หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
Marketplace
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
ลงทุนได้ผล คนเป็นสุข
ลงทุนได้ผล คนเป็นสุข
Joined: พุธ พ.ย. 01, 2006 3:42 pm
123
โพสต์
|
0
กำลังติดตาม
|
0
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - ลงทุนได้ผล คนเป็นสุข
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: สงสัยกลไกการควบคุมอัตราดอกเบี้ยของแบงค์ชาติ
[quote="vilage"]คือผมไม่ได้จบมาทางด้านนี้ พยายามหาหนังสือเศรษฐศาสตร์มาอ่านก็ไม่เห็นมีพูดเรื่องสงสัยกลไกการควบคุมโดยแบงค์ชาติ จึงอยากจะขอความกรุณาผูรู้ช่วยไขข้อสงสัยให้หน่อยครับ ข้อสงสัยมดังนี้ครับ 1.อัตราดอกเบี้ยนโยบายของแบงค์ชาติคืออะไรทำไมจึงมีผลต่ออัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ครับ 2.อัตราดอกเบี้ยรับซื้อคืนพันธบัตรหนึ่งวันคืออะไรครับ 3.ได้ยินมาว่าเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ได้มาจะมีจำนวนหนึ่งต้องเอาไปฝากแบงค์ชาติจริงหรือเปล่าครับ ถ้าจริงเพื่ออะไรครับ 4.ธนบัตรใหม่ที่พิมพ์เข้ามาในระบบใช้ช่องทางไหนในการกระจายธนบัตรครับ ขอบคุณล่วงหน้าครับ สำหรับผู้ใจดีทุกคน[/quote] เฉพาะข้อ3.ครับ โดยทั่วๆไป ทาง แบงค์ชาติจะควบคุมปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบเพื่อตอบสนองความต้องการเช่นกระตุ้นเศรษฐกิจหรือลดความร้อนแรงที่มากเกินไป ได้ 3 กระบวนการ 1.(ใช้บ่อยสุด) ออก/ซื้อคืน พันธบัตรต่างๆ เพื่อควบคุมปริมาณเงิรน ถ้าธนาคารกลางต้องการให้ปริมาณเงินในระบบลดลง ทาง ธนาคารกลางก็จะออกตราสารหนี้ภาครัฐออกมาเพื่อดูดซับสภาพคล่องส่วนเกิน ส่งผลให้ปริมาณเงินลดลง การไหลเวียนช้าลง คนมีเงินสดน้อยลง ซื้อขายสินค้ายากขึ้น เงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลง ...กลับกันก็จะเป็นตรงกันข้าม 2.(ใช้น้อยลงหน่อย) เราคงได้ยินบ่อยๆคือ ธนาคารกลางปรับเพิ่ม/ลดอัตราดอกเบี้ย การเพิ่มลดอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลกระทบต่อภาพรวม ต่อเศรษฐกิจโดยรวม ตัวอย่างเช่น ในปัจจุบันที่ทางธนาคารกลางของหลายๆประเทศกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับต่ำ คิดง่ายๆก็เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนผลนอกเหนือจากนั้นคือ การที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่ต่ำ เป็นการกดดันให้คนที่มีเงินออม จำเป็นต้องนำเงินออมไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น (ดีกว่าฝากเงินได้ดอกร้อยละ 0.5) ส่งผลให้มีการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ / หุ้น / และสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆเช่นทองเป็นต้น 3.(ใช้น้อยสุด)(อันนี้คือคำตอบของข้อ 3 ที่ถาม) เป็นการควบคุมปริมาณการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ โดยกำหนดวงเงินที่ทางธนาคารจะต้องเก็บไว้ เช่น กำหนดเป็นกี่บาท?ต่อเงิน 100 บาท ซึ่งปกติทางธนาคารกลางจะไม่ค่อยปรับเปลี่ยนระดับที่กำหนดนี้ เนื่องจากกระทบต่อโครงสร้างธนาคาร ยกเว้นแต่ต้องการควบคุมเฉพาะจุด ตัวอย่างเช่น ทาง ธนาคารจีนได้กำหนดอัตราเงินเก็บไว้ที่ร้อยละ 16.50 ต่อเงิน 100 บาท โดยปรับเพิ่ม 2 ครั้งนับจากเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ วงเงินการปล่อยสินเชื่อลดลง ลดการกู้ยืมเงินไปเก็งกำไรในอสังหาริมทรัพย์ที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วง3-4 ปีที่ผ่านมา ราคาอสังหาริมทรัพย์จีนก็ปรับตัวลดลงทันทีที่มีนโยบายออกมา เป็นการแก้เฉพาะจุด ข้อ 1-2 ลองเข้า google ครับคงน่าจะได้รับคำตอบที่ดี ส่วนข้อ 4 ผมเคยเห็นรายการกบนอกกะลานำมาออกแล้ว ลองเข้าไปหาดูครับ...
โดย
ลงทุนได้ผล คนเป็นสุข
พุธ พ.ค. 05, 2010 1:58 am
0
0
ขอจอง 3 ที่ครับ
ขอจอง 3 ที่ครับ..
โดย
ลงทุนได้ผล คนเป็นสุข
ศุกร์ ก.พ. 05, 2010 12:03 pm
0
0
...
เหมือนกับแบงค์ SCB อยากจะมีสินทรัพย์สูงกว่า BBL ก็เลยแนะนำให้ ควบ KTB กับ TMB ... ดีหรอครับ?
โดย
ลงทุนได้ผล คนเป็นสุข
อังคาร ธ.ค. 01, 2009 11:52 pm
0
0
...
ขอจอง 2 ที่ครับ
โดย
ลงทุนได้ผล คนเป็นสุข
พฤหัสฯ. ส.ค. 13, 2009 3:31 pm
0
0
...
นับถือ นับถือ...
โดย
ลงทุนได้ผล คนเป็นสุข
อาทิตย์ เม.ย. 13, 2008 12:59 am
0
0
...
Risk Aversion หมายถึง กลุ่มนักลงทุนที่ชอบลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงมากกว่าสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง ในขณะที่ทุกๆอย่างเหมือนกัน อธิบายเป็นเกมส์น่าจะเข้าใจมากขึ้นครับ สมมุติว่าเกมส์นี้ คุณ Darkrune เลือกได้แค่ 1 ข้อนะครับ ข้อที่1) ได้เงินเลย 1 ล้านบาทไม่ต้องเล่นเกมส์ ข้อที่ 2) ให้โยนลูกเต๋าที่มี 6 หน้า ถ้าออกหน้าที่มีเลข 6 ได้ไปเลย 6 ล้านบาท ออกหน้าอื่นไม่ได้สตางค์ครับ .....สังเกตุว่า E(r) ของเกมส์นี้อยู่ที่ 1 ล้านบาทเท่ากันทั้ง 2 ข้อแต่ว่า คุณ Darkune เลือกข้อไหนครับ? ....เค้าว่ากันว่า ร้อยละ 75-77 จะเลือกข้อที่ 1 ครับ อันนี้น่าจะเป็นความหมายของ Risk aversion นะครับ Diversifiable risk = unique risk = firm specific risk = unsystematic risk ตามทฤษฏีเค้าให้ความหมายว่าเป็นความเสี่ยงเฉพาะของสินทรัพย์นั้นๆครับ ซึ่งนักลงทุนสามารถ ลดทอน / ทำให้น้อยลงได้ ด้วยการลงทุนในสินทรัพย์หลายๆตัว ถ้าอยากได้แบบลึกๆ แนะนำอันนี้ครับ "How many Stock make a diversified portfolio?" Meir statman journal of financial and Quantitative analysis 22,no 3 CAPM หาอ่านได้ทั่วไปครับ
โดย
ลงทุนได้ผล คนเป็นสุข
อังคาร ธ.ค. 04, 2007 12:00 pm
0
0
ได้บทความมาอันหนึ่ง เผื่อใครๆสนใจ
สวัสดีครับท่านผู้อ่าน นี่เผลอแป๊บเดียวก็ขึ้นปีใหม่อีกแล้ว (นี่เป็นคอลัมน์แรกที่ผมเขียนในปี 2550) นับไปนับมา ปีนี้ก็เป็นปีที่ 3 แล้วของคอลัมน์นอกรอบ ผมย้อนนึกไปสมัยที่เริ่มเขียนคอลัมน์นี้ใหม่ๆ จำได้ว่าตอนนั้นพยายามที่จะให้คอลัมน์นี้เป็นคอลัมน์คุยเศรษฐกิจและสังคมในประเด็นที่น่าสนใจกันแบบสบายๆ ไม่เป็นทางการมากนัก แต่ดูเหมือนว่าผมกลับไปอ่านสิ่งที่ตัวเองเขียนแล้วรู้สึกว่าไปเขียนมากลับกลายเป็นเขียนแต่เรื่องเครียดๆ หรือมีแต่ตัวเลขเยอะแยะเต็มไปหมดเป็นส่วนใหญ่ (ซึ่งอาจเป็นประโยชน์กับผู้อ่านบางท่านที่ได้นำตัวเลขนั้นไปใช้ แต่ในทางกลับกันอาจทำให้ผู้อ่านบางท่านรู้สึกยากต่อการเข้าใจ) หยุดช่วงปีใหม่ไปหลายวันผมเลยมีเวลาได้คิดว่าจะทำยังงัยให้ท่านผู้อ่านได้อ่านและทำความเข้าใจกับเศรษฐกิจและสังคมไทยได้ง่ายๆ เพลินๆ สมชื่อคอลัมน์นอกรอบ คิดไปคิดมาก็มาปิ๊งไอเดียที่ว่าปีนี้ น่าจะเขียนเป็นแนวละครถาม-ตอบ โดยมีเด็กขี้สงสัยชื่อ หนูฉงน และ อจ. ที่ต้องคอยตอบคำถามชื่อ อจ. เฉลย เป็นตัวเอก วันนี้หนูฉงน กำลังฉงนอย่างหนักว่าเกิดอะไรขึ้นกับค่าเงินบาท ทำไมค่าเงินบาทถึงแข็งขนาดนี้ โดยเฉพาะค่าเงินบาทในตลาด Offshore (เงินบาทที่ซื้อขายกันในต่างประเทศ) ถึงแข็งเอาๆ โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาปิดตลาดที่ระดับ 33.5 บาท/ดอลลาร์ สรอ. ในตลาด Offshore ในขณะที่ตลาด Onshore (เงินบาทที่ซื้อขายกันในประเทศ) ซื้อขายกันที่ระดับประมาณ 36.0 บาท/ดอลลาร์ สรอ. และความสงสัยของหนูฉงน ก็เป็นที่มาให้หนูฉงนต้องเดินเข้าไปถาม อจ. ในเรื่องนี้.... หนูฉงน : เงินที่ไหลเข้ามาในประเทศไทยมันเข้ามาทำอะไรค่ะ อจ.? อจ. เฉลย : จริงๆ แล้วเงินที่ไหลเข้าประเทศเข้ามาได้เพื่อ 2 อย่างคือเข้ามาเพราะเราค้าขายกับต่างชาติแล้วกำไร หรือที่เราอ่านๆ ตามหน้า นสพ. กันแล้วเค้าใช้คำว่า เกินดุลบัญชีเดินสะพัด กับเข้ามาเพราะจะมาหาผลประโยชน์ตอบแทน หรือที่เค้าใช้คำว่า บัญชีทุนเคลื่อนย้าย หล่ะครับ หลังแบงค์ชาติประกาศมาตรการกันสำรอง 30% มาใช้บวกกับ กฏหมายนอมินี ก็ทำเอาเงินไหลเข้าฝั่งบัญชีทุนเคลื่อนย้ายชะงักไป ตอนนี้ผมเลยว่ามีแต่ดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุล ที่ผลักดันให้เงินบาทแข็งค่าอยู่ในปัจจุบัน หนูฉงน : อ้าว แต่หนูได้ยินท่าน รมว. คลังฯ ออกมาบอกว่าการลงทุนโดยตรงของต่างประเทศ (FDI) เดือนนี้เพิ่มขึ้นมากไม่ใช่หรอค่ะ? อจ. เฉลย : ปกติตัวเลข FDI แบงค์ชาติเค้ารายงานช้า 2 เดือนนะ ผมเห็นล่าสุดเดือน ต.ค. 2549 ในเวปแบงค์ชาติ ก็ตกลงเยอะนะ จากระดับเฉลี่ยประมาณ 400-600 ล้านดอลลาร์ สรอ. ต่อเดือน ลงมาอยู่ที่ 100 กว่าๆ ดอลลาร์ สรอ. ในเดือน ต.ค. 2549 แต่ตรงนี้คงยังมองไม่เห็นผลของมาตรการแบงค์ชาติหรอครับ เพราะเป็นข้อมูลเดือน ต.ค. ซึ่งก่อนเดือน ธ.ค. ที่แบงค์ชาติจะออกมาตรการ แต่ถ้าให้ผมเดานะ ตัวเลข FDI ที่ว่า น่าจะสูงขึ้นจากการเข้ามาซื้อหุ้นธนาคารกรุงศรีฯ ของบริษัท GE Capital เป็นหลัก เพราะการซื้อหุ้นเกิน 10% ไทยเรานับว่าเป็นการลงทุนทางตรงอ่ะครับ หนูฉงน : อ๋อ อย่างนี้ก็เข้ามาครั้งเดียวแล้วจบกันสิค่ะ.. เอ แต่หนูเห็นหุ้นขึ้นเอาๆ หลังจากกฏหมายนอมินีได้รับการเห็นชอบจาก ครม. นะ อจ. เค้าว่ากันว่าต่างชาติซื้อสุทธิกันได้ทุกวี่ทุกวัน อย่างนี้จะบอกว่าเงินไม่ไหลเข้าได้ยังงัยค่ะ? อจ. เฉลย : จิงๆ เงินต่างชาติที่เข้ามาในไทย อยู่ได้ 3 ที่คือ 1. ตลาดหุ้น 2. ตลาดตราสารหนี้ และ 3. บัญชีเงินฝากในรูปเงินบาทของผู้ที่ไม่ได้มีถิ่นพำนักอยู่ในประเทศไทย หรือที่เค้าเรียกกันว่า Non-Residential Baht Account (NRBA) ถ้าไม่อยู่ 3 ที่นี้ ก็ต้องเอาออกนอกประเทศ ซึ่งจะทำให้ค่าเงินบาทอ่อน ข้อมูลตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้ หนูสามารถดูได้เป็นรายวัน แต่ NRBA เราไม่รู้รายวัน แต่เราสามารถดูได้อ้อมๆ จากอัตราแลกเปลี่ยน ถ้าตลาดหุ้นตก + ดอกเบี้ยในตลาดตราสารหนี้ขึ้น (ตลาดตราสารหนี้ขาดสภาพคล่อง) + เงินบาทไม่อ่อน ก็ พอเดาๆ ได้ว่าเงินที่ขายหุ้น + ขายพันธบัตร มันน่าจะไปอยู่ที่ NRBA เพราะเงินบาทไม่อ่อน แสดงว่าเงินไม่ได้ไหลออกนอกประเทศ ซึ่งถ้าหนูจำได้ ตอนแบงค์ชาติประกาศมาตรการกันสำรอง 30% แล้ววันรุ่งขึ้น (19 ธ.ค. 2549) มูลค่าตลาดหุ้นถล่มทะลายไป 8 แสนกว่าล้านบาท แม้จะมีการออกมาแก้มาตรการกันในวันถัดมาให้มาตรการมีผลบังคับใช้เฉพาะตลาดตราสารหนี้ แล้วทำให้หุ้นกระเตื้องขึ้นมาพอสมควรก็เถอะ แต่มูลค่าตลาดฯ ก็ยังไม่กลับมาเท่าเดิม ส่วนตลาดตราสารหนี้ ไม่ต้องพูดถึงเพราะมาตรการยังมีผลบังคับใช้กับตลาดตราสารหนี้อยู่ เงินที่ไหลออกจากตลาดหุ้น และตลาดตราสารหนี้ ไปไหนไม่ได้ ก็ต้องมาอยู่ที่ NRBA ซึ่งเป็นเงินเยอะโขอยู่ ช่วงแรกได้ยินว่าแบงค์ชาติผ่อนคลายให้จากเดิมแต่ละคนมีเงินอยู่ใน NRBA ได้ไม่เกินคนละ 300 ล้านบาทเป็นให้มีได้ไม่จำกัด ถ้าจำไม่ผิดจนถึงวันที่ 8 ม.ค. 2550 นะ ตรงนี้หมายความว่า หลังวันที่หมดระยะเวลาผ่อนคลาย นักลงทุนต่างประเทศก็มีทางเลือกแค่ 3 ทางคือ 1. ต้องกลับเข้าไปตลาดตราสารหนี้ ซึ่งผมไม่คิดว่าจะกลับเพราะมาตรการยังคงมีผลบังคับใช้อยู่ หรือไม่ก็ 2. กลับเข้าไปตลาดหุ้นฯ ซึ่งตอนแรกผมก็ไม่คิดว่าจะกลับเพราะตอนนั้นได้ยินว่ากฎหมายนอมินีทำให้ต่างชาติไม่พอใจถึงขึ้น Zero Weight (ถอนการลงทุน) จากประเทศไทย หรือไม่ก็ 3. ขนเงินออกนอกประเทศไปเลย ซึ่งจะทำให้เงินบาทอ่อนค่า ซึ่งตอนนั้นน่าจะเป็นกรณีที่เป็นไปได้มากที่สุด แต่สุดท้ายแล้ว 2 วันหลังจาก ครม. เห็นชอบในหลักการเรื่องกฏหมายนอมินี ตลาดหุ้นไทยกลับบวกขึ้นจากแรงซื้อต่างชาติอย่างต่อเนื่องจนมาแผ่วลงอย่างเห็นได้ชัดหลังจากแบงค์ชาติเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก R/P 14 วันเป็น R/P 1 วัน และปรับลดดอกเบี้ยลงเหลือ 4.75% หนูฉงน : โอโห อย่างนี้หนูยิ่งงงไปใหญ่เลย เพราะนอกจาก อจ. จะไม่ตอบหนูว่าต่างชาติซื้อหุ้นสุทธิติดต่อกันแล้ว ยังจะทำให้หนูสงสัยว่าการที่แบงค์ชาติลดดอกเบี้ย เท่าที่หนูเรียนมาเนี่ย จะทำให้เงินทุนไหลออก เพราะผลตอบแทนทางการเงินในประเทศไทยน้อยลง และจะทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงไม่ใช่หรือค่ะ แต่นี่ทำไมค่าเงินบาทในตลาด Offshore (เงินบาทที่ซื้อขายกันในตลาดต่างประเทศ) ถึงแข็งเอาๆ จนเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (26 ม.ค. 2550) มาปิดตลาดที่ระดับประมาณ 33.5 บาท/ดอลลาร์ สรอ. อจ. เฉลย : ตรงนี้แยกได้เป็น 2 ประเด็นนะครับ ประเด็นแรกคือ ทำไมต่างชาติถึงกลับเข้าซื้อหุ้น และประเด็นที่สองคือทำไมเงินบาท Offshore ถึงแข็งค่า เอาเรื่องแรกก่อนนะครับ ผมว่ามาตรการกันสำรอง 30% นี่ได้ผลเกินคาด หลังจากมาตรการนี้ออกมา ใครจะเอาเงินเข้ามาเมืองไทยก็ยังมีความกล้าๆ กลัวๆ อยู่ กลัวว่าเข้ามาแล้วจะเอาออกไม่ได้ หรือกลัวว่าถ้าเอาเงินออกไปแล้วจะเอากลับเข้ามาไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราเลยเห็นว่าเงินทุนไหลเข้าจากฝั่งบัญชีทุนเคลื่อนย้ายหยุดชะงักลง ยังจะมีก็แต่เงินทุนไหลเข้าจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอยู่ในระดับสูง ในขณะเดียวกัน ต่างชาติคนไหนที่มีเงินอยู่ในประเทศไทยแล้วก็ต้องสงวนท่าทีระมัดระวังในการเอาเงินออกนอกประเทศเพราะถ้าออกแล้วก็กลัวว่าเดี๋ยวจะกลับเข้ามาไม่ได้อีก ก็เข้าใจครับว่าดังนั้นกรณีที่ 3 ข้างต้น (ขนเงินออกนอกประเทศไปเลย) อาจเป็นกรณีที่ต้องทำด้วยความระมัดระวัง และเป็นที่ปรากฏว่า ต่างชาติเลือกกรณีที่ 2 คือกลับเข้าไปในตลาดหุ้นอีกครั้ง แล้วอย่างนี้ที่บอกว่าจะ Zero Weight ประเทศไทยหน่ะ เป็นการขู่อย่างเดียวหรือ จริงๆ แล้วยังอยากลงทุนในตลาดหุ้นไทยที่เป็นตลาดที่มีผลตอบแทนสูงอยู่หล่ะสิ จะฟันธงซะอย่างนั้นเลย ก็ไม่ถูกนะครับ ถ้าไปเช็คดูดีๆ การกลับเข้าซื้อหุ้นของฝรั่งรอบนี้ทำผ่านโบรกเกอร์เพียงไม่กี่รายที่โดยปกติมีส่วนแบ่งตลาดอยู่อันดับท้ายๆ ของ Top 10 แต่อยู่ๆ ก็กลับมาซื้ออย่างหนักจนขึ้นเป็นอันดับ 1-2 ในช่วงหลังจาก พรบ. นอมินี ผ่านความเห็นชอบ ครม. โดยก่อนหน้านี้ได้มีธุรกรรมในตลาดซื้อขายล่วงหน้าอยู่จำนวนมาก มันหมายความว่าอะไรหรือครับ? ตรงนี้ถึงแม้จะฟันธงได้ไม่ชัดเจน แต่ก็พอจับเค้าได้ว่า การซื้อขายในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นการซื้อหุ้นคืนเพื่อชดใช้หุ้นที่ตนได้ทำสัญญาขายล่วงหน้าไว้ หรือที่ภาษาเทคนิคเค้าเรียกกันว่า Cover Short นั่นแหล่ะครับ ก็แหม เงินบาทของตนมีล้นอยู่เต็มมือในประเทศ จะเอาออกก็กลัวเข้ามาอีกไม่ได้ ไหนๆ ก็ไหนๆ ก็ Cover Short ไปก่อนไม่ดีกว่าหรือครับ ตอนจะขนเงินออกจริงๆ จะได้ไม่ต้องมีเยื่อใยกลับมาซื้อคืนอีกในอนาคต จะได้ออกไปเลยให้มันรู้แล้วรู้รอดเสียทีเดียว อีกอย่างช่วงนั้นก็พอเก็งๆ กันได้ว่าวันที่ 17 ม.ค. 2550 แบงค์ชาติคงต้องลดดอกเบี้ยแน่ๆ พอดอกเบี้ยลดปุ๊บ ราคาพันธบัตรก็สูงขึ้น ต่างชาติลงทุนในพันธบัตรอยู่ราว 9 หมื่นล้านบาท ซึ่งดูเหมือนเป็นน้องชายเมื่อเทียบกับพี่ใหญ่อย่างตลาดหลักทรัพย์ที่ลงทุนอยู่ราว 3.3 แสนล้านบาท ดังนั้นถ้าเป็นผม ก็คงต้องรีบทำ Cover Short ในตลาดพี่ไว้ก่อนพอราคาพันธบัตรสูงและตลาดน้องกำไร ก็จะได้ขายในตลาดพี่และตลาดน้อง (ตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้) และนำเงินออกไปทีเดียวไม่ดีกว่าหรือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ใกล้เคียงการเดาครับ หลังแบงค์ชาติประกาศลดดอกเบี้ย โบรกเกอร์ที่ว่านั้นก็แทบจะกลับมาซื้อขายตามปกติ แต่ยังครับ การเอาเงินออกมันยังเร็วเกินไป ต้องทำเงินบาทให้มันแข็งๆ ก่อน ตอนเอาเงินออกมันจะได้เอาออกแล้วได้กำไรอีกเด้งนึงด้วย หนูฉงนก็เลยงงใช่ไหมครับว่าทำไมที่เรียนมาเค้าบอกว่าลดดอกเบี้ยแล้วเงินจะไหลออก เงินบาทจะอ่อน แต่นี้ลดดอกเบี้ยแล้วเงินบาทใน Offshore กับแข็งขึ้นสวนกระแสอย่างนี้ ถึงตรงนี้คงต่อข้อถามในประเด็นที่ 2 ไปได้ระดับนึงแล้วนะครับว่าทำไมเงินบาท Offshore ถึงแข็งขนาดนี้ คำตอบคร่าวๆ ก็คือมันเป็นกระบวนการเก็งกำไรขั้นปลายแล้วครับ ไม่มีใครกล้ามาเก็ง Onshore (การซื้อขายเงินในประเทศ) หรอกครับ เค้ากลัวแบงค์ชาติกัน ไปเก็งกันต่างประเทศดีกว่า แล้วเดี๋ยวผลมันก็ส่งถึงในประเทศเองแหล่ะครับ จริงๆ อยากคุยต่อนะครับ ว่าวิธีการทำให้ Offshore มันแข็งหน่ะ ทำได้อย่างไร? ผ่านกระบวนการไหน แต่วันนี้เนื้อที่หมดแล้ว คงต้องขอยกยอดไปฉบับหน้าแล้วกันนะครับ ปกติผมจะส่งต้นฉบับจันทร์สุดท้ายของทุกเดือน กว่าจะตีพิมพ์ก็วันพุธ ใครสนใจติดตาม อจ. กับลูกศิษย์คู่นี้ต่อก็ติดตามได้ตามเวลาดังกล่าวนะครับ วันนี้ก่อนไปอยากให้จับตาดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากอัตราแลกเปลี่ยนในตลาด Onshore ปรับตัวแข็งค่าตาม Offshore กันดีกว่าครับ สวัสดีครับ
โดย
ลงทุนได้ผล คนเป็นสุข
จันทร์ ม.ค. 29, 2007 3:44 pm
0
0
....
อืม พอเข้าใจเล็กๆ ขอบคุณสำหรับ Khun Picatos ครับ เรื่อง ให้ BOT เข้า ไปแทรกแทรง ผมเข้าใจว่า เค้าแทรกแทรงจนน่าจะหมดน่าตักแล้ว เห็นจากที่เงินทุนสำรองพุ่งขึ้นมาตั้ง 60000 กว่าล้าน $ แล้ว
โดย
ลงทุนได้ผล คนเป็นสุข
จันทร์ ม.ค. 29, 2007 12:03 pm
0
0
...
พอดีอยากมาตั้งคำถามเดียวกันเลยครับ เลยขอร่วมด้วยคน 1.) ใครพอทราบไหมว่า การ trade การลักลอบเทรดเงินผ่าน L/C ที่ทำให้เกิดผลต่างของ Off /On เค้ามีวิธีการอย่างไรบ้าง 2.) เท่าที่ทราบมาว่า แบงค์ชาติหมดหน้าตักแล้ว เงินทุนสำรองที่เห็นก็ของปลอม จากหนี้ T-Bill & RP ที่บานเต็มตัว จนต้องลดเงินค้ำประกันค่าเงิน เห็นเค้าบอกว่าจะเกิดแบบ Tsunami แบบน้ำลดก่อนแล้วค่อยตีกลับ ใครพออธิบายได้บ้างครับ ขอบคุณล่วงหน้า :cry:
โดย
ลงทุนได้ผล คนเป็นสุข
จันทร์ ม.ค. 29, 2007 11:58 am
0
0
หน้า
1
จากทั้งหมด
1
ชื่อล็อกอิน:
ลงทุนได้ผล คนเป็นสุข
ระดับ:
Verified User
กลุ่ม:
สมาชิก
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
พุธ พ.ย. 01, 2006 3:42 pm
ใช้งานล่าสุด:
อังคาร ก.พ. 07, 2017 1:59 pm
โพสต์ทั้งหมด:
123 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.01% จากโพสทั้งหมด / 0.02 ข้อความต่อวัน)
ลายเซ็นต์
ลงทุนได้ผล คนเป็นสุข
GO_TO_SEARCH_ADV
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์ [กระทู้รับชมออนไลน์]
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์
↳ ThaiVI GO Series
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ Value Investing
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว