หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
Marketplace
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
contrarian
Joined: อาทิตย์ เม.ย. 23, 2006 7:32 pm
1231
โพสต์
|
0
กำลังติดตาม
|
0
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - contrarian
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: SLCร้อยคนร้อยหฺ้น
ขอบคุณคร้าบบบ :bow:
โดย
contrarian
พุธ มิ.ย. 25, 2014 8:35 pm
0
0
Re: เปลี่ยนชื่อ KWHเป็น WIIKให้ด้วยครับ
:B
โดย
contrarian
พฤหัสฯ. มิ.ย. 19, 2014 2:44 pm
0
0
Re: ถ้าเจอบริษัทที่ทำอะไรเนียนๆแบบนี้ NWR -กรณีศึกษา
22 ม.ค. 2557 17:02:05 หัวข้อข่าว การยกเลิกการซื้อตราสินค้า "บารานี" จากบริษัท เรือนรพี จำกัด http://www.set.or.th/set/newsdetails.do;jsessionid=A8CDBC79ED4DBE367FAD4AE2432856C3.itnpi-set07?headline=%A1%D2%C3%C2%A1%E0%C5%D4%A1%A1%D2%C3%AB%D7%E9%CD%B5%C3%D2%CA%D4%B9%A4%E9%D2+%22%BA%D2%C3%D2%B9%D5%22+%A8%D2%A1%BA%C3%D4%C9%D1%B7+%E0%C3%D7%CD%B9%C3%BE%D5+%A8%D3%A1%D1%B4&text=&time=1390384925000&source=NWR&symbol=NWR&filename=dat%2Fmds_news%2Fnews%2F0526NWS220120141702050329T.pdf&type=R&language=th&country=TH ยินดีด้วยครับ มวลมหาผู้ถือหุ้นรายย่อย
โดย
contrarian
พุธ ม.ค. 22, 2014 5:56 pm
0
6
Re: ถ้าเจอบริษัทที่ทำอะไรเนียนๆแบบนี้ NWR -กรณีศึกษา
ที FN-NWR182 /2556 วันที 24 กรกฎาคม 2556 เรือง ชีแจงการซือตราสินค้า “บารานี” ครังที 2 อ้างถึง หนังสือบริษัท ที FN-NWR 173/2556 ลงวันที 9 กรกฎาคม 2556 และเลขที FN-NWR 174/2556 ลงวันที 10 กรกฎาคม 2556 เรียน กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตามทีทีประชุมคณะกรรมการบริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) ครังที 7/2556 เมือวันที 8 กรกฎาคม 2556 มีมติให้ซือตราสินค้า “บารานี” จากบริษัท เรือนรพี จำกัด (“เรือนรพี”) ซึงเป็นบริษัท ทีเกียวข้องกันกับบริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) (“บริษัท”) มูลค่า 50 ล้านบาท โดยเรือนรพีประกอบ ธุรกิจบ้านจัดสรรโดยใช้ชือตราสินค้าว่า “หมู่บ้านบารานี” ทีถนนเลียบคลองสาม ตำบลคลองสาม อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ซึงรายการดังกล่าวเข้าข่ายรายการทีเกียวโยงกัน โดยมีขนาดรายการเท่ากับ ร้อยละ 2.69 ของ Net Tangible Asset (NTA) ตามงบการเงิน ณ 31 มีนาคม 2556 รายละเอียดตามหนังสือของ บริษัททีอ้างถึงนัน บริษัทขอชีแจงการซือตราสินค้า “บารานี” เพิมเติมครังที 2 ดังนี การชำระค่าตราสินค้า “บารานี” เรือนรพีจะต้องนำเงินค่าขายตราสินค้า “บารานี” ทีจะได้รับจากบริษัทมาชำระหนีทีเรือนรพีมีกับบริษัท ทังจำนวน 50 ล้านบาท มูลหนีทีเรือนรพีมีกับบริษัท ณ วันที 30 มิถุนายน 2556 มูลหนีเท่ากับ 67,349,852.64 บาท โดย ณ วันที 30 มิถุนายน 2556 บริษัทได้บันทึกค่าเผือหนีสงสัยจะ สูญแล้วเท่ากับ 67,349,852.64 บาท จึงเรียนมาเพือทราบ ขอแสดงความนับถือ (นางวัฒนา สัมนาวงศ์) กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส . . . . จึงเรียนมาเพื่อทราบ(เฉยๆ อย่าพิจารณา) บุคคลใด ผูกเวรว่า ผู้นี้ได้ด่าเรา ได้ตีเรา ได้ชนะเรา ได้ลักของเรา เวรของผู้นั้นย่อมไม่ระงับลงได้ ส่วนบุคคลใด มิได้ผูกเวรไว้เช่นนั้น เวรของผู้นั้นย่อมระงับลงได้
โดย
contrarian
พุธ ก.ค. 24, 2013 2:23 pm
0
4
Re: ถ้าเจอบริษัทที่ทำอะไรเนียนๆแบบนี้ NWR -กรณีศึกษา
รศ.วิทวัส รุ่งเรืองผล : ค่าความนิยม : จับต้องไม่ได้แต่สร้างมูลค่าเพิ่มให้ธุรกิจ(Marketeer/10/48) ประเด็นข่าวดังในวงการสื่อมวลชนในช่วงเดือนที่ผ่านมา ก็เห็นจะเป็นเรื่องการที่แกรมมี่จะเข้ามาซื้อหุ้นเพื่อครอบครองกิจการของกลุ่มหนังสือพิมพ์มติชน จนเกิดกระแสการต่อต้านอย่างแรงทั้งจากกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมของมติชน กองบรรณาธิการของมติชนและจากประชาชนทั่วไปจำนวนมาก จนสุดท้ายแกรมมี่ยอมถอยทัพไปในที่สุด ถึงเรื่องจะจบลงอย่าง Happy Ending ในเวลาอันสั้น แต่ก็ทิ้งประเด็นไว้ให้คนในวงการธุรกิจ ทั้งผู้ถือหุ้นใหญ่ที่บริหารบริษัทอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ทั้งนักสื่อสารมวลชน สำหรับผมในมุมมองของนักการตลาด ผมสนใจเรื่องของค่าความนิยมหรือที่ฝรั่งเรียกว่า Goodwill ครับ เพราะ Goodwill ของมติชนนี้ละครับที่ทำให้มติชนได้รับความสนใจจากกลุ่มแกรมมี่ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลทางธุรกิจหรือมีเหตุผลทางการเมืองแฝงอย่างที่สื่อหลายๆ ฉบับวิจารณ์ ธุรกิจสิ่งพิมพ์ของมติชนไม่ใช่ขายแค่หนังสือพิมพ์ที่เป็ฯกระดาษที่ตีพิมพ์ข้อความ แต่สิ่งที่มติชนมีคือความน่าเชื่อถือและความผูกพันกับผู้อ่านที่กองบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ฉบับนี้มีมายาวนานและถือได้ว่าเป็น Goodwill สำคัญของมติชน ที่ค่ายแกรมมี่มองเห็นและ Goodwill นี้เองเมื่อผู้บริหารของมติชนนำมาใช้ก็ช่วยให้วิกฤตของมติชนผ่านไปได้ด้วยดี โดยอาศัยพลังของกระแสสังคมเข้ามาช่วย โดยมี Goodwill ของมติชนที่สะสมมาเป็นเวลานานเป็นทุนสนับสนุนสำคัญ เขียนอธิบายมาตั้งเยอะ มาเข้าเรื่องหลักที่ผมอยากจะนำเสนอต่อผู้อ่านดีกว่าครับ นั่นคือเรื่อง”ค่าความนิยม” ว่าคืออะไรและมีผลอย่างไรต่อธุรกิจ “ค่าความนิยม” (Goodwill) ถ้ามองในเชิงการตลาดก็คือ มูลค่าของศักยภาพทางธุรกิจของบริษัทที่มาจากทรัพย์สินที่จับต้องไม่ได้ ถ้ามองในเชิงการเงิน ค่าความนิยมคือมูลค่าเพิ่ม ที่บริษัทหนึ่งต้องจ่ายเพื่อเข้าไปควบคุมและดำเนินธุรกิจของอีกบริษัทหนึ่ง (มูลค่าเพิ่มที่ว่าก็คือมูลค่าส่วนที่เกินกว่าสินทรัพย์ที่จับต้องได้ที่ทางบริษัทมีอยู่) ในทางบัญชี มีการอธิบายความหมายของค่าความนิยมไว้ว่าเป็นมูลค่าที่เหลือของธุรกิจ หลังจากหักสินทรัพย์ที่จับต้องได้ในอัตราที่เหมาะสมแล้ว จะเห็นได้ว่า ค่าความนิยมอยู่บนพื้นฐานของทรัพย์สินที่จับต้องไม่ได้ ยกตัวอย่างชัดๆ อย่างภาพวาดของจิตรกรดังๆ เครื่องลายครามเก่าแก่หรือพระเครื่องที่หายาก จะมีราคาซื้อขายในตลาดสูงมากทั้งๆ ที่เมื่อเทียบกับต้นทุนหรือของอย่างเดียวกันที่ทำขึ้นมาทดแทนให้ได้ประโยชน์ใช้สอยเดียวกันแล้ว จะมีมูลค่าต่างกันมาก นั่นก็อธิบายค่าความนิยมของสิ่งของที่คนเชื่อในค่าความนิยม ดารานักร้อง นักกีฬาที่มีค่าตัวสูงๆ ก็มีฐานมาจากความนิยมของประชาชน พอคนเสื่อมความนิยม ค่าตัวก็ตก องค์กรธุรกิจก็เช่นกัน ค่าความนิยมมีผลต่อการสร้างมูลค่าเพิ่มให้ธุรกิจ ทีนี้ลองมาดูกันว่า ค่าความนิยมในเชิงธุรกิจครอบคลุมอะไรบ้าง Professor Dr.Wayne Marono จาก University of Sound Austalia ได้ธิบายไว้ในหนังสือชื่อ “The Valuation of Goodwill” ถึงที่มาของค่าความนิยมในเชิงธุรกิจว่า มีที่มาจากหลายๆปัจจัยไม่ได้มาจากตรายี่ห้ออย่างเดียวอย่างที่นักการตลาดบางท่านเข้าใจ ผมขอสรุปที่มาของค่าความนิยมโดยอิงจากบทความของ Dr.Wayne ที่เคยมาเป็นอาจารย์ในหลักสูตรประกาศนียบัตรในการประเมินราคาทรัพย์สิน ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยพอจะสรุปที่มาของค่าความนิยมได้ดังนี้ 1. ค่าความนิยมที่มาจากบุคลากรของบริษัท (Owner and Management) เจ้าของและผู้บริหารของบริษัทจัดได้ว่าเป็นที่มาสำคัญของค่าความนิยมของบริษัท อย่างกรณีมติชน ผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นนักหนังสือพิมพ์ที่มีประสบการณ์และเป็นที่ยอมรับในวงการสื่อ ขณะที่คุณไพบูลย์แห่งแกรมมี่ก็เป็นผู้บริหารที่มีประสบการณ์ในธุรกิจบันเทิง คุณอนันต์ อัศวโภคิน แห่งบริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ หรือคุณตัน ภาสกรนที แห่งโออิชิ ล้วนแต่ถือได้ว่าเป็น Goodwill สำคัญของบริษัทของตนเอง ค่าความนิยมที่มาจากเจ้าของและผู้บริหารมาจากประสบการณ์ในธุรกิจนั้นๆ ความเชี่ยวชาญในสายวิชาชีพและสายสัมพันธ์ในวงการธุรกิจทั้งกับลูกค้าและ Suppliers นอกเหนือจากความค่าความนิยมที่มาจากเจ้าของและผู้บริหารแล้ว บุคลากรในบริษัทที่มีทักษะพิเศษหรือมีประสบการณ์ก็เป็นอีกหนึ่งในที่มาของค่าความนิยม อย่างในธุรกิจค่ายเพลง ศิลปินในค่ายก็เป็นที่มาของค่าความนิยม ธุรกิจหนังสือพิมพ์ นักข่าวและบรรณาธิการก็เป็นค่าความนิยมของบริษัท ในหลายบริษัทพนักงานขายที่มีสายสัมพันธ์ที่ดีกับร้านค้าก็เป็นค่าความนิยมในธุรกิจโฆษณา Creative ดังๆ ก็มีผลต่อค่าความนิยมของบริษัท 2. ค่าความนิยมที่มาจากลูกค้าและคู่ค้า (Customer and Suppliers) ในการเริ่มต้นทำธุรกิจใหม่สักธุรกิจหนึ่ง ช่วงแรกๆ เป็นช่วงเวลาที่ต้องใช้ไปกับการหาลูกค้าและติดต่อกับคู่ค่า โดยธุรกิจที่เพิ่งเปิดใหม่ เงื่อนไขทางการค้าที่จะได้รับกับ Suppliers ไม่ว่าจะเป็นในด้านเงื่อนไขการชำระเงิน ส่วนลดการค้าและเงื่อนไขทางธุรกิจอื่นๆ ย่อมดีสู้บริษัทในธุรกิจเดียวกันที่ติดต่อกันมานานแล้วไม่ได้ เป็นที่ทราบกันในหมู่นักการตลาดว่า ต้นทุนในการหาลูกค้าใหม่สูงกว่าต้นทุนในการรักษาลูกค้าเก่า เมื่อเปรียบเทียบกับยอดขายที่ได้รับเท่าๆกัน ดังนั้น การที่กิจการหนึ่งสะสมฐานลูกค้าและคู่ค้ามาในช่วงระยะเวลาหนึ่งย่อมทำให้เกิดค่าความนิยมของธุรกิจมากขึ้น นักลงทุนหน้าใหม่หลายราย มองว่าการเข้าไปซื้อกิจการที่ดำเนินธุรกิจอยู่แล้วและนำมาปรับปรุงให้ดีขึ้นเพื่อดำเนินกิจการต่อจะช่วยร่นเวลาในการประสบความสำเร็จทางธุรกิจได้ดีกว่าการเริ่มต้นสร้างธุรกิจของตัวเองจากฐานศูนย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเจ้าของธุรกิจเดิมมองไม่เห็นศักยภาพค่าความนิยมที่ตัวเองมีอยู่ มีผลทำให้ราคาขายหรือมูลค่าหุ้นของกิจการที่มฐานมาจากสินทรัพย์ที่จับต้องได้เป็นหลัก มีมูลค่าต่ำกว่ามูลค่าทางธุรกิจที่แท้จริงของบริษัทที่มีค่าความนิยมแฝงอยู่ในนั้น 3. ค่าความนิยมจากฐานข้อมูลลูกค้าประจำ (Client Data Base) ฐานข้อมูลของลูกค้าประจำก็จัดได้ว่าเป็นค่าความนิยมสำคัญของหลายธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากฐานข้อมูลนั้นมีความทันสมัย Update อยู่ตลอดและละเอียดพอที่จะนำมาวิเคราะห์เพื่อใช้ประโยชน์ข้ามธุรกิจได้ เช่น ฐานข้อมูลลูกค้าของธนาคาร ฐานข้อมูลลูกค้าบัตรเครดิต ฐานข้อมูลลูกค้า UBC ฐานข้อมูลผู้ใช้โทรศัพท์มือถือหรือฐานข้อมูลผู้ใช้ไฟฟ้าขอการไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ในธุรกิจบัตรเครดิตและสถาบันการเงิน สามารถหารายได้เพิ่มจากการให้เช่าฐานข้อมูลลูกค้าในธุรกิจ Direct Marketing ฐานข้อมูลลูกค้าของการไฟฟ้าที่สามารแยกปริมาณการใช้ไฟแต่ละเดือนของแต่ละครอบครัวได้ ก็เป็นฐานข้อมูลที่นำมาใช้ทำ Direct Marketing ได้ในหลายธุรกิจ โดยปัจจุบันการไฟฟ้านครหลวงก็เริ่มทำธุรกิจให้เช่ารายชื่อผู้ใช้ไฟฟ้าเพื่อจัดส่งเอกสารโฆษณาถึงผู้ใช้ไฟฟ้าแล้ว โดยแทรกมากับใบเสร็จรับเงินค่าไฟฟ้า ซึ่งเป็นการใช้ประโยชน์จากค่าความนิยมของกิจการที่มาจากฐานข้อมูลลูกค้า 4. ค่าความนิยมจากเทคโนโลยี (Technology) บริษัทที่มีผลงานวิจัย มีสิทธิบัตรงานประดิษฐ์ที่มีศักยภาพทางธุรกิจและมีผลงานทางเทคโนโลยีเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง ย่อมมีมูลค่าของค่าความนิยมสูงเพราะเป็นศักยภาพแฝงของธุรกิจสำหรับอนาคต จึงไม่แปลกที่ในต่างประเทศ บริษัทเล็กๆ ที่มีผลงานวิจัยหรืองานสิทธิบัตรดีๆ จะถูกซื้อโดยบริษัทขนาดใหญ่ โดยให้ข้อมูลสูงกว่าทรัพย์สินที่บริษัทมีอยู่มาก 5. ค่าความนิยมจากสัญญาหรือความคุ้มครอบตามกฎหมาย (Contacts and Legislation) ธุรกิจที่ได้รับสัมปทานผูกขาดจากรัฐบาลอย่างธุรกิจไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ โทรศัพท์มือถือ ย่อมมีมูลค่าแฝงของธุรกิจที่สูงกว่ามูลค่าของทรัพย์สินที่จับต้องได้ของบริษัท บริษัทก่อสร้างขนาดใหญ่ๆ ทุกครั้งที่มีข่าวว่าได้สัญญาการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่จากภาครัฐ มูลค่าหุ้นของบริษัทก็จะสูงขึ้น 6. ค่าความนิยมจากอสังหาริมทรัพย์ที่ครองครองอยู่ (Real Estate) ค่าความนิยมดังกล่าวอาจมากจาก สิทธิความเป็นเจ้าของหรือสัญญาเช่า เช่น ที่ดินที่บริษัทซื้อมาในราคาต่ำ มีการบันทึกมูลค่าสินทรัพย์ไว้ต่ำกว่ามูลค่าตลาดปัจจุบันหรือสัญญาเช่าพื้นที่ในบางทำเลที่มีสัญญาเช่าระยะเวลายาวๆ และสถานที่นั้นมีมูลค่าค่าเช่าในตลาดสูงกว่าค่าเช่าในสัญญามากๆ ก็ทำให้เกิดค่าความนิยมที่สูงขึ้นของกิจการ อย่างห้างเซ็นทรัล ลาดพร้าว ที่มีสัญญาเช่าที่กับการรถไฟหรือร้านค้าแถวสวนจตุจักรที่มีค่าเซ้งแผงสูงกว่าค่าเช่าที่จ่ายให้กับทางกทม.มาก นี่ก็สะท้อนค่าความนิยมที่มาจากสัญญาและความคุ้มครองทางกฎหมาย ทำเลบางทำเลก็มีค่าความนิยมในตัวของมันเอง อย่าง ปากคลองตลาด เป็นย่านที่มีชื่อเสียงด้านแหล่งค้าส่งดอกไม้ ผู้ประกอบการในธุรกิจนี้จะยอมจ่ายเงินที่สูงขึ้นกว่าปกติในการเข้าไปเช่าหรือซื้อตึกแถวในย่านนี้เพราะค่าความนิยมที่มาจากทำเล นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายหนึ่งเคยมาคุยกับผมว่า เขามีโครงการบ้านจัดสรรอยู่ในซอยที่เชื่อมระหว่างถนนเทพารักษ์กับศรีนครินทร์ เขาเลือกที่จะเรียกโครงการบ้านของเขาว่า โครงการบ้าน XXXX ศรีนครินทร์ มากกว่า บ้าน XXXX เทพารักษ์ ทั้งๆ ที่หมู่บ้านนั้นอยู่ใกล้ถนนเทพารักษ์มากกว่า เพราะความรู้สึกของลูกค้ามองว่า ถนนศรีนครินทร์ดูเจริญกว่าถนนเทพารักษ์ นี่ก็เป็นค่าความนิยมที่มาจากทำเลที่ตั้ง ตัวอาคารเองก็นำมาสู่ค่าความนิยมได้ เช่น อาคารที่มีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ ในต่างประเทศเอง อาคารที่เคยเป็นวังเก่าของกษัตริย์ที่มีชื่อเสียง จะได้รับความสนใจในการซื้อมาพัฒนาเป็นโรงแรมเพราะชื่อเสียงทางประวัติศาสตร์ของอาคารเป็นค่าความนิยมที่สามารถดึงดูดลูกค้าเข้ามาพักได้ 7. ค่าความนิยมที่มาจากปัจจัยอื่นๆ เช่น รางวัลที่เคยได้รับ อย่างร้านอาหารที่ได้รับเครื่องหมายเชลล์ชวนชิม เปิบพิสดาร ย่อมมีค่าความนิยมสูงกว่าร้านแบบเดียวกันที่เปิดใกล้ๆ หรือนโยบายในการดำเนินธุรกิจก็มีผลต่อค่าความนิยม กิจการที่มีนโยบายรับผิดชอบต่อลูกค้า ให้ความเป็นธรรมกับลูกค้าและคู่ค้า ย่อมมีค่าความนิยมดีกว่าบริษัทที่ร่ำรวยมากจากการเอาเปรียบลูกค้าและคู่ค้า เป็นต้น เหล่านี้ เป็นที่มาของค่าความนิยมของธุรกิจ โดยที่ผมยังไม่ได้กล่าวถึงค่าความนิยมที่มาจากตรายี่ห้อ (Brand) ที่นักการตลาดทราบกันดีอยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์สินที่จับต้องไม่ได้ที่มีมูลค่าและมีความสำคัญอย่างยิ่งของธุรกิจ ผมเลยไม่นำมาอธิบายอีก คราวนี้คงพอจะทราบแล้วน่ะครับว่า ค่าความนิยมของกิจการไม่ได้มาจากตรายี่ห้ออย่างเดียว แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกที่นำมาสู่ค่าความนิยม ดังนั้น การที่บริษัทหนึ่งคิดจะเข้าไปซื้อหนังสือพิมพ์สักเล่มหนึ่ง หากไม่ไดบุคลากร ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการทำหนังสือไปด้วย อาจเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่าเพราะคุณภาพที่เปลี่ยนไป จากทีมงานใหม่ในชื่อเดิม อาจทำให้ทั้งผู้อ่านและผู้ลงโฆษณาตัดสินใจเลิกซื้อหรือเลิกลงโฆษณากับหนังสือนั้นก็ได้ จริงไหมครับ
โดย
contrarian
ศุกร์ ก.ค. 12, 2013 2:57 pm
0
1
Re: ถ้าเจอบริษัทที่ทำอะไรเนียนๆแบบนี้ NWR -กรณีศึกษา
การสร้าง BRAND ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เมื่อคราวมูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย จัดเสวนาครั้งที่ 47 เรื่อง ยี่ห้อสินค้าสร้างมูลค่าและตีค่าอย่างไรในวันที่ 24 สิงหาคม 2549 โดย ดร.โสภณ พรโชคชัย ได้ขอให้ผมเป็นวิทยากรร่วมเสวนาในหัวข้อ กลยุทธ์การสร้าง BRAND ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ พบว่ามีผู้ร่วมสัมมนาให้ความสนใจเรื่องดังกล่าวเป็นอันมาก บทความนี้เป็นการรวบรวมเอาความรู้ที่ได้จากประสบการณ์จริงมาเผยแพร่ ให้ผู้สนใจได้ศึกษา อันอาจจะเป็นประโยชน์ในการนำไปประยุกต์ใช้ได้บ้างไม่มากก็น้อย ในรูปแบบกรณีศึกษาของบริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เพื่อให้เกิดความเข้าใจลึกซึ้ง จึงต้องขออนุญาตท่านผู้อ่านใช้คำศัพท์ภาษาอังกฤษประกอบคำบรรยาย เพราะคำบางคำในภาษาอังกฤษมีความหมายกว้างขวาง หากแปลเป็นภาษาไทยอาจได้ความหมายครอบคลุมไม่ครบถ้วน รวมทั้งการใช้ภาพประกอบบทความนี้ก็เพื่อเป็นการให้ความรู้ในลักษณะวิทยาทานเท่านั้น เพื่อให้การติดตามบทความนี้เป็นไปอย่างมีขั้นตอนและระบบจึงขอกำหนดหัวข้อสำคัญของกลยุทธ์การสร้าง BRAND ออกเป็น 5 ขั้นตอน ดังต่อไปนี้ ขั้นตอนที่ 1 DEFINITION การกำหนดคำจำกัดความของคำว่า BRAND เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกันและป้องกันความสับสน โดยจะยกตัวอย่างสินค้าอุปโภค บริโภค ที่คนไทยรู้จักอย่าง NIKE และ JOHNNIE WALKER ว่า เหตุใดแบรนด์จึงไม่ใช่ตัวสินค้า BRAND IS NOT A PRODUCT และในขณะเดียวกันแบรนด์ก็ไม่ใช่เพียงแค่โลโก้เท่านั้น BRAND IS NOT A LOGO ในกรณีของสุรา Brand JOHNNIE WALKER พวกเราคงคุ้นเคยกับคำว่า KEEP WALKING กับรูปคนถือร่มเดินไปข้างหน้า ขณะที่ตัวสินค้าก็มีอยู่หลากหลายผลิตภัณฑ์ ทั้ง Red Label Black Label หรือ Blue Label ตราสินค้าของผลิตภัณฑ์ด้านกีฬาอย่าง NIKE ที่เป็นที่รู้จักกันดี คำว่า JUST DO IT เป็นคำจำกัดความเฉพาะตัวของผลิตภัณฑ์ของผู้ใช้ NIKE LOGO ของ NIKE ซึ่งได้มาจากเครื่องหมายถูกใต้คำว่า NIKE กลายเป็นเครื่องหมายถูกติดอยู่บนผลิตภัณฑ์ทุกตัว ของ NIKE ไม่ว่าจะเป็นหมวกหรือแม้แต่ลูกกอล์ฟที่ ไทเกอร์ วูดส์ ใช้เล่นในทุก MATCH ที่ลงแข่ง เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงขอกำหนดนิยามของคำว่า BRAND ในทัศนคติของผู้เขียนว่าหมายถึงชื่อเสียงที่ได้จากการสั่งสมประสบการณ์อันยาวนาน BRAND IS REPUTATION FROM ACCUMULATIVE EXPERIENCE. นอกจากนี้การสร้าง BRAND ก็เหมือนกับการเลี้ยงลูก เพราะหากไม่ดูแลเอาใจใส่ให้ดี BRAND ก็อาจป่วยได้ จนมีหลายคนถกเถียงกันว่าจะเอา BRAND ที่ใกล้ตายมารักษาดีหรือไม่ หรือควรที่จะสร้าง BRAND ใหม่ดี โดยมีผู้เคยเปรียบเทียบสินค้าที่มีชื่อเสียงในอดีตซึ่งปัจจุบันก็ยังมีจำหน่ายอยู่แต่ความแข็งแกร่งของ BRAND ดังกล่าวได้ลดลงมากเมื่อเทียบกับคู่แข่ง อย่างกรณีของสบู่หรือแป้งเย็น ขณะที่ BRAND น้ำดำที่มูลค่าสูงที่สุดในปัจจุบันอย่าง COKE ที่ตีราคาได้หลายแสนล้านบาท ก็มีการพัฒนาสัญญลักษณ์และผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง จากขวดแก้วฝาจีบจนเป็นสินค้าบรรลุกระป๋องและฝาเกลียวในปัจจุบัน มาถึงจุดนี้หลายท่านคงเริ่มมองเห็นคุณค่าของคำว่า BRAND และรู้จักคำๆ นี้มากขึ้น ขั้นตอนที่ 2 DISCOVERY การค้นหาตัวตน เป็นขั้นตอนสำคัญเบื้องต้นของกลยุทธ์ในการสร้าง BRAND สิ่งที่ต้องค้นหาประกอบด้วย ◦ The Current Brand Competency ◦Current Brand Equity ◦Brand Vision ◦Market Preference ◦Competitive Landscape ◦Market Research สำหรับขบวนการในการค้นหาข้อมูลดังกล่าวข้างต้น สามารถทำได้อย่างเป็นระบบด้วยขบวนการ Market Research นั่นเอง ในกรณีของบริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) ได้มีการจัดจ้าง บริษัทวิจัยทำการสำรวจข้อมูลที่เกี่ยวข้องจำนวน 400 ตัวอย่าง จากลูกค้าปัจจุบัน ลูกค้าศักยภาพ สถาปนิก วิศวกร มัณฑนากร ผู้จัดหาสินค้าและบริการ สื่อมวลชน นักการธนาคาร นักลงทุน พนักงาน งานวิจัยดังกล่าวทำให้บริษัทได้เห็นภาพรวมทั้งในส่วนของคุณค่าของ Brand ความยอมรับของลูกค้า จุดเด่น จุดด้อย และแนวทางในการพัฒนา Brand ในขั้นตอนต่อไป ขั้นตอนที่ 3 PROMISE คำมั่นสัญญาของ Brand อย่างที่เคยได้ยกตัวอย่าง Brand Promise ของ Johnnie Walker ที่ใช้คำว่า Keep Walking และ NIKE ที่มีคำว่า Just Do It ในกรณีศึกษาของบริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) Brand Promise ก็คือ ‘KEEP PERFECTING’ แต่กว่าจะมาได้คำนี้มา ขบวนการสำคัญ คือ การจัดวางโครงสร้างสถาปัตยกรรมของแบรนด์ หรือที่เรียกว่า Brand Architecture Model ส่วนสำคัญของโครงสร้างในขั้นตอนนี้ ประกอบด้วยการกำหนดตำแหน่งของแบรนด์หรือ Brand Positioning Brand Attributes และ Brand Promise ซึ่ง 4P ของชาวเพอร์เฟคมีความหมายดังนี้ ◦Proficient คือการรวมคำว่า Professional เข้ากับคำว่า Efficient นั่นหมายถึง การเป็นสุดยอดมืออาชีพนั่นเอง ◦Persistent คือการเป็นผู้ซึ่งที่บากบั่น อดทน ฟันฝ่าอุปสรรค จนกว่าจะประสบความสำเร็จในที่สุดไม่ว่าทางจะยาวไกลหรือยากลำบากเพียงไร ◦ People Oriented คือความใส่ใจในความเป็นมนุษย์ ทั้งในด้านคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม จนเป็นที่มาของความสำเร็จในการได้รับรางวัล EIA Monitoring Awards ติดต่อกันถึง 5 รางวัลจากสำนักงานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมในฐานะผู้ประกอบการด้านอสังหาริมทรัพย์ดีเด่นของประเทศ ◦Profile คือสิ่งซึ่งชาวเพอร์เฟคภาคภูมิใจในผลงานที่เป็นที่ยอมรับจากสังคมและลูกค้าทั้งในปัจจุบันและอนาคต ขั้นตอนที่ 4 EXPRESSION เพื่อให้เป็นที่จดจำได้ง่าย ตราสัญลักษณ์ของแบรนด์ต่างๆ จึงได้รับการออกแบบให้ดูน่าสนใจ แม้แต่ Brand ที่มีชื่อเสียงอย่าง NIKE และ COKE ก็มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องดังตัวอย่างที่ได้นำเสนอก่อนหน้าในกรณีของบริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) ก็ได้มีการกำหนดตราสัญลักษณ์ขึ้นใหม่ให้จดจำได้ง่ายขึ้น ขั้นตอนที่ 5 ACTION เพื่อเป็นการย้ำว่าการสร้าง Brand ก็เหมือนกับการเลี้ยงลูก ซึ่งต้องคอยดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี เพื่อให้เติบโตขึ้นเป็นคนดีมีคุณภาพรับใช้สังคมและบ้านเมืองต่อไปในอนาคต ขบวนการดัวกล่าวในกรณีของการสร้าง Brand ก็คือการจัดให้เกิดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับ Brand สามารถทำได้กับทั้งภายในและภายนอกองค์กร โดยขอยกตัวอย่างกิจกรรมที่บริษัท พร็อพเพอร์ตื้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) ได้จัดทำภายในองค์กรและภายนอกองค์กรที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมภายในหมู่บ้านและสังคมภายนอกโดยภาพรวม จากกรณีศึกษาข้างต้นจะเห็นได้ว่า ขบวนการสร้าง Brand ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เป็นสิ่งที่ช่วยให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องขององค์กรและตัวสินค้าในที่สุด กลไกดังกล่าวเป็นกลไกที่เกี่ยวข้องกับบุคคลจำนวนมากและต้องอาศัยความทุ่มเทเป็นอย่างยิ่ง แต่ผลที่ได้จากการทุ่มเทดัวกล่าวข้างต้น ก็ให้ผลที่เรียกได้ว่าเกินคุ้ม ท่านใดมีโอกาสเกี่ยวข้องกับกิจกรรมการสร้าง Brand ขององค์กรตนเองก็จะเข้าใจได้โดยง่าย ส่วนท่านที่เพิ่งมีโอกาสศึกษาหากได้ติดตามด้วยเหตุด้วยผล ก็จะเข้าใจได้โดยไม่ยากนัก หวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านบ้างไม่มากก็น้อย ดร.ธีระชน มโนมัยพิบูลย์
โดย
contrarian
ศุกร์ ก.ค. 12, 2013 2:56 pm
0
2
Re: ถ้าเจอบริษัทที่ทำอะไรเนียนๆแบบนี้ NWR -กรณีศึกษา
ตามข้อตกลงเบื้องต้น บริษัทต้องจ่ายค่าลิขสิทธิตราสินค้าเป็นรายโครงการให้แก่เรือนรพีในอัตราร้อยละ3 ของยอดขาย ไม่รู้ว่าข้อตกลงนี้ มีแจ้งใน 56-1 หรือเปล่า . . . . . . . . . . คงคิดว่าไม่แพง เพราะปกติต้องจ่าย 30% อิอิ
โดย
contrarian
พฤหัสฯ. ก.ค. 11, 2013 1:00 pm
0
0
Re: ถ้าเจอบริษัทที่ทำอะไรเนียนๆแบบนี้ NWR -กรณีศึกษา
ไม่เคยติดตามบริษัทนี้นะครับ แต่เห็นดีลมันแปลก กลัวว่าตัวเองจะ BIAS ก็เลยลองค้นดูหน่อยว่า แบรนด์นี้มันดังขนาด 50 ล้านหรือเปล่า โดยใช้อากู๋ ปรากฎว่ามันไม่ค่อยเจอ อ่ะครับ คือเจอแหละแต่ไม่ได้ข้อมูลที่จะเอามาประเมินแบรนด์บารานี ว่าคุ้ม 50 ล้านมั้ย เจอ 2-3 กระทู้ แต่เก่าก่อนน้ำท่วม ปรากฎว่า ตัดสินใจซื้อบ้าน บารานี เพราะNWR สร้างซะงั้น เอาเข้าไป http://pantip.com/topic/30562616 http://prakard.com/default.aspx?g=posts&t=233122 http://topicstock.pantip.com/home/topicstock/2009/06/R8012969/R8012969.html พอเปลี่ยนเงื่อนไขการค้น ให้ค้น1ปีที่ผ่านมา ไม่ค่อยเจออะไร ส่วนตัวผมก็รู้จักแต่ชื่อ เนาวรัตน์พัฒนาการนะ ไม่รู้จัก บารานี ไม่รู้ด้วยว่ามันมีหมู่บ้านชื่อนี้ ทั้งที่ขับรถผ่านวงแหวนตะวันออก และรังสิตทุกอาทิตย์นะ จริงตั้งชื่ออะไรก็ได้ แล้วบอกว่าสร้างโดยเนาวรัตน์พัฒนาการน่าจะขายดีกว่าป่ะ
โดย
contrarian
พฤหัสฯ. ก.ค. 11, 2013 12:36 pm
0
1
Re: EPS16YEAR เริ่มต้นอับเดทงบดุล Q4 31/12/10
รบกวนด้วยคนครับ
[email protected]
โดย
contrarian
พุธ ม.ค. 26, 2011 8:32 pm
0
0
ด่วน ! ประกาศ ขอความช่วยเหลือ SAVE Money Talk
เมล์แล้วครับ ตามนี้ครับ เรียน คุณจรัมพร โชติกเสถียร (ผจก.ตลาดหลักทรัพย์คนใหม่) ขอให้คุณจรัมพร ช่วยให้รายการmoey talk ทางmoey channelได้ดำเนินการต่อไปด้วยครับ ในความคิด ความรู้สึกของผมที่ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์มา20ปี ถ้าคิดถึงรายการทีวีเกี่ยวกับหุ้นจะคิดถึงmoney talkเป็นอันดับแรก ผมไม่ได้ดูmoney channelเป็นประจำ มักจะกดรีโมทเผื่อดูว่ามีอะไรน่าสนใจ แล้วมักจะกดดูช่องอื่นๆต่อไป ยกเว้นกดเจอmoney talkพอดีนั่นแหละครับจึงจะดูแช่จนจบรายการ โดยสรุป ในmoney channel มีmoney talkรายการเดียวที่ผมจะหยุดดูทุกครั้งและดูจนจบรายการ ส่วนรายการอื่นๆดูช่องอื่นให้ข้อมูลและความเห็นที่ดีกว่า ขอให้ท่านได้พิจารณาให้ money talk ได้ออกอากาศต่อไปด้วยครับ ขอแสดงความนับถือ
โดย
contrarian
พุธ พ.ค. 05, 2010 2:47 pm
0
0
แนะนำหนังสือ Outliers สัมฤทธิ์พิศวง
เป็นหนังสือที่ควรอ่านครับ แม้ท่อนหลังๆจะอืดๆ แต่ท่อนแรกๆ ก็ได้ประโยชน์มาก
โดย
contrarian
ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 5:00 pm
0
0
บรรยากาศการประชุมผู้ถือหุ้นเป็นอย่างไรบ้างครับ
คุณ JIDAPA แจ้งข้อมูลนี้ ไปที่ สมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย ซีครับ เขามีอาสาสมัครพิทักษ์สิทธิ์ผู้ถือหุ้นรายย่อย ถ้าเหตุการณ์เป็นอย่างที่คุณ JIDAPA เล่าเนี่ย ผมว่าสมาคมคงสนใจที่จะเข้าไปนะครับ ที่ผมไปประชุมมา ท่านอาสาฯช่วยให้การประชุมที่ดีอยู่แล้ว มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นครับ ไปประชุม MFEC มาครับ ที่อาคารโมเดอร์นฟอร์มทาวเวอร์ ชั้น 25 ถ.ศรีนครินทร์ ซึ่งเป็น สนง.ใหญ่ เป็นปีแรกที่มี อาสาสมัครพิทักษ์สิทธิ์ผู้ถือหุ้นรายย่อย ของสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย เข้าร่วมประชุมด้วย แต่ผมจำชื่อไม่ได้เพราะชื่อแกค่อนข้างเรียกยาก ซึ่งก็เป็นประโยชน์ดี ช่วยกำกับการประชุมให้ได้มาตรฐานยิ่งขึ้น 1.ได้ประโยชน์อะไรบ้าง ; ได้ทบทวนข้อมูลที่เราติดตามกิจการอยู่ ,การคาดการณ์อนาคตเมื่อสถานการณ์การแข่งขันเปลี่ยนไป ฯลฯ โดยสรุปผมว่าดีกว่าไม่ไปครับ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับผู้บริหารนั้นๆด้วยนะครับ ว่าให้เกียรติรายย่อยหรือไม่ 2.ได้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริษัทที่เราถืออยู่มากกว่าไม่ไปประชุมหรือเปล่า ; เช่นเดียวกับข้อ 1 ครับ และก็กึ่งๆ brainstorm เพราะช่วยกันถามสิ่งที่เราคิดว่าเป็นจุดอ่อน 3.บรรยากาศในการประชุมเป็นอย่างไรบ้าง ; โดยรวมดีครับ ผู้ถือหุ้นซักถาม ผู้บริหารก็ยินดีตอบทุกคำถาม โดยใครรับผิดชอบเรื่องใดก็ตอบเรื่องนั้น เห็นความเป็นทีมที่ชัดเจนเลยครับ 4.ได้อะไรติดไม้ติดมือมาบ้างไหมครับ ; สมุดบันทึก และCD สารานุกรมไทย สำหรับเยาวชนเล่ม 1 -31 ที่บริษัททำถวายฯ มูลค่าชุดละ 399.- มีแจกเครื่องดื่ม และอาหารว่างเป็นsnack box ของS&P ปีหน้าอาจจะมีเลี้ยงข้างกลางวันหรือเปล่า เพราะเริ่มประชุม 10.30 กว่าจะประชุมเสร็จก็ 12.30
โดย
contrarian
พุธ เม.ย. 23, 2008 1:33 pm
0
0
ถามหน่อยครับ ข้อพิจารณาในการเข้าร่วมวงธุรกิจ
ถ้าจะลงทุนทำหรือไม่ทำธุรกิจนั้น ดู market size และการขยายตัวของตลาดในอนาคต เป็นอันดับแรก ครับ (ตามคติ ถ้าอยู่ในธุรกิจที่ดีบริหารห่วยๆก็กำไร ถ้าธุรกิจที่กำลังแย่บริหารให้ดีก็ยังต้องเหนื่อย) แล้วจึงตามด้วย SWOT เพื่อกำหนดกลยุทธ์ต่างๆ ส่วนอัตราส่วนทางการเงิน ดูหลังๆครับ เพราะมันเป็นผลจากการทำธุรกิจ เพราะในโลกความเป็นจริงแล้ว มันยังมีปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ เช่น อาจจะมีผู้เล่นเข้ามาใหม่พร้อมกันหลายราย ดูกรณี q-con ซึ่งทั้ง GPM,NPM สูงปรี๊ด ก็เลยเป็นปัจจัยดึงดูดให้มีผู้เข้ามาเล่นมากมาย ในที่สุดก็ไม่สามารถรักษามาร์จิ้นไว้ได้ ขออภัยถ้าตอบไม่ตรงคำถามนะครับ :lol:
โดย
contrarian
ศุกร์ มี.ค. 07, 2008 10:41 am
0
0
ถ้ามองแบบใจเย็นไม่ดูราคามากตอนนี้น่าจะเป็นโอกาส
แต่อย่าชมสวนเพลิน นะครับ
โดย
contrarian
พุธ ม.ค. 23, 2008 8:40 am
0
0
ถ้ามองแบบใจเย็นไม่ดูราคามากตอนนี้น่าจะเป็นโอกาส
"ซื้อยามเมื่อเลือดนองถนน" ชาวสวน ทะยอยกลับมาประจำการ 8) ให้ลูกสอบเข้าให้เสร็จก่อน จะมาconcentrateให้มากขึ้น
โดย
contrarian
อังคาร ม.ค. 22, 2008 12:19 pm
0
0
ถามเรื่องขนมปัง
ไม่เสียดายขนมปังหรอกครับ แต่สงสัยว่า ใส่สารกันเชื้อราหรือเปล่า มากน้อยแค่ไหน ถ้ากินทุกวัน เป็นอันตรายหรือไม่ เคยซื้อที่ทำสดๆ โดยซื้อจากเคาน์เตอร์ ไม่กี่วันก็ราขึ้นแล้ว
โดย
contrarian
อังคาร ธ.ค. 11, 2007 12:22 pm
0
0
ถามเรื่องขนมปัง
ขนมปังชุดเดิมครับ ถึงวันนี้ ลองสังเกตุดู ยังไม่พบเห็นราที่เด่นชัด ในจำนวน 4 แผ่น มีสังเกตุเห็นจุดดำ1จุด ซึ่งไม่แน่ใจว่าเชื้อราหรือไม่ (ปกติถ้าเป็นขนมปังขาว เราจะเห็นเชื้อราเขียวๆ ขึ้นเป็นปื้นๆ) แต่แผ่นอื่นๆก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าราจะขึ้น ประเภทว่าถ้าเปลี่ยนฉลากหมดอายุ แล้วเชื่อฉลากก็หลงกินได้ อ้อ ตลอดเวลาขนมปังยังอยู่ในถุงเดิมแต่แรกจากโรงงาน เป็นไปได้หรือไม่ว่า ใส่สารกันเชื้อรา แล้วถ้ากินทุกวันจะสะสม จนเป็นอันตรายหรือไม่ แหม แต่เวลาขนาดนี้มันน่าจะเห็นราชัดเจนแล้วนะ
โดย
contrarian
อังคาร ธ.ค. 11, 2007 11:49 am
0
0
เมื่อวานเป็นวันเปิดงานเทศกาล JANUARY EFFECT2551 ??
...ทำไมรอนานจัง... ...เพิ่งฟังนักวิเคราะห์เมื่อเร็วๆนี้ว่า... ...ไม่ใช่ เมกาลดดอกเบี้ยแล้วfund flowsไหลมาเอเชีย... ...เพราะบริษัทใหญ่ๆเค้าเจ๊งกัน จนไม่มีเงินจะมาลงทุน... ...ต้องรอให้เมกาตั้งหลักได้ก่อน ดังนั้นคงต้องไปหวังเม็ดเงินที่อื่นมากกว่า... 2 ปี ถ้าได้ 50% ก็ไม่น่าจะนานนะครับ ไม่ใช่ ตังเมกามาครับ ตังคนอื่นที่เล่นอยู่ในเมกาน่ะครับ ปัจจุบันตังที่อยู่ในเมกา มันก็เป็นคนอื่นไม่น้อย
โดย
contrarian
จันทร์ ธ.ค. 03, 2007 11:20 am
0
0
Opportunity Day: Q3
พรุ่งนี้มี MFEC ไปไม่ได้ง่ะครับ ใครเข้าฟัง ฝากถาม เรื่อง ความเป็นไปได้ทางการตลาดของเกม GIG Online และประมาณการ ด้วยครับ
โดย
contrarian
อังคาร พ.ย. 20, 2007 10:54 pm
0
0
หนังเรื่อง "ซับไพร์ม" ฉายมาได้ครึ่งเรื่องแล้ว
ว่าแต่ยังไม่ค่อยได้เห็น รายงานความเสียหาย ในภาคเศรษฐกิจจริงที่เกิดจากซับไพรม์ สักเท่าไหร่เลย อาจจะรอผสมกับราคาน้ำมันอยู่ แล้วถ้าหนังเรื่องขาดดุลกลับมาสร้างภาค2 (ตามตรรกะไม่น่าจะเกิด) คงจะเลือดท่วมจอละครับคราวนี้
โดย
contrarian
อังคาร พ.ย. 20, 2007 2:24 pm
0
0
ถ้า TESCO / BIG C / Carrefour ขายหนังสือ
หมายถึงว่า ถ้าจะเป็นคู่แข่ง บุ๊คสไมล์ น่ากลัวกว่าmodern trade และบุ๊คสไมล์มีโอกาสทำได้ ปัจจุบันยังไม่ทำน่าจะเป็นเพราะ model ยังไม่สมบูรณ์ เชื่อว่าทำแน่ โดยวางposition เป็นร้านหนังสือของชุมชน อยู่ระหว่างse-ed กับ แผงหนังสือย่อย สินค้าจะประกอบด้วย 1.หนังสือพิมพ์และ นิตยสาร เพื่ออาศัยขายหมุนเร็ว 2.หนังสือtop30 (GP 25-30%) 3.หนังสืออื่นๆที่GP สูง (GP35-50%) 4.รับสั่งหนังสือโดยอาศัยlogistics ที่แข็งแกร่ง
โดย
contrarian
จันทร์ พ.ย. 19, 2007 6:17 pm
0
0
ศัพท์หุ้นวันละคำ
"จุดที่มั่นใจที่สุด คือจุดที่อันตรายที่สุด" สำหรับผม ยิ่งอันตราย ความมั่นใจยิ่งเพิ่มขึ้น(ถ้าไม่ตายไปเสียก่อน) หวั่นไหว~~~~~วิตก> >> >>>วิกฤต V V V Vโอกาส~~~ "ซื้อ ยามเมื่อเลือดนองถนน"
โดย
contrarian
จันทร์ พ.ย. 19, 2007 3:41 pm
0
0
ศัพท์หุ้นวันละคำ
"เทคนิคไม่เคยหลอก" "ไม่มีเครื่องมือเทคนิคตัวไหน ที่แม่นยำในทุกสถานการณ์"
โดย
contrarian
จันทร์ พ.ย. 19, 2007 3:35 pm
0
0
เห็นVIเก่งๆที่ประสพความสําเร็จลงทุนตอนหุ้นเหลือ200จุดแทบทุกค
สนับสนุนคุณฉัตรชัยครับ ไม่เกี่ยวกับดัชนีหรอกครับ อย่างปัจจุบัน กิจการที่กำลังไม่ดี แต่พร้อมจะทะยานในอนาคต ก็ยังมี อยู่ที่กล้าหรือเปล่า และจะมีวิธีการจัดการยังไง ทั้งหลายทั้งปวงไม่ว่าจะ กล้าหรือเปล่า ,มีวิธีจัดการยังไง,รวมถึงถือได้ยาวๆ ปัจจัยสำคัญก็คือ รู้จักกิจการนั้นๆดีแค่ไหน
โดย
contrarian
อาทิตย์ พ.ย. 18, 2007 9:56 am
0
0
ถ้า TESCO / BIG C / Carrefour ขายหนังสือ
ถ้าไม่นับร้านหนังสือแท้ๆ ด้วยกัน ในอนาคตอันไม่ไกล ที่พอจะประกบได้ คือ บุ๊คสไมล์ ของ7-11
โดย
contrarian
เสาร์ พ.ย. 17, 2007 5:46 pm
0
0
หวั่นไหว หรือยัง ?
หวั่นไหว~~~~~วิตก> >> >>>วิกฤต V V V Vโอกาส~~~
โดย
contrarian
จันทร์ พ.ย. 12, 2007 3:10 pm
0
0
เชิญชวนชาวพุทธร่วมสวด"ภูมิพลมหาราชวรสฺส ชยมงฺคลคาถา&quo
ตรงนี้บทสวด http://www.onab.go.th/NewPublic/Image/5-12-50-1.jpg
โดย
contrarian
จันทร์ พ.ย. 05, 2007 5:51 pm
0
0
Opportunity Day: Q3
... wrote: o_O" บ.ไหนเหรอครับ อิฐมวลเบา
โดย
contrarian
จันทร์ พ.ย. 05, 2007 5:40 pm
0
0
สื่อสารและเทคโนโลยี
"เฮลท์แคร์" ขุมทองไมโครซอฟท์ สุจิตร ลีสงวนสุข เบิร์บ ด้วยมูลค่าตลาดสุขภาพที่ใช้ไอทีระดับ 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และการลงทุนยังกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มฮาร์ดแวร์ ประกอบกับการแข่งขันของหลายประเทศในเอเชียที่จะชิงความเป็น ""เมดิคัล ฮับ" ทำให้ธุรกิจเฮลท์แคร์เติบโตสูงในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ความเคลื่อนไหวของยักษ์ซอฟต์แวร์ "ไมโครซอฟท์" ที่ดึงบอสใหญ่อิมพอร์ตตรงจากเรดมอนด์มาแถลงข่าวการเข้าซื้อกิจการบริษัท "โกลบอล แคร์ โซลูชั่นส์" ที่มีอายุเพียง 7 ปี และมีพนักงานไม่ถึง 100 คน และยังเป็นดีลแรกที่บริษัทซื้อกิจการด้านเฮลท์แคร์นอกประเทศสหรัฐอเมริกา ปีเตอร์ นิวเพิร์ต รองประธานกลุ่มธุรกิจโซลูชั่นการดูแลสุขภาพ ไมโครซอฟท์ คอร์ปอเรชั่น ที่จัดตั้งมากว่าทศวรรษพร้อมทีมงานอีก 180 คน เล่าถึงการซื้อกิจการครั้งนี้ว่า "โกลบอล แคร์ โซลูชั่นส์" มีซอฟต์แวร์ "Hospital2000 " ซึ่งเป็นระบบบริหารงานโรงพยาบาลและระบบคลินิกที่ครบวงจรและเสริมกับไลน์สินค้าด้านซอฟต์แวร์โครงสร้างพื้นฐานของไมโครซอฟท์ที่มีอยู่ ช่วยเสริมศักยภาพการบุกตลาดเฮลท์แคร์โลก "ไมโครซอฟท์มีซอฟต์แวร์กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นโอเอส ดาต้าเบส แต่เรายังขาดแอพพลิเคชั่นเฉพาะด้าน เรามองเห็นโอกาสการขยายตัวที่จะใช้งานไอทีของกลุ่มเฮลท์แคร์ โดยประมาณการทั่วโลกมีมูลค่าราว 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ส่วนใหญ่เป็นการใช้ฮาร์ดแวร์ จึงยังมีพื้นที่การใช้ซอฟต์แวร์อีกมาก ที่น่าสังเกต กลุ่มเฮลท์แคร์มีการลงทุนไอทีไม่มากนักเพียง 1% ของยอดขาย เมื่อเทียบกับกลุ่มค้าปลีก สื่อสาร และอุตสาหกรรมการผลิต จะลงทุนไอทีเฉลี่ย 5-7%" เครก มันดี ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิจัยและบริหารกลยุทธ์ไมโครซอฟท์ คอร์ปอเรชั่น อธิบายเสริมว่า การซื้อกิจการครั้งนี้ จะทำให้บริษัทมีสินค้าครบวงจรและสามารถนำไอทีไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมสุขภาพได้ โดยเฉพาะตลาดประเทศเกิดใหม่ ทั้งอินเดีย จีน อินโดนีเซียและแอฟริกา โดยปัจจุบันมีผู้สามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุข 5 พันล้านคน ยังมีตลาดอีก 5 พันล้านคนที่ยังไม่สามารถเข้าถึงบริการได้ "การซื้อกิจการของบริษัทที่ตั้งในไทย จะช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจทั้งในทางตรงและทางอ้อม โดยประเทศไทยจะเป็นส่วนหนึ่งของฐานการพัฒนาเฮลท์แคร์ โซลูชั่น ที่บันเดิลจัดเป็นแพ็คเกจกับเทคโนโลยีอื่นๆ ของไมโครซอฟท์ และส่งออกไปขายทั่วโลก และอีกส่วนก็ช่วยสร้างระบบไอที อีโคซิสเต็มส์ให้กับพันธมิตรและนักพัฒนาในไทย ซึ่งมีการวิจัยจาก 63 ประเทศพบว่า 1 ดอลลาร์สหรัฐที่ไมโครซอฟท์ขายซอฟต์แวร์ จะสร้างผลกระทบในระบบอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง 7-20 ดอลลาร์สหรัฐ " นายมันดีกล่าว ปฐมา จันทรักษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด เล่าว่า ดีลนี้จะทำให้ประเทศไทยไม่เพียงโดดเด่นในการเป็น Medical Hub แต่ยังสามารถโดดเด่นซอฟต์แวร์เฮลท์แคร์ โดยเฉพาะการขยายฐานในอีเมอร์จิ้งมาร์เก็ต ซึ่งพิจารณาฐานลูกค้าของโกลบอลแคร์ที่เป็นโรงพยาบาล 7 แห่งใน 5 ประเทศ ทั้งสิงคโปร์ เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย "ต่อไปไทยจะเป็นฐานการพัฒนาโซลูชั่น เฮลท์แคร์ ที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ไทย และสร้างแรงจูงใจการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมในประเทศได้ ซึ่งไมโครซอฟท์ไทยก็ตั้งทีมเจาะตลาดนี้โดยตรง และมองว่ากลุ่มนี้เติบโตมากกว่าตัวเลขสองหลักสูงกว่าอุตสาหกรรมอื่นๆ" แพ็ททริก ดาวนิ่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทโกลบอล แคร์ โซลูชั่น บอกถึงความรู้สึกว่า การที่ไมโครซอฟท์มาซื้อกิจการ จะทำให้ซอฟต์แวร์ของบริษัทก้าวสู่ระดับโลก มีลูกค้านับเป็นพันๆ แห่ง จากปัจจุบันที่มีลูกค้า 7 รายในภูมิภาคเอเชีย และยังต้องเพิ่มบุคลากรเพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจ โดยทีมงานทั้งหมดจะเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มธุรกิจโซลูชั่นการดูแลสุขภาพ เขามองด้วยว่า ตลาดเฮลท์แคร์ยังเติบโตได้อีกมหาศาล โดยเฉพาะเมื่อสารสนเทศมีจำนวนมากและซับซ้อนขึ้น ทำให้ไอทีเข้ามีมีบทบาทยิ่งขึ้น ตั้งแต่การค้นคว้ายาใหม่ๆ การวินิจฉัยอาการผู้ป่วยที่แม่นยำขึ้น การลดความผิดพลาดการสั่งยา ทั้งยังทำให้ต้นทุนการรักษาพยาบาลต่ำลง ขณะที่คุณภาพการให้บริการดีขึ้น เขาเชื่อว่า เหตุผลที่ทำให้บริษัทสามารถประสบความสำเร็จ น่าจะเกิดจากการพัฒนาโซลูชั่นร่วมกับลูกค้าโดยตรงตั้งแต่ต้นจนจบ โดยเฉพาะการได้โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เข้ามาเป็นพันธมิตรถือหุ้นและใช้งานซอฟต์แวร์ สร้างความน่าเชื่อถือให้บริษัทที่จะไปขยายตลาดต่อพร้อมๆ กับฟีเจอร์ที่ใช้งานง่ายในราคาที่สมเหตุผล กล่าวโดยสรุป ดีลนี้น่าจะเป็นบทสะท้อนที่ "จุดประกาย" ให้กับบริษัทผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ ที่จะสร้างระบบงานที่มีคุณภาพออกมาขาย โดยเฉพาะการมองหาสินค้าเฉพาะทางและใช้เทคโนโลยีในการพัฒนาที่แพร่หลาย มีคนใช้จำนวนมาก
โดย
contrarian
จันทร์ พ.ย. 05, 2007 12:04 pm
0
0
Opportunity Day: Q3
ผมพยายามไปเสมอ ก่อนลงทุนบริษัทนั้นๆต้องไปดูโหงวเฮ้งผู้บริหาร ถ้าโหงวเฮ้ง ขี้โกง ก็ไม่อาว บริษัทที่ลงทุนอยู่แล้ว ก็ไปเช็ค ว่าโหงวเฮ้งผู้บริหารเปลี่ยนหรือปล่าว มีบริษัทหนึ่ง ผมกำลังคิดจะลงทุน เพราะคิดว่าเขาน่าจะturn around ได้ แต่พอไปopp.day เจอผู้บริหารการตลาด ไม่สบายข้อเข่า เดินกระเผลก คนขายของถ้าเดินกระเผลกช้ากว่าคนอื่น ก็ไม่น่าจะสู้คนอื่นได้ เลยชะลอการลงทุนไปก่อน ปรากฎว่าปัจจุบันก็ยังturn aroundไม่ได้ ครั้งนี้ก็จะไปดูว่าหายสนิทหรือยัง เรื่องจริง แต่อย่าซีเรียสนะครับ
โดย
contrarian
จันทร์ พ.ย. 05, 2007 11:01 am
0
0
Opportunity Day: Q3
คนเข้าฟังไม่เต็มหรอกครับ แต่เอกสารมักจะหมดก่อน เขาก็มักจะกรุณาถ่ายเอกสารเพิ่มให้ ลงทะเบียนไว้กันเหนียวก็ดีครับ ถ้ามีเลื่อนเขาก็จะแจ้งกลับ และชื่อจะไปอยู่ในฐานข้อมูล จะสะดวกในการลงทะเบียนครั้งต่อๆไป ถึงเวลาไปไม่ได้ ก็ขอยกเลิกการสำรองได้
โดย
contrarian
ศุกร์ พ.ย. 02, 2007 8:49 pm
0
0
สื่อสารและเทคโนโลยี
Mr.BOO wrote ในกระทู้MFEC News Alert บริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) สมาคมไอทีต้านบอร์ดซิป้า วานนี้ (1 พ.ย.) ผู้ประกอบการซอฟต์แวร์รายใหญ่ คือ บริษัท เอ็มเอฟอีซี จำกัด (มหาชน) หรือเอ็มเฟค บริษัทซอฟต์สแควร์ 1999 จำกัด บริษัท คอมพิวเตอร์ เทเลโฟนี เอเชีย จำกัด (ซี ที เอเชีย) และสมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศไทย (เอทีซีไอ) สมาคมส่งเสริมการส่งออกอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทย รวมตัวกันเรียกร้องคณะกรรมการสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ (ซิป้า) หรือบอร์ด ลาออกยกชุด โดยให้เหตุผลว่า ที่ผ่านมาวางนโยบายผิดพลาด ทำอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์เสียหาย ทั้งเป็นการแต่งตั้งจากรัฐบาลชั่วคราว ซึ่งรัฐมนตรีผู้แต่งตั้งก็ได้ลาออกไปแล้ว จึงไม่ควรดำเนินการสำคัญๆ เช่น สรรหา และแต่งตั้งผู้อำนวยการ แต่ยังฝืนทำ การรวมตัวครั้งนี้ เป็นการดำเนินการสืบเนื่องจากสัปดาห์ก่อนที่ 11 สมาคมด้านไอทีของไทยรวมตัวกันเรียกร้องขอมีส่วนร่วมรับฟังวิสัยทัศน์ของผู้สมัครผู้อำนวยการซิป้า แต่บอร์ดได้ปฏิเสธการร้องขอ นายราเมศวร์ ศิลปพรหม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซอฟต์สแควร์ 1999 จำกัด กล่าวว่า ทักษะด้านการบริหารจัดการของบอร์ด ซิป้าผิดตั้งแต่แรก ที่กีดกันภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ มองว่าจะเป็นการทำให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน ทั้งๆ ที่การตั้งซิป้าขึ้นมีเจตนาจะส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ ซึ่งก็คือผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ภาคเอกชนของไทย นายศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็มเอฟอีซี จำกัด (มหาชน) หรือเอ็มเฟค กล่าวว่า เมื่อมีบอร์ด หรือมีซิป้าแล้วไม่มีประโยชน์ ก็ไม่ควรมีต่อไป ปัญหาของซิป้าอยู่ที่ความไม่รู้ปัญหาของอุตสาหกรรม ไร้ทิศทาง ไม่มีวิสัยทัศน์ ขาดความมีส่วนร่วมต่ออุตสาหกรรม นโยบายที่ออกมาไม่แน่นอน ขณะเดียวกัน ยังขาดความรู้จริงต่อสภาพอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทย ที่ตั้งขึ้น 1,400 บริษัท แต่อยู่รอดจริงเพียง 20 กว่าบริษัท ผลกำไรรวมกันเป็นหลักพันล้านบาทเท่านั้น นายราเมศวร์ กล่าวเสริมว่า ล่าสุด การสรรหาผู้อำนวยการคนใหม่ของซิป้า ก็ตัดคุณสมบัติที่สมควรมีอยู่ทิ้งไปทั้งหมด เพื่อเปิดทางให้บางคนเข้ามาแข่งขันได้ นายเฉลิมพล ปุณโณทก ประธานบริหาร ซีที เอเชีย กล่าวว่า ซิป้ามีงบประมาณปีละ 450 ล้านบาท 30% จ่ายไปกับเงินเดือน และใช้จ่ายเพื่อโปรโมทคน และองค์กรซิป้า ไม่มีประโยชน์ที่ชัดเจนอะไรออกมาแก่ภาคอุตสาหกรรม เป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณโดยใช่เหตุ พร้อมกันนี้ ภาคเอกชนระบุว่า หากได้ผู้อำนวยการซิป้าคนใหม่ที่มีคุณสมบัติไม่เหมาะสม สมาคมด้านไอทีจะไม่เข้าร่วมสังฆกรรมกิจกรรมใดๆ ที่ซิป้าดำเนินการ หรือจัดทำขึ้น เลขที่ข่าว 573036 วันที่ 2/11/2550 หนังสือพิมพ์[หน้า] กรุงเทพธุรกิจ [8] from BOL _________________ Rabbit VS. Turtle
โดย
contrarian
ศุกร์ พ.ย. 02, 2007 8:45 pm
0
0
สื่อสารและเทคโนโลยี
ไฟล์สำคัญครับ แนวทางการขับเคลื่อนการพัฒนาระบบสื่อสารและโทรคมนาคม http://ipo.nesdb.go.th/sedb/internet/dl.aspx?f=Asset/2007111958501_2.pdf Presentation แนวทางขับเคลื่อนโทรคมนาคม แผนฯ 10 http://ipo.nesdb.go.th/sedb/internet/dl.aspx?f=Asset/2007111100566_2.pdf
โดย
contrarian
พฤหัสฯ. พ.ย. 01, 2007 1:09 pm
0
0
หวั่นไหว หรือยัง ?
ทั้งนี้ หุ้นคาเตอร์พิลลาร์ดิ่งลง 5.3% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 3 เพิ่มขึ้นเพียง 21% ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ในตลาดวอลล์สตรีทคาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ คาเตอร์พิลลาร์ยังปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการทั้งปีลงด้วย หุ้นฮันนีเวลล์ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทอุตสาหกรรมรายใหญ่ ร่วงลง 3.9% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 3 เพิ่มขึ้นเพียง 14% ซึ่งต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ และยังได้ปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการตลอดทั้งปีลงเช่นกัน ส่วนหุ้นบริษัท 3M ร่วงลง 8.6% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรไตรมาส 3 ขยับขึ้นเพียง 7% เนื่องจากยอดขายที่ต่ำเกินคาด อย่างไรก็ตาม หุ้นกูเกิลดีดขึ้น 5.09 ดอลลาร์ ปิดที่ 644.71 ดอลลาร์ หลังจากกูเกิลเปิดเผยว่า กำไรไตรมาส 3 พุ่งขึ้น 46% ถ้าการรายงานข่าวนี้ ข้อมูล ถูกต้อง ผมก็หวั่นไหว ล่ะครับ แสดงว่าปัจจุบัน เขาซื้อขายกันที่ พรีเมี่ยม ที่ให้การขยายตัวของกำไรมากกว่า21%,14%,7% แล้วเราคาดกันอยู่ว่าเศรษฐกิจอเมริกามีโอกาสชะลอตัวสูง(จริงๆกลัวถดถอยเลยละครับ เพราะมีปัญหาการเงินหมักหมมอยู่ ) ถ้าการเติบโตติดลบ หรือพลิกกลับมาขาดทุน เขาก็จะต้องลดพรีเมียมลง ประกอบกับดูเทคนิคคอลประกอบ http://finance.yahoo.com/q/bc?s=%5EDJI&t=2y (เอารูปขึ้นไม่ได้) ดาวโจนส์มีโอกาสทำ double top สูงมาก ยอดก่อนหน้าวอลุ่มหนาแน่นกว่า ยอดล่าสุด แต่คงต้องให้ผู้ที่เข้าใจโครงสร้างตลาดดาวน์โจนส์ดี อธิบายก็ดีกว่าครับ
โดย
contrarian
อาทิตย์ ต.ค. 21, 2007 5:07 pm
0
0
The Snowball
advance order 1.
โดย
contrarian
พฤหัสฯ. ต.ค. 18, 2007 12:33 pm
0
0
ขายหุ้นอย่างไรไม่ให้ช้ำใจ (โดยคุณ Invisible Hand)
สุดยอด สุดยอด สุดยอด :bow: :bow: :bow: :bow: :bow: :bow:
โดย
contrarian
พฤหัสฯ. ต.ค. 18, 2007 9:29 am
0
0
อยากทราบความเห็นทุกคนครับว่าจะทำอย่างไรดี
ยึดทางสายกลาง เอาแต่พอดี ดีมั๊ยครับ มาตรฐานขั้นต่ำของมนุษย์ และของสังคม ก็คือ ศีล 5 ถ้ากิจการไม่ผิดศีล 5 ก็ โอเค ส่วนจะมีมาตรฐานจริยธรรมที่สูงกว่าศีล 5 ก็ อนุโมทนา ครับ อย่าลืมว่า เงิน เป็นสิ่งสมมุติ ถ้ามีระดับ 10 ล้าน แล้ว จะรู้สึกว่า มีมากกว่านี้ก็เฉยๆ คือ พอมี100 ล้าน มันก็ไม่สามารถ กินให้ได้มากกว่าตอนมี10ล้าน มันก็กินเท่าเดิม แต่ถ้าวันไหนกินแล้วไม่ได้ อึ ซิครับ จะเป็นทุกข์มาก ถ้าคนเราเอาแต่หายใจเข้า ไม่หายใจออก ก็ตายลูกเดียว (ไม่เชื่อลองดู) ฉะนั้น อะไรที่คิดว่าทำแล้ว เป็นการขายวิญญาณให้ปีศาจ จงอย่าทำ
โดย
contrarian
พุธ ต.ค. 17, 2007 9:52 pm
0
0
ร่วมไว้อาลัยสิ้นท่านปัญญานันทภิกขุ
ท่านเป็นพระที่เรากราบด้วยความสบายใจ เป็นตัวอย่างของการเป็นมนุษย์ที่เรายึดถือปฎิบัติ คำนึงถึงการมีชีวิตให้"กว้างขวาง" มากกว่าการมีชีวิตให้"ยืนยาว" วันที่ท่านละสังขาร ฝนตกทั้งวันเลยครับ
โดย
contrarian
ศุกร์ ต.ค. 12, 2007 5:57 am
0
0
HT คือบทเรียนที่ดีของ asset play
แต่ถ้าจะเข้าที่ราคาวันนี้ ก็ต้องศึกษาตัวกิจการให้ลึกซึ้ง คำนึงถึงmargin of safety ให้ดีๆ
โดย
contrarian
อังคาร ต.ค. 09, 2007 5:51 pm
0
0
HT คือบทเรียนที่ดีของ asset play
มีหุ้นตัวหนึ่งในกลุ่มหลักทรัพย์ ที่ผมตั้งใจเล่นasset play และคิดว่าสามารถตอบคำถาม ที่ผมตั้งไว้ได้ ลองเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์นะครับ หุ้นตัวนี้หลายคนในเวบนี้ ก็น่าจะมีติดพอร์ต มีลักษณะดังนี้ครับ ราคาปิดวันนี้ 40 บาท (แน่นอน ต้นทุนผมต่ำกว่านี้) BV.อยู่ที่ 50 บาท ใน 50 บาท เป็นเงินสด 19 บ.,ที่เหลือก็ตีซะว่าเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ไม่ยาก แสดงให้เห็นว่าทรัพย์สินไม่มีการซ่อนเร้นมาก ทำให้เราเชื่อค่าของ BV.ได้ คำถามที่1 อะไรจะเป็นตัว catalyse ให้ unlock asset และมีความเป็นไปได้แค่ไหน อ้างอิงบทวิจัย ของK research ซึ่งมีบทวิจัยเรื่องเดียวกันนี้ออกมาเมื่อตอนต้นปีครั้งหนึ่งแล้ว 5 ตุลาคม 2550 ธุรกิจหลักทรัพย์ไทย...เร่งปรับตัวหนักหลัง ครม.อนุมัติการเปิดเสรี (กระแสทรรศน์ ฉบับที่ 1995) -------------------------------------------------------------------------------- กล่าวโดยสรุปได้ว่า เมื่อวันที่ 25 กันยายน ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไป ซึ่งการอนุมัติร่างกฎกระทรวงดังกล่าวถือเป็นก้าวสำคัญในการนำไปสู่การเปิดเสรีธุรกิจหลักทรัพย์ในอนาคต หลังจากที่ประชุมคณะกรรมการ ก.ล.ต.เมื่อต้นเดือน พฤศจิกายน 2549 ได้ลงมติให้มีการเปิดเสรีใบอนุญาตธุรกิจหลักทรัพย์ในเวลาอีก 5 ปีข้างหน้า (ปี 2555) เมื่อพิจารณาจากปลายปีที่ผ่านมานั้น จะเห็นได้ว่าหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะทาง ก.ล.ต.เองก็ได้มีเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆเพื่อสนับสนุนการปรับตัวของบริษัทหลักทรัพย์ในหลายๆด้าน โดยมีประเด็นสำคัญ เช่น การผ่อนคลายเกณฑ์การประกอบกิจการของบริษัทหลักทรัพย์ในด้านต่างๆ เช่นแนวคิดในการผ่อนคลายเกณฑ์การเปิดสาขา เช่น การเปิดสาขาในรูปแบบใดก็ได้ไม่ว่าจะเป็นสาขาเต็มรูปแบบหรือสาขาออนไลน์ การให้เปิดทำการนอกเวลาทำการปกติได้ การเพิ่มประเภทธุรกิจให้ดำเนินการ โดย ก.ล.ต. ได้อนุญาตให้บริษัทหลักทรัพย์ สามารถประกอบธุรกิจอื่นๆเพิ่มเติม อาทิเช่น ธุรกิจการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า เป็นต้น การสนับสนุนแนวทางในการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นการช่วยเพิ่มรายได้ในการลงทุนให้กับบริษัทหลักทรัพย์ที่ประสงค์จะลงทุนเพื่อบัญชีของบริษัท (Proprietary Trading) การสนับสนุนบทบาทของบริษัทหลักทรัพย์ในการส่งเสริมการกำกับดูแลกิจการที่ดี และ การสนับสนุนให้มีผลิตภัณฑ์ทางการเงินในรูปแบบใหม่ๆในตลาดทุนไทยเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็น SET 50 Index Options หรือ ผลิตภัณฑ์อื่นๆที่คาดว่าจะทยอยเข้ามาทำการซื้อขายในลำดับถัดไป ซึ่งจะช่วยเป็นการเพิ่มรายได้ในการซื้อขาย ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาในส่วนของบริษัทหลักทรัพย์เองจะเห็นได้ว่าในช่วงที่ผ่านมา ได้มีความพยายามปรับการดำเนินธุรกิจเพื่อเตรียมรับมือการสภาพการแข่งขันที่จะรุนแรงมากขึ้นในอนาคตในหลายๆด้านมากขึ้น อาทิเช่น การเพิ่มรายได้จากช่องทางอื่นๆมากขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ชัดว่าสัดส่วนรายได้จากค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ได้ปรับตัวลดลงตามลำดับ ในขณะเดียวกัน บริษัทหลักทรัพย์ได้พยายามเพิ่มรายได้จากการลงทุนเพื่อพอร์ตของตนเองเพิ่มขึ้น นอกจากเพิ่มการลงทุนเพื่อพอร์ตของตนเองแล้ว บริษัทหลักทรัพย์หลายแห่งได้หันมารุกธุรกิจการให้บริการที่ปรึกษาการลงทุน (Wealth management) และ การเข้าสู่ธุรกิจหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมมากขึ้น ตลอดจน การแสวงหาพันธมิตรในการทำธุรกิจ ทั้ง พันธมิตรจากต่างประเทศ โดยเฉพาะการทำสัญญาการเป็นนายหน้าหรือตัวแทนซื้อขายหลักทรัพย์จดทะเบียนในลักษณะคู่ค้า (Exclusive Partner) ให้กับบริษัทหลักทรัพย์ต่างประเทศ และ การอาศัยจุดแข็งในการเป็นเครือข่ายธุรกิจการเงินกลุ่มเดียวกันมากขึ้น ในกรณีของบริษัทหลักทรัพย์ที่ถือหุ้นโดยธนาคารพาณิชย์ เมื่อพิจารณาส่วนแบ่งการตลาดในช่วงที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่า กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ที่มีผู้ลงทุนรายย่อยเป็นผู้ถือหุ้นส่วนมากจะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการแข่งขันมากที่สุด ซึ่งคาดว่ามีแนวโน้มที่ส่วนแบ่งการตลาดของกลุ่มดังกล่าวนี้คงจะเริ่มปรับตัวลดลงมากขึ้นในอนาคต ทำให้บริษัทหลักทรัพย์รายย่อยที่เข้าข่ายดังกล่าวมีความจำเป็นที่จะต้องแสวงหาพันธมิตรในการทำธุรกิจ พัฒนาธุรกิจอื่นๆขึ้นมาเพิ่มเติม หรืออาจต้องควบรวมกิจการกันเองในที่สุด ทั้งนี้ คาดว่าแนวโน้มการควบรวมกิจการในธุรกิจหลักทรัพย์คงจะเริ่มปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ ทำให้จำนวนบริษัทหลักทรัพย์ที่มีอยู่ในปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะลดจำนวนลง ขณะที่ผู้ประกอบการที่ยังคงอยู่ในตลาดจะมีขนาดใหญ่ขึ้น และมีการทำธุรกิจที่ครบวงจรมากขึ้น โดยได้แรงหนุนจากการที่ทางการได้เปิดโอกาสให้สามารถขอใบอนุญาตในส่วนที่ยังขาดอยู่ได้โดยสะดวกขึ้นหลังจากที่กฎกระทรวงมีผลบังคับใช้ และมีการอาศัยช่องทางการขายจากพันธมิตร หรือเครือข่ายทางธุรกิจมากขึ้น มิฉะนั้น บริษัทหลักทรัพย์เหล่านั้นจะต้องหันไปเสริมสร้างจุดขายเฉพาะด้านหรือสร้างความแตกต่างให้กับตนเอง ส่วนภาพรวมของธุรกิจหลักทรัพย์ในระยะยาวหลังการเปิดเสรีใบอนุญาตธุรกิจหลักทรัพย์นั้น การพิจารณาแนวโน้มการเเข่งขันของธุรกิจหลักทรัพย์คงจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยด้วยกัน นอกเหนือไปจากการเปิดเสรีใบอนุญาตของ ก.ล.ต. อาทิเช่น สภาพแวดล้อมในตลาดทุน การซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ขณะนั้น มาตรการต่างๆของรัฐบาล เช่น แนวโน้มการผ่อนคลายเกณฑ์การเปิดเสรีทางการเงิน โดยการอนุญาตให้มีการนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศ หรือ การทำ Cross-border services เป็นต้น โดยมองว่าปัจจัยเหล่านี้จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะเป็นตัวกำหนดการเข้ามาของผู้ประกอบการรายใหม่ในอนาคตว่าจะมีจำนวนมากน้อยเพียงใด อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า แม้การเปิดเสรีใบอนุญาตธุรกิจหลักทรัพย์จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าสู่ธุรกิจหลักทรัพย์ได้ง่ายขึ้น และทำให้ต้นทุนในการขอใบอนุญาตลดลงเทียบกันกับในปัจจุบัน ประกอบกับ การคลายเกณฑ์การลงทุนต่างๆที่น่าจะช่วยเอื้อหนุนการเติบโตของตลาดทุนไทยในระยะต่อไป เช่น ความเป็นไปได้ที่จะให้มีการยกเลิกมาตรการกันสำรองเงินทุนนำเข้าระยะสั้น การผ่อนคลายเกณฑ์การลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้นในอนาคต อาทิเช่น การอนุญาตให้บริษัทหลักทรัพย์สามารถลงทุนในต่างประเทศทั้งเพื่อตนเองและเพื่อบัญชีของลูกค้าเพิ่มขึ้น อาจจะเป็นการช่วยขยายช่องทางการทำธุรกิจของบริษัทหลักทรัพย์ ซึ่งอาจทำให้มีผู้ที่เล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวเข้ามาจัดตั้งบริษัทหลักทรัพย์ในประเทศไทย โดยเฉพาะสถาบันการเงินต่างชาติ แต่เมื่อพิจารณาเงื่อนไขประการอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการเเข่งขันที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจหลักทรัพย์ การที่ตลาดทุนไทยยังมีขนาดเล็กและมีสินค้าในตลาดไม่มากนัก ขณะที่การเปิดเสรีค่าธรรมเนียมการซื้อขายอาจจะส่งผลให้ผลกำไรที่ประกอบการจะได้รับลดลงได้ในระยะต่อไป ซึ่งจะกระทบต่อความน่าสนใจในการเข้ามาทำธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการรายใหม่ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วอาจจะทำให้มีความเป็นไปได้ที่จำนวนผู้ประกอบการอาจไม่เพิ่มขึ้นมากนัก นอกจากนั้นแล้ว บริษัทหลักทรัพย์ต่างชาติอาจจะต้องพิจารณาชั่งน้ำหนักระหว่างต้นทุนในการเข้ามาประกอบธุรกิจด้วยตนเองโดยตรงในประเทศไทยกับผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ กับการเลือกที่จะเข้ามาทำธุรกิจในลักษณะของการเป็นพันธมิตรกับบริษัทหลักทรัพย์ของไทยแทน แต่ไม่ว่ารูปแบบการดำเนินธุรกิจจะออกมาในลักษณะใดการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในธุรกิจดังกล่าวคงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในอนาคต http://www.kasikornresearch.com/kr/search_detail.jsp?id=9943&cid=9 ผมลองคิดเล่นๆว่า ถ้าผมเป็นผู้บริหารเจอสถานการณ์นี้ มีทางตัดสินใจอย่างไรบ้าง -นำทรัพยากรที่มีอยู่ มาทุ่มเทปรับปรุงกิจการ -ควบรวมกับคนอื่นเพื่อความแข็งแกร่ง ; ก่อนควบรวมแบ่งตังที่มีกันก่อน -หนทางข้างหน้าลำบากเหลือเกิน ขายดีกว่า ถ้าเป็น 2 อันหลัง ก็น่าจะ unlock asset 2.hidden asset มองให้ทะลุ ตัวนี้ asset อ้าซ่าเลยครับ มีเพียงคดีความถูกฟ้องร้องอยู่ ซึ่งหากแพ้คดีความเสียหายจะอยู่ที่ประมาณ 2 บาท 3.ระหว่างรอจะเอาอะไรกิน ตัวนี้ ปันผลทุก พ.ย. ปันผลประมาณ 80% ของกำไร เนื่องจากเป็นหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ สภาพคล่องสูง beta สูง เล่นตามearning หรือจะเล่นตามsentimentตลาดก็ได้ ปีนึงก็อย่างน้อยได้ 2 รอบ จะเห็นได้ว่า จะเล่นasset play ก็ได้,trading ก็ดี มีthemeให้เล่นได้เยอะ ส่วนใครจะเล่นแบบไหน หรือช่วงไหนจะเล่นแบบไหน ก็อยู่ที่แต่ละบุคคลครับ
โดย
contrarian
อังคาร ต.ค. 09, 2007 5:46 pm
0
0
อุตสาหกรรมการเงินการธนาคาร
http://www.kasikornresearch.com/kr/search_detail.jsp?id=9943&cid=12
โดย
contrarian
จันทร์ ต.ค. 08, 2007 9:13 am
0
0
HMPRO สาละวันเตี้ยลงทุกวัน เกิดอะไรขึ้น
ห้องน้ำ ผมซื้อบุญถาวรเป็นหลัก ขาดนิดหน่อย ซื้อที่โฮมโปรเพราะสะดวก เลือกวัสดุอื่นๆ ที่ไม่มีข้อมูลจะเข้าไปดูที่โฮมโปรก่อน เช่น ผ้าม่าน เตียง ซึ่งสุดท้ายไปซื้อที่ HOMEWORK EXPO สี ส่วนใหญ่ผมซื้อบริษัทโดยตรง เพราะเป็นตัวแทนอยู่ มีซื้อที่โฮมโปร 5 แกลลอนเนื่องจากต้องผสมพิเศษ ประตูบานเฟี้ยม ซื้อที่โฮมโปร เฉพาะอุปกรณ์ฟิตติ้ง เพราะมีให้เลือกเยอะดี (ตอนหลังซื้อสะพานเหล็กถูกกว่า) เครื่องทำน้ำอุ่น พนง.ขายเอาแต่จะเชียร์ขายยี่ห้อ carte แล้วบอกว่าของ พานา,สตีเบล ไม่ดี สุดท้ายผมไม่ได้ซื้อเครื่องทำน้ำอุ่นที่โฮมโปร LCD 42" ซื้อที่power buy เงื่อนไขดีกว่ากันเยอะ บิลใหญ่สุดที่ผมซื้อที่โฮมโปร คือ ซิงค์ล้างจาน 4900 บาท เนื่องจากลดราคาจาก 9000 กว่าบาท สรุป ที่ผมซื้อที่โฮมโปรส่วนใหญ่ คือ ของที่ขาดนิดหน่อยจากการซื้อที่อื่น และของที่โฮมโปรลดราคา ผมว่าโฮมโปรถ้าจะโตต่อ ในแง่สินค้าต้องให้ชัดกว่านี้ครับ ข้อดี 1.มีของให้ เลือกดู ค่อนข้างครบ และสบายใจที่จะเลือกดู 2.ทำเลที่ตั้ง ความสะดวกสบาย เรื่องการจอดรถ 3.มีการจัดลดราคา บ่อยๆ(กระตุ้นได้มาก) เพื่อนผมเคยเป็นผู้จัดการสาขาเขาบอกว่า ถ้าซื้อเยอะๆให้รอซื้อตอนจัด expo ของจะถูกมาก เพราะนำเข้ามาจัดรายการโดยเฉพาะ ข้อเสีย 1.ขาดความชัดเจนว่าเก่งอะไรแน่ รู้แต่ว่าของเยอะแต่ไม่รู้ว่าอะไรพิเศษ 2.ต่อเนื่องมา คือพอถึงจุดตัดสินใจซื้อ โฮมโปรไม่สามารถตอบโจทย์เรื่องราคาได้ เนื่องจากวัสดุก่อสร้างเป็นสินค้าที่ราคาสูง ต่างกัน 2-3% ก็คุ้มที่จะวิ่งรถไปซื้อ ผมก็เลยได้ซื้อของที่ขาดนิดหน่อย ครีมๆไม่ได้เงินผมเลย ผมว่าโฮมโปรจะกลับมาขายดี คือต้องโฟกัสให้niche ลงไปมากกว่านี้ หรือต้องรอให้บรรยากาศเศรษฐกิจและการบริโภคกลับมาคึกคักกว่านี้ ประเภทว่า ถ้าต้องวิ่งรถไปซื้อที่อื่นอีกจะเสียเวลาทำมาหากิน ยอมจ่ายแพงอีกนิดนึงเพื่อซื้อเวลา ซื้อความสะดวก แต่ในบรรยากาศขณะนี้ มีเวลาให้พิจารณาเยอะ อ้อ วันเสาร์ต้นเดือน ที่ผ่านมา ผ่านหน้าโฮมโปรฟิวเจอร์ปาร์ค ซึ่งมีการ จัดงานลดราคา ที่จอดรถหน้าโฮมโปรมีไม่พอ
โดย
contrarian
จันทร์ ต.ค. 01, 2007 11:39 am
0
0
HMPRO สาละวันเตี้ยลงทุกวัน เกิดอะไรขึ้น
deweykung wrote: ผมอ่านของคุณ Contrarian แล้วงงจัง = = คือ สถานการณ์มันไ่่ม่ค่อยดีรึเปล่าครับ หรือผมงงคนเีดียว ขออภัยด้วย ครับ ผมมาอ่านข้อความของผมอีกครั้ง ผมก็งง เพราะเอาหลายเรื่องมาปนกัน คือ ต้องการแนะให้ไปดูสภาพกิจการจริงๆนะครับ ช่วงนี้(ส.ค.-ก.ย.)ผมได้มีโอกาสเข้าไปบ่อยๆ ส่วนใหญ่ไปวันทำงาน ช่วง 18.30 ไปแล้ว ไปอยู่ 2 สาขา คือฟิวเจอร์ปาร์ค กับ ปากทางลาดพร้าว ผลคือเงียบมากครับ คนน้อย พนักงานขายมากกว่าคนซื้อ เวลาชำระเงินก็ไม่เคยต้องรอเกิน 1 คิว ทั้งที่เปิดเต็มที่แค่ 2เคาน์เตอร์ ตรงเคาน์เตอร์พิเศษสำหรับการซื้อชิ้นใหญ่ที่ต้องการจัดส่ง และบริเวณที่รอรับสินค้า ก็เงียบๆครับ (ที่บุญถาวร ผมยังต้องรอคิว) ท่าทางq3 จะมีปัญหา ลองทวนข้อมูล โดยไปเยี่ยมหลายๆสาขา(โดยเฉพาะสาขาที่ขายดีมากๆ) ไปดูทั้งวันทำงาน และวันหยุด ในเวลาที่ต่างๆกัน วิธีนี้เราจะไม่ถูกหลอกนะครับ ส่วนราคาหุ้น ยังไม่เคยเข้าไปเจาะตัวธุรกิจโดยละเอียด นะครับ แต่ถ้าดูจากการขายหน้าร้านซึ่งค่อนข้างเงียบเหงา เราจะซื้อกิจการที่มี P/Eหลังสุด 15 เท่า, P/B 2.4 เท่า ,D/E2:1 หรือไม่???
โดย
contrarian
พุธ ก.ย. 26, 2007 5:37 pm
0
0
HMPRO สาละวันเตี้ยลงทุกวัน เกิดอะไรขึ้น
ลองไปเดินเล่นตามสาขาต่างๆ ก่อนดีมั๊ยครับ ช่วงนี้ผมตกแต่งบ้าน ได้ไปhomepro ทั้งฟิวเจอร์ปาร์ค ,ลาดพร้าว อบอุ่นมากเลย คนขายแทบจะอุ้มเข้าไป แถมตอนเดินดูของไม่เหงาเลย ราวกับ vip เดินไปตรงไหนคนขายก็จะเข้ามาชาร์จทันที เพราะทั้งแถวมีแต่ผมกับภรรยา ลองเช็คข้อมูลจริงจากหน้าร้านนะครับ ตัวตัดสินใจอาจจะอยู่ที่ homepro expo เดือน ต.ค.นี้ เมื่อวานไป homework expo คนขายก็มากกว่าคนซื้อ แต่ถ้าทำห้องน้ำ ผมว่าบุญถาวรครับ ไปทีไร จ่ายมากกว่าที่เตรียมไว้ทุกที ถ้าจะซื้อของตกแต่ง ผมว่าซื้อตอน expo จะคุ้มมากครับ ลดแล้วลดอีก แล้วยังมีแถมจากยอด มีลดon top จากยอดอีก ตอนนี้ตลาดเป็นของผู้ซื้อ (ทั้งสินค้าและหุ้น) ยังใจเย็นได้อยู่
โดย
contrarian
พุธ ก.ย. 26, 2007 1:25 pm
0
0
โลก digital ที่พัฒนาขึ้น บริษัทไหนน่าจะได้ผลกระทบบ้างครับ
บริษํทวางระบบ ,พวกขายhardware ได้ประโยชน์ก่อน
โดย
contrarian
จันทร์ ก.ย. 24, 2007 12:53 pm
0
0
สื่อสารและเทคโนโลยี
ICT ก่อร่างสร้างรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ จัดสัมมนา CIO กับ e-Government ส่งเรื่อง โดย admin เปิด 2007/9/22 11:48:56 กระทรวงไอซีที เตรียมจัดการสัมมนา เรื่อง ผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง [CIO] กับโครงการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ [e-Government] ครั้งที่ 2 วันที่ 29-30 ตุลาคม 2550 ณ โรงแรมเฟลิกซ์ ริเวอร์แควรีสอร์ท จังหวัดกาญจนบุรี รัฐบาลปัจจุบันได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการพัฒนาและการนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร [ICT] มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการเป็นรูปธรรมอย่างรวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยำ ทันสมัยและโปร่งใส เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงสารสนเทศและการบริการภาครัฐอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน ขณะเดียวกันนำ ICT มาใช้เพื่อการปฏิรูประบบบริหารองค์กรของรัฐอย่าทั่วถึงและเท่าเทียมกัน และให้ได้เป้าประสงค์ของการบริการที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแผนการบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2548-2551 เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2548 โดยกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นเจ้าภาพหลักในยุทธศาสตร์ที่ 3 ประเด็นยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีเป้าประสงค์เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้มีประสิทธิภาพเพื่อสนับสนุนการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งเป็นการดำเนินงานด้านการพัฒนาระบบรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ [e-Government] จากแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าว กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้ดำเนินการจัดทำแผนทิศทางการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ปี 2548-2550 [e-Government Roadmap] เสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาโดยสาระสำคัญประกอบด้วย 15 แผนงานที่สำคัญใน 4 หัวข้อคือ Services, Infrastructure, Regulation และ MICT โดยแผนทิศทางดังกล่าวจะใช้เป็นแผนงานที่สำคัญในการพัฒนาระบบบริการภาครัฐของประเทศให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2548 ซึ่งแผนทิศทางดังกล่าวได้กำหนด ยุทธศาสตร์การพัฒนา 4 ประเด็น ได้แก่ 1. การจัดตั้งหน่วยงาน e-Government Agency/ Program Management Office [PMO] 2. การพัฒนาการให้บริการภาครัฐผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ 3. การพัฒนาระบบเครือข่ายและการเชื่อมโยงข้อมูลภาครัฐถึงระดับกรม 4. การพัฒนาปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับในกระบวนการให้บริการของภาครัฐภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ ได้จัดทำแผนปฏิบัติการที่เน้นเป้าหมายที่จะเร่งผลักดันให้เกิดบริการ e-Service ของภาครัฐ ไปสู่ประชาชนให้เกิดเป็นรูปธรรม ดังนั้น เพื่อให้เกิดความพร้อมในการพัฒนาดังกล่าว กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจึงเล็งเห็นถึงความสำคัญและความจำเป็นเร่งด่วนในการดำเนินการสร้างความเข้าใจและร่วมกันระดมความคิดเห็นระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เพื่อหาแนวทางร่วมกันในการผลักดันให้ e-Government เกิดประสิทธิภาพและเกิดเป็นรูปธรรม จึงจัดให้มีการประชุมสัมมนาให้กับผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง [CIO] และผู้อำนวยการเทคโนโลยีสารสนเทศของกระทรวง กรม และผู้ที่เกี่ยวข้องในหัวข้อ ผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง [CIO] กับโครงการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อรวบรวมแนวคิดและแนวทางในการดำเนินการอันจะเป็นประโยชน์ในการกำหนดการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ให้เป็นประโยชน์ในการบริหารงานราชการให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐคือ รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป ตามกำหนดการผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมและพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ กล่าวรายงาน และปลัดกระทรวงไอซีที กล่าวเปิดงาน และมีการอภิปรายหัวข้อ Open Source กับการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ โดยผู้เชี่ยวชาญด้าน Open Source จากสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ นอกจากนี้มีการอภิปรายในหัวข้อ e-Payment กับการให้บริการภาครัฐ ผู้ร่วมอภิปรายประกอบด้วย สุภา มะโนปัญญา ผู้อำนวยการกองทะเบียนและประมวลผล สำนักงานประกันสังคม (สปส.) กระทรวงแรงงาน ดร. สมาน ตั้งทองทวี รองผู้ว่าการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ระบบเทคโนโลยีและระบบงาน) การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบ e-Payment ธนาคารกรุงไทย ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบ e-Pay บริษัท ศูนย์ประมวลผล จำกัด ประสิทธิ์ ภัทรกุลพงษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบ e-Payment สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบ e-Pay บมจ. ทีโอที จำกัดสำหรับผู้สนใจเข้าร่วมงานสัมมนาสามารถลงทะเบียนสัมมนา online ได้ที่ http://www.mict-egov.net/register/ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 0-2218-2539 สำหรับวัตถุประสงค์ในการจัดสัมมนานี้ขึ้นก็เพื่อให้ผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง และผู้อำนวยการเทคโนโลยีสารสนเทศประจำกระทรวง กรม ได้มีความเข้าใจแนวทางในการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ และนำมาใช้ในการพัฒนาหน่วยงานราชการและพัฒนาประเทศ ตลอดจนเพื่อให้ผู้เข้าสัมมนาได้ระดมความคิดและกำหนดแนวทางที่จะดำเนินการให้เกิดผลสัมฤทธิ์โดยเร็ว พร้อมทั้งแนวทางในการแก้ปัญหาและอุปสรรคที่จะเกิดขึ้นตลอดจนเพื่อนำเสนอแนวทางที่เห็นควรจากการสัมมนามาใช้ในการดำเนินการให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศต่อไป
โดย
contrarian
จันทร์ ก.ย. 24, 2007 12:42 pm
0
0
สื่อสารและเทคโนโลยี
ICT ก่อร่างสร้างรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ จัดสัมมนา CIO กับ e-Government ส่งเรื่อง โดย admin เปิด 2007/9/22 11:48:56 กระทรวงไอซีที เตรียมจัดการสัมมนา เรื่อง ผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง [CIO] กับโครงการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ [e-Government] ครั้งที่ 2 วันที่ 29-30 ตุลาคม 2550 ณ โรงแรมเฟลิกซ์ ริเวอร์แควรีสอร์ท จังหวัดกาญจนบุรี รัฐบาลปัจจุบันได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการพัฒนาและการนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร [ICT] มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการเป็นรูปธรรมอย่างรวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยำ ทันสมัยและโปร่งใส เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงสารสนเทศและการบริการภาครัฐอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน ขณะเดียวกันนำ ICT มาใช้เพื่อการปฏิรูประบบบริหารองค์กรของรัฐอย่าทั่วถึงและเท่าเทียมกัน และให้ได้เป้าประสงค์ของการบริการที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแผนการบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2548-2551 เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2548 โดยกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นเจ้าภาพหลักในยุทธศาสตร์ที่ 3 ประเด็นยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีเป้าประสงค์เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้มีประสิทธิภาพเพื่อสนับสนุนการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งเป็นการดำเนินงานด้านการพัฒนาระบบรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ [e-Government] จากแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าว กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้ดำเนินการจัดทำแผนทิศทางการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ปี 2548-2550 [e-Government Roadmap] เสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาโดยสาระสำคัญประกอบด้วย 15 แผนงานที่สำคัญใน 4 หัวข้อคือ Services, Infrastructure, Regulation และ MICT โดยแผนทิศทางดังกล่าวจะใช้เป็นแผนงานที่สำคัญในการพัฒนาระบบบริการภาครัฐของประเทศให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2548 ซึ่งแผนทิศทางดังกล่าวได้กำหนด ยุทธศาสตร์การพัฒนา 4 ประเด็น ได้แก่ 1. การจัดตั้งหน่วยงาน e-Government Agency/ Program Management Office [PMO] 2. การพัฒนาการให้บริการภาครัฐผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ 3. การพัฒนาระบบเครือข่ายและการเชื่อมโยงข้อมูลภาครัฐถึงระดับกรม 4. การพัฒนาปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับในกระบวนการให้บริการของภาครัฐภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ ได้จัดทำแผนปฏิบัติการที่เน้นเป้าหมายที่จะเร่งผลักดันให้เกิดบริการ e-Service ของภาครัฐ ไปสู่ประชาชนให้เกิดเป็นรูปธรรม ดังนั้น เพื่อให้เกิดความพร้อมในการพัฒนาดังกล่าว กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจึงเล็งเห็นถึงความสำคัญและความจำเป็นเร่งด่วนในการดำเนินการสร้างความเข้าใจและร่วมกันระดมความคิดเห็นระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เพื่อหาแนวทางร่วมกันในการผลักดันให้ e-Government เกิดประสิทธิภาพและเกิดเป็นรูปธรรม จึงจัดให้มีการประชุมสัมมนาให้กับผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง [CIO] และผู้อำนวยการเทคโนโลยีสารสนเทศของกระทรวง กรม และผู้ที่เกี่ยวข้องในหัวข้อ ผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง [CIO] กับโครงการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อรวบรวมแนวคิดและแนวทางในการดำเนินการอันจะเป็นประโยชน์ในการกำหนดการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ให้เป็นประโยชน์ในการบริหารงานราชการให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐคือ รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป ตามกำหนดการผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมและพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ กล่าวรายงาน และปลัดกระทรวงไอซีที กล่าวเปิดงาน และมีการอภิปรายหัวข้อ Open Source กับการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ โดยผู้เชี่ยวชาญด้าน Open Source จากสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ นอกจากนี้มีการอภิปรายในหัวข้อ e-Payment กับการให้บริการภาครัฐ ผู้ร่วมอภิปรายประกอบด้วย สุภา มะโนปัญญา ผู้อำนวยการกองทะเบียนและประมวลผล สำนักงานประกันสังคม (สปส.) กระทรวงแรงงาน ดร. สมาน ตั้งทองทวี รองผู้ว่าการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ระบบเทคโนโลยีและระบบงาน) การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบ e-Payment ธนาคารกรุงไทย ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบ e-Pay บริษัท ศูนย์ประมวลผล จำกัด ประสิทธิ์ ภัทรกุลพงษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบ e-Payment สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบ e-Pay บมจ. ทีโอที จำกัดสำหรับผู้สนใจเข้าร่วมงานสัมมนาสามารถลงทะเบียนสัมมนา online ได้ที่ http://www.mict-egov.net/register/ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 0-2218-2539 สำหรับวัตถุประสงค์ในการจัดสัมมนานี้ขึ้นก็เพื่อให้ผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง และผู้อำนวยการเทคโนโลยีสารสนเทศประจำกระทรวง กรม ได้มีความเข้าใจแนวทางในการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ และนำมาใช้ในการพัฒนาหน่วยงานราชการและพัฒนาประเทศ ตลอดจนเพื่อให้ผู้เข้าสัมมนาได้ระดมความคิดและกำหนดแนวทางที่จะดำเนินการให้เกิดผลสัมฤทธิ์โดยเร็ว พร้อมทั้งแนวทางในการแก้ปัญหาและอุปสรรคที่จะเกิดขึ้นตลอดจนเพื่อนำเสนอแนวทางที่เห็นควรจากการสัมมนามาใช้ในการดำเนินการให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศต่อไป
โดย
contrarian
จันทร์ ก.ย. 24, 2007 12:41 pm
0
0
สื่อสารและเทคโนโลยี
ไอซีที จัดสัมมนา CIO ภาครัฐ เร่งพัฒนา e-Government ทัดเทียมต่างประเทศ TELECOM JOURNAL กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) จัดประชุมสัมมนา ผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง (CIO) กับโครงการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government) ครั้งที่ 1 เพื่อผลักดันให้e-Government และให้หน่วยงานราชการนำ ICT มาใช้พัฒนาการให้บริการของภาครัฐให้เกิดประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงสารสนเทศและการบริการภาครัฐอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน มณีรัตน์ ผลิพัฒน์ รองปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กล่าวในโอกาสเป็นประธานเปิดการประชุมสัมมนาผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง (CIO) กับโครงการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government) ครั้งที่ 1 ณ โรงแรมจอมเทียน ปาล์ม บีช โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท พัทยา จังหวัดชลบุรี ซึ่งมีผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง (CIO) ผู้อำนวยการเทคโนโลยีสารสนเทศ ประจำกระทรวง กรม และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง รวมกว่า 200 คน เข้าร่วมการประชุมสัมมนาดังกล่าวว่า การพัฒนาและนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาใช้ในภาครัฐถือเป็นนโยบายที่รัฐบาลให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงได้มีการจัดทำแผนทิศทางการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government Roadmap) โดยกำหนดยุทธศาสตร์หลักที่สำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการคือ การพัฒนาการให้บริการภาครัฐผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Services) และการพัฒนาเครือข่ายสื่อสารข้อมูลเชื่อมโยงหน่อยงานภาครัฐ (Government Information Network: GIN) ซึ่งกระทรวงฯ ได้ดำเนินการพัฒนาเครือข่ายสื่อสารข้อมูลเชื่อมโยงต่อหน่อยงานภาครัฐระดับกระทรวง ทบวง กรม รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอิสระภาครัฐ 274 หน่วยงาน จะแล้วเสร็จในปี 2550 นี้ และจะขยายโครงข่ายไปยังส่วนภูมิภาคต่อไป รองปลัดกระทรวงฯ กล่าวถึงการดำเนินการต่อว่า ภายในปี 2550 จะมีการขยายโครงข่ายไปยังส่วนภูมิภาคอีกจำนวน 14 บริการ ทั้งนี้โครงข่ายที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ ได้แก่ ระบบรายงานสภาพการจราจรและอุบัติเหตุจราจร ของกองบังคับการตำรวจทางหลวง ระบบบริการข้อมูลและประวัติการประกันสังคมสำหรับประชาชน สถานประกอบการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ของสำนักงานประกันสังคม ระบบตรวจสอบสิทธิประกันสุขภาพผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยขณะนี้ อยู่ระหว่างการพัฒนาระบบ Common Platform และ e-Portal เพื่อเป็นระบบกลางในการเชื่อมโยงกับระบบบริการ e-Services ต่างๆ เพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวกในการเข้าใช้บริการภาครัฐเป็นแบบ One Stop Service การที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้รับความร่วมมืออย่างดีจากหน่วยงานภาครัฐทั้งระดับกระทรวง และกรม การเข้าร่วมสัมมนาครั้งนี้ ถือเป็นนิมิตหมายอันดีว่าโครงการนี้จะดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งไว้เป็นอย่างดี อีกทั้งจะเป็นการช่วยกันขับเคลื่อนการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศไทย (e-Government) ให้ก้าวหน้าทัดเทียมกับนานาประเทศที่ได้นำ e-Government มาใช้ มณีรัตน์ กล่าวทิ้งท้าย โดยที่มาของการจัดสัมมนาในครั้งนี้ก็คือ รัฐบาลปัจจุบันได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการพัฒนา และการนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) มาใช้ภาครัฐ (e-Government) โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานภาครัฐที่ให้บริการประชาชน และภาคธุรกิจ จะต้องเร่งดำเนินการพัฒนานำ ICT มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการเป็นรูปธรรมอย่างรวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยำ ทันสมัยและโปร่งใส เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงสารสนเทศและการบริการภาครัฐอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน ขณะเดียวกันนำ ICT มาใช้ เพื่อทำการปฏิรูประบบบริหารองค์กรของรัฐอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน และเพื่อทำการปฏิรูประบบบริหารองค์กรของรัฐให้ได้เป้าประสงค์ของการบริการที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแผนการบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ 2548-2551 เมื่อวันที่12 เมษายน 2548 โดยกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นเจ้าภาพหลักในยุทธศาสตร์ที่ 3 ประเด็นยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีเป้าประสงค์เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้มีประสิทธิภาพเพื่อสนับสนุนการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งเป็นการดำเนินงานด้านการพัฒนาระบบรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์(e-Government)จากแผนยุทธ์ศาสตร์ดังกล่าว กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้ดำเนินการจัดทำแผนทิศทางการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิคส์ปี 2548-2550 (e-Government Roadmap) เสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณา โดยสาระสำคัญ ประกอบด้วย 15 แผนงานที่สำคัญใน 4 หัวข้อ คือ Services, Infrastructure, Regulation และ MICT ดังนั้น เพื่อให้เกิดความพร้อมในการพัฒนาดังกล่าว กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร จึงเล็งเห็นถึงความสำคัญและความจำเป็นเร่งด่วนในการดำเนินการสร้างความเข้าใจและร่วมกันระดมความคิดเห็นระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เพื่อหาแนวทางร่วมกันในการผลักดันให้e-Government เกิดประสิทธิภาพและเกิดเป็นรูปธรรม จึงจัดให้มีการประชุมสัมมนาให้กับผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง (CIO) และผู้อำนวยการเทคโนโลยีสารสนเทศของกระทรวง กรม และผู้ที่เกี่ยวข้องในหัวข้อ ผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง (CIO) กับโครงการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อรวบรวมแนวคิดและแนวทางในการดำเนินการอันจะเป็นประโยชน์ในการกำหนดการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ให้เป็นประโยชน์ในการบริหารงานราชการให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐ คือ รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป ทั้งนี้กำหนดการสัมมนาครั้งต่อไป (ครั้งที่ 2) เรื่อง ผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง (CIO) กับโครงการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government) จะจัดขึ้นในวันที่ 29 30 ตุลาคม 2550 ณ โรงแรมเฟลิกซ์ ริเวอร์แควรีสอร์ท จังหวัดกาญจนบุรี และจะมี การอภิปราย หัวข้อ Open Source กับการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์จากผู้เชี่ยวชาญด้าน Open Source จากสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ นอกจากนี้ยังมีการอภิปราย หัวข้อ e-Payment กับการให้บริการภาครัฐ โดยมีผู้ร่วมอภิปรายเป็นผู้เชี่ยวชาญหลายท่าน ที่จะเข้ามาร่วมให้ความรู้กับผู้เข้าร่วมสัมมนาในครั้งที่ 2 นี้ด้วย
โดย
contrarian
จันทร์ ก.ย. 24, 2007 12:37 pm
0
0
เฟดลดดอกเบี้ย 0.5
เป็นการลดดอกเบี้ยครั้งที่รู้สึกหนาวๆ ยังไงไม่รู้ ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยชัดว่าจะลง หรือ จะขึ้น แล้วมาเป็นควรจะลด .25 แต่นี่คุณเล่นลดให้เลย.50 และยังไม่มีทีท่าว่าจะจบ แล้วปัญหาเงินเฟ้อ คุณจะจัดการยังไง(ก่อนหน้านี้คุณลังเลที่จะลดดอกเบี้ย เพราะยังมีสัญญาณที่จะต้องคุมเงินเฟ้อ และสัญญาณนี้ก็ยังอยู่นี่นา) สรุปว่า รู้สึกสับสน ยังต้องติดตามอยู่ เหมือนกับว่าข้อมูลไม่ชัด ยังตีกรอบไม่ได้ว่าต้องใช้เงินเท่าไรจึงจะเอาปัญหาอยู่หมัด ก่อนหน้านี้ลด interbankเหมือนแก้ปัญหาเฉพาะหน้า(ธนาคารปวดหัวจากรถชนกัน เลยจ่ายยาระงับปวดไปก่อน) ครั้งนี้คงมีสัญญาณว่า การบริโภค ลงทุน ชักจะมีปัญหา ฉีดยากระตุ้นหัวใจให้หัวใจเต้นไว้ แหม ถ้าทำเป็นแพคเกจ เช่นมีมาตรการการคลังพิเศษควบคู่มาด้วย จะสบายใจกว่านี้ อีกอย่างนึง บ้านคุณบริโภคกันด้วยการกู้ ที่คุณกู้ไปทำการค้าคุณก็ขาดทุน(ขาดดุล)สะสมมานาน แล้วคุณลดดอกเบี้ยแบบนี้ ผมยังจะให้คุณกู้ต่อดีหรือเปล่าน๊า เอ แต่คิดอีกที ถ้าไม่ให้มันกู้ มันจะเอาเงินที่ไหนมาซื้อของ ที่เราอุตส่าห์ตั้งโรงงานเพื่อจะขายของมันหว่า???
โดย
contrarian
พุธ ก.ย. 19, 2007 12:43 pm
0
0
HT คือบทเรียนที่ดีของ asset play
drnuntiya wrote: มูลค่าจะเป็นยังไงครับ.... ถ้ายังไม่มี การunlock เช่น ทำการพัฒนา ,หรือมีคนมาขอซื้อ ,หรือ ปล่อยข่าว ว่าจะมีคนมาซื้อ ที่ดินเหล่านั้น ก็ยังคงมีมูลค่าตามบัญชี แต่ถ้าจะเล่นกรณียังไม่ unlock ก็ควรดูว่ามันเป็น hidden asset จริงๆ คือเราเป็นคนแรกๆ ที่รู้ว่ามีhidden asset ตัวนี้อยู่ และตลาดยังไม่ได้ให้value หรือตลาดรู้แล้ว แต่ยังให้valueเดิมที่ต่ำกว่าความเป็นจริงมากๆ
โดย
contrarian
เสาร์ ก.ย. 15, 2007 4:12 pm
0
0
176 โพสต์
of 4
ต่อไป
ชื่อล็อกอิน:
contrarian
ระดับ:
Verified User
กลุ่ม:
สมาชิก
ที่อยู่:
ดินแดนแห่งความสุข ของคนอยู่และผู้มาเยือน
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
อาทิตย์ เม.ย. 23, 2006 7:32 pm
ใช้งานล่าสุด:
อาทิตย์ มิ.ย. 20, 2021 9:20 pm
โพสต์ทั้งหมด:
1231 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.07% จากโพสทั้งหมด / 0.18 ข้อความต่อวัน)
GO_TO_SEARCH_ADV
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์ [กระทู้รับชมออนไลน์]
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์
↳ ThaiVI GO Series
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ Value Investing
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว