หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
Marketplace
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
kik-kok
Joined: พุธ มี.ค. 18, 2015 1:27 pm
226
โพสต์
|
0
กำลังติดตาม
|
0
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - kik-kok
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: วันนี้ 10.00 น.**เปิดรับ 15 ที่นั่ง CV@NER (Northeast Rubber PCL.)**
จองหนึ่งที่ครับ
โดย
kik-kok
อังคาร ธ.ค. 08, 2020 6:16 pm
0
0
Re: **เปิดรับ 15 ที่นั่ง CV@AMA โดยไม่ต้องใช้สิทธิ์ CV**
จอง 1 ที่ เดินทางไปเอง
โดย
kik-kok
ศุกร์ ธ.ค. 04, 2020 12:09 pm
0
0
Re: **วันนี้ 10.00 น.**เปิดรับ 25 ที่นั่ง CV@THRE**
จอง 1 ที่
โดย
kik-kok
พุธ ต.ค. 14, 2020 2:21 pm
0
0
Re: **เต็มแล้วค่า** โครงการ CSR ทำรั้วรังผึ้งกันช้าง
จอง 2 ที่ไปบัส ธนกร เตมียบุตร
โดย
kik-kok
พฤหัสฯ. ต.ค. 08, 2020 4:43 am
0
1
Re: **วันนี้ 10.00 น.**เปิดรับ 30 ที่นั่งCV@IIG บมจ.ไอแอนด์ไอ กรุ๊ป
จอง 1 ที่ครับ :D
โดย
kik-kok
จันทร์ ก.ย. 21, 2020 7:18 pm
0
0
Re: **วันนี้เปิดรับ 20 ที่นั่ง**CV@ITEL บมจ.อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม-(วิสิท 24 ก.ย.63)
1 ที่
โดย
kik-kok
ศุกร์ ก.ย. 11, 2020 12:28 pm
0
0
Re: **เปิดรับจอง** CV@AUCT บมจ. สหการประมูล - (วิสิท 18 ก.ย.63)
จอง 1 ที่ นั่งรถตู้
โดย
kik-kok
ศุกร์ ก.ย. 04, 2020 7:59 pm
0
0
Re: ++ วันนี้(10ส.ค.63) ++ เปิดรับศิษย์เก่าลงเรียนหลักสูตรอบรมฯ รุ่น 17
fin / รุ่นที่ 9/วันอาทิตย์ที่ 13 ก.ย.63 หรือ วันเสาร์ที่ 19 ก.ย.63
โดย
kik-kok
อังคาร ส.ค. 11, 2020 12:33 am
0
0
Re: ++เปิดรับ 20 ที่นั่ง Open House บมจ.อาร์เอส (RS) พบกับ CEO ตัวเป็นๆ ที่ไม่ใช่แค่ IR
จอง 1 ที่ครับ
โดย
kik-kok
พฤหัสฯ. ส.ค. 06, 2020 2:32 am
0
0
Re: ** จองได้เลยจ้า ** CV@SISB บมจ. เอสไอเอสบี - (วิสิท 8 ม.ค.63)
จอง 1 ที่จ้า
โดย
kik-kok
อังคาร ธ.ค. 31, 2019 4:03 pm
0
0
Re: *จองได้เลยค่ะ* CV@PTG บมจ. พีทีจี เอ็นเนอยี - (วิสิท 29 พ.ย.62)
จอง 1 ที่ ครับ
โดย
kik-kok
พุธ พ.ย. 20, 2019 9:22 pm
0
0
Re: ((เปิดรับศิษย์เก่า)) หลักสูตรอบรมการลงทุนเน้นคุณค่า รุ่น
23 มิถุนา ขอสละสิทธิ์ครับ เหลือเฉพาะวันที่ 2 ครับผม พอดีติดธุระครับ
โดย
kik-kok
พุธ พ.ค. 15, 2019 9:15 am
0
0
Re: ((เปิดรับศิษย์เก่า)) หลักสูตรอบรมการลงทุนเน้นคุณค่า รุ่น
Fin/รุ่น9/23 มิถุนา -2มิถุนา
โดย
kik-kok
พุธ พ.ค. 15, 2019 9:04 am
0
0
Re: ((เปิดรับศิษย์เก่า)) หลักสูตรอบรมการลงทุนเน้นคุณค่า รุ่น
Poon /รุ่น 9/ 2 มิถุนา
โดย
kik-kok
พุธ พ.ค. 15, 2019 9:02 am
0
0
Re: **เปิดจอง 29 เม.ย.62**คอรส์สอนมือใหม่หัดลงทุน VI 101
ลงทะเบียน
โดย
kik-kok
จันทร์ เม.ย. 29, 2019 11:59 am
0
0
Re: **เปิดรับ** งานสังสรรค์ VI ประจำปี 2562 ครั้งที่1
Fin/สมาชิกสมาคม/2ที่/2880/ไทยพาณิชย์/23/4/62/10.18
โดย
kik-kok
อังคาร เม.ย. 23, 2019 10:23 am
0
0
Re: **จองวันนี้** CV@EKH - บริษัท เอกชัยการแพทย์ จำกัด (มหาช
จอง 1 ไปรถตู้
โดย
kik-kok
อังคาร ต.ค. 30, 2018 10:41 am
0
0
Re: **วันนี้10.00โมง**เปิดรับงานสังสรรค์ VIประจำปี 61(ครั้งท
Fin/สมาชิกสมาคม/1ที่นั่ง/1440/ scb/27-09-2561/12.16
โดย
kik-kok
พฤหัสฯ. ก.ย. 27, 2018 12:18 pm
0
0
Re: ((เปิดรับศิษย์เก่า)) หลักสูตรอบรมการลงทุนเน้นคุณค่า รุ่น
Poon /รุ่น 9 / ลงวันที่ 6 และ 19
โดย
kik-kok
พฤหัสฯ. เม.ย. 05, 2018 1:03 pm
0
0
Re: งานสัมมนาVI 2/60 Disrupt or be disrupted อนาคตของ VI?
ฝากให้น้อง Fin ลองฟังดูนะครับ เรื่องสมาธิในฌาน ของหลวงพ่อพุธ https://youtu.be/ubsOiDyq99w ขอบคุณมากๆครับพี่
โดย
kik-kok
อังคาร ก.ย. 19, 2017 5:46 pm
0
0
Re: งานสัมมนาVI 2/60 Disrupt or be disrupted อนาคตของ VI?
... ขอบคุณมากๆครับพี่ ถ้าเราจะเจริญสติ เช่นดูจิต หรือทำอานาปนสติ เพื่อไม่ให้เป็นผู้เพ่ง ทำแบบธรรมชาติ เราควรจะวางจิตหรือรู้สึกอย่างไรครับ ผมเคยชินแต่การกำหนดลมหายใจแบบชัด นิ่งอยู่จุดเดี่ยว ทำไปๆ จิตจะเริ่มตัดผัสสะภายนอก แล้วก็จะเริ่มหมดความรับรู้ทางกาย แล้วก็จะเกิดสว่างจ้าภายในครับผม สงสัยครับ ว่าทำไมต้องเจริญสติแบบไม่เป็นผู้เพ่งด้วยเหรอครับ? ผมเข้าใจว่าคนแต่ละคน มีธรรมชาติที่เหมาะสมในการปฏิบัติต่างกัน การเป็นผู้เพ่ง ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด น่าจะเป็นการปักจิตลงสู่สมถะ โน้มจิตเข้าสู่ความสงบ ซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไร เพราะ การปฏิบัติถ้าตามที่พระอานนท์อธิบายเอาไว้ใน ยุคนัทธกถา ได้แสดงวิธีเอาไว้ 4 วิธี โดยวิธีหลักๆ มี 2 วิธี คือ วิปัสสนาอันมีสมถะเป็นเบื้องต้น กับ สมถะอันมีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้น ประเด็น คือ เมื่อจิตเข้าสู่ความสงบแล้ว ตั้งมั่นดีแล้ว ก็ควรโน้มจิตเข้าไปเพื่อเจริญปัญญาต่อ อย่างเช่น เมื่อจิตถอยออกมาจากความสงบแล้ว เริ่มรับรู้สภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้งทางกายและทางใจ ก็ตามดูตามรู้สภาพที่เป็นปัจจุบันที่กำลังเกิดขึ้นตามความเป็นจริง อย่างเช่น สังเกตว่าสภาวะหนึ่งๆ ที่เด่นชัดความเกิดขึ้น แล้วก็แปรเปลี่ยน ดับไปด้วยความจดจ่อต่อเนื่อง ถึงขนาดที่ว่าเห็นจิตที่เข้าไปเห็นสภาพธรรมอันนั้นที่ดับไป ดับลงไปอีกที (เห็นสภาวะหนึ่งๆ ดับลงไป และเห็นจิตที่เข้าไปเห็นสภาวะอันนั้นๆ ดับลงไปอีกทอดหนึ่ง) เป็นต้น และถ้าเมื่อไหร่ที่เริ่มมีนิวรณ์รบกวนมากๆ เข้า ก็โน้มจิตเข้าสู่ความสงบอีกครั้งด้วยการเพ่งลมหายใจ แล้วเมื่อจิตถอยออกมาก็กำหนดรู้สภาวะต่างๆ ตามความเป็นจริงอีกครั้ง ขอบคุณครับพี่เข้าใจแล้วครับ )
โดย
kik-kok
จันทร์ ก.ย. 18, 2017 11:04 pm
0
1
Re: งานสัมมนาVI 2/60 Disrupt or be disrupted อนาคตของ VI?
... อยากให้พี่ picatos ช่วยอธิบายวิธีเจริญสติให้เห็นภาพหน่อยครับว่ามีวิธีทำอย่างไร หรือเป็น case study ตอนพี่เริ่มฝึกก็ได้ครับจะได้เห็นภาพชัดเพิ่อเป็นประโยชรณ์กับคนที่เริ่มอยากฝึกเจริญสติครับ จริงๆ แล้วมันมีหนังสือ หลักสูตร ตลอดจนผู้สอนจำนวนมากมายท่ี่ให้คำแนะนำในการฝึกเจริญสติอยู่ครับ สำหรับผมเองแล้ว เนื่องจากเป็นผู้ศึกษาอยู่เหมือนกัน ไม่ได้เป็นผู้สอน และไม่มีความสามารถในการสอน แถมในศาสตร์ทางด้านนี้ ผู้ฝึกควรที่จะมีควรศรัทธา เคารพ ในวิธีการและตัวผู้สอนเป็นอย่างมาก จึงจะปฏิบัติได้อย่างถูกต้องและก้าวหน้า ต้องมีการสอนแบบเจอตัวกันจริงๆ โดยเฉพาะในการเริ่มต้นฝึกใหม่ๆ เพราะ ผู้สอนจะมีการให้โจทย์ไปทดลองทำ และตรวจสอบผล ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ถูกควบคุม (เหมือนห้องทดลองที่ต้องคุมตัวแปรต่างๆ) จึงไม่ใช่วิสัยที่ผมจะให้คำแนะนำอะไรไปได้มากไปกว่านี้ สำหรับการฝึกของผมเอง ผมจึงเริ่มต้นจากการไปปฏิบัติธรรม 8 วัน 7 คืน ที่มูลนิธิศูนย์วิปัสสนาเชียงใหม่ หลังจากนั้นก็ได้บวชต่อที่วัดร่ำเปิงอีก 10 วัน เพื่อทดลองฝึกในขั้นต้น โดยผมเริ่มต้นปฏิบัติในแนวทางของคุณแม่สิริ กรินชัย และต่อยอดไปในแนวทางพองหนอ ยุบหนอ ของทางพม่าครับ ในการปฏิบัติในแนวทางนี้ของพม่า มีข้อดีสำหรับผู้เริ่มต้น เนื่องจากสมาธิจะไม่ดิ่งลึกจนเกินไป มีแนวทางปฏิบัติ วิธีการตรวจสอบผลการปฏิบัติ ตลอดจนมีวิธีการแก้ไขปัญหาระหว่างปฏิบัติชัดเจนในระดับหนึ่ง จึงทำให้เริ่มต้นเรียนรู้การปฏิบัติได้อย่างไม่หลงทางเท่าไรนัก สำหรับผมเอง หลังจากที่ได้ทดลองฝึกในขั้นต้น ก็กลับมาฝึกเองที่บ้าน ตื่นทุกเช้ามาทำ เดินจงกรม 1 ชั่วโมง นั่งสมาธิ 1 ชั่วโมง วันไหนว่างๆ ก็ทำ 4 ชั่วโมงบ้าง 6 ชั่วโมงบ้าง จัดสรรเวลา กลับเข้าไปปฏิบัติตามหลักสูตรอีกหลายต่อหลายครั้ง ศึกษาพระธรรม อ่านพระไตรปิฎก อ่านคัมภีร์ อรรถกถาต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยเพิ่มความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติ ใช้เวลาประมาณ 4-5 ปีได้ จึงพอจะรู้ว่าการปฏิบัติธรรมจริงๆ คือ อะไร ต้องทำอะไร ดูแลตัวเองอย่างไร จึงพอเริ่มที่จะทำเองได้ สำหรับคนอื่นๆ อาจจะปฏิบัติโดยวิธีการ shortcut บ้าง ทำเป็นงานอดิเรกบ้าง แต่ผมเป็นพวกทำอะไรจริงจัง ชอบทำอะไรตรงๆ เถือกๆ ไป และการปฏิบัติธรรมสำหรับผมถือเป็นสาระสำคัญของชีวิตเป็นเหมือนการทำงานอย่างหนึ่ง ผมจึงให้เวลากับตรงนี้มากๆ ซึ่งอาจจะไม่ค่อยตรงกับคนอื่นๆ นัก อย่างช่วงนี้เป็นช่วงที่ผมให้เวลาที่ผมเก็บตัวปฏิบัติธรรม ก็จะปฏิบัติเหมือนทำงาน วันละ 8 ชั่วโมงบ้าง 10 ชั่วโมงบ้าง 12 ชั่วโมงบ้าง แล้วแต่เวลาที่เอื้ออำนวย ขอบคุณมากๆครับพี่ ถ้าเราจะเจริญสติ เช่นดูจิต หรือทำอานาปนสติ เพื่อไม่ให้เป็นผู้เพ่ง ทำแบบธรรมชาติ เราควรจะวางจิตหรือรู้สึกอย่างไรครับ ผมเคยชินแต่การกำหนดลมหายใจแบบชัด นิ่งอยู่จุดเดี่ยว ทำไปๆ จิตจะเริ่มตัดผัสสะภายนอก แล้วก็จะเริ่มหมดความรับรู้ทางกาย แล้วก็จะเกิดสว่างจ้าภายในครับผม
โดย
kik-kok
จันทร์ ก.ย. 18, 2017 2:59 pm
0
1
Re: งานสัมมนาVI 2/60 Disrupt or be disrupted อนาคตของ VI?
ผมเองก็เป็นผู้ที่อยู่ระหว่างการศึกษา ยังไม่มีความรู้ความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง แต่จะพยายามช่วยเท่าที่ช่วยได้ในมุมมองของผมนะครับ ซึ่งหากมีความผิดพลาดประการใดก็ขออภัยด้วยนะครับ พี่ picatos ครับ ที่บอกว่าปฏิบัติอย่าง "ถูกวิธี" นี่ ไม่ทราบว่าพอจะให้แนวทางกับน้องๆที่พึ่งเริ่มฝึกปฏิบัติธรรมได้มั้ยครับ? ผมเองเป็นมือใหม่เลยไม่แน่ใจว่าเคยมีคนโพสเรื่องนี้หรือยัง ผมคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์อย่างมากเลยถ้าพี่เขียนกระทู้สรุป แล้วก็อาจจะให้พี่ชายหรือท่านที่มีประสบการณ์ด้านนี้ช่วยแชร์ความรู้ ขอบพระคุณมากครับ ส่วนตัวอันนี้คือประเด็นที่ผมสงสัยครับ - คำว่าปฏิบัตินี่คืออะไรครับ การปฏิบัติธรรม ผมเข้าใจว่าเป็นกระบวนการศึกษากายใจในระบบการเรียนการศึกษาของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจะเรียกสาวกว่า ภิกษุ คำว่าภิกษุ นัยยะหนึ่ง แปลว่าผู้ศึกษา การปฏิบัติธรรมน่าจะคล้ายๆ กับการทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์ โดยใช้กายใจของเราเป็นห้องทดลอง เราจะทำการทดลอง ฝึกฝนกายใจของเราตามทฤษฏีและแนวทางที่พระพุทธเจ้าได้ให้เอาไว้ โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า สติ เข้าไปตามดูตามรู้อยู่ในฐานต่างๆ ทั้งหมด 4 ฐาน โดยสติก็คล้ายๆ กับ กล้องโทรทรรศน์เอาไว้ส่องดวงดาว และกล้องจุลทรรศน์เอาไว้ส่องจุลินทรีย์ ที่เอาไว้ใช้ขยาย ตรวจจับสิ่งที่ต้องการศึกษา เป้าหมายของการศึกษานี้เป็นไปเพื่อประโยชน์หลักๆ คือ การฝึกความสามารถในการดับทุกข์ในแต่ละขั้น หรือ เข้าถึงสุขในระดับที่ละเอียดปราณีตยิ่งๆ ขึ้นไป ที่ดีงามยิ่งกว่าสุขทางโลกๆ ท่าน ป. ปยุตโต ได้เขียนอธิบายถึงความสุข เอาไว้ในหนังสือ พุทธธรรม เอาไว้อย่างงดงามถึงความสุข 10 ระดับ ซึ่งสุขทางโลก อย่างที่คนเป็นมหาเศรษฐี คนมีชื่อเสียง มีอำนาจ นี้เป็นความสุขแค่ขั้นแรกสุดเท่านั้น แม้แต่ความสุขในระดับสวรรค์ ก็ยังไม่สามารถก้าวข้ามพ้นสุขในขั้นแรกเลย ในขณะที่ความสุขในอีก 9 ขั้นที่เหลือเข้าถึงได้ด้วยการปฏิบัติธรรมเท่านั้น ดังนั้นการปฏิบัติธรรม ถ้าวัดผลเร็วๆ ง่ายๆ ที่สุด ก็คือ ถ้าไม่ทุกข์น้อยลง ก็ควรที่จะสุขมากขึ้น แต่บางทีไอ้ตอนที่เราทุกข์ก็ทุกข์เหลือเกิน สุขก็สุขเหลือเกิน สุขก็ส่วนหนึ่ง ทุกข์ก็ส่วนหนึ่ง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปในขณะหนึ่งๆ เมื่อทุกข์อยู่ก็ลืมไปแล้วว่าไอ้ที่เคยสุขมันเป็นยังไง และเมื่อเราสุขอยู่เราก็จำไม่ค่อยได้หรอกว่าช่วงทุกข์มันทุกข์ขณะไหน เหมือนที่เราก็จำไม่ค่อยได้หรอกว่า วันนี้ของเมื่อปีที่แล้ว เรากินอะไรเป็นข้าวเช้า ดังนั้นมาตรวัดความสำเร็จในเรื่องสุขทุกข์นี้คงต้องเอาไปใช้ที่ระดับพระอริยะเท่านั้นที่ได้ฝึกฝน จนมีทุกข์เหลือน้อยมากแล้ว สำหรับปุถุชนที่มีสุขเจือทุกข์ เราคงต้องใช้มาตรวัดที่ละเอียดกว่านี้ ไม่อย่างนั้นพอทุกข์มากๆ เข้าก็คิดว่าเราปฏิบัติธรรมไม่ก้าวหน้าไปซะงั้น แต่ถ้าจะเอาอย่างละเอียดๆ ผมสังเกตว่าช่วงต้นๆ ของการปฏิบัติ หรือ ในการเข้าห้องทดลอง เพื่อฝึกฝนอะไรบางอย่าง แรกๆ เราก็จะมึนงงกับระบบบ้าง งงกับวิธีการบ้าง งงกับวิธีการใช้เครื่องมือบ้าง มือไม้ปั่นป่วน สับสน เหมือนกับการเล่นกีฬาครั้งแรกๆ เราก็ต้องทดลองเล่น ทดลองใช้ ดังนั้นในการฝึกทำช่วงต้นๆ การทำของเราก็จะมีถูกบ้าง ผิดบ้าง ได้ผลลัพธ์ที่ดีบ้าง แย่บ้าง เราต้องฝึกจนกระทั่งมีความเชี่ยวชาญก่อน จึงจะวัดผลลัพธ์ที่เชื่อมั่นได้ เชื่อถือได้ อย่างในการทดลองทางวิทยาศาสตร์ เราต้องทดลองหลายๆ รอบ และมีการเอาเครื่องมือทางสถิติเข้ามาใช้ว่าสิ่งที่ค้นพบนี้มีนัยสำคัญมากเพียงพอหรือไม่ ในการปฏิบัติธรรมก็เช่นกัน ก็ต้องฝึกทำบ่อยๆ หลายๆ รอบ จนได้ผลลัพธ์ที่ Consistent มากเพียงพอ จึงจะพอสรุปได้ว่ามาถูกทางหรือผิดทาง แต่ที่สำคัญคือ ไม่ว่าจะถูก จะผิด เราก็ควรพยายามฝึกฝน พยายามทำให้มันดีขึ้น สุดท้ายที่ผิดก็ถูกของมันเอง เครื่องมือในการตรวจสอบผล พระพุทธเจ้าได้อธิบายเอาไว้พระสูตรที่ชื่อว่า "มหาสติปัฎฐานสูตร" นี่เอง มีพุทธพจน์ เกิดขึ้นซ้ำๆ หลังจากที่ท่านได้อธิบายว่าจะให้มีสติอย่างไร ตามดูตามรู้อย่างไร แล้วก็เน้นถึงผลการปฏิบัติที่เกิดขึ้น ซ้ำแล้วซ้ำอีก ครั้งแล้วครั้งเล่า ว่า "... เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก..." ผลของการปฏิบัติที่ถูกจะได้ผลลัพธ์ 3 อย่างครับ คือ 1) ความทะยานอยาก (ตัณหา) เบาบาง คลายลง สังเกตุได้ว่าความรุ่มร้อนจากการพุ่งออกไปแสวงหาสิ่งที่ชอบใจ หรือหลีกหนีสิ่งที่ไม่ชอบใจมีน้อยลง รู้สึกว่าอยู่ในโลกนี้ได้อย่างเป็นสุขมากขึ้น รู้จักความสุขจากการไม่ต้องไปวุ่นวายแสวงหาให้ม้ันได้มา รู้จักความสุขจากการพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีมากขึ้น 2) ความเห็นผิด (ทิฐิ) ในเรื่องต่างๆ ลดลง เห็นถูกมากขึ้น เห็นผิดในเรื่องอะไร คร่าวๆ ก็คือ เห็นสิ่งที่ไม่งามว่างาม เห็นสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข เห็นสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง เห็นสิ่งที่ไม่เป็นตัวตนว่าเป็นตัวตน 3) ความยึดมั่นถือมั่น (อุปทาน) คลายลง ความรู้สึกยึดถือในเรื่องต่างๆ ว่ามันต้องเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ ต้องเป็นคนนั้น เป็นคนนี้ ต้องพูดแบบนั้น พูดแบบนี้ ต้องเป็นวิธีการนั้น วิธีการนี้ คลายลง อยู่ในโลกง่ายขึ้น เข้าใจและยอมรับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้มากขึ้น จึงเกิดสภาพการ "ไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก" ได้ โดนคนด่าใส่ก็ยิ้มได้ เจอคนทำไม่ดีใส่ก็อยู่ได้ อันนี้ คือ ภาพย่อยในการปฏิบัติและผลที่เกิดขึ้นในระดับจิต แต่ถ้าเป็นภาพใหญ่ พระพุทธเจ้าได้อธิบายเอาไว้ตอนต้นพระสูตรว่า "... ดูกรภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เป็นที่ไปอันเอก 1) เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์ 2) เพื่อล่วงความโศกและปริเทวะ 3) เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์และโทมนัส 4) เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง 5) เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน ..." 1) ในแง่ของความบริสุทธิ์อันหนึ่งที่ผมว่าน่าสนใจและเป็นประโยชน์ คือ เราจะรู้สึกได้ว่า เมื่อฝึกสติไปแล้ว การรับรู้ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ของเราจะบริสุทธิ์ขึ้น ความสามารถในการรับรู้คมขึ้นเรื่อยๆ สามารถเห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็น ได้ยินในสิ่งไม่เคยได้ยิน รับรู้ในสิ่งที่ไม่เคยได้รับรู้ ระบบความคิด การรับรู้จะใส สะอาด บริสุทธิ์ เบาบางจากอคติ ฝุ่น ฝ้า หมอกควัน ที่เคยบังตา โลกนี้ดูเหมือนจะสว่างไสว ชัดเจนกว่าเดิมเป็นอย่างมาก หรือที่เรียกว่า อายตนะผ่องใส 2) ถ้ากำลังทุกข์ เศร้าโศก เสียใจอยู่ การปฏิบัติธรรม จะช่วยก้าวข้ามผ่านความทุกข์เหล่านั้นไปได้ ตัวผมเอง หรือ ภรรยาก็เริ่มปฏิบัติธรรม เพราะ เผชิญกับความทุกข์บางอย่าง จนต้องหันหน้าเข้าทางธรรม และก็ได้สติปัฏฐาน 4 นี่เองเป็นเครื่องมือในการก้าวล่วงความเศร้าโศกเสียใจ แถมได้เครื่องมือวิเศษในการทำความสำเร็จทางโลกและทางธรรมให้เกิดขึ้นมาเป็นของแถมด้วย 3) ผลอันหนึ่งจากการปฏิบัติเปรียบเสมือนเราได้สร้าง "รั้วกันภัย" ของเราเป็นการส่วนตัว สติที่ฝึกดีแล้วจะระวังป้องกันทุกข์ใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และเมื่่อกระทบกับสิ่งที่ไม่น่าพึงปรารถนาขึ้น สตินี้เองจะช่วยให้เรามีภูมิต้านทานต่อความทุกข์ ทำให้เราแข็งแรงมากขึ้น และถ้าปฏิบัติถึงขั้นลึกซึ้งจนได้ผลจริงๆ จังๆ ก็จะทำให้ความทุกข์ไม่สามารถมายึดเกี่ยวเกาะกุมจิตใจเราได้อีกเลย 4) "เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง" อันนี้ความหมายละเอียดลึกซึ้งมาก ในมุมมองทางพุทธอันหนึ่ง การบรรลุธรรม หมายถึง การเกิดขึ้นของปัญญา หรือเรียกว่า ฉลาดขึ้นนี่แหละ ซึ่งในการเจริญสติ เราจะพบ และรู้สึกได้เลยว่า ยิ่งปฏิบัติมากขึ้น ก็รู้สึกว่าเรายิ่งฉลาดมากขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากการปฏิบัติเป็นการฝึกที่จะเป็นนักทดลองที่ปราศจากอคติ พระพุทธเจ้าจะให้ทัศคติต่อเราให้เราศึกษาและสังเกตปรากฎการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นเพียงแค่สภาพที่ปรุงแต่งตามเหตุปัจจัย ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปราศจากตัวตนของเราที่เป็นผู้กระทำ ด้วยเหตุนี้ทัศนคติที่ถูกฝึกอยู่เนื่องๆ จะทำให้เรามีลักษณะของนักวิชาการ ที่เป็นผู้ศึกษาและสังเกตที่มีอคติน้อยลง ผลของการที่เราฝึกสติให้บริสุทธิ์จะเกิดการรับรู้ที่บริสุทธิ์ การคิดพิจารณาที่บริสุทธิ์ การฝึกเจริญสติอยู่เนื่องๆ จะทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ซึ่งเหมาะแก่การนำไปในเป็นฐานในการเกิดปัญญา ตลอดจนถ้าไปถึงการฝึกสติปัฎฐานไปจนถึงฐานธรรม จะมีฝึกการสติหมวดหนึ่ง ชื่อว่า "โพชฌงค์" ซึ่ง โพชฌงค์ นี่เองที่เป็นองค์ประกอบที่ทำให้พระพุทธเจ้าตรัสรู้ การฝึกสติปัฎฐานจึงได้ชื่อว่าเป็นการฝึกฝนสร้างเครื่องมือที่ก่อให้เกิดปัญญา รู้แจ้งในสิ่งต่างๆ 5) สำหรับพระนิพพานนี้เป็นเป้าของคนที่เห็นทุกข์โทษของการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏแล้วเท่านั้น ดังนั้นโดยส่วนใหญ่แล้วจะไม่ใช่เป้าของคนทั่วไปที่เข้ามาปฏิบัติ แต่เป็นเป้าหมายเฉพาะกลุ่ม ซึ่งมีน้อยนิด อย่างผมเองในตอนแรกก็ไม่สนใจเป้าอันนี้สักเท่าไร ดังนั้นในข้อนี้จึงขออธิบายผ่านๆ จากผลลัพธ์ในข้อที่ 4 เมื่อมีปัญญาที่แก่กล้ามากขึ้นเรื่อยๆ เราก็จะเห็นความจริงต่างๆ มากขึ้นๆ รู้ว่าทุกข์ต่างละอย่าง เป็นอย่างไร มีขั้นตอนกระบวนการเกิดขึ้นมาอย่างไร และจะจัดการกับมันได้อย่างไร เราจะฝึกฝนจนจัดการกับทุกข์ได้ทุกประเภท จนมีความสามารถในการเข้าถึงสภาพของที่ทุกข์ดับสนิทไม่มีเหลือ และไม่มีเชื้อที่จะก่อให้เกิดทุกข์ใหม่ๆ ขึ้นอีกในอนาคต ซึ่งสภาพทุกข์อันสำคัญที่สุดที่เป็นเป้าของคนกลุ่มนี้ คือ การเกิด อันนี้แหละที่เรียกว่า "ทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน" ... - ถ้าผมนั่งนิ่งๆให้จิตใจสงบวันละ 5-10 นาทีนี่พอมั้ยครับ? - ถ้าไม่พอ ผมควรจะปฏิบัติอย่างไรครับ? จำเป็นต้องทำทุกวันมั้ยครับ? สรุปการปฏิบัติถูกผิด นี่คือขึ้นอยู่กับเป้าหมายว่าจะปฏิบัติเพื่อเป้าหมายอะไร ต้องการระดับไหน ถ้าเป้าหมายเพื่อให้นอนหลับ ไม่ฝันร้าย พักผ่อนได้อย่างเต็มที่ การปฏิบัติ 5-10 นาทีก่อนนอนก็น่าจะเหมาะสม ถ้าจะเอาประโยชน์แค่ให้จิตสงบก่อนนอน เพิ่มประสิทธิภาพการพักผ่อน ผลที่น่าจะได้ คือ นอนน้อยลงแต่รู้สึกนอนอิ่มมากขึ้น ร่างกายสดชื่นมากขึ้นเมื่อตื่นนอน แต่บางคนก็ทำแล้วอาจจะนอนไม่หลับ ยิ่งทำให้สติตื่นก็มีนะครับ ซึ่งเรื่องนี้แล้วแต่เทคนิค แล้วแต่จริตมากๆ เลย อย่างตัวผมเอง ก็จะไม่ค่อยทำตอนก่อนนอน แต่ถ้าคาดหวังอะไรสูงกว่านั้น ก็ต้องใส่ความเพียรพยายามมากกว่านั้น ถ้าจะเอาระดับอายตนะผ่องใส การรับรู้คมกริบ สมอง ร่างกายทำงานได้เยี่ยม ผมคิดว่าน่าจะต้องลองไปเข้าหลักสูตรปฏิบัติธรรมในสถานที่เหมาะสมสัก 1 สัปดาห์ ให้รู้จัก เข้าใจ และเคยเข้าถึงสภาพของการรับรู้ที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน หลังจากนั้นก็ควรทำทุกวัน วันละ 1 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย และรู้ตัวเมื่อไหร่ก็ดึงสติกลับมาที่ฐาน เพื่อเป็นการออกกำลังกายสติให้แข็งแรง ให้พร้อมที่จะเอาไปใช้งาน อย่างตอนที่ผมไปปฏิบัติธรรมครั้งแรกกลับมา แล้วมีโอกาสได้ไปตีแบต ผมเห็นลูกแบตวิ่งเข้ามาเป็น Slow Motion เห็นถึงอาการของกล้ามเนื้อ และใจของเราที่วางแผนการตี ตลอดจนสั่งการร่างกายให้เข้าไปตี เห็นการเหวี่ยงแขน การกระทบของหน้าไม้กับลูก ได้อย่างชัดเจนเลยทีเดียว ซึ่งเหล่านี้เป็นผลพลอยได้เล็กๆ น้อยๆ จากการปฏิบัติ เป็นต้น - เวลานั่งนี่ต้องทำยังไงครับ อันนี้อาจจะถามขวานผ่าซากไปหน่อย แต่ผมไม่ค่อยแน่ใจจริงๆครับ สมมติว่าถ้าเราฟุ้งซ่านคิดโน่นนี่ ควรจะทำยังไงครับ? บางครั้งอยากให้สงบใจก็ไม่สงบครับ เท่าที่อ่านดู เป้าหมายขณะปฏิบัติของคุณ alpha26 คือ เพื่อความสงบ ซึ่งถ้าอ่านสิ่งที่ผมเขียนก่อนหน้าถึงเป้าหมายแล้ว จะพบว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้ให้เป้าเรื่องความสงบเอาไว้ในมหาสติปัฎฐานสูตรเลย ดังนั้นผมคิดว่าการตั้งเป้าของคุณ alpha26 อาจจะไม่ค่อยถูกต้องนักนะครับ สำหรับเรื่องความสงบ ในมหาสติปัฏฐานสูตร ที่เห็นตรงๆ ชัดๆ จะอยู่ในหมวด โพชฌงค์ โดยมีองค์ประกอบอันหนึ่งชื่อว่า ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ คำว่า ปัสสัทธิ แปลว่า ความสงบ พระพุทธเจ้าทรงกล่าวเอาไว้ว่า "... เมื่อปัสสัทธิสัมโพชฌงค์มีอยู่ ณ ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่า ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา หรือเมื่อปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่า ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา อนึ่ง ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิดจะเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ที่เกิดขึ้นแล้ว จะเจริญบริบูรณ์ด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย ..." พระพุทธองค์ทรงให้แนวทางเอาไว้ว่า ถ้าสงบก็ให้รู้ว่าสงบ ถ้าไม่สงบก็ให้รู้ว่าไม่สงบ ถ้าตอนนี้ยังไม่สงบ เหตุอะไรที่จะทำให้สงบก็ให้ไปศึกษาเรียนรู้ และถ้าที่สงบแล้วจะสงบยิ่งๆ ขึ้น ก็ให้ศึกษารู้ในเหตุอันนั้น ซึ่งเหตุแห่งความสงบนี้ต้องเรียนรู้กันไปอีกเยอะมากเลยครับ กว่าจะเข้าใจ และทำได้จริง ซึ่งเป็นขั้นหลังๆ ของการปฏิบัติกันไปเลยทีเดียว ในสติปัฏฐาน 4 นี้ พระพุทธองค์ แบ่งตามระดับจากง่ายไปหายาก จากระดับที่หยาบสุดง่ายสุดก่อน คือ การกำหนดฐานกาย ฐานเวทนา ฐานจิต แล้วถึงจะไปฐานธรรม ซึ่งในฐานธรรมนี้เองมีความละเอียด ปราณีต ยาก ที่สุดในบรรดา 4 ฐาน เนื่องจากเป็นรายละเอียดการปรุงแต่งของจิต เราจึงเห็นว่าในหนังสือเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมหรือในหลักสูตรปฏิบัติธรรม ไม่ค่อยมีใครสอนวิธีเจริญสติฐานนี้สักเท่าไร เนื่องจากการจะกำหนดฐานธรรมนี้ได้ เราต้องกำหนดกายจนเชี่ยวชาญก่อน เมื่อเชี่ยวชาญในฐานกายจึงจะเริ่มมีความสามารถในการกำหนดฐานเวทนาได้อย่างจริงๆ จังๆ และเมื่อกำหนดเวทนาได้อย่างเชี่ยวชาญจึงจะเริ่มกำหนดจิตเป็น ต้องกำหนดจิตอย่างเชี่ยวชาญก่อนจึงจะขึ้นฐานธรรม และในฐานธรรมนี้เอง ความสงบนี้้อยู่ในระดับที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้ตัวที่ 5 จาก 7 เลยทีเดียว และด้วยความสามารถของปีติและปัสสัทธิที่สมบูรณ์นี่เอง จึงเป็นคุณสมบัติของพระอนาคามี เพราะ เป็นผู้ที่ฝึกสมาธิได้สมบูรณ์แล้ว สำหรับผู้ที่ปฏิบัติให้เห็นผลในขั้นต้น ควรที่จะเน้นไปที่ วิริยะ กับ ธัมมวิจยะ แทน เพียรที่จะเรียนรู้เข้าไปให้มากๆ ให้เห็นความจริงของกายใจนี้ให้มากๆ เพื่อไถ่ถอนความเห็นผิด ไถ่ถอนอคติในเรื่องต่างๆ ดังนั้นเป้าที่คุณ alpha26 ตั้งจึงเป็นเป้าที่ยากเกินขีดความสามารถของผู้เริ่มปฏิบัติครับ ความสงบจึงไม่ใช่เป้าที่ควรตั้ง แต่เป้าที่ควรตั้ง คือ ควรที่จะฝึกสติกับฐานกายให้เชี่ยวชาญก่อน เมื่อมีความฟุ้งซ่าน ความวุ่นวาย สิ่งที่ควรทำ ก็คือ ยอมรับมันตามความเป็นจริงว่ามันยังไม่ใช่ Level ที่เราจะไปจัดการกับมัน แล้วย้อนกลับมาที่ ฐานกาย ที่เป็นอารมณ์กรรมฐานของเรา ฝึกฐานกายให้เชี่ยวชาญมั่นคงก่อน และเมื่อเรามีสติ สมาธิกับฐานกายของเรามากขึ้นๆ ความฟุ้งซ่าน ความไม่สงบก็จะน้อยลงเรื่อยๆ เอง แต่ก็ยังไม่ใช่วิสัยที่จะจัดการกับมันได้อย่างสมบูรณ์ เราแค่ถูกมันรบกวนน้อยลง แต่ไม่ใช่ไม่ถูกรบกวนเลย เราจะค่อยๆ มีความสามารถที่จะอยู่กับความสงบบ้าง ไม่สงบบ้าง โดยไม่ทุกข์ร้อนไปกับมัน สุดท้ายสงบก็จะค่อยๆ มีมากขึ้นตามมาเอง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ถูกรบกวนเลย เพราะ ตราบใดที่เรายังอยู่ในโลก เสวยโลกอยู่ ตราบนั้น คือ เราก็ยังสร้างเหตุแห่งความไม่สงบอยู่นั่นเอง และด้วยเหตุที่พระอนาคมีเป็นผู้ที่เป็นอิสระต่อโลกนี้แล้วอย่างแท้จริง จึงมีความสมบูรณ์ของความสงบ - เราจะรู้ได้ยังไงว่าเรามีพัฒนาการครับ หมายถึงว่าเราจะรู้ได้ยังไงครับว่าเรามาถูกทางแล้ว คือผมอยากจะทราบ progress ของตัวเองครับ ถ้าเราก้าวหน้าขึ้นก็จะได้มีกำลังใจปฏิบัติต่อครับ สำหรับคุณ alpha26 ตั้งเป้าอะไร อย่างไรเอาไว้ ก็ควรวัดผลจากความสำเร็จว่าเป็นไปตามเป้าที่วางไว้หรือไม่ และก็ควรศึกษาถึงหลักการ วิชา ผลลัพธ์ที่เราอาจคาดหวังได้จริงๆ จังๆ จากหนังสือ จากอาจารย์ทางธรรมที่คุณ alpha26 ศรัทธา และใช้สติของเราเองตามดู ตามรู้ ตรวจสอบผลเป็นระยะๆ รวมไปถึงสอบถามอาจารย์ทางธรรมที่คุณศรัทธา (แนวทางของคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน ต้องได้อาจารย์ที่ตรงสาย ตรงแนว ที่ศรัทธาเคารพ จึงจะก้าวหน้าและได้ผล) ขอยกเป็น Case Study ของตัวผมเองแล้วกัน... แรกเริ่มสุด ผมปฏิบัติธรรมเพราะความทุกข์จากการเล่นหุ้น ความวุ่นวายที่เข้ามาในชีวิตจากความสำเร็จในการลงทุน ผมปฏิบัติธรรม เพื่อที่จะได้ไม่ทุกข์กับการลงทุน ผมอยากได้อิสระภาพทางใจกลับคืนมา เอาแค่เวลาแฟนผมเรียกผมให้ไปทำอะไร ในขณะที่กำลังครุ่นคิดเรื่องหุ้นอยู่ ผมหงุดหงิด ไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่สามารถที่จะตัดอารมณ์ ไปวิ่งเล่นอยู่กับแฟนได้อย่างมีความสุข มีอิสระจากตลาดหุ้น ดังนั้นความก้าวหน้าในขั้นต้นของผมที่ผมวัด คือ ผมสามารถที่จะอยู่กับครอบครัว ไปเที่ยวได้ โดยไม่คิดถึงหุ้น สามารถอยู่กับปัจจุบันได้อย่างแท้จริง ขั้นถัดมา ยิ่งปฏิบัติธรรม ผมยิ่งเห็นความน่าเกลียด อัปลักษณ์ของกิเลสตัวเอง ผมวัดผลโดยตรวจสอบจากคำพูด การกระทำของผมที่ไปเบียดเบียนคนอื่น ว่ามีน้อยลงไป เรื่องไหนที่เราตั้งใจว่าจะไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น แล้วเราเผลอไปเบียนเบียด ก็ต้องสำรวมระวัง รักษาสติให้มากขึ้น ขั้นถัดมา ยิ่งปฏิบัติธรรม ผมยิ่งเห็นความทุกข์จากการยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวคน ชอบใจยินดีในความเก่งของตัวเอง ผมสำรวมคำพูดตัวเองมากยิ่งขึ้น จะเขียน จะโพสต์ จะออกไปเจอผํู้คน จะระวังมากยิ่งขึ้น คิดก่อนเขียนให้มากขึ้น อย่างที่ผมเขียนตอบคุณ alpha26 นี่ ผมเขียนมา 3 ชั่วโมงกว่าแล้ว ยังเขียนไม่เสร็จเลย พอเขียนเสร็จก็ต้องมานั่งตรวจสอบแล้ว ตรวจสอบเล่า ว่าสิ่งที่เขียนออกไป เป็นประโยชน์ ไม่เป็นโทษ เป็นใช่เขียนเพื่ออวด เพื่อโชว์ เพื่อสนองอัตตา ดีไม่ดี เขียนเสร็จแล้วก็อาจจะลบมันทิ้งไปให้หมดเลย ผมก็ทำออกบ่อยๆ ซึ่งสุดท้ายถ้าผมเกิดได้โพสต์ข้อความนี้ลงไป คงจะได้เวลาราวๆ 4 ชั่วโมงในการเขียน ขั้นถัดมา ยิ่งปฏิบัติ ยิ่งเห็นความวุ่นวายของทางโลก ถึงเราไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น แต่การเอาตัวไปเกลือกกลั้วอยู่กับทางโลก ก็เหมือนเอาตัวไปให้คนอื่นเบียดเบียน เริ่มเห็นความสุขจากความสงบ จากการออกจากความวุ่นวายมากขึ้น เห็นสุขจากภายใน จากสมาธิ และจากปัญญาในธรรมมากยิ่งขึ้น จึงตัดสินใจที่จะถอยห่างจากทางโลก รับรู้โลกให้น้อยลง เรียนรู้ตัวเองให้มากขึ้น ในระดับนี้วัดความก้าวหน้าจากใจของเราเองที่เป็นอิสระจากเครื่องยึดเหนี่ยวต่างๆ ว่ามีน้อยลงบ้างไหม เมื่อเวลาผ่านไป อันนี้คร่าวๆ ในเบื้องต้นนะครับ ทุกวันนี้ผมวัดผลโดยการตรวจสอบว่า ตัวผมเองยังมีความเบียดเบียนคนอื่น และเบียดเบียนตัวเองมากน้อยขนาดไหน ตัวผมเองยังหลง ยังพุ่งเข้าไปเกาะเกี่ยวกับทางโลกมากขนาดไหน ตัวผมเองมีความสงบระงับ ไม่วุ่นวายใจมากขึ้นขนาดไหน ตัวผมเองมีทุกข์น้อยลงไหม ทุกๆ วันที่ผ่านไปเรามีความเข้าใจกายใจเรามากขึ้นขนาดไหน อะไรประมาณนี้ ปล. ขออภัยหากตอบยาวเกินไป สำหรับยุคที่คนอ่านหนังสือกันน้อยลง ดูภาพกันมากขึ้น หวังว่าคนที่ได้อ่านจะได้รับประโยชน์บ้าง ไม่มากก็น้อยนะครับ อยากให้พี่ picatos ช่วยอธิบายวิธีเจริญสติให้เห็นภาพหน่อยครับว่ามีวิธีทำอย่างไร หรือเป็น case study ตอนพี่เริ่มฝึกก็ได้ครับจะได้เห็นภาพชัดเพิ่อเป็นประโยชรณ์กับคนที่เริ่มอยากฝึกเจริญสติครับ
โดย
kik-kok
อาทิตย์ ก.ย. 17, 2017 10:09 pm
0
1
Re: เปิดจอง CV@WORK วันที่ 12/09/60 เวลา 10:00
จอง 1 ที่ครับ
โดย
kik-kok
พฤหัสฯ. ก.ย. 14, 2017 11:35 pm
0
0
Re: """งานสังสรรค์ VI ประจำปี 2560 ครั้งที่ 2"""">>>จองได้เล
Fin/สมาชิก/โอนแล้วscb/ยอด 1351/เวลา 12.43
โดย
kik-kok
พุธ ส.ค. 16, 2017 12:45 pm
0
0
Re: รับจองมีตติ้งไตรมาส 3/2559
จองครับ
โดย
kik-kok
อังคาร พ.ย. 22, 2016 9:22 pm
0
0
Re: จองงาน มีตติ้งภาคใต้ ไตรมาส 2/2559
จอง 1 ที่ครับ )
โดย
kik-kok
พุธ ส.ค. 17, 2016 1:20 pm
0
0
Re: มีตติ้งวีไอภาคใต้ ไตรมาส 1/2559
1 ที่ครับ
โดย
kik-kok
อังคาร พ.ค. 17, 2016 2:03 pm
0
0
Re: มีตติ้งวีไอภาคใต้ ไตรมาส 4/2558
1 ที่ครับ
โดย
kik-kok
เสาร์ พ.ค. 14, 2016 8:08 pm
0
0
Re: *เปิดแล้ว 9.00หลักสูตรจิตวิทยาการลงทุนรับเฉพาะ Alumni Th
Luke/thaiviรุ่น9/2700/11:04:16/16:53
โดย
kik-kok
จันทร์ เม.ย. 11, 2016 5:10 pm
0
0
Re: มีตติ้งวีไอภาคใต้ ไตรมาส 4/2558
จอง 1 ที่ครับ มือใหม่ ไม่เคยมาร่วมงานครับ
โดย
kik-kok
ศุกร์ ก.พ. 26, 2016 3:36 pm
0
0
Re: มีตติ้งวีไอภาคใต้ ไตรมาส 4/2558
จอง 1 ที่ครับ
โดย
kik-kok
ศุกร์ ก.พ. 26, 2016 3:26 pm
0
0
Re: กระทู้ปรับพอร์ตพี่โจ ลูกอีสาน ข้อมูลหายไปเยอะมาก ท่านใดเ
ลองดูตามลิงค์ข้างล่างครับ ผมเก็บไว้ นานแล้ว ข้อมูลอาจจะไม่ครบนะครับ https://drive.google.com/file/d/0BzAhF9ubW0J7LW9UbGVTUXdLczQ/view?usp=sharing เยี่ยมเลยครับ ขอบคุณมากๆครับที่แบ่งปันกันครับ
โดย
kik-kok
พฤหัสฯ. ก.พ. 18, 2016 11:42 am
0
2
Re: กระทู้ปรับพอร์ตพี่โจ ลูกอีสาน ข้อมูลหายไปเยอะมาก ท่านใดเ
คิดว่าคงไม่มีใครเก็บ เพราะน่าจะค่อนข้างแน่ใจ ว่ากระทู้ 80 กว่าหน้า น่าจะมานั่งอ่าน online ได้ตลอด แต่ถ้ามี ผมก็จะอ่านด้วย :D ระหว่างรอ ดูอันนี้ที่มีคนรวบรวมไว้ไปพลางๆ ก่อน https://issuu.com/259229/docs/jo_vi ขอบคุณมากๆเลยฮ่ะ follow รอตาม :D
โดย
kik-kok
พุธ ก.พ. 17, 2016 3:41 pm
0
1
Re: กระทู้ปรับพอร์ตพี่โจ ลูกอีสาน ข้อมูลหายไปเยอะมาก ท่านใดเ
ที่จริงกระทู้เก่าเกือบทุกกระทู้ มีบางส่วนหาย ในส่วนที่มีข้อความ quote ที่ซ้อนกันหลายๆ ชั้น ช่วงย้าย server ประมาณก่อนช่วงสมัครสมาชิกใหม่ครับ อาจมีอะไรไม่สมบูรณ์ระหว่างระบบเก่ากับใหม่ อย่างเช่น 2-3ิ ข้อความนี้ http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=35&t=33509&start=2644 ใช่เลยครับ ว่าแต่มีใครเก็บไว้บ้างเอ่ย :oops:
โดย
kik-kok
พุธ ก.พ. 17, 2016 1:52 am
0
1
Re: กระทู้ปรับพอร์ตพี่โจ ลูกอีสาน ข้อมูลหายไปเยอะมาก ท่านใดเ
ใช่ที่อยู่ในคลังกระทู้คุณค่าเปล่าครับ ลองไปดู อยู่ในกระทู้ทรงคุณค่าครับ แต่ข้อมูลข้างในที่พี่โจตอบผู้ที่มาถามปัญหาหายไปเยอะเลยครับ :'O
โดย
kik-kok
อังคาร ก.พ. 16, 2016 6:52 am
0
1
Re: เปิดจอง Company Visit TKN พฤ. 11 กพ 59 เวลา 10:00น 36 ที
1 ที่ ครับ
โดย
kik-kok
ศุกร์ ก.พ. 12, 2016 11:23 am
0
0
Re: วันนี้ 9.00 น.เปิดจองสัมมนา Money Talk@SET 13 ก.พ.59
จอง 1 ที่ครับ
โดย
kik-kok
อังคาร ก.พ. 02, 2016 9:49 am
0
0
Re: สันติวรบท หนทางสู่ทางประเสริฐ โดย ท่านธมมวิตักโก(เจ้าคุณ
http://www.dmc.tv/images/00-iimage/570729-jusmine-4.jpg ๘. ดอกมะลิ ดอกมะลิ เ ป็นดอกไม้ที่ถูกรับรองแล้วว่าเป็นดอกไม้ที่ หอมเย็นชื่นใจที่สุดและขาวบริสุทธิ์ที่สุดในบรรดาดอกไม้ทั้งหลาย ชีวิตของมนุษย์ที่เป็นอยู่ก็เช่นเดียวกับการละคร ขอให้เป็นตัวเอกที่มีชื่อเสียงที่สุดเช่นเดียวหรือลักษณะเดียวกับดอกมะลิ อย่าเป็นตัวผู้ร้ายที่เลวที่สุด และ ให้เห็นว่าดอกมะลินี้จะบานเต็มที่เพียง ๒-๓ วันก็จะเหี่ยวเฉาไป ฉะนั้น ขอให้ทำตัวให้ดีที่สุด เมื่อยังมีชีวิตอยู่ให้หอมที่สุดเหมือนดอกมะลิที่เริ่ม แย้มบานฉะนั้น
โดย
kik-kok
อาทิตย์ ม.ค. 10, 2016 3:55 pm
0
3
Re: สันติวรบท หนทางสู่ทางประเสริฐ โดย ท่านธมมวิตักโก(เจ้าคุณ
http://www.debsirinalumni.org/history/his02-4-1.jpg ๔. สันติสุข พระพุทธเจ้าสอนว่า "นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ" "สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี" หมายความว่า ความสุขอื่นมี เช่น ความสุขในการดูละคร ดูหนังการเข้าสังคม Social ในการมีคู่รักคู่ครองหรือ ในการมีลาภยศได้รับความสุข สรรเสริญ และได้รับความสุขจากสิ่งเหล่านี้ ก็สุขจริงแต่ว่า สุขเหล่านี้มีทุกข์ซ้อนอยู่ทุกอย่างต้อง คอยแก้ไขปรับปรุงกันอยู่เสมอ ไม่เหมือนกับความสุขที่เกิดจากสันติความสงบซึ่งเป็นความสุขที่เยือกเย็นและไม่ซ้อนด้วยความทุกข์ และไม่ต้องแก้ไขปรับปรุงตกแต่งมากเป็นความสุขที่ทำได้ง่ายเกิดกับกายใจของคนเรานี่เอง อยู่ในที่เงียบๆคน เดียว ก็ทำได้ หรืออยู่ ในสิ่งแวดล้อมสังคมก็ทำได้ ถ้าเรารู้จักแยกใจหาสันติสุขกายนี้ก็เพียงสักแต่ว่าอยู่ในที่ระคนด้วยความยุ่งสิ่งแวดล้อมเหล่านั้นไม่ยุ่งมา ถึงใจแม้เวลาเจ็บหนักมีทุกขเวทนาปวดร้าวไปทั่วกาย แต่เรารู้จักทำใจให้เป็นสันติสุขได้ ความเจ็บนั้นก็ไม่สามารถจะทำให้ใจเดือดร้อน ตามไปด้วย เมื่อใจสงบแล้ว กลับทำให้กายนั้นสงบหายทุกขเวทนาได้ด้วยและประสบสันติสุข ซึ่งไม่มีสุขอื่นยิ่งกว่าสันติสุขนั้น พระพุทธเจ้าสอนให้ฝึกเป็น ๓ ทางคือ ๑. สอนให้ สงบกายวาจาด้วยศีล ไม่ทำโทษทุจริตอย่างหยาบที่เกิดทางกาย วาจาเป็นต้นเหตุสันติสุข ทางกายวาจา เป็นประการต้น ๒. สอนให้ฝึกหัดให้เกิดสันติสุขทางใจด้วยสมาธิ หัดใจไม่ให้คิดถึงเรื่อง ความกำหนัด ความโกรธ ความโลภ ความหลง ความกลัว ความฟุ้งซ่านรำคาญ ความลังเลใจ ทำให้ใจไม่เด็ดเดี่ยว ไม่เด็ดขาด เมื่อสิ่งเหล่านี้ได้ เป็นเหตุ ให้ใจสงบ เป็นสันติสุข ทางจิตใจ อีกประการหนึ่ง ๓. ทรงสอนให้ฝึกหัดให้ เกิดสันติสุขทางทิฏฐิ ความเห็นด้วย ปัญญาพิจารณาให้เห็นว่า สรรพสิ่งทั้งหลายไม่แน่นอน เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยงคงทนอยู่ไม่ได้ คือ เสื่อมสิ้น แปรปรวน ดับไปเรียกว่าเป็นทุกข์ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา อ้อนวอนขอร้องเร่งรัด ให้เป็นไปตามความประสงค์เรียกว่า อนัตตา เมื่อเรารู้เห็นความเป็นจริงเช่นนี้ จะทำให้จิตใจของเราเข้มแข็งมั่นคง เด็ดเดี่ยว ไม่หวั่นไหวไปตามเหตุการณ์ทั้งหลายเพราะ รู้เห็นตามความเป็นจริงด้วยปัญญาว่าสิ่งเหล่านั้นไม่แน่นอน มันคงอยู่ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนแปลง เสื่อมสิ้นดับไปไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาฝ่า ฝืนของเรา อย่าไปเร่งรัดให้เสียกำลังใจคงรักษาใจให้เป็นอิสระมั่นคงอยู่เสมอ ไม่หวั่นไหวไปตามเหตุการณ์เหล่านั้น เป็นเหตุให้ใจตั้งอยู่ใน สันติสุข เป็นอิสระที่เกิดอำนาจทางจิตใจ Mind power ที่จะใช้ทำกิจ กรณียะอันเป็นหน้าที่ของตนได้สำเร็จสมประสงค์ "นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ" สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี It needs a Peaceful Mind to support a Peaceful Body,and it needs a Peaceful Body to support a Peaceful Mind, and it needs Both Peaceful and Mind to attain all success that which you wish.
โดย
kik-kok
เสาร์ ม.ค. 02, 2016 10:44 pm
0
4
Re: สันติวรบท หนทางสู่ทางประเสริฐ โดย ท่านธมมวิตักโก(เจ้าคุณ
บทที่ 4 หายไปไหนอ่ะครับ หยุดไปหลายวันเลยนะครับ ผมนี่รออ่านทุกวัน :8) ขอโทษครับพี่ดำช่วงนึ้ยุ่งๆไม่ได้เข้าเว็ปเลยครับ :'O มาลงต่อแล้ว ลืมต่อ 4 ไปได้ไงหว่า โอ๋น้อ สติๆ
โดย
kik-kok
เสาร์ ม.ค. 02, 2016 10:39 pm
0
2
Re: เปิดจอง Company Visit INTUCH จ. 28 ธค 58 เวลา 10:00น 24
จอง 1 ที่ครับ
โดย
kik-kok
จันทร์ ธ.ค. 28, 2015 2:23 pm
0
0
Re: สันติวรบท หนทางสู่ทางประเสริฐ โดย ท่านธมมวิตักโก(เจ้าคุณ
http://www.gmwebsite.com/upload/phuttawong.net/webboard/%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%95--%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B8%A8%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B9%8C.gif ๗. อานุภาพของไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ด้วยอานุภาพของ ไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา นี้แล จึง ชนะข้าศึกคือ กิเลสอย่างละเอียดได้ ! ๑. ชนะความหยาบคาย ซึ่งเป็นกิเลสอย่างหยาบที่ล่วงทางกายวาจาได้ ด้วย ศีล ! ชนะความยินดียินร้าย หลงรัก หลงชัง ซึ่งเป็นกิเลสอย่างกลางที่เกิดในใจได้ด้วย สมาธิ ชนะความเข้าใจ รู้ผิดเห็นผิด จากความเป็นจริงของสังขารซึ่งเป็นกิเลส อย่างกลาง ที่เกิดในใจได้ด้วย สมาธิ ! ชนะความเข้าใจ รู้ผิดเห็นผิด จากความเป็นจริงของสังขารซึ่งเป็นกิเลส อย่างละเอียด ได้ด้วย ปัญญา ! ๒. ผู้ใดศึกษาและปฏิบัติตามไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญานี้ โดยพร้อมมูล บริบูรณ์ สมบูรณ์แล้ว ผู้นั้นจึงเป็นผู้จากทุกข์ทั้งปวงได้ เป็นแน่นอน ไม่ต้องสงสัยเลย! เพราะฉะนั้น จึงควรสนใจ เอาใจใส่ ตั้งใจศึกษา และปฏิบัติตามไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา นี้ทุกเมื่อเทอญ
โดย
kik-kok
อาทิตย์ ธ.ค. 20, 2015 7:02 pm
0
2
Re: สันติวรบท หนทางสู่ทางประเสริฐ โดย ท่านธมมวิตักโก(เจ้าคุณ
http://www.tumsrivichai.com/images/column_1233448796/sds.jpg เนื่องจากวันที่ 16 นึ้จะเป็นวันพระราชทานเพลิงสรีระสังขารของ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก (เจริญ สุวัฑฒโน) จึงขอยกพระธรรมคำสอนท่านขึ้นมาเพื่อระลึกถึงพระองค์ท่านและเป็นการน้อมส่งครั้งสุดท้าย “..ชีวิตนี้น้อยนัก แต่ชีวิตนี้ก็สำคัญนัก เป็นรอยต่อ เป็นทางแยก จะไปสูงไปต่ำ จะไปดีไปร้าย เลือกได้ในชีวิตนี้เท่านั้น พึงสำนึกข้อนี้ให้จงดี แล้วจงเลือกเถิด แล้วเลือกให้ดีเถิด..” พระธรรมคำสอน สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก (เจริญ สุวัฑฒโน) ขอน้อมส่งเสด็จพระองค์สู่พระนฤพาน และขอถวายอภิสัมมานสักการะ สังฆารานัง ขะยัง กัตตะวา สันตะคามิง นะมามิหัง เกล้ากระหม่อมขอนอบน้อมนมัสการพระองค์ผู้ทรงดับสิ้นสังขาร บรรลุถึงธรรมอันสงบระงับ kornce22(thaivi)
โดย
kik-kok
จันทร์ ธ.ค. 14, 2015 10:45 pm
0
6
Re: สันติวรบท หนทางสู่ทางประเสริฐ โดย ท่านธมมวิตักโก(เจ้าคุณ
http://palungjit.org/feature/data/504/img014.jpg ๖. สติสัมปชัญญะ(ความระลึกได้ และความรู้ตัว) ที่จะทำอะไรไม่ผิดนั้น ข้อสำคัญอยู่ที่สติ ถ้ามีสติคุ้มครองกายวาจาใจอยู่ทุกขณะจะทำอะไรไม่ผิดพลาดเลย ที่ผิดพลาดเพราะขาดสติ คือ เผลอเหม่อ เลินเล่อ ประมาท ระเริง หลงลืม จึงผิดพลาด จงนึกถึงคติพจน์ว่า ‘กุมสติต่างโล่ป้อง อาจแกล้วกลางสนาม’ ธรรมดาชีวิตทุกชนิด ทั้งมนุษย์และสัตว์ตลอดทั้งพืชพันธุ์พฤกษาชาติเป็นอยู่ได้ ด้วยการต่อสู้ตรงกับคำว่า ‘Life is fighting’ ‘ชีวิตคือการต่อสู้’ เมื่อต่อสู้ไม่ไหวขณะใด ก็ต้องที่สุดแห่งชีวิต คือ death ความตาย เพราะฉะนั้นยังมีสติอยู่ตราบใดถึงตายก็ตายแต่กาย เช่นกับชีวิตพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ท่านมีสติไพบูลย์อยู่ทุกขณะจิต ท่านจึงทำอะไรไม่ผิดและถึงซึ่งอมตธรรม คือ ธรรมที่ไม่ตาย ตรงกับคำว่า Immortal จึงเรียกว่าปรินิพพาน คือนามรูปสังขารร่างกาย ที่เรียกว่าเบญจขันธ์ ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แตกดับไปเท่านั้น เพราะฉะนั้น ควรฝึกฝนสติ (ความระลึกรู้ก่อนทำ ก่อนพูด ก่อนคิด) สัมปชัญญะ (รู้ตัวอยู่ทุกขณะที่กำลังทำอยู่ พูดอยู่ คิดอยู่) เมื่อทำเสร็จแล้ว ก็มีสติตรวจตราพิจารณาดูว่าบกพร่องอย่างไร หรือเรียบร้อยบริบูรณ์ดี ถ้าบกพร่องก็รีบแก้ไขเพื่อ ให้สมบูรณ์ต่อไป ถ้าเรียบร้อยดีอยู่แล้ว ก็พยายามให้เรียบร้อยดียิ่งๆ ขึ้นไปจนถึงที่สุด
โดย
kik-kok
จันทร์ ธ.ค. 14, 2015 10:37 pm
0
6
Re: สันติวรบท หนทางสู่ทางประเสริฐ โดย ท่านธมมวิตักโก(เจ้าคุณ
๕. ทำอะไรไม่ผิดเลย ก็คือไม่ทำอะไรเลย ‘Do no wrong is do nothing’ จงระลึกถึงคติพจน์ว่า ‘Do No wrong is do nothing’ ‘ทำอะไรไม่ผิดเลย ก็คือไม่ทำอะไรเลย’ ความผิดนี้แหละเป็นครูอย่างดี ควรจะรู้สึกบุญคุณของตัวเอง ที่ทำอะไรผิดพลาด และควรสบายใจที่ได้พบกับอาจารย์ผู้วิเศษ คือความผิดจะได้ตรงกับคำว่า ‘เจ็บแล้วต้องจำ !’ ตัวเองทำผิดเอง นี้แหละ เป็น อาจารย์ผู้วิเศษ เป็น Good example ตัวอย่างที่ดี เพื่อจะได้จด จำไว้สังวรระวังไม่ให้ผิดต่อไป แล้วตั้งต้นใหม่ด้วยความไม่เลินเล่อเผลอประมาทอดีตที่ผิดไปแล้วก็ผ่านพ้นล่วงเลยไปแล้ว แต่อาจารย์ผู้ วิเศษยังคงอยู่คอยกระซิบเตือนใจอยู่เสมอทุกขณะว่า ‘ ระวัง ! อย่าประมาทนะ! อย่าให้ผิดพลาดเช่นนั้นอีกนะ’ ผิดหนึ่งพึงจดไว้ ในสมอง เร่งระวังผิดสอง ภายหน้า สามผิดเร่งคิดตรอง จงหนัก เพื่อนเอย ถึงสี่อีกที่ห้า หกซ้ำอภัยไฉน ! จงสังเกตพิจารณาดูให้ดีเถิด จะเห็นได้ว่า นักค้นคว้าวิทยาศาสตร์ทางโลกก็ดีและท่านผู้วิเศษที่เป็นศาสดาอาจารย์ ในทางธรรมทั้งหลายก็ดี ล้วนแต่ผ่านพ้น อุปสรรคความผิดพลาดนับครั้งไม่ถ้วนด้วยกันมาแล้วด้วยกันทุกส่วน บทที่ 5 เป็นบทที่เตือนใจผมอยู่เสมอและทำให้ระลึกเสมอว่า "นิสมฺม กรณํ เสยฺโย (ใคร่ครวญก่อนแล้วจึงทำดีกว่า)" ผมคิดว่า VI ที่ประสบความสำเร็จทุกคนย่อมผ่านอุปสรรคมานับไม่ถ้วนทั้งนั้น !
โดย
kik-kok
อาทิตย์ ธ.ค. 13, 2015 8:39 pm
0
4
Re: สันติวรบท หนทางสู่ทางประเสริฐ โดย ท่านธมมวิตักโก(เจ้าคุณ
บทที่ 3 นึ้เหมาะกับสถานการณ์ในปัจจุบันนึ้มากครับ :) เห็นด้วยครับ บางทีนั่งหน้าจอดูหุ้นตก เช้าตื่นมาดูตลาดต่างประเทศก็ตก ราคาน้ำมันก็ดิ่ง แต่ถามว่าเครียดไปแล้วได้อะไร ถ้าเครียดแล้วหุ้นฟื้นได้ก็น่าสนใจอยู่ แต่นี่เหมือนหุ้นตกก็โดน 1 ดอก ยังไปเครียดซ้ำกลายเป็น 2 ดอก อันนี้ต้องโทษตัวเองแล้วคงไปโทษตลาดไม่ได้ครับ ถูกเลยครับพี่ดำเวลาหุ้นตกผมจะนึกธรรมบทหนึ่งของพระพุทธองค์มาเตือนใจเสมอๆคือ "ยํ กิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมนฺติ สิงใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งใดสิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา" แล้วเราจะผ่านมันไปด้วยกันครับ )
โดย
kik-kok
อาทิตย์ ธ.ค. 13, 2015 8:28 pm
0
2
Re: สันติวรบท หนทางสู่ทางประเสริฐ โดย ท่านธมมวิตักโก(เจ้าคุณ
http://image.free.in.th/v/2013/ie/151212015116.jpg ๓. สบายใจ คำว่า "ไม่สบายใจ" อย่าใช้ และอย่าให้มีขึ้นในใจต่อไป "Let it go,and it out!" ก่อนจะเกิด Let it go! ปล่อยผ่านไปอย่ารับเอาความไม่สบายใจไว้ ถ้าเผลอไปมันแอบเข้ามาอยู่ในใจได้ พอมีสติรู้สึกตัวว่าไม่สบายใจไว้ในใจ ต้อง Get it out! ขับมันออกไปทันที อย่าเลี้ยงเอาความไม่สบายใจไว้ในใจจะเคยตัว ทีหลังจะเป็นคนอ่อนแอออดแอดทำอะไรผิดพลาดนิด ๆ หน่อย ๆ ก็ไม่สบายใจเคยตัวเพราะความไม่สบายใจนี้แหละเป็นศัตรู เป็นมาร ทำให้ใจไม่สงบ ประสาทสมองไม่ปกติ เป็นเหตุให้ร่างกายผิดปกติ พลอยไม่สงบไม่สบายด้วย ทำให้สมองทึบไม่ปลอดโปร่งเป็น habit ความเคยชินที่ไม่ดีเป็น อุปสรรคกีดกั้นขัดขวาง สติปัญญาไม่ให้ปลอด โปร่งแจ่มใส ต้องฝึกหัดแก้ไขปรับปรุงจิตใจใหม่ ทั้งก่อนที่จะทำอะไรหรือกำลังกระทำอยู่ และเมื่อเวลากระทำเสร็จแล้วต้องหัดจิตใจแช่มชื่น รื่นเริง เกิดปิติปราโมทย์เป็นสุขสบายอยู่เสมอ เป็นเหตุให้เกิดกำลังกาย กำลังใจ Enjoy living มีชีวิตอยู่ด้วยความเบิกบาน สมองจึงเบิกบาน จะศึกษาเล่าเรียนก็เข้าใจจำได้ง่ายเหมือน ดอกไม้ที่แย้มเบิกบานต้อนรับหยาดน้ำค้างและอากาศอันบริสุทธิ์ฉะนั้น บทที่ 3 นึ้เหมาะกับสถานการณ์ในปัจจุบันนึ้มากครับ :)
โดย
kik-kok
เสาร์ ธ.ค. 12, 2015 8:46 pm
0
6
Re: สันติวรบท หนทางสู่ทางประเสริฐ โดย ท่านธมมวิตักโก(เจ้าคุณ
http://image.free.in.th/v/2013/iw/151212014738.jpg พระธาตุท่านธมมวิตักโก(เจ้าคุณนร) ๒. เมตตา อย่ากลัว จงรักษาตัวให้บริสุทธิ์ ไม่มีอะไรทำอันตรายได้ จงจำไว้ว่า ถ้าปรารถนาความเมตตาและความเห็นอกเห็นใจจากผู้อื่น ก็ควรส่งกระแสใจที่ประกอบด้วยความเมตตา และความเห็นอกเห็นใจไปยังท่าน เหล่านั้น แล้วก็จะได้รับความเมตตาและความเห็นอกเห็นใจจากท่านเหล่านั้นเช่นเดียวกัน นี่เป็นกฏของจิตตนุภาพแล้วความสำเร็จทั้งหลายที่ปรารถนา ก็จะบังเกิดแก่ตน สมประสงค์ทุกประการเป็นแน่นอนไม่ต้องสงสัยเลย
โดย
kik-kok
เสาร์ ธ.ค. 12, 2015 8:42 pm
0
5
Re: สันติวรบท หนทางสู่ทางประเสริฐ โดย ท่านธมมวิตักโก(เจ้าคุณ
http://image.free.in.th/v/2013/ir/151211035138.jpg ๑. Personal magnet เรื่องที่มีคนเมตตากรุณา เห็นอกเห็นใจนั้นเป็นเพราะ คุณธรรมความดี ของตนเองหลายประการด้วยกันเป็นต้นว่ามี วิริยะ อุตสาหะ บากบั่น เข้มแข็ง แรงกล้า และจิตใจเมตตากรุณา ไม่เย่อหยิ่งจองหอง เป็นเหตุให้ผู้ที่แวดล้อมอยู่ เกิดความเมตตา กรุณารักใคร่เห็นอกเห็นใจ คิดที่จะช่วยเหลือ คนซึ่งมี กิริยามารยาทอ่อนโยน สุภาพ นิ่มนวลย่อมเป็นที่เสน่หารักใคร่ ของ คนที่ได้พบเห็นและพยายามที่จะช่วยเหลือ นี่เป็น Personal Magnet คือ เสน่ห์ในตัวเอง เพราะฉะนั้น จงพยายามรักษาคุณสมบัติดังกล่าวนี้ไว้ จะเป็น เครื่องช่วยตัวเองให้บรรลุความ สำเร็จสมประสงค์ทุกประการทุกกาลเวลา ทั้งปัจจุบันและอนาคต
โดย
kik-kok
ศุกร์ ธ.ค. 11, 2015 10:45 pm
0
6
56 โพสต์
of 2
ต่อไป
ชื่อล็อกอิน:
kik-kok
ระดับ:
Verified User
กลุ่ม:
สมาชิก
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
พุธ มี.ค. 18, 2015 1:27 pm
ใช้งานล่าสุด:
เสาร์ มิ.ย. 19, 2021 9:37 pm
โพสต์ทั้งหมด:
225 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.01% จากโพสทั้งหมด / 0.06 ข้อความต่อวัน)
GO_TO_SEARCH_ADV
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์ [กระทู้รับชมออนไลน์]
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์
↳ ThaiVI GO Series
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ Value Investing
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว