืมเท่านั้น มีเรื่องที่น่าคิดอีกเรื่อง คือ โบรกเกอร์สามารถยืมหุ้นจากลูกค้ามา shot ได้ไหมครับ โดย strip ศุกร์ พ.ค. 21, 2004 11:28 pm

หุ้น siri น่าลงทุนหรือเปล่าค่ะ ตามข้อความ link ด้านบนนะครับ "ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทตามสัดส่วนการถือหุ้น ในอัตราส่วนการจองซื้อเท่ากับ 3 หุ้นเดิมต่อ 2 หุ้นสามัญใหม่ ในราคาหุ้นละ 5 บาท " ถ้าคุณ Guest มีอยู่ 18500 หุ้น ก็จะมีสิทธิในการซื้อหุ้นเพิ่มทุน =18500/3x2 =12333 หุ้นนะครับ ถ้าจะคิดเป็นจำนวนเงิน(ที่จะซื้อหุ้นเพิ่มทุน)ก็เอา 5 คูณก็จะได้เท่ากับ 61655 บาทครับ (อ่านรายละเอียดเรื่องระยะเวลาในการชำระด้วยนะครับ) โดย strip พฤหัสฯ. ก.พ. 12, 2004 12:53 am

ใครรู้บ้าง ว่าสถาบันไหน กำลังเจรจาซื้อ AYUD 62.25 ล้านหุ้น ? ดูท่าทางแล้ว มิตซุย อาจไม่ได้คาดหวังเฉพาะเรื่องผลตอบแทนในส่วนของเงินปันผลแต่อย่างเดียว คาดว่า น่าจะมีการขยายตลาดและรุกเพิ่ม สังเกตจากเริ่มมีการประชาสัมพันธ์เพื่อให้ตลาดเข้าใจว่า มิตซุยประกอบธุรกิจอะไรเป็นพื้นฐาน (ปูทาง) เพิ่มในเวป กรุงเทพธุรกิจ เพิ่งเริ่มเดือนกุมภาพันธ์ นี้ (ดูลิงค์ประกอบ อยู่ด้านซ้าย) http://www.bangkokbiznews.com/ คงต้องดูกันต่อไปอีกระยะว่า มิตซุยอาจมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆเข้าสู่ตลาดนอกเหนือจาก การประกันขนส่งทางทะเลและอัคคีภัย โดย strip เสาร์ ก.พ. 07, 2004 5:26 pm

เกิด ไอเดีย ทีเด็ด ลงโปรแกรม แบบตลาดหุ้น ผมว่า การตั้งชื่อสำคัญเหมือนกันนะครับ เพราะถ้าเกิดตั้งประมาณว่า แมงเม่า ,รายวัน ฯลฯ อาจจะดูขัดแย้งกับเจตนาเดิมของ เวป TVI หรือเปล่าครับ (สงสัยว่าผมคิดมากไปหรือเปล่าครับเนี่ย) อีกอย่างคือผมกลัวว่า "คนส่วนใหญ่"จะเข้ามาแต่ห้องที่ดูเรื่องรายวันเป็นหลัก (เหมือนกับห้องร้อยคนร้อยหุ้นที่ดูเงียบเหงา นะครับ) โดย strip จันทร์ ม.ค. 26, 2004 1:40 am

ถ้าใช้หลักของวอร์เรน บัฟเฟตต์ หุ้นตัวไหนในตลาดที่เข้าข่าย คุณอ-รินครับ เป็ปซี่ นับวันนับวันเริ่มมีคู่แข่งประเภทเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพออกมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่นพวกน้ำผลไม้ และชาเขียว โดยเฉพาะชาเขียวนี้ ทุกวันนี้ไปเดินตามตู้ในซุปเปอร์ พบว่ามีไม่น้อยกว่า 5 ยี่ห้อแล้ว เครื่องดื่มพวกน้ำดำทำได้อย่างมากก็แค่รักษาส่วนแบ่งทางการตลาดให้เท่าเดิม หรือออกผลิตภัณฑ์ใหม่ (ล่าสุด ไม่แน่ใจว่า โค้กหรือเป็ปซี่ ออกน้ำแอ็ปเปิ้ล) เข้าสู่ตลาดครับ นี้ถ้าเกิดเอาชาเขียวผสมวิสกี้กับโซดา แทนน้ำดำได้อีกละก็ สงสัยเป็ปซี่คงลำบาก แบบ ยีนส์ลีวายส์แน่ครับ โดย strip จันทร์ ม.ค. 26, 2004 1:33 am

ขอคำวิจารณ์หุ้นห้าดาวดังต่อไปนี้ ไอ้หยา!!! คุณคัดท้ายคิดว่ามันจะถอยกันไปตรงนั้นเลยเหรอครับเนี่ย อย่างนี้ ช่วงวันศุกร์เช้าที่ผ่านมานี้ ใครเข้าไปก็อาจผิดหวังเล็กน้อยได้เลย โดย strip จันทร์ ม.ค. 26, 2004 1:12 am

ความเห็นผม ข้อมูลที่คุณ SIN เรื่องการอุ้มคนเลี้ยงไก่น่าสนใจนะครับ รัฐบาลเข้าอุ้มเฉพาะผู้เลี้ยงไก่รายเล็ก หรือรวมไปถึงรายใหญ่ด้วยครับ โดย strip จันทร์ ม.ค. 26, 2004 1:06 am

เกิด ไอเดีย ทีเด็ด ลงโปรแกรม แบบตลาดหุ้น เห็นด้วยหนึ่งเสียงครับ จะได้ไม่ต้องไปหลายเวป และต้องมีเวปมาสเตอร์หลายคนต้อง คอยดูแล โดย strip จันทร์ ม.ค. 26, 2004 1:06 am

ใครทราบช่วยบอกหน่อยว่าทำไม TMB DTDB และ BT จึงขาดทน สิ่งที่ผมสงสัยคือ ปริมาณ NPL สะสมก่อน(หรือระหว่าง)ตั้งสำรองครับ มีบางคนเคยบอกว่า บางธนาคาร(อยู่ใน list ทั้ง 3 นี้)เปลี่ยนหรือขยาย-ลด"คำจำกัดความ" ของคำว่า NPL โดยทำให้มันดูไม่ชัดเจน (GREY NPL)ทำให้ทางธนาคารลดการตั้งสำรองบางส่วนได้ ถ้าถามต่อว่า "แล้วอย่างนี้ทางธนาคารแห่งประเทศไทยคิดอย่างไร" ตอบได้ว่า "ไม่รู้ว่าทางธนาคารแห่งประเทศไทยทราบหรือไม่ หรืออาจนิ่งเฉย" เพราะถ้าใช้ตัวเลขปริมาณหนี้เสียจริงๆตามเกณฑ์ ของทางธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว บางธนาคารอาจมีตัวเลขNPL ที่สูงมากๆ จนไม่รู้ว่าจะหาเอาเงินที่ไหนมาตั้งสำรอง ในทางกลับกัน ต้องกลับมามองว่า "คำนิยาม"ของ NPL ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยนั้น กำหนดได้เหมาะสมหรือไม่ ด้วยเช่นกัน โดย strip ศุกร์ ม.ค. 23, 2004 6:26 pm

ขอข้อเสนแนะ การปรับปรุงweb site เป็นไปได้ไหมครับ ถ้าจะมี ตัวเลือก ให้เรียงกระทู้ตามวันที่(เจ้าของกระทู้)โพสต์ล่าสุด นอกเหนือจาก การโพสต์ตอบล่าสุด เพราะบางครั้งกระทู้ใหม่ๆที่ไม่มีคนสนใจเข้ามาตอบจะหลุดหายไปเลยครับ ขอบคุณครับ โดย strip ศุกร์ ม.ค. 23, 2004 6:08 pm

รายงานการเปลี่ยนแปลงการถือหลักทรัพย์ของผู้บริหาร (แบบ59-2) ขอโทษทีไม่ได้ login โดย strip พุธ ธ.ค. 10, 2003 2:08 pm

ไม่มีใครสนใจ LH เลยหรือครับ? อ่านที่ลุงขวดซื้อ LH แล้วรู้สึกดีใจที่มีคนสนใจถือเหมือนกัน (ที่ราคาและปริมาณที่เท่ากันอย่างบังเอิญ) ที่แรกรู้สึกหวั่นใจบ้างที่เห็นราคามาที่ 10.30 เพราะมาตราการที่แบงค์ชาติประกาศออกมายังไม่มีข้อสรุป(แต่ส่วนตัวแล้วคิดว่า LH น่าจะมีสินค้าออกมาขายและสามารถทำตลาดไปได้อีก คาดว่าปีหน้าจะเป็นคอนโดสร้างเสร็จแล้วขายนะครับ รวมถึงบ้านในระดับราคา 2-5ล้านบาทอีกจำนวนหนึ่ง) จุดเด่นอย่างหนึ่งของ LH สำหรับบ้านสร้างเสร็จก่อนขายนั้นไม่เฉพาะเรื่อง สร้างความมั่นใจกับลูกค้าว่าได้บ้านแน่ๆ แต่กลับเป็นต้นทุนที่ลดลงเพราะสามารถควบคุมระยะเวลาในการก่อสร้างที่ลดลง+ต่อรองราคาวัสดุก่อสร้าง และเท่าที่ทราบ LH เป็นบริษัทที่ได้ดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำมาก (น่าจะต่ำที่สุดในบริษัทจดทะเบียนที่มีอยู่ในตลาดด้วยกัน ประมาณ 2.5-3.0%) โดย strip จันทร์ พ.ย. 24, 2003 12:44 am

อัตราดอกเบี้ย กับการลงทุนแบบ vi ที่ตั้งคำถามเพราะว่า "คาดว่า"ในอีกไม่ช้าอัตราดอกเบี้ยอาจจะขยับตัว แต่ไม่แน่ใจว่า ที่ขยับตัวนั้น เนื่องจาก สภาพเศรษฐกิจภายในประเทศ หรือ การปรับตัวตามอัตราดอกเบี้ยที่มีฐานจากต่างประเทศ แล้วที่ตั้งไว้ที่ 3.5% เพราะน่าจะเป็นไปได้ใน 3 ปี(เดานะครับไม่มีข้อมูลอะไรมาสนับสนุน :lol: ) เพื่อนๆบางคนอาจใช้ 1) อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ เมื่อหักลบภาษีแล้ว 2) อัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคาร (เพราะบางท่านอาจเอาไปปล่อยกู้นอกระบบได้ แม้มีความเสี่ยงสูงกว่าการลงทุนใน ตลท. ไม่นับแบบกู้"ร้อยละยี่สิบ"นะครับ :wink: ) ซึ่งตัวเลขน่าจะประมาณ 10.5-11% 3) ความคาดหวังผลตอบแทนใน ตลท. (ตามที่คุณ thanwa ถามทิ้งไว้) ทั้งสามตัวน่าจะเป็นเกณฑ์เบื้องต้นที่จะใช้ในการตัดสินใจที่จะบริหารหุ้นที่มีอยู่ (ไม่รู้ว่าจะเรียกเป็น benchmark ได้หรือเปล่านะ) แล้วหุ้นที่มีผลตอบแทนจากปันผล ที่น้อยกว่า"เกณฑ์"ที่ตั้งไว้เราก็จะคัดออกไปทีละตัว (เพราะเราสามารถเข้าไปลงทุนใน 1) หรือ 2) ได้แทน) และถ้าดอกเบี้ยขยับตัวสูงขึ้นอีกเรื่อยๆ "หุ้น"ที่น่าลงทุนก็จะน้อยลงไปเรื่อยๆ จนท้ายที่สุดไม่มี"หุ้น"ที่น่าลงทุนสำหรับ VI อีกเลย และนั้นอาจจะหมายถึง เวลาที่"งานเลี้ยง"ต้องเลิกลา ถึงเวลาที่เราควร"ออก"ได้แล้ว ***ถ้าเราเชื่อว่าตลาดหุ้นมีไว้เพื่อการลงทุน*** เพราะหลังจากนั้นเป็นเวลาของ VS และความเสี่ยงล้วนๆ :คุณ Jeng ผมเห็นด้วยครับ และเชื่อว่า คนที่จะรอดได้ต้องรู้ว่า"มันถึงเวลาแล้ว" และหาให้ได้ว่าอะไรคือ สัญญาณ :คุณ thanwa เรื่องความคาดหวังผลตอบแทน โดยส่วนตัวผมพยายามจะทำให้ได้ที่ 5-7% ต่อเดือนและทบลงในพอรต์ครับ(ไม่รู้จะทำได้หรือเปล่า :) ) :คุณ Guest ช่วงตลาดอยู่ที่ 1700 ผมยังไม่ได้เข้ามาลงทุนเลยครับ เลยไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร แต่คิดว่าหลายๆคนที่ลงทุนในช่วงนั้น น่าจะลำบาก เพราะตลาดได้ปรับตัวลง :คุณ pro_baby ผมคิดว่าแม้ว่ากำไรสุทธิจะโตขึ้น 2-3 เท่า แต่สุดท้ายปันผลคือ คำตอบ และ ผมไม่คิดว่าจะมีบริษัทไหนให้ปันผลได้สูงเกิน 25% (ถ้าไม่ผิดเคยเห็น choti ให้เกือบ 20% 3-4ปีที่ผ่านแล้วนะครับ ไม่รู้ว่าเขาทำธุรกิจอย่างไรเหมือนกัน ปัจจุบัน คิดว่าเป็น 0%) :คุณ kk คนรวยเหล่านั้นอาจกลุ้มใจได้เหมือนกันนะครับ ถ้า อัตราเงินเฟ้อ= 2.5% :) โดย strip พฤหัสฯ. พ.ย. 13, 2003 12:19 am