หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
Marketplace
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
ไม่บังอาจ
Joined: อังคาร ต.ค. 03, 2006 7:20 am
29
โพสต์
|
0
กำลังติดตาม
|
0
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - ไม่บังอาจ
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
เงินบาทแข็ง บริษัทนำเข้าไหนได้ประโยชน์บ้าง ครับ
ผลประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงค่าเงินที่มีต่อหุ้นบางตัวนี่ มันพูดยาก โดยเฉพาะในธุรกิจที่เป็นการผลิต เพราะมันจะมีเรื่องของ Lead and Lag เข้ามาเกี่ยวข้อง (รับออร์เดอร์เข้ามาตอนไหน สั่งซื้อวัตถุดิบตอนไหน ผลิตกี่วัน ส่งออกไปตอนไหน) ทำให้เราคาดการณ์ได้ไม่แม่นเท่าไหร่นัก แค่เห็นทิศทางเลาๆว่าน่าจะได้ประโยชน์ หรือเสียประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงค่าเงิน แต่จะมากน้อยแค่ไหน พูดยาก
โดย
ไม่บังอาจ
ศุกร์ ต.ค. 01, 2010 2:35 pm
0
0
อยากให้ช่วยวิเคราะห์
[quote="tooyen"]มันไม่ใช่หุ้นบ.มหาชนไม่ได้อยู่ในตลาดแต่เราสามารถถือมันทางอ้อมได้ครับ
โดย
ไม่บังอาจ
เสาร์ พ.ย. 28, 2009 8:39 am
0
0
Mint - Asset Light
ต้นทุนค่าอาหาร ค่าไฟ ค่าพนักงาน คนซื้อแฟรนไชส์เป็นคนรับผิดชอบ แต่ในส่วนเงินเดือนผู้บริหารที่บริษัทเจ้าของสิทธิ์ส่งมาดูแล บริษัทเจ้าของสิทธิ์เป็นคนจ่ายเอง (แต่ก็ไปเรียกเก็บจากคนซื้อแฟรนไชส์อยู่ใน management fee)
โดย
ไม่บังอาจ
จันทร์ พ.ย. 23, 2009 12:16 pm
0
0
Mint - Asset Light
1.1 กลยุทธ์แบบนี้จะทำให้ต่อไปในอนาคตบริษทไม่จำเป็นที่จะต้องการเงินลงทุนสูง ๆ เหมือนในช่วงที่ผ่านมาหรือไม่? ตอบ: ใช่ 1.2 Margin จะดีขึ้นกว่าเดิมจริงหรือไม่? ตอบ: ถ้าปัจจัยอื่นๆคงที่ ส่วนที่เติบโตจาก asset light จะทำให้ margin ดีขึ้น 1.3 จะทำให้การขยายตัวของรายได้เป็นไปในอัตราที่สูงขึ้นกว่าที่ผ่านมาหรือไม่? ตอบ: ไม่แน่นอนว่าอัตราการขยายตัวจะสูงกว่า เพราะค่า fee เป็นเงินก้อนไม่ใหญ่ เพียงแต่มีมาร์จินดี 1.4 ถ้าเป็นอย่าง 3 ข้อข้างบนจริง จะทำให้ ROA และ ROE สูงขึ้นกว่าเดิมหรือไม่ครับ? ตอบ: ถ้าปัจจัยอื่นๆคงที่ ส่วนที่เติบโตจาก asset light ทำให้ ROA ROE ดีขึ้น 2. ธุรกิจอาหารของ Mint ยังสามารถจะเติบโตได้อีกมากหรือไม่ โดยเฉพาะโอกาสในต่างประเทศ เช่น จีน อินเดีย เป็นต้น แน่นอนผมมองว่าการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จในต่างประเทศนั้นยากกว่าในประเทศหลายเท่า ตอบ: โอกาสมี แต่เราจะชนะหรือไม่ ไม่มีใครตอบได้ 3. กลยุทธ์การเติบโตของธุรกิจแบบ Acquisition คือไปซื้อ Brand อาหารที่ดี ๆ มาบริหารต่อ มีบริษัทไหนในต่างประเทศที่ทำแบบนี้แล้วประสบความสำเร็จมาก ๆ มีหรือเปล่าครับ แล้วถ้า Mint จะไปในแนวนี้โอกาสมีมากแค่ไหนครับ ตอบ: มีครับ ส่วน mint จะใช้แนวนี้ได้มากน้อยแค่ไหน ก็คงต้องดูกระแสเงินสดจากส่วนโรงแรม 4. ถ้าผมมองว่า Mint เป็นหุ้นแบบวัฐจักร(ธุรกิจโรงแรม) การซื้อใน PE สูง ๆ เช่นนี้ (ตามที่ Peter Lynch บอก) นั้นถูกต้องหรือเปล่าครับ? ตอบ:ในส่วนของธุรกิจโรงแรม จะว่าเป็นธุรกิจวัฏจักร ผมก็ไม่เห็นด้วย แต่เป็นธุรกิจที่อ่อนไหวต่อ uncertainty เท่านั้นเอง การเข้าซื้อหุ้นในช่วงที่ PE สูง ก็ต้องมั่นใจก่อนว่าโรงแรมที่เราจะซื้อนั้นเข้มแข็งพอที่จะผ่านช่วงเลวร้ายนี้ไปได้ (สามารถบริหารจัดการ ADR และ Occupancy Rate ให้ได้ RevPAR ในระดับที่ไม่ขาดทุนได้) และมั่นใจว่า uncertainty ที่เกิดขึ้นมานั้น ใกล้จะจบ 5. ธุรกิจที่ใช้กลยุทธ์แบบ M&A ในการเติบโต โดยปกตินั้นตลาดจะให้ PE ที่สูงกว่าบริษัทแบบปกติหรือเปล่าครับ?(อันนี้รวมถึงในตลาดต่างประเทศด้วยครับ) ตอบ: หลายบริษัททำ M&A แล้วเจ๊งเยอะครับ แต่ที่ไปได้ดีก็มีให้เห็น อย่าง InterContinental Hotel Group ซึ่งเป็นเครือโรงแรมใหญ่ที่สุดในโลก (มีโรงแรมเกือบจะ 4,400 แห่ง มีห้องพักเกือบจะ 650,000 ห้อง) ก็ไปได้ดี เฉพาะไตรมาส 3 ปีนี้ operating profit จากโรงแรมที่เป็นเจ้าของ มีแค่ 20 ล้านเหรียญ แต่operating profit จากการรับจ้างบริหารและแฟรนไชส์ 143 ล้านเหรียญ ตอนนี้ IHG ซื้อขายกัน P/E 21 เท่า
โดย
ไม่บังอาจ
จันทร์ พ.ย. 23, 2009 10:37 am
0
0
ซอคเจน กับ ลี นิกซัน
คุณพี่นิค ลีซั่น แกตายแล้วนี่ครับ เห็นว่าเพิ่งตายในคุก ความเหมือนของคนโลภ จบเหมือนกัน คือ จบเห่ แต่ลีลาการจบจะเป็นแบบไหน ก็สุดแล้วแต่บุญกรรม
โดย
ไม่บังอาจ
ศุกร์ ม.ค. 25, 2008 4:45 pm
0
0
ถามเรื่องความรู้ที่จำเป็นต้องมีเพื่อเป็น VI ที่ดีครับ
การหัดอยู่เฉยๆเสียบ้าง
โดย
ไม่บังอาจ
พฤหัสฯ. ธ.ค. 06, 2007 8:58 am
0
0
ถือหุ้น...แทบจะขาดใจ
พี่ปรัชญาสบายดีนะครับ ผมไม่ได้เข้าเว็ปมานานทีเดียว ผมม้าเฉียวหนะครับ ลืมไปแล้วว่า password มันอะไร เสริมสุข นี่ชื่อมันโบราณ และน่าเบื่อๆดีนะครับ แต่กิจการก็อืดๆพอกัน แล้วตกลงพี่ลงมาขายน้ำเองเลยเหรอ น่าสนใจดีแท้
โดย
ไม่บังอาจ
ศุกร์ พ.ย. 16, 2007 9:30 am
0
0
ถือหุ้น...แทบจะขาดใจ
พี่ปรัชญาแซวได้ถูกใจจริงๆครับ บริษัทไฮเทคของพี่ก็ยังดูดีอยู่นะครับ แม้ไตรมาสนี้กำไรจะลดนิดๆ
โดย
ไม่บังอาจ
พุธ พ.ย. 14, 2007 9:49 am
0
0
รีแบรนด์ดิ้ง
คารวะ ท่านปราชญา จากหุบเขาดอกคูน ยินท่านบรรเลงเสียงแคน แว่วเสียงตามลม "รีด-แบน-กิน" ช่างเสนาะหูนัก คารวะ 10จอก
โดย
ไม่บังอาจ
พฤหัสฯ. ต.ค. 19, 2006 2:23 pm
0
0
คิดเล่นๆ เรื่อง ปรับพอร์ท รับ เศษฐกิจพอเพียง
สาระของเศรษฐกิจพอเพียง คือ 3 ห่วง 2 เงื่อนไข 3 ห่วง คือ พอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกัน 2 เงื่อนไข คือ เงื่อนไขความรู้ เงื่อนไขคุณธรรม หากปลูกฝังสิ่งเหล่านี้ได้จริง ก็เป็นเรื่องดี ไม่เว้นแม้แต่นักลงทุนอย่างเราๆท่านๆ หลายคนคงเจ็บปวดเพราะความโลภ ความไม่มีเหตุผล การไม่มี Margin of Safety ลงทุนเกินพรมแดนของความรู้ของตัวเอง จะลองน้อมรับเอาสาระเหล่านี้มาใช้ในการลงทุนหน่อยดีไหมครับ
โดย
ไม่บังอาจ
พฤหัสฯ. ต.ค. 19, 2006 2:09 pm
0
0
ช่างไม้
อื่ม ได้รับความรู้มากมายจริงๆครับ ขอบคุณเซียนทุกท่าน อันว่าราคาหุ้น หรือ p นี้ถูกมัดด้วยเชือก 2 เส้น ยักษ์ตนหนึ่ง ที่ซื่อ ผลประกอบการ e ถือเชือกด้านหนึ่ง และเชือกอีกด้านหนึ่งก็มียักษ์อีกตนหนึ่ง ชื่อ ความโลภ ถืออยู่ บางครั้ง ยักษ์สองตนนี้ครึ้มอกครึ้มใจ ก็มองหน้ากันแล้วยิ้ม ว่าแล้วก็วิ่งไปข้างหน้าด้วยกัน แต่บางครั้งบางช่วง อากาศแปรปรวน ยักษ์ตนหนึ่งพยายามฉุดไปข้างหน้า แต่อีกตนหนึ่งฉุดไปข้างหลัง เซียนหุ้นบางคนก็เลือกที่เดาใจยักษ์ที่ชื่อความโลภ อาจเป็นเพราะยักษ์ตนนี้เข้าใจได้ง่ายกว่า ยักษ์ที่ชื่อ ผลประกอบการ e ซึ่งมักเก็บตัวเงียบ นานๆทีถึงจะเอ่ยปากพูดคุยกับเซียนหุ้นซักครั้งหนึ่ง แต่เซียนหุ้นที่สามารถอ่านใจของยักษ์ ที่ซื่อ ผลประกอบการ e ได้ทะลุปรุโปร่ง ก็มักจะได้ชื่นชมความหอมหวนของดอกไม้วิเศษที่ยักษตนนั้นมอบให้ อย่างไรก็ดี การอ่านใจยักษ์ที่ชื่อ ผลประกอบการ e นี้ เซียนแต่ละคนก็มีมุมมองต่างกันออกไป แต่ที่แน่ๆคือ ไม่ใช่ ตัวเลขบรรทัดสุดท้ายอย่างแน่นอน ผลประกอบการ e นี้ แต่ละคนก็มีความซาบซึ่งที่ต่างกันออกไปอีก บางคนก็พูดถึง กระแสเงินสดอิสระ แน่หละ กระแสเงินสดอิสระที่มองก็ต่างกันไปอีก บางคนก็มองตามตำราว่ามา บางคนก็มองกระแสเงินสดที่ผู้ถือหุ้นได้รับประโยชน์จริงๆ ซึ่งก็ตีความต่างกันไป ตามแต่จะตีความ แต่เรื่องดังกล่าวก็ไม่ใช่ประเด็นหลัก เพราะประเด็นหลักไม่ใช่อยู่ที่ว่า มีเงินสดเหลืออยู่เท่าไร แต่สิ่งที่สำคัญคือ ในแต่ละปีสามารถหาเงินสดเพิ่มได้มากน้อยแค่ไหน และภาพเดียวกันนั้น มันก็เกิดขึ้นกับ กำไร e ซึ่งเป็นบรรทัดสุดท้าย ที่คนจำนวนมากมองกัน เพื่อเป็นสารอาหารให้ยักษ์อีกตนที่ชื่อ ความโลภ ได้มีแรงฉุดกระชาก ภาพนั้นไม่ว่ามันจะเกิดตรงไหน มันก็ชวนให้เวียนหัว ท่านแม่ทัพจึงลั่นกลองบอกข้าพเจ้าเป็นสัญญาณว่า ROI ซิ แม้ข้าพเจ้าจะเวียนหัวกับการอ่านใจยักษ์ที่ชื่อ ผลประกอบการ จนบางครั้งก็ทำให้ธาตุไฟเข้าแทรก แต่ข้าก็ข้าพเจ้าก็เป็นสุขยิ่งนัก
โดย
ไม่บังอาจ
พฤหัสฯ. ต.ค. 12, 2006 8:42 am
0
1
ช่างไม้
ยินดีที่ได้สนทนากับเหล่าอัศวินเจได อันว่าเจไดเปรียบดั่งการผสมผสานกัน ของ "นักรบ" กับ "นักพรต" และมักถูกกล่าวถึงในแง่เป็นสัญลักษณ์ทางจิตวิญญาณมากกว่ากองกำลังเพื่อการทำลายล้าง แม้จะมีลักษณะภายนอกที่เป็นคนสามัญธรรมดา แต่ความเป็นอยู่หลายๆ อย่าง ก็ไม่ต่างจากนักบวชเลย สมถะ รักสันโดษ มีคุณธรรม แม้จะเป็นนักรบ ฝึกวิชาของนักรบ แต่ก็เพื่อ...ทำสงครามในสมรภูมิภายในของตน และยินดีมากโข ที่ได้ยินท่านแม่ทัพสุมาอี้ กล่าวถึง ROI จึงอยากจะขอให้ท่านแถลงไข ถึงหัวใจของ ROI ที่อาจจะเป็น Reality of Investment เพิ่มพูนปัญญาทิ้งไว้ให้คุณรุ่นหลัง
โดย
ไม่บังอาจ
พุธ ต.ค. 11, 2006 8:56 am
0
0
ช่างไม้
ผมเห็นด้วยกับ หมอสามัญชนมาก เรื่องความเรียบง่าย แต่ก็ต้องเป็น ความเรียบง่ายภายใต้เงื่อนไขของความรู้ด้วย ทำให้นึกถึงเรื่อง P/E ที่คุณมือล่องหน Oracle of Bangkok ที่ท่านแม่ทัพสุมาอี้เรียกขานไว้ เรื่องเรียบง่าย แต่ลุ่มลึก จึงขออ้างถึงอีกครั้งในนี้ "สถานะการณ์ที่ทำให้ PE ต่ำ แต่ไม่น่าสนใจ เช่น 1. uncertainly over a company's prospects for earning อย่างจะเห็นได้ว่าช่วงนี้หุ้น bank หรือ finance จะมี P/E ต่ำเพราะมีความไม่แน่นอนเรื่องแผนแม่บทและการควบรวมกิจการ รวมถึงปัญหา NPL ที่อาจจะต้องทำให้บางธนาคารต้องตั้งสำรองเพิ่ม หรือหุ้นประเภทที่ต้องขึ้นกับโชคชะตา ดินฟ้าอากาศ โรคระบาด เช่นหุ้นกลุ่มเกษตรก็เข้าข่ายครับ 2. a highly cyclical sector อย่างกลุ่มปิโตรเคมีหรือ cyclical อื่นๆ ก็ไม่ควรจะได้ P/E ที่สูงครับ 3. company serving volatile markets อาจจะเป็นกลุ่มอิเลคทรอนิกส์และหุ้นส่งออกครับ 4. a sector with overcapacity and weak pricing power ช่วงนี้ตลาดเมืองไทยไม่ค่อยมีภาวะ oversupply เท่าไหร่แล้ว แต่หุ้นประเภทรับจ้างผลิตก็มักจะมี pricing power ต่ำครับ เช่น อิเลคทรอนิกส์ หรือหุ้นที่มีหน้าตาสินค้าเหมือนๆ กันหมด เช่น พวกหุ้น commodity ทั้งหลาย 5. a sector or company with consistently low returns and not adding economic value economic value added จะเกิดขึ้นเมื่อ roe มากกว่า cost of equity หรือ roce สูงกว่า cost of capital ( WACC ) ดังนั้น sector ไหนที่ roe ต่ำทั้ง sector ก็จะเข้าข่ายนี้ครับ หากให้ cost of equity ตอนนี้ซัก 10-12% หากหุ้นตัวไหน roe ต่ำกว่านี้ติดต่อกันนานๆ ก็เข้าข่ายครับ หุ้นหลายตัวที่ bv สูงเพราะเก็บเงินสดไว้เยอะๆ ไม่ปันผลมักจะมี roe ต่ำครับ 6. a mature sector, with little prospect of growth ก็น่าจะเป็นสิ่งทอนะครับ 7. a company which is ex growth อันนีไม่แน่ใจว่า ex ย่อจากอะไรนะครับ 8. poor management ก็มีอยู่ให้เห็นเยอะครับอันนี้คงต้องอาศัยประสบการณ์ในการลงทุนไปเรื่อยๆ ครับ ประเภทที่กู้เงินธนาคารหรือเอาเงินที่ควรจะจ่ายปันผลออกไปมาให้บริษํทในเครือกู้อันนี้ก็ชัดเจนครับ หรือประเภทชอบลงทุนในธุรกิจที่ตนเองไม่ถนัดหรือ diworsification ครับ 9. poor cash generation อันนี้คงโทษผู้บริหารไม่ได้ทั้งหมดบางที่เป็นธรรมชาติธุรกิจ หุ้นประเภทนี้ก็มักจะ p/E ต่ำครับ เช่น หุ้นประเภทที่ a/r ( account receivable ) day สูงกว่า a/p ( account payable ) day มากๆ หรืออธิบายง่ายๆ คือ ต้องจ่ายเงินค่าวัตถุดิบไปเร็วกว่าที่จะเก็บเงินได้ครับ หุ้นพวกนี้เวลาจะเพิ่มยอดขายทีจะต้องใช้ working capital สูงมากครับ 9. week balance sheet ก็เป็นหุ้นที่หนี้มากครับ และอาจจะมีการวางแผนทางการเงินไม่เหมาะสมทำให้เสี่ยงกับการขาดสภาพคล่องทางการเงินครับ ในทางกลับกัน หุ้นที่มี PE สูง ก็ไม่ได้หมายความว่าหุ้นมีราคาแพงเสมอไป สถานการณ์ที่ทำให้ PE สูง แต่ไมได้หมายความว่าหุ้นแพง 1. companies with an excellent growth record and prospects for growth 2. a high-growth sector 3. high confidence in the company's forecasts ก็เป็นหุ้นที่ขายสินค้าที่ทุกคนต้องใช้และต้องกลับมาซื้อใหม่เรื่อยๆ ทำให้ความผันผวนของกำไรต่ำครับ อย่างหุ้นส่งออกจะไม่เข้าข่ายนี้แน่นอนครับเพราะว่านักลงทุนอย่างเราคาดการณ์อะไรยากเพราะเราไม่มีโอกาสเห็นการผลิตและ order ของเค้าครับ 4. predictable/stable revenues 5. strong market shares ก็มักจะเป็นหุ้น blue chip หลายตัวที่มี mkt share อันดับ 1,2 แต่หุ้น small cap หลายตัวก็มี mkt share อันดับ 1 ใน segment หรือ industry ของตัวเองได้ครับ 6. high barriers to entry อย่างหุ้นบันเทิงหลายตัวก็เข้าข่าย เช่น bec major เพราะการเข้ามาทำได้ยาก หุ้นมือถือก็น่าจะใช่ครับเพราะหากจะมีใครเข้ามาใหม่ต้องลงทุนสูงถึง 40,000-50,000 ล้าน หุ้นพลังงานหลายตัวก็ใช่เพราะคงไม่มีใครมาแข่งกับ ptt ในธุรกิจท่อก๊าซได้ 7. companies that have strong pricing power เมืองไทยไม่ค่อยมีหุ้นที่เป็น monopoly โดยธรรมชาติธุรกิจครับ นึกไม่ค่อยออกเหมือนกันครับ ถ้าเอากิจการนอกตลาดที่นึกออกน่าจะเป็นพวกร้านอาหารญี่ปุ่น fuji มั้งครับ บางอย่างต้นทุนก็ไม่น่าแพงแต่ก็ขายแพงจังแต่เราก็ยอมกิน อ้อ cpn หรือ mbk-pd ก็อาจจะมองว่ามี pricing power ค่อนข้างสูงได้ครับเพราะทำเลที่ตั้งดีและห้างดีๆ ก้มีไม่มากครับ หรือ LH ก็อาจจะมี pricing power บ้างเพราะสามารถขายบ้านได้แพงกว่าชาวบ้านทั้งๆ ที่ทำเลเดียวกันและเนื่อที่เท่ากัน 8. companies that have high margins and produce excellent ROCE and add value มีหลายตัวครับ ก็ได้แก่หุ้นที่ roe สูงทั้งหลาย อันนี้หมายถึงจะต้องมี roe สูงเฉลี่ยติดกันหลายๆ ปีนะครับ เพราะหุ้น cyclical จะมี roe สูงตอนที่ cycle ดีและจะขาดทุนตอน cycle แย่ หากดู roe ปีเดียวจะได้หุ้น cyclical เข้ามา 9. strong cash generation ก็ตรงข้ามกับเมื่อกี้ หุ้นพวกนี้คือหุ้นที่ขายเป็นเงินสดและซื้อสินค้าเป็น credit term ข้อดีคือยิ่งยอดขายเพิ่ม cash flow ยิ่งเพิ่มคือ ไม่ใช้ working capital เลย หุ้นประเภทนี้ได้แก่หุ้นค้าปลีก อย่าง makro bigc se-ed hmpro 7-11 และหุ้นบางตัวที่มีลูกค้าเป็นคนทั่วๆ ไปอย่างเราๆ และต้องจ่ายเงินสดทันที่ที่ซื้อสินค้าหรือบริการ เช่น major egv ครับ" และคุณInvisible Hand ก็ยังมีความเห็นต่อวิธีการบางอย่างที่ซับซ้อน จนหลายคนปวดหัว ดังนี้ครับ "การใช้ DCF นั้น ผมคิดว่าไม่จำเป็นเท่าไหร่สำหรับนักลงทุนทั่วไปครับ เพราะจริงๆ แล้ว p/e คือผลสุดท้ายของ DCF นั่นแหละครับ เพราะ DCF เป็น model ที่คำนึงถึง growth ความเสี่ยง เงินสดและหนี้สิน ซึ่งหากเราใช้ p/e เป็น ใช้ p/bv ได้ถูกวิธี มันจะเป็นสุดยอดวิชาขั้นสูงกว่าการใช้ DCF อีกครับ เพราะมันเป็นการนำหลักแนวคิดของ DCF มาใช้ได้โดยไม่ต้องเหนื่อยมานั่งทำ model อย่างท่านอาจารย์ ดร. นิเวศน์เอง ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ DCF ในการคำนวณนะครับ มันเหมือนกับอะไรที่ back to basic ครับ บางครั้งอะไรที่ซับซ้อนมากๆ กลับไม่ใช่สุดยอดวิชา แต่สิ่งที่เป็นสุดยอดวิชา มักจะไม่ซับซ้อนอย่างที่คิด "
โดย
ไม่บังอาจ
อังคาร ต.ค. 10, 2006 12:52 pm
0
0
ช่างไม้
เพื่อนๆพี่ๆน้องๆในนี้หลายคนอ่านงบการเงินเก่งมาก บางคนก็สามารถประยุกต์ใช้ P/E ตัวเลขง่ายกับการลงทุนอันสุดยอดได้เยี่ยม บางคนก็เสาะหาหุ้นมังกรหลับไหลได้อย่างไม่น่าเชื่อ บางคนก็หา Intrinsic Value ได้เหนือกว่าใคร แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือ ผมอยากทราบว่า ท่านทั้งหลายมีความศรัทธาในการลงทุนหุ้นมากแค่ไหน และความศรัทธาของแต่ละท่านคืออะไรครับ
โดย
ไม่บังอาจ
เสาร์ ต.ค. 07, 2006 9:04 am
0
0
ผมเสี่ยงเกินไปหรือเปล่า ถือหุ้นโรงพยาบาล
มีเพื่อนๆแสดงความเห็นในกระทู้อื่นๆทำนองว่า หุ้นในกลุ่มนี้ได้รับความสนใจมากไปหรือเปล่า และราคาตอบสนองไปแล้วใช่หรือไม่ การซื้อหุ้น hot ในอุตสาหกรรมที่ hot จะทำให้ติดดอยหรือไม่ ต้องขอบคุณเพื่อนๆเหล่านั้นนะครับ ผู้อ่านกระทู้หรือนักลงทุนหุ้นโรงบาลโปรดอย่าเข้าใจเจตนาเขาผิด คิดว่าเขามากระแนะกระแหน่ แต่มันเป็นการเตือนสติให้เราฉุกคิด และช่วยกันระดมสมอง ช่วยกันตรวจสอบกันให้หนักขึ้นว่า ความสอดคล้องของราคาที่พุ่งแรงและพื้นฐานกิจการมีมากน้อยแค่ไหน ไม่ใช่เอาแต่นั่งอิ่มอกอิ่มใจครับ ปล. ข้อสังเกตของคุณลูกอีสานนั้นมีประโยชน์มาก ขอบคุณครับ นับถือ
โดย
ไม่บังอาจ
พฤหัสฯ. ต.ค. 05, 2006 11:02 am
0
0
ช่างไม้
จังหวะในเชิงกลยุทธ์ที่ผมชวนคุยอยู่นี้ มันมีหลายแง่มุม มุมหนึ่งเกี่ยวกับ "ความรู้สึก" ของนักลงทุน "โอ้โห อะไรจะบูมขนาดนั้น" นักลงทุนท่านหนึ่งกล่าว "ตายแน่ ที่นี่กำลังมีปัญหา" นักลงทุนคนเดียวกันกล่าว จากความฮึกเหิม สู่ ความอิ่มอกอิ่มใจ สู่ ความกังวล สู่ การยอมจำนน เวลาที่ความอิ่มอกอิ่มใจ ควรเป็นเวลาที่ต้องตรวจสอบพื้นฐานกิจการอย่างหนัก เพื่อเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสม แต่เขาไม่ทำ เพราะอะไรหรือ ลองถามใจตัวเองดู เวลาที่กังวล ก็ควรเป็นเวลาที่ต้องตรวจสอบพื้นฐานกิจการอย่างหนัก เพื่อเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมเช่นกัน แต่เขาไม่ทำ แต่กลับยอมจำนน และขายทิ้งไปอย่างกระสับกระสาย อีกมิติหนึ่งของจังหวะในเชิงกลยุทธ์ เป็นเรื่อง ทักษะในการนอนกรน เมื่อพูดถึงหุ้นร้อนหรือการคาดการณ์ตลาดหุ้น อีกมิติเป็นเรื่องของ การวางตัวที่เหมาะสม ในวงล้อแห่งการคาดการณ์ http://icmasset.com/images/earn_expect.gif
โดย
ไม่บังอาจ
พฤหัสฯ. ต.ค. 05, 2006 8:38 am
0
0
ช่างไม้
เรื่องจังหวะในการลงทุนนั้น เพื่อนๆแสดงความเห็นไว้น่าสนใจทีเดียวครับ http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=20316&highlight=%A8%D1%A7%CB%C7%D0 จังหวะในเชิงกลยุทธ์ที่ผมกำลังพูดถึงอยู่นี้นั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับ เรื่องmarket timing หรือ การวิเคราะห์ทางเทคนิค หรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวกับการเข้า-ออก หรือการคาดการณ์ตลาด หรือระยะเวลาการถือหุ้น แต่ก็เอาเถอะ ไปถอดรหัสตามที่พี่ศรรามแนะมาแล้ว ได้เรื่องสำคัญดังนี้ พยัคร้าย 007: "ถ้าลงทุนถือยาว แต่ไม่เข้าใจในมูลค่า ก็ไม่ต่างกะการพลาดจังหวะ เช่นไปซื้อเอาซะแพง ดอยเลย แต่ไปถือยาวซะงั้น ไปซื้อหุ้นที่มีแต่จะถดถอย แล้วถือยาวสิ มันก็ไม่ช่วยอะไร"
โดย
ไม่บังอาจ
พฤหัสฯ. ต.ค. 05, 2006 8:21 am
0
0
ช่างไม้
ผมมีลูกน้องเป็นช่างไม้ครับ(เอาของจริงมาเปรียบเทียบซะเลย... :lol: ) สรุปว่า เครื่องมือจะดีแค่ใหน ถ้ายังไม่รู้จักควบคุมตัวเองและสภาพแวดล้อม......... ต่อให้เก่งมีเครื่องมือดี ก็มีโอกาสน้อยในการเติบโตครับ อืม... :bow:
โดย
ไม่บังอาจ
พฤหัสฯ. ต.ค. 05, 2006 8:06 am
0
1
กระทู้หุ้นโรงบานเยอะดีเนอะ !!!!
มันก็เป็น อนิจจัง นั่นละครับ สมัยก่อนก็มี PL บางช่วงก็มี TMD ต่อมาก็มีหุ้นที่ออกกองทุน อสังหาริมทรัพย์ อย่าง TICON CPN ขึ้นอยู่กับว่าเราจะพาตัวเองไปอยู่จุดไหนของ กงล้อ http://icmasset.com/images/earn_expect.gif
โดย
ไม่บังอาจ
พฤหัสฯ. ต.ค. 05, 2006 7:54 am
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
ไม่บังอาจ
พฤหัสฯ. ต.ค. 05, 2006 7:47 am
0
0
ช่างไม้
เรื่องที่ท่านสามัญชนเล่ามานั้นมีค่ายิ่ง "พระในนิกายเซนรูปหนึ่งพายเรือไปตามแม่น้ำเพื่อไปหาอาจารย์ที่อยู่บนภูเขาสูงลิบแห่งหนึ่ง เรือนั้นเป็นเครื่องมือที่จะพาไปสู่เป้าหมาย เมื่อพายไปถึงฝั่งแล้ว พระรูปนั้นก็จอดเรือแล้วใช้เท้าเดินทางปีนเขาขึ้นไปหาอาจารย์ ท่านไม่เห็นจะแบกเรือ(เครื่องมือ) ขึ้นไปด้วยสักหน่อย" เครื่องมือนั้น ควรจะถูกหล่อหลอมให้เป็นกระบี่ใจ แต่มือใหม่ทั้งหลายกว่าจะไปถึงจุดนั้นได้ คงต้องเรียนรู้เสียก่อนว่าเครื่องมือนั้นมีอะไรบ้าง จึงอยากให้ท่านทั้งหลายช่วยแถลงไข อีกเรื่องหนึ่ง ทุกสรรพสิ่งมีทั้งจังหวะของการรุ่งเรืองและเสื่อมโทรม กลยุทธ์ก็เป็นเช่นสิ่งอื่นที่มีจังหวะอันหลากหลาย Value investor ให้ความสำคัญกับจังหวะมากน้อยเพียงใด จังหวะของแต่ละท่านที่เรียนรู้และฝึกฝนจากการกรำศึกมานานคืออะไร เราจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะแยกแยะจังหวะที่เหมาะสมออกจากจังหวะที่ไม่เหมาะสมหรือไม่ โดยส่วนตัวของผม หากไม่เรียนรู้ถึงจังหวะย่อมไม่อาจบรรลุถึงกลยุทธ์ และที่สำคัญมีเพียงการฝึกฝนเท่านั้น ที่เป็นวิถีแห่งการเรียนรู้ถึงจังหวะของกลยุทธ์ แต่ปัญญาก็มีอยู่น้อยนิด จึงไม่อาจไขความลับเหล่านี้ได้ ใช่ว่าจะมาลอกเลียน หรือล้วงความลับ เพียงแต่ต้องการขจัดความสงสัยในบางเรื่องเท่านั้นเอง เพื่อจะได้ฝึกฝนตนเองต่อไป ปล. บางครั้งเราก็รีบร้อนเกินไป อยากจะรู้ว่าหุ้นตัวไหนดี ตัวไหนเลว โดยลืมการฝึกฝนวิธีคิดของการลงทุนไปเสีย มันก็น่าเสียดาย ถ้าผ่านไปเนินนานหลายปี แล้วเพิ่งตาสว่างว่า เราไม่ได้พัฒนาตัวเองเลย เวลาที่เสียไปช่วยให้เรารู้แต่เพียงว่า หุ้นตัวไหนทำอะไร จะโตไหม ทำไมไม่โต เหมือนเที่ยวชมสวน และรู้ว่าในสวนนั้นมีดอกอะไร กลิ่นหอมแค่ไหน
โดย
ไม่บังอาจ
อังคาร ต.ค. 03, 2006 1:54 pm
0
1
Re: ช่างไม้
ท่านพี่ทั้งหลายโปรดชี้แนะ
โดย
ไม่บังอาจ
อังคาร ต.ค. 03, 2006 10:45 am
0
0
สนใจ MINT ค่ะ ควรเข้าซื้อที่ราคาเท่าไหร่ค่ะ
ผ่านไปอีก 1 ปี จะซื้อได้เท่าไหร่ดี ตอนนี้ก็ 9 บาทหน่อยๆแล้ว
โดย
ไม่บังอาจ
อังคาร ต.ค. 03, 2006 7:58 am
0
0
พูดไม่ออกที่เห็นbh 27 บาท
พูดไม่ออกผ่านไปอีกหนึ่งปี ตอนนี้ 37 บาท แล้ว
โดย
ไม่บังอาจ
อังคาร ต.ค. 03, 2006 7:57 am
0
0
หุ้นใหญ่พากันลง หุ้นเล็กๆพากันขึ้นแรง
ปีนี้จะพากันลงอีกไหมครับ
โดย
ไม่บังอาจ
อังคาร ต.ค. 03, 2006 7:55 am
0
0
หน้า
1
จากทั้งหมด
1
Verified User
ชื่อล็อกอิน:
ไม่บังอาจ
กลุ่ม:
สมาชิก
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
อังคาร ต.ค. 03, 2006 7:20 am
ใช้งานล่าสุด:
พุธ พ.ค. 16, 2012 3:26 pm
โพสต์ทั้งหมด:
29 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.00% จากโพสทั้งหมด / 0.00 ข้อความต่อวัน)
GO_TO_SEARCH_ADV
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์ [กระทู้รับชมออนไลน์]
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์
↳ ThaiVI GO Series
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ Value Investing
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว